Code 227 : ปี 53 สถิติมีไว้ทำลาย

วันอังคารที่ 4 มกราคม 2554

ATT Code : ปี 53 สถิติมีไว้ทำลาย
EFinance : ปี53ที่ผ่านพ้นไป ถือเป็นปีแห่งการทำลายสถิติ ท่ามกลางความวุ่นวายทางการเมือง-วิกฤตศก.โลก แต่ SET Index กลับทะยานแตะ 1000 จุดครั้งแรกในรอบ 14 ปี แตะระดับสูงสุดที่ 1055.25 จุด ขณะที่ มาร์เก็ตแคปของตลาดยังทำสถิติสูงสุดตั้งแต่ก่อตั้งตลท. มีมูลค่าสูงถึง 8.3 ล้านลบ ส่วนเงินบาททำลายสถิติในรอบ 13 ปีเช่นกัน ขณะที่การส่งออกทะลุเป้า เฉพาะเดือนมิ.ย. ส่งออกขยายตัวสูงสุด ที่ระดับ 46.3% ส่วนเหตุการณ์ช็อควงการหุ้น หนีไม่พ้นดีลยักษ์ควบรวมกิจการ ธุรกิจโรงพยาบาล

----------------------------------------------------------------------------------
MARKET WAVE Analysis
4 มค. 54 (-1.83 จุด) โกมล พงศ์วิญญู เลขทะเบียน 18338

ปรับตัวลง 1020 จุด
ดัชนีกำลังปรับตัว ในกรอบสามเหลี่ยมภาพระยะวัน สำหรับภาพระยะสั้นสองสามวันข้างหน้า ดัชนีมีโอกาสปรับตัวกลับลงมาแถว1020 จุด ใกล้เส้นค่าเฉลี่ย 25 วันอีกครั้ง

จากนั้น มีความเป็นไปได้สองแนวทางด้วยกัน คือ
1 ปรับตัวทะลุกรอบสามเหลี่ยม และเกิน 1055.25 จุดสูงสุดเดิมของปี 2553 ดัชนีในเดือน มค. ปี 54 จะสามารถปรับตัวขึ้นต่อได้บริเวณ 1100 – 20 จุด ... ก่อนที่จะปรับฐานแถว940 – 980 จุดในไตรมาสแรกของปีหน้า

2 ปรับตัวลงต่ำกว่ากรอบสามเหลี่ยมและ ต่ำกว่า 1000 จุด ดัชนีมีโอกาสปรับฐานแถว 900 – 940 จุด สำหรับภาพไตรมาสแรกของปีหน้า

หุ้นเด่น
IVL
กำลังปรับตัวอยู่ในกรอบสามเหลี่ยม ภาพระยะชั่วโมง รอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 57.75 กรอบบนของสามเหลี่ยม เป้าหมายหนึ่งถึงสองวัน 60.00 – 60.50( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 56.75 )

10 อันดับซื้อขายสูงสุด
TRUE ต่ำกว่า 7 ลง 6.60 – 6.80
IRPC ปรับตัวลง 6.10 – 6.30
TOP ปรับตัวลง 75 – 77
CPF แกว่งตัว 24.50 – 25.25
SCB ปรับตัวลง 102 – 103
PTTEP แกว่งตัว 166 – 169
BANPU แกว่งตัว 766 – 812
TMB ต่ำกว่า 2.32 ลง 2.20 – 2.26
PTT ต่ำกว่า 319 ลง 315 – 317
IVL รายละเอียดใน “หุ้นเด่น”

----------------------------------------------------------------------------------
EFinance : ปี 53 สถิติมีไว้ทำลาย
ปี53ที่ผ่านพ้นไป ถือเป็นปีแห่งการทำลายสถิติ ท่ามกลางความวุ่นวายทางการเมือง-วิกฤตศก.โลก แต่ SET Index กลับทะยานแตะ 1000 จุดครั้งแรกในรอบ 14 ปี แตะระดับสูงสุดที่ 1055.25 จุด ขณะที่ มาร์เก็ตแคปของตลาดยังทำสถิติสูงสุดตั้งแต่ก่อตั้งตลท. มีมูลค่าสูงถึง 8.3 ล้านลบ ส่วนเงินบาททำลายสถิติในรอบ 13 ปีเช่นกัน ขณะที่การส่งออกทะลุเป้า เฉพาะเดือนมิ.ย. ส่งออกขยายตัวสูงสุด ที่ระดับ 46.3% ส่วนเหตุการณ์ช็อควงการหุ้น หนีไม่พ้นดีลยักษ์ควบรวมกิจการ ธุรกิจโรงพยาบาล

ในปี 2553 ที่ผ่านพ้นไป ต้องเผชิญทั้งข่าวดีและข่าวร้ายสลับกันไป ทั้งปัญหาความวุ่นวายทางการเมือง ที่มีการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติหรือ นปช.ในช่วงเดือนเม.ย.- พ.ค.และนำไปสู่เหตุการณ์นองเลือดและเผาทำลายศูนย์กลางทางเศรษฐกิจที่มีการเผยแพร่ข่าวและภาพไปทั่วโลก จนทำให้สถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัวจากตัวเลขจีดีพี Q1/53ที่โต 12% สูงสุดในรอบ 15ปี ต้องสะดุดลง อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจไทยกับใช้เวลาในการฟื้นตัวไม่นานจากเหตุความวุ่นวายดังกล่าว แต่ในช่วงท้ายปี กลับต้องเผชิญกับปัญหาน้ำท่วมและภัยธรรมชาติ แต่เศรษฐกิจของไทยยังคงขยายตัวดีต่อเนื่อง จนทำให้กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ต้องประกาศปรับเพิ่มประมาณการจีดีพี ปี 2553ใหม่หลายระลอกจนล่าสุดคาดการณ์ว่า จีดีพีปี 53 จะโต 7-8% จากเริ่มต้นคาดว่าโต 3.5-4.5% ขณะที่ปี 2553 ยังถือว่าเป็นปีของการทำลายสถิติทางเศรษฐกิจหลายด้าน ประกอบด้วย

*****หุ้นไทยแตะ 1000 จุดครั้งแรกในรอบ 14 ปี
ถึงแม้ในปี 53 ที่ผ่านมา ประเทศไทยจะเผชิญกับปัญหาการเมืองอันหนักหน่วงจนฉุดสังคมไทยให้ดิ่งลงสู่จุดต่ำสุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ชาติ แต่ทว่าบรรยากาศการลงทุนกลับตรงกันข้าม นักลงทุนไล่ซื้อหุ้นดันดัชนีทะยานแบบพรวดพราดขึ้นมาแตะระดับ 1000 จุดได้เป็นครั้งแรกในรอบ 14 ปี โดยดัชนีหุ้นไทยพุ่งแตะระดับดังกล่าวในวันที่ 26 ต.ค.53 และขึ้นไปทำจุดสูงสุดของปีที่ 1055.25 จุด ในวันที่ 10 พ.ย.53

นอกจากนี้ในปีเสือที่ผ่านมา มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด(มาร์เก็ตแคป)ของตลาดหุ้นไทยยังทำสถิติสูงสุดนับตั้งแต่ก่อตั้งตลาดหลักทรัพย์ฯขึ้นมาด้วย โดยมีมูลค่าสูงถึง 8.3 ล้านล้านบาท ขณะที่มูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์เฉลี่ยรายวันอยู่ที่ 42,266.40 ล้านบาท สูงที่สุดนับตั้งแต่ตลาดหลักทรัพย์ฯเริ่มเปิดการซื้อขาย

ทั้งนี้SET Index ปิดฉากปี 2553 ( 30 ธ.ค.)ที่ระดับ 1032.76 จุด ลดลง 1.83 จุดหรือ 0.18% มูลค่าการซื้อขาย19,934.34 ล้านบาท*

****เงินบาทแข็งค่าสุดในรอบ 13 ปี
ปี 2553 เป็นปีของการทำลายสถิติ โดยเฉพาะเงินบาทที่แข็งค่าทำสถิติในรอบ 13 ปี นับตั้งแต่การประกาศลอยตัวค่าเงินบาท ในปี 2540 โดยแตะระดับแข็งค่าสุดที่ 29.56 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐช่วงต้นเดือนพ.ย. ที่ผ่านมา อันเป็นผลจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะสหรัฐ ที่มีการประกาศมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE2)อัดฉีดเงิน 6แสนล้านดอลลาร์ ภายในกลางปีหน้า รวมทั้งปัญหาหนี้สาธารณะของยุโรป ส่งผลให้เงินทุนไหลเข้าทะลักเข้าเอเชีย ทำให้สกุลเงินอื่นๆ ในเอเชียรวมทั้งค่าเงินบาทของไทยแข็งค่าขึ้น จนส่งผลกระทบต่อการส่งออกที่เป็นกลไกสำคัญขับเคลื่อนประเทศ ท่ามกลางเสียงโอดครวญของผู้ส่งออก

ขณะที่ ธปท.ยืนยัน จะทำหน้าที่ดูแลเงินบาทให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เพื่อรักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจ พร้อมย้ำให้ภาคเอกชน เน้นหามาตรการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน แถมแย้มมีเครื่องมือที่หลากหลายดูแลเงินทุนไหลเข้าได้ และพร้อมใช้หากจำเป็นแต่ไม่สามารถบอกล่วงหน้าได้

สำหรับแนวโน้มของเงินบาทในปี 2554 มีการคาดการณ์ว่า เงินบาทอาจทยอยแข็งค่าขึ้นทดสอบระดับ 28.30 บาทต่อดอลลาร์ฯ ภายในกลางปี 2554 และอาจแข็งค่าขึ้นแตะระดับ 28.00 บาทต่อดอลลาร์ฯ ภายในช่วงสิ้นปี 2554

ทั้งนี้เงินบาทวันที่ 30 ธ.ค. 53 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของปี 2553 ค่าเงินบาทอยู่ที่ 30.15-30.16 บาท/ดอลลาร์

***** ปี 53 ส่งออกทะลุเป้า สวนกระแสบาทแข็ง เฉพาะเดือนมิ.ย. ส่งออกขยายตัวสูงสุด ที่ระดับ 46.3%
ในปี 2553 ภาคการส่งออกของไทย ภายใต้การผลักดันของกระทรวงพาณิชย์ ถือว่าโดดเด่นสวนทิศทางการแข็งค่าของค่าเงินบาท โดยการส่งออกมีมูลค่าสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ และคาดว่าทั้งปีมูลค่าการส่งออกน่าจะขยายตัวอยู่ที่ 26.5-28.5% หรือคิดเป็นมูลค่า 1.93-1.96 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ทะลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ ซึ่งในช่วง 11 เดือนของปี 2553 (ม.ค.-พ.ย.) การส่งออกมีมูลค่า 1.77 แสนล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 29.15% ส่งผลให้ไทยเกินดุลการค้ามูลค่า 1.18 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ โดยเฉพาะในเดือนมิ.ย.ที่ยอดส่งออกขยายตัวสูงที่สุดที่ระดับ 46.3%

โดยเป็นผลมาจากการเร่งใช้มาตรการขยายตลาดใหม่ และรักษาตลาดเดิม รวมถึงการตั้งเจ้าหน้าที่มาดูแลเป็นรายสินค้า ร่วมกับภาคเอกชนอย่างใกล้ชิด โดยให้ความสำคัญกับการส่งออกในภูมิภาคเอเชีย (อาเซียน จีน ญี่ปุ่น และอินเดีย) มากขึ้น และเน้นให้เกิดการใช้ประโยชน์จากการเปิดเสรีทางการค้า (เอฟทีเอ) ให้เกิดประโยชน์สูงสุด แต่ก็ยังคงรักษาตลาดหลักอย่างสหรัฐอเมริกา และสหรัฐยุโรป (อียู) ไปพร้อมๆ กัน ที่สำคัญ การส่งออกของไทยในปีนี้ ถือหัวหอกสำคัญ ที่สนับสนุนให้ อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ หรือ จีดีพี ในปีนี้จะเติบโตแตะ 8% จากเดิมที่คาดการณ์จะขยายตัว 7.9% ตามที่ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สศช. ประมาณการไว้

***** ดีลยักษ์ควบรวมกิจการแห่งปี
ดีลควบรวมกิจการที่สร้างความฮือฮามากสุดในปีนี้คงหนีไม่พ้นกรณีที่บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด(มหาชน)หรือ BGH เข้าซื้อกิจการของบริษัทเฮลท์ เน็ตเวิร์ค จำกัด ซึ่งเป็นเจ้าของโรงพยาบาลพญาไทและโรงพยาบาลเปาโลเมโมเรียล ด้วยกระบวการแลกหุ้นและตั้งโต๊ะรับซื้อหุ้นจากนักลงทุนรายย่อย ซึ่งกระบวนการดังกล่าวคาดว่าจะเสร็จสิ้นในเดือนก.พ.ปีหน้า

การเข้าซื้อกิจการในครั้งนี้สำเร็จลงได้ด้วยแนวคิดที่แยบยลของ "วิชัย ทองแตง"ผู้บริหาร BGH และอดีตทนายความชื่อดังในคดีซุกหุ้นของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งส่งผลกระทบใหญ่หลวงต่อธุรกิจโรงพยาบาลในประเทศไทย เพราะก่อให้เกิดการควบรวมกิจการของโรงพยาบาลยักษ์ 4 แห่ง ประกอบด้วย โรงพยาบาลกรุงเทพฯ โรงพยาบาลพญาไท โรงพยาบาลเปาโลฯ และโรงพยาบาลสมิติเวช ทำให้ครอบคลุมทุกตลาดสุขภาพของไทย กลายเป็นกลุ่มโรงพยาบาลที่ใหญ่ที่สุดทั้งในแง่ของสินทรัพย์และรายได้เป็นอันดับ 2 ในเอเชียไม่รวมญี่ปุ่น รองจากโรงพยาบาล Ramsay ในออสเตรเลีย

แต่นัยสำคัญที่สุดของการควบรวมกิจการในครั้งนี้คือการส่งสัญญาณให้ผู้ประกอบธุรกิจที่เกี่ยวกับสุขภาพในไทยไหวตัวว่า ถึงเวลาแล้วที่จะต้องรีบปรับตัวเพื่อรองรับการเปิดเสรีในธุรกิจดังกล่าวรวมทั้งตอบสนองต่อนโยบายภาครัฐที่ต้องการยกระดับประเทศไทยให้กลายเป็น"เมดิคัล ฮับ"

...และจากนี้ไปเราคงจะได้เห็นการควบรวมกิจการและการไล่ซื้อกิจการในกลุ่มโรงพยาบาลบ่อยมากขึ้นแน่นอน

----------------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย
FSS : ตลาดขยับขึ้นยังไม่ต้องรีบร้อนไล่ซื้อ หาจังหวะตอนแกว่งย้อนลงก่อนได้!!
แนวโน้ม: คาดว่าหลังจากมีแรงซื้อจากทั้งนักลงทุนสถาบันภายในประเทศ และนักลงทุนต่างประเทศกลับเข้ามาพอควรในช่วงท้ายปี ขณะที่เช้าวันแรกของปีใหม่นี้ ตลาดหุ้นต่างประเทศยังคงเคลื่อนไหวในทิศทางที่สดใสจากตัวเลขเศรษฐกิจที่ดูดีทั้งจากสหรัฐและยุโรป ทำให้ SET ยังมีแนวโน้มที่จะแกว่งตัวในด้านบวกต่อเนื่องจากช่วงปลายเดือนที่แล้วได้ อย่างไรก็ตาม FSS แนะนำว่ายังไม่ต้องรีบร้อนซื้อไล่ราคาหุ้นขึ้นไปมากนัก เพราะเรายังคาดว่า SET มีโอกาสที่จะแกว่งย้อนกลับลงใหม่ได้ เนื่องจากมีแนวโน้มที่จะมีแรงขายของกองทุน LTF ที่จะครบอายุในปีนี้ทยอยขายทำกำไรออกมากดดันตลาดอยู่
กลยุทธ์: ดังนั้นสำหรับการเทรดดิ้งเล่นรอบยังน่าหาจังหวะขายทำกำไรเมื่อตลาดขยับขึ้น ส่วนจังหวะซื้อยังรอเมื่อตลาดอ่อนตัวลงได้ กลุ่มที่น่าสนใจคือแบงก์ และCommodity (Hard&Soft) เช่น KTB, KBANK, PTL, PTTCH, TOP, SEAFCO,AP, TASCO, AMATA, KSL, CK, STEC และ TTW เป็นต้น

ประเด็นสำคัญวันนี้
• (+) วันแรกเริ่มใช้หุ้น SET50 Index ชุดใหม่ (เริ่มใช้ 1 ม.ค. – 30 มิ.ย.2011) – เข้า BTS, DCC, KK, ROBINS, SSI, STA ออก – KSL, QH, BCP, PSL,TTA, HANA // ส่วนหุ้นที่คาดว่าเข้าคำนวณ SET100 – เข้า GLOBAL, KKC, SMTออก BMCL, GJS, SC
• (+) เศรษฐกิจไทยเดือน พ.ย. กลับมาขยายตัวต่อ หลังชะลอตัวในเดือนต.ค. จากน้ำท่วม การบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนเพิ่มขึ้น ภาคการผลิตดีขึ้นโดยเฉพาะการผลิตในกลุ่มยานยนต์ การส่งออกยังขยายตัวในระดับสูง รายได้เกษตรยังขยายตัวได้ดีมาก ภาคการท่องเที่ยวเติบโตเช่นกัน
• (+) FSS ประเมิน SET target 1,300 จุดปลายปีนี้ แม้ว่า SET Index ในปีที่ผ่านมาจะโดดเด่น +40.6% แต่ PE ในปี 2011 ที่ Bloomberg Consensus คาดที่12.4 เท่า ยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาคเอเชียที่ 13.5 เท่า ถูกเกือบที่สุดในเอเชียรองจากเกาหลี และเมื่อยิ่งเปรียบเทียบ PE กับการเติบโตของกำไร ตลาดหุ้นไทย
อยู่ในเกณฑ์ที่น่าสนใจด้วยกำไรที่ Consensus คาดว่าขยายตัว 17.7% ในปี 2011(FSS คาด +16.2%) สูงกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาคที่ 15.6% FSS ประเมินเป้าดัชนีปีนี้ 1,300 จุด (อิง PE 16 เท่า) upside 26% ต่ำกว่าปีก่อน การลงทุนจึงต้องSelective มากขึ้น หุ้นที่น่าสนใจปีนี้เป็นกลุ่มที่จะมีบทบาทขับเคลื่อนเศรษฐกิจปีนี้
เช่น PTTCH, PTL, TOP, SCC, STEC, CK, AMATA, CPALL, BGH, MAJOR,KBANK, SCB, KTB, KSL, TVO, TUF
• (+) SVI เราแนะนำ Underweight กลุ่มอิเล็คทรอนิคส์เพราะมองบาทแข็งค่าในปีนี้ แต่เลือก SVI เป็นหุ้นเด่นในปีนี้ แทน DELTA และ KCE ที่เป็นหุ้นเด่นในปีก่อนเหตุเพราะกำไรโตสูงสุดในกลุ่ม +15% เพราะเป็นบริษัทเดียวในกลุ่มที่ขยายกำลังการผลิตตั้งแต่เดือน ธ.ค. 2010 อีก 25% (HANA ขยายกำลังการผลิตใน 2H11)ปัจจุบันมี PE ค่อนข้างต่ำ 8 เท่า Dividend yield สูง 7% เราประเมินราคาเป้าหมายปีนี้ 4.20 บาท
• (-) TRUE กลุ่ม TRUE ซื้อหุ้นใน 4 บริษัท (HUTCH เป็นหนึ่งในนั้น) 6.3 พันล้านบาท (จ่ายเงินสด 4.35 ล้านบาท + ชำระเงินกู้แทน BFKT ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทที่ซื้อมา) แม้ว่าข้อดีคือทำให้ TRUE ทำธุรกิจต่อไปได้หลังหมดสัมปทานปี 2013 มีลูกค้าเพิ่มขึ้น ~8แสน – 1 ล้านราย สามารถให้บริการ 3G ด้วยเทคโนโลยี HSPA ที่มีทั่วประเทศอยู่แล้ว (เมื่อ กสทช. อนุญาต) แต่ความเสี่ยงยังอยู่ที่ข้อ กม. – การร่วมทุนของ Hutchison กับ กสท. ไม่ได้ผ่าน ครม.แต่แรก และการทำ MVNO ทำได้หรือไม่ เราแนะนำ Sell on fact จากราคาที่รับรู้ข่าวซื้อ HUTCH ไปแล้ว แต่ถ้าราคาลงมาลึก เทรดดิ้งได้โดยต้องติดตามประเด็นข้อ กม. ดังกล่าว
• Fund Flow ยังไหลเข้าต่อเนื่องเป็นวันที่ 23 ติดต่อกัน วานนี้ไหลเข้าเพิ่มขึ้นเล็กน้อยตอนรับปีใหม่หลังหยุดพักผ่อนในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา แนวโน้มตลาดเต็มไปด้วยปัจจัยบวกตลาดหุ้นและตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ปรับขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่กันอย่างทั่วหน้า อย่างไรก็ตามค่าเงินเอเชียและค่าเงินยูโรแกว่งตัวอยู่ในกรอบแคบค่าเงินบาทเช้านี้ยังทรงตัวอยู่ที่ระดับ 30 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ทำให้มองว่าแนวโน้มกระแสเงินทุนต่างชาติยังไหลเข้าแต่ไม่มาก ส่วนหุ้นที่ได้รับความสนใจในการลงทุนมากที่สุดในช่วงนี้ยังเป็นหุ้นในกลุ่มพลังงาน และสินค้าโภคภัณฑ์เช่นเดิม


ข่าวภายในประเทศ
BTS แรงขายสะเด็ดน้ำเจ้าหนี้ฮ่องกงเหลือ 7% ข่าวดีปันผลกลางปีนี้ ราคาพื้นฐานเกิน 1.50 บาท BTS เริ่มสะเด็ดน้ำจากปลายปีที่ผ่านมาเจ้าหนี้ฮ่องกงกระหน่ำขายหุ้นหนักจาก 42% เหลือแค่ 7% ทำให้ราคาหุ้นขึ้นไปไหนไม่ได้ซะที ปีนี้น่าจับตาเป็นพิเศษทั้งเรื่องปันผลและเลื่อนชั้นเข้าSET50 ช่วงกลางปี ทำให้ราคาพื้นฐานเฉลี่ยเกิน 1.50 บาท และอาจสูงถึง 2 บาท หลังตัวเลขกำไรครึ่งหลังปี'54 โตก้าวกระโดดกว่า 970 ล้านบาท(ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 4-01-2011)
AGE ปีนี้ยอดขายทะลักไล่ราคาหวังวอร์แรนต์ฟรี AGE ออเดอร์จากจีนทะลัก 1 ล้านตัน เริ่มต้นส่งเดือนม.ค.นี้ 8 หมื่นตัน ดันยอดขายปีนี้ 2.2 ล้านตัน เทียบปีก่อน 1.2 ล้านตัน กำไรปีนี้พุ่งอีก 70% เหตุต้นทุนคงที่ออเดอร์มาก ยิ่งได้กำไร “พนม”มั่นใจจีนต้องการถ่านหินมาก รัฐบาลประกาศห้ามขุดจับตาไล่หุ้นแม่หวังได้ฟรี 2 วอร์แรนต์ ขึ้น XR สัปดาห์หน้า เป้าหมายเบื้องต้น 16.50 บาท (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 4-01-2011)
TOP-PTTAR แจ่มลอย LPG โรงกลั่นโชว์กำไรกระโดด TOP-PTTAR นำทีมหุ้นกลุ่มโรงกลั่น หลัง กพช. ไฟเขียวลอยตัวแอลพีจีหน้าโรงกลั่นอิงราคาตลาดโลก ผู้บริหารมั่นใจหนุนกำไรปีนี้เพิ่ม “สุรงค์” เชื่อรายได้เพิ่มอีก 5,000 ล้านบาทต่อปี ขณะที่ “บวร” เล็งขยับสัดส่วนขายในตลาดเพิ่ม ส่วนราคาน้ำมันปีนี้ 85-100 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 4-01-2011)
จับตาหุ้นเหล็กครึกครื้น! ขานรับเทรดหมวดใหม่ หุ้นเหล็กเทรดหมวดใหม่วันนี้ ส่งผลช่วยเพิ่มน้ำหนักการลงทุนหุ้นกลุ่มเหล็กได้ เนื่องจากภาพรวมราคาหุ้นเหล็กวิ่งต่อไปได้ ประกอบกับความเสี่ยงลดลงมาก จากราคาเหล็กที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ขณะที่ตัวหุ้นเหล็กจะได้รับอานิสงส์ตามการลงทุน ปี 2554น่าจะฟื้นตัวจากการก่อสร้างเป็นหลัก (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 4-01-2011)
ESTAR ลั่นปีนี้ยอดขายโต 50% ปี 53เ ข้าเป้า 1.68 พันล้าน จ่อเปิด 5 โครงการ 5 พันลบ. ESTAR ย้ำยอดขายปี 2553 ตามเป้า 1,680 ล้านบาท หลังคอนโดฯใหม่ 2 โครงการ "แวนเทจ รัชโยธิน-เดอะบรีซ นราธิวาสฯ" โกยยอดขายดีเกิน 50-60% ตุนแบ็กล็อกในมือกว่า 1,000 ล้านบาทจ่อบุ๊ครายได้ปี 2554-2555 ส่วนปีนี้ตั้งเป้ายอดขาย 2,500 ล้านบาท โตเกือบ 50% จากปีก่อน พร้อมลุยเปิดเพิ่ม 4-5 โครงการใหม่ มูลค่ากว่า 4-5 ล้านบาท หลังคาดตลาดอสังหาฯโต 10-12% (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 4-01-2011)
----------------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ตปท.

ข่าวต่างประเทศ
สหรัฐอเมริกา: สหรัฐเผยดัชนีภาคการผลิตเดือนธ.ค.ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 17 สถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยว่าดัชนีภาคการผลิตเดือนธ.ค.ขยายตัวที่ระดับ 57 จุด เพิ่มขึ้นจากเดือนพ.ย.ที่ระดับ 56.6 จุด และทำสถิติขยายตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 17 ซึ่งบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐยังคงอยู่ในระยะฟื้นตัว ดัชนี PMI ที่เคลื่อนตัวอยู่เหนือระดับ 50 จุดบ่งชี้ว่าภาคการผลิตมีการขยายตัว โดยในเดือนธ.ค.ที่ผ่านมานั้นอุตสาหกรรมการผลิต 11 ประเภทจากทั้งหมด 18 ประเภท มีการขยายตัว รวมถึงอุตสาหกรรมการผลิตเสื้อผ้า เครื่องจักร อุปกรณ์การขนส่ง อุปกรณ์ไฟฟ้า และผลิตภัณฑ์เคมี (ที่มา: อินโฟเควสท์ 4-01-2011)
จีน: จีนเผยดัชนี PMI ภาคบริการเดือนธ.ค.ขยายตัวสอดคล้องกับภาคการผลิต สมาพันธ์โลจิสติกและการจัดซื้อแห่งชาติของจีน (CFLP)เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการของจีนในเดือนธ.ค.ขยายตัวที่ระดับ 56.5 จุด เพิ่มขึ้น 3.3 จุดจากเดือนพ.ย. ดัชนีที่เคลื่อนไหวเหนือระดับ 50 จุดบ่งชี้ว่า ภาคบริการของจีนมีการขยายตัว ส่วนดัชนีที่เคลื่อนไหวต่ำกว่าระดับบ่งชี้ถึงภาวะหดตัวของภาคบริการ ก่อนหน้านี้ CFLPเปิดเผยว่า ดัชนี PMI ภาคการผลิตของจีนในเดือนธ.ค.ขยายตัวที่ระดับ 53.9 จุด ลดลง 1.3 จุด จากเดือนพ.ย.ที่ระดับ 55.2 จุด (ที่มา: อินโฟเควสท์4-01-2011)
เอเชีย: อินโดนีเซียเผยยอดส่งออกพุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในเดือนพ.ย.53 สำนักงานสถิติอินโดนีเซียเปิดเผยว่า ยอดส่งออกเดือนพฤศจิกายน 2553 พุ่ง 42.34% แตะที่ 1.534 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบปีต่อปี ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ทั้งนี้ สินค้าส่งออกของอินโดนีเซียประกอบด้วยผลิตภัณฑ์จากทรัพยากรธรรมชาติและสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ ซึ่งมีสัดส่วนกว่า 32% ของจีดีพีของประเทศ สำนักข่าวซินหัว
รายงาน (ที่มา: อินโฟเควสท์ 3-01-2011)
เอเชีย: อินโดนีเซียคาดผลผลิตถ่านหินทะยาน 23% ในปี 54 อินโดนีเซียคาดการณ์ว่าผลผลิตถ่านหินในประเทศจะขยายตัวราว 23% แตะที่340 ล้านตันในปี 2554 โดยได้รับแรงหนุนจากอุปสงค์ทั้งในและต่างประเทศที่ปรับตัวสูงขึ้น สุปริอัตนา ซูฮาลา กรรมการบริหารสมาคมการทำเหมืองถ่านหินแห่งอินโดนีเซีย เปิดเผยว่า ผลผลิตถ่านหิน 20% จากทั้งหมดจะถูกจัดแบ่งไว้สำหรับตลาดในประเทศ ส่วนที่เหลือจะส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศ โดยญี่ปุ่น อินเดีย จีน และเกาหลีใต้ จะยังคงเป็นผู้นำเข้าถ่านหินจากอินโดนีเซียรายใหญ่สุด (ที่มา: อินโฟเควสท์ 3-01-2011)

ตลาดหุ้นสหรัฐปิดบวกถึง 93.24 จุดต้อนรับปีใหม่เมื่อคืนนี้เนื่องจากมีสัญญาณในเชิงบวกเกี่ยวกับแนวโน้มการผลิตทั่วโลก ช่วยกระตุ้นให้นักลงทุนอัดฉีดเม็ดเงินใหม่เข้าสู่ตลาดอีกครั้ง
ตัวเลขภาคการผลิตในเดือน ธ.ค. ของสหรัฐขยายตัวเป็นเดือนที่ 17 ติดต่อกัน ขณะที่ค่าใช้จ่ายด้านการก่อสร้างในเดือน พ.ย. เพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือน มิ.ย.
ตัวเลขเงินเฟ้อของจีนชะลอลงในเดือน ธ.ค. ขณะที่ภาคการผลิตในยุโรปขยายตัวดีขึ้น
ส่วนตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ เปิดทำการส่วนใหญ่เป็นบวก แต่ยังมีกรอบการขยับขึ้นที่จำกัด ขณะที่เริ่มมีบางประเทศปรับตัวลดลงบ้างแล้ว เช่น ตลาดหุ้นไต้หวัน

ราคาน้ำมันในตลาดล่วงหน้า NYMEX ขยับขึ้น 17 เซนต์มาปิดตลาดที่ 91.55 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 3 ต.ค.2008 โดยได้รับแรงหนุนจากตัวเลขเศรษฐกิจที่ดีจากทั้งยุโรปและสหรัฐ รวมถึงคาดการณ์ที่ว่าอุณหภูมิในสหรัฐจะลดต่ำลงอีก
ราคาทองคำล่วงหน้าในตลาด COMEX ปิดเพิ่มขึ้น 1.50ดอลลาร์ มาอยู่ที่ 1422.90 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยได้รับแรงหนุนจากอุปสงค์ที่สะสมไว้ในวันเปิดทำการวันแรกของปีใหม่
----------------------------------------------------------------------------------

Code 226 : ปีหน้าหุ้น1200จุด!พลังงาน-แบงก์เด่นสุด

วันพฤหัสที่ 30 ธันวาคม 2553

ATT Code : ปีหน้าหุ้น1200จุด!พลังงาน-แบงก์เด่นสุด
"โกลเบล็ก"ประเมินดัชนีตลาดหุ้นไทยครึ่งแรกปี 54 มีลุ้นแตะ 1,200 จุด รับอานิสงส์เศรษฐกิจในประเทศฟื้นตัว กำไรบจ.โต 20% แถมบาทแข็ง หนุนเม็ดเงินต่างชาติทะลักเข้าตลาดหุ้นไทยต่อเนื่อง แต่หวั่นปัจจัยเสี่ยงการเมือง–วิกฤติหนี้ยุโรปไม่คลี่คลาย กดดันราคาหุ้นรูดลงแตะระดับ 980 จุด พร้อมให้น้ำหนักหุ้นพลังงาน–แบงก์ ยังเป็นดาวเด่นดันดัชนี ส่วน ASP แนะเก็บหุ้นปันผลสูงและกลุ่มสินค่าโภคภัณฑ์ - E Finance
----------------------------------------------------------------------------------
Short News
TRUE:แจ้งตลาดฯการเข้าซื้อหุ้น Hutch
TRUE แจ้งบ.ย่อย "Real Move" และ "Real Future" เข้าซื้อหุ้นของ (1) บริษัทHutchchison Wireless Multimedia Holding (HWMH) (2) บริษัท BFKT (3) หุ้นของ Rosy Legend (RL) และ (4) หุ้นของ Prospect Gain Ltd (PG) เพื่อขยายธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่
มูลค่าของรายการ : ประมาณ 6.3 พันล้านบาท (เงินค่าซื้อหุ้น 4 บริษัท 4.35 ล้านบาท + เงินกู้ไม่เกิน 6.3 พันล้านบาท โดย Real Future ให้กู้แก่ BFKT เพื่อนำไปชำระหนี้ของ BFKT บางส่วน (Real Future จะใช้เงินทุนจากการกู้ SCB)

ความเห็น: มูลค่าการซือ Hucth ดังกล่าว ใกล้เคียงกับที่มีการคาดการณ์กันก่อนหน้านี้ ที่ระดับ 6-7 พันล้านบาท แม้มองเชิงบวกในด้านการลดความเสี่ยงทางธุรกิจของ TRUE เนื่องจากสัมปทานเดิมจะหมดอายุในปี 2013 และความร่วมมือทางธุรกิจกับกสท.ในอนาคต แต่มีการเล่นเก็งกำไรรับ Deal การซื้อหุ้น Hutch มาแล้วระดับหนึ่ง รวมทั้งอาจยังมีประเด็นด้านกฎหมาย และการใช้เงินลงทุนเพื่อพัฒนาโครงข่าย CDMA เป็น HSPA (GSM) ระยะสั้น อาจมี Sell on Fact

(+) CK: ที่ประชุมกพช.ยังให้ความเห็นชอบร่างสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโครงการไซยะบุรี ราคาเป้าหมายปี 2011 ที่ 12.70 บาท
· เป็นปัจจัยบวกต่อ CK เพราะรอการเซ็นสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโครงการไซยะบุรีมานาน ซึ่งหลังจากเซ็นสัญญา PPA กับ EGAT ได้ประมาณเดือนม.ค.-ก.พ. บริษัทก็จะดำเนินการก่อสร้าง และรับรู้รายได้จากการก่อสร้างได้ในปีหน้า
· ส่วนการจัดโครงสร้างทางเงิน บริษัทจะถือหุ้นโครงการนี้ไม่ต่ำกว่า 30% จากปัจจุบันถือหุ้น 95% โดยจะหาผู้ร่วมทุนรายใหญ่เข้าถือหุ้นส่วนที่เหลือ โดยโครงสร้างลงทุนเป็นเงินกู้ 8 หมื่นล้านบาท และเงินลงทุนจากผู้ถือหุ้น 3 หมื่นล้านบาท (D/E 3:1) คิดเป็นเงินลงทุนตามสัดส่วนถือหุ้น 8-9 พันล้านบาท ซึ่งจะทยอยลงทุนไป 7-8 ปี โดย 2 ปีแรกลงทุนไม่มากประมาณ 700 ล้านบาทต่อปี
· แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายปี 2011 ที่ 12.70 บาท

----------------------------------------------------------------------------------
MARKET WAVE Analysis
30 ธค. 53 ( +6.26 จุด) โกมล พงศ์วิญญู เลขทะเบียน 18338.

รอปรับตัวลง 1020 จุด
ดัชนีกำลังปรับตัว ในกรอบสามเหลี่ยมภาพระยะวัน สำหรับภาพระยะสั้นหนึ่งถึงสองวันข้างหน้านี้ ดัชนีมีโอกาสปรับตัวกลับลงมาแถว 1020 จุด ใกล้เส้นค่าเฉลี่ย 25 วันอีกครั้ง

จากนั้น มีความเป็นไปได้สองแนวทางด้วยกัน คือ
1 ปรับตัวทะลุกรอบสามเหลี่ยม และเกิน 1055.25 จุดสูงสุดเดิมของปี 2553 ดัชนีในเดือน มค. ปี 54 จะสามารถปรับตัวขึ้นต่อได้ บริเวณ 1100 – 20 จุด ... ก่อนที่จะปรับฐานแถว940 – 980 จุดในไตรมาสแรกของปีหน้า

2 ปรับตัวลงต่ำกว่ากรอบสามเหลี่ยมและ ต่ำกว่า 1000 จุด ดัชนีมีโอกาสปรับฐานแถว 900 – 940 จุด สำหรับภาพไตรมาสแรกของปีหน้า

หุ้นเด่น
SCB
ปรับตัวขึ้นมาแถวเส้นค่าเฉลี่ย 25 วันพอดี รอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 105.50 จุดสูงสุดวันพุธและเส้นค่าเฉลี่ยดังกล่าว เป้าหมายสองสามวัน 108.00 – 109.00( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 104.50 )

10 อันดับซื้อขายสูงสุด
TRUE แกว่งตัว 7.15 – 7.35
IRPC แกว่งตัว 6.10 – 6.35
SCB รายละเอียดใน “หุ้นเด่น”
BANPU แกว่งตัว 770 – 810
TOP ต่ำกว่า 77.50 ลง 76 – 76.50
PTTEP ต่ำกว่า 166.50 ลง 163.50 – 164.50
PTTCH แกว่งตัว 147.50 – 149.50
TMB เกิน 2.40 ขึ้น 2.42 – 2.44
PTT ต่ำกว่า 319 ลง 315 - 317
IVL แกว่งตัว 56.50 – 57.75

----------------------------------------------------------------------------------
E Finance : ปีหน้าหุ้น1200จุด!พลังงาน-แบงก์เด่นสุด
"โกลเบล็ก"ประเมินดัชนีตลาดหุ้นไทยครึ่งแรกปี 54 มีลุ้นแตะ 1,200 จุด รับอานิสงส์เศรษฐกิจในประเทศฟื้นตัว กำไรบจ.โต 20% แถมบาทแข็ง หนุนเม็ดเงินต่างชาติทะลักเข้าตลาดหุ้นไทยต่อเนื่อง แต่หวั่นปัจจัยเสี่ยงการเมือง–วิกฤติหนี้ยุโรปไม่คลี่คลาย กดดันราคาหุ้นรูดลงแตะระดับ 980 จุด พร้อมให้น้ำหนักหุ้นพลังงาน–แบงก์ ยังเป็นดาวเด่นดันดัชนี ส่วน ASP แนะเก็บหุ้นปันผลสูงและกลุ่มสินค่าโภคภัณฑ์

ในช่วงนี้นักวิเคราะห์หลายสำนักออกมาคาดการณ์ถึงภาวะการลงทุนในปีหน้า เพื่อเป็นเข็มทิศชี้ทางให้กับนักลงทุน ล่าสุดบริษัทหลักทรัพย์(บล.) โกลเบล็ก จำกัด ออกมาฟันธงว่าดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นแตะ 1200 จุดในช่วงครึ่งปีแรก บนพื้นฐานกำไรบริษัทจดทะเบียน(บจ.)โต 20% เศรษฐกิจฟื้นตัวต่อเนื่อง และอ้างอิงพีอีที่ระดับ 15.15 เท่า

นอกจากนี้ยังมองว่าหุ้นกลุ่มพลังงานและธนาคารพาณิชย์ยังเป็นกลุ่มที่โดดเด่นสุดในปีหน้า ขณะที่กลุ่มรับเหมาก่อสร้างมีน้ำหนักการลงทุนปานกลาง ส่วนบล.เอเซีย พลัส แนะนำให้นักลงทุนเก็บสะสมหุ้นที่เข้า SET50, หุ้น High Dividend Yield และหุ้น Commodity โดยสามารถถือข้ามไปปี 54 ได้

***** ฟันธงได้เห็นดัชนี 1200 จุด-กำไรบจ.โต20%
นายธวัชชัย อัศวพรไชย ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. โกลเบล็ก เปิดเผยถึง ทิศทางตลาดหุ้นไทยในปี54 ว่า ดัชนีมีโอกาสที่จะแตะจุดสูงสุดที่ระดับ 1,200 จุดในครึ่งปีแรก ซึ่งอิงค่าพี/อีเรโช 15.15 เท่า โดยคาดว่าจะมีปริมาณการซื้อขาย(วอลุ่ม)เฉลี่ยต่อวันประมาณ 29,457 ล้านบาท เนื่องจากยังได้รับแรงหนุนจากภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่ฟื้นตัวดีขึ้นต่อเนื่อง และคาดว่าเศรษฐกิจปีหน้าจะขยายตัวเพิ่มขึ้น รวมทั้งรัฐบาลยังสามารถจัดเก็บรายได้ตามเป้าหมาย และตัวเลขหนี้สาธารณะไม่สูงมากนัก

ส่วนผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน(บจ.)ในตลาดหุ้นไทยมีอัตราการเติบโตต่อเนื่องเมื่อเทียบกับบริษัทจดทะเบียนอื่นๆ ในตลาดหุ้นภูมิภาค และคาดว่ากำไรบจ.ปี54 จะเติบโต 20% จากปี53 ที่เติบโต 11.5% นอกจากนี้ การที่ค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าอย่างต่อเนื่อง เชื่อว่าจะเป็นปัจจัยบวกที่สนับสนุนให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง

“มองว่าในช่วงครึ่งปีแรก ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีโอกาสแตะ1,200 จุดเนื่องจากมองว่ายังคงมีเม็ดเงินจากต่างประเทศไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับค่า P/E ในตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ระดับ 15.15 เท่า ซึ่งงบล.โกลเบล็กมองว่ายังมีศักยภาพ ประกอบกับบริษัทจดทะเบียนในประเทศไทยยังสามารถขยายตัว และทำกำไรเพิ่มขึ้นได้” นายธวัชชัย กล่าว

อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นไทยยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องเพิ่มความระมัดระวังลงทุนมากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้ดัชนีปรับลดลงมาที่แตะระดับ 980 จุดได้ อาทิ สถานการณ์การเมืองภายในประเทศ ถึงแม้ในปี 54 จะมีการเลือกตั้งใหม่ก็ตาม แต่สถานการณ์ทางการเมืองก็ยังคงต้องเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิด ส่วนกรณีการออกพันธบัตรของกลุ่มประเทศแถบยุโรปที่ทำได้ยากขึ้น ซึ่งก็จะส่งผลกระทบต่อการจัดลดอันดับเครดิต และกระทบต่อจิตวิทยาการลงทุนเช่นเดียวกัน

นอกจากนี้ ยังต้องเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงจากปัญหาเศรษฐกิจในหลายประเทศที่อาจกระทบตลาดหุ้นไทย อาทิ วิกฤตหนี้ในประเทศแถบยุโรป ถึงแม้ว่าจะไม่เห็นการฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว แต่เชื่อว่าสถานการณ์จะเริ่มคลี่คลายลงตามลำดับ นอกจากนี้ อัตราการว่างงานของสหรัฐฯ ซึ่งคาดว่าจะทรงตัวอยู่ที่กว่า 9% หรือปรับลดลงบ้าง จะแสดงให้เห็นสัญญาณการฟื้นตัวที่ดี

“ทิศทางตลาดหุ้นที่ยังเป็นสัญญาณบวก แต่ดัชนีอาจผันผวนตามสถานการณ์ทางการเมือง และคาดว่าจะมีการเทรดดิ้งมากกว่าปี2553 ส่วนเรื่องการเมืองเชื่อว่าแม้มีการเปลี่ยนแปลงแต่รัฐบาลยังคงต้องลงทุนสาธารณูปโภค และกระตุ้นการใช้จ่ายอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหากนโยบายต่างๆ ที่ออกมามีเสถียรภาพ เชื่อว่าจะทำให้ภาคเอกชนเกิดความมั่นใจ และลงทุนเพิ่มขึ้น” นายธวัชชัย กล่าว

***** เน้นหนักหุ้นพลังงาน-แบงก์
นายธวัชชัย กล่าวต่อว่า สำหรับกลยุทธ์การลงทุนหุ้นนั้นฝ่ายวิเคราะห์ให้น้ำหนักการลงทุนในกลุ่มพลังงาน กลุ่มธนาคาร ค่อนข้างมาก เนื่องจากเป็นหุ้นที่มีการเติบโตสูง และมีมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่ และสามารถผลักดันดัชนีให้ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ โดยกลุ่มพลังงานได้รับผลดีจากราคาน้ำมันที่คาดว่าจะปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง แต่ยังต้องติดกรณีบริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP ในประเด็นความเสียหายของปัญหาโครงการมอนทารา ซึ่งหากคลี่คลายไปในทางที่ดีจะส่งผลให้ปัจจัยที่กดดันราคาหุ้นหมดไป

โดยหุ้นที่น่าสนใจ อาทิ PTTCH โดยราคาเป้าหมายที่ 200 บาท PTT ราคาเป้าหมาย 375 บาท BANPU ราคาเป้าหมาย 860 บาท ส่วนหุ้นกลุ่มธนาคารจะได้รับผลดีจากสินเชื่อปีหน้าที่เติบโตต่อเนื่อง อาทิ KTB ราคาเป้าหมาย 21.4 บาท และ BAY ราคารเป้าหมายที่ 32.7 บาท

นอกจากนี้ ยังมีหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมที่น่าสนใจ เนื่องจากราคาหุ้นทั้งกลุ่มยังสามารถปรับตัวขึ้นได้อีก 22% โดยหุ้นที่น่าสนใจ ได้แก่ SEAFCO ราคาเป้าหมาย 8.70 บาท SYNTEC ราคาเป้าหมาย 2 บาท และ ITD ราคาเป้าหมายที่ 5.60 บาท

ส่วนกลุ่มหุ้นที่ฝ่ายวิเคราะห์ให้น้ำหนักการลงทุน ”ปานกลาง” ได้แก่ กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากหมดมาตรการกระตุ้นภาษีการโอนฯ และทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น ล้วนเป็นปัจจัยที่กดดันการลงทุน ด้านกลุ่มเดินเรือ ยังมีปัญหาของซัพพลาย (เรือ) ที่มีจำนวนสูงกว่าความต้องการใช้เรือ แต่เชื่อว่าซัพพลายจะเริ่มลดลง หลังจากที่ภาวะเศรษฐกิจโลกกลับมาฟื้นตัวในครึ่งปีหลัง2554 ขณะที่กลุ่มวัสดุก่อสร้าง ถ้าอัตราเงินเฟ้อไม่สูง เชื่อว่าจะไม่กระทบมากนัก

*****เอเซีย พลัสสั่งลุยหุ้นปันผลสูง-กลุ่มโภคภัณฑ์
บทวิเคราะห์บล.เอเซีย พลัส(ASP) ระบุว่า แนะนำซื้อหุ้นที่เข้า SET50, หุ้น High Dividend Yield และหุ้น Commodity โดยถือข้ามไปปี 2554 ได้ ทั้งนี้นับจากปี 2551 เป็นต้นมา ช่วงต้นปีราคาหุ้นมักจะถูกกดดันจากแรงขายอันเป็นผลมาจากการไถ่ถอนหน่วยลงทุนในกองทุน LTF ซึ่งในช่วงต้นปี 2554 ก็เชื่อว่าจะยังมีผลกระทบจากกรณีดังกล่าวเช่นกัน โดยจากการรวบรวมตัวเลขของฝ่ายวิจัยประเมินว่าจะมีเงินลงทุนใน LTF ที่ครบกำหนด 5 ปี ปฏิทินในช่วงปี 2554 ประมาณ 1.7 หมื่นล้าน

โดยที่เงินลงทุนก้อนดังกล่าวมีต้นทุนเฉลี่ยที่ SET Index 817 จุด แต่อย่างไรก็ตามคาดว่าแรงกดดันดังกล่าวจะเกิดขึ้นเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ ช่วง 2 สัปดาห์แรกของสัปดาห์ หลังจากนั้นก็จะเข้าสู่ภาวะปกติ ผลจากการประเมินสถานการณ์ดังกล่าวพอกำหนดกลยุทธ์การลงทุนได้ดังนี้คือ ในส่วนของนักลงทุนที่ต้องการเก็งกำไรระยะสั้น(ระยะเวลาการถือหุ้นไม่เกิน 1 เดือน) อาจถือโอกาสช่วงที่ราคาหุ้นอ่อนตัวในช่วง 2 สัปดาห์แรกของปี สะสมหุ้น

ขณะที่นักลงทุนระยะกลาง (ระยะเวลาการถือหุ้น 2-6 เดือน) ที่ต้องการถือหุ้นข้ามปี 2553 ไป ปี 2554 หุ้นที่ฝ่ายวิจัยเห็นว่าน่าจะมีอยู่ในพอร์ตมีอยู่ 3 ลักษณะคือ 1) หุ้นที่เข้า SET50 ซึ่งจะเริ่มใช้คำนวณต้นปี 2554 โดยหุ้นเด่นได้แก่ KK และ ROBINS 2) หุ้นที่ให้ Dividend Yield สูง โดยเน้นหุ้นที่จ่ายเงินปันผลปีละ 1 ครั้ง เช่น DELTA, SIRI, TMT, HANA เป็นต้น และ 3) หุ้น Commodity ที่ป้องกันเงินเฟ้อ เช่น PTTEP, BANPU, AGE, LANNA, KSL, และ SGP

----------------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย
FSS : เริ่มมองหาจังหวะขายทำกำไรบ้างเมื่อตลาดดีดขึ้น ส่วนจะซื้อเพิ่มให้รอลง
แนวโน้ม: แรงซื้อจากเม็ดเงิน LTF และ RMF วันสุดท้ายของปีนี ประกอบกับการทำ Window dressing ทำให้การปรับลงของตลาดมีจำกัด อย่างไรก็ตาม หลังปีใหม่มีตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญจากหลายประเทศที่ทดสอบตลาด ประกอบกับน่จะมีแรงขายจาก LTF & RMF ที่ครบกำหนดขายได้ และมีกำไรทุกกองแล้วที่ระดับดัชนีกว่า 1 พันจุด จึงเชื่อว่าตลาดจะผันผวนอย่างน้อยในครึ่งเดือนแรกของเดือนม.ค. เรายังแนะนำให้เน้นเป็นเทรดดิ้งสั้นๆ ตามรอบ โดยควรแบ่งส่วนขายทำกำไรเมื่อตลาดขยับขึ้นอยู่ ขณะที่จังหวะเลือกหุ้นเข้าซื้อยังแนะนำให้รอช่วงตลาดปรับตัวลงไปเคลื่อนไหวในด้านลบเป็นหลัก

กลยุทธ์: สำหรับการลงทุนระยะสั้นกว่า 1 เดือน แนะนำขายทำกำไรเมื่อตลาดปรับขึ้น เน้นรอซื้อเมื่ออ่อนตัวลง กลุ่มที่น่าสนใจคือแบงก์ และ Commodity(Hard&Soft) เช่น KTB, KBANK, PTL, PTTCH, TOP, SEAFCO, AP, TASCO,AMATA, KSL, CK, STEC และ TTW เป็นต้น

ประเด็นสำคัญวันนี้
• (+) วันสุดท้ายก่อนเปลี่ยนหุ้นที่คำนวณ SET50 Index ใหม่ (เริ่มใช้ 1ม.ค. – 30 มิ.ย. 2011) – เข้า BTS, DCC, KK, ROBINS, SSI, STA ออก –KSL, QH, BCP, PSL, TTA, HANA // ส่วนหุ้นที่คาดว่าเข้าคำนวณ SET100 –เข้า GLOBAL, KKC, SMT ออก BMCL, GJS, SC(0) ธปท. รายงานเศรษฐกิจเดือน พ.ย. วันนี้ ติดตามผลกระทบจากน้ำท่วม
• (+) Window dressing สถิติของตลาด 15 ปีที่ผ่านมา SET Index วันสุดท้ายของปีมักบวกเพิ่มประมาณ 3% M-M ซึ่งหมายถึงดัชนีที่ระดับประมาณ1,035 จุดในวันนี้แต่เชื่อว่าน่าจะบวกได้มากกว่านั้นเพราะ Window dressingและแรงซื้อจาก LTF&RMF อย่างไรก็ตาม ต้นปีมีรายงานเศรษฐกิจที่สำคัญทั้งของจีน ยุโรป และไทย ประกอบกับน่าจะมีแรงขายจาก LTF&RMF ที่ครบกำหนดขายได้และมีกำไรทุกกองแล้ว อาจทำให้ตลาดผันผวนได้ สอดคล้องกับแนวต้านทางเทคนิคที่มองไว้ 1,038 – 1,042 จุด
• (+) KSL รายงานผลประกอบการ 4Q10 (สิ้นสุด ต.ค. 2010) ขาดทุนมากกว่าคาด โดยขาดทุน 91 ล้านบาท (เราคาดขาดทุน 81 ล้านบาท) จากต้นทุนที่แพงขึ้นจากการแย่งซื้อน้ำตาลของผู้ผลิตในอุตสาหกรรม (ไม่มีDerivative loss หรือค่าปรับ) ส่งผลให้ทั้งปี 2010 มีกำไรเหลือเพียง 159ล้านบาท ลดลง 83% ต่ำสุดในรอบ 8 ปี หุ้น KSL เป็นเพียงตัวเดียวในกลุ่มSoft commodity ที่ underperform ที่สุด (-14%YTD) สอดคล้องกับผลประกอบการที่แย่ แต่เชื่อว่า KSL ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วและจะเริ่มมีกำไรตั้งแต่1Q11 (สิ้นสุด ม.ค. 2011) จากกำลังการผลิตส่วนขยายของโรงงานใหม่ที่บ่อพลอย ขณะที่ราคาขายทำสัญญาล่วงหน้าแล้ว80% ของโควต้าส่งออก ซึ่งเป็นราคาที่สูงกว่าปีนี้ถึง 44% - 47% ส่วนโรงงานที่ลาวและกัมพูชา คาดว่าจะขาดทุนน้อยลง เราคาดว่า KSL จะมีกำไรเติบโตถึง 457% ในปี 2011 จึงแนะนำซื้อ KSL โดยมีราคาเป้าหมาย 18 บาท

ข่าวภายในประเทศ
LOXLEY พ้นบ่วงมาร DSI เมินรับคดีพิเศษ ล็อกซเล่ย์รับข่าวดี วงในรายงานฯบอร์ดดีเอสไอไม่รับฮั้วประมูลหวยเป็นคดีพิเศษ ยันหลักฐานไม่เพียงพอ ขณะที่สลากฯมั่นใจได้ขายสลากกินแบ่ง 6 ตัวผ่านเครื่องเร็วๆ นี้ แก้ไขปัญหาสลากเกินราคา ตามโครงการประชาวิวัฒน์ ลดค่าครองชีพประชาชน (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 30-12-2010)
ดีล TRUE ซื้อฮัทช์ฉลุยกสทฝันปีแรก 2 พันล้าน กสทฯ มั่นใจ TRUE ซื้อ HUTCH ชัวร์ ระบุบิ๊ก TRUE รับอยู่ระหว่างเจรจาขั้นสุดท้าย จ่อยกเลิกสัญญา HUTCH ทันที เผยอีก 2 ปีเลิกทำมือถือ CDMA หันทำ HSPA วาดฝันปีแรกฟัน 2 พันล้านบาททันที หลังขาดทุนยับปีละกว่า 2 พันล้านบาทติดต่อกันมากกว่า 3 ปี (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 30-12-2010)
CPN เด้งไตรมาส 4ไฮซีซั่น เป้าปี'54 รายได้โต 10% น่าซื้อเป้าเกิน 32 บาท CPN รับไตรมาส 4 ไฮซีซั่น การจับจ่ายพุ่งกว่า 10-15% เชื่อปีนี้โตตามเป้าหมื่นล้านบาท ส่วนปี 2554 คาดรายได้โตมากกว่า 10% จากการรับรู้เซ็นทรัลเวิลด์เต็มปี การเปิดศูนย์การค้าใหม่ 3 แห่ง รวมถึงความชัดเจนในการลงทุนในต่างประเทศ ระบุจีนมีความคืบหน้า โบรกฯ เชียร์ซื้อ ราคาเป้าหมาย 32.12 บาท (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 30-12-2010)
DIMET ลงนามต่อสัญญาพีพีจี 3 ปี เร่งขยายช่องทางเพิ่มรายได้ใหม่ DIMET ลงนามสัญญาสั่งผลิตสีป้องกันสนิม-สัญญาให้เป็นผู้แทนจำหน่ายสีป้องกันสนิมในไทยกับ PPG ระยะเวลา 3 ปี เผยหารายได้เพิ่มขึ้นอีกช่องทางเน้นสินค้าที่มีคุณภาพและผลิตภัณฑ์ใหม่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในปัจจุบันบริษัทได้มีลูกค้าทางด้านอุตสาหกรรมยานยนต์เพิ่ม (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 30-12-2010)

----------------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ตปท.
ข่าวต่างประเทศ สหรัฐอเมริกา: สหรัฐเผยความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนธ.ค.ลดลง เหตุผู้บริโภควิตกภาวะตลาดแรงงาน คอนเฟอเรนซ์ บอร์ด ซึ่งเป็นองค์กรวิจัยเอกชนของสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนธ.ค.ร่วงลงมาอยู่ที่ระดับ 52.5 จุด จากเดือนพ.ย.ที่ระดับ 54.3 จุด ซึ่งลดลงมากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 55.8 จุด เนื่องจากผู้บริโภคยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะตึงตัวในตลาดแรงงานของสหรัฐ (ที่มา: อินโฟเควสท์ 29-12-2010)

จีน: ธนาคารกลางจีนขึ้นดอกเบี้ย rediscount และ re-loan เป็นครั้งแรกในรอบ 2 ปี ธนาคารกลางจีนประกาศผ่านทางเว็บไซต์ในวันนี้ว่าธนาคารกลางได้ขึ้นอัตราดอกเบี้ย rediscount และดอกเบี้ย re-loan เป็นครั้งแรกในรอบ 2 ปี เมื่อวันที่ 26 ธ.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นอีกมาตรการในการคุมเข้มนโยบายการเงิน หลังจากที่ธนาคารกลางจีนได้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้ไปแล้วในวันเดียวกัน โดยธนาคารกลางจีนได้ขึ้นดอกเบี้ย reloanระยะ 1 ปี อีก 0.52% เป็น 3.85% ตั้งแต่วันที่ 26 ธ.ค.ที่ผ่านมา และได้ขึ้นดอกเบี้ย rediscount อีก 0.45% เป็น 2.25% (ที่มา: อินโฟเควสท์29-12-2010)

เอเชีย: เกาหลีใต้เผยยอด FDI ปี 2553 ทำสถิติสูงสุดในรอบ 10 ปี กระทรวงความรู้เศรษฐกิจของเกาหลีใต้ เปิดเผยว่า เกาหลีใต้มียอดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) สูงสุดในรอบ 10 ปีในปี 2553 เนื่องจากได้รับแรงหนุนจากพื้นฐานเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของประเทศ โดยรายงานของกระทรวงฯ ระบุว่า เม็ดเงิน FDI ของเกาหลีใต้พุ่งขึ้น 12.1% เมื่อเทียบกับปีก่อน แตะ 1.287 หมื่นล้านดอลลาร์ในปีนี้ ซึ่งเป็นยอดสูงสุดนับตั้งแต่ช่วงวิกฤติทางการเงินของเอเชีย เนื่องจากมีเม็ดเงินลงทุนไหลเข้าประเทศเป็นจำนวนมากและทำสถิติยอด FDI สูงกว่า 1.2 หมื่นล้านดอลลาร์เป็นปีที่ 6ติดต่อกัน (ที่มา: อินโฟเควสท์ 29-12-2010)

เอเชีย: เวียดนามคาดมูลค่าการผลิตภาคอุตสาหกรรมโต 14% ช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้ สำนักงานสถิติเวียดนามคาดการณ์ว่า มูลค่าการผลิตภาคอุตสาหกรรมของประเทศจะขยายตัว 14% เมื่อเทียบรายปี แตะที่ 794.2 ล้านล้านดอง (3.78 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้ รายงานระบุว่าเฉพาะเดือนธันวาคมเดือนเดียวมูลค่าการผลิตภาคอุตสาหกรรมของเวียดนามอยู่ที่ 72.2 ล้านล้านดอง (3.67 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ)(ที่มา: อินโฟเควสท์ 29-12-2010)
----------------------------------------------------------------------------------

Code 225 : ต่างชาติยังชี้นำหุ้นไทยเดือน ม.ค.54

วันพุธที่ 29 ธันวาคม 2553

ATT Code : ต่างชาติยังชี้นำหุ้นไทยเดือน ม.ค.54
กิมเอ็งฯ ประเมินหุ้นไทยเดือน ม.ค.54 ยังอยู่ภายใต้อิทธิพลของนักลงทุนต่างชาติ ทั้งมีมุมมอง Neutral ถึง Negative ให้กรอบการเคลื่อนไหวของ SET Index ที่ 950-1,050 จุด พร้อมแนะนำ “Buy & Trade” โดย “ซื้อ” เมื่อดัชนีฯ ปรับตัวใกล้ระดับ 950 จุด และถือเงินสด 40% หุ้น 60% เพิ่ม PTTCH, TOP, BGH และ KSL แต่ Stop loss หุ้น HMPRO และ ถอด KBANK, AIT และ PTL ออกจากพอร์ตชั่วคราว* ส่งท้ายหุ้นไทย ธ.ค.53 คึกคัก แต่มีแรงขายช่วงปลายเดือน
----------------------------------------------------------------------------------
MARKET WAVE Analysis
29 ธค. 53 ( +8.87 จุด) โกมล พงศ์วิญญู เลขทะเบียน 18338

ปรับตัวขึ้น 1035 - 38 จุด
แนวโน้มในวันพุธหรือพฤหัสนี้ ตราบใดไม่ต่ำกว่า 1023 จุด ดัชนีมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อแถว 1035 – 38 ใกล้เส้นแนวโน้มที่ลากกดอยู่ด้านบน
ณ บริเวณ 1035 – 38 จุด คาดว่า ดัชนีมีโอกาสปรับตัวกลับลงมาแถว 1018 – 21 ใกล้เส้นค่าเฉลี่ย 25 วัน อีกครั้ง

ภาพโดยรวมแล้ว ยังถือเป็นการแกว่งตัวออกด้านข้าง ในกรอบสามเหลี่ยมระหว่าง1002 – 40 หรือระหว่างจุดต่ำสุดของสัปดาห์นี้ถึงจุดสูงสุดของสัปดาห์ที่แล้ว ... ก่อนที่จะปรับตัวทะลุ (ขึ้นหรือลง ??) กรอบสามเหลี่ยมในช่วงต้นปีหน้าต่อไป

หุ้นเด่น
TOP
ปรับตัวทะลุกรอบสามเหลี่ยม ภาพระยะวันขึ้นมาได้ รอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 77.50จุดสูงสุดวันอังคาร เป้าหมายหนึ่งถึงสองวัน79.00 – 79.50( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 76.25 )79 – 79.50

PTTCH
ปรับตัวทะลุกรอบสามเหลี่ยม ภาพระยะวันขึ้นมาได้ รอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 148.00จุดสูงสุดวันอังคาร เป้าหมายหนึ่งถึงสองวัน150.00 – 151.00( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 146.50 )

10 อันดับซื้อขายสูงสุด
IRPC เกิน 6.30 ขึ้น 6.40 – 6.50
TRUE เกิน 7 ขึ้น 7.10 – 7.20
TMB เกิน 2.38 ขึ้น 2.40 – 2.44
CPF เกิน 24.90 ขึ้น 25 – 25.25
TOP รายละเอียดใน “หุ้นเด่น”
SCB แกว่งตัว 101.50 – 105.50
PTTAR เกิน 38.50 ขึ้น 39.25 - 40
BANPU แกว่งตัว 766 – 782
IVL เกิน 56.75 ขึ้น 58.50 – 61.50
PTT แกว่งตัว 315 – 324

----------------------------------------------------------------------------------
E Finance : ต่างชาติยังชี้นำหุ้นไทยเดือน ม.ค.54
กิมเอ็งฯ ประเมินหุ้นไทยเดือน ม.ค.54 ยังอยู่ภายใต้อิทธิพลของนักลงทุนต่างชาติ ทั้งมีมุมมอง Neutral ถึง Negative ให้กรอบการเคลื่อนไหวของ SET Index ที่ 950-1,050 จุด พร้อมแนะนำ “Buy & Trade” โดย “ซื้อ” เมื่อดัชนีฯ ปรับตัวใกล้ระดับ 950 จุด และถือเงินสด 40% หุ้น 60% เพิ่ม PTTCH, TOP, BGH และ KSL แต่ Stop loss หุ้น HMPRO และ ถอด KBANK, AIT และ PTL ออกจากพอร์ตชั่วคราว* ส่งท้ายหุ้นไทย ธ.ค.53 คึกคัก แต่มีแรงขายช่วงปลายเดือน

ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ออกบทวิเคราะห์ ประเมินแนวโน้มและการลงทุนในตลาดหุ้นไทยเดือนมกราคม 2554 ดังนี้ ภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้นไทยเดือนธันวาคม 2553 ยังคงคึกคักต่อเนื่องจากเดือนก่อนหน้า โดยดัชนีตลาดฯ ปรับตัวขึ้นไปยืนเหนือระดับ 1,000 จุดได้อีกครั้ง จากแรงซื้อของนักลงทุนต่างประเทศ และสถาบันในประเทศ หลังจากผลการตัดสินไม่ยุบพรรคประชาธิปัตย์ ทำให้ความกังวลต่อความเสี่ยงทางการเมืองลดลง
นอกจากนี้อัตราแลกเปลี่ยนเงิน US$ ที่อ่อนค่าลง ทำให้เงินทุนเคลื่อนย้ายไหลเข้ามาลงทุนในตลาดทุนของภูมิภาคเอเชียและตลาด Commodity เพิ่มขึ้น ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวสูงขึ้นไปถึงระดับสูงสุดของเดือนที่ 1,040.72 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายหนาแน่น

อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งหลังของเดือน ดัชนีตลาดฯ เริ่มปรับลดลง จากแรงขายของนักลงทุนต่างประเทศ หลังจากเกิดความตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลี และความกังวลต่อนโยบายทางการเงินของธนาคารกลางจีนที่คาดว่าจะใช้นโยบายที่เข้มงวดขึ้น โดยการเงินสำรองของสถาบันการเงินและอาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย หลังจากอัตราเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นมาก ประกอบกับในช่วงท้ายของปี นักลงทุนเริ่มชะลอการลงทุนและบางส่วนเริ่มขายทำกำไร เพื่อปิดงบผลการดำเนินงานในช่วงปลายปี (Window Dressing)

โดยสรุปดัชนีตลาดหุ้นไทย ปิดทำการซื้อขาย (24/12/2553) ที่ระดับ 1,021.99 จุด เพิ่มขึ้นจากปลายเดือนที่ผ่านมา 1.68% ด้วยมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ย 34,920.63 ล้านบาทต่อวัน นักลงทุนต่างประเทศและสถาบันในประเทศเป็นผู้ซื้อสุทธิ 29,776.56 ล้านบาท และ 4,615.74 ล้านบาท ตามลำดับ ด้านบัญชีซื้อขายเพื่อบริษัทหลักทรัพย์ และนักลงทุนทั่วไปขายสุทธิ 2,019.43 ล้านบาท และ 32,372.87 ล้านบาท * ม.ค.54 นักลงทุนต่างชาติยังมีอิทธิพลในตลาดหุ้นไทย

สำหรับแนวโน้มการลงทุนในเดือนมกราคม 2554 ซึ่งเป็นเดือนแรกของปี KimEng คาดว่าบรรยากาศการลงทุนโดยรวมจะกลับมาคึกคักขึ้น หลังจากที่ชะลอตัวลงในช่วงปลายปีที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติจะยังคงเป็นกลุ่มนักลงทุนที่มีอิทธิพลต่อการลงทุนในตลาดหุ้นของภูมิภาค และตลาดหุ้นไทยมากที่สุด ทั้งนี้อัตราแลกเปลี่ยนเงิน US$ ที่ยังคงมีแนวโน้มอ่อนค่าลง จากการใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย ขณะที่อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจในเอเชีย

รวมทั้งไทยที่ขยายตัวในระดับสูง ยังสามารถดึงดูดเงินทุนเข้ามาได้อย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามปัญหาเงินเฟ้อทิ่คาดว่าจะสูงขึ้นจากภาวะเศรษฐกิจที่ขยายตัวสูงและปริมาณเงินทุนไหลเข้าจำนวนมาก จะทำให้หลายประเทศในภูมิภาค โดยเฉพาะจีน จะต้องดำเนินนโยบายทางการเงินและการคลังที่เข้มงวดขึ้น รวมทั้งปัญหาความขัดแย้งในคาบสมุทรเกาหลี จะทำให้ความเสี่ยงในการลงทุนในภูมิภาคนี้สูงขึ้น และอาจส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจกลับเข้ามาลงทุน ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่จะมีอิทธิพลต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากที่สุดเช่นกัน* มองกรอบการเคลื่อนไหวดัชนีฯ 950-1,050 จุด

ดังนั้น ทิศทางและบรรยากาศการลงทุนในช่วงเดือนมกราคม 2554 KimEng จึงยังคงมีมุมมอง Neutral ถึง Negative กรอบการเคลื่อนไหวของ SET Index อยู่ที่ 950-1,050 จุด ด้วยปริมาณการซื้อขายสูงขึ้นจากเดือนธันวาคม กลยุทธ์การลงทุนและคำแนะนำ “Buy & Trade” โดย “ซื้อ” เมื่อดัชนีปรับตัวใกล้ระดับ 950 จุด

สำหรับปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการลงทุน ได้แก่
1) แนวโน้มอัตราดอกเบี้ย (+/-) การตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยไทยจาก 1.75% เป็น 2.0% ผิดไปจากที่ KimEng คาดไว้ก่อนหน้าที่เชื่อว่า ธปท. จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้จนถึงกลางปี 2554 การเปลี่ยนแปลงท่าทีดังกล่าวของคณะกรรมการนโยบายทางการเงิน แสดงให้เห็นว่า ธปท. ให้ความสำคัญกับปัญหาเงินเฟ้อ ที่อาจสร้างแรงกดดันต่อระบบเศรษฐกิจในอนาคต และต้องการให้อัตราดอกเบี้ยในตลาดการเงินกลับเข้าสู่ระดับปกติโดยเร็ว

นอกจากนี้ ยังเป็นผลสะท้อนจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้นตามลำดับ ขณะที่นโยบายทางการเงินของสหรัฐฯ มีความชัดเจนมากขึ้น แม้ว่าตลาดการเงินระหว่างประเทศจะยังคงผันผวนจากปัญหาหนี้สาธารณะในยุโรป แต่ก็มีมาตรการรองรับเป็นรูปธรรม นอกจากนี้การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว ยังเป็นตัวสะท้อนว่า ธปท. จะพยายามควบคุมไม่ให้ปริมาณเงินทุนที่ไหลเข้ามาเป็นจำนวนมาก สร้างปัญหาฟองสบู่ให้เกิดขึ้นในเศรษฐกิจไทย

KimEng คาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินในครั้งถัดไป โดยอัตราดอกเบี้ยในปี 2553 จะปรับสูงขึ้นถึง 0.75% ถึง 1.0% โดยมีระดับสูงสุดที่ 2.75% ถึง 3.0% ซึ่งจะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยของสถาบันการเงินปรับสูงขึ้นในทิศทางเดียวกัน

2) การเมือง (+) ภายหลังคำวินิจฉัยคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ได้ข้อสรุปว่า กกต. มีอำนาจในการยื่นคำร้องแต่การยื่นคำร้องที่ล่าช้ากว่ากำหนด ศาลฯมีมติ 4 : 2 ให้คำร้องยุบพรรคตกไป ทำให้ความเสี่ยงจากประเด็นทางการเมืองลดลง นอกจากนี้ความเห็นของนายกอภิสิทธิ์ ต่อกรณีการยุบสภาพเพื่อเลือกตั้งทั่วไปที่ชัดเจนว่าการเลือกตั้งฯ อาจเกิดขึ้นภายในช่วงครึ่งแรกของปี 2554 แสดงให้เห็นว่าความเป็นไปได้และโอกาสที่พรรคร่วมรัฐบาลจะกลับมาเป็นรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง
ทำให้มุมมองทางการเมืองยังมีแนวโน้มที่สดใส เนื่องจากการดำเนินการของภาครัฐจะมีความต่อเนื่องโดยเฉพาะการแก้ไขและฟื้นฟูเศรษฐกิจ การลงทุนของรัฐบาล และนโยบายที่สำคัญอื่นๆ อาทิ ด้านโทรคมนาคม ด้านการเกษตร และการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ เป็นต้น สำหรับการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่พรรคเพื่อไทยจะยื่นขอเปิดอภิปรายในวันที่ 21 มกราคม 2554 คาดว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อรัฐบาล เนื่องจาก การอภิปรายส่วนใหญ่จะเน้นไปในเรื่อง เหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อกลางปีที่ผ่านมา

3) January Effect (+) ผลกระทบเดือนมกราคม (January Effect) ซึ่งเป็นการศึกษาข้อมูลในอดีตของพฤติกรรมการลงทุนของนักลงทุนประเภทสถาบัน (ต่างประเทศ) พบว่า ส่วนใหญ่จะกลับมาลงทุนเพิ่มในเดือนมกราคม หลังจากปรับพอร์ตโดยการขายเพื่อทำกำไรออกไปในช่วงปลายปี ทั้งนี้จากข้อมูลทางสถิติสำหรับตลาดหุ้นไทยพบว่าในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา นักลงทุนต่างประเทศจะขายหุ้นออกไปในเดือนธันวาคมและซื้อกลับเข้ามาในช่วงเดือนมกราคมของปีถัดไป มีสัดส่วนสูงถึง 60% และนักลงทุนประเภทสถาบันในประเทศ มีพฤติกรรมการลงทุนที่ตรงข้าม โดยจะซื้อสุทธิในช่วงเดือนธันวาคม และขายออกในเดือนมกราคม มีสัดส่วนถึง 70% ซึ่งอาจสามารถอธิบายได้ว่า การลงทุนในกองทุนประเภท LTF และ RMF ของผู้ลงทุนไทยจะเข้ามาในช่วงเดือนธันวาคม และขายกองทุนที่ครบกำหนดออกในเดือนมกราคม สำหรับในปี 2554 KimEng คาดว่ามีความเป็นไปได้สูงที่ผลกระทบเดือนมกราคมจะเกิดขึ้นในตลาดหุ้นไทย

4) เศรษฐกิจ (+) KimEng คาดว่าเศรษฐกิจไทยปี 2554 ขยายตัวที่ระดับ 4-4.5% ใกล้เคียงกับประมาณการ โดยเฉลี่ย consensus ที่ระดับ 4.3% ทั้งนี้แม้ว่าเงินบาทที่แข็งค่า ขณะที่เศรษฐกิจของสหรัฐและยุโรปที่ยังคงชะลอตัว จะทำให้ภาคการส่งออกขยายตัวในอัตราที่ลดลงจากปีที่ผ่านมา แต่ดุลการชำระเงินอยู่ในระดับเกินดุลที่ 2.5-3.0% ของ GDP แสดงให้เห็นว่าภาคการค้าระหว่างประเทศ ยังคงเป็นภาคที่มีความสำคัญต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจ

สำหรับการลงทุนจากภาคเอกชน จะเป็นอีกส่วนที่มีความสำคัญต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจ โดยคาดว่าจะขยายตัวในอัตรา 6.5-7.0% ทั้งนี้ แม้ว่าอัตราดอกเบี้ยในประเทศจะกลับมาเป็นทิศทางขาขึ้นก็ตาม แต่การใช้กำลังการผลิตในระดับสูง และเงินบาทที่แข็งค่า จะจูงใจให้ภาคเอกชนเริ่มกลับมาลงทุนรอบใหม่

5) กลุ่มธนาคารพาณิชย์ (+) Kim Eng คาดกำไรไตรมาส 4/53 ของกลุ่มธนาคารมีแนวโน้มลดลงจากไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานจะเพิ่มขึ้นสูงเป็นปกติในไตรมาสที่ 4 ของทุกปี จากการเบิกจ่ายตามงบประมาณ ประกอบกับธนาคารบางแห่งอาทิเช่น KTB SCB BAY และ SCIB ไตรมาสที่ 3 มีการรับรู้เงินปันผลรับจากกองทุนวายุภักษ์เข้ามาในขณะที่ไตรมาส 4 ไม่มีรายได้ดังกล่าว แต่รายได้หลักยังคง เติบโตต่อเนื่อง จากสินเชื่อที่ขยายตัวสูง ส่วนต่างดอกเบี้ยรับที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น และ รายได้ค่าธรรมเนียมที่เติบโตต่อเนื่อง ประกอบกับค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองฯที่มีแนวโน้มลดลงจากคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีขึ้น ดังนี้เราเชื่อว่ากำไรสุทธิไตรมาส 4/53 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน* หวังเม็ดเงินต่างชาติไหลเข้าต่อเนื่อง Key Focus this month

ในเดือนแรกของปี 2554 เราประเมินว่าดัชนีฯ จะยังแกว่งตัวผันผวนในกรอบ 950 –1,050 จุด โดยพิจารณาจากปัจจัยหลายๆ ประการไม่ว่าจะเป็นความกังวลต่อการใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้นเพื่อควบคุมปัญหาเงินเฟ้อของประเทศจีน, การรับมือเงินทุนไหลเข้าของประเทศในเอเชีย, ความกังวลปัญหาความขัดแย้งในคาบสมุทรเกาหลี, ความกังวลปัญหาหนี้สินในยุโรปและมาตรการในการควบคุมอัตราเงินเฟ้อในประเทศ หลังจากที่ราคาพลังงานและอาหารปรับตัวสูงขึ้นมาจากปีก่อนมาก

สำหรับปัจจัยบวกที่อาจผลักดันราคาหุ้นจะมาจากค่าเงินดอลลาร์ซึ่งหากยังอ่อนค่าลงก็จะส่งผลให้กระแสเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติยังคงเข้ามาในตลาดฯ ได้ในปีนี้ เราประเมินการปรับราคา LPG และการประมูลโรงไฟฟ้าที่จะประกาศผลในเดือนนี้จะยังทำให้หุ้นกลุ่มโรงกลั่นและกลุ่มไฟฟ้ามีความคึกคักต่อเนื่องในเดือนนี้ ในขณะที่หุ้นกลุ่มอสังหาฯ จะได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยที่เริ่มกลับมาเป็นขาขึ้น เราคงสัดส่วนการลงทุนในหุ้น 60% และ KECASH 40% เช่นเดิม

เรายังคงใช้กลยุทธ์เน้นลงทุนรายตัว หรือ Selective Buy ในเดือนนี้ โดยเลือกหุ้นที่ผลประกอบการในปีนี้มีแนวโน้มเติบโตแข็งแกร่งและยังมีราคาต่ำกว่าราคาตามปัจจัยพื้นฐานอยู่ ได้แก่ BANPU, SCC, PTTCH, SCB, TOP, BGH, KSL, และ SGP

อย่างไรก็ตาม สำหรับ พอร์ตการลงทุน KECASH 40%, หุ้น 60%, แบ่งพอร์ตหุ้น (60%) ออกเป็น Buy and Hold 90%, Speculative Buy 10%, เพิ่ม: PTTCH, TOP, BGH และ KSL; Stop loss HMPRO; ถอด KBANK, AIT และPTL ออกจากพอร์ตชั่วคราว* เพิ่ม PTTCH-TOP-BGH-KSL Stock and Portfolio Idea

เพิ่ม PTTCH เน้นถือลงทุน การเดินเครื่องเต็มกำลังการผลิตของโครงการ PTTPE (cracker กำลังการผลิต 1 ล้านตัน/ปี) หลังโรงแยกก๊าซ 6 เดินเครื่องได้เต็มที่ในปีหน้า จะทำให้ปริมาณการจำหน่ายโอเลฟินส์เติบโต 23% เป็น 2.7 ล้านตัน/ปี

คาดผลการดำเนินงานในปีหน้าจะมีการเติบโตสูงที่สุดในกลุ่มปิโตรเคมีถึง 76% yoy เป็น 19,018 ล้านบาท หรือ 12.67 บาท/หุ้น

การใช้ก๊าซเป็นวัตถุดิบหลักถึง 85% ทำให้บริษัทได้เปรียบเรื่องต้นทุนเมื่อราคาน้ำมันดิบเป็นขาขึ้นเช่นปัจจุบัน ซึ่งส่งผลให้ margin ของบริษัทดีกว่าบริษัทที่ใช้แนฟทาเป็นวัตถุดิบ

ราคาหุ้นที่ยังถูกอยู่ซื้อขายอยู่ที่ PER 11.2 เท่าของปีหน้า เมื่อเทียบกับบริษัทปิโตรเคมีในภูมิภาคที่ซื้อขายที่ PER 14 เท่า

เพิ่ม TOP เน้นถือลงทุน คาดการณ์ว่าคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติที่จะมีการประชุมกันในวันที่ 30 ธันวาคมจะมีการสรุปแนวทางการปรับโครงสร้างราคา LPG หน้าโรงกลั่น ก็เป็นปัจจัยบวกหนุนราคาหุ้น TOP ซึ่งเป็นบริษัทซึ่งมีการผลิต LPG มากที่สุดในบรรดาโรงกลั่นได้ประโยชน์

เราประเมินผลกำไรส่วนเพิ่มประมาณ 938-1,406 ล้านบาทหรือ 0.46-0.69 บาท/หุ้น และราคาเป้าหมายเพิ่มขึ้น 9 บาทหากมีการปรับราคาจริงค่าการกลั่นและ spread margin ของปิโตรเคมีที่ฟื้นตัวขึ้นมาอย่างมากในไตรมาสนี้ และราคาน้ำมันดิบที่ปรับเพิ่มขึ้นมาในระดับ 90 เหรียญ/บาร์เรล (จากไตรมาส 3/53 ที่ราคาน้ำมันดิบปิดที่ 78 เหรียญ/บาร์เรล) ก็จะส่งผลบวกกับธุรกิจโรงกลั่นในแง่ของกำไรจากสต็อกน้ำมันด้วย

เพิ่ม BGH เน้นถือลงทุน ภายหลังการเข้าซื้อกิจการของ HNC ส่งผลให้จำนวนเตียงของ BGH เพิ่มขึ้นจากเดิม 57% เป็น 4,579 เตียง ซึ่งกลายเป็นโรงพยาบาลขนาดใหญ่อันดับ 2 ในเอเชียแปซิฟิก การเข้าซื้อ HNC ในครั้งนี้ จะส่งผลให้ BGH มี ร.พ. ในเครือเพิ่มอีก 8 แห่ง รวมกับเดิมที่มีอยู่ 19 แห่ง เป็น 27 แห่ง และจะมีจำนวนแพทย์,พยาบาล มากสุดในอุตสาหกรรม รวมทั้งจะทำให้มีฐานลูกค้าครอบคลุมทุกระดับตั้งแต่ระดับล่าง-บน จากเดิมที่เน้นเฉพาะระดับกลาง-บน จากข้อมูลในปี 2552 หากรวมรายได้ของกลุ่มพญาไทและเปาโล เข้าในงบการเงินของ BGH พบว่าจะทำให้รายได้ของ BGH เพิ่มขึ้น 46% เป็น 3.3 หมื่นล้านบาท และมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 49% เป็น 3.3 พันล้านบาท ภายใต้ประมาณการใหม่ จะทำให้มูลค่าเหมาะสมของหุ้น BGH ที่ประเมินด้วยวิธี DCF (WACC 10.8%) ปรับเพิ่มขึ้นจาก 48.66 บาท เป็น 56.50 บาท

เพิ่ม KSL เน้นเก็งกำไร ปรับคาดการณ์อ้อยเข้าหีบปี 53/54 ขึ้น 18.5% เป็น 5.2 ล้านตัน จากความพร้อมของโรงงานบ่อพลอยจะทำให้สามารถหีบอ้อยได้เพิ่มขึ้น ปรับกำไรสุทธิปี 53/54 ขึ้น 13% เป็น 904 ล้านบาท โต 398% จากปีก่อน ราคาน้ำตาลที่ปรับขึ้นมาต่อเนื่องอยู่ที่ 33.98 เซนต์/ปอนด์ ในช่วงปลายเดือนธันวาคม สูงสุดในรอบ 30 ปีจะเป็นประโยชน์กับผลกำไรของบริษัทในปีนี้

Stop loss HMPRO HMPRO ถูกขายออกจากพอร์ตทันที เพื่อรักษาวินัยการลงทุน หลังราคาหุ้นปรับตัวลงเกินระดับ Stop Loss ที่ 5% ในเดือนที่ผ่านมา
ถอด KBANK, AIT และ PTL ออกจากพอร์ตชั่วคราว เราตัดสินใจถอด KBANK, AIT และ PTL ออกจากพอร์ตชั่วคราว
----------------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย
FSS : เริ่มมองหาจังหวะขายทำกำไรบ้างเมื่อตลาดดีดขึ้น ส่วนจะซื้อเพิ่มให้รอลง
แนวโน้ม: แรงซื้อจากเม็ดเงิน LTF และ RMF ชุดใหม่เริ่มเข้ามาตามคาด หลังเข้าสู่ช่วงท้ายก่อนสิ้นปี โดยเมื่อวานนี้แรงซื้อหลักเป็นของกองทุนในประเทศ
ขณะที่นักลงทุนต่างประเทศมียอดซื้อเพียงเล็กน้อย ทำให้ FSS ยังคาดว่า SET จะสามารถดีดกลับขึ้นมาเคลื่อนไหวเป็นบวกให้เห็นได้เป็นระยะๆ แต่ดัชนีคงขยับ ขึ้นได้ไม่ไกลมากนัก และยังมีสิทธิแกว่งตัวผันผวนย้อนกลับเป็นลบให้เห็นได้อยู่ ดังนั้นเราจึงยังแนะนำให้เน้นเป็นเทรดดิ้งสั้นๆ ตามรอบ โดยควรแบ่งส่วนขายทำ กำไรเมื่อตลาดขยับขึ้นอยู่ ขณะที่จังหวะเลือกหุ้นเข้าซื้อยังแนะนำให้รอช่วงตลาด ปรับตัวลงไปเคลื่อนไหวในด้านลบเป็นหลัก
กลยุทธ์: หลังทยอยเข้าซื้อเมื่อตลาดปรับตัวลงไปแล้ว ช่วงนี้ถ้าดัชนีดีดขึ้นควร แบ่งส่วนขายทำกำไรบ้าง และยังไม่แนะนำให้ซื้อไล่ราคา โดยเน้นรอซื้อเมื่ออ่อน
ตัวลงดีกว่า สำหรับหุ้นที่น่าสนใจได้แก่ BANPU, BIGC, KTB, PTL, SEAFCO, AP, CSL, DELTA, DRT, LPN, KBANK, SCB, TASCO, AMATA, PS, SPALI, CK, STEC และ TTW เป็นต้น
ประเด็นสำคัญวันนี้
• (+) โค้งสุดท้ายของ LTF&RMF วานนี้กองทุนในประเทศกลับมาซื้อถึง 1.89 พันล้านบาท ทำให้ยอดสะสมของเดือน ธ.ค. เป็นซื้อ 6.50 พันล้านบาท น้อยกว่า เดือน ธ.ค. ของทุกปีที่ซื้อเฉลี่ย 1.3 หมื่นล้านบาท ในขณะที่ต่างชาติยังคงซื้อ ต่อเนื่องทั้งที่เดือน ธ.ค. มักขาย แต่ล่าสุดต่างชาติมียอดซื้อสะสมในเดือนนี้ 3 หมื่นล้านบาท
(-) เราคาดว่า January effect จะเกิดในระยะเวลาอันสั้นมาก โดยภาพน่าจะ ใกล้ในช่วงต้นปีนี้คือดัชนียังปรับขึ้นไปต่อได้ภายในระยะเวลาไม่ถึงสัปดาห์
หลังจากนั้นคาดว่ามีแรงเทขายจาก LTF & RMF ที่ทยอยครบกำหนดขายคืนได้ ซึ่งมีกำไรทุกกอง โดยเฉพาะ LTF ล็อตสุดท้ายที่จะขายได้ มีมูลค่า 4.9 หมื่นล้าน บาท (แต่คงไม่ได้ขายทุกคน) และจากสถิติพบว่ากองทุนในประเทศขายหนักสุด ในเดือน ม.ค. และ มี.ค. อย่างไรก็ตาม เรายังมองการปรับลงของตลาดเป็นโอกาส ในการซื้อจากเป้าหมายดัชนีที่ 1,300 จุดในปีหน้า กลุ่มที่น่าสนใจเป็นกลุ่มแบงก์ โภคภัณฑ์ (Hard&Soft) รับเหมา ค้าปลีก
• (+) กลุ่มรับเหมา ครม.ไฟเขียวโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินช่วง"หัวลำโพง- บางแค"และ"บางซื่อ-ท่าพระ" ระบุรัฐลงทุนค่างานโยธา ส่วนเอกชนลงทุนค่างาน ระบบไฟฟ้า-ขบวนรถรวมทั้งการบริหารการเดินรถและซ่อมบำรุงตามมาตรฐานการ ให้บริการ และ ครม.ยังเพิ่มกรอบวงเงินค่าจ้างที่ปรึกษา 448 ล้านบาท
• (+) TRUE: ครม.เห็นชอบให้กสท. ยกเลิกซื้อ Hutch การไม่ซื้อหุ้น Hutch (จาก Hutchison ฮ่องกง) อย่างเป็นทางการของ กสท. เนื่องจากฮัทชิสันฯ ไม่ลด ราคาลงให้ตามที่ กสท. ต่อรองที่ประมาณ 4 พันล้านบาท ทำให้เป็นประเด็นในการ เก็งกำไร TRUE เพราะไม่มีคู่แข่งแล้ว หากซื้อได้ TRUE จะยืดอายุการดำเนินงาน ออกไปได้อีก 2 - 12 ปี อย่างไรก็ตาม ยังมีประเด็นทางกฎหมาย ว่าอาจขัดกับ พ.ร.บ. ร่วมทุน และยังไม่มีรายละเอียดแน่ชัด (เช่นเงินลงทุนที่ใช้ซื้อและพัฒนาเครือข่าย รวมทั้งการรับภาระหนี้จาก Hutch เป็นต้น) เรื่องจึงอาจไม่ง่ายนักนักวิเคราะห์ของเรายังให้คำแนะนำตามพื้นฐานเป็น ‘ขาย’ แต่ในแง่ Technical ในระยะสั้นนี้ราคายังปรับขึ้นต่อได้ มีโอกาสไปทดสอบบริเวณ 7.20 – 7.40 บาท ส่วนแนวรับอยู่ที่ 6.80 บาท นักลงทุนที่เก็งกำไรต้องใช้ความระมัดระวังด้วย
• Fund Flow วานนี้ยังไหลเข้าตลาดหุ้นภูมิภาคต่อเนื่องเป็นวันที่ 20 ติดต่อกันปริมาณการซื้อขายทรงตัวเมื่อเทียบกับวันก่อนหน้านี้ กระแสเงินทุนต่างชาติช่วงนี้ไหลเข้าตลาดหุ้นเกาหลีและไต้หวันต่อเนื่องในปริมาณที่เท่าๆ กันตลอดช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา แม้ค่าเงินเอเชียจะทรงตัว แสดงให้เห็นว่าแนวโน้มอัตราดอกเบี้ย
และอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจในเอเชียยังเป็นเสน่ห์ดึงดูใจกระแสเงินทุนจากต่างชาติต่อเนื่องในปีหน้า หุ้นกลุ่มสินค้าโภณฑ์ยังได้รับความสนใจในการลงทุน
มากที่สุดในช่วงนี้ เรายังแนะนำสะสมหุ้นกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีต่อเนื่อง


ข่าวภายในประเทศ
สื่อสาร-TRUE: ครม.เห็นชอบให้กสท. ยกเลิกซื้อ Hutch ที่ประชุมครม.อนุมัติให้บมจ. กสท โทรคมนาคม ยกเลิกโครงการเข้าซื้อกิจการ CDMA
ในส่วนกลาง โดยการเข้าซื้อทรัพย์สิน จากบริษัท Hutchinson Telecom. Inter. (บริษัทฮัทชิสัน) หลังจากที่ประชุม ครม. เมื่อวันที่ 7 เม.ย. 2010 ได้ อนุมัติให้ กสท (CAT) เข้าซื้อกิจการฮัทช์ ในราคา 7.5 พันล้านบาท กระทรวงไอซีที ในฐานะต้นสังกัดของ CAT จึงนำเสนอเรื่องดังกล่าวให้ ครม. มีมติ รับรอง ส่วนข้อเสนออื่นๆ เกี่ยวกับการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ CDMA ของ กสท ที่เสนอไปให้พิจารณาพร้อมกันนี้ ยังไม่ได้รับอนุมัติ ได้แก่การขออนุมัติให้ดำเนินการยกเลิกสัญญาที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจ CDMA ในส่วนกลาง ได้แก่ สัญญาทำการตลาดฯ กับ บริษัท ฮัทชิสัน ซีเอที ไวร์
เลส มัลติมีเดีย (บ.ร่วมทุนระหว่าง Hutchison กับ กสท. ในสัดส่วน 74: 26) และสัญญาเช่าและว่าจ้างให้ปรับปรุง เปลี่ยน ซ่อมแซม บำรุงรักษา และ
ดูแลจัดการเครื่อง และอุปกรณ์วิทยุคมนาคมระบบเซลลูล่า Digital AMPS 800 Band A กับบริษัท บีเอฟเคที (Hutchison ถือหุ้นทั้งหมด) รวมถึงรูปแบบในการดำเนินธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่รูปแบบใหม่ ของกสท. (Source: มติชน 28 ธ.ค.10) ความเห็น: แสดงการไม่ซื้อหุ้น Hutch (จาก
Hutchison ฮ่องกง) อย่างเป็นทางการของ CAT เนื่องจากฮัทชิสันฯ ไม่ลดราคาลงให้ตามที่กสท. (ตามความเห็นของรมว.ICT) ต่อรองที่ประมาณ 4
พันล้านบาท โดย TRUE มีแผนฯ เข้าซื้อ Hutch แทน และเป็นประเด็นเก็งกำไรต่อ TRUE จากความคาดหวัง หากซื้อได้ จะทำให้บริษัทยืดอายุการ
ดำเนินงานออกไปได้อีก 2-12 ปี หากกสท.ยืดอายุสัญญา Marketing contract ของ Hutch ออกไปอีก 5-10 จากเดิมที่จะหมดอายุปี 2015 และสัมปทานเดิมของ TRUE จะหมดอายุปี 2013 อย่างไรก้ตาม ยังมีประเด็นทางกฎหมาย ว่าอาจขัดกับพ.ร.บ.ร่วมทุน และยังไม่มีรายละเอียดแน่ชัด (เช่น เงินลงทุนที่ใช้ซื้อและพัฒนาเครือข่าย รวมทั้งการรับภาระหนี้จาก Hutch เป็นต้น) จึงยังอยู่ใน Rating “ขาย
คลังเบรกบอนไซปตท.หวั่นผล”ได้ไม่คุ้มเสีย” หนุนควบ PTTAR-PTTCH ขยายลงทุนถ่านหิน คลังลั่นแผนแก้ กม. แข่งขันทางการค้าเพื่อคุม
ปตท. ขอศึกษาผลดีและผลเสียดูก่อนหากรัฐทำต้องระวังได้ไมคุ้มเสีย ประธานบอร์ดหนุนแผนควบรวมบริษัทลูก PTTAR-PTTCH ประกาศดัน ปตท. ขึ้น
บริษัทชั้นนำโลก ขยายการลงทุนต่างประเทศมากขึ้น ล่าสุด ปตท. ดอดเจรจาร่วมทุนโรงไฟฟ้าพลังน้ำต่างประเทศ มั่นใจได้ข้อสรุปภายในไตรมาสแรกปีหน้า พร้อมเดินหน้าแผนขยายการลงทุนเหมืองถ่านหินเพิ่ม (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 29-12-2010)
HTECH แจ่มใสปีนี้ทะลุ 350 ล้านยานยนต์ขยายตัว HTECH การันตีรายได้ปีนี้เกิน 350 ล้านบาท หลังอุตสาหกรรมยานยนต์เติบโตต่อเนื่อง ส่วนปี
หน้าตั้งเป้ากวาดรายได้ 450 ล้านบาท พร้อมเพิ่มสัดส่วนต่างประเทศเป็น 25% จาก 10% ประกอบกับกำลังการผลิตใหม่จากโรงงานฟิลิปปินส์หนุนเชื่อเริ่มเดินเครื่องได้วันที่ 15 ม.ค.54 (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 29-12-2010)
RS สัญญาณดีปันผลรอบ 4 ปี เฮียฮ้อเสือซุ่มเก็บ RS ไม่หยุด ปี'53 ทยอยซื้อหุ้นทะลุ 70 ล้านบาท ราคาหุ้นยังถูกแถมปัจจัยบวกรอหนุนเพียบ วงการชี้กำไรปีนี้ทะลุ 300 ล้านบาท ทุบสถิติตั้งแต่เข้าเทรดในตลาดรอบ 8 ปี แถมหวนคืนปันผลครั้งแรกรอบ 4 ปี เชื่อจ่ายขั้นต่ำ 16 สตางค์ สูงร่วม 6% (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 29-12-2010)
----------------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ตปท.
ข่าวต่างประเทศ
จีน: กระทรวงพาณิชย์จีนลดโควต้าส่งออกแร่ธาตุหายากลง 11% ในปีหน้า กระทรวงพาณิชย์จีน ประกาศลดปริมาณการส่งออกแร่ธาตุหายากรอบแรกของปี 2554 ลง 11% มาอยู่ที่ 14,446 ตัน เมื่อเปรียบเทียบกับยอดการส่งออกในรอบแรกของปีนี้ที่ 16,304 ตัน ทั้งนี้ จีนเป็นแหล่งผลิตแร่ธาตุหายากในสัดส่วนถึง 97% ของการผลิตแร่ธาตุหายากทั่วโลก สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า บริษัท 31 แห่งได้รับการอนุมัติให้เป็นผู้ส่งออกแร่ธาตุหายากในปี 2554 ซึ่งมีทั้งบริษัทของจีนและบริษัทที่ได้รับเงินทุนจากต่างประเทศ (ที่มา: อินโฟเควสท์ 28-12-2010)
จีน: จีนเผยมูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกและไอทีเพิ่มขึ้น 26.7% ในเดือนพ.ย. กระทรวงอุตสาหกรรมและ เทคโนโลยีสารสนเทศของจีน (MIIT) เปิดเผยว่า ยอดส่งออกของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกและไอทีขยายตัว 26.7% ในเดือนพฤศจิกายน มากกว่าเดือนตุลาคมอยู่ 11.8%ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน มูลค่าการส่งออกและนำเข้ารวมของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกและไอทีอยู่ที่ 9.118 แสนล้านหยวน เพิ่มขึ้น 32.8% เมื่อเทียบรายปี หรือมีสัดส่วน 34.1% ของมูลค่าการนำเข้าและส่งออกรวมทั้งหมดของประเทศ (ที่มา: อินโฟเควสท์ 28-12-2010)
เอเชีย: เวียดนามตั้งเป้าภาคการเกษตรขยายตัว 3.5-3.8% ภายในช่วง 5 ปีหน้า เหงียน ซิน ฮัง รองนายกรัฐมนตรีเวียดนามกล่าวในการประชุมงานของกระทรวงเกษตรและการพัฒนาชนบท ว่า เวียดนามจะพยายามผลักดันให้ภาคการเกษตรขยายตัวได้ในอัตราเฉลี่ย 3.5-3.8% ต่อปี ภายในช่วงปี 2554-2558 นายฮังกล่าวเสริมว่า เขามีความพอใจต่อการขยายตัวของภาคการเกษตรในช่วงปี 2549-2553 ซึ่งมีส่วนช่วยผลักดันให้ประเทศบรรลุเป้าหมายการพัฒนาชนบท การกำจัดความหิวโหย การลดปัญหาความยากจน และการส่งเสริมคุณภาพชีวิต (ที่มา: อินโฟเควสท์ 28-12-2010)
เอเชีย: กระทรวงแรงงานญี่ปุ่นเผยค่าแรงรายเดือนโดยเฉลี่ยลดลงครั้งแรกในรอบ 9 เดือนในเดือนพ.ย. กระทรวงแรงงานญี่ปุ่น เปิดเผยว่าค่าแรงรายเดือนโดยเฉลี่ยของบริษัทญี่ปุ่นที่มีพนักงานอย่างน้อย 5 คนปรับตัวลดลง 0.2% แตะที่ 277,585 เยน/คนในเดือนพฤศจิกายนปีนี้เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ซึ่งลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 9 เดือน อันเนื่องมาจากเงินโบนัสฤดูหนาวที่ร่วงลงอย่างหนัก (ที่มา: อินโฟเควสท์ 28-12-2010)
เอเชีย: ญี่ปุ่นเผยอัตราการว่างงานทรงตัวที่ 5.1% ในเดือนพฤศจิกายน กระทรวงกิจการภายในและการสื่อสารของญี่ปุ่นเปิดเผยว่า อัตราการว่างงานของญี่ปุ่นยังคงทรงตัวอยู่ที่ระดับ 5.1% ในเดือนพฤศจิกายน โดยมียอดผู้ว่างงานเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ในขณะที่จำนวนผู้หางานทำปรับตัวสูงขึ้นรายงานกระทรวงฯ ระบุว่า ถึงแม้ว่าอัตราการว่างงานจะยังคงไม่เปลี่ยนแปลง แต่ก็เป็นตัวเลขที่สูงสำหรับประเทศญี่ปุ่นและจำเป็นที่ทางการญี่ปุ่นจะต้องจับตาดูสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยอัตราการว่างงานได้เพิ่มขึ้นจาก 5.0% เป็น 5.1% ตั้งแต่เดือนตุลาคม (ที่มา: อินโฟเควสท์ 28-12-2010)
เอเชีย: ญี่ปุ่นเผยดัชนี CPI เดือนพ.ย.ลดลง 0.5% บ่งชี้ญี่ปุ่นยังเผชิญปัญหาเงินฝืด กระทรวงฝ่ายกิจการภายในประเทศและการสื่อสารของญี่ปุ่นเปิดเผยในวันนี้ว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) พื้นฐานเดือนพ.ย. ซึ่งไม่นับรวมราคาในหมวดอาหาร ลดลง 0.5% จากปีที่แล้ว ทำสถิติลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 21 ซึ่งย้ำให้เห็นว่าแรงกดดันที่เกิดจากภาวะเงินฝืดยังคงส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ภายในประเทศ อย่างไรก็ตาม จังหวะการลดลงของดัชนี CPI พื้นฐานเดือนพ.ย.ชะลอตัวลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับเดือนต.ค.ที่ร่วงลง 0.6% และลดลงน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ที่สำนักข่าวเกียวโดสำรวจความคิด เห็นคาดการณ์ว่า จะร่วงลง 0.6% (ที่มา: อินโฟเควสท์ 28-12-2010)
เอเชีย: เกาหลีใต้เตรียมเก็บภาษีผลิตภัณฑ์เกษตร 23 รายการในปี 2554 กระทรวงยุทธศาสตร์และการคลังเกาหลีใต้เปิดเผยว่า เกาหลีใต้จะใช้มาตรการเก็บภาษีผลิตภัณฑ์ด้านการเกษตร 23 รายการในปีหน้า เพื่อปกป้องกลุ่มผู้ผลิตในระดับท้องถิ่นจากการนำเข้าสินค้าราคาถูกจำนวนมาก สำนักข่าวยอนฮัพรายงานว่า จะมีการใช้มาตรการดังกล่าวกับผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น โสม ถั่วแดง ถั่วลิสง ถั่วเขียว บัควีต และธัญพืชหลายชนิด เช่น ข้าวบาร์เลย์ ข้าวโพด ข้าวสาลี และข้าวโอ๊ต (ที่มา: อินโฟเควสท์ 28-12-2010)
----------------------------------------------------------------------------------

Code 224 : จับตากลุ่มพลังงานดันดัชนี หุ้นพลังงานสุดแจ่ม

วันอังคารที่ 28 ธันวาคม 2553

ATT Code : จับตากลุ่มพลังงานดันดัชนี หุ้นพลังงานสุดแจ่ม!!
ปัจจัยบวกรุมหนุน หลังราคาน้ำมัน-ถ่านหินพุ่งทำสถิติใหม่ต่อเนื่อง พร้อมดันค่าการกลั่น-สเปรดปิโตรเคมีพุ่งขึ้นตาม ขณะที่รัฐเตรียมปรับโครงสร้างราคา LPG ปลดแอกกลุ่ม PTT หลังต้องแบกภาระชดเชยมานาน ด้านนักวิเคราะห์เชื่อพลังงาน-ปิโตรเคมีจะกลับมานำตลาด แนะนำซื้อ PTT -PTTEP-TOP-IRPC-PTTCH-PTTAR-BANPU และ AGE
----------------------------------------------------------------------------------
MARKET WAVE Analysis
28 ธค. 53 (-2.53 จุด) โกมล พงศ์วิญญู เลขทะเบียน 18338

ต่ำกว่า 1016 ปรับตัวลง 1002 – 05 จุด
แนวโน้มในวันอังคารนี้ถ้าปรับตัวลง ต่ำกว่า 1016 จุด ซึ่งนอกจากจะเป็นการปรับตัวลงต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ย 25 วันแล้ว ยังถือเป็นการเกิด“สัญญาณขาย” ในเครื่องมือ Point & Figureอีกด้วย ดัชนีจะมีเป้าหมายในการปรับตัวลงแถว1002 – 05 ใกล้จุดต่ำสุดของสัปดาห์ที่แล้ว

และถ้ามีการปรับตัวลง ต่ำกว่า 1000 จุด จะถือเป็นการเกิด “สัญญาณขาย” อีกครั้ง ในเครื่องมือ Point & Figure ดัชนีจะมีแนวโน้มในการปรับตัวลงแถว 950 – 970 จุด ซึ่งเป็นบริเวณเป้าหมายตามเครื่องมือ Point & Figure และแนวรับตามธรรมชาติของเส้นค่าเฉลี่ย 25 สัปดาห์

หุ้นเด่น
SAMART
กำลังปรับตัวในกรอบสามเหลี่ยม ภาพระยะสัปดาห์ รอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 8.75 กรอบบนของสามเหลี่ยม เป้าหมายระยะสัปดาห์9.15 – 9.65( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 8.30 )

10 อันดับซื้อขายสูงสุด
TMB เกิน 2.32 ขึ้น 2.34 – 2.36
TRUE ต่ำกว่า 6.55 ลง 6.20 - 6.40
PTT ต่ำกว่า 315 ลง 305 – 310
ADVANC ปรับตัวลง 75 – 80
PTTEP ต่ำกว่า 163.50 ลง 157 – 160
PTL เกิน 38.25 ขึ้น 40.50 – 41.50
IRPC เกิน 5.80 ขึ้น 5.90 – 6
IVL แกว่งตัว 54 – 56.50
CPF แกว่งตัว 24.30 – 24.80
BANPU แกว่งตัว 766 – 780

----------------------------------------------------------------------------------
E Finance : จับตากลุ่มพลังงานดันดัชนี
หุ้นพลังงานสุดแจ่ม!! ปัจจัยบวกรุมหนุน หลังราคาน้ำมัน-ถ่านหินพุ่งทำสถิติใหม่ต่อเนื่อง พร้อมดันค่าการกลั่น-สเปรดปิโตรเคมีพุ่งขึ้นตาม ขณะที่รัฐเตรียมปรับโครงสร้างราคา LPG ปลดแอกกลุ่ม PTT หลังต้องแบกภาระชดเชยมานาน ด้านนักวิเคราะห์เชื่อพลังงาน-ปิโตรเคมีจะกลับมานำตลาด แนะนำซื้อ PTT -PTTEP-TOP-IRPC-PTTCH-PTTAR-BANPU และ AGE

หุ้นกลุ่มพลังงานกลับมาเป็นพระเอกของตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง หลังจากที่ห่างหายไปพักใหญ่และปล่อยให้กลุ่มแบงก์ดันดัชนีอยู่ฝ่ายเดียว แต่ ณ เวลานี้หุ้นพลังงานกลับแล้ว..อย่าได้กะพริบตาเป็นอันขาด!!

ปัจจัยที่ทำให้หุ้นพลังงานกลับมาโดดเด่นอีกครั้ง มาจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับตัวสูงขึ้นทำสถิติใหม่ต่อเนื่อง โดยเฉพาะราคาน้ำมันดิบ และราคาถ่านหิน ซึ่งการปรับขึ้นของราคาโภคภัณฑ์ดังกล่าวทำให้ ค่าการกลั่นและส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีปรับตัวเพิ่มขึ้นตาม ส่งผลดีกับหุ้นโรงกลั่น ปิโตรเคมี ด้วย นอกเหนือจากพลังงานถ่านหิน และน้ำมันที่ได้รับผลดีโดยตรงอยู่แล้ว

นอกจากนี้การที่รัฐบาลจะพิจารณาปรับโครงสร้างราคา LPG ใหม่ภายในสัปดาห์นี้จะทำให้ผู้ประกอบการอย่าง PTT ได้รับผลดีชัดเจน เนื่องจาก PTT เป็นผู้แบกรับภาระในการนำเข้า LPG ค่อนข้างมาก ซึ่งหากมีการปรับโครงสร้างราคาใหม่จะส่งผลให้ภาระของ PTT ลดลงไปด้วย สำหรับหุ้นพลังงานที่น่าสนใจลงทุนประกอบด้วย PTT- PTTEP- TOP- PTTCH-IRPC-PTTAR-BANPU และ AGE

***** ธนชาตมองสัปดาห์นี้พลังงานนำตลาด
บทวิเคราะห์บล.ธนชาต ระบุว่า ในสัปดาห์นี้คาดว่าหุ้นพลังงานจะเป็นกลุ่มนำตลาด แม้ว่าสัปดาห์ที่แล้วภาพโดยรวมอ่อนแอเนื่องจากมีแรงขายหุ้นใหญ่ PTTEP และ PTT ซึ่งคาดว่าสัปดาห์นี้จะฟื้นตัวขึ้นได้ เนื่องจากราคาน้ำมันดิบที่พุ่งขึ้นแรงเมื่อสัปดาห์ที่แล้วทำยอดสูงสุดใหม่ โดยราคาล่วงหน้าในตลาด NYMEX ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ US$91.51/bbl หรือเพิ่มขึ้น 4% และถ้าสิ้นปีนี้ราคายืนเหนือระดับ US$90/bbl ในเดือนม.ค.11 มีแนวโน้มที่จะขึ้นต่อถึงระดับ US$97/bbl ซึ่งน่าจะเป็นปัจจัยหนุนให้หุ้นพลังงานจะยังคงเป็นกลุ่มนำตลาดขึ้นได้ในสัปดาห์นี้

ทั้งนี้ กรอบความเคลื่อนไหวของดัชนีกลุ่มพลังงานคาดว่าจะแกว่งตัวระหว่าง 20800-21800 จุด โดย IRPC เป็นหุ้นที่มีแนวโน้มเป็นบวก ราคามีทิศทางขึ้นแข็งแกร่งที่สุดในกลุ่ม ความเคลื่อนไหวของราคาในสัปดาห์นี้ระหว่าง 5.60-6.10 บาท (+7%) ถัดมาคือ BCP เป็นหุ้นที่ราคาเคลื่อนไหวแคบระหว่าง 13.50-15.50 บาท เป็นเวลามากกว่า 1 ปี และเริ่มขึ้นแรงในเดือน ธ.ค. นี้ ทำให้แนวโน้มระยะกลางมีโอกาสที่จะขึ้นแรงได้ต่อเนื่อง และมีเป้าหมายทางเทคนิคที่ระดับ 21 บาท ระยะสัปดาห์คาดว่าจะขึ้นทดสอบแนวต้าน 18.50 บาทได้ (+4%)

สำหรับแรงขายของ PTTEP คาดว่าจะมีไม่มากนักและเป็นโอกาสของการทยอยซื้อสะสม แนวรับ 160-163.50 บาท นายประเสริฐ เปิดเผยว่า จากกรณีที่รัฐบาลอินโดนีเซียเรียกร้องค่าเสียหายจาก PTTEP เนื่องจากเหตุการณ์น้ำมันรั่วในแหล่งมอนทารา ประเทศออสเตรเลีย โดย PTTEP ยังไม่ได้ยอมรับความผิดดังกล่าว และยังมีหลักฐานที่สามารถพิสูจน์ ซึ่งอยู่ระหว่างรอข้อสรุปจากรัฐบาลออสเตรเลีย

โดยคาดว่าทั้งสองฝ่ายจะมีข้อมูลสำหรับการหารือกันในรายละเอียดเพิ่มเติมได้ในเดือนก.พ.11 ราคาหุ้น PTTEP ยังคงอยู่ภายใต้แรงกดดันในระยะสั้น อุบัติเหตุที่ มอนทารายังคงหลอกหลอนราคาหุ้น PTTEP ไปจนกว่ารายงานสุดท้ายในเรื่องการแพร่กระจายของน้ำมันจากมอนทาราของรัฐบาลออสเตรเลียจะออกมาในต้นปี 2011 เราไม่เชื่อว่าใบอนุญาตทั้งหมดของ PTTEP จะถูกเพิกถอน แต่แผนการปรับปรุงแก้ไข (Action Plan) ที่มอนทาราจะยังคงถูกตรวจสอบโดยรัฐบาลออสเตรเลีย ทางพื้นฐานเรายังคงแนะนำ “ซื้อ” PTTEP

ส่วนกรณีที่คณะกรรมการบริษัท PTT มีมติอนุมัติแผนการลงทุน 5 ปี (ปี 2011-14F) ของ PTT วงเงิน 244 พันลบ. (ไม่รวม PTTEP) ซึ่งสูงกว่าที่ PTT ประกาศก่อนหน้า 74% และสูงกว่าสมมติฐานของเรา 53% ซึ่งโดยหลักๆ แล้ว ส่วนที่เพิ่มขึ้น คือ ธุรกิจก๊าซ และการลงทุนในธุรกิจร่วมทุน ซึ่งงบลงทุนที่สูงกว่าที่เราคาดนี้ทำให้มูลค่าของ PTT ลดลง

อย่างไรก็ตามเรายังไม่ได้รวมสมมติฐานราคาน้ำมันใหม่ และการอัพเกรดมูลค่าของบริษัทย่อย และบริษัทร่วมในประมาณการ ซึ่งโดยรวมแล้ว เราคาดว่ามูลค่าใหม่สำหรับ PTT น่าจะอยู่ในระดับที่ไม่ต่ำกว่าราคาเป้าหมายในปัจจุบันของเรา ยังคงแนะนำ “ซื้อ” โดยมีราคาเป้าหมายเก่าที่ 375 บาท เนื่องจากมีมุมมองที่เป็นบวกต่อตลาดน้ำมัน และการเป็น volume play (GSP#6) ของบริษัทฯ และผลการดำเนินงานของบริษัทย่อยที่ดีขึ้น

***** ฟาร์อีสท์แนะซื้อกลุ่ม PTT ยกก๊วน
นายปริญทร์ กิจจาทรพิทักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟาร์อีสท์ กล่าวว่า ปัจจัยที่จะสนับสนุนหุ้นกลุ่มพลังงานในช่วงนี้มี 3 ประเด็นคือ
1.ค่าการกลั่นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นโดยเริ่มโดดเด่นมาตั้งแต่ต้นไตรมาส 4/53 จนถึงปลายปีนี้ เนื่องจากเข้าสู่ฤดูหนาว ส่งผลให้ค่าการกลั่นปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 5-6 เหรียญฯต่อบาร์เรล จากช่วงไตรมาส 2/53 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 2-3 เหรียญฯต่อบาร์เรล
2.ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกทั้งไนเมกซ์ เบรนท์ และดูไบ ปรับเพิ่มขึ้นมาสูงกว่า 90 เหรียญฯต่อบาร์เรล ซึ่งจะส่งผลดีต่อมายังบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP เนื่องจากในการจำหน่ายก๊าสธรรมชาติจะต้องอ้างอิงกับราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก
3.ธุรกิจปิโตรเคมีที่เป็นขาขึ้น สืบเนื่องจากราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ราคาวัตถุดิบสูงขึ้นและสะท้อนมายังราคาผลิตภัณฑ์สูงขึ้น ส่งผลให้สเปรดกว้างขึ้น
" ทั้งหมดที่กล่าวมา ส่งผลดีต่อ PTT และบริษัทในเครือทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น IRPC- PTTAR-PTTCH " นายปริญทร์ กล่าว
ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุน แนะนำ "ซื้อ"กลุ่มพลังงาน ในช่วงนี้ถือว่ากำลังดีเพราะต่างชาติพักฐาน ดัชนีทรงตัว อาจจะหาจังหวะเข้าซื้อเก็บได้ เพราะแนวโน้มกลุ่มพลังงานในปีหน้ายังโตต่อเนื่อง แม้เศรษฐกิจโลกไม่โต แต่กลุ่มพลังงานจะยังเติบโตดีด้วยผลของราคาขายที่สูงขึ้น

***** กิมเอ็งชอบโรงกลั่น TOP เด็ดสุด
บทวิเคราะห์บล.กิมเอ็ง ระบุว่า แนะนำทยอยสะสม TOP ให้ราคาเหมาะสม 87.00 บาท ประเด็นสำคัญสัปดาห์นี้ คือการประชุมของ กพช ต่อการพิจารณาแยกราคาก๊าซ LPG ระหว่างภาคครัวเรือนและภาคขนส่ง ออกจากภาคอุตสาหกรรม กอปรกับความเห็นของนายกรัฐมนตรีวานนี้ ถึงมุมมองต่อโครงสร้างราคาดังกล่าว จึงมีความเป็นไปได้สูงที่รัฐบาลจะพิจารณาอนุมัติแยกราคาก๊าซ LPG ในเร็วๆ นี้ น่าจะสอดคล้องกับนโยบาย ประชาวิวัฒน์ที่จะประกาศอย่างเป็นทางการในวันที่ 9 ม.ค. 2554

KimEng เชื่อว่า TOP จะได้ประโยชน์สูงสุด หากมีการประกาศแยกราคาก๊าซ LPG อย่างเป็นทางการ เพราะเป็นผู้ผลิตก๊าซ LPG มากที่สุดในกลุ่มโรงกลั่นราว 5% และมาตรการดังกล่าวจะช่วยให้ Margin ของการผลิตก๊าซขยับขึ้น ช่วยต่อ Margin เฉลี่ยของ TOP ให้ขยับขึ้นด้วยเช่นกัน

อีกทั้งแนวโน้มผลการดำเนินงาน 4Q53 ของ TOP เชื่อว่าจะเติบโตอย่างโดดเด่นทั้ง qoq และ yoy ไม่ว่าจะเป็นค่าเฉลี่ยการกลั่นปกติสิงคโปร์ QTD อยู่ที่ US$5.44/barrel เทียบกับ 3Q53 ที่เฉลี่ย US$4.22/barrel เพิ่มขึ้น 29% บวกกับกำไรจากสต็อกน้ำมันดิบ ราคาน้ำมันดิบดูไบ เฉลี่ย MTD ของเดือนธ.ค. อยู่ที่ US$88.63/barrel เทียบกับราคาเฉลี่ยเดือนก.ย.ที่ US$75.74/barrel และธุรกิจปิโตรเคมีที่ราคาขยับขึ้นและทรงตัวอยู่ในระดับสูงเกือบตลอด 4Q53 นี้ ทั้งนี้ TOP ทำกำไรสุทธิใน 3Q53 ไว้ที่ 2,290 ล้านบาท และ 1,695 ล้านบาท ใน 4Q52

***** เกียรตินาคินเชียร์เก็บ BANPU-AGE
บทวิเคราะห์บล.เกียรตินาคิน ระบุว่า ราคาถ่านหินสัปดาห์ล่าสุดอยู่ที่ 119.18 เหรียญต่อตัน เพิ่มขึ้น 2.73 เหรียญต่อตันจากสัปดาห์ก่อน (+2.3%wow) ส่วนราคาเฉลี่ย ธ.ค. 53 อยู่ที่ 114.95 เหรียญต่อตัน เพิ่มขึ้น 41%yoy, ราคาเฉลี่ย 4Q53 (Qtd) อยู่ที่ 106.85 เหรียญต่อตัน เพิ่มขึ้น 39%yoy และ 14%qoq, ราคาเฉลี่ย 2553 (Ytd) อยู่ที่ 99.08 เหรียญต่อตัน เพิ่มขึ้น 38%yoy

ทั้งนี้ ราคาถ่านหินปรับตัวเพิ่มขึ้น 4 สัปดาห์ติดต่อกัน ทำให้ในรอบ 1 เดือนที่ผ่านมา ราคาถ่านหินเพิ่มขึ้นกว่า 9.9 เหรียญต่อตัน (+9.1%) เป็นผลมาจากการนำเข้าที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในภูมิภาค โดยเฉพาะเกาหลีใต้ ขณะที่จีนยังคงมีการนำเข้าถ่านหินในปริมาณที่สูงต่อเนื่องตลอด 2H53 ที่ผ่านมา ขณะที่ทิศทางของราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นอีกปัจจัยหนุนระดับราคาถ่านหิน

ส่วนแนวโน้มราคาถ่านหิน: ราคาถ่านหินตลาดล่วงหน้า 1 – 3 เดือนข้างหน้า (Richards Bays, South Africa) ยังอยู่ 110 – 113 เหรียญต่อตัน สูงกว่าราคาปัจจุบัน (Spot Price) ที่ระดับ 107.75 เหรียญต่อตัน ปัจจัยบวกที่ส่งผลต่อระดับราคาถ่านหินยังคงมาจากความต้องการใช้ที่เพิ่มขึ้นในภูมิภาค รวมทั้งการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันดิบเป็นอีกปัจจัยสนับสนุนการเพิ่มขึ้นของราคาถ่านหินเช่นกัน

สำหรับ BANPU ประกาศจ่ายปันผลพิเศษในอัตรา 5 บาทต่อหุ้น ให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล 0.65% เป็นการจ่ายเงินปันผลพิเศษจากกำไรสะสม และพิจารณารวมผลการดำเนินงานในรอบ 9M53 นัยสำคัญของการจ่ายเงินปันผลพิเศษส่วนหนึ่งมาจากกำไรที่ได้จากการ ITM ก่อนหน้านี้ ทำให้ผลการดำเนินงาน 3Q53 และกำไรสะสมของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

รวมทั้งบริษัทจะรับรู้กำไรจากการขาย RATCH ใน 4Q53 ทำให้บริษัทมีกำไรจากการขายสินทรัพย์ในปี 2553 ประมาณ 14,000 ล้านบาท การจ่ายเงินปันผลพิเศษในครั้งนี้คิดเป็น 9.5% ของกำไรพิเศษ และไม่กระทบกระแสเงินสดของบริษัท แม้ว่าก่อนหน้านี้บริษัทจะการลงทุนใน CEY ด้วยเงินลงทุนจำนวนมากก็ตาม โดยบริษัทจะทำให้การขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 4 ม.ค. 2554 และจ่ายเงินปันผลวันที่ 21 ม.ค. 2554

ทั้งนี้ เรา Overweight กลุ่มธุรกิจถ่านหิน และเรายังคงแนะนำ ซื้อ BANPU และ AGE ด้วยมูลค่าที่เหมาะสม 900 บาท และ 14 บาท ขณะที่เราอยู่ระหว่างการปรับมุมมองเป็นเชิงบวกกับ LANNA จากประเด็นการขยายการลงทุนในเหมืองถ่านหิน (คาดได้ข้อสรุปภายในปี 2553) รวมทั้งอยู่ระหว่างการเจรจาอีก 1 แห่ง คาดได้ข้อสรุปปี 2554 ส่งผลบวกต่อผลประกอบการ และราคาที่เหมาะสม
----------------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย

----------------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ตปท.

----------------------------------------------------------------------------------

Code 223 : ไร้เงา January Effect ในปี 2011

วันจันทร์ที่ 27 ธันวาคม 2553

ATT Code : ไร้เงา January Effect ในปี 2011
โบรกฯ ฟันธง January Effect จะไม่เกิดขึ้นในปี 2011 เหตุหุ้นเกิดใหม่ในเอเชีย ราคาแพง แถมหนี้ยุโรป-จีนคุมปล่อยสินเชื่อ กดดัน ชี้ 70% ไร้เงา January Effect แนะกระจายการลงทุนในกลุ่มแบงก์-ประกัน-อสังหาฯ -บันเทิงและกลุ่มรับเหมาฯ คาดดัชนีเดือน ม.ค. 54 อยู่ที่ 1,100 จุด ก่อนย่อลงในช่วงปลายเดือน ฟากโกลเบล็ก มองต่างมุม เชื่อเป็นไปได้ที่จะเกิดปรากฏการณ์ January Effect ในช่วงต้นปีหน้า อัตราดอกเบี้ยในภูมิภาคนี้สูงกว่า สหรัฐและยุโรป
----------------------------------------------------------------------------------
MARKET WAVE Analysis
27 ธค. 53 ( +0.72 จุด) โกมล พงศ์วิญญู เลขทะเบียน 18338

ต่ำกว่า 1017.93 ปรับตัวลง 1003 – 13 จุด
ดัชนีในวันศุกร์ปรับตัวลงมาแถว เส้นค่าเฉลี่ย 25 ชั่วโมงและ 25 วันพอดี ถ้าในวันจันทร์นี้มีการปรับตัวลง ต่ำกว่า 1017.93 จุด ต่ำสุดของวันศุกร์ และเส้นค่าเฉลี่ยดังกล่าวทั้งสองเส้น ดัชนีมีโอกาสปรับตัวลงต่อแถว1003 – 13 ใกล้จุดต่ำสุดเดิมของสัปดาหที่แล้ว

และถ้ามีการปรับตัวลง ต่ำกว่า 1000 จุด จะถือเป็นการเกิด “สัญญาณขาย” อีกครั้ง ในเครื่องมือ Point & Figure ดัชนีจะมีแนวโน้มในการปรับตัวลงแถว 950 – 970 จุดซึ่งเป็นบริเวณเป้าหมายตามเครื่องมือ Point &Figure และแนวรับตามธรรมชาติของเส้นค่าเฉลี่ย 25 สัปดาห์

ในกรณีปรับตัวขึ้น เกิน 1025.11จุดสูงสุดของสัปดาห์ที่แล้ว ดัชนีสามารถขึ้นต่อเล็กน้อยแถว 1030 - 35 จุด ใกล้เส้นแนวโน้มที่ลากกดอยู่ด้านบน ... ก่อนที่จะปรับตัวลงต่อไป

หุ้นเด่น
IVL
กำลังปรับตัวในกรอบสามเหลี่ยม ภาพระยะชั่วโมง รอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 56.75 กรอบบนของสามเหลี่ยม เป้าหมายระยะสัปดาห์58.50 – 61.50( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 55.25 )

10 อันดับซื้อขายสูงสุด
TRUE ปรับตัวลง 6.50 - 6.60
PTT ต่ำกว่า 315 ลง 305 – 310
PTTEP ต่ำกว่า 163.50 ลง 157 – 160
CPF แกว่งตัว 24.30 – 24.70
BANPU แกว่งตัว 766 – 780
IVL รายละเอียดใน “หุ้นเด่น”
IRPC เกิน 5.70 ขึ้น 5.80 – 5.90
ADVANC แกว่งตัว 85 – 88
PTL แกว่งตัว 37 – 39
DTAC เกิน 44.25 ขึ้น 44.75 – 45.50
----------------------------------------------------------------------------------
E-Finance : ไร้เงา January Effect ในปี 2011
โบรกฯ ฟันธง January Effect จะไม่เกิดขึ้นในปี 2011 เหตุหุ้นเกิดใหม่ในเอเชีย ราคาแพง แถมหนี้ยุโรป-จีนคุมปล่อยสินเชื่อ กดดัน ชี้ 70% ไร้เงา January Effect แนะกระจายการลงทุนในกลุ่มแบงก์-ประกัน-อสังหาฯ -บันเทิงและกลุ่มรับเหมาฯ คาดดัชนีเดือน ม.ค. 54 อยู่ที่ 1,100 จุด ก่อนย่อลงในช่วงปลายเดือน ฟากโกลเบล็ก มองต่างมุม เชื่อเป็นไปได้ที่จะเกิดปรากฏการณ์ January Effect ในช่วงต้นปีหน้า อัตราดอกเบี้ยในภูมิภาคนี้สูงกว่า สหรัฐและยุโรป

ปรากฏการณ์ January effect นักลงทุนต่างชาติทุ่มทุนลุยหุ้นไทย ช่วงปลายปี -ต้นปีในเดือนมกราคม ดูเหมือนจะไม่ค่อยเกิดขึ้นและในปีนี้ ปรากฏการณ์ January effect จะเกิดได้หรือไม่ * พัฒสิน ฟันธง January Effect จะไม่เกิดขึ้นในปี 2011 เพราะหุ้นเกิดใหม่ในเอเชียราคาแพง แนะเลือกหุ้นปันผลสูง

บล.พัฒสิน บทวิเคราะห์ บล.พัฒนสิน ระบุว่า January Effect (ต่างชาติจะกลับมาซื้อหุ้นเดือน มค)จะไม่เกิดขึ้นในปี 2011 เช่นเดียวกันกับ 3 ปีที่ผ่านมา หลังจากเชื่อว่า เม็ดเงินใหม่จะไม่ไหลเข้าตลาดหุ้นเกิดใหม่ในเอเชีย เพราะระดับราคาหุ้นแพง แนวโน้มกำไรชะลอตัวจากมาร์จิ้นแคบลง(ต้นทุนปรับสูงขึ้น) และมีความเสี่ยงจากดอกเบี้ยขาขึ้นเร่งตัว นำโดยจีน ซึ่งความไม่แน่นอนดังกล่าว ประกอบกับแรงขายกองทุน LTF RMFช่วงต้นปี(ครบกำหนด5ปี) จะทำให้นักลงทุนรายใหญ่ สถาบันในประเทศ หันมาขายล็อคกำไร(ถือเงินสดเพิ่ม)

เราคงคำแนะนำ เลือกลงทุน หุ้นปันผลสูง ซึ่งคาดว่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีสุดเดือนพย.ที่ผ่านมา และคาดว่าจะรวมถึงเดือนธค-มค. สวนหุ้นเก็งกำไร แนะนำ ขายบริเวณแนวต้านหลัก 1025/1040 จุด เพื่อรอซื้อคืนที่ระดับต่ำกว่า ปัจจัยบวก คือ 1.เม็ดเงินใหม่จากแรงซื้อกองทุน LTF-RMF (ตลาดฯ จัดงานกองทุนรวมสุดสัปดาห์นี้อีก) ช่วยทำให้ความเสี่ยงขาลงจำกัด 2.USA GDP3Q10 เติบโต+2.6%q-q ดีกว่าประเมินครั้งก่อนที่ +2.5%q-q แต่ต่ำกว่าคาดที่ +2.8%q-q ปัจจัยลบ คือ 1.รายงานเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ดีขึ้นต่อเนื่อง อาจส่งผลให้ต่างชาติย้ายลงทุนไปยังตลาดหุ้นพัฒนาแล้ว แทนตลาดหุ้นเกิดใหม่ 2.ต่างชาติอาจเพิ่มแรงขายก่อนเทศกาลหยุดยาว ความไม่แน่นอนของประเด็นคาบสมุทรเกาหลี นโยบายการเงินคุมเข้มของจีน และเครดิตที่แย่ลงของกลุ่ม PIIGS* เซียนหุ้น ระบุ หนี้ยุโรป-จีนคุมปล่อยสินเชื่อ กดดัน นลท.ต่างชาติลุยหุ้นไทย ชี้ 70% ไร้เงา January Effect

นายชัย จิรเสนีนุประพันธ์ ผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.พัฒนสิน กล่าวว่า ปรากฏการณ์ January Effect ที่ส่วนมากแล้วจะเกิดขึ้นในช่วงเดือนมกราคมในทุกๆปี แต่ 2 ปีที่ผ่านมาไม่เกิดปรากฏการณ์ดังกล่าว เนื่องจากในช่วงปลายปี 2552 มีปัจจัยหลายอย่างที่ส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจในการลงทุนของนักลงทุน ทั้งปัญหาในประเทศกรีช จีน และบางประเทศในยุโรป

สำหรับปลายปี 2553 นี้ ในประเทศยุโรปยังคงมีปัญหาเหมือนกับปีที่ผ่านมา โดยในปีนี้มีปัญหาในเรื่องหนี้สาธารณะในประเทศ รวมถึงปัญหาในประเทศจีน ในเรื่องของการควบคุมการปล่อยสินเชื่อ เพื่อป้องกันปัญหาเงินเฟ้อภายในประเทศ ส่งผลให้ในช่วงต้นปี 2554 ปรากฏการณ์ January Effect มีโอกาสเกิดเพียง 30% เท่านั้น ที่เหลืออีก 70% มีแนวโน้มที่นักลงทุนคงไม่ได้เห็น

" ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ไม่เกิดปรากฏการณ์ดังกล่าว เพราะเมื่อมองย้อนหลังไป 2 ปี นักลงทุนส่วนใหญ่ยังคงได้รับผลตอบแทนที่เป็นบวก โดยดัชนีฯมีการปรับเพิ่มขึ้นถึงประมาณ 400 จุด จากบริเวณ 600 จุด เพิ่มขึ้นไปกว่า 1000 จุด ส่งผลให้ในปี 2554 ดัชนีฯมีลักษณะปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ในแดนบวกเหมือนกับปีนี้ แต่ผลตอบแทนอาจไม่มากเหมือนกับปีนี้"นายชัยกล่าว

สำหรับกลยุทธ์ในการลงทุน แนะนำกระจายการลงทุนในหุ้นกลุ่มต่างๆ อาทิ หุ้นกลุ่มแบงก์ BBL- SCB-TUF- CPF-TVO-กลุ่มประกัน BLA กลุ่มอสังหาฯ AP- PS กลุ่มบันเทิง MAJOR กลุ่มรับเหมาฯ CK * ฟากโกลเบล็ก เชื่อ เป็นไปได้ที่จะเกิดปรากฏการณ์ January Effect ในช่วงต้นปีหน้า อัตราดอกเบี้ยในภูมิภาคนี้สูงกว่า สหรัฐและยุโรป

นายธวัชชัย อัศวพรไชย ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.โกลเบล็ก กล่าวว่า มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดปรากฏการณ์ January Effect ในช่วงต้นปีหน้า เนื่องจากยังมีความคลุมเคลือในแนวทางของสถาบันคุ้มครองเงินฝาก ซึ่งทำให้ผู้ที่ต้องการออมอาจนำเงินในส่วนนี้มาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน หากประเมินจากการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติในระยะนี้ แม้ว่าเป็นผู้ขายสุทธิเพื่อนำเงินกลับเข้าสู่สกุลเงินเดิมในช่วงวันหยุดยาว แต่จากนั้นในช่วงปีหน้านักลงทุนในกลุ่มนี้ยังมีท่าทีที่จะกลับมาลงทุนเพื่อหาผลตอบแทนในภูมิภาคเอเชียอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยในภูมิภาคนี้สูงกว่าภูมิภาคหลัก ได้แก่ สหรัฐและยุโรป รวมถึงญี่ปุ่น ดังนั้นเงินลงทุนที่เข้ามาจะทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นอีก และยิ่งเป็นการตอกย้ำผลตอบแทนที่อาจจะได้เพิ่มขึ้น

" อย่างไรก็ตาม ต้องอยู่บนพื้นฐานการเมืองที่ไม่รุนแรง ซึ่งประเด็นที่น่ากังวลคือ การยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉินและปิดศอฉ.ซึ่งอาจเป็นช่องโหว่ทางการเมือง แต่ก็ถือเป็นผลดีที่ส่งสัญญาณให้ต่างชาติรู้ว่าเราเริ่มกลับสู่ปกติมากขึ้น" นายธวัชชัย

ทั้งนี้ แนวโน้มดีชนีฯในเดือนมกราคม 2554 อาจมีความผันผวนตามการเคลื่อนไหวของเงินทุน โดยประเมินกรอบแนวรับอยู่ที่ 1008-980 จุด ซึ่งหากดัชนีฯปรับลดลงต่ำกว่า 1008 จุด ให้นักลงทุนปรับพอร์ตการลงทุนในระยะกลางอยู่ที่ 30% และเน้นการลงทุนระยะสั้นมากขึ้น ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1055-1100 จุด โดยกลุ่มธนาคารและพลังงาน ยังอยู่ในระดับที่น่าสนใจ ซึ่งนักลงทุนต้องติดตามการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) และการรายงานตัวเลขกรอบเงินเฟ้อในช่วงกลางเดือนหน้าประกอบด้วย*เอเซีย พลัส คาดดัชนีเดือน ม.ค. 54 อยู่ที่ 1,100 จุด ก่อนย่อลงในช่วงปลายเดือน บทวิเคราะห์บล.เอเซีย พลัส ระบุว่า สำหรับแนวโน้มดัชนีในช่วงต้นปี 2554 ใน Invest+ ฉบับ 1Q54 นี้ SET น่าจะจบคลื่นย่อย 2) ในปลายเดือน ธ.ค.53 ที่ระดับไม่ต่ำกว่า 999 จุด หลังจากนั้นในช่วง ม.ค.54 SET จะเดินหน้าเพื่อทำคลื่นย่อย (Sub Minor) 3), 4), 5) เพื่อเป็นการจบคลื่นรอง(Minor) 1 อันเป็น 1 ในชุดของคลื่นหลักใหญ่ (Major) 5 ที่คาดว่าจะเกิดในปี 2554 แนวทางตามทฤษฎี Elliott Wave ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นประมาณออกมาเป็นระดับดัชนีจะได้ว่า หลังจาก SET จบคลื่นย่อย 2 ในระดับไม่ต่ำกว่า 999 จุด ดัชนีจะเริ่มปรับเพิ่มทำคลื่นย่อย 3) ที่ 1,100 จุด ในเดือน ม.ค. ก่อนย่อลงในช่วงปลายเดือน ม.ค. เพื่อมาทำคลื่นย่อย 4) ที่ 1,061 จุด และในช่วงเดือน ก.พ. SET น่าจะปรับเพิ่มขึ้นเพื่อทำคลื่นย่อย 5) ซึ่งจะเป็นการจบคลื่นรอง 1 ที่ 1,122 จุด (อาจยาวถึง 1,147) จากนั้นในช่วง มี.ค. SET น่าจะปรับฐานเล็กๆด้วยคลื่นย่อย a), b), c) จนมาถึง 1,068 จุด* เอเซีย พลัส คาด LTF- Window Dressing- Santa Rally ดันดัชนีปีนี้ปิดเหนือ 1020 จุด

บทวิเคราะห์บล.เอเซีย พลัส ระบุว่า LTF, Window Dressing , Santa Rally ล้วนหนุนตลาดยืนเหนือ 1,020 จุด อย่างมั่นคง โดยบทบาทของ LTF ในตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ประเมินจากการขยายตัวของเม็ดเงินที่ไหลเข้ากองทุน LTF ซึ่งพบว่าเพิ่มขึ้นจากปี 2547 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 5.43 พันล้านบาทต่อปี มาอยู่ที่ 25.82 พันล้านบาทต่อปี ในช่วงปี 2552 คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ย 36.6% ต่อปี ในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา สำหรับปี 2553 ช่วง 9M53 พบว่ามีเงินไหลเข้ามาแล้วจำนวน 10.83 พันล้านบาท ซึ่งในเดือน ธันวาคม 2553 คาดหมายว่าน่าจะเห็นเม็ดเงินไหลเข้ามาอย่างมีนัยสำคัญ

ทั้งนี้ ประเมินจากสถิติในอดีตพบว่ายอดซื้อ LTF ในเดือน ธันวาคมของทุกปี พบว่ามักจะอยู่ในช่วงประมาณ 47–51% ของยอดซื้อ LTF ทั้งปี ซึ่งพฤติกรรมการซื้อ LTF ดังกล่าว ประกอบกับข้อบังคับการลงทุนที่กำหนดให้กองทุน LTF ที่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี ต้องถือหุ้นไม่น้อยกว่า 65% ของมูลค่า NAV (ในข้อเท็จจริงเชื่อว่าถือหุ้นมากกว่า 70%) จึงเห็นว่ามีความเป็นไปได้มากที่จะเห็นเม็ดเงินที่เกิดจากการซื้อ LTF ช่วงปลายปี เข้ามามีส่วนขับเคลื่อน SET Index ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของปี

นอกจากนี้ ยังมีแรงขับเคลื่อนจากผลของเทศกาลอีกส่วนหนึ่งที่อาจมีส่วนช่วยขับเคลื่อนตลาด ไม่ว่าจะเป็น Window Dressing ของนักลงทุนสถาบันประเภทต่างๆ หรือ Santa Rally ตามความเชื่อของนักลงทุนทั่วไป องค์ประกอบดังกล่าว ประกอบกับการที่ตลาดยังอยู่ในช่วงเวลาที่ปลอดข่าวร้าย น่าจะทำให้ SET Index สามารถยืนอยู่เหนือ 1,020 ได้อย่างมีเสถียรภาพ และมีความเป็นไปได้ที่จะปิดตามเป้าหมายของฝ่ายวิจัยที่กำหนดไว้ที่ PER 15 เท่า หรือ 1,038 จุด ณ สิ้นปี 2553*บีฟิท ชี้ ช่วงก่อนสิ้นปีหุ้นโลก ยังแกว่งผันผวนแคบ / รอดูสถานการณ์เกาหลี

บทวิเคราะห์ บล.บีฟิท ระบุว่า ภาพรวมของตลาดหุ้นส่วนใหญ่ทั่วโลกก็ยังเหมือนเดิม ยังแกว่งตัวไม่มาก ก่อนช่วงใกล้วันหยุด ขณะที่ปัจจัยก็ยังเป็นเรื่องเดิมๆ ความวิตกกังวลเกี่ยวกับปัญหาหนี้ยุโรป ตลาดก็ซึมซับกันมาอย่างต่อเนื่องแล้ว ประเด็นความตึงเครียดของคาบสมุทรเกาหลี ที่ล่าสุดเกาหลีใต้ก็จะมีการซ้อมรบโดยใช้กระสุนจริงครั้งใหญ่สุดเท่าที่เคยมีมา ใกล้พรมแดนเกาหลีเหนือ ประเด็นอยู่ที่ท่าทีของเกาหลีเหนือ ว่าจะอย่างไร ตอบโต้หรือไม่ แต่ขณะนี้ก็ยังเงียบอยู่
----------------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย
FSS : รอเลือกหุ้นเข้าทยอยรับเมื่อตลาดปรับตัวลง โดยดีดขึ้นยังน่าทำกำไรบ้าง!
แนวโน้ม: FSS คาดว่าสัปดาห์นี้ SET จะยังคงเคลื่อนไหวผันผวนต่อเนื่อง ด้วยปริมาณการซื้อขายที่เบาบาง เนื่องจากเป็นสัปดาห์สุดท้ายของปี 53 ซึ่งนักลงทุนบางส่วนทั้งในและต่างประเทศเริ่มหยุดยาว หรือ ชะลอการลงทุนเพื่อรอดูปัจจัยต่างๆ อีกครั้งหลังเทศกาลปีใหม่ ขณะที่นักลงทุนต่างประเทศช่วงนี้ก็ยังเน้นขาย
เพื่อรับรู้กำไรก่อนปิดสิ้นปีด้วย อย่างไรก็ตามถ้าตลาดปรับตัวลงยังมองเป็นจังหวะเลือกหุ้นเข้าซื้อเพื่อลุ้นดีดในช่วงก่อนปิดสิ้นปีได้ เพราะคาดว่าก่อนวันหยุดช่วงปี
ใหม่ จะมีแรงซื้อบางส่วนกลับเข้ามาเลือกหุ้นเข้ารับ เพื่อลุ้น January Effectรวมทั้งยังคาดว่าจะมีเม็ดเงินจากกองทุน LTF และ RMF ล็อตสุดท้ายเข้ามาช่วยพยุงตลาดในสัปดาห์นี้ด้วย แต่ยังเน้นเป็นเล่นเก็งกำไรสั้นๆ ตามรอบไว้ก่อน
กลยุทธ์: เลือกหุ้นทยอยเข้าซื้อเมื่อตลาดปรับตัวลงได้ โดยหุ้นที่น่าสนใจได้แก่BANPU, BIGC, KTB, PTL, SEAFCO, AP, CSL, DELTA, DRT, LPN, KBANK,SCB, TASCO, AMATA, PS, SPALI, CK, STEC เป็นต้น
ประเด็นสำคัญวันนี้
• (+) จีน surprise ตลาดด้วยการขึ้นดอกเบี้ย 0.25% ทำให้ดอกเบี้ยเงินกู้1 ปีเป็น 5.81% จากเดิม 5.56% มีผลวันที่ 26 ธ.ค. การขึ้นดอกเบี้ยครั้งนี้เป็นการขึ้นครั้งที่ 2 ในรอบปี และขึ้นเร็วกว่าคาดว่าจะปรับขึ้นในปีหน้า ดังนั้นตลาดอาจตอบรับในด้านลบในช่วงแรกแต่เรามองเป็นข่าวบวกเพราะถือว่ามี
ความชัดเจน ทำให้ตลาดคลายความกังวลและประเมินความเสี่ยงได้ดีขึ้นนอกจากนี้ก็เป็นปรับลดการคาดการณ์ของตลาด (Expectation management) ว่าอัตราเงินเฟ้อในอนาคตจะไม่พุ่งแรงเพราะดอกเบี้ยได้ขึ้นแล้ว
• (+) KTB ปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 19.50 บาท จากการประมาณการกำไรสุทธิปี 2011 ขึ้นเป็น 1.77 หมื่นลบ. (+18%Y-Y) เนื่องจากคาดการขยายตัวของสินเชื่อปี 2011 เป็น +10% จากเดิม 7% และลดคาดการณ์การตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สูญลงเป็น 6 พันลบ. (จากเดิม 6.5 พันลบ.) และยังมี
upside เพิ่มจากกำไรสุทธิราว 2-3% จากรายได้ค่าธรรมเนียมซึ่งเป้าหมายของธนาคารสูงกว่าเป้าหมายของเรา 5% ราคาพื้นฐานปี 2011 ของเราอิง
2011 PBV 1.6 เท่า (Ke 11%, ROE 13.3%) และคาด Dividend yield อีกราว 3% (0.50 บาท) คงคำแนะนำ ซื้อ
• (+) KSL จับตาประกาศผลประกอบการ 4Q10 วันนี้ เราคาดขาดทุน 81ล้านบาท ขาดทุนเพิ่มขึ้นจาก 3Q10 จากการปิดโรงงานที่ขอนแก่นเพื่อซ่อม
บำรุงประมาณ 45 วัน และมีค่าใช้จ่ายในการขนย้ายเครื่องจักรไปยังโรงงานที่บ่อพลอยราว 30 ล้านบาท หากราคาหุ้นปรับลงเพราะตกใจกับการขาดทุน เรา
ถือเป็นโอกาสในการซื้อเพราะกำไรจะกลับมา Turnaround เติบโตอย่างแข็งแกร่ง +423% ในปี 2011 (พ.ย. 2010 – ต.ค. 2011) จากราคาน้ำตาลในตลาดโลกที่มีโอกาสทำ New high บริษัทขายล่วงหน้าไปแล้วที่ราคา 24-25 เซนต์/ปอนด์ซึ่งเป็นราคาที่สูง และเชื่อว่าจะไม่มีปัญหาแย่งชิงอ้อยเหมือนในปีนี้ ขณะที่โรงงานที่ลาวและกัมพูชาจะขาดทุนลดลง เราประเมินราคาพื้นฐานปี 2011 เท่ากับ 18 บาท
• Fund Flow สัปดาห์ที่ผ่านมายังไหลเข้าต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ 2 ติดต่อกันแต่ปริมาณการซื้อขายเบาบาง เนื่องจากเข้าสู่ช่วงหยุดพักผ่อนยาวของนักลงทุนและผู้จัดการกองทุนต่างชาติ ขณะที่ปัจจัยบวกส่วนใหญ่หนุนนำราคาสินค้าโภคภัณฑ์เกือบทุกชนิดให้ปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่ออกมาดีต่อเนื่อง สำหรับสัปดาห์นี้เชื่อว่าภายหลังจีนประกาศขึ้นดอกเบี้ยอย่างไม่คาดฝัน แต่เนื่องจากปรับขึ้นในอัตราต่ำดังนั้นผลกระทบที่จะมีต่อตลาดหุ้นและราคาสินค้าโภคภัณฑ์มีน้อย ซึ่งหากตลาดปรับตัวลงด้วยเหตุผลนี้เราแนะนำเข้าซื้อสะสมหุ้นเพิ่ม

ข่าวภายในประเทศ
Q4 กรุงไทยกำไรปลิ้นฟาดนิ่มอีก 3.72 พันล. ดันทั้งปีพุ่ง 1.5 หมื่นล.-สินเชื่อ 11 เดือนโต 11.5% “กรุงไทย” (KTB) ได้ชี้แจงตัวเลขสำคัญทางการเงินและแผนงานในปี 2554 ต่อนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ โดยช่วง 11 เดือนแรก สินเชื่อเติบโต 11.5% หลังเหมาเข่งสินเชื่อภาครัฐ วางเป้าปี’54โตอย่างต่ำ 7% ด้านโบรกฯ คาดกำไรไตรมาส 4 ของ KTB จะอยู่ที่ 3.72 พันล้านบาท พุ่ง 42.6% ดันตัวเลขกำไรทั้งปี 1.5 หมื่นล้านบาท คิดเป็น34.8% คาดปันผลอีก 0.54 บาทต่อหุ้น ส่วนปีหน้ากำไรจะเพิ่มเป็น 1.6 หมื่นล้านบาท ขยับราคาอีกรอบ 20.30 บาท ด้าน “อภิศักดิ์” เผยปีหน้าค่าฟีจะ
โตอีก 20% (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 27-12-2010)
CCP รายได้นิวไฮรอบ 3 ปี โชว์ตัวเลขปีนี้ 2.8 พันล้าน CCP ลั่นงานในมือปีหน้าไม่ต่ำกว่า 2,300 ล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ตั้งเป้ารายได้ไม่ต่ำกว่า 2,800 ล้านบาท จากปีนี้ที่คาดว่าจะมีรายได้ 2,100-2,200 ล้านบาท ส่วนไตรมาส 4/53 ดีกว่าไตรมาส 3 แถมกำไรจากการปรับโครงสร้างหนี้บริษัทย่อยประมาณกว่า 300 ล้านบาท (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 27-12-2010)
QLT ลุ้นอีก100 ล้านงานท่อส่งก๊าซปตท.ดึงพันธมิตรลุยตปท. QLT จับมือพันธมิตรต่างชาติสยายปีกต่างประเทศ เล็งเวียดนาม-ลาว-พม่านำร่องเหตุความต้องการงานตรวจสอบและทำลายเพิ่ม ดันสัดส่วนรายได้ต่างประเทศ ลั่นงานท่อก๊าซเส้น 4 ปตท. มั่นใจชนะการประมูลรู้ผลไตรมาส 1/54ส่วนปีหน้าตั้งเป้ารายได้โต 20% (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 27-12-2010)
GRAMMYระส่ำโละพนักงาน100 คน ตัดทิ้งหน่วยงานไม่ทำเงินสังเวยตัวเลขกำไรแพ้อาร์เอสGRAMMY ตัดเนื้อร้าย ลดพนักงาน 100 คน ปรับขนาดองค์กร ด้านผู้บริหารออกตัวชี้แจง หั่นเฉพาะหน่วยงานไม่สร้างรายได้ แต่ถ้าธุรกิจไหนโตพร้อมเสริมทีมแน่ ฟากวงการเงินชี้ ต้นทุนสูง กำไรไม่เข้าเป้า “อากู๋” แถมโตแพ้ค่าย RS เลยเป็นเหตุโดนปรับโครงสร้าง (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 27-12-2010)
CPALL ผนึกโทลล์เวย์รับชำระค่าผ่านทางผ่านเซเว่นอีเลฟเว่นโทลล์เวย์ร่วมเครือซีพีออลล์ ศึกษาการชำระค่าผ่านทางด้วยบัตรสมาร์ทเพิร์ส ใช้7-11 เป็นช่องทางชำระค่าผ่านทาง เริ่มทดลองด่านดินแดงกับดอนเมือง รวม 6 เดือน สิ้นสุดเดือนเม.ย. 54 หากมีเสียงตอบรับดี เล็งทำเพิ่มจุดอื่นผู้บริหาร DMT เชื่อผู้ใช้ทางสะดวกขึ้น (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 27-12-2010)
CPALL ปักธงปีหน้าต้องโตไม่ต่ำ15% เร่งปั๊มสาขาใหม่ไม่หยุด แนะซื้อเป้าหมาย 55 บาท CPALL ปีนี้โตเกินเป้า 9 เดือนกว่า 10% จากยอดขายสาขาเดิมและการขยายสาขา คาดปีนี้ทะลุ 5,700 สาขา ปีหน้าตั้งเป้ายอดขายโตกว่า 10-15% โบรกฯ มองกำไรเติบโต 12-15% ต่อปี จากอัตรากำไรที่ดีขึ้นต่อเนื่องจากการพัฒนานวัตกรรมสินค้า จึงแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย ใหม่ 55 บาท (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 27-12-2010)

----------------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ตปท.

ข่าวต่างประเทศ
จีน: ธนาคารกลางจีนประกาศขึ้นดอกเบี้ย 0.25% มุ่งควบคุมแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ ธนาคารกลางจีนประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และดอกเบี้ยเงินฝากอีก 0.25% มีผลตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป สำนักข่าวซินหัวรายงานอ้างแถลงการณ์ที่เผยแพร่บนเว็บไซต์ของธนาคารกลางจีนเมื่อวานนี้ว่าธนาคารกลางจีนจะ ปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.25% ซึ่งจะเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 26 ธันวาคมนี้ ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระยะ 1 ปีอยู่ที่ระดับ 5.81% และอัตราดอกเบี้ยเงินฝากระยะ 1 ปีอยู่ที่ 2.75% (ที่มา: อินโฟเควสท์ 26-12-2010)
จีน: จีนเล็งกระตุ้นการนำเข้ายานยนต์ 5 ปีหน้า หนุนปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจ เจ้าหน้าที่กระทรวงพาณิชย์จีนเผย รัฐบาลเตรียมใช้มาตรการนำเข้าสินค้าประเภทยานยนต์ในเชิงรุกในอีก 5 ปีข้างหน้าตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับที่ 12 (ปี 2554-2558) เพื่อรองรับการปรับโครงสร้างและยกระดับภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ภายในประเทศ โดยจีนจะสนับสนุนการนำเข้าชิ้นส่วนประกอบรถยนต์ที่ทันสมัยและประหยัดพลังงาน รวมถึงเทคโนโลยีสำคัญๆ สำหรับการผลิตยานยนต์ ด้านสมาคมผู้ผลิตยานยนต์ของจีน (CAAM) เปิดเผยว่า ยอดขายรถในจีนช่วง 11เดือนแรกของปีนี้พุ่งแตะที่ 16.4 ล้านคัน และคาดว่าจะพุ่งแตะ 18 ล้านคันในปีนี้ (ที่มา: อินโฟเควสท์ 26-12-2010)
เอเชีย: เงินเยนพุ่งเทียบยูโรที่ตลาดโตเกียวเช้านี้ เหตุวิตกศก.โลกชะลอตัวหากจีนขึ้นดอกเบี้ย ค่าเงินเยนพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบเกือบ 3สัปดาห์เมื่อเทียบกับยูโร ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตราโตเกียวช่วงเช้าวันนี้ (27 ธ.ค.) เนื่องจากความกังวลที่ว่าเศรษฐกิจโลกอาจจะชะลอตัวลงหากจีนตัดสินใจประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งความกังวลในเรื่องดังกล่าวทำให้นักลงทุนเข้าถือครองสกุลเงินเยนเพื่อ หลีกเลี่ยงความเสี่ยง (ที่มา: อินโฟเควสท์ 27-12-2010)
เอเชีย: ญี่ปุ่นเผยยอดขายรถใหม่เดือนธ.ค.ร่วง 26.4% หลังมาตรการจ่ายเงินอุดหนุนสิ้นสุดลง ยอดขายรถใหม่ในญี่ปุ่นยังคงซบเซาในเดือนธันวาคม จากผลกระทบของมาตรการจ่ายเงินอุดหนุนให้กับผู้ซื้อรถประหยัดพลังงานของ รัฐบาลที่หมดอายุลงเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา สำนักข่าวข่าวเกียวโดรายงานว่า ยอดขายรถใหม่ของญี่ปุ่นในเดือนธ.ค.ปรับตัวลดลง 26.4% หลังจากที่มาตรการจ่ายเงินอุดหนุนผู้ซื้อรถประหยัดพลังงานสิ้นสุดลงเมื่อ ช่วงต้นเดือนก.ย. ส่งผลให้ยอดขายรถในญี่ปุ่นเดือนต.ค.ปรับตัวลดลง 26.7% และยอดขายรถในเดือนพ.ย.ร่วงลง 30.7% (ที่มา: อินโฟเควสท์26-12-2010)
เอเชีย: เวียดนามเผยอัตราเงินเฟ้อเดือนธ.ค.พุ่ง 11.75% หลังรัฐบาลลดค่าเงินดอง สำนักงานสถิติแห่งชาติเวียดนาม เปิดเผยว่า อัตราเงินเฟ้อเดือนธ.ค.พุ่งขึ้น 11.75% จากปีที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 22 เดือน หลังจากการประกาศลดค่าเงินดองของรัฐบาลเวียดนามส่งผลให้ต้นทุนการนำเข้าสูง ขึ้น นอกจากนี้ มาตรการขยายการปล่อยสินเชื่อยังกระตุ้นให้อุปสงค์ภายในประเทศเพิ่มขึ้นด้วย รัฐบาลเวียดนามกำลังเผชิญปัญหาในการควบคุมแรงกดดันของเงินเฟ้อที่เกิดขึ้น เนื่องจากเศรษฐกิจขยายตัวอย่างรวดเร็ว รวมทั้งต้นทุนอาหารที่สูงขึ้น และสกุลเงินดองที่อ่อนค่าลง โดยรัฐบาลเวียดนามได้ประกาศลดค่าเงินดอง 3 ครั้งนับตั้งแต่เดือนพ.ย.ปีที่แล้ว ขณะที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) เตือนว่า การอ่อนค่าของเงินดองเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้อัตราเงินเฟ้อพุ่งขึ้นอย่างรวด เร็ว (ที่มา: อินโฟเควสท์ 24-12-2010)
----------------------------------------------------------------------------------

Code 222 : กลุ่มพลังงานยังคงกดดันตลาดอยู่

วันศุกร์ที่ 24 ธันวาคม 2553
ATT Code : กลุ่มพลังงานยังคงกดดันตลาดอยู่
----------------------------------------------------------------------------------
MARKET WAVE Analysis
24 ธค. 53 (+2.13 จุด) โกมล พงศ์วิญญู เลขทะเบียน 18338

ไม่น่าเกิน 1025 – 30 จุด
แนวโน้มในวันศุกร์นี้ ในกรณีปรับตัวขึ้นต่อ ดัชนีไม่น่าจะไปได้เกิน 1025 – 30ใกล้จุดสูงสุดเดิมของสัปดาห์นี้

ขณะเดียวกัน ตลาดยังคงมีความเสี่ยงที่จะปรับตัวกลับลงมาแถว 1002 – 05 ใกล้จุดต่ำสุดเดิมของสัปดาห์นี้

และถ้ามีการปรับตัวลง ต่ำกว่า 1000 จุด จะถือเป็นการเกิด “สัญญาณขาย” อีกครั้ง ในเครื่องมือ Point & Figure ดัชนีจะมีแนวโน้มในการปรับตัวลงแถว 950 – 970 จุด ซึ่งเป็นบริเวณเป้าหมายตามเครื่องมือ Point &Figure และแนวรับตามธรรมชาติของเส้นค่าเฉลี่ย 25 สัปดาห์

หุ้นเด่น
JAS
ปรับตัวขึ้นมาแถวเส้นค่าเฉลี่ย 25 วันพอดี รอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 2.08 จุดสูงสุดสัปดาห์นี้ และเส้นค่าเฉลี่ยดังกล่าว เป้าหมายสองสามวัน 2.16 – 2.20( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 2.00 )

10 อันดับซื้อขายสูงสุด
PTT ต่ำกว่า 317 ลง 305 – 310
TRUE เกิน 6.65 ขึ้น 6.80 – 6.90
PTTCH ต่ำกว่า 144.50 ลง 141.50 – 142
IVL ปรับตัวลง 54 – 54.50
PTL ปรับตัวลง 36.25 – 36.70
CPF เกิน 24.40 ขึ้น 24.60 – 24.80
BANPU แกว่งตัว 766 – 780
IRPC ต่ำกว่า 5.50 ลง 5.10 – 5.20
TCAP เกิน 36 ขึ้น 36.75 – 37.25
SCB แกว่งตัว 103.50 – 105.50
----------------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย
FSS : จังหวะซื้อยังสามารถรอช่วงตลาดอ่อนตัวลงได้ เพราะยังมีสิทธิแกว่งตัว!!
แนวโน้ม: แม้ว่านักลงทุนต่างประเทศในบ้านเราจะมียอดขายสุทธิไม่สูงมากนักเมื่อวานนี้ แต่ก็ถือว่ายังอยู่ในช่วงของการขายทำกำไรต่อเนื่องช่วงท้ายปี ขณะที่
ตลาดหุ้นต่างประเทศเช้านี้ไม่ค่อยสดใสนัก โดยเฉพาะในเอเชีย หลังมีข่าวท่าทีที่แข็งกร้าวของเกาหลีเหนือ หลังจากเกาหลีใต้ยังคงทำการซ้อมรบในคาบสมุทร
เกาหลีต่ออีกครั้งในช่วงนี้ รวมทั้ง SET ก็สามารถดีดกลับขึ้นมาได้พอควรในช่วง2-3 วันที่ผ่านมาแล้วด้วย ทำให้ FSS คาดว่ามีแนวโน้มที่ SET จะเริ่มแกว่งตัวย้อนลงอีกครั้งได้ อย่างไรก็ตามเราเริ่มเห็นแรงซื้อจากกองทุนในประเทศอีกครั้ง ซึ่งคาดว่ามาจากเม็ดเงินใหม่ของกองทุน LTF และ RMF ตามที่เคยกล่าวถึง ดังนั้นจังหวะอ่อนตัวลงของตลาดยังสามารถเลือกหุ้นเข้าทยอยรับเพื่อลุ้นรอบรีบาวด์ครั้งใหม่ของ SET ได้อยู่ โดยเฉพาหุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ เช่นอาหารและน้ำมัน
กลยุทธ์: จังหวะทยอยเข้าซื้อยังน่ารอรับต่ำ โดยหุ้นที่น่าสนใจได้แก่ BANPU,BIGC, KTB, PTL, SEAFCO, AP, CSL, DELTA, DRT, LPN, KBANK, SCB,TASCO, AMATA, PS, SPALI, CK, STEC เป็นต้น
ประเด็นสำคัญวันนี้
• คืนนี้(24 ธ.ค.) ตลาดหุ้นสหรัฐปิดทำการ 1 วัน เนื่องในวันคริสมาสต์ อีฟ
• (+) ส่วนตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐเมื่อคืนนี้ยังดีต่อเนื่อง โดยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคขั้นสุดท้ายเพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือน มิ.ย. ขณะที่ยอดขายบ้านใหม่ก็เพิ่มขึ้นในเดือน พ.ย. และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกรายสัปดาห์ยังลดลงต่อเนื่อง และเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 19ก.ค.2008 ด้วย
• (+) DTAC, TRUE CEO กสท.ให้ข่าวบอร์ดกสท.อนุมัติ DTAC-TRUE ทำ 3G เทคโนโลยี่ HSPA บนคลื่น 850 MHz แบบไม่เชิงพาณิชย์ โดยให้ขยายสถานีฐาน ตามที่ทรูขอมาจำนวน 1,400 สถานีฐาน DTAC 1,220สถานีฐาน เป็นข่าวเชิงบวกเล็กๆ กับหุ้นทั้ง 2 บริษัท ในการขยายความสามารถการให้บริการ โดยเฉพาะด้าน Data อย่างไรก็ตาม การจะเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์ (คิดเงินได้) ต้องได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการ
มาตรา 22 ของพ.ร.บ.ร่วมทุนฯ โดยคาดจะมีการพิจารณากรณีของ DTAC ในเดือนม.ค.11 แต่สำหรับ TRUEMOVE ยังมีปัญหาเรื่องความถูกต้องของสัญญาหลัก นอกจากนี้ มองว่าผลประโยชน์สุทธิต่อการเติบโตและการลดต้นทุน อาจไม่มากอย่างมีนัยสำคัญนัก หากเทียบกับ จะไม่มีนัยสำคัญ ได้เท่า
บริการ 3G บนคลื่นใหม่ ซึ่งจากพ.ร.บ.ความถี่ใหม่ฯ มี ต้นทุนค่าใบอนุญาตอยู่ที่ 2% ขณะที่อัตราค่าสัมปทานปัจจุบัน 20-30% เชิงพื้นฐาน “ถือ” DTAC(TP– 48 บาท) ส่วน TRUE (TP- 3.24 บาท) ระยะสั้น อาจยังมีการเก็งกำไรจากแผนการซื้อ Hutch แต่จากข้อมูลในสื่อต่างๆ ยังไม่มีรายละเอียดแน่ชัดยังอยู่ใน Rating “ขาย”
• Fund Flow วานนี้ยังไหลเข้าต่อเนื่องเป็นวันที่ 17 ติดต่อกัน ส่วนใหญ่ซื้อสุทธิในตลาดหุ้นเกาหลีใต้และไต้หวันเช่นเคย ในขณะที่ตลาดขนาดเล็กอย่าง
ไทย อินโด ฟิลิปปินส์และเวียดนาม ค่อนข้างเงียบเหงา เนื่องจากนักลงทุนและกองทุนส่วนใหญ่หยุดพักผ่อนยาว อย่างไรก็ตามในช่วงนี้ตลาดยังให้ความสนใจในหุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์เป็นอย่างมาก เนื่องจากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ โดยเฉพาะตัวเลขการบริโภคในสหรัฐปรับขึ้นดีมากกว่าคาด ทำให้คาดว่าความต้องการใช้สินค้าจะเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบและราคาสินค้าโภคภัณฑ์เกือบทุกชนิดปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องและบางชนิดทำสถิติใหม่ สำหรับค่าเงินสหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับยูโร แต่ค่าเงินบาททรงตัวอยู่ที่ระดับ 30 บาท/ดอลลาร์ ส่วนแนวโน้มกระแสเงินทุนต่างชาติช่วงนี้ยังทรงตัวหรือชะลอตัว เราแนะนำ ซื้อเก็งกำไรในหุ้นกลุ่มพลังงาน และปิโตรเคมีต่อเนื่อง


ข่าวภายในประเทศ
TRUE ซื้อฮัทช์เกินคุ้มกสทต่อสัมปทาน 14 ปี 2 ปีแปลง CDMA เป็น HSPA ต่อยอดบริการมือถือได้ถึง 4G TRUE ซื้อ HUTCH คุ้มเกินคุ้มล่าสุดยื่นขอแก้สัญญาดำเนินธุรกิจ 3 จี กสทฯ ลั่นไม่มีปัญหา พร้อมเปิดทางบริหารคลื่น 850 เมกะเฮิรตซ์ต่ออีก 14 ปี “จิรายุทธ”รับลูกทันทีแผนงานอีก
2 ปีจะเปลี่ยน CDMA เป็น HSPA พร้อมกันนี้บอร์ด กสทฯ อนุมัติ DTAC-TRUE ขยายสถานีฐานทดลองบริการ 3 จีเพิ่ม (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 24-12-2010)
KK สินเชื่อปรี๊ด 22% กำไรจ่อ 3.06 พันลบ. โบรกฯ คาด “เกียรตินาคิน” (KK ) กำไรปี’53 ปลิ้น 3.06 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 37.1% ปันผล 1.50บาทต่อหุ้น หลังสินเชื่อเช่าซื้อ 11 เดือนแรกกระโดด 22% ราคาพื้นฐาน 49.90 บาท แนะนำ "ซื้อ" ด้านบอร์ด KK แต่งตั้ง “ธวัชชัย สุทธิกิจพิศาล” นั่งซีอีโอ ควบกรรมการผู้จัดการ (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 24-12-2010)
IVL รายได้ไตรมาส 4 นิวไฮเป้า 3 ปี สินทรัพย์แสนล้าน IVL ลั่นรายได้ไตรมาส 4 ดีกว่าไตรมาส 3 เหตุรับรู้รายได้โรงงานอัลฟ่าเพ็ทสหรัฐเต็มไตรมาส ส่วนสเปรดราคาผลิตภัณฑ์ PTA แตะ 250-260 เหรียญต่อตัน ส่วน PET 220 เหรียญต่อตัน ส่วนปีหน้ารายได้โตไม่ต่ำกว่า 20% ตั้งเป้าเพิ่มการลงทุนภายในปี 2557 คิดเป็นมูลค่า 3.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 24-12-2010)
DCC เจรจาลูกค้ากระเบื้องพม่า 2 ราย ออเดอร์เตรียมไหลเข้าปีหน้า เตรียมงบลงทุนกว่า 420 ล้าน DCC บุกตลาดกระเบื้องพม่า แย้มเจรจาลูกค้าใหม่ 2-3 ราย คาดออเดอร์เข้าต้นปีหน้า ตั้งเป้ายอดขายโต 10% จากปีนี้ที่คาดว่าจะโต 12% วางงบลงทุน 420 ล้านบาท ขยายกำลังการผลิตสร้างเตาเผาเพิ่มอีก 2 เตา ทำให้กำลังการผลิตเป็น 61 ล้านตร.ม./ปี ส่วน DRT ฟุ้งยอดขายปีนี้ทะลุเป้าที่ตั้งไว้ 10% รับอานิสงส์อสังหาฯไทยฟื้น(ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 24-12-2010)
BSBM ยอดขายปีหน้า 2 แสนตัน ตั้งเป้าเติบโตไม่ต่ำกว่า 50-100% BSBM ตั้งเป้ายอดขายปีหน้า 2 แสนตัน เติบโต 50-100% ขยายฐานลูกค้ามากขึ้นทั้งภาครัฐและเอกชน เน้นปริมาณขายมากกว่ากำไรแต่ไม่ขาดทุน หวังส่วนแบ่งการตลาด 7-10% ส่วนแนวโน้มไตรมาส 4/53 ใกล้เคียง 457
ล้านบาทจากไตรมาสก่อน โบรกฯยังแนะซื้อ เป้าหมาย 1.93 บาท เหลืออัพไซด์ 32% (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 24-12-2010)
----------------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ตปท.
ข่าวต่างประเทศ
สหรัฐอเมริกา: สหรัฐเผยยอดขายบ้านใหม่เดือนพ.ย.พุ่ง 5.5% สะท้อนตลาดที่อยู่อาศัยฟื้นตัว กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงาน ว่า ยอดขายบ้านใหม่เดือนพ.ย.พุ่งขึ้น 5.5% แตะระดับ 290,000 หลังต่อปี จากระดับของเดือนต.ค.ที่ 275,000 หลัง ซึ่งบ่งชี้ถึงการฟื้นตัวของตลาดที่อยู่อาศัยและแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐ รายงานระบุว่า ราคากลางของบ้านใหม่เดือนพ.ย.อยู่ที่ 213,000 ดอลลาร์ ลดลง 2.7% เมื่อเทียบเป็นรายปี (ที่มา: อินโฟเควสท์ 24-12-2010)
สหรัฐอเมริกา: สหรัฐเผยยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนพ.ย.พุ่งขึ้น 2.4% บ่งชี้ภาคการผลิตสหรัฐยังสดใส กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิด เผยว่ายอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนพ.ย.ซึ่งไม่นับรวมสินค้าที่ใช้ในอุตสาหกรรมการขน ส่ง พุ่งขึ้น 2.4% ทำสถิติเพิ่มขึ้นแข็งแกร่งสุดในรอบ 8 เดือน และสะท้อนให้เห็นว่าภาคการผลิตของสหรัฐยังคงขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง (ที่มา: อินโฟเควสท์ 24-12-2010)
สหรัฐอเมริกา: สหรัฐเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานสัปดาห์ที่แล้วลดลง 3,000 ราย กระทรวงแรงงานสหรัฐ รายงานว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการระหว่างว่างงานในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุด ณ วันที่ 18 ธ.ค.ปรับตัวลดลง 3,000 ราย แตะที่ 420,000 ราย ซึ่งสอดคล้องกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ในตลาดวอลล์สตรีท (ที่มา: อินโฟเควสท์ 24-12-2010)
สหรัฐอเมริกา: ข้อมูลศก.สหรัฐแข็งแกร่ง หนุนน้ำมันดิบปิดพุ่ง $1.03 สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (23 ธ.ค.) เนื่องจากข้อมูลเศรษฐกิจที่สดใสของสหรัฐ รวมถึงการปรับตัวขึ้นของตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคและยอดขายบ้านใหม่ ซึ่งทำให้นักลงทุนเชื่อมั่นว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจะช่วยหนุนความต้องการ พลังงานให้ดีดตัวขึ้นด้วย นอกจากนี้ ตลาดน้ำมันนิวยอร์กยังคงได้แรงหนุนจากสต็อกน้ำมันของสหรัฐที่ร่วงลงในรอบ สัปดาห์ที่แล้ว อันเนื่องมาจากสภาพอากาศที่หนาวเย็น (ที่มา: อินโฟเควสท์ 24-12-2010)
จีน: จีนเล็งเพิ่มปริมาณการผลิตข้าวในปี 2554 หลังดีมานด์ในประเทศพุ่ง กระทรวงเกษตรของจีนเปิดเผยว่า จีนมีมติในที่ประชุมสามัญกำหนดกรอบการทำงานสำหรับพื้นที่ชนบทให้เพิ่มปริมาณ การผลิตข้าวพร้อมกับส่งเสริมให้เกษตรกรเพิ่มพื้นที่เพาะปลูกข้าวโพดในปีหน้า ทั้งนี้ ปริมาณการบริโภคข้าวภายในประเทศจีนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงปีที่ผ่านมา แต่ด้วยสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวยในพื้นที่เพาะปลูกที่สำคัญๆทำให้ผลผลิตและอุปทานลดลงในปีนี้ โดยนายหลี่ หนิงหุย เจ้าหน้าที่จากสถาบันบัณฑิตยสถานวิทยาศาสตร์การเกษตรของจีน กล่าวว่า ปัจจัยดังกล่าวทำให้ราคาธัญพืชภายในประเทศปรับตัวสูงขึ้นในปี 2553 (ที่มา: อินโฟเควสท์ 23-12-2010)
เอเชีย: สิงคโปร์เผยเงินเฟ้อเดือนพ.ย.พุ่งแตะ 3.8% หลังต้นทุนการขนส่งเพิ่มขึ้น สำนักงานสถิติแห่งชาติสิงคโปร์ รายงานในวันนี้ว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (ซีพีไอ) ซึ่งเป็นดัชนีวัดเงินเฟ้อที่สำคัญ พุ่งขึ้นแตะระดับสูงที่ 3.8% ในเดือนพ.ย.ปีนี้ เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว เนื่องจากต้นทุนการขนส่งปรับตัวเพิ่มขึ้น 9.4% ซึ่งเป็นผลมาจากการพุ่งขึ้นของราคารถยนต์และเชื้อเพลิง (ที่มา: อินโฟเควสท์ 23-12-2010)
----------------------------------------------------------------------------------

Code 221 : ยืนเหนือ 1020 แต่พลังงานยังกดดันตลาด

วันพฤหัสที่ 22 ธันวาคม 2553

ATT Code : ยืนเหนือ 1020 แต่พลังงานยังกดดันตลาด
----------------------------------------------------------------------------------
MARKET WAVE Analysis
23 ธค. 53 ( +5.95 จุด) โกมล พงศ์วิญญู เลขทะเบียน 18338

ไม่ควรต่ำกว่า 1013.27 จุด
ดัชนีในวันพุธปรับตัวขึ้นมาแถว แนวต้านตามธรรมชาติของเส้นค่าเฉลี่ย 25 วันพอดี

ถ้าสามารถปรับตัวขึ้น เกิน 1020.52จุดสูงสุดของวันพุธและเส้นค่าเฉลี่ย 25 วันได้ดัชนีสามารถกลับขึ้นไปแถว 1025 – 35 ใกล้จุดสูงสุดของสัปดาห์นี้

แต่ถ้า ต่ำกว่า 1013.27 จุดต่ำสุดของวันพุธ ดัชนีมีโอกาสปรับตัวลงแถว 1002 – 05( หรือต่ำกว่า ? ) ใกล้จุดต่ำสุดของสัปดาห์นี้อีกครั้ง

ภาพโดยรวมแล้ว ยังคงเป็นการแกว่งตัวออกด้านข้างในกรอบ 980 – 1040 หรือระหว่างจุดต่ำสุดของเดือน พย. ถึงจุดสุงสุดของเดือนธค.

หุ้นเด่น
STA
ปรับตัวขึ้นมาแถวเส้นค่าเฉลี่ย 25 ชั่วโมงพอดีรอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 34.75 จุดสูงสุดวันพุธ และเส้นค่าเฉลี่ยดังกล่าว เป้าหมายหนึ่งถึงสองวัน 36.25 – 36.75( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 33.75 )

PTTAR
ปรับตัวขึ้นมาแถวเส้นค่าเฉลี่ย 25 ชั่วโมงพอดีรอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 37.00 จุดสูงสุดวันพุธ และเส้นค่าเฉลี่ย 25 ชั่วโมง เป้าหมายหนึ่งถึงสองวัน 38.00 – 38.50( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 36.25 )

10 อันดับซื้อขายสูงสุด
IVL ต่ำกว่า 53.75 ลง 49 - 50
IRPC ต่ำกว่า 5.50 ลง 5.10 – 5.20
PTTCH ต่ำกว่า 141.50 ลง 130 – 135
PTT แกว่งตัว 318 - 324
TOP ต่ำกว่า 74.25 ลง 71.50 – 72
TRUE ต่ำกว่า 6.15 ลง 5.90 - 6
BAY ต่ำกว่า 24.70 ลง 23.50 – 24
SCB เกิน 105.50 ขึ้น 108 - 109
PTTAR รายละเอียดใน “หุ้นเด่น”
BANPU ปรับตัวลง 766 – 770
----------------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย
FSS : ตลาดยังมีสิทธิแกว่งลงใหม่ ดังนั้นจะซื้อเพิ่มยังน่ารอช่วงอ่อนตัว...
แนวโน้ม: FSS ยังคาดว่า SET จะอยู่ในช่วงรีบาวด์ต่อเนื่องเหมือนช่วง 2 วันที่ผ่านมาได้ หลังตลาดต่างประเทศเริ่มกลับมาดูสดใส ทั้งจากตัวเลขเศรษฐกิจที่ดี
ของสหรัฐ และการคาดการณ์ จีดีพี ของสหรัฐที่ยังขยายตัวได้ดี แต่มีแนวโน้มที่จะเริ่มมีการแกว่งตัวผันผวนในระหว่างวันมากขึ้น และอาจจะเริ่มเห็นการแกว่งตัว
ในด้านลบได้บ้างในช่วงถัดจากนี้ เนื่องจากเช้านี้ตลาดหุ้นเอเชียหลายประเทศก็เริ่มมีแรงขายทำกำไรให้เห็นบ้างแล้ว ดังนั้นเราจึงยังแนะนำให้แบ่งส่วนขายทำ
กำไรบ้างเมื่อตลาดขยับขึ้นต่อ โดยยังสามารถรอเลือกหุ้นเข้ารับเมื่อตลาดปรับพักตัวลงในรอบถัดไปได้ ซึ่งระดับดัชนีที่น่าสนใจยังมองไว้แถว 1000 จุดหรือหลุด
ต่ำกว่าลงไปอยู่
กลยุทธ์: หาจังหวะทำกำไรบ้างเมื่อตลาดเป็นบวก ส่วนจังหวะซื้อเพิ่มยังน่ารอรับต่ำ โดยหุ้นที่น่าสนใจได้แก่ BANPU, BIGC, KTB, PTL, SEAFCO, AP, CSL,DELTA, DRT, LPN, PTT, PTTEP, KTB, KBANK, SCB, TASCO, AMATA, PS,
SPALI, CK, STEC เป็นต้น
ประเด็นสำคัญวันนี้
• (+) สหรัฐฯ รายงาน GDP 3Q10 เป็นการคาดการณ์ครั้งสุดท้าย ถูกปรับขึ้นเป็น+2.6% ขึ้นจากที่คาดการณ์ครั้งก่อนที่ +2.5% แต่ต่ำกว่า Consensus ที่คาด+2.8% การบริโภคในประเทศยังเพิ่มไม่มากพอที่จะผลักดันให้ GDP โตได้สูงกว่านี้ซึ่งเป็นระดับที่ไม่สามารถทำให้อัตราการว่างงานลดลงได้ แม้ว่า GDP จะต่ำกว่าตลาดคาดแต่ DJIA ยังบวกได้เพราะนักลงทุนคาดว่าจะมีการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไป
• (-) นิวซีแลนด์รายงาน GDP 3Q10 -0.2% เพราะได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว 7 ริกเตอร์ รุนแรงที่สุดในรอบ 8 ทศวรรษ ซึ่งส่งผลให้ภาคอสังหาริมทรัพย์และอุตสาหกรรมหดตัว อย่างไรก็ตาม สำนักงานสถิติแห่งชาตินิวซีแลนด์ยังเชื่อว่า GDP ปีนี้จะขยายตัวได้ 1.4%
• (+) สภาพัฒน์คาด GDP ปีนี้ทะลุ 8% โดย 4Q10 น่าจะยังขยายตัวเป็นบวกY-Y แต่หดตัวไม่เกิน 0.2% Q-Q ส่วนปีหน้าเศรษฐกิจโตเกิน 4.5% ปัจจัยเสี่ยงมาจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกและค่าเงินบาท มีความเป็นไปได้สูงที่ กนง.จะขึ้นดอกเบี้ย 1-1.5% เป็น 3-3.5% เพื่อสกัดเงินเฟ้อที่คาดว่าจะเพิ่มเป็น 3-5%
• (+) DELTA เราปรับลดคำแนะนำจาก ‘ซื้อ’ เป็น ‘ถือ’ ผู้บริหารมีมุมมองconservative มากขึ้นในปีหน้าเพราะเงินบาทแข็งค่าและการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในธุรกิจ Solar inverter จากการเข้ามาของคู่แข่งรายใหม่ ซึ่งสอดคล้องกับประมาณการของเราอยู่แล้ว เหตุที่เราปรับลดคำแนะนำลงเป็น ‘ถือ’ เพราะกำไรในปีหน้าคาดว่าจะโตเพียง 2% ชะลอลงมากจากปีนี้ที่คาดว่าจะโตถึง 103% สอดคล้องกับราคาหุ้นที่ปีนี้ DELTA +90%YTD ดีที่สุดในกลุ่ม เราจึงเชื่อว่าราคาหุ้น DELTA จะunderperform ในปีหน้า ที่สำคัญคือราคาเป้าหมายซึ่งปรับลงเป็น 37 บาทจากการปรับ PE ลงเป็น 10 เท่าจาก 11 เท่า เป้าหมายดังกล่าวมี upside เพียง 5%แต่มี Dividend yield สูง 5-6% จ่ายปีละ 1 ครั้ง จึงแนะนำถือได้
• (0) TSR ของ IVL ที่ขึ้น XT ไปแล้ววันที่ 22 ธ.ค. นั้น จะมีการจัดสรรประมาณต้นเดือน ม.ค. 2011 และคาดว่าจะเริ่มซื้อขายในสัปดาห์ที่ 2 ของเดือน ม.ค.จนถึงสิ้นเดือน ม.ค. รวมอายุประมาณ 15 วันทำการ ส่วนหุ้นสามัญใหม่ที่มีการแปลงสภาพมาจาก TSR จะเริ่มซื้อขายประมาณต้นเดือน มี.ค. 2011
• Fund Flow วานนี้ยังไหลเข้าตลาดหุ้นภูมิภาค 16 วันติดต่อกัน และมีปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้น ส่วนใหญ่เข้าซื้อสุทธิในตลาดหุ้นเกาหลีใต้และไต้หวัน แม้ช่วงนี้ยังไม่ปัจจัยใหม่เข้าสู่ตลาด แต่สัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐส่งผลให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์รวมถึงราคาน้ำมันดิบและทองคำในตลาดโลกปรับตัวขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่ทั่วหน้า ส่วนค่าเงินดอลลาร์กลับมาอ่อนค่าเล็กน้อย ค่าเงินบาทยังทรงตัวอยู่ที่ระดับ 30 บาท/ดอลลาร์ หุ้นกลุ่มพลังงาน ปิโตรเคมี สินค้าเกษตร ได้รับความสนใจในการลงทุนในช่วงนี้มาก

ข่าวภายในประเทศ
EMC ไตรมาส4เริ่ดสุดปีนี้ตัวเลขส่งมอบงานเพียบ EMC ฟุ้งไตรมาส 4 ดีสุดปีนี้ มั่นใจพลิกมีกำไร หลังมีการส่งมอบงานมากขึ้นและเรียกเก็บเงินค้าง
ชำระที่ดีขึ้น ประกอบกับมีรับรู้กว่า 4,500 ล้านบาท ยอมรับรายได้ทั้งปีต่ำกว่าเป้าที่ตั้งไว้ 2,500-2,700 ล้านบาท เนื่องจากความล่าช้าของโครงการ
(ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 23-12-2010)
GRAND ราคาร้อนแรงบวก 30% บริษัทลูก TPROP เข้าถือหุ้นใหญ่ จ่อทำเทนเดอร์ต้นปี ราคาหุ้น GRAND ร้อนแรงบวก 30% หลังเมโทร
พรีเมียร์ โฮลดิ้ง ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ TPROP เข้าเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 63.43%และจะทำเทนเดอร์ออฟเฟอร์ในหุ้นที่เหลือทั้งหมดระหว่างวันที่ 7 ม.ค.
2554 ถึง 10 ก.พ. 2554 ในราคาเสนอซื้อหุ้นละ 0.57 บาท พร้อมกู้ยืมเงินจาก TPORP 170 ล้านบาท เพื่อนำมาใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนด้วย (ที่มา:นสพ.ข่าวหุ้น 23-12-2010)
ERAWAN ทุ่มหมื่นล้านลงทุน 5 ปี ปีหน้าพลิกขาดทุนกลับเป็นกำไร ERAWAN เตรียมทุ่มงบลงทุน 7,000-10,000 ล้านบาท ขยายจำนวนโรงแรมในช่วง 5 ปีข้างหน้า ตั้งเป้าไว้ที่ 20 แห่ง จากปัจจุบันมี 13 แห่ง ส่วนรายได้ปีนี้ทำได้ 3.4 พันล้านบาท โต 7-8% จากปีก่อน แต่ปีหน้าคาดพลิกกลับเป็นกำไร (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 23-12-2010)
SGP ไม่หวั่นรัฐบาลลอยตัว LGP เชื่อกระทบยอดขายเล็กน้อย ปีหน้ารายได้โต 40% SGP เชื่อรัฐบาลลอยตัว LPG ภาคอุตสาหกรรมและปิโตร
เคมี กระทบยอดขายเล็กน้อย เนื่องจากมีลูกค้าเพียง 10% ของยอดขายรวม คาดกำไร-รายได้ Q4/53 ดีกว่า Q3/53 เหตุธุรกิจเข้าสู่ไฮซีซั่นปริมาณใช้
ก๊าซพุ่ง ส่วนปี 2554 รายได้โต 40% หลังเริ่มรับรู้รายได้จาก BPZH (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 23-12-2010)
BKI เป๋าตุงขายหุ้นทำกำไร รอทิ้งต้นปี 200 ล. คาดกำไรปีนี้ฟาด 1.3 พันล. “กรุงเทพประกันภัย” (BKI) เล็งทิ้งหุ้นออกจากพอร์ตต้นปีหน้า 200
ล้านบาท หลังช่วงปีนี้ได้ผลตอบแทนจากพอร์ตลงทุนหุ้นสูงกว่าช่วงปีที่ผ่านมาถึง 50% ส่วนผลกำไรสุทธิสิ้นปีนี้แตะ 1,200-1,300 ล้านบาท (ที่มา:
นสพ.ข่าวหุ้น 23-12-2010)
BBL สินเชื่อปีหน้าโต 5-7% จับกลุ่มลูกค้าทุกเซ็กเตอร์ ธนาคารกรุงเทพ (BBL) เปิดแผนธุรกิจปีหน้า หวังสินเชื่อเติบโต 5-7% เน้นกระจายทุก
เซ็กเตอร์ ปลื้มสัดส่วนสินเชื่อต่างแดนฟาดแล้ว 18% ส่วนหนี้เน่าหั่นเหลือ 4% ด้าน NIM ตั้งเป้ารักษา 3%
----------------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ตปท.
ข่าวต่างประเทศ
สหรัฐอเมริกา: สหรัฐเผยสต็อกน้ำมันดิบสัปดาห์ที่แล้วร่วงเกินคาด 5.33 ล้านบาร์เรล สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของสหรัฐรายงาน
ว่า สต็อกน้ำมันดิบในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุด ณ วันที่ 17 ธ.ค.ร่วงลง 5.33 ล้านบาร์เรล มาอยู่ที่ระดับ 340.69 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่
คาดว่าจะขยับลงเพียง 1.5 ล้านบาร์เรล ขณะที่สต็อกน้ำมันกลั่นลดลง 589,000 บาร์เรล แตะที่ 160.7 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่คาดว่าจะลดลงเพียง
500,000 บาร์เรล อย่างไรก็ตาม สต็อกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 2.4 ล้านบาร์เรล แตะที่ 217.2 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 1.6 ล้าน
บาร์เรล ส่วนอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันลดลง 0.3% แตะที่ 87.7% ซึ่งสอดคล้องกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ (ที่มา: อินโฟเควสท์
23-12-2010)
สหรัฐอเมริกา: สหรัฐปรับเพิ่มประมาณการ GDP Q3/53 เป็นขยายตัว 2.6% หลังเอกชนเพิ่มสต็อกสินค้า กระทรวงพาณิชย์เปิด เผยการประมาณการตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาส 3 ครั้งสุดท้าย โดยระบุว่าจีดีพีไตรมาส 3 ขยายตัว 2.6% ต่อปี เพิ่มขึ้นจากการประมาณการครั้งก่อนที่ระดับ 2.5% ต่อปี หลังจากภาคเอกชนปรับเพิ่มสต็อกสินค้า (ที่มา: อินโฟเควสท์ 23-12-2010)
จีน: จีนประกาศขึ้นราคาน้ำมันเครื่องบิน คาดอาจบีบสายการบินจีนแห่ขึ้นค่าธรรมเนียมน้ำมัน คณะกรรมการเพื่อการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติของจีน (NDRC) ประกาศขึ้นราคาน้ำมันเครื่องบินภายในประเทศอีก 300 หยวน หรือ 5.3% เป็น 5,990 หยวนต่อตัน โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป (ที่มา: อินโฟเควสท์ 22-12-2010)
จีน: จีนเผยสต็อกน้ำมันดิบเชิงพาณิชย์เดือนพ.ย.ลดลง 3.2% ข้อมูลสถิติปริมาณสำรองปิโตรเลียมจีน (CPSS) จากบริการข้อมูลการเงินแบบออนไลน์ของสำนักข่าวซินหัวระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบเชิงพาณิชย์ของจีนในช่วงสิ้นสุดเดือนพ.ย. 2553 ลดลง 3.2% เมื่อเทียบเป็นรายได้ อย่างไรก็ดีจากผลการสำรวจของ CPSS พบว่า ข้อมูลสต็อกน้ำมันดิบเชิงพาณิชย์ของจีนนั้นไม่นับรวมสต็อกน้ำมันดิบจากสำรอง เชื้อเพลิงปิโตรเลียมเชิงยุทธศาสตร์ของประเทศ (ที่มา: อินโฟเควสท์ 22-12-2010)
เอเชีย: ญี่ปุ่นปรับลดคาดการณ์การขยายตัวเศรษฐกิจปีงบ 54 สู่ระดับ 1.5% รัฐบาลญี่ปุ่นได้ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศในปีงบประมาณ 2554 ลงสู่ระดับ 1.5% จากระดับ 3.1% ในปีงบประมาณปัจจุบัน เนื่องจากการบริโภคภาคเอกชนที่อ่อนแอ ประกอบกับอานิสงส์จากการใช้มาตรการกระตุ้นการคลังเบาบางลง (ที่มา: อินโฟเควสท์ 22-12-2010)
----------------------------------------------------------------------------------