Code 348 : SET ดูไม่ดี หลังปิดต่ำกว่า Low เมื่อวานที่ 963

วันอังคารที่ 1 กุมภาพันธ์ 2554


ATT Code : SET ดูไม่ดี หลังปิดต่ำกว่า Low เมื่อวานที่ 963

จากที่ตอนช่วงเช้ามีแรงซื้อ PTT โดยยกขึ้นไป 2 ช่อง ขึ้นไป High ที่345 แต่ตอนก่อนปิดตลาด ก็มีแรงขายออกมา ทำให้ SET ปิดที่ 959.69จุด ลบไป 4.41 จุด โดยหลุด 963 จุดที่ต่ำสุดของวันจันทร์ ทำให้ SET มีโอกาสที่จะหลุดลงไปที่ 950 ได้ใหม่อีกครั้ง โดยยังมีความกังวลในเรื่องของการชุมนุมประท้วงในประเทศอียิปต์อยู่ และมีความเสี่ยงที่อาจจะเป็นชนวนให้ลุกลามไปยังประเทศอื่นๆในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือได้

-----------------------------------------------------------------------------
MARKET WAVE Analysis
1 กพ. 54 ( -17.73 จุด ) โกมล พงศ์วิญญู เลขทะเบียน 18338


Intraday - ระยะสั้นไม่ชัดเจน : ภาพระยะสั้นไม่ชัดเจนถ้าเกิน 973.88 จุดสูงสุดเช้านี้ ขึ้นต่อ 982 - 987 ใกล้จุดสูงสุด 27 มค.ถ้าต่ำกว่า 962.95 จุดต่ำสุดวันจันทร์ ลง 950 - 951 จุดต่ำสุดสัปดาห์ที่แล้ว โดยรวมน่าจะแกว่งตัวในกรอบ 950 - 987 อีกหลายสัปดาห์

ปรับตัวลง 950 - 951 จุด
แนวโน้มดัชนีในวันอังคาร (หรือพุธ) มีโอกาสปรับตัวกลับลงไปแถว 950 – 951 ใกล้จุดต่ำสุดของสัปดาห์ที่แล้วอีกครั้งณ บริเวณ 950 – 951 จุด ดัชนีน่าจะมีโอกาสดีดตัวกลับขึ้นมาแถว 980 – 987 ? ใกล้จุดสูงสุดของวันพฤหัสที่ 27 มค. และเป็นบริเวณแนวต้านตามธรรมชาติของเส้นค่าเฉลี่ย 25 สัปดาห์

และพอมีความเป็นไปได้ว่า ตลาดน่าจะแกว่งตัวอีกนาน “หลายสัปดาห์” ในกรอบ 950 - 987 หรือ ระหว่างจุดต่ำสุดของสัปดาห์ที่แล้ว ถึงจุดสูงสุดของวันที่ 27 มค.


หุ้นเด่น
ESSO
ปรับตัวขึ้นมาอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ย 25 ชั่วโมงได้อีกครั้ง รอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 7.50จุดสูงสุดวันจันทร์ เป้าหมายสองสามวัน7.80 – 7.90( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 7.30 )7.80 – 7.90

PTTEP
ปรับตัวขึ้นมาอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ย 25 ชั่วโมงได้อีกครั้ง รอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 161.50จุดสูงสุดวันจันทร์ เป้าหมายสองสามวัน167.50 – 169.50( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 158.50 )

10 อันดับซื้อขายสูงสุด
PTT ปรับตัวลง 315 – 325
BANPU ปรับตัวลง 700 – 720
IVL แกว่งตัว 38 – 40.50
KTB ปรับตัวลง 14 – 15
TRUE ปรับตัวลง 6.20 - 6.30
PTTEP รายละเอียดใน “หุ้นเด่น”
PTTAR แกว่งตัว 36.50 – 37.75
SCB ต่ำกว่า 94 ลง 92 – 93
PTTCH แกว่งตัว 137.50 – 141
SCC แกว่งตัว 308 – 319

------------------------------------------------------------------------------------------
เงาหุ้น - มุมมองเอเซียพลัส!!


ดัชนีหุ้นวันที่ 31 ม.ค.54 ปิดที่ 964.10 จุด ลบ 17.73 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 21,290.69 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 883.64 ล้านบาท

บทวิเคราะห์ บล.เอเซียพลัส ระบุว่า สถานการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองในอียิปต์ ได้สร้างความกังวลต่อนักลงทุนทั่วโลก จนทำให้ดัชนีหุ้นทั่วโลกร่วงกราวรูด และที่สำคัญหุ้นไทยที่เริ่มมีแววเหมือนจะฟื้นตัวจากแรงเก็งกำไรในผลประกอบที่กำลังจะทยอยประกาศออกมาต้องมาสะดุดและร่วงตามไปด้วย

เพราะอียิปต์ ถือว่าเป็นประเทศที่มีความสำคัญในเชิงยุทธศาสตร์ มีพื้นที่ภูมิประเทศใกล้เส้นทาง การขนส่งสินค้าทางทะเล ซึ่งเป็นหัวใจหลักจากเอเซีย ไปยังทวีปยุโรป โดยผ่านคลองสุเอซ เพื่อช่วยย่นระยะทางในการขนส่ง

ปัญหาความวุ่นวายในอียิปต์ จึงอาจทำให้การค้าโลกสะดุด และอาจกลายเป็นตัวจุดชนวนให้ปัญหาลุกลามไปยังประเทศอื่นๆในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ ที่มีปัญหาสะสมคล้ายกับอียิปต์ สถานการณ์ความวุ่นวายที่เกิดขึ้น จึงช่วยเร่งให้นักลงทุนต่างชาติ ที่ก่อนหน้านี้ก็ขายออกต่อเนื่องอยู่แล้วให้ขายเพิ่มเติมยิ่งขึ้น เพื่อโยกเงินจากสินทรัพย์เสี่ยงสู่สินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยมากกว่า

โดยสัญญาณที่น่าจับตา คือแนวโน้มการอ่อนค่าของเงินบาท ที่ล่าสุดอ่อนค่ามาอยู่ที่ 31.19 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ สอดรับกับแฝดสามอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ (TIP) ที่นอกจากหุ้นจะร่วงกระหน่ำกว่า 2.39% และ 2.24% ค่าเงินรูเปี๊ยะและเปโซก็ล้วนอ่อนค่ากว่า เช่นกัน ตรงนี้ก็น่าจะเป็นตัวยืนยันถึงแนวโน้มการไหลออกของเงินทุนระยะสั้นในกลุ่มประเทศ TIP

ฝ่ายวิจัยมองแนวโน้มการไหลออกของเงินทุนระยะสั้นว่า น่าจะยังไหลออกต่อเนื่อง จากการประเมินการเข้าออกในแต่ละรอบของต่างชาติที่มักจะขายออกราว 60% จากที่เข้าซื้อ ทำให้มองได้ว่ารอบนี้ต่างชาติยังเหลือปริมาณหุ้นที่จะขายออกอีกราว 1.25 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะกดดันให้ดัชนีแกว่งเชิงลบต่อไปอีกระยะแต่คาดว่าจะไม่ลงไปต่ำกว่า 930 จุด

หรือดัชนีที่ระดับ 950 จุด น่าจะพอรับได้อยู่ เพราะเป็นระดับต้นทุนเฉลี่ยของต่างชาติที่เข้ามาซื้อหุ้นรอบนี้นับตั้งแต่ 23 ก.ค.53 ซึ่งมี พี/อีที่ 12 เท่า น่าจะเป็นระดับที่หยุดการขายของฝรั่งได้

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในระยะ 1—3 เดือนข้างหน้ายังเน้นหุ้นที่สามารถป้องกันเงินเฟ้อได้ โดยเน้นหุ้นที่ underperform กลุ่ม คือ PTTEP, BANPU!!

อินเด็กซ์ 51

-----------------------------------------------------------------------------
EFinance Thai - ADVANCสะดุด

ADVANC ร่วงหลังเจอ TOT เรียกให้จ่ายค่าเสียหายกรณีแก้สัมปทานมากกว่า 7.3 หมื่นลบ.ภายใน 15 ก.พ.54 ขณะที่ผู้บริหารระบุยังไม่ได้รับหนังสือเรียกค่าเสียหายพร้อมประกาศสู้เต็มที่ เล็งนำเข้าสู่กระบวนการอนุญาโตตุลาการ ด้านวงการมอง คดีพิพาทนี้ต้องใช้เวลาต่อสู้อีกนาน แต่ความเสี่ยงต่างจากกรณี ITV สั่งจับตาวันนี้ รมว.ไอซีที ชงเรื่องเข้า ครม.หรือไม่ มองกรณีแย่สุดหากต้องจ่ายจริง ราคาเหมาะสมเหลือ79-80บาท

หลังจากคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ตำแหน่งทางการเมืองที่ตัดสินคดียึดทรัพย์ของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี แต่คดีความยังมีประเด็นที่เกี่ยวพันต่อเนื่อง โดยเฉพาะกรณีการแก้ไขสัญญาสัมปทานของกิจการโทรคมนาคม ซึ่ง1ในบริษัทที่จะได้รับผลกระทบคือ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด(มหาชน)(ADVANC)


ล่าสุด ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) (TOT ) ระบุว่า ได้ส่งหนังสือแจ้งเตือน บริษัท แอวดADVANC เพื่อให้ชำระความเสียหายที่เกิดจากการแก้ไขสัญญาสัมปทานครั้งที่ 6 และ 7 รวมเป็นเงิน 73,800 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5% และภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% นับตั้งแต่วันที่มีการแก้ไขสัญญาสัมปทาน โดย TOT กำหนดให้ ADVANC ต้องจ่ายเงินภายในวันที่ 15 ก.พ.54
ขณะที่ ผู้บริหาร ADVANC ยืนยันจะไม่จ่ายความเสียหายของ TOT เนื่องจากคำตัดสินของศาลฎีกาฯ เป็นการพิพากษาเฉพาะบุคคล ไม่ใช่พิพากษาบริษัทฯ ขั้นตอนต่อไป ADVANC เตรียมนำ เรื่องดังกล่าวเข้าสู่กระบวนการอนุญาโตตุลาการแน่นอน ล่าสุดเมื่อวานนี้ บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC)ระบุว่า ขณะนี้ บริษัทฯ ยังไม่ได้รับหนังสือดังกล่าวจากTOTแต่อย่างใด

อย่างไรก็ตามจากกรณีดังกล่าวส่งผลให้ราคาหุ้น ADVANC ปรับตัวลดลง โดยราคาหุ้นเปิดที่ 77.50 บาท ลดลง 2.75 บาทจากปิดตลาดวันศุกร์ที่ผ่านมา ซึ่งปิดที่ 80.25บาทโดยลดลงต่ำสุดที่ 77 บาท ก่อนจะมาปิดตลาดที่ 80.00 บาทลดลง 0.25 บาท หรือ 0.31% มูลค่าการซื้อขาย 451.99 ล้านบาท


***บล.เกียรตินาคิน สั่งจับตา รมว.ไอซีที เข้าครม.วันนี้หรือไม่ ชี้กรณีแย่สุด ราคาหุ้นเหลือ 80บาท***
บล.เกียรตินาคิน ประเมินว่า ขั้นตอนนำไปสู่ข้อยุติค่อนข้างสับสน?ติดตาม 1 ก.พ.นี้ จะเสนอ ครม.หรือไม่ เห็นว่าขั้นตอนที่จะนำไปสู่ข้อยุติเรื่องสัมปทานของผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3 ราย (ADVANC, DTAC และ True move) ค่อนข้างสับสน

ทั้งนี้จากการสอบถามผู้บริหารทั้ง 3 บริษัทฯ ให้ข้อมูลตรงกันว่า กระทรวง ICT ควรนำผลสรุปความเห็นคณะกรรมการมาตร 22 การแก้ไขสัมปทานโทรศัพท์มือถือเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อขอความเห็นก่อน จากนั้นก็ส่งเรื่องกลับมาให้หน่วยงานรัฐกับเอกชนคู่สัญญา หากคู่สัญญามีความเห็นแตกต่างเกี่ยวกับสัมปทาน จะเข้าสู่กระบวนการอนุญาโตตุลาการ หากไม่สามารถหาข้อยุติได้ก็จะไปสู่ศาล ในกรณีนี้จึงต้องติดตามว่า รมว.ICT จะนำผลสรุปการแก้ไขสัญญาโทรศัพท์มือถือของ 3 ราย เสนอที่ประชุม ครม. วันที่ 1 ก.พ.นี้ หรือไม่

ข้อพิพาทภาษีสรรพสามิต ADVANC กับ TOT อยู่ในชั้นอนุญาโตฯ ปัจจุบันข้อพิพาทการหักส่วนแบ่งรายได้เป็นภาษีสรรพสามิตของ ADVANC, DTAC และ True move อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะอนุญาโตตุลาการ และยังไม่มีคำวินิจฉัยออกมา กรณี ADVANC การหักส่วนแบ่งรายได้ปี 46 - 50 เป็นภาษีสรรพสามิต มีมูลค่าประมาณ 31,463 ล้านบาท คิดเป็นผลกระทบต่อหุ้น 10.61 บาท จึงต้องติดตามคำวินิจฉัยของอนุญาโตฯ จะออกมาอย่างไร

ประเมินความเสี่ยงสัมปทานต่อ ADVANC เป็น 2 กรณี เห็นว่าความเสี่ยงสัมปทานของ ADVANC ไม่เหมือนกรณี ITV ซึ่งปรับลดส่วนแบ่งรายได้โดยไม่ได้รับความเห็นชอบจากหน่วยงานรัฐคู่สัญญา (สปน.) และ ITV ยังค้างจ่ายค่าสัมปทาน อย่างไรก็ตามประเมินความเสี่ยงสัมปทานของ ADVANC เป็น 2 กรณี

1) กรณีแย่สุด จ่ายส่วนแบ่งรายได้บริการ Roaming และส่วนแบ่งรายได้ prepaid ตามเงื่อนไขเดิมย้อนหลังตั้งแต่ปี 2544 (ปี 44-58) จะกระทบมูลค่าเหมาะสมปี 54 ลดลง 27 บาท จาก 108 บาท เหลือ 80 บาท

2) กรณีจ่ายส่วนแบ่งรายได้บริการ Roaming และไม่ต้องจ่ายส่วนแบ่งรายได้ prepaid ย้อนหลัง (ปี 54-58) จะกระทบมูลค่าเหมาะสมปี 54 ลดลง 17 บาท จาก 108 บาท เหลือ 91 บาท

*** บล.ดีบีเอสฯ มองกรณีแก้ไขสัมปทานต้องส่งต่อ อนุญาโตตุลาการ - SCB อาจโดนหางเลขทางจิตวิทยา***
ด้าน บล. ดีบีเอสวิคเคอร์ส มองว่า จากประเด็นนี้เล็งเห็นถึงแรงกระเพื่อมทางการเมืองที่อาจจะมากขึ้น นอกเหนือจากการเป็นปัจจัยลบกดดันราคาหุ้น ADVANC, SHIN ต่อไป ซึ่งจากการวิเคราะห์เบื้องต้น พบว่า ถ้าคิดจากค่าปรับจำนวน 7.3 หมื่นล้านบาท จะเท่ากับ 24.6 บาทต่อหุ้น ADVANC และเป็น 9.70 บาทต่อหุ้น SHIN (SHIN ถือ ADVANC 42.56%)

อย่างไรก็ตาม ทางผู้บริหารของ ADVANC ยืนยันว่าจะไม่ชำระค่าเสียหายตามที่ TOT เรียกร้อง เพราะการแก้สัญญาสัมปทานเกิดขึ้นตามมติของคณะกรรมการทั้ง 2 ฝ่าย คือ ฝ่าย ADVANC และฝ่าย TOT และทางบริษัทจะใช้สิทธิในการนำข้อพิพาทเข้าสู่การพิจารณาในชั้นอนุญาโตตุลาการด้วย สำหรับ SCB มีโอกาสที่หุ้นจะยังได้รับผลกระทบทางจิตวิทยาจากการเป็นผู้ปล่อยกู้รายใหญ่ให้กับกลุ่ม SHIN แต่มองว่าเรื่องนี้กระทบกับปัจจัยพื้นฐานของธนาคารจำกัดมาก จึงไม่มีการปรับราคาพื้นฐานของหุ้นลงแต่อย่างใด โดยปัจจุบันให้ราคาเป้าหมาย 12 เดือนของ SCB ไว้ที่ 121.50 บาท

ทั้งนี้ปิดตลาดวานนี้(31 ม.ค. 54) SCB ปิดอยู่ที่ 94.00บาท ลดลง 2.00บาทหรือ 2.08% มูลค่าการซื้อขาย 700.09ล้านบาท


*** บล.ฟินันเซีย ไซรัส มองคดีพิพาท ADVANC ต้องใช้เวลาอีกหลายปี ระบุกรณีแย่สุดฉุดราคาเหลือ 79 บาท***
บล.ฟินันเซีย ไซรัส มองว่ายังเป็น Sentiment เชิงลบต่อหุ้น ADVANC แม้ตามขั้นตอน หลังจากมีข้อสรุปจากคณะกรรมการตามมาตรา 22 ของพ.ร.บ.ร่วมทุน มูลค่าความเสียหายจากการแก้ไขสัญญาระบบพรีเพด ของ ADVANC (โดยลดอัตราส่วนแบ่งรายได้บริการโทรศัพท์มือถือแบบพรีเพด เหลือ 20% จากเดิมที่เป็นอัตราขั้นบันได เพิ่มเป็น 25% ตั้งแต่ปี 2001 และเพิ่มเป็น 30% ตั้งแต่ปี 2006 - สิ้นอายุสัมปทานปี 2015 และการไม่นำส่งรายได้จากบริการโรมมิ่ง) รวม 75,000 ล้านบาท รมว.ICT จะต้องนำข้อสรุปเข้าครม. ซึ่งรมว.ICT เคยบอกว่าจะนำกรณีของ ADVANC เข้าเสนอครม.พร้อมกับกรณีของ DTAC, TRUE, และ THCOM ซึ่งล่าสุด คาดว่าในวันที่ 1 ก.พ.นี้ (เลื่อนมาหลายครั้งตั้งแต่ปลายปีก่อน) และหากครม.เห็นชอบด้วย ก็จะมอบหมายให้รัฐวิสาหกิจคุ่สัมปทาน (TOT/CAT) ส่งเรื่องต่อบริษัทเอกชน ซึ่งแน่นอน ADVANC จะไม่ยอมจ่าย (เนื่องจากการแก้ไขสัญญาสัมปทานที่ไม่ผ่านครม.ตามพ.ร.บ.ร่วมทุนฯ เป็นหน้าที่และความรับผิดชอบของหน่วยงานรัฐคู่สัมปทาน คือ TOT เอง) และนำเรื่องเข้าสู่อนุญาโตตุลาการ หากยังตกลงกันไม่ได้ ก็จะส่งเรื่องต่อไปยังศาลปกครอง กระบวนการฟ้องร้องและต่อสู้ในทางกฎหมายดังกล่าว คาดว่าจะใช้เวลาหลายๆ ปีกว่าจะได้ข้อสรุป และไม่กระทบต่อผลการดำเนินงานและการจ่ายปันผลใน 1-2 ปีข้างหน้า

อย่างไรก็ตาม กรณี Worst case หากต้องจ่าย 75,000 ล้านบาทจริง จะคิดเป็น 25 บาทต่อหุ้น จากราคาเป้าหมายเดิม 104 บาท เหลือ 79 บาท ซึ่งใกล้เคียงราคาหุ้นปัจจุบัน แต่กรณี Base case (หากต้องจ่ายค่าสัมปทานเพิ่มใน 5 ปีข้างหน้าสิ้นสัมปทาน) คาดผลกระทบประมาณ 11 บาทต่อหุ้น ราคาเป้าหมายจะเหลือ 93 บาท ราคาหุ้นปัจจุบัน ยังมีส่วนลด 15.8% และ Dividend yield ระดับ 8% คง Rating “Buy”

*** บล.ยูไนเต็ด มองกรณี ADVANC ต้องต่อสู้อีกนาน ให้ราคาเป้าหมาย 107.30บาท***
ด้านบล.ยูไนเต็ด มองว่า คณะกรรมการตาม ม.22 ของ พรบ.ร่วมทุน มีมติให้ ADVANC กลับไปจ่ายส่วนแบ่ง
รายได้ในอัตราเดิมที่ 30% และจะขยายผลไปสู่การแก้สัญญาสัมปทานอื่นด้วย อย่างไรก็ตามเชื่อว่ายังต้องต่อสู้กันอีกนาน จึงจะได้ข้อยุติและมีผลบังคับในเชิงพื้นฐาน ยังชอบหุ้น ADVANC โดยให้ราคาเป้าหมายอยู่ที่ 107.30 บาท

-----------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย
FSS : ยังสามารถทยอยเลือกหุ้นเข้ารับได้...เพื่อรอรอบทำกำไรเมื่อ SET ดีดขึ้น!
แนวโน้ม: แม้ว่าสถานการณ์ในอียิปต์จะยังไม่สงบ แต่นักลงทุนก็เริ่มวิตกน้อยลงไปบ้าง ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐเริ่มกลับมาดูดีขึ้นอีกครั้ง ส่วนค่าเงินบาทก็กลับมาแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย รวมทั้งตลาดหุ้นในต่างประเทศก็เริ่มรีบาวด์กลับขึ้นมาเคลื่อนไหวเป็นบวกกันส่วนใหญ่ ทำให้ FSS คาดว่าน่าจะช่วยสนับสนุนให้SET สามารถรีบาวด์ขึ้นมาเป็นบวกตามได้ด้วย ประกอบกับการทยอยประกาศผล
การดำเนินงานของ บจ. ต่างๆ รวมถึงการประกาศจ่ายปันผล น่าจะทำให้ SETชะลอการปรับตัวลงในช่วงนี้ และมีโอกาสที่จะกลับมารีบาวด์ขึ้นไปใกล้ๆ 1000จุดหรือสูงกว่าเล็กน้อยได้ ดังนั้นเราจึงยังแนะนำให้เลือกหุ้นเข้าซื้อได้เมื่อตลาดปรับตัวลง และถือเพื่อรอจังหวะขายทำกำไรอีกครั้งเมื่อ SET สามารถดีดตัวขึ้น

กลยุทธ์: รอเลือกหุ้นซื้อเมื่อตลาดปรับตัวลง โดยหุ้นที่น่าสนใจ ได้แก่ BGH, BH,BEC, MCOT, PHATRA, BLS, LPN, SVI, PTTCH, PTTAR, IRPC, IVL, TOP,ESSO, BANPU, LANNA, STA เป็นต้น

ประเด็นสำคัญวันนี้
• (-) อียิปต์ไม่นิ่ง หุ้นตก น้ำมันพุ่ง ล่าสุด Moody’s ปรับลดอันดับเครดิตจากBa1 เหลือ Ba2 และปรับลดแนวโน้มจาก Stable เหลือ Negative ตามหลัง Fitchที่ปรับลงไปตั้งแต่วันศุกร์ที่ผ่านมา ในแง่การค้าไทย-อียิปต์ ตลาดอียิปต์คิดเป็นเพียง 0.2% ของมูลค่าการส่งออกของไทย โดยไทยได้ดุลมาตลอด สินค้าที่ไทยส่งออกไปอียิปต์ได้แก่ อาหารทะเลกระป๋อง เสื้อผ้าสำเร็จรูป ตู้เย็น สินค้าส่งออกสำคัญของอียิปต์ได้แก่ น้ำมันดิบ เส้นใยใช้ในการทอ น้ำมันหล่อลื่นและน้ำมันเบรกหนังดิบและหนังฟอก การประท้วงในอียิปต์แทบไม่มีผลโดยตรงกับไทย แต่มีผลทางอ้อมคือราคาน้ำมันปรับขึ้น ความกังวลเรื่องเงินเฟ้อกำลังตามมา

• (-) เม็ดเงินเคลื่อนย้ายเข้า Safe haven นักลงทุนซื้อดอลลาร์ เยน และสวิสฟรังก์เพิ่มขึ้น ลดการถือครองสินทรัพย์เสี่ยงลง ทั้งจากเหตุการณ์ในอียิปต์และ ความกังวลเรื่องเงินเฟ้อ ยูโรโซนมีเงินเฟ้อสูงเกินคาดทำให้ตลาดคิดว่าการขึ้นดอกเบี้ยจะเร็วขึ้น ที่ประกาศเงินเฟ้อวันนี้มีไทย อินโดนีเซีย และเกาหลี

• (+) เศรษฐกิจไทยเดือน ธ.ค. ขยายตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากภาคส่งออกที่เพิ่มขึ้นในทุกหมวดสินค้าโดยเฉพาะอย่างยิ่งหมวดสินค้าเกษตร รวมถึงภาคการท่องเที่ยวที่มีจำนวนนักท่องเที่ยว 1.8 ล้านคน สูงสุดเป็นประวัติการณ์ซึ่งส่วนใหญ่มาจากจีนและเอเชียด้วยกัน ขณะที่การบริโภคในประเทศขยายตัวต่อเนื่อง การลงทุนชะลอเล็กน้อย การผลิตลดลงจากฐานสูงในปีก่อนหน้า

• (-) กลุ่มมือถือยังวุ่น ก.ไอซีทีจะนำเรื่องแก้ไขสัญญาสัมปทานทั้งของ ADVANC,DTAC, True Move เข้า ครม.วันนี้ พร้อมตั้งคณะกรรมการสอบสัญญาระหว่าง กสท. กับ True Move กรณีซื้อกิจการ Hutch ภายใน 15 วันว่าเข้าข่ายโมฆะหรือไม่ หุ้นกลุ่มนี้ถูกกดันด้วยข่าวมาโดยตลอด เราลงทุนในหุ้นกลุ่มด้วยเหตุผลเดียวคือเงินปันผลซึ่ง ADVANC เป็นทางเลือกเดียวเพราะ Yield สูงสุด สำหรับTRUE เป็นการเก็งกำไรตามข่าวเท่านั้น โดยพื้นฐานแนะนำ ‘ขาย’

• (+) BLS กำไร 4Q10 +77% Q-Q, +153% Y-Y ดีกว่าคาด และคาดว่าจะจ่ายปันผล 2.20 – 2.50 บาท/หุ้น Yield สูงถึง 12-13% และราคาหุ้นยังต่ำกว่าเป้าหมายที่ 22 บาท แนะซื้อรับปันผล

• (+) CPALL คาดกำไร 4Q10 -21% Q-Q ตามปกติของไตรมาสสุดท้าย และคาดปันผล 1 บาท/หุ้น คาดกำไรปีนี้โตสูง 29% เป็นหุ้นที่ยังน่าซื้อ เป้าหมาย 48 บาท

• Fund Flow วานนี้กลับมาไหลออกอีกครั้งในวันแรกของสัปดาห์ นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิทุกตลาด โดยเฉพาะตลาดหุ้นเกาหลีใต้ขายหนักมากกว่าปกติทั้งนี้นอกจากเรื่องความกังวลเกี่ยวกับการเมืองในอียิปต์แล้ว การปรับพอร์ตของนักลงทุนต่างชาติในตลาดหุ้น Emerging Market ยังมีอยู่ต่อเนื่อง เพราะเป็นผลจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐและเศรษฐกิจโลก อย่างไรก็ตามค่าเงินดอลลาร์
สหรัฐที่อ่อนค่าเมื่อเทียบกับยูโรและค่าเงินภูมิภาค รวมถึงค่าเงินบาทเช้านี้แข็งค่าขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ระดับ 30.89 บาท/ดอลลาร์ ทำให้แนวโน้มกระแสเงินทุนต่างชาติน่าจะมีโอกาสไหลออกแต่ในปริมาณไม่มาก สำหรับหุ้นกลุ่มนำตลาดช่วงนี้ก็จะเป็นหุ้นในกลุ่มน้ำมัน กลุ่มพลังงาน่และปิโตรเคมี ที่ยังอยู่ปรับขึ้นและทรงตัวอยู่ในระดับสูง ต่อเนื่อง เรายังเน้นการซื้อสะสม และเข้าเก็งกำไรในหุ้นกลุ่มปตท.และหุ้น ESSO ที่คาดว่าผลประกอบการจะออกมาดี เพราะบริษัทแม่ EXXON ประกาศผลการดำเนินงานปี 2010 มีกำไรดีมาก

ข่าวภายในประเทศ
ADVANC,DTAC,TRUE : นายจุติ ไกรฤกษ์ รมว.ICT กล่าวว่า ในวันนี้ (1ก.พ.) จะนำเรื่องเกี่ยวกับการแก้ไขสัญญาสัมปทานของคณะกรรมการมาตรา 22 ตามพ.ร.บ.ร่วมทุนฯ ของ ADVANC, DTAC และคณะกรรมการมาตรา 13 เกี่ยวกับการเจรจาเรื่องผลประโยชน์ที่รัฐควรจะได้รับของ TRUEMOVE เข้าที่ประชุมครม."แม้จะมีกระแสว่ามีบางคนพยายามที่จะดึงเรื่องนี้ออกจากวาระการประชุม" นอกจากนี้ ยังเตรียมตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการทำสัญญาระหว่างกสท.กับTRUEMOVE กรณีเข้าซื้อบริษัท ฮัทชิสัน ซีเอที ไวร์เลส มัลติมีเดีย (Hutch) เพราะถูกมองว่าไม่มีความโปร่งใสและเร่งรีบเซ็นสัญญา ส่งผลให้คณะทำงานเพื่อพิจารณารายละเอียดของสัญญาการดำเนินการต้องลาออก 17 คนทั้งนี้ คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงดังกล่าวจะตั้งขึ้นภายใน 15 วัน หลังจากบอร์ด กสทและนายจิรายุทธ รุ่งศรีทองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กสท เข้ามาชี้แจง ซึ่งคาดว่าจะเป็นวันที่ 1 หรือ 2 ก.พ.นี้จากกำหนดเดิมที่ต้องเข้าชี้แจงในวันที่ 31 ม.ค.ที่ผ่านมา (ที่มา: ผู้จัดการรายวัน 1-02-2011)

ความเห็น: (1) ต้องติดตามว่าจะนำเรื่องแก้ไขสัญญาสัมปทานเข้าครม.จริงหรือไม่ ในวันนี้ (จากที่มีข่าวว่าจะทำมาตั้งแต่ปลายปีก่อน) ประเด็นดังกล่าว จะยังกดดันต่อราคาหุ้น แม้คาดกระบวนการทางศาลต้องใช้เวลาเป็นหลายปีกว่าจะมีข้อสรุปในทางพื้นฐาน กรณี Worst case หาก ADVANC ต้องจ่าย 75,000 ล้านบาทจริง จะคิดเป็น 25 บาทต่อหุ้น จากราคาเป้าหมายเดิม 104 บาท เหลือ 79 บาท ซึ่งใกล้เคียงราคาหุ้นปัจจุบัน แต่กรณี Base case (หากต้องจ่ายค่าสัมปทานเพิ่มใน 5 ปีข้างหน้าสิ้นสัมปทาน) คาดผลกระทบประมาณ 11 บาทต่อหุ้น ราคาเป้าหมายจะเหลือ 93 บาท ราคาหุ้นปัจจุบัน ยังมีส่วนลด 15.8% และ Dividend yield อย่างต่ำระดับ 8% คง Rating “Buy” ส่วน DTAC (ที่มีเสียงแตกระหว่างกรรมการ) แต่กรณี Worst case หากต้องจ่าย 9,000 ล้านบาทจริง จะคิดเป็น 3.80 บาทต่อหุ้น จากราคาเป้าหมายเดิม 48 บาท เหลือ 44 บาท ราคาหุ้นปัจจุบันยังมีส่วนลด 9% และ Dividend yield ระดับ 6% ส่วน TRUEMOVE ยังไม่เห็นตัวเลขความเสียหายที่ประเมิน "ถือ"

(2) TRUE: ข่าวการตั้งกรรมการตรวจสอบการทำสัญญาระหว่างกสท.กับ TRUEMOVE กรณี Hutch เป็น Sentiment ทางลบ แม้มีกระแสข่าวมาแล้วบ้างสอดคล้องกับความกังวลของเราเกี่ยวกับดีลนี้ ในด้านกฎหมาย (พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ และมาตรา 46 พ.ร.บ.คลื่นฯ ใหม่ เกี่ยวกับ MVNO) กอปรกับราคาหุ้น แม้เมื่อวานปรับฐานลงบ้าง แต่ปรับขึ้นเกือบ 40% ในช่วง 4 เดือนรับข่าวซื้อ Hutch ยัง Rating "Sell"

PS บุ๊ครายได้ตปท.เป้าปีนี้2.4พันล้าน "PS" มั่นใจปีนี้บุ๊ครายได้จากต่างประเทศ "มัลดีฟส์-อินเดีย-เวียดนาม" กว่า 2,400 ล้านบาท คิดเป็น 6% ของรายได้รวม 32,000 ล้านบาท ลุยเปิดเพิ่มปีนี้ 4 โครงการที่อินเดียและเวียดนาม พร้อมขยายต่างจังหวัดเพิ่มเล็งขอนแก่น-ภูเก็ต โชว์แบ็กล็อก 3 หมื่นล้านบาท บุ๊คปีนี้ 1.8 หมื่นล้านบาท (ที่มา: ข่าวหุ้น 1-02-2011)

PTTEP กำไรQ1หมื่นล้านสัญญาณมอนทาราเชิงบวก PTTEP เดินเครื่อง“ออยล์ แซนด์เคเคดี”ประเดิมผลิต 10,000 บาร์เรลต่อวัน วงการเงินชี้ กำไร Q1 ยืนพื้นเกิน 10,000 ล้านบาท เชื่อกำไรทั้งปีกระฉูด 50,000 ล้านบาท หุ้นร้อนฉ่าข่าวดีกระตุ้น แถมปันผล 2.48 บาท ปัญหามอนทาราไม่เลวร้ายถึงขั้นถอนใบอนุญาต (ที่มา: ข่าวหุ้น 1-02-2011)

PTTCH กำไรปี 53 โต 51% ได้ดีปริมาณขายเพิ่มขึ้น ลุ้นครึ่งหลังปันผล 2.05 บาท "PTTCH" อวดกำไรปี 2553 แตะ 10,241 ล้านบาท โต 51% เหตุปริมาณการขายเพิ่มขึ้นทุกผลิตภัณฑ์ ส่วน Q4/53 คาดกำไร 2,700 ล้านบาท เติบโต 34% รับอานิสงส์โรงแยกก๊าซ 6 เดินเครื่อง (ที่มา: ข่าวหุ้น 1-02-2011)

STANLY กำไรQ3โต345ล้านบาท ออเดอร์โคมไฟเข้าแน่น อัพไซด์หุ้นเหลือเพียบ STANLY กำไรไตรมาส 3 กระฉูด 345 ล้านบาท ออเดอร์งานผลิตโคมไฟเข้าทะลักหนุนยอดขายพุ่งแตะระดับ 2,200 ล้านบาท วงการเงินชี้กำไรไตรมาส 4 ดีต่อไม่มีหยุด ยืนพื้นขั้นต่ำ 300 ล้านบาท หนุนกำไรทั้งปีหวนทะลุ 1,400ล้านบาท วางราคาเป้าหมายไกลเกิน 200 บาท ปันผลทั้งปีเกิน 5 บาท (ที่มา: ข่าวหุ้น 1-02-2011)

STA สิงคโปร์ปิดตลาดรูด0.83% STA ร่วง ปิดเทรดวันแรกที่ตลาดสิงคโปร์ 1.19 ดอลลาร์สิงคโปร์ ลดลง 0.83% จากราคา IPO ที่ 1.20 ดอลลาร์สิงคโปร์ส่วนราคาหุ้นในไทยลดลง 5% ด้าน SIAS Research มองว่า STA เป็นผู้แปรรูปยางพารารายใหญ่ที่สุดรายหนึ่ง ที่น่าจะดึงดูดความสนใจจากกองทุนระดับโลกและนักลงทุนบางส่วนได้ (ที่มา: ข่าวหุ้น 1-02-2011)

-----------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ตปท.

ตลาดหุ้นสหรัฐสามารถดีดกลับขึ้นมาเคลื่อนไหวเป็นบวกได้โดยปิดบวกไป 68.23 จุด จากผลประกอบการของบริษัทเอกชนที่ยังคงแข็งแกร่ง รวมถึงสัญญาณทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้น จากตัวเลขการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นในเดือน ธ.ค. นับเป็นเดือนที่ 6 ติดต่อกัน ขณะที่ตัวเลขกิจกรรมทางธุรกิจในเขตมิดเวสต์ของสหรัฐเพิ่มขึ้นเกินคาดในเดือน ม.ค.

ดัชนี VIX ปรับตัวลดลง 2.5% มาอยู่ที่ระดับ 19.55 หลังตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐกลับมาดูดีอีกครั้ง

ขณะที่ตลาดหุ้นในเอเชียที่เปิดทำการเช้านี้เริ่มมีรีบาวด์ขึ้นมาเคลื่อนไหวในด้านบวกด้วยเช่นกัน

ค่าเงินบาทกลับมาแข็งค่าเล็กน้อย มาเคลื่อนไหวต่ำกว่า 31บ./ดอลลาร์อีกครั้ง

ราคาน้ำมันดิบในตลาด NYMEX ปิดที่ 92.19 ดอลลาร์/บาร์เรล พุ่งขึ้นอีก 2.85 ดอลลาร์ โดยปิดที่ระดับสูงสุดในรอบ 27 เดือน จากความกังวลต่อสถานการณ์ในอียิปต์

ราคาทองคำล่วงหน้าในตลาด COMEX ปิดที่ 1334.50ดอลลาร์/ออนซ์ กลับมาปรับตัวลง 7.20 ดอลลาร์ โดยได้รับแรงกดดันจากตัวเลขเศรษฐกิจที่ดีขึ้นของสหรัฐ และการคลายความกังวลต่อปัญหาหนี้สินในยุโรป


ข่าวต่างประเทศ
ยุโรป: เงินเฟ้อยูโรโซนขยายตัวสูงเกินคาด 2.4% ในเดือนม.ค. สำนักงานสถิติแห่งสหภาพยุโรป หรือ ยูโรสแตท เปิดเผยว่า ราคาผู้บริโภคในกลุ่มประเทศที่ใช้เงินยูโร 17 ประเทศ ปรับตัวขึ้นแตะ 2.4% ในเดือนมกราคม ซึ่งนับเป็นอีกหนึ่งเดือนที่ตัวเลขเงินเฟ้ออยู่สูงกว่าเป้าหมายของธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) หลังจากที่ขยายตัว 2.2% ในเดือนธ.ค. ราคาผู้บริโภคที่ได้รับการเปิดเผยล่าสุดนี้ถือเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2551และสูงกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 2.3% (ที่มา: อินโฟเควสท์ 31-01-2011)

สหรัฐอเมริกา: สหรัฐเผยการใช้จ่ายผู้บริโภคเดือนธ.ค.เพิ่มขึ้น 0.7%,รายได้ส่วนบุคคลเพิ่มขึ้น 0.4% กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่าตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคเดือนธ.ค.ปี 2553 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.7% มากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 0.5% และทำสถิติเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 6 เนื่องจากภาคครัวเรือนของสหรัฐลดการออมและนำเงินออกมาจับจ่ายมากขึ้น ส่วนตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคในไตรมาส 4 ปี2552 เพิ่มขึ้น 4.4% ทำสถิติขยายตัวรวดเร็วที่สุดในรอบกว่า 4 ปี ขณะที่รายได้ส่วนบุคคลของชาวสหรัฐในเดือนธ.ค.ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนธ.ค. และอัตราการออมปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 6.141 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค. (ที่มา: อินโฟเควสท์ 1-02-2011)

สหรัฐอเมริกา: สหรัฐเผยดัชนีภาคธุรกิจเขตมิดเวสต์พุ่งเกินคาด หลังผู้บริโภคเพิ่มใช้จ่าย สถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยว่า ดัชนีกิจกรรมภาคธุรกิจในเขตมิดเวสต์เพิ่มขึ้นแตะระดับ 68.8 จุดในเดือนม.ค. จากระดับ 66.8 จุดของเดือนธ.ค. มากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะอยู่ที่ 65.0 จุด เนื่องจากผู้บริโภคมีการจับจ่ายมากขึ้น (ที่มา: อินโฟเควสท์ 1-02-2011)

จีน: จีนเผยยอดเกินดุลบัญชีเดินสะพัดพุ่ง 25% แตะ 3.062 แสนล้านดอลลาร์ในปี 53 สำนักปริวรรตเงินตราแห่งรัฐของจีน (SAFE) เปิดเผยว่าจีนมียอดเกินดุลบัญชีเดินสะพัด 306.2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในปีที่แล้ว ซึ่งพุ่งขึ้น 25% จากปีก่อนหน้า ยอดเกินดุลบัญชีทุนและบัญชีการเงินของจีนปรับตัวขึ้นแตะ 1.656 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2553 เทียบกับจำนวน 1.091 แสนล้านดอลลาร์ในปี 2552 (ที่มา: อินโฟเควสท์ 31-01-2011)

เอเชีย: ญี่ปุ่นเผยยอดการผลิตรถยนต์ปี 53 พุ่ง 21.3% ขณะยอดส่งออกรถยนต์พุ่ง 33.8% สมาคมผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นเปิดเผยในวันนี้ว่ายอดการผลิตรถยนต์ของญี่ปุ่นในปี 2553 พุ่งขึ้น 21.3% จากปีก่อน แตะที่ 9,625,940 คัน ทำสถิติเพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี หากพิจารณาเป็นรายประเภทรถยนต์พบว่า ยอดการผลิตรถยนต์นั่งส่วนบุคคลพุ่งขึ้น 21.1% ในปี 2553 แตะที่ 8,307,382 คัน ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นครั้งแรกในรอบ 3 ปีขณะที่ยอดการผลิตรถบรรทุกเพิ่มขึ้น 22.8% แตะที่ 1,209,224 คัน ทำสถิติเพิ่มขึ้นครั้งแรกในรอบ 7 ปี และยอดการผลิตรถบัสเพิ่มขึ้น 26% แตะที่109,334 คัน ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นครั้งแรกในรอบ 2 ปี (ที่มา: อินโฟเควสท์ 31-01-2011)

-----------------------------------------------------------------------------

Code 347 : 955 หรือ 977

วันจันทร์ที่ 31 มกราคม 2554

ATT Code : 955 หรือ 977
SET ปิดไปที่ 964.10 จุด ลบไป 17.73 จุด มีแนวรับที่ BB Bottom อยู่ที่ 955 ส่วนแนวต้านอยทู่ที่ MA 5 วันที่ 977 จุด ซึ่งมีความเป็นไปได้ทั้ง 2 แนวทาง ขึ้นอยู่กับตลาดต่างประเทศเป็นหลัก

-----------------------------------------------------------------------------
MARKET WAVE Analysis
บ่ายแกว่งตัวในกรอบ 965 - 970
อังคารหรือพุธมีโอกาสลงต่อ 950 - 951


-----------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย
FSS : ตลาดยังแกว่งพักตัวลง ถือเป็นโอกาสในการเลือกหุ้นเข้ารับได้...
แนวโน้ม: หลังจากค่าเงินบาทเริ่มอ่อนค่าต่อเนื่อง ส่งผลกดดันต่อตลาดหุ้นไทยในช่วงท้ายของสัปดาห์ที่แล้วอีกครั้ง ทำให้ SET ปรับพักตัวลงไปเคลื่อนไหวเป็นลบ แม้ว่าจะมีแรงซื้อกลับเข้ามาช่วงท้ายวันบ้าง แต่ก็มีปัญหาความขัดแย้งในอียิปต์เข้ามากดดันตลาดหุ้นในเช้านี้ต่อ ขณะที่นักลงทุนต่างประเทศก็ยังคงมียอดขายสุทธิออกมาอีกครั้งด้วย ดังนั้น FSS จึงคาดว่า SET จะยังคงแกว่งตัวในด้านลบต่อเนื่องได้ในต้นสัปดาห์นี้ อย่างไรก็ตามคาดว่าที่บริเวณจุดต่ำเดิมแถว960 จุด(+/-) ยังมีแนวโน้มที่จะมีแรงซื้อกลับเข้ามาพยุงตลาดไว้ได้ โดยเฉพาะในหุ้นที่คาดว่าผลประกอบการจะออกมาดี รวมถึงหุ้นที่มีจ่ายปันผล ดังนั้นตลาดปรับลงจึงยังสามารถเลือกหุ้นในกลุ่มดังกล่าวทยอยเข้ารับได้


กลยุทธ์: รอเลือกหุ้นซื้อเมื่อตลาดปรับตัวลง โดยหุ้นที่น่าสนใจ ได้แก่ BGH, BH,BEC, MCOT, PHATRA, BLS, LPN, SVI, PTTCH, PTTAR, IRPC, IVL, TOP,ESSO, BANPU, LANNA, STA เป็นต้น

ประเด็นสำคัญวันนี้
• (+) Downside มีไม่มากสำหรับการลงทุนระยะกลาง-ยาว ปัจจุบันที่ ‘ปัจจัยทางการเมือง’ เริ่มกลับเข้ามาเป็นอีกประเด็นในตลาด หากจะหา Downside ของSET Index เมื่อมีปัจจัยการเมืองเข้ามากระทบ พบว่า SET Index ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาที่เรามีปัญหาทางการเมืองมาอย่างต่อเนื่อง ซื้อขายที่ Forward PE เฉลี่ย10 เท่า Discount จากภูมิภาคประมาณ 20% (Forward PE ของภูมิภาคซื้อขายที่12.4 เท่า) ในช่วงปฏิวัติทักษิณ ตลาดซื้อขายที่ -0.7 Standard deviation (PE 8– 9 เท่า) และช่วงชุมนุมเสื้อแดง ตลาดซื้อขายที่ -0.3SD เทียบกับปัจจุบันที่ผ่านการปรับฐานมาพักหนึ่ง SET Index ซื้อขายที่ Forward PE 10.2 เท่า Discountจากกภูมิภาค 14% เริ่มที่จะกลับมาน่าสนใจ แต่หากให้ SET Index ซื้อขายที่ -0.3SD เท่ากับในช่วงทีการเมืองเลวร้ายสุด กรอบล่างของ SET Index จะอยู่ที่920 เท่า มี downside จากระดับปัจจุบันอยู่ 6.2% หรือคิดเป็น PE สิ้นปีนี้ที่ 11.3เท่า ต่ำกว่าอัตราการเติบโตของกำไรของ บจ. ที่คาด 16.2% (PEG 0.6) ซึ่งจัดว่าเป็นตลาดที่ ‘ถูก’ สำหรับการลงทุน ทั้งนี้ เรายังคงประเมินเป้าหมาย SET Indexสิ้นปีนี้ที่ 1,300 จุด โดยอิงจาก GDP 4.8% EPS growth 16.2% PE 16 เท่า จึงมองว่าระดับปัจจุบันเป็นระดับที่น่าลงทุนสำหรับการลงทุนระยะกลาง-ยาว

• (-) ตลาดในระยะสั้นที่ยังไม่กลับป็นขาขึ้น เพราะค่าเงินบาทยังอ่อนต่อเนื่องและอ่อนค่ามากกว่าเพื่อนบ้าน แนะนำกลยุทธ์คือ 1) เลือกหุ้นปันผลสูง ได้แก่BLS, TMT, TRT, HANA, AP, QH, AIT, TICON, LPN, KK, MODERN 2) เก็งกำไรหุ้นขนาดกลาง-เล็กที่คาดว่าจะประกาศผลประกอบการดี ได้แก่ STA, SVI,TOP, PTTAR, AP, ROJNA, HMPRO 3) สะสมหุ้นที่ PE ปรับลงมาจนต่ำ แต่มีความสามารถในการทำกำไรสูง ได้แก่ BANPU, TTW, TICON, BEC, AMATA,PTTEP, AP, SPALI, KBANK, STA, CPALL, SVI

• (0) AJ-T1 เริ่มซื้อขายตั้งแต่ 31 ม.ค. – 17 ก.พ. และจะขึ้น SP 21 ก.พ. การใช้สิทธิแปลงสภาพอยู่ระหว่าง 3 – 17 มี.ค. ในอัตราส่ยน 1:1 ราคาแปลงสภาพ23 บาท ส่วน IVL-T1 ซื้อขายวันสุดท้าย 31 ม.ค. ขึ้น SP 1 ก.พ. แปลงสภาพระหว่าง 10 – 24 ก.พ. และเพิกถอนออกจากตลาด 26 ก.พ.

• Fund Flow สัปดาห์ที่ผ่านมาแสเงินทุนต่างชาติไหลเข้าหลังจากขายหนักมากเมื่อสัปดาห์ก่อน ยกเว้นตลาดหุ้นไทยที่ยังเป็นขายสุทธิ สำหรับวันศุกร์ที่ผานมานักลงทุนต่างชาติกลับมาขายสุทธิตลาด TIPs อีกครั้ง เนื่องจากตลาดยังขาดปัจจัยบวกใหม่เข้าสู่ตลาด แต่ต้องเผชิญกับปัจจัยลบเรื่องความกังวลเงินเฟ้อ ส่วนสัปดาห์ที่มีปัจจัยลบใหม่เข้าสู่ตลาดโดยเฉพาะวิกฤติการเมืองในอียิปต์ได้ส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับลงทั่วหน้า ที่สำคัญค่าเงินบาทเช้านี้อ่อนค่ามาอยู่ที่ 31.14บาท/ดอลลาร์ ซึ่งเป็นการอ่อนค่ามากสุดในรอบ 5 เดือน ขณะที่ค่าเงินภูมิภาคก็อ่อนค่าด้วยเช่นกันแต่ไม่มากเท่าไทย ทั้งนี้เราเชื่อว่าข่าวการเมืองน่าจะมีผลต่อตลาดในช่วงนี้ด้วย แม้ตลาดวันนี้เต็มไปด้วยปัจจัยลบ แต่ปัจจัยบวกจะอยู่ทีหุ้นกลุ่มน้ำมัน หรือหุ้นกลุ่มพลังงาน เพราะผลกระทบจากอียิปต์ทำให้ราคาน้ำมันปรับขึ้น
สวนทางตลาด เรายังเน้นสะสมหุ้นกลุ่มพลังงาน โดยเฉพาะกลุ่มปตท. เป็นหลัก


ข่าวภายในประเทศ
ADVANC: TOT ส่งหนังสือให้จ่ายค่าชดเชย 7.2 หมื่นล้านบาท ประธานบอร์ด TOT กล่าวหลังการประชุมบอร์ด ว่าที่ประชุมได้รับรายงานจากฝ่ายบริหาร ว่าได้ส่งหนังสือแจ้งไปยัง ADVANC ให้ชำระความเสียหายที่เกิดจากการแก้ไขสัญญาสัมปทานครั้งที่ 6 และ 7 ที่มีการแก้อัตราการปรับลดส่วนแบ่งรายได้จากระบบเติมเงิน และการใช้โครงข่ายรวม รวมเป็นเงิน 72,000 ล้านบาท และยังต้องจ่ายดอกเบี้ย 7.5% และภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% นับตั้งแต่วันที่มีการแก้ไขสัญญาสัมปทาน ภายในวันที่ 15 ก.พ.นี้ ซึ่งการยื่นหนังสือแจ้งเตือนเป็นไปตามคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ตำแหน่งทางการเมือง ที่ตัดสินคดียึดทรัพย์ของอดีตนายกฯ ทักษิณ มูลค่า 46,000 ล้านบาท โดยคดีดังกล่าวจะต้องเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จก่อนที่คดีของคำพิพากษาจะครบอายุความ 1 ปีในวันที่
26 ก.พ.2011 (Source - กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ 28 ม.ค.2011) ความเห็น: ยังเป็น Sentiment เชิงลบต่อหุ้น ADVANC แม้ตามขั้นตอน หลังจากมีข้อสรุปจากคณะกรรมการตามมาตรา 22 ของพ.ร.บ.ร่วมทุน มูลค่าความเสียหายจากการแก้ไขสัญญาระบบพรีเพด ของ ADVANC (โดยลดอัตราส่วนแบ่งรายได้บริการโทรศัพท์มือถือแบบพรีเพด เหลือ 20% จากเดิมที่เป็นอัตราขั้นบันได เพิ่มเป็น 25% ตั้งแต่ปี 2001 และเพิ่มเป็น 30% ตั้งแต่ปี 2006 - สิ้นอายุสัมปทานปี 2015และการไม่นำส่งรายได้จากบริการโรมมิ่ง) รวม 75,000 ล้านบาท รมว.ICT จะต้องนำข้อสรุปเข้าครม. ซึ่งรมว.ICT เคยบอกว่าจะนำกรณีของ ADVANC เข้าเสนอครม.พร้อมกับกรณีของ DTAC, TRUE, และ THCOM ซึ่งล่าสุด คาดว่าในวันที่ 1 ก.พ.นี้ (เลื่อนมาหลายครั้งตั้งแต่ปลายปีก่อน) และหากครม.เห็นชอบด้วย ก็จะมอบหมายให้รัฐวิสาหกิจคุ่สัมปทาน (TOT/CAT) ส่งเรื่องต่อบริษัทเอกชน ซึ่งแน่นอน ADVANC จะไม่ยอมจ่าย (เนื่องจากการแก้ไขสัญญาสัมปทานที่ไม่ผ่านครม.ตามพรบ.ร่วมทุนฯ เป็นหน้าที่และความรับผิดชอบของหน่วยงานรัฐคู่สัมปทาน คือ TOT เอง) และนำเรื่องเข้าสู่อนุญาโตตุลาการ หากยังตกลงกันไม่ได้ ก็จะส่งเรื่องต่อไปยังศาลปกครอง กระบวนการฟ้องร้องและต่อสู้ในทางกฎหมายดังกล่าว คาดว่าจะใช้เวลาหลายๆ ปีกว่าจะได้ข้อสรุป และไม่กระทบต่อผลการดำเนินงานและการจ่ายปันผลใน 1-2 ปีข้างหน้า อย่างไรก็ตาม กรณี Worst case หากต้องจ่าย 75,000 ล้านบาทจริง จะคิดเป็น 25 บาทต่อหุ้น จากราคาเป้าหมายเดิม 104 บาท เหลือ 79 บาท ซึ่งใกล้เคียงราคาหุ้นปัจจุบัน แต่กรณี Base case (หากต้องจ่ายค่าสัมปทานเพิ่มใน 5 ปีข้างหน้าสิ้นสัมปทาน) คาด
ผลกระทบประมาณ 11 บาทต่อหุ้น ราคาเป้าหมายจะเหลือ 93 บาท ราคาหุ้นปัจจุบัน ยังมีส่วนลด 15.8% และ Dividend yield ระดับ 8% คง Rating “Buy”

กลุ่ม SAMART-LOXLEY ชนะการประมูลติดตั้งโครงข่าย 3G ของ TOT: กลุ่ม SL Consortium ซึ่งประกอบด้วย SAMART (ผู้ยื่นประมูลเป็นบ.ลูกของSAMTEL ซึ่ง SAMART ถือหุ้นอยู่ 71%), LOXLEY), บ. หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) และ บ.โนเกีย-ซีเมนส์ ชนะการประมูลงานวางโครงข่าย 3G ของTOT ที่เปิดประมูล e-Auction เมื่อเช้าวันที่ 28 ม.ค.ที่ผ่านมา โดยเสนอราคาที่ 16,290 ล้านบาท ต่ำกว่าราคากลางที่กำหนดไว้ 17,440 ล้านบาท ประมาณ6.6% ขณะที่กลุ่มผู้แพ้คือ AU Consortium (มี AIT อยู่ในกลุ่ม) เสนอที่ 16,770 ล้านบาท ทั้งนี้ คาดว่า TOT จะนำเรื่องดังกล่าว เข้าที่ประชุมบอร์ดในต้นเดือนก.พ. และเซ็นสัญญาในกลางเดือนก.พ. นี้ ความเห็น: ราคาหุ้น SAMTEL SAMART และ LOXLEY ที่เป็นตัวเต็ง ปรับตัวขึ้นรับผลประมูลที่ประกาศมาในช่วงเช้าของการซื้อขายวันก่อน ก่อนปรับฐานบ้าง จากการขายทำกำไร ในลักษณะ Sell on Fact ซึ่งอาจยังมีในระยะสั้น แม้สำหรับการลงทุนระยะยาว Rating เป็น“Hold” (ปรับลงจาก Trading) SAMTEL (ปิด 12.50 บาท) เนื่องจาก ที่ราคาปิด มีส่วนลด 9.3% จากราคาเป้าหมายกรณีรวมมูลค่าเพิ่มจากงานดังกล่าว (ที่เฉลี่ย 2.07 บาท จากความเป็นได้ระหว่าง 0.90-3.40 บาท) ที่ 13.70 บาท จากการประเมินแบบระมัดระวัง ภายใต้สมมุติฐาน (1) สัดส่วนมูลค่างานที่ SAMTELได้รับที่ 50-60% (2) รับรู้รายได้ในช่วงปี 11-12 ปีละ 50 % (3) Net margin 1-3% (Conservative กว่าปัจจุบันที่ 6% เนื่องจากเป็นงานขนาดใหญ่) ส่วนSAMART อยู่ใน Rating “Hold” เช่นกัน เนื่องจากราคาปิดที่ 9.00 บาท มีส่วนลด 8.7% จากราคาเป้าหมายรวม 3G (เฉลี่ย 0.89 บาท) ที่ 9.90
บาทSAMTEL: คาดการณ์มูลค่าเพิ่มจากโครงการติดตั้งโครงข่าย 3G ของ TOTสัดส่ว Net margin นรายไดข้ อง SAMTEL
-----------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ตปท
ดัชนีดาวโจนส์ปิดปรับตัวลดลงถึง 166.13 จุด เป็นการปิดร่วงลงใน 1 วันมากที่สุดในรอบเกือบ 6 เดือน หลังเกิดจราจลในอียิปต์ รวมถึงผลประกอบการที่น่าผิดหวังของบริษัทอะเมซอนดอทคอม และฟอร์ดยังเพิ่มแรงกดดันต่อตลาดหุ้นโดยรวมด้วย

ดัชนี VIX พุ่งขึ้นถึง 24.1% มาอยู่ที่ 20.04 จากความไร้เสถียรภาพที่เพิ่มขึ้นในตะวันออกกลาง

ตลาดหุ้นยุโรปก็ปิดร่วงลงเช่นกัน จากความวิตกที่ว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจอาจจะหยุดชะงัก ขณะที่การประท้วงในอียิปต์ขยายตัวมากขึ้น

ขณะที่ตลาดหุ้นในเอเชียเช้านี้ ก็เปิดทำการด้วยการปรับตัวลงเฉลี่ยเกือบ 1% ด้วยเช่นกัน

ส่วนค่าเงินบาทยังอ่อนค่าต่อเนื่อง โดยล่าสุดมายืนเหนือ31 บ./ดอลลาร์แล้ว

ราคาน้ำมันดิบในตลาด NYMEX ปิดที่ 89.34 ดอลลาร์/บาร์เรล พุ่งขึ้น 3.70 ดอลลาร์ จากปัญหาความไม่สงบในตะวันออกกลาง

ราคาทองคำล่วงหน้าในตลาด COMEX ปิดที่ 1340.70ดอลลาร์/ออนซ์ ดีดตัวขึ้น 22.30 ดอลลาร์ โดยมีแรงซื้อกลับเข้ามาในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย

ข่าวต่างประเทศ
สหรัฐอเมริกา: ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสหรัฐปรับตัวลดลงในเดือนม.ค. รอยเตอร์/มหาวิทยาลัยมิชิแกนรายงานว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสหรัฐในเดือนม.ค. ปรับตัวลงมาอยู่ที่ระดับ 74.2 จุด จากระดับ 74.5 จุดของเดือนธ.ค. แต่เป็นการปรับตัวลงน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 73.3 จุด ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจสหัฐยังคงมีแนวโน้มที่จะขยายตัวได้ดีในปีนี้ รายงานระบุว่า ผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นที่จะซื้อสินค้าราคาแพงมากขึ้น รวมถึงรถยนต์ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า เศรษฐกิจสหรัฐยังคงมีแนวโน้มสดใสแม้อัตราว่างงานยังคงยืนเหนือระดับ 9% ก็ตาม(ที่มา: อินโฟเควสท์ 29-01-2011)

สหรัฐอเมริกา: สหรัฐเผย GDP ไตรมาส 4 ปี 53 ขยายตัว 3.2% หลังผู้บริโภคเพิ่มการใช้จ่าย กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยการประมาณการมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ประจำไตรมาส 4 ปี 2553 ครั้งที่ 1 โดยระบุว่า จีดีพีขยายตัวในอัตรา 3.2% ต่อปี มากกว่าระดับ 2.6%ของไตรมาส 3 ส่วนจีดีพีตลอดปี 2553 ของสหรัฐ ขยายตัว 2.9% ซึ่งเป็นอัตราการขยายตัวที่แข็งแกร่งที่สุดนับตั้งแต่ปี 2548 (ที่มา: อินโฟเควสท์ 29-01-2011)

เอเชีย: ญี่ปุ่นเผยผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนธ.ค.ขยายตัว 3.1% กระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นเปิดเผยในวันนี้ว่าผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนธ.ค.ปี 2553 ขยายตัว 3.1% จากเดือนพ.ย. ทำสถิติขยายตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2 และมากกว่าที่นักวิเคราะห์ในโพลล์เกียวโดคาดการณ์ว่าจะขยายตัว 3.0% ในช่วงเวลา 12 เดือนจนถึงเดือนธ.ค.ปี 2553 ดัชนีผลผลิตในภาคส่วนของโรงงานและเหมืองแร่ ปรับตัวขึ้น15.9% จากปีก่อ ส่วนดัชนีการขนส่งในภาคอุตสาหกรรมขยายตัว 1.1% และดัชนีสต็อกสินค้าในภาคอุตสาหกรรมขยายตัว 1.4% สำนักข่าวเกียวโดรายงาน (ที่มา: อินโฟเควสท์ 31-01-2011)

เอเชีย: ฟรอสท์ แอนด์ ซัลลิแวนคาดอุตสาหกรรมโลจิสติกอินโดนีเซียโต 8.3% ปีนี้ ฟรอสท์ แอนด์ ซัลลิแวน บริษัทวิเคราะห์ข้อมูลชั้นนำของโลก คาดการณ์ว่า อุตสาหกรรมโลจิสติกของอินโดนีเซียจะขยายตัว 8.3% คิดเป็นมูลค่า 155.16 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปีนี้ เพราะได้ปัจจัยหนุนจากแนวโน้มเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของอินโดนีเซีย โกพอล อาร์ รองประธานฝ่ายวิเคราะห์ข้อมูลการขนส่งและโลจิสติกในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของฟรอสท์แอนด์ ซัลลิแวน กล่าวว่า ธุรกิจน้ำมันและก๊าซ แร่ธาตุ และการเพาะปลูก จะยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่มีอิทธิพลต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมโลจิสติกของอินโดนีเซียในปีนี้ (ที่มา: อินโฟเควสท์ 29-01-2011)

.-----------------------------------------------------------------------------

Code 346 : Rebound ขึ้นมายืนเหนือ 980 ได้

วันศุกร์ที่ 28 มกราคม 2554

ATT Code : Rebound ขึ้นมายืนเหนือ 980 ได้
SET โดนกดลงมาตามตลาด NIX และ HSKI ตลอดทั้งวัน แต่ตอนปลายตลาดช่วง 4 โมงเย็น SET ได้ Rebound ขึ้นมา เกือบ 9 จุด มาปิดที่ 981.83 สามารถยืนเหนือ 980 ได้ แต่ก็ยังไม่ถึงเส้น 5 วัน ที่ 984 จุด ดังนั้นพรุ่งนี้ก็ยังลุ้นขึ้นมาที่ 985 - 990 ได้อยู่ แต่ถ้าหลุด 980 ก็อาจจะมีโอกาศที่จะลงไปที่ 966 ได้อยู่

-----------------------------------------------------------------------------
MARKET WAVE Analysis
28 มค. 54 ( +8.64 จุด ) โกมล พงศ์วิญญู เลขทะเบียน 18338

ไม่น่าเกิน 995 - 1000 จุด
ตราบใดไม่ต่ำกว่า 980.67 จุดต่ำสุดของวันพฤหัส ดัชนียังมีโอกาสปรับตัวขึ้น 995 -1000 ใกล้จุดสูงสุดเดิมของสัปดาห์นี้

อย่างไรก็ตาม ดัชนีปรับตัวขึ้น แต่ปริมาณการซื้อขาย Volume ไม่ได้ปรับตัวขึ้นตาม ดังนั้นมีความเสี่ยงที่ ภาพหนึ่งถึงสองสัปดาห์ข้างหน้า ตลาดมีโอกาสที่จะปรับตัวกลับลงมาแถว 950 – 960 ใกล้จุดต่ำสุดของสัปดาห์นี้อีกครั้ง

และพอมีความเป็นปได้ว่า ตลาดน่าจะแกว่งตัวอีกนาน “หลายสัปดาห์” ในกรอบ950 - 1000 จุด หรือระหว่างจุดต่ำสุดถึงจุดสูงสุดของสัปดาห์นี้

หุ้นเด่น
BBL
ปรับตัวขึ้นมาอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ย 25 ชั่วโมงได้อีกครั้ง รอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 155.50จุดสูงสุดวันพฤหัส เป้าหมายหนึ่งถึงสองวัน158.00 – 160.00( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 153.50 )158 – 160

TOP
ปรับตัวขึ้นมาอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ย 25 ชั่วโมงได้อีกครั้ง รอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 70.75จุดสูงสุดวันพฤหัส เป้าหมายหนึ่งถึงสองวัน72.25 – 72.75( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 70.00 )

10 อันดับซื้อขายสูงสุด
PTT ต่ำกว่า 340 ลง 334 - 336
BANPU ต่ำกว่า 760 ลง 740 - 744
SCC ต่ำกว่า 314 ลง 308 - 310
PTTCH ไม่ต่ำกว่า 140 ขึ้น 143.50 – 144.50
IVL เกิน 40.25 ขึ้น 41 – 42
PTTAR ต่ำกว่า 37 ลง 34 - 35
TRUE ต่ำกว่า 6.60 ลง 6.20 - 6.30
TOP รายละเอียดใน “หุ้นเด่น”
KBANK เกิน 119 ขึ้น 120 - 122
CPF เกิน 22.70 ขึ้น 23.10 – 23.50

-----------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย
FSS :เริ่มมีโอกาสแกว่งผันผวนและพักตัวลงอีกครั้ง แต่ยังลุ้นกลับขึ้นมาใหม่ได้
แนวโน้ม: เมื่อวานนี้ SET เริ่มแกว่งตัวผันผวนมากขึ้น แม้ว่าจะยังปิดเป็นบวก แต่ก็แสดงถึงแนวโน้มที่จะมีรอบปรับพักตัวลงในด้านลบให้เห็นได้บ้างแล้ว โดยเช้านี้ตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียก็เริ่มปรับพักตัวลงในด้านลบกันหลายแห่ง ประกอบกับตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐที่กลับมาอ่อนแอลงอีกครั้ง ขณะที่ความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อก็ยังไม่หมดไป และค่าเงินบาทที่ยังอ่อนค่าต่อเนื่อง น่าจะทำให้ SET มี
โอกาสปรับพักตัวลงไปเคลื่อนไหวเป็นลบได้ อย่างไรก็ตาม FSS ยังคาดว่าการประกาศผลการดำเนินงานของ บจ. ในช่วงนี้ที่หลายๆ บริษัทยังมีแนวโน้มที่จะมีผลการดำเนินงานที่ดี จะช่วยสนับสนุนให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงในกรอบจำกัดและยังมีแนวโน้มที่จะมีแรงซื้อกลับเข้ามาดันให้ SET ดีดกลับขึ้นรอบใหม่ได้

กลยุทธ์: ดังนั้นตลาดปรับลงยังน่าสนใจเลือกหุ้นเข้ารับเพื่อลุ้นรีบาวด์รอบใหม่ได้โดยหุ้นที่น่าสนใจ ได้แก่ BGH, BH, BEC, MCOT, PHATRA, BLS, LPN, SVI,PTTCH, PTTAR, IRPC, IVL, TOP, ESSO, BANPU, LANNA เป็นต้น

ประเด็นสำคัญวันนี้
• (+) PTTAR ราคาพาราไซลีนพุ่งแรง ค่าการกลั่นดี Margin กว้าง ปรับเป้าใหม่ขึ้นเป็น 45 บาท เราคาดว่ากำไร 4Q10 จะออกมาดี แต่ทั้งปี 2010 ลดลงจากปีก่อนเพราะขาดทุนหนักใน 2Q10 แต่คาดว่ากำไรปี 2011 จะโตก้าวกระโดดถึง 91% แนะนำให้หาจังหวะเข้าซื้อ

• (+) TOP ราคาหุ้นที่พักฐานเป็นโอกาสในการซื้อสะสม TOP โดยเราประเมินเป้าหมาย 85 บาท คาดกำไร 4Q10 โตก้าวกระโดด 51%Q-Q และ 118%Y-Yจากค่าการกลั่นที่สูงขึ้นและ Stock gain ส่วนกำไรปี 2011 โตต่อ 84% ทั้งจากค่าการกลั่นที่สูงขึ้นและการปรับ LPG ในช่วงที่ผ่านมา ปัจจุบัน TOP ซื้อขายที่ PBVเพียง 1.6 เท่าต่ำกว่าคู่แข่งในภูมิภาคที่ 2 เท่า ราคาปัจจุบันถือว่าน่าสนใจ

• (+) STA เริ่มซื้อขายในสิงคโปร์ 31 ม.ค. หุ้นเพิ่มทุนใหม่ 280 ล้านหุ้นจะเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์วันจันทร์ที่ 31 ม.ค. นี้โดยมีราคา IPO 29 บาทซึ่งคิดเป็น PE ต่ำเพียง 8.4 เท่า เมื่อเทียบกับกำไรในปีนี้ที่เราคาดว่าจะเติบโต15% และต่ำกว่า Trading firm ในสิงคโปร์ที่ซื้อขายที่ 14-15 เท่า รวมถึงต่ำกว่ากลุ่มเกษตรในไทยที่ 10-12 เท่า เรามองเป็นโอกาสในการซื้อสำหรับราคาหุ้นในไทยที่ปรับลงมาเพราะผิดหวังกับราคา IPO ที่ค่อนข้างต่ำ เพราะราคาปัจจุบันคิดเป็น PE 9.7 เท่า เราประเมินราคาเป้าหมาย 42 บาท อิง PE 12 เท่า กำไรใน4Q10 มีโอกาสทำสถิติสูงสุดใหม่เพราะ stock gain และยังดีต่อเนื่องใน 1H11

• (+) ทีโอทีจะเปิดประมูลโครงข่าย 3G เช้านี้ ศาลยกเลิกคำร้องของกลุ่มอิริคสัน-ZTE จะเปิดประมูล 3G มูลค่า 17,440 ล้านบาทเช้านี้ด้วยวิธี E-auction กลุ่มที่มีสิทธิประมูลคือ SAMART, SAMTEL, LOXLEY, AIT การเก็งกำไรราคาหุ้นกลุ่มนี้
ในเช้านี้จะเป็นโอกาสในการขายสำหรับผู้ที่เล่นเก็งกำไรกับข่าวนี้ เพราะหากประมูลไม่ได้ ราคาหุ้นถือว่าเต็มมูลค่าทุกตัวยกเว้น AIT (เป้าหมาย 52 บาท) แต่หากประมูลได้ แต่ละตัวจะมี upside ~15-20% เราแนะนำขายอยู่ดีหลังข่าวออกแล้วรอสะสมบริษัทที่ชนะประมูลเมื่อราคาปรับลงอีกที

• Fund Flow วานนี้ไหลเข้าต่อเนื่องเป็นวันที่ 3 ติดต่อกัน ด้วยปริมาณซื้อสุทธิที่เพิ่มมากกว่าปกติ แต่ยังซื้อกลับในตลาดหุ้น TIPs ไม่มาก แรงปรับพอร์ตของนักลงทุนต่างชาติในระยะสั้นน่าจะพักรบเพื่อหายใจหลังดัชนีตลาดหุ้น TIPs ปรับลงแรงมากเกินไป ปัจจัยต่างประเทศช่วงนี้มีอิทธิพลต่อตลาดน้อย ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐออกมาค่อนข้างผสมผสานกัน แต่ดัชนี้ดาวโจนส์ยังไม่สามารถปิดทะลุ 12,000 จุดได้ สำหรับค่าเงินบาทเช้านี้กลับมาอ่อนค่าเล็กน้อยอยู่ที่ระดับ 30.98บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งส่วนทางกลับค่าเงินภูมิภาคที่แข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งทำให้เราเป็นห่วงว่าการปรับขึ้นของดัชนี้รอบนี้อาจจะมีแรงขาย
จากนักลงทุนต่างชาติได้ สำหรับสาเหตุที่ค่าเงินบาทไม่แข็งตามประเทศอี่นในเอเชียอาจจะมาจากเรื่องการเมืองหรือแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อรวมถึงการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายก็อาจเป็นได้ ดังนั้นการลงทุนในช่วงตลาดรีบาวด์อาจทำกำไรระยะสั้นเพื่อลดความเสี่ยงน่าจะดีกว่า

ข่าวภายในประเทศ
ลุ้นศาลไต่สวน "3G TOT" 27 ม.ค.นี้ แหล่งข่าวจากทีโอทีกล่าวว่ากลุ่มคอนซอร์เตี้ยมอีริคสันกับเอเอส แอสโซซิเอท ได้ยื่นฟ้องศาลปกครองกลางกรณีไม่ได้รับความเป็นธรรมในการยื่นเอกสารประมูลโครงการ 3G ของทีโอที โดยศาลปกครองกลางได้นัดไต่สวนคู่กรณีทั้ง 2 ในเวลาประมาณ 13.00น. วันที่ 27 ม.ค.11 อีริคสันเห็นว่าการไม่มีแคตตาล็อกแสดงอุปกรณ์เรื่องเสาอากาศส่งสัญญาณ เป็นความผิดที่ไม่ใช่สาระสำคัญ ซึ่งการปรับให้อีริคสันหมดสิทธิเข้าสู่กระบวนการประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (อี-ออคชั่น) ถือว่าไม่ชอบธรรม และไม่ทำให้เกิดประโยชน์สาธารณะสำหรับโครงการ 3G ทีโอทีโดยอีริคสันจะขอให้ศาลคุ้มครองชั่วคราวโดยชะลอการเคาะราคาอี-ออชั่นที่ทีโอทีกำหนดในวันที่ 28 ม.ค.นี้ออกไปก่อน จนกว่าศาลจะมีคำสั่งอย่างใดออกมา โครงการประมูล 3G ของทีโอทีจะเดินต่อไปได้หรือไม่ จึงต้องรอลุ้นหลังการตัดสินของศาลปกครองกลาง ซึ่งนัดไต่สวนคู่กรณีทั้ง 2 ในเวลา
ประมาณ 13.00 น.ในวันที่ 27 ม.ค.นี้ Source - ผู้จัดการออนไลน์ (Th) ความเห็น : คาดว่าราคาหุ้นที่เกี่ยวข้อง AIT LOXLEY SAMTEL และSAMART ยังมีความผันผวน กรณีที่แย่ หากศาลสั่งคุ้มครอง จะเป็นผลเชิงลบ แต่หากศาลให้การประมูลทำได้ ก็อาจมีการเก็งกำไรต่อ อย่างไรก็ตามจากความกังวลการประมูลวันศุกร์ที่ 28 ม.ค.นี้ จะล่าช้าออกไป ขณะที่ราคาหุ้นส่วนใหญ่ในช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมาปรับขึ้นมาระดับหนึ่งแล้ว แม้เจอการขายทำกำไรไปบ้างในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา โดยเฉพาะ SAMTEL ที่ราคาหุ้น +19% ในช่วง 4 เดือน เทียบกับ SET +2% และ SAMART +4% เพื่อลดความเสี่ยง ยังมองในเชิงขายทำกำไรในหุ้นดังกล่าวไปก่อน (SAMTEL ราคาเป้าหมายไม่รวม 3G ที่ 11.60 บาท รวม 14.60 บาท) ส่วน SAMART(ถือหุ้น 70.6% ใน SAMTEL) ราคาเป้าหมายเดิม 8.90 บาท + Upside หากรวม 3G ประมาณ 1.30 บาท เป็น 10.20 บาท ทั้งนี้ การประเมิน Upside ดังกล่าวเป็นการประเมินเบื้องต้น
-----------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ตปท.
ตลาดหุ้นสหรัฐยังแกว่งตัวผันผวนแคบๆ ในกรอบเดียวกันกับเมื่อวันก่อน โดยเน้นหนักทางด้านบวก ก่อนจะปิดตลาดเป็นบวกเพียง 4.39 จุด จากแรงหนุนของบริษัทเอกชนที่ยังประกาศผลการดำเนินงานที่ดี แต่ตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกที่พุ่งสูงขึ้น และยอดสั่งซื้อของโรงงานที่ลดลงยังคงกดดันตลาดอยู่ ขณะที่หลังปิดทำการ อเมซอนดอทคอมและแซนดิสค์ เปิดเผยผลประกอบการต่ำกว่าที่ตลาดคาดด้วย

ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกด้วย หลังสเปนเตรียมเร่งการปรับโครงสร้างภาคธนาคาร รวมถึงการเก็งกำไรผลประกอบการของบริษัทเอกชน

ส่วนตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้แม้ว่าจะเปิดทรงตัวแคบๆ แต่ส่วนใหญ่เคลื่อนไหวในด้านลบ

ราคาน้ำมันดิบในตลาด NYMEX ปิดที่ 85.64 ดอลลาร์/บาร์เรล ร่วงลง 1.69 ดอลลาร์ หลังตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐออกมาอ่อนแอลงอีกครั้ง รวมถึงมีข่าวว่ากลุ่มประเทศโอเปกเตรียมปรับเพิ่มปริมาณการผลิต

ราคาทองคำล่วงหน้าในตลาด COMEX ปิดที่ 1318.40ดอลลาร์/ออนซ์ ร่วงลง 14.60 ดอลลาร์ หลังนักลงทุนยังหันไปซื้อสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น

ข่าวต่างประเทศ
สหรัฐอเมริกา: สหรัฐเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานสัปดาห์ที่แล้วพุ่งขึ้น 51,000 ราย กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุด ณ วันที่ 22 ม.ค.พุ่งขึ้น 51,000 ราย แตะระดับ 454,000 ราย ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ช่วงปลายเดือนต.ค.ปี 2553 และเพิ่มขึ้นมากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 405,000 ราย ส่วนจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานโดยเฉลี่ย 4สัปดาห์ ปรับตัวเพิ่มขึ้น 15,750 ราย แตะระดับ 428,750 ราย (ที่มา: อินโฟเควสท์ 27-01-2011)

สหรัฐอเมริกา: สหรัฐเผยดัชนีการทำสัญญาซื้อบ้านเดือนธ.ค.พุ่งขึ้นเกินคาด 2% สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติเปิดเผยว่า ดัชนีการทำสัญญาซื้อบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) เดือนธ.ค.ของสหรัฐ พุ่งขึ้น 2% แตะที่ 93.7 จุด จากระดับ 91.9 จุดของเดือนพ.ย. ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 1% และเป็นสถิติที่เพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3 (ที่มา: อินโฟเควสท์ 28-01-2011)

จีน: จีนเผยหนี้เสียของธนาคารพาณิชย์ลดลง 14% ในปี 53 คณะกรรมการกำกับดูแลการธนาคารของจีน (CBRC) เปิดเผยว่า หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ของธนาคารพาณิชย์จีน ลดลง 14% ในปี 2553 แตะที่ 4.293 แสนล้านหยวน (6.517 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ) สำหรับสัดส่วนหนี้เสียของธนาคารพาณิชย์จีนลดลง 0.44% เมื่อเทียบรายปี แตะที่ 1.14% ณ สิ้นปี 2553 ด้านธนาคารพาณิชย์ร่วมทุนมีหนี้เสีย 4.86 พันล้านหยวน ณ สิ้นปี2553 ลดลง 21% เมื่อเทียบรายปี และสัดส่วนหนี้เสียอยู่ที่ 0.53% ลดลง 0.32% เมื่อเทียบรายปี (ที่มา: อินโฟเควสท์ 27-01-2011)

เอเชีย: S&P ลดอันดับความน่าเชื่อถือระยะยาวญี่ปุ่นลงสู่ระดับ AA- สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (S&P) ได้ลดอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้ระยะยาวของรัฐบาลญี่ปุ่นลงสู่ระดับ AA- จากระดับ AA โดยให้เหตุผลว่าญี่ปุ่นกำลังเผชิยความยากลำบากในการฟื้นฟูภาคการเงินสาธารณะ หนี้สาธารณะของญี่ปุ่นมีแนวโน้มว่าจะสูงกว่าขนาดของเศรษฐกิจประเทศถึง 2 เท่าในปีนี้ และอยู่ที่ระดับ 210% ของจีดีพีในปี2555 ซึ่งถือเป็นสถิติที่สูงที่สุดในบรรดาประเทศที่ทางองค์การเพื่อความร่วมมือและพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) ได้ติดตาม (ที่มา: อินโฟเควสท์ 27-01-2011)

เอเชีย: ญี่ปุ่นเผยดัชนี CPI เดือนธ.ค.ปรับตัวลดลงเป็นเดือนที่ 22 บ่งชี้ญี่ปุ่นยังเผชิญเงินฝืด กระทรวงสื่อสารและกิจการภายในประเทศของญี่ปุ่นรายงานในวันนี้ว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (ซีพีไอ) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่สำคัญ ปรับตัวลดลง 0.4% ในเดือนธ.ค.ปี 2553 ซึ่งเป็นการปรับตัวลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 22 และสะท้อนให้เห็นว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นยังคงเผชิญกับปัญหาเงินฝืด ส่วนดัชนีซีพีไอตลอดปี 2553 ซึ่งไม่นับรวมราคาอาหารที่มีความผันผวน ปรับตัวลดลง 0.7% ดัชนีซีพีไอพื้นฐานในกรุงโตเกียว อ่อนตัวลง 0.2% ในเดือนธ.ค. แต่ยังน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะร่วงลง 0.3% (ที่มา: อินโฟเควสท์ 28-01-2011)

เอเชีย: ญี่ปุ่นเผยตัวเลขการใช้จ่ายภาคครัวเรือนเดือนธ.ค.หดตัวลงเกินคาด 3.3% กระทรวงสื่อสารและกิจการภายในประเทศของญี่ปุ่นรายงานในวันนี้ว่า ตัวเลขการใช้จ่ายโดยเฉลี่ยของภาคครัวเรือนญี่ปุ่นในเดือนธ.ค.2553 ร่วงลง 3.3% เมื่อเทียบเป็นรายปี มาอยู่ที่ระดับ 327,006 เยนหรือ 3,945 ดอลลาร์ ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะขยับลงเพียง 0.6% และเป็นการปรับตัวลงติดต่อกัน 3 เดือน (ที่มา: อินโฟเควสท์ 28-01-2011)

-----------------------------------------------------------------------------

Code 345 : ยืนเหนือเส้น 5 วัน @ 985

วันพฤหัสที่ 27 มกราคม 2554

ATT Code : ยืนเหนือเส้น 5 วัน @ 985
วันนี้ SET เหมือนกันว่ารายใหย่ซื้อขายกันแรง โยนกันไปโยนกันมาระหว่างหุ้นตัวใหญ่ สุดท้ายแรงซื้อก้เป็นฝ่ายชนะ ทำให้ SET มาปิดที่ 986.71 บวกไป 8.64 จุด สามารถยืนเหนือเส้น 5 วัน ที่ 985 ได้ ดังนั้น พรุ่งนี้ก็มีโอกาสที่จะผ่านแนวต้านที่ 990 ไปสู่แนวต้านที่ 996 แต่ในระวังแรงขายตรงบริเวณนั้นด้วย

-----------------------------------------------------------------------------
MARKET WAVE Analysis
27 มค. 54 ( +18.90 จุด ) โกมล พงศ์วิญญู เลขทะเบียน 18338


ต่ำกว่า 969.19 ปรับตัวลง 952 – 955 จุด
แนวโน้มในวันพฤหัสนี้ ถ้าต่ำกว่า 969.19 จุดต่ำสุดเวลา 12.00 น. ของวันพุธ ดัชนีมีความเสี่ยงที่จะปรับตัวกลับลงมาแถว 952 –955 ใกล้จุดต่ำสุดของสัปดาห์นี้อีกครั้ง


และพอมีความเป็นปได้ว่า ตลาดน่าจะแกว่งตัวอีกนานหลายวันถึงเป็นสัปดาห์ ในกรอบ 950 - 980 จุด หรือระหว่างจุดต่ำสุดของวันอังคารถึงจุดสุงสุดของวันพุธ

อย่างไรก็ตามถ้าปรับตัวขึ้น เกิน 980 จุด จะทำให้เกิด “สัญญาณซื้อ” ในเครื่องมือ Point& Figure ดัชนีสามารถปรับตัวขึ้นต่อได้แถว 995 – 1005 ใกล้จุดสูงสุดเดิมของสัปดาห์นี้

หุ้นเด่น
AP
ปรับตัวขึ้นมาอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ย 25 ชั่วโมงได้อีกครั้ง รอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 6.10จุดสูงสุดวันพุธ เป้าหมายสองสามวัน6.35 – 6.45( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 5.95 )6.35 – 6.45

LH
ปรับตัวขึ้นมาอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ย 25 ชั่วโมงได้อีกครั้ง รอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 5.75จุดสูงสุดวันพุธ เป้าหมายสองสามวัน6.05 – 6.15( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 5.55 )

10 อันดับซื้อขายสูงสุด
PTT ไม่น่าเกิน 340 - 342
BANPU แกว่งตัว 740 – 758
SCC แกว่งตัว 308 – 319
IVL ต่ำกว่า 37.75 ลง 36 - 37
PTTCH แกว่งตัว 137 - 140
SCB ไม่ต่ำกว่า 97 ขึ้น 101 – 102
TRUE เกิน 6.90 ขึ้น 7 – 7.10
TOP แกว่งตัว 68.75 - 70
PTTAR แกว่งตัว 36 – 37
STA แกว่งตัว 31 – 35

--------------------------------------------------------------
เงาหุ้น - เด้งดึ๋ง!!

ดัชนีหุ้นวันที่ 26 ม.ค.54 ปิดที่ 978.07 จุด เพิ่มขึ้น 18.90 จุด มีมูลค่าการซื้อขายอยู่ที่ 34,594.11 ล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิ 396.47 ล้านบาท

หุ้นไทยดีดกลับปรับตัวขึ้นแรงได้ตลอดทั้งวัน หลังต่างชาติกลับมาเป็นฝ่ายซื้อสุทธิ ทำให้นักลงทุนคลายความกังวลในประเด็นแรงขายจากต่างชาติ

ฝ่ายวิจัย บล.กิมเอ็ง มองตลาดยังเป็นขาขึ้นอยู่ เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานของยังแข็งแกร่ง จากการที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลง ทำให้ราคาหุ้นไทยถูกลง โดยมี P/E ที่ 11 เท่า ขณะที่อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลอยู่ในระดับที่สูงที่ 4% จึงเชื่อว่าเม็ดเงินลงทุนต่างประเทศจะกลับมาลงทุนในตลาดหุ้นไทย

ส่วนปัจจัยการเมืองเรื่องการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดง และกลุ่มพันธมิตรฯ เสื้อเหลือง มองว่ายังไม่น่ากังวล

ด้าน บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุว่า ต้นทุนต่างชาติอยู่ที่ 964 จุด (ก.ย.-ปัจจุบัน) นับจากจุด Peak ปี 53 ดัชนีหุ้นปรับลงมาแล้ว 8.7% ใกล้เคียงตลาดหุ้นอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ ที่ปรับลง 10.7% จาก Peak เช่นกัน ซึ่งหากหุ้นไทยต้องปรับลงเท่ากับตลาด TIPs อื่นๆ ดัชนีจะอยู่ที่ 952 จุด แต่ในความเป็นจริงไม่ควรเป็นเช่นนั้น เพราะตลาดหุ้นไทยปรับขึ้นน้อยกว่าอินโดนีเซีย

และถ้ามาดูต้นทุนเฉลี่ยของต่างชาติตั้งแต่เริ่มกลับมาซื้อหุ้นไทยจริงจังคือหลังจากมาบตาพุดชัดเจน จนถึงปัจจุบัน มีต้นทุนเฉลี่ยอยู่ที่ดัชนี 964 จุด แทบไม่เหลือกำไรแล้ว มีกำไรจากค่าเงินบาทเพียง 4.4% จึงคิดว่า downside ของตลาดเริ่มจำกัดมากแล้ว ปัจจุบันคิดเป็น PE 12 เท่า ถูกกว่าการเติบโตของกำไรในปีนี้ที่ 16% การปรับลงของดัชนีจึงเป็นโอกาสในการเลือกสะสมหุ้น

โดยหุ้นปันผลดี แนะ BLS, TMT, TRT, AP, TICON, AIT, LPN, KK, TPAC, ADVANC

หุ้นที่คาดว่าจะประกาศผลประกอบการดี BANPU, TOP, PTTCH, PTTAR, PTT, IRPC, IVL, PTL, STA, SVI, HMPRO, BIGC, BGH, TVO

หุ้นที่น่าสะสมลงทุน TUF, CPALL, BGH, BANPU, PTTEP, GLOW, SVI

ปิดท้าย โฟกัสหุ้นรายตัว LH หลังแถลงแผนงานปี 54 โบรกเกอร์ส่วนใหญ่แนะนำ "ซื้อ" โดย บล.บัวหลวงให้เป้าหมายเท่ากับเกียรตินาคินที่ 7.20 บาท ตามด้วย กรุงศรีอยุธยาและฟิลลิป ให้ราคาพื้นฐาน 7 บาท, ซิกโก้ 6.90 บาท และกิมเอ็งให้ 6.80 บาท.

"อินเด็กซ์ 51"

--------------------------------------------------------------
E Finanace Thai : SCC ฟันกำไรพุงปลิ้น!!

"ปูนซิเมนต์ไทย"โชว์กำไรปี 53 พุ่งกระฉูด 54% ทะลุ 3.7 หมื่นล้านบาท พร้อมแจกโบนัสปันผลให้ผู้ถือหุ้น 8 บาท ด้าน"กานต์"ตั้งเป้าปีนี้เติบโตต่อเนื่อง คาดดันยอดขายแตะ 3.3 แสนล้านบาท เดินหน้าซื้อกิจการที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจ หวังโตทางลัด เผยโครงการร่วมทุนปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ในเวียดนามชัดเจนกลางปีนี้ พร้อมศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนนิคมอุตสาหกรรมทวายในพม่า ส่วนโบรกฯยังแนะซื้อให้เป้าสูงสุด 436 บาท

วันนี้(26 ม.ค.54)บริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC ประกาศผลการดำเนินงานปี 53 มีกำไรสุทธิสูงถึง 3.7 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 54% ขณะที่งบไตรมาส 4/53 มีกำไรสุทธิ 1.66 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปี 52 ถึง 213% และจากผลการดำเนินงานที่ออกมาดีทำให้บริษัทประกาศจ่ายปันผลอีกหุ้นละ 8 บาท ส่งผลให้ทั้งปี SCC จ่ายปันผลแล้ว 12.50 บาท
ทั้งนี้ ผู้บริหาร SCC ยังคงตั้งเป้าหมายการดำเนินงานในปีนี้เติบโตขึ้นจากปี 53 เนื่องจากมองว่าธุรกิจในเครือของบริษัทยังมีศักยภาพเติบโตในทุกภาคส่วน ทั้งธุรกิจปูนซิเมนต์ ธุรกิจปิโตรเคมี และธุรกิจกระดาษ ขณะเดียวกันผู้บริหารวางแผนโตทางลัดด้วยการเข้าซื้อกิจการจำนวนมาก ด้านนักวิเคราะห์ยังคงแนะนำซื้อหุ้น SCC โดยให้ราคาเป้าหมายตั้งแต่ 363-436 บาท

***** SCC กำไรพุ่ง 54% ปันผลเพิ่ม 8 บาท
นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทปูนซิเมนต์ไทย เปิดเผยว่า คณะกรรมการบริษัทฯได้เสนอต่อที่ประชุมใหญ่สามัญกำหนดให้จ่ายเงินปันผลงวดครึ่งปีหลัง 2553 ในอัตราหุ้นละ 8 บาทต่อหุ้น โดยกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิรับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 8 เมษายน 2554 และจะปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหุ้นในวันที่ 11 เมษายน 2554 โดยกำหนดจ่ายเงินปันผลงวดสุดท้ายวันที่ 27 เมษายน 2554

ทั้งนี้ คณะกรรมการบริษัทจะเสนอให้ที่ประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้นวันที่ 30 มีนาคม 2554 พิจารณาอนุมัติจ่ายเงินปันผลอีกครั้ง ส่งผลให้ในปีนี้บริษัทจ่ายปันผลในอัตรา 12.50 บาทต่อหุ้น โดยบริษัทฯได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปแล้วในอัตราหุ้นละ 4.50 บาท เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2553

สำหรับงบการเงินรวมประจำปี 2553 บริษัทปูนซิเมนต์ไทยฯและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ 37,382 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 54% จากปีก่อน ผลการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นเป็นผลมาจากบริษัทมีกำไรจากบริษัทลูกเพิ่มขึ้น และบริษัทมียอดขายสุทธิทั้งสิ้น 301,323 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26% จากปีก่อน

ด้านผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/53 บริษัทฯและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ 16,673 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 213% จากปีก่อน เนื่องจากกำไรจากการขายหุ้น PTTCH และมียอดขายสุทธิ 76,252 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23% จากปีก่อน

***** ปูนใหญ่ตั้งเป้ายอดขายปีนี้โต 10%
นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย เปิดเผยว่า บริษัทฯตั้งเป้ายอดขายรวมในปีนี้เติบโตประมาณ 10% แตะ 3.3 แสนล้านบาท จากปี 53 ที่มียอดขายอยู่ที่ประมาณ 3 แสนล้านบาท ซึ่งถือเป็นฐานที่สูง โดยการเติบโตดังกล่าวประกอบไปด้วยในส่วนของธุรกิจปิโตรเคมี ซึ่งมีสัดส่วนของรายได้หลักอยู่ที่ประมาณ 50% ซึ่งธุรกิจดังกล่าวมีแนวโน้มดีต่อเนื่อง และที่ผ่านมาก็ออกมาดีกว่าคาด

ขณะที่ในปีนี้บริษัทฯจะมีกำลังการผลิตจากโรงงานใหม่ที่จะเข้ามาเพิ่ม โดยปิโตรเคมี ดาวสตรีม ใช้กำลังการผลิตอยู่ในสัดส่วน 80% ซึ่งในช่วงปลายปีที่ผ่านมามีโครงการก่อสร้างแล้วเสร็จ จำนวน 2 โครงการ และส่วนที่เหลืออีกจำนวน 3-4 โครงการสุดท้าย ซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้างจะเสร็จในช่วงปลายไตรมาส 3/54 และจะสามารถเดินเครื่องได้เต็มกำลังการผลิตในไตรมาส 4/54 โดยกำลังการผลิตดังกล่าวจะค่อยๆทยอยปรับสูงขึ้น แต่อาจยังไม่เต็ม 100% ของกำลังการผลิต

นอกจากนี้ประเมินว่ากำลังการผลิตใหม่ของตลาดรวมที่จะเข้ามาในปีนี้ของทั่วโลก จะเพิ่มขึ้น 6 ล้านตัน ลดลงจากปี 53 ที่มีกำลังการผลิตใหม่เข้ามา 12 ล้านตัน ขณะที่ความต้องการใช้ของโลกจะเพิ่มขึ้นประมาณ 5-6 ล้านตันต่อปี จึงประเมินว่าราคาขายผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีและส่วนต่างของราคาขาย (สเปรด) จะสูงขึ้นจากปีก่อน โดยคาดว่าจะเริ่มเห็นการปรับเพิ่มขึ้นของราคาขายและสเปรดตั้งแต่ไตรมาส 3-4 เป็นต้นไป โดยรวมจึงเชื่อว่าธุรกิจปิโตรเคมีจะดีขึ้นจากปีที่แล้ว

ในส่วนของธุรกิจกระดาษ บริษัทฯจะมีกำลังการผลิตใหม่เพิ่มขึ้นจากการซื้อกิจการโรงงานกระดาษในเวียดนาม โดยล่าสุดในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา บริษัทฯได้มีการประกาศซื้อโรงงานกระดาษเพิ่มอีก 1 แห่ง ส่งผลให้มีมาร์เก็ตแชร์ธุรกิจกล่องกระดาษในเวียดนามเพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 10% ส่งผลให้คาดว่ายอดขายกระดาษในปีนี้มีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นแน่นอน สำหรับธุรกิจการขายปูนซิเมนต์ในปี 54 คาดว่าอุตสาหกรรมโดยรวมยังมีการเติบโต

***** "กานต์"คาดปริมาณการใช้ปูนซิเมนต์โต 7-8%
นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทปูนซิเมนต์ไทย เปิดเผยว่า คาดว่าปริมาณการใช้ปูนของประเทศปีนี้มีโอกาสที่จะเติบโตได้ถึง 7-8% เนื่องจากในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าการลงทุนจากต่างประเทศ โดยเฉพาะโครงการลงทุนทางตรง (FDI) รวมถึงโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าจะมีมากขึ้น และคาดว่าโครงการก่อสร้างในภูมิภาคน่าจะมากขึ้นเช่นกันสำหรับราคาขายปูนซีเมนต์อาจมีการปรับราคาขึ้น เนื่องจากได้รับผลกระทบจากต้นทุนการผลิตที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยในส่วนของบริษัทฯอาจมีการพิจารณา ซึ่งขึ้นอยู่กับภาวะตลาดในแต่ละช่วงและฤดูการใช้และต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น

***** เดินหน้าซื้อกิจการ-ตั้งโรงงานแห่งใหม่
นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทปูนซิเมนต์ไทย กล่าวว่า บริษัทฯคาดว่ามีโอกาสที่จะใช้เงินลงทุนในช่วง 5 ปีข้างหน้าสูงกว่าที่ตั้งไว้ที่ 1 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นแผนลงทุนที่วางไว้ในช่วงปลายปี 53 ที่ผ่านมา ทั้งนี้การลงทุนจะใช้ทั้งในโครงการภายในและต่างประเทศ ซึ่งมีทั้งโครงการที่มีข้อตกลงและเซ็นสัญญาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว รวมทั้งโครงการลงทุนต่อเนื่อง และโครงการเข้าซื้อกิจการ (M&A) บางราย ทั้งนี้งบลงทุนดังกล่าวยังไม่ได้รวมงบที่จะใช้ในการทำ M&A ใหม่ๆ

สำหรับแผนการลงทุนในปีนี้บริษัทฯจะให้ความสำคัญกับการเข้าซื้อกิจการ (M&A) เป็นอันดับแรก เนื่องจากมีตลาดและลูกค้ารองรับอยู่แล้ว รวมถึงประหยัดเวลา นอกจากนี้จะมีการลงทุนตั้งโรงงานปูนซิเมนต์ในอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นโครงการในรูปแบบ Green Filed ซึ่งน่าจะได้ข้อสรุปที่ชัดเจนในปีนี้ รวมถึงการ M&A ธุรกิจกระดาษในเวียดนาม และจะมีการพิจารณาซื้อโรงงานกระดาษอีกหลายราย รวมถึงในส่วนของธุรกิจปิโตรเคมีจะเน้นการ M&A ในผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีมูลค่าเพิ่ม (HVA) รวมถึงการ M&A ในธุรกิจวัสดุก่อสร้างด้วย

ส่วนเงินลงทุนภายในของบริษัทฯจะใช้ประมาณ 4-5 พันล้านบาทต่อปี เพื่อปรับปรุงคุณภาพการผลิต และสิ่งแวดล้อม

***** ปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ในเวียดนามได้ข้อสรุปกลางปีนี้
นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทปูนซิเมนต์ไทย เปิดเผยว่า การลงทุนโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ในเวียดนาม เชื่อว่าจะเห็นความชัดเจนในช่วงกลางปีนี้ ซึ่งโดยโครงการดังกล่าวเป็นโครงการที่มีขนาดใหญ่ และยังติดปัญหาในเรื่องแหล่งเงินลงทุน ประกอบกับปีที่ผ่านมาเวียดนามมีภาวะการเงินในประเทศที่มีความผันผวน ส่งผลให้หาแหล่งเงินลงทุนได้ยาก

'โครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ในเวียดนามยัง on going ซึ่งตอนนี้ยังติดปัญหาเรื่องแหล่งเงินลงทุน เพราะเป็นโครงการที่มีขนาดใหญ่ ทำให้หาแหล่งเงินทุนยาก ปีที่ผ่านมาการเงินในเวียดนามก็ผันผวน เชื่อว่าไปจนถึงกลางปีน่าจะมีความชัดเจนมากขึ้น ซึ่งพันธมิตรในเวียดนามมีความเข้าใจ สำหรับสัดส่วนการถือหุ้นในโครงการยังไม่มีการปรับเปลี่ยน' นายกานต์ กล่าว

***** เล็งลงทุนนิคมฯทวายในพม่า
นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทปูนซิเมนต์ไทย เปิดเผยว่า บริษัทฯกำลังพิจารณาและศึกษาโครงการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมทวายในพม่า แต่คาดว่าอาจไม่ใช่การลงทุนในโครงการปูนซิเมนต์ เนื่องจากในนิคมอุตสาหกรรมดังกล่าวมีแหล่งวัตถุดิบจำนวนน้อย ทั้งนี้มองว่าการลงทุนในประเทศพม่าถือว่ามีโอกาสสูงหากการเมืองภายในมีความสงบเรียบร้อย โดยปัจจุบันพม่ายังถูกคว่ำบาตร แต่คาดว่าจะมีพัฒนาการที่ดีขึ้น อีกทั้งปัจจุบันบริษัทฯมีการขายปูนซิเมนต์เข้าไปในพม่าประมาณ 1.7 ล้านตัน

'การลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมทวายกำลังดูๆอยู่ มีโอกาสมากหากการเมืองมีความเรียบร้อย พม่าน่าจะไปได้ดี ตอนนี้เราขายปูนปีที่ผ่านมาไปยังพม่าได้ 1.7 ล้านตัน' นายกานต์ กล่าว

**** ลุยออกหุ้นกู้ 1.5 หมื่นลบ.
บริษัทปูนซิเมนต์ไทย แจ้งว่า คณะกรรมการบริษัทได้มีมติในเรื่องสำคัญต่างๆ ดังนี้ 1. ให้ออกและเสนอขายหุ้นกู้ชุดใหม่ ครั้งที่ 1/2554 (SCC154A) จำนวนไม่เกิน 15,000 ล้านบาท อายุ 4 ปี อัตราดอกเบี้ยตามราคาตลาดในขณะที่ออก โดยเสนอขายให้กับ (1) ผู้ถือหุ้นกู้ครั้งที่ 1/2550 (SCC114A) ที่เป็นผู้ลงทุนประชาชนทั่วไป (2) ผู้ถือหุ้นกู้ SCC ชุดอื่นๆ ที่เป็นผู้ลงทุนประชาชนทั่วไป และ (3) นักลงทุนที่เป็นผู้ลงทุนประชาชนทั่วไปตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด โดยเงินที่ได้รับจากการออกหุ้นกู้จะนำไปไถ่ถอนหุ้นกู้ SCC114A ที่จะครบกำหนดไถ่ถอนในวันที่ 1 เมษายน 2554 โดยมีรายละเอียดตามเอกสารแนบ ทั้งนี้การออกและเสนอขายหุ้นกู้ของ SCC เมื่อรวมหุ้นกู้ชุดใหม่ที่จะออกแล้ว SCC จะมีวงเงินหุ้นกู้ที่ออกรวมทั้งสิ้นไม่เกิน 110,000 ล้านบาท

***** โบรกฯเชียร์ซื้อ SCC ให้เป้าสูงสุด 436 บาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการตรวจสอบคำแนะนำลงทุนของโบรกเกอร์หลายแห่งพบว่า ทุกแห่งยังคงแนะนำซื้อหุ้น SCC เนื่องจากมองว่าธุรกิจยังสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง และเป็นบริษัทที่มีฐานะทางการเงินแข็งแกร่ง โดยบล.ทิสโก้ ให้ราคาเป้าหมาย 436 บาท บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส ให้ราคาเหมาะสม 400 บาท บล.กิมเอ็งให้เป้าหมาย 380 บาท บล.ฟินันเซีย ไซรัส ให้ราคาเป้าหมาย 395 บาท บล.บัวหลวง ให้เป้าหมาย 410 บาท บล.ฟิลลิป ให้ราคาเหมาะสม 363 บาท และบล.เคจีไอ ให้ราคาเหมาะสม 428 บาท

-----------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย
FSS : ตลาดเริ่มรีบาวด์แล้ว คาดว่าจะยังแกว่งบวกต่อเนื่อง ดังนั้นอ่อนตัวรับได้..
แนวโน้ม: ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่ในบ้านเราที่ทยอยประกาศออกมา ไม่ว่าจะเป็น PTTEP , SCC ถือว่าส่งผลบวกต่อความมั่นใจของนักลงทุนอีกครั้ง ขณะที่ราคาตลาดของหุ้นเหล่านี้ได้ปรับตัวลดลงมามากพอควรในช่วงที่ผ่านมา ทำให้เริ่มมีแรงซื้อกลับเข้ามาในตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง รวมถึงนักลงทุนต่างประเทศก็เริ่มมียอดซื้อสุทธิต่อเนื่องแม้ว่าจะยังอยู่ในระดับต่ำก็ตาม ซึ่ง
FSS คาดว่าการคาดการณ์ผลการดำเนินงานที่ดีจาก บจ.อื่นๆ ที่จะทยอยประกาศออกมาเรื่อยๆ ในช่วงนี้ ก็ยังจะเป็นแรงกระตุ้นให้แรงซื้อยังคงมีเข้ามาอยู่เป็นระยะๆ ดังนั้นช่วงนี้เรายังคาดหมายว่า SET มีโอกาสที่จะอยู่ในลักษณะแกว่งตัวขึ้นได้อีกพักหนึ่ง โดยมีเป้าหมายของรอบอยู่ที่บริเวณ 1000 จุดหรือสูงกว่าเล็กน้อยได้ จึงยังแนะนำเทรดดิ้งตามต่อได้

กลยุทธ์: หุ้นที่น่าสนใจเข้ารับได้แก่ BGH, BH, BEC, MCOT, PHATRA, BLS,LPN, SVI, PTTCH, PTTAR, IRPC, IVL, TOP, ESSO, BANPU, LANNA เป็นต้น

ประเด็นสำคัญวันนี้
• (0) ธปท. ส่งสัญญาณปีนี้ดอกเบี้ยสูงสกัดเงินเฟ้อ ผู้ว่า ธปท.แถลงนโยบายปี2011 ย้ำเป็นปีที่ต้องขึ้นดอกเบี้ยเพื่อดูแลเงินเฟ้อและรักษาสเถียรภาพเศรษฐกิจให้เข้มแข็ง โดยจะเป็นการปรับในอัตราที่เหมาะสมตามภาวะเศรษฐกิจและความเสี่ยงทั้งในและนอกประเทศ สัญญาณดังกล่าวเป็นไปในทิศทางเดียวกับประเทศเพื่อนบ้านในเอเชียรวมถึงจีนที่ขึ้นดอกเบี้ยไปแล้วเมื่อปลายปีก่อน ส่วนไทยเพิ่งขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 1 ครั้งเมื่อต้นปีที่ผ่านมา 0.25% FSS คาดทั้งปีขึ้น 1% เป็น 3%ใกล้เคียงกับ Consensus ที่คาดขึ้น 0.75% กลุ่มแบงก์ขนาดใหญ่ได้ประโยชน์อย่างชัดเจนจากดอกเบี้ยขาขึ้น รวมถึงบริษัทที่มีสภาพคล่องมากเช่น BEC,MCOT, MAKRO กลุ่มที่เสียประโยชน์ได้แก่กลุ่มที่อยู่อาศัย

• (+) SCC กำไรใน 4Q10 +154% Q-Q, +213% Y-Y เพราะมีกำไรจากการขายPTTCH 8.8 พันล้านบาท แต่กำไรปกติเพิ่มเพียง +3% Q-Q, +25% Y-Y เพราะมีโรงงานปิโตรเคมีแห่งที่ 2 หยุดซ่อมบำรุง 40 วัน แนวโน้มกำไรปี 2011 ยังโตต่อ31% เนื่องจากธุรกิจปิโตรเคมีที่มีโรงงานแห่งที่ 2 เดินเครื่องเต็มกำลังผลิตเต็มปีและธุรกิจซีเมนต์โตตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 395บาท

• (-) กลุ่มวางระบบ 3G ลุ้นศาลปกครองกลางไต่สวนวันนี้ประมาณ 13.00 น. ว่าจะคุ้มครองชั่วคราวให้ TOT ประมูล 3G หรือไม่หลังกลุ่มอิริคสันยื่นฟ้องไม่ได้รับความเป็นธรรม ระวังแรงขาย AIT, LOXLEY, SAMTEL, SAMART หากตลาดผิดหวังกับคำตัดสินของศาล แต่หาก TOT ได้เดินหน้าต่อ ก็อาจเปิดโอกาสในการเก็งกำไรรอบใหม่ อย่างไรก็ตาม เรามองว่า SAMTEL, LOXLEY ราคาค่อนข้างใกล้เต็มมูลค่าแม้จะได้ทำ 3G ก็ตาม ส่วน SAMART หากได้ทำ 3G มูลค่าจะเพิ่มจาก 8.90 บาทเป็น 10.20 บาท ยังมี upside สำหรับ AIT แม้ไม่ได้งานนี้ก็ยังน่าสนใจเป็นหุ้นพื้นฐานดีปันผลสูง กำไร 4Q10 จะทำจุดสูงสุดใหม่ เป้าหมาย 52 บาท

• Fund Flow วานนี้ยังไหลเข้าตลาดหุ้นภูมิภาคต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 ติดต่อกัน แต่ปริมาณไม่มาก แม้บรรยากาศการลงทุนจะผ่อนคลาย แต่การซื้อกลับของนักลงทุนต่างชาติยังไม่กลับมาอย่างชัดเจน เชื่อว่านักลงทุนส่วนใหญ่ยังรอผลการประชุมของเฟดปลายสัปดาห์นี้ อย่างไรก็ตามตลาดหุ้นสหรัฐตอบสนองต่อนโยบายการลดภาษีนิติบุคคลและเฟดยังเข้าซื้อพันธบัตร ซึ่งเป็นการใช้ทั้งนโยบายการคลังและนโยบายการเงินพร้อมกัน ซึ่งเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่องและในปริมาณที่เพิ่มขึ้นก็จะทำให้เกิดภาวะสภาพคล่องล้นตลาดอีกครั้ง ที่สำคัญจะส่งผลดีต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์และตลาดหุ้นปรับตัวสูงขึ้น ดังนั้นหุ้นในกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์และ
พลังงาน ปิโตรเคมี จะเป็นหุ้นนำตลาดในช่วงนี้ เช้านี้ค่าเงินอินโด ฟิลิปปินส์ แข็งค่าขึ้น ขณะที่ค่าเงินบาททรงตัวอยู่ที่ 30.77 บาท/ดอลลาร์ และมีแนวโน้มแข็งค่าตาม ดังนั้นเราจึงแนะนำ ซื้อเก็งกำไรในหุ้นกลุ่มพลังงาน กลุ่มปตท ปิโตรเคมี และสินค้าโภคภัณฑ์อื่น

ข่าวภายในประเทศ
ITD-CK-STEC-UNIQ คึก! กรมบัญชีไฟเขียวสีน้ำเงิน เซ็นสัญญาก.พ.นี้ ค่าก่อสร้างไม่เปลี่ยนแปลง ยักษ์รับเหมาฯได้เฮ กรมบัญชีกลางไฟเขียวผลประมูลส่วนต่อขยายสีน้ำเงิน ปลัดคมนาคม เผยล่าสุดส่งแฟกซ์ร่างหนังสือผลสอบมาให้ดูแล้ว เหลือส่งเลขาธิการนายกรัฐมนตรีรับทราบอีกรอบเชื่อเดือนก.พ.นี้เซ็นสัญญาก่อสร้างแน่นอน ยันค่าก่อสร้างไม่เปลี่ยน พร้อมเล็งประกาศเชิญชวนประมูลงานเชิงพาณิชย์เรลลิงค์เดือนเดียวกัน (ที่มา:นสพ.ข่าวหุ้น 27-01-2011)

PTTEP ปีนี้กำไร 5 หมื่นล้านปรับเป้าราคาใหม่ 230 บาท PTTEP หุ้นนี้การันตีความคุ้มค่า ยอดขายปิโตรเลียมปี'54 ดีดถึง 273,000 บาร์เรลต่อวันหนุนกำไรปี'54 ทะยานแตะระดับ 50,000 ล้านบาท วางราคาเป้าหมายสูงลิ่ว 230 บาท “อนนต์” ออกตัวโชว์กำไรปี'53 ตามนัด 41,739 ล้านบาท ลุยจ่ายปันผล 2.48 บาท ซื้อใจนักลงทุนเลิกขายทิ้ง (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 27-01-2011)

CPF รุกตปท.หนักตั้งเป้าภายใน 5 ปีสัดส่วนรายได้ 40% CPF ทุ่มทุนกว่า 1,000 ล้านบาท รุกเข้าลงทุนกัมพูชา 500 ล้านบาท พร้อมเพิ่มทุนในมาเลเซีย และรัสเซีย รวมเกือบ 700 ล้านบาท หวังดันสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศในอีก 5 ปี เพิ่มเป็น 40% จากปัจจุบันที่ 27% ด้านโบรกฯเชียร์“ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 33.50 บาท อัพไซด์กว่า 50% ด้านกำไรปี'53 คาดกว่า 13,900 ล้านบาท (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 27-01-2011)

SCC ฟุ้งปีนี้ยอดขายโต 10% ขานรับกำลังผลิตปิโตรพุ่ง "ปูนใหญ่" ตั้งเป้ายอดขายปีนี้ 3.3 แสนล้านบาท เติบโต 10% จากปี'53 ทำได้ 3.01แสนล้านบาท ขานรับกำลังผลิตปิโตรเคมีเพิ่ม ธุรกิจกระดาษ-ซีเมนต์ขยายตัว ลั่นแผน 5 ปี ลงทุนกว่า 1 แสนล้านบาท เล็งออกหุ้นกู้ 1.5 หมื่นล้านบาทชดเชยหุ้นกู้เดิมที่จะครบกำหนด ใจดีปันผลครึ่งหลังหุ้นละ 8 บาท (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 27-01-2011)

GEN มั่นใจปีนี้พลิกโชว์กำไร เป้ารายได้โตไม่ต่ำกว่า15% GEN ฟุ้งปีนี้พลิกขาดทุนเป็นกำไร ตั้งเป้ารายได้ปีนี้โตไม่ต่ำกว่า 15% จากปี 2553 ที่คาดว่าจะทำได้ 900 ล้านบาท หลังตุนงานในมือกว่า 400 ล้านบาท รับรู้ปีนี้กว่า 50% เล็งล้างขาดทุนสะสม 200 ล้านบาทหมดภายในปีนี้ เตรียมลงทุนโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPP) ขนาดไม่เกิน 10 เมกะวัตต์ ส่วนหุ้นเพิ่มทุน 1,878.2 ล้านหุ้น มั่นใจขายหมดเกลี้ยง หวังได้เงินกว่า 675 ล้านบาท ลุยขยายธุรกิจในอนาคต (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 27-01-2011)

-----------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ตปท.
ดัชนีดาวโจนส์ยังแกว่งตัวผันผวนในระหว่างวัน ก่อนที่จะปิดเป็นบวก 8.25 จุด นำโดยการขยับขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและสินค้าโภคภัณฑ์ แม้ว่าผลการประชุมเฟดจะยังมีมุมมองต่อเศรษฐกิจสหรัฐไม่ดีนัก ขณะที่ผลประกอบการของบริษัทเอกชนที่ประกาศช่วงนี้ยังแข็งแกร่ง

ตลาดหุ้นยุโรปกลับมาปิดเป็นบวกได้ดี หลัง ปธน.สหรัฐเสนอให้มีการปรับลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล ในการแถลงนโยบายต่อสภาฯ เมื่อวานนี้ รวมทั้งราคาโลหะที่ยังขยับขึ้นช่วยหนุนราคาหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ให้พุ่งสูงขึ้น

ส่วนตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้แม้ว่าส่วนใหญ่จะเปิดทำการเป็นบวกเล็กน้อย แต่ก็ยังเป็น Sentiment ที่ดี อย่างไรก็ตามตลาดหุ้นจีนเช้านี้ปรับตัวลงกว่า 1% หลังปัญหาสภาพคล่องในตลาดเงินช่วงก่อนตรุษจีนยังเป็นประเด็นกดดันอ

ราคาน้ำมันดิบในตลาด NYMEX ปิดที่ 87.33 ดอลลาร์/บาร์เรล กลับมาดีดตัวขึ้น 1.14 ดอลลาร์ แม้ว่าสต็อกน้ำมันดิบรายสัปดาห์ของสหรัฐจะเพิ่มสูงขึ้น แต่แรงกระตุ้นจากตลาดหุ้น และแนวทางการลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลของโอบามาช่วยหนุน

ราคาทองคำล่วงหน้าในตลาด COMEX ปิดที่ 1330.00ดอลลาร์/ออนซ์ บวกขึ้น 0.70 ดอลลาร์ หลังเฟดไม่ได้ประเมินภาวะเศรษฐกิจสหรัฐดีนัก

ข่าวต่างประเทศ
สหรัฐอเมริกา: FED มีมติคงดอกเบี้ย 0-0.25% ย้ำเดินหน้ามาตรการ QE2 จนถึงกลางปีนี้ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น (fed funds rate) ที่ระดับ 0 - 0.25% ในการประชุมเมื่อวานนี้ (26 ม.ค.) โดยย้ำว่าเฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำต่อไปอีกระยะหนึ่งนอกจากนี้ เฟดยืนยันว่าจะยังคงเดินหน้าโครงการซื้อพันธบัตรรัฐบาล วงเงิน 6 แสนล้านดอลลาร์ ต่อไปจนสิ้นสุดโครงการในเดือนมิ.ย.ปี 2554 เพื่อเป้าหมายที่จะกระตุ้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการจ้างงาน (ที่มา: อินโฟเควสท์ 27-01-2011)

สหรัฐอเมริกา: สหรัฐเผยสต็อกน้ำมันดิบสัปดาห์ที่แล้วพุ่งเกินคาด 4.8 ล้านบาร์เรล สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของสหรัฐเปิดเผยว่าสต็อกน้ำมันดิบในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุด ณ วันที่ 21 ม.ค. พุ่งขึ้น 4.8 ล้านบาร์เรล แตะที่ 340.6 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะขยับขึ้นเพียง 900,000 บาร์เรล ขณะที่สต็อกน้ำมันกลั่นลดลง 100,000 บาร์เรล แตะระดับ 165.7 ล้านบาร์เรล ซึ่งน้อยกว่าที่คาดว่าจะลดลง 200,000บาร์เรล และสต็อกน้ำมันเบนซินพุ่งขึ้น 2.4 ล้านบาร์เรล แตะที่ 230.1 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 2.2 ล้านบาร์เรล ส่วนอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันลดลง 1.2% แตะระดับ 81.8% สวนทางกับที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.1% (ที่มา: อินโฟเควสท์ 27-01-2011)

สหรัฐอเมริกา: สหรัฐเผยยอดขายบ้านใหม่เดือนธ.ค.พุ่งเกินคาด 17.5% กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดขายบ้านใหม่เดือนธ.ค.ปี 2553พุ่งขึ้น 17.5% แตะที่ 329,000 ยูนิตต่อปี มากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะอยู่ 300,000 ยูนิต ซึ่งข้อมูลดังกล่าวบ่งชี้ถึงการฟื้นตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์สหรัฐ รายงานของกระทรวงพาณิชย์ระบุว่า ราคากลางของบ้านใหม่ที่เสนอขายในเดือนธ.ค. ปรับตัวเพิ่มขึ้นแตะระดับ 241,500ดอลลาร์ จากระดับ 215,500 ของเดือนพ.ย. (ที่มา: อินโฟเควสท์ 27-01-2011)

จีน: จีนประกาศขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในหลายเมืองเพื่อรับมือเงินเฟ้อ เมืองต่างๆในประเทศจีนประกาศขึ้นค่าแรงขั้นต่ำให้กับแรงงาน เพื่อรับมือกับแรงกดดันจากภาวะเงินเฟ้อ ขณะเดียวกันก็เป็นการบรรเทาความเดือดร้อนจากราคาสินค้าที่สูงขึ้น สำนักงานสถิติแห่งชาติจีนเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค(CPI) ในเดือนธ.ค. 2553 ขยายตัวขึ้น 4.6% ต่อปี ส่วนดัชนี CPI ในปี 2553 ขยายตัวขึ้น 3.3% เมื่อเทียบกับจากระดับปี 2552 (ที่มา: อินโฟเควสท์26-01-2011)

เอเชีย: อินโดนีเซียขึ้นภาษีส่งออกน้ำมันปาล์มดิบเป็น 25% หวังกระตุ้นอุตสาหกรรมในประเทศ กระทรวงการค้าอินโดนีเซียได้ขึ้นภาษีการส่งออกน้ำมันปาล์มดิบในเดือนก.พ.ขึ้นเป็น 25% จากระดับเดือนม.ค.ที่ 20% ตั้งเป้าส่งเสริมอุตสาหกรรมภายในประเทศ แต่ก็ได้รับการร้องเรียนจากทางกลุ่มผู้ปลูกปาล์ม สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า นายเดดดี ซาเลห์ ผู้อำนวยการฝ่ายการค้าระหว่างประเทศของกระทรวง กล่าวว่า การขึ้นภาษีน้ำมันปาล์มเกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกับที่ราคาน้ำมันปาล์มดิบอ้างอิงสำหรับเดือนก.พ.สูงขึ้นมาอยู่ที่ 1.194 ดอลลาร์ต่อตัน ซึ่งสูงกว่าระดับของเดือนม.ค.ที่1.112 ดอลลาร์ต่อตัน (ที่มา: อินโฟเควสท์ 26-01-2011)

เอเชีย: ญี่ปุ่นเผยยอดส่งออกปี 53 พุ่ง 24.4% ขณะยอดส่งออกเดือนธ.ค.เพิ่มขึ้น 13% กระทรวงการคลังญี่ปุ่นเปิดเผยในวันนี้ว่า ยอดการส่งออกโดยรวมในปี 2553 ของญี่ปุ่นขยายตัว 24.4% จากระดับของปี 2552 ซึ่งเป็นการขยายตัวครั้งแรกในรอบ 3 ปี ส่วนยอดการส่งออกเดือนธ.ค.ปี2553 เพิ่มขึ้น 13.0% เมื่อเทียบเป็นรายปี ทำสถิติเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 13 ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า อุตสาหกรรมส่งออกของญี่ปุ่นฟื้นตัวขึ้นเพราะได้แรงหนุนจากอุปสงค์ที่แข็งแกร่งจากจีนและประเทศอื่นๆในเอเชีย

-----------------------------------------------------------------------------
บทความที่น่าสนนใจครับ

Mudleygroup

ติดตามการรายงานผลของเทรดเดอร์รุ่นหนึ่งและรุ่นสองได้ที่ http://mudleytraders.blogspot.com/ ครับผมhttp://mudleygroup.blogspot.com/2011/01/portfolio-pl-indicator-technical.html

เมื่อพูดถึง Technical Indicator ในการเทรดหุ้นแล้ว หลายคนก็คงจะนึกถึงภาพ indicator มาตรฐานหลายๆอย่าง เช่น RSI, Stochastic, ADX อะไรทำนองนี้เป็นต้น

ซึ่งข้อจำกัดของ Indicator เหล่านี้ก็คือโปรแกรม กราฟ และ ข้อมูลที่เราต้องคอยโหลด หรือ feed เข้าไปที่โปรแกรมกราฟเรานั่นเอง หรือแม้แต่บางที หากโปรแกรมกราฟของเรามีปัญหาขึ้นมา ก็ถึงขั้นอาจทำให้การเทรดเสียขบวนไปได้เลยทั้งวันนั้นก็มี






ในฐานะคนวางกลยุทธ์ ในสมัยที่ผมทำเฮดจ์ฟัน สิ่งเหล่านี้ก็จัดว่าเป็นความเสี่ยงเล็กๆตัวหนึ่งสำหรับเทรดเดอร์ที่มีอาชีพต้องคอยทำธุรกรรมและการตัดสินใจขึ้นตรงกับกราฟอยู่ทุกวัน ดังนั้น ผมจึงได้คิดและพัฒนาแนวทางที่ทำให้เทรดเดอร์ภายใต้สังกัดผม ก้าวไปอีกขั้นโดยไม่ต้องเพิ่งพากราฟ และ สามารถเทรดได้ทุกที่ ที่มี Internet เข้าถึง

แนวทางนี้ผมเรียกมันว่า Portfolio Indicate
ก่อนจะอธิบายถึงวิธีการ ท้าวความถึง Technical analysis ก่อน สักนิดหน่อยแล้วกันนะครับ
Technical ส่วนมากอาศัยการคำนวณและประมวลจากข้อมูลของราคาเป็นหลักส่วนมาก แต่จะมี indicator บางตัวที่ถึงแม้จะคำนวณจากราคาและวอลุ่มแต่ก็นำหน้าการเกิดขึ้นของราคาได้ อันนี้ไม่ขอพูดถึงตอนนี้แล้วกันนะครับ ทีนี้ สำหรับคนที่เทรด Technical อาจจะสร้างโมเดลที่มีสัญญาณซื้อ-ขาย ขึ้นมา เช่น เขียวซื้อ หรือ แดง ขาย หรือ แม้แต่ลูกศรขึ้น-ลง เป็น signal ในการเข้าและออกจากตลาด ซึ่งสัญญาณเหล่านี้ของเทคนิคเราสามารถสรุปได้ว่า เทคนิคส่วนมากนั้นจะสั่งให้เราซื้อเมื่อราคาขึ้นไปถึงจุดหนึ่งที่ค่าของเทคนิคอนุมัติให้เราซื้อได้ เช่นเดียวกันในทางกลับกัน หากราคาลงจนถึงค่าเทคนิคที่เราคิด indicator ก็จะอนุมัติให้เราขายได้ เป็นต้น

ดังนั้นเราจะเห็นว่าเทคนิคส่วนมากที่ใช้ๆกันอยู่มาจากการขึ้นลงของราคา ดังนั้น ตัวเลข P/L ของพอร์ตเราก็มาจากการขึ้นลงของราคา เมื่อเทียบกับจุดที่เราซื้อ-ขาย เช่นเดียวกับเทคนิคเช่นกัน


ทีนี้ผมยกตัวอย่าง สมมุติเทคนิคโดยทั่วไปจะมีสัญญาณซื้อ-ขายเมื่อราคาขึ้นลงไปสัก 1% (ต.ย.เฉยๆนะครับ)
ทีนี้ผมก็ซอย Positions ออกเป็นส่วนย่อยๆ อาจจะ 30 ส่วน 50 ส่วน หรือแม้แต่ 100 ส่วน ตามแต่การคำนวณงบของเรา

เมื่อเริ่ม Start ผมก็เริ่มซื้อหุ้น A ที่ 100 บาท ราคาหุ้นขึ้นไปที่ 101 พอร์ตผมก็จะเป็นสีเขียว ซึ่งหมายถึงสัญญาณซื้อในทางเทคนิคนั้นเอง ผมก็จะซื้อเข้าไปอีกหนึ่งไม้ ที่ 101 และถ้ามันขึ้นไปอีกผมก็จะเริ่มซื้อที่ 102 อะไรทำนองนี้เป็นต้น ในส่วนนี้เราจะเรียกว่า technical positionsโดยเราจะไม่ใช้เยอะอาจจะเป็น positions ล่ะ 100 เพื่อดูเป็น indicator ในแต่ล่ะระดับราคาเฉยๆเป็นต้น ซึ่ง ถ้า ไม้แรก และ ไม้ สอง ในการเข้าซื้อของเราเขียว เราจะซื้อตามเข้าไปในลักษณะที่หนักขึ้นหน่อย ซึ่งเรียกว่า Follow positions และถ้าหุ้นยังขึ้นต่อเราก็จะใช้ส่วนแรกทีล่ะ 100 หุ้นไล่ซื้อตามไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเกิด p/l สีแดงขึ้นที่ไม้รองสุดท้าย เราก็ขาย follow positions ของเราที่ซื้อตามกรณีไม้แรกเขียวออกไป และถ้าหากไม้ถัดมาแดงอีกเราก็ขายในส่วน follow positions ไม้ที่สองในตอนแรกออกไปอีก เป็นต้น

อันนี้ผมอาจจะอธิบายเป็นคำพูดได้ไม่ค่อยล่ะเอียดนักแต่หวังว่าจะพอเป็นไอเดียได้สำหรับน้องๆเฉยๆนะครับ เพราะหากเกิด เทรนขึ้นมาเราก็จะสามารถถือตัว Positions ใหญ่ๆได้ยาว แต่หากมนลงไปเรื่อยๆ เราก็ทยอยซื้อส่วนของตัวสัญญาณเทคนิคไปเรื่อยๆทีล่ะ 100 หุ้น จนกว่ามันจะกลับมาเขียวเราก็ค่อยเข้าซื้อได้อีกครั้ง อะไรเหล่านี้เป็นต้น ยิ่งเมื่อเรามารวมกับเทคนิคการบริหารเงินเข้าไปด้วยแล้ว จะทำให้เราสามารถเพิ่มประสิทธิการบริหารพอร์ตได้อย่างดีขึ้นพอสมควร เหมือนกับการใช้เทคนิคในการตัดสินใจเทรดไปด้วยในตัวนั่นเอง







ปล. เมื่อเราเชี่ยวชาญแล้ว เรายังสามารถประยุกต์ไปถึงขั้นจดตัวเลขกำไรขนาดทุนของพอร์ตเรามาเป็น Indicator ซึ่งถ้าตัวเลขกำไรยังวิ่งต่อไปเราก็ถือ positions ไปเรื่อยๆ จนกว่าระดับตัวเลขกำไรวกกลับมายังเลขที่เราบันทึกไว้ในใจเราก็เริ่มลด positions เป็นต้นครับ

และท้ายนี้ขอแสดงความยินดีกับพี่กบและพี่นน ที่ได้ไปอยุ่ firm ที่ใหญ่กว่าและมั่นคงกว่า MudleyGroup ของเรานะครับ ซึ่งคราวนี้ภาระในการเทรนน้องๆเทรดเดอร์ก็คงจะตกภาระอยุ่ที่พี่โบเป็นหลัก ซึ่งพี่คิดว่า ถึงแม้จะเป็นงานที่หนัก แต่ก็เป็นสิ่งที่ Mudleygroup นั้นต้องการสื่อถึงการที่พวกเราตั้งใจจะถ่ายเทความรุ้ให้กับน้องๆอย่างแท้จริง เท่าที่ความสามารถของพวกเราจะพึงมีและพอรับไหว พี่ต้องขอบคุณพี่โบอย่างมากที่เสียสละหยาดเหงื่อและแรงกายนอกจากงานประจำที่ทำอยุ่ แต่นั่นก็หมายถึงองค์กรณ์ของเราล้วนเปี่ยมไปด้วยผู้ที่มีจิตใจที่เต็มไปด้วยการให้ที่แท้จริง รวมทั้งพี่ๆ staff ที่จะออกไปทำงานรวมกับสังคมอื่นๆก็คงจะมีแนวคิดที่ดีและจิตใจที่ดีไม่แพ้กันเช่นกัน ขอบคุณมากๆครับ :)

สำหรับรุ่น 3 เนี่ยคงต้องรอให้เราเติบโตมากกว่านี้พอที่จะ มีเวลาและจัดการระบบ รวมถึงการสร้าง staff เพื่อการเทรนโดยเฉพาะได้ก่อนแล้วกันนะครับ ซึ่งพี่คิดว่าอาจจะใช้เวลานานสักหน่อย เพราะองค์กรเรายังเล็กมากๆ จึงทำให้ต้องทุ่มเททรัพยกรบุคคลไปในการสร้างความมั่นคงให้องค์กรณ์เสียก่อน เป็นต้นครับ แต่พี่และพี่โบก็จะพยามเข้ามาเขียนความรุ้และไอเดียเรื่อยๆ ให้น้องๆที่ไม่ได้ทำการเทรด ได้ประโยชน์ไม่ทางใดทางหนึ่ง อยุ่อย่างสม่ำเสมอแล้วกันนะครับ :)
------------------------------------------------------------------------------------------------

Code 343 : แรงขายฝรั่งเริ่มสะเด็ดน้ำ

วันพุธที่ 26 มกราคม 2554

ATT Code : แรงขายฝรั่งเริ่มสะเด็ดน้ำ
EFinance Thai : กูรู ตลาดทุนฟันธง แรงขายนักลงทุนต่างชาติเริ่มสะเด็ดน้ำ แนะนักลงทุนไทยอย่ากังวลมากเกินไป ระบุหุ้นไทยยังมีเสน่ห์ ทั้งผลประกอบการ บจ. ส่อแววสดใส หลายแห่งมีลุ้นจ่ายปันผลเยี่ยม เครดิตสวิส ยังคงคำแนะนำเพิ่มน้ำหนักการลงทุน แนะลุยหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ธนาคาร และท่องเที่ยว

--------------------------------------------------------------
Short News -FSS Research

SCC : กำไร 4Q10 ดีกว่าคาด (+154% Q-Q, +213% Y-Y) - Outlook ยังดี - Maintain BUY TP Bt395
· SCC ประกาศงบปี 2010 มีกำไรสุทธิ 37,382 ลบ. เพิ่มขึ้น 54%y-y เนื่องจากมีกำไรจากการขายหุ้น PTTCH 8.8 พันลบ.
· สำหรับผลประกอบการ 4Q10 มีกำไรสุทธิ 16,673 ลบ. เพิ่มขึ้น 154% q-q และ 213% y-y เนื่องจากมีกำไรจากการขายหุ้น PTTCH กว่า 8.8 พันลบ. แต่หากไม่รวมรายการพิเศษไตรมาสนี้มีกำไรจากการดำเนินงาน 6,710 ลบ. เพิ่มขึ้นเพียง 3% q-q และ 25%y-y เนื่องจากโรงานปิโตรเคมีแห่งที่ 2 หยุดซ่อมบำรุง 40 วัน ทำให้กำลังผลิตเม็ดพลาสติกโดยรวมลดลงไปด้วย อีกทั้งโรงงานปิโตรแห่งที่ 2 ยังเดินเครื่องไม่เต็มกำลังผลิต
· แนวโน้มกำไรปี 2011 ยังโตต่อเนื่องจากธุรกิจปิโตรเคมีที่มีโรงงานแห่งที่ 2 เดินเครื่องเต็มกำลังผลิตเต็มปี และธุรกิจซีเมนต์โตตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ส่วนธุรกิจกระดาษเติบโตตามเศรษฐกิจเช่นเดียวกัน โดยเราคาดว่ากำไรก่อนรายการพิเศษปี 2011 จะอยู่ที่ 3.51 หมื่นลบ. เพิ่มขึ้น 31%Y-Y
· ยังแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 395 บาท. แนวโน้มธุรกิจปิโตรเคมีเริ่มสดใสขึ้นและจะกำลังจะเข้าสู่วงจรขาขึ้น ปัจจุบันราคาหุ้นซื้อขายกันที่ระดับ 10 เท่า ของ PE ปี 2011 ถือว่าไม่แพงเมื่อเทียบกับหุ้นกลุ่มปิโตรเคมีภูมิภาคที่ซื้อขายกันที่ระดับ 13-14 เท่า

STA: ซื้อ...ถ้าถือได้ ราคา 34-35 บาทถือว่าปลอดภัย คิดเป็น PE เพียง 10 เท่าเท่านั้น
STA : แจ้งราคาขาย IPO สิงคโปร์น่าผิดหวัง หุ้นละ 29 บาท และยกเลิก H กลับมาซื้อขายได้ตั้งแต่ 11.30 เป็นต้นไป
- กำหนดราคา IPO น่าผิดหวัง หุ้นละ 1.2 เหรียญสิงคโปร์ หรือเท่ากับ 29 บาท คิดเป็น PE ที่ 8.4 เท่า discount จากบริษัทในกลุ่มเดียวกันที่สิงคโปร์ซึ่งเทรดที่ 14 - 15 เท่าค่อนข้างมาก
- ขอยกเลิก H และจะกลับมาซื้อขายได้ตามปกติตั้งแต่ 11.30 น. เป็นต้นไป
- ได้เงินจากการเพิ่มทุนครั้งนี้ 8,120 ลบ. โดย 65% ใช้สำหรับซื้อโรงงานผลิตยางแท่ง และขยายกำลังการผลิต อีก 20% ใช้ซื้อสวนยางพาราเพิ่ม และอีก 15% เป็นเงินทุนหมุนเวียน
- อาจเห็นกำไร 4Q10 ทำ New High ตามราคายางที่ทำสถิติใหม่ต่อเนื่อง โดยราคายางล่าสุด 171 บาท/กก. (+68% Y-Y, +17% YTD) และคาดยังแพงต่อเนื่องอีก 2 ไตรมาส (1Q11 – 2Q11) จากช่วงปิดหน้ายาง (ชาวสวนหยุดกรีดยาง) เดือนมี.ค. – เม.ย. เป็นบวกต่อ STA
- แต่ระวังกำไร 3Q11 ที่จะลดลงแรง หากราคายางอ่อนตัวเร็ว จะกลายเป็นมี Stock ยางแพงทันที
- ราคาเป้าหมาย 42 บาท (Fully Diluted) อิงจาก PE 12 เท่า ระยะสั้น - sentiment แย่เพราะราคา IPO ต่ำ แต่ระยะกลาง-ยาว ถือว่าดีเพราะราคายางสูงกว่าปีก่อน Demand ยางล้อเพิ่มต่อเนื่อง ปัจจุบัน STA เป็นผู้ผลิตยางแผ่นและยางแท่งใหญ่สุดของโลก
- เทคนิค: ถ้าต่ำกว่า 36 บาท รอแถว 30-32 บาท

DCC (BUY) - กำไรต่ำกว่าคาดเล็กน้อย แต่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ และดีต่อในปีนี้
* คาดกำไรปี 2011 โตต่อเนื่อง 24.7% เราปรับประมาณการกำไรปี 2011 ลงเล็กน้อย 3% โดยปรับเพิ่มต้นทุนและค่าใช้จ่ายขึ้นจากแนวโน้มค่าก๊าซธรรมชาติซึ่งเป็นวัตถุดิบของบริษัท และค่าขนส่งที่จะเพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันที่สูงขึ้น อย่างไรก็ตาม กำไรของ DCC ในปี 2011 ก็ยังคาดว่าจะโตต่อเนื่อง 24.7% จากการขยายกำลังการผลิตเป็น 61 ล้าน ตรม. ใน 1Q11 และการเพิ่มจุดกระจายสินค้าเพื่อรองรับตลาดในต่างจังหวัดที่ยังมีความต้องการสูง โดยเฉพาะในภาคอีสานและเหนือ
* แนะนำ ‘ซื้อ’ ราคาเป้าหมาย 65 บาท จุดเด่นของ DCC อยู่ที่การเป็นผู้นำในตลาด กำไรเติบโตต่อเนื่อง โครงสร้างทางการเงินแข็งแกร่ง มี ROE สูงถึง 43.7% และจ่ายปันผลสม่ำเสมอในอัตราเกือบ 100% ของกำไรทุกไตรมาส ซึ่งคิดเป็น Yield 6% - 7% ต่อปี ราคาหุ้นที่ปรับฐานลงมา 27% จากจุด Peak ในปีก่อน (ลงมามากกว่า SET Index ที่ -9%) ทำให้ upside กว้างขึ้นเป็น 34.0% จากราคาเป้าหมายที่ 65 บาท (อิง PE 18.0 เท่า หรือ 2 Standard deviation ของ PE เฉลี่ยปี 2001 - 2009) จึงยังคงแนะนำ ‘ซื้อ’

PTTEP ปันผล 2.48 บาท/หุ้น สำหรับงวด 2H53 --- XD 10 ก.พ 2554 จ่าย 18 เม.ย 2554
PTTEP : กำไรปี 2010 ดีตามคาด - Maintain BUY TP Bt195
· PTTEP ประกาศงบ 4Q10 มีกำไรสุทธิ 10,119 ลบ. ลดลง 3.9%q-q แต่เพิ่มขึ้น 117.5%y-y เนื่องจากกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนลดลงและไม่มีค่าสินไหมทดแทนจากมอนทารา หากไม่รวมรายการพิเศษไตรมาสนี้มีกำไรจากการดำเนินงาน 9.98 พันลบ. เพิ่มขึ้น 7.1%q-q และเพิ่มขึ้น 57.4%y-y จากปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้น 3%q-q และเพิ่มขึ้น 9%y-y มาอยู่ที่ 272,198 บาร์เรลต่อวัน และราคาขายผลิตภัณฑ์เฉลี่ยอยู่ที่ 46.14 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 4%q-q และเพิ่มขึ้น 6%y-y
· ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลดลง ทั้งค่าใช้จ่ายในการสำรวจและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน
· ส่วนผลประกอบการปี 2010 มีกำไรสุทธิ 4.17 หมื่นลบ. เพิ่มขึ้น 88.4% เนื่องจากมีรายรับจากค่าสินไหมทดแทนจากมอนทาราและค่าเงินบาทแข็ง รวมถึงปริมาณการขายและราคาที่ปรับขึ้นมากกว่าปี 2009
· เรายังแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 195 บาท/หุ้น
· เดือนหน้าลุ่นรายงานผลสรุปโครงการมอนทารา PTTEP คาดจะออกมาในทางบวก

TSTH: ขาดทุนหนักกว่าตลาดคาดมาก
- 3Q10 (ต.ค. - ธ.ค. 2010) ขาดทุนถึง 677 ล้านบาท มากกว่าที่เราคาดว่าจะขาดทุนกว่า 300 ล้านบาท และมากกว่าไตรมาสก่อนที่ขาดทุน 161 ล้านบาท
- เพราะยังมีปัญหาที่เตาหลอมของโรงถลุงซึ่งติดตั้งมาเกือบปีแล้ว ประกอบกับช่วงที่ผ่านมาไปซื้อวัตถุดิบ (สินแร่เหล็กและถ่านโค้ก) มาแพงมาก
- ความต้องการใช้เหล็กเส้นในไตรมาสที่ผ่านมาชะลอมากเพราะฝนตกน้ำท่วม
- คาดว่ากำไรในไตรมาสนี้ (4Q10 ม.ค. - มี.ค. 2011) จะดีขึ้น อาจจะขาดทุนน้อยลงหรือมีกำไรเล็กน้อยเพราะ 1. ราคาเหล็กในประเทศเริ่มขยับขึ้นตามต้นทุนที่แพงขึ้น และ 2. วัตถุดิบที่แพง เหลือน้อยแล้ว
- Book value ณ สิ้น ธ.ค. 2010 = 1.41 บาท/หุ้น แม้ว่าจะคาดว่าเพิ่มขึ้นเป็น 1.65 บาท/หุ้นสิ้นปี 2011 แต่ผลประกอบการที่ยังไม่ค่อยดีอีก 1 ไตรมาส แนะนำหลีกเลี่ยง

-----------------------------------------------------------------------------
เงาหุ้น - โอกาสซื้อหุ้น!!
ดัชนีหุ้นวันที่ 25 ม.ค.54 ปิดที่ 959.17 จุด ลดลง 4.51 จุด มีมูลค่าการซื้อขายอยู่ที่ 40,703.65 ล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิ 607.67 ล้านบาท

ฝ่ายวิเคราะห์ บล.ฟาร์อีสท์ มองทิศทางตลาดน่าจะยังคงมีความผันผวนแกว่งตัวขึ้น-ลงแรงต่อเนื่องอีก ขณะที่นักลงทุนยังคงมีความกังวลและไม่มั่นใจว่าต่างชาติจะหยุดขายหุ้นเมื่อไร ทั้งนี้ ด้านเทคนิค ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีในกรอบกว้าง ที่ 950-970 จุด

กลยุทธ์การลงทุน หากเป็นนักลงทุนระยะสั้น แนะให้ซื้อขายในกรอบดัชนีด้านเทคนิคดังกล่าว แต่ต้องระมัดระวัง หากดัชนีหลุด จากกรอบดังกล่าว ต้องหยุดเล่นทันที

ส่วนนักลงทุนระยะกลางและระยะยาว แนะให้ "ทยอยสะสม" หุ้นพื้นฐานดี

ขณะที่มีบทวิเคราะห์ บล.กิมเอ็ง น่าสนใจ โดยระบุว่า ปัจจุบันต่างชาติขายหุ้นขาดทุนมากขึ้น เพราะหากประเมินต้นทุนของต่างชาติพบว่าช่วงวิกฤติการเมืองไทยเดือน มี.ค.และ เม.ย.53 ต่างชาติขายสุทธิอย่างต่อเนื่อง กดดันให้สถานะสุทธิของต่างชาติติดลบมาโดยตลอด และกว่าที่ต่างชาติจะกลับมามีซื้อสุทธิอีกครั้งวันที่ 19 ส.ค.53

ซึ่งหากเฉลี่ยดัชนีหุ้น ณ วันดังกล่าวถึงสิ้นปี 53 อยู่ที่ 981 จุด บวกกับค่าเฉลี่ยค่าเงินบาทในช่วงเวลาเดียวกัน อยู่ที่ 30.29 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ

ดังนั้น ณ ปัจจุบันเท่ากับต่างชาติเริ่มขาดทุนจากการขายหุ้นไทย ทั้งในแง่ของส่วนต่างราคา และค่าเงินบาท!! (เพราะต้นทุนหุ้นตอนเข้าซื้ออยู่ที่ 981 จุด ส่วนค่าเงินอยู่ที่ 30.29 บาท)

ดังนั้น กิมเอ็งจึงยังคงคำแนะนำให้นักลงทุน "ถือพอร์ตการลงทุนทั้งหมด" เพราะการ Cut loss หรือตัดขายขาดทุน ที่ระดับปัจจุบันถือว่าไม่คุ้ม ซึ่งหากไม่มีเงินทุนใหม่ให้อดทนถือพอร์ตการลงทุนไว้ เพราะเชื่อว่าปัจจัยพื้นฐานไม่เปลี่ยน และเชื่อว่าตลาดย่อมฟื้นตัวขึ้นได้อีกครั้ง

หรือหากมีเงินสดเหลืออยู่ แนะให้ทยอยซื้อสะสมบริเวณ 950 จุดลงไป โดยเป็นการตั้งราคาซื้อเป็นขั้นบันไดลงไป

ส่วนหุ้นรายตัว แนะสะสม AP ให้ราคาเหมาะสม 9 บาท และ PTTAR ให้ราคาเหมาะสม 43 บาท!!

-----------------------------------------------------------------------------
MARKET WAVE Analysis
26 มค. 54 ( - 4.51 จุด ) โกมล พงศ์วิญญู เลขทะเบียน 18338

ปรับตัวขึ้น 967 – 972 จุดแนวโน้มในวันพุธนี้ตราบใด ไม่ต่ำกว่า950.61 จุดต่ำสุดของวันอังคาร ดัชนีมีโอกาสดีดตัวขึ้น 967 – 972 ใกล้จุดสูงสุดของวันอังคารอีกครั้ง

และมีความเป็นไปได้ว่า ตลาดอาจจะแกว่งตัวขึ้นลงในกรอบ 20 จุด ระหว่าง 950 -972 หรือระหว่างจุดต่ำสุดถึงจุดสูงสุดของวันอังคาร อีกนานหลายวันจนถึงสิ้นสัปดาห์

จากนั้นการปรับตัวลง ต่ำกว่า 950.61 จุดต่ำสุดของวันอังคาร ดัชนีสามารถปรับตัวลงต่อแถว 930 – 935 จุด ต่อไป (คาดว่าจะเกิดขึ้นในสัปดาห์หน้า)

ขณะที่ ภาพไตรมาสหนึ่งปีนี้มีเป้าหมายหลักบริเวณ 900 - 920 จุด หรือเท่ากับอัตราส่วน Fibonacci Ratio 38.2 - 50 %นับจากการปรับตัวขึ้นมาเมื่อเดือน มิย. ปีที่แล้ว

หุ้นเด่น
PTTEP
กำลังปรับตัวในกรอบสามเหลี่ยม ภาพระยะชั่วโมง รอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 155.00กรอบบนของสามเหลี่ยม เป้าหมายหนึ่งถึงสองวัน 158.00 – 159.00 ( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 153.50 )

BBL
ปรับตัวทะลุกรอบสามเหลี่ยม ภาพระยะชั่วโมง ทยอยซื้อ 153.00 – 153.50 หรือรอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 154.00 กรอบบนของสามเหลี่ยม เป้าหมายหนึ่งถึงสองวัน155.50 – 156.50( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 152.00 )155.50 – 156.50

SCB
ปรับตัวขึ้นมาแถวเส้นค่าเฉลี่ย 25 ชั่วโมงพอดีรอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 98.00 จุดสูงสุดวันอังคาร และเส้นค่าเฉลี่ยดังกล่าว เป้าหมายหนึ่งถึงสองวัน 101.00 – 102.00( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 96.50 )

10 อันดับซื้อขายสูงสุด
PTT แกว่งตัว 318 - 327
BANPU ต่ำกว่า 740 ลง 700 – 720
SCB รายละเอียดใน “หุ้นเด่น”
KBANK แกว่งตัว 112 – 117
TOP ต่ำกว่า 67.75 ลง 65 - 67
SCC ต่ำกว่า 308 ลง 290 - 305
IVL แกว่งตัว 39.50 – 42
PTTCH ต่ำกว่า 133.50 ลง 125 – 130
PTTAR ต่ำกว่า 34.25 ลง 32 – 33.50
BBL รายละเอียดใน “หุ้นเด่น”

----------------------------------------------------------------------------
แรงขายฝรั่งเริ่มสะเด็ดน้ำ - Efinance Thai
กูรู ตลาดทุนฟันธง แรงขายนักลงทุนต่างชาติเริ่มสะเด็ดน้ำ แนะนักลงทุนไทยอย่ากังวลมากเกินไป ระบุหุ้นไทยยังมีเสน่ห์ ทั้งผลประกอบการ บจ. ส่อแววสดใส หลายแห่งมีลุ้นจ่ายปันผลเยี่ยม เครดิตสวิส ยังคงคำแนะนำเพิ่มน้ำหนักการลงทุน แนะลุยหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ธนาคาร และท่องเที่ยว

ดัชนีตลาดหุ้นไทย ประจำวันที่ 25 มกราคม 2554 ปิดที่ระดับ 959.17 จุด ลดลง 4.51 จุด หรือ 0.47% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 40,703.65 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนต่างชาติพลิกกลับมาซื้อสุทธิ 607.67 ล้านบาท จากก่อนหน้านี้ขายหนัก 7,703.49 ล้านบาท และ 4,049.49 ล้านบาทตามลำดับ

* บิ๊กตลาด mai เชื่อแรงขายต่างชาติใกล้ยุติ
นายชนิตร ชาญชัยณรงค์ ผู้ช่วยผู้จัดการสายงานการตลาดศูนย์ระดมทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เปิดเผยว่า หลังจากนี้ไปคาดว่าแรงขายจากนักลงทุนต่างชาติคงไม่มากนัก เนื่องจากตั้งแต่วันที่ 16 มิ.ย.2553-5 ม.ค.2554 นักลงทุนต่างชาติมียอดซื้อสะสมอยู่ที่ 1 แสนล้านบาท แต่หลังจากนั้นมียอดขายออกมา 2 หมื่นล้านบาท และหลังวันที่ 5 ม.ค.2554 มียอดขายมาอีก 3 หมื่นล้านบาท

ส่วนจำนวนยอดซื้อสะสมในช่วงที่ผ่านมา 1 แสนล้านบาท แบ่งเป็นบิ๊กล็อตประมาณ 4.7 หมื่นล้านบาท ฉะนั้นคงเหลือสัดส่วนในการขายหุ้นของนักลงทุนต่างชาติไม่มากนัก ซึ่งนักลงทุนไม่ควรกังวล นอกจากนี้ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนคงจะทยอยประกาศออกมาและน่าจะมีเงินปันผล ซึ่งคงเป็นปัจจัยบวกต่อการลงทุน

'ในช่วงที่ตลาดหุ้นลงแรงหลังวันที่ 5 ม.ค. รอบนี้ขายไป 3 หมื่นล้านบาท และรอบก่อนหน้านั้นขายไป 2 หมื่นล้านบาท จากยอดซื้อสะสมใ นช่วงวันที่ 15 มิ.ย.53-5 ม.ค.54 จำนวน 1 แสนล้านบาท ของนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งจำนวนนี้ยังไม่ได้หักบิ๊กล็อตของ 4 บริษัท ซึ่งประกอบด้วย PTTCH, RATCH, BEC และ PS จำนวน 4.7 หมื่นล้านบาท ซึ่งนักลงทุนอย่าไปกลัวมาก เพราะยังมีรูมให้นักลงทุนต่างชาติขายได้ไม่เยอะ เดี๋ยวผลประกอบการก็ออกมา เงินปันผลก็น่าจะมี' นายชนิตร กล่าว

* ชี้หุ้นร่วงแรงจากความกังวลการเมือง
ส่วนสาเหตุที่ SET Index ปรับลดลงแรง 24 ม.ค.54 คาดว่ามาจากแรงขายทำกำไร ประกอบกับการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อเหลืองและเสื้อแดงยังคงเป็นปัจจัยที่นักลงทุนกังวล ส่วนปัจจัยเรื่องเงินเฟ้อคงไม่มีผลต่อการปรับลดลงของตลาดหุ้นมากนัก เพราะจะเห็นได้จากราคาหุ้นกลุ่มอาหารยังปรับลดลง โดยตั้งแต่วันที่ 15 มิ.ย.2553 - 5 ม.ค.2554 ราคาหุ้นในกลุ่มดังกล่าวปรับขึ้นไป 31% แต่หลังจากวันที่ 5 ม.ค.หุ้นในกลุ่มอาหารลดลงเพียง 8% เท่านั้น

อย่าเพิ่งแพนิคกันมากเพราะหุ้นไทยเพิ่งลงมา เพ ราะไม่ใช่นักลงทุนกลัวเงินเฟ้อ ซึ่งตามปกติแล้วถ้านักลงทุนกลัวเงินเฟ้อกลุ่มอาหารก็ไม่น่าปรับลงมาแบบนี้ ส่วนหุ้นในกลุ่มปิโตรเคมีหลังวันที่ 5 ม.ค.ปรับลงมา 14% แต่ก่อนหน้านั้นขึ้นไปแล้ว 78% การปรับลงของหุ้นในครั้งนี้ความเสี่ยงเรื่องการเมืองก็ยังคงมีอยู่ บวกกับการขายทำกำไร' นายชนิตร กล่าว

สำหรับในช่วงที่ผ่านมาตั้งแต่วันที่ 15 มิ.ย.2553 - 5 ม.ค.2554 SET50 ปรับเพิ่มขึ้น 38% และหลังวันที่ 5 ม.ค. SET50 ปรับลดลง 9% ส่วนตั้งแต่วันที่ 15 มิ.ย.2553-5 ม.ค.2554 SET51-100 ปรับเพิ่มขึ้น 47% และหลังวันที่ 5 ม.ค.2554 ปรับลดลง 7% ส่วนหุ้นที่ไม่ได้อยู่ใน SET100 ในช่วงวันที่ 15 มิ.ย.2553-5 ม.ค.2554 ปรับเพิ่มขึ้น 32% และหลังวันที่ 5 ม.ค.ปรับลดลง 3% ในขณะที่ตลาดหลักทรัพย์ mai จำนวน 61 บริษัท ปรับเพิ่มขึ้น 26% และหลังวันที่ 5 ม.ค.ปรับลดลง 4%

* เครดิตสวิสแนะ 'ซื้อ' หุ้นไทย เชื่องบ บจ.หรู-การเมืองไม่บานปลาย
รายงานข่าวบนเว็บไซต์บลูมเบิร์กดอทคอมระบุ
ว่า เครดิตสวิสกรุ๊ปเอจีแนะนำนักลงทุน 'ซื้อ' หุ้นไทย หลัง Set Index ปรับลดลงมากที่สุดในรอบ 15 เดือนวานนี้ เนื่องจากคาดการณ์ว่า แนวโน้มผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนจะยังคงออกมาดี ขณะเดียวกันคาดการณ์ว่า สถานการณ์การชุมนุมทางการเมืองจะไม่บานปลาย

โดยวานนี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับลดลง 4.3% ซึ่งเป็นการลดลงมากที่สุดนับแต่เดือนตุลาคมปี 2009 หลังเกิดการชุมนุมทางการเมือง ซึ่งแกนนำประกาศว่าจะเป็นการชุมนุมที่ยืดเยื้อ

'ทิศทางการเมืองไทยในปีนี้ค่อนข้างดีกว่าปีที่ผ่านมา จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมจึงควรถือหุ้นมากกว่าที่จะเทขาย ขณะที่แนวโน้มผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนค่อนข้างเป็นปัจจัยกระตุ้นภาวะกระทิง' นายแดน ไฟน์แมน และนางศิริพร โสธิกุลนักวิเคราะเครดิตสวิสระบุในบทวิเคราะห์

'เราเชื่อว่า แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อของไทยจะอยู่ในระดับต่ำกว่าของตลาดเพื่อนบ้าน เราจึงยังคงคำแนะนำเพิ่มน้ำหนักการลงทุนตลาดหุ้นไทย และแนะนำลงทุนหุ้นในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ธนาคาร และท่องเที่ยว' ในบทวิเคราะห์ดังกล่าว ระบุ
นอกจากนี้ เครดิตสวิส คาดว่า การยุบสภาน่าจะเกิดขึ้นในช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนพฤษภาคม และคาดว่า ฝ่ายรัฐบาลจะสร้างความประหลาดใจให้กับนักลงทุนด้วยการชนะการเลือกตั้ง

* โบรกฯ เผยแม้หุ้นดิ่งหนัก แต่ไม่มีฟอร์ซเซลลูกค้าบัญชีมาร์จิ้น
นางภัทธีรา ดิลกรุ่งธีระภพ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทดีบีเอสวิคเคอร์ (ประเทศไทย) และนายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ เปิดเผยว่า ช่วงนี้ตลาดหุ้นปรับตัวลดลงค่อนข้างแรง แต่ประเมินว่าบัญชีมาร์จิ้นโลนของบริษัทหลักทรัพย์ส่วนใหญ่จะไม่มีการบังคับลูกค้าขายหุ้น (Force Sell) เนื่องจากปัจจุบันขนาดการปล่อยมาร์จิ้นโลนของบริษัทหลักทรัพย์ส่วนใหญ่มีขนาดเล็กลงจากในอดีต แต่คาดว่าอาจมีการเรียกหลักประกันเพิ่มเติมจากลูกค้าบางรายที่ถือหุ้นบางตัวที่มีการปรับตัวลดลงแรงเพียงเท่านั้น

สำหรับบล.ดีบีเอสวิคเคอร์ (ประเทศไทย) ปัจจุบันได้มีการปล่อยสินเชื่อมาร์จิ้นโลนไม่สูงมากนักอยู่ที่ประมาณ 600-700 ล้านบาท จากวงเงินรวมที่ได้ตั้งไว้ที่ 1 พันล้านบาท ขณะที่วานนี้ตลาดหุ้นปรับตัวลดลงแรง บริษัทก็ไม่ได้มีการ Force Sell ลูกค้าแต่อย่างใด อาจจะมีเพียงการให้ลูกค้าวางหลักประกันเพิ่มเติมในหุ้นบางตัวเท่านั้น

ด้านนายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)(KEST) เปิดเผยว่า ปัจจุบันบริษัทมีบัญชีมาร์จิ้นที่ปล่อยกู้ให้ลูกค้าเพียง 4.3 พันล้านบาท จากนโยบายของบริษัทฯที่ตั้งวงเงินในการปล่อยมาร์จิ้นโลนไว้ที่ 4-5 พันล้านบาท ซึ่งลูกค้าที่ได้รับการปล่อยกู้ได้รับผลกระทบจากกรณีดัชนีหุ้นไทยดิ่งแรงไม่มากนัก

โดยบริษัทได้มีการเรียกลูกค้าบางรายให้มาวางหลักประกันเพิ่มเท่านั้น เนื่องจากในการปล่อยสินเชื่อมาร์จิ้นโลนบริษัทฯได้มีการเลือกปล่อย โดยพิจารณาจากคุณภาพของหุ้น รวมถึงพิจารณาจากคุณภาพของลูกค้า

* บลจ.บัวหลวง เชื่อเงินต่างชาติยังพักในไทย รอจังหวะช้อนหุ้นรอบใหม่
นางวรวรรณ ธาราภูมิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม บัวหลวง จำกัด (บลจ.บัวหลวง) เปิดเผยถึงมุมมองตลาดหุ้นไทยช่วงนี้ว่า การที่ตลาดหุ้นปรับตัวลดลงวานนี้ต่อเนื่อง น่าจะเป็นการขายทำกำไรของนักลงทุนต่างชาติเพราะมองว่าได้กำไรมากแล้ว และบางส่วนโยกเงินไปลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐ เนื่องจากคาดการณ์ว่าแนวโน้มเศรษฐกิจจะดีขึ้น

อย่างไรก็ตาม การคาดการณ์ดังกล่าว น่าจะเป็นปัจจัยบวกเพียงชั่วคราวเพราะโดยภาพรวมแล้วเศรษฐกิจสหรัฐยังไม่ฟื้นตัวชัดเจน สะท้อนจากตัวเลขการว่างงานที่ไม่ได้ปรับตัวลดลง แต่เชื่อว่าเงินส่วนใหญ่ยังไม่ได้ไหลออกนอกประเทศ แต่โยกไปลงทุนในตลาดตราสารหนี้ระยะสั้น เพื่อพักเงินเท่านั้น ก่อนที่ต่างชาติจะหาจังหวะเข้าซื้อรอบใหม่ในช่วงที่ราคาหุ้นอ่อนตัวลง

ทั้งนี้ ในส่วนของ บลจ.บัวหลวง ก็ได้มีการขายหุ้นออกมาบ้างในช่วงที่ผ่านมา แต่เป็นการเปลี่ยนตัวหุ้นเท่านั้น เพราะสัดส่วนการถือครองหุ้นยังเท่าเดิมไม่ได้ลดลง

สำหรับทิศทางของดัชนีตลาดฯ ไม่สามารถประเมินได้ แต่เชื่อว่าปัจจัยพื้นฐานของตลาดหุ้นไทยยังน่าสนใจ เนื่องจากกำไรของบริษัทจดทะเบียนในปีนี้ดีขึ้นประมาณ 15-18% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ในขณะที่บริษัทหลักทรัพย์บางแห่งประเมินไว้สูงถึง 18-20% ดังนั้น เชื่อว่า ในที่สุดแล้วราคาหุ้นในตลาดฯ ก็น่าจะปรับเข้าสู่พื้นฐานที่แท้จริง

'ปัจจัยเศรษฐกิจไทยยังแข็งแกร่ง เชื่อว่าถึงจุดหนึ่งเงินจะไหลกลับมา แต่การปรับลงก็ดีในอีกมุมหนึ่ง คือ ให้ให้ราคาหุ้นหลายตัวถูกลง พีอีต่ำลง เราจะได้เข้าไปเลือกซื้อได้ ซึ่งในระยะสั้นหากพอใจในราคาที่ลดลงก็เข้าซื้อได้ ส่วนดัชนีฯ จะฟื้นช่วงใด บางโบรกเกอร์ก็มองไตรมาส1 หรือครึ่งปีหลัง' นาง วรวรรณ กล่าว

* บล.กิมเอ็ง ชี้ต่างชาติเริ่มขาดทุนจากการขายหุ้นไทย แนะตั้งซื้อแบบขั้นบันไดลงไป
บทวิเคราะห์ บล.กิมเอ็ง ระบุว่า ณ ปัจจุบันต่างชาติขายขาดทุนมากขึ้น หากประเมินต้นทุนการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติพบว่าช่วงวิกฤติการเมืองของไทยเดือน มี.ค. และ เม.ย. 2553 นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิอย่างหนาแน่นและต่อเนื่อง กดดันให้สถานะสุทธิของนักลงทุนต่างชาติติดลบมาโดยตลอด และกว่าที่นักลงทุนต่างชาติจะกลับมามีสถานะซื้อสุทธิอีกครั้งวันที่ 19 ส.ค. 2553

หากเฉลี่ย SET Index ณ วันดังกล่าวถึงสิ้นปี 2553 อยู่ที่ 981 จุด บวกกับค่าเฉลี่ยเงินบาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงเวลาเดียวกันอยู่ที่ 30.29 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ ดังนั้น ณ ปัจจุบันเท่ากับ นักลงทุนต่างชาติเริ่มขาดทุนจากการขายหุ้นไทย ทั้งในแง่ของส่วนต่างราคา และค่าเงินบาท

ดังนั้น KimEng คงคำแนะนำให้นักลงทุน “ถือพอร์ตการลงทุนทั้งหมด” การ Cut loss ณ ระดับปัจจุบันถือว่าไม่คุ้มแล้วเช่นกัน เพียงแต่หากไม่มีเงินทุนใหม่ แนะนำให้อดทนถือพอร์ตการลงทุน เพราะเชื่อว่าปัจจัยพื้นฐานไม่เปลี่ยน SET Index ย่อมต้องฟื้นตัวขึ้นอีกครั้ง หรือหากมีเงินสดเหลืออยู่ในพอร์ต แนะนำให้ ทยอยสะสมบริเวณ 950 จุดลงไป โดยเป็นการตั้งราคาซื้อเป็นขั้นบันไดลงไป

* บล.ฟินันเซีย ไซรัส เชื่อสุดท้ายหุ้นจะกลับสู่ปัจจัยพื้นฐาน
บทวิเคราะห์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส วิเคราะห์ว่า Fund Flow วันที่ 24 ม.ค. ยังไหลออกทุกประเทศในภูมิภาค แต่ปริมาณขายสุทธิชะลอตัวลงจากวันก่อน ซึ่งเป็นไปตามคาดว่านักลงทุนต่างชาติยังปรับพอร์ตต่อเนื่อง ความกังวลเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นในประเทศเอเชีย และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยโดยเฉพาะของจีนยังคงเป็นปัจจัยลบที่ยังปั่นทอนตลาดหุ้นเอเชียในช่วงนี้

ขณะที่เมื่อคืนวันเดียวกัน ตลาดหุ้นสหรัฐพุ่งขึ้นใกล้จุดสูงสุดก่อนเกิดวิฤตการเงินในสหรัฐจากตัวเลขการจ้างงานและดัชนีชี้วัดเศรษฐกิจส่วนใหญ่ยังออกมาดี ค่าเงินบาทเช้านี้ทรงตัวอยู่ 30.97 บาท/ดอลลาร์ หลังจากที่อ่อนค่ามากในช่วงระหว่างวันของวานนี้ ส่วนค่าเงินประเทศอื่นในภูมิภาคยังทรงตัว อย่างไรก็ตามไม่ค่าเงินในภูมิภาคเอเชียจะแข็งค่าหรือแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูงถือเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้น

ดังนั้นการขายปรับพอร์ตของนักลงช่วงนี้อาจยังมีอยู่ แต่สุดท้ายก็จะกับสู่ปัจจัยพื้นฐาน เราเน้นซื้อหุ้นกลุ่มน้ำมันและปิโตรเคมี เพราะราคาสินค้าโภคภัณฑ์เหล่านี้ปรับหรือบางชนิดปรับขึ้นส่วนทางการราคาหุ้นที่ปรับตัวลงมากเกินไป แม้แนวโน้มกระแสเงินทุนยังไหลออกในช่วงนี้ แต่หากไม่มีเหตุการณ์อย่างอื่นที่รุนแรง เราแนะนำให้ ถือ และมีเงินสดหาจังหวะทะยอยสะสม หุ้นกลุ่มเหล่านี้ โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มพลังงาน ปิโตรเคมี และ กลุ่มปตท.

* 'เสี่ยป๋อง' แนะช้อนหุ้นปลาย ม.ค.-ต้น ก.พ.นี้
ด้านนายวัชระ แก้วสว่าง หรือเสี่ยป๋อง นักลงทุนรายใหญ่ กล่าวถึง สถานการณ์ตลาดหุ้นที่ปรับตัวลดลงแรงช่วงนี้ว่า น่าจะเป็นการขายทำกำไรของนักลงทุนต่างชาติ เนื่องจากตลาดหุ้นไทยได้ปรับตัวขึ้นมาต่อเนื่อง 2 ปีที่ผ่านมาโต 200% สูงกว่าตลาดหุ้นในต่างประเทศ นอกจากนี้ตลาดหุ้นอินโดนีเซีย และตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากเช่นเดียวกับตลาดหุ้นไทยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ทำให้ 24 ม.ค. มีแรงขายออกมาอย่างหนักในตลาดหุ้นไทย อินโดฯ และฟิลิปปินส์

'ต่างชาติขายทำกำไร โยกเงินไปลงทุนตลาดหุ้นเกาหลี และตลาดต่างประเทศอื่นๆ เพราะได้กำไรจากไทยไปมากแล้ว เห็นได้จากหุ้นขึ้นมาสูงกว่าใครในรอบ 2 ปี พอเขาขายเลยโยกออกจากไทยแรงกว่าเพื่อน' นายวัชระ กล่าว

อย่างไรก็ตาม โดยส่วนตัวนายวัชระ มองว่ารอบของการขายหุ้น ยังไม่น่าจะหยุดอยู่แค่นี้ จึงต้องติดตามต่อไป แต่จากสถิติย้อนหลัง 5 ปี พบว่า ในช่วงปลายเดือนมกราคม-ต้นเดือนกุมภาพันธ์ เป็นช่วงของการปรับฐานของตลาดหุ้น ดังนั้น จึงถือว่า เป็นจังหวะที่น่าสนใจที่จะเข้าช้อนซื้อในช่วงดังกล่าว

'ดังนั้น การลงทุนช่วงปลายมกราคมถึงต้นกุมภาพันธ์ น่าเข้าช้อนซื้อ ซึ่งผมไม่ได้พูดเอง แต่ดูจากสถิติย้อนหลัง 5 ปีมันเป็นอย่างนั้น และมองว่ากรณีเลวร้ายมีโอกาสที่ดัชนีฯ จะร่วงลงถึง 900 จุดต้นๆ' นายวัชระ กล่าว

ทั้งนี้ โดยส่วนตัว จะเลือกลงทุนหุ้นบิ๊กแคป เช่น แบงก์ พลังงาน หุ้นใน SET50 เพราะหุ้นกลุ่มดังกล่าวเล่นง่าย และยิ่งราคาปรับตัวลงมาก็น่าสนใจ ดังนั้น จึงควรเลือกซื้อตัวที่ราคาลงแรง

พร้อมกันนี้ในปี 2554 ประเมิน SET Index ว่า มีโอกาสเคลื่อนไหวในลักษณะแกว่งตัว อยู่ในกรอบ 900-1,200 จุด และคงมี Upside ไม่เกิน 20% เนื่องจากในปีนี้ดัชนีฯ ปรับขึ้นมากแล้ว ส่วนปัจจัยที่ต้องติดตามในปีหน้าประกอบด้วย 1.ปัจจัยทางการเมืองเกี่ยวกับความชัดเจนในการเลือกตั้งใหม่ 2.ปัจจัยต่างประเทศเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจในยุโรป เป็นต้น

'ปีนี้ตลาดหุ้นไทยปรับขึ้นเยอะแล้ว ปีหน้าคงเหลือ Upside ไม่เกิน 20% และ SET Index คงแกว่งตัว โดยเต็มที่ไม่น่าจะเกิน 1,200 จุด หรืออยู่ในกรอบ 900-1,200 จุด ส่วนปัจจัยที่น่าจะมีอิทธิพลในปีหน้าก็ไม่มีอะไรมาก การเมืองก็ดูเรื่องการเลือกตั้ง ต่างประเทศก็ดูเรื่องของยุโรป เศรษฐกิจในประเทศยังคงเติบโตได้ แต่คงไม่มาก เพราะปีนี้โตเยอะแล้ว' นายวัชระ กล่าว

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในปีหน้า ควรเลือกลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี นอกจากนี้ควรมีบทวิเคราะห์หรือข้อมูลจากบริษัทหลักทรัพย์สนับสนุนก่อนตัดสินใจลงทุนด้วย เพราะจะช่วยป้องกันความเสี่ยง และทำให้ได้รับผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุนด้วย

-----------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย
FSS : ตลาดไหลลงยังน่าเลือกหุ้นทยอยรับ เพื่อรอจังหวะทำกำไรเมื่อ SET ดีด!!
แนวโน้ม: แม้ว่าเมื่อวานนี้ตลาดหุ้นไทยยังปรับตัวลงต่อ แต่ก็เริ่มมีแรงซื้อกลับ เข้ามาบ้างพอควร โดยเฉพาะนักลงทุนต่างประเทศก็เริ่มมียอดซื้อสุทธิให้เห็นอีก ครั้ง ทำให้ SET เริ่มมีจังหวะแกว่งตัวกลับมาเป็นบวกให้เห็นในระหว่างวันได้บ้าง ซึ่งคาดว่ามาจากการเลือกหุ้นเข้าซื้อเป็นรายตัว หลังตลาดปรับตัวลงรุนแรงทำให้ ราคาหุ้นหลายตัวลงมาต่ำมากจนน่าสนใจทยอยเข้ารับเพื่อถือลงทุนได้ รวมทั้ง
เข้าใกล้ช่วงประกาศผลการดำเนินงานด้วย FSS จึงคาดว่าในช่วงท้ายสัปดาห์นี้ SET น่าจะเริ่มมีโอกาสดีดกลับขึ้นไปเคลื่อนไหวเป็นบวกชัดเจนขึ้น ดังนั้น นอกจากแนะนำให้ทยอยเข้ารับสำหรับการถือลงทุนแล้ว ยังสามารถเลือกหุ้นเข้า เทรดดิ้งระยะสั้นในรอบรีบาวด์ของตลาดได้ด้วย โดยมีเป้าหมายทำกำไรแถว 1000 จุดหรือสูงกว่า
กลยุทธ์: หุ้นที่น่าสนใจเข้ารับได้แก่ BGH, BH, BEC, MCOT, PHATRA, BLS, LPN, SVI, PTTCH, PTTAR, IRPC, IVL, TOP, ESSO, BANPU, LANNA เป็นต้น

ประเด็นสำคัญวันนี้
• (+) IMF ปรับเพิ่ม GDP โลกปีนี้ขึ้น 0.2% เป็น 4.4% จากที่คาดไว้เดือน ต.ค. +4.2% และคงปีหน้าที่ +4.5% โดยในปีนี้ IMF ปรับเพิ่มคาดการณ์ของสหรัฐฯ ขึ้นมากที่สุด โดยปรับ GDP เพิ่มเป็น +3.0% จากเดิมคาดเพียง +2.3% รองลงมาได้ปรับ เพิ่มคาดการณ์ GDP ของละตินอเมริกา (บราซิลและเม็กซิโก) ขึ้นจากเดิม +4.0% เป็น 4.3% สำหรับประเทศหลักในเอเชียอย่างจีนและอินเดีย IMF ยังมองเหมือนเดิมคือ +9.6% และ 8.4% ตามลำดับ ส่วนประเทศใน ASEAN-5 (อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ไทย เวียดนาม) IMF ปรับเพิ่มเพียง 0.1% เป็น 5.5% ยังไม่มีการเปิดเผย รายละเอียดของแต่ละประเทศ แต่ล่าสุดคาดการณ์ GDP ไทยปีนี้ +4.0%

• (+) ต่างชาติกลับมาซื้อตลาด TIPs เป็นวันแรก แม้จะซื้อหุ้นไทยเพียง 607 ล้านบาทแต่ก็เป็นสัญญาณที่ดีที่เริ่มกลับมาซื้อหลังจากขายหนัก 2.9 หมื่นล้านบาทมาตั้งแต่ ต้นปี แต่เม็ดเงินที่ซื้อส่วนใหญ่ยังคงอยู่ที่เกาหลีและไต้หวัน อย่างไรก็ตาม ณ ระดับ SET Index 959 จุด คิดเป็น PE (Bloomberg consensus) ต่ำเพียง 11.4 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ 12 เท่า ถือเป็นระดับที่น่าสนใจลงทุนโดยเฉพาะเมื่อเทียบกับกำไรที่Consensus คาดว่าจะโต 15% - 20% ในปีนี้

• (+) DCC กำไรใน 4Q10 -1.3% Q-Q เพราะน้ำท่วมรุนแรงในช่วงปลายปีก่อนทำให้ยอดขายแผ่ว แต่กำไรทั้งปี 2010 +18% เป็น 1.76 พันล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ พร้อมจ่ายปันผลอีก 0.58 บาท/หุ้น Yield 1.2% XD 4 เม.ย. จ่ายเงิน 4 พ.ค. เราคาดว่ากำไรในปี 2011 โตต่อ 24.7% จากการขยายกำลังการผลิต จุดเด่นของ DCC อยู่ที่กำไรที่โตต่อเนื่อง ROE สูงถึง 43.7% และให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงถึง 6-7% ต่อปี ราคาหุ้นปรับลงแล้ว 27% จาก Peak ในปีก่อน ทำให้ upside กว้างขึ้นเป็นกว่า 30% เป็นโอกาสในการซื้อ ราคาเป้าหมาย 65 บาท

• (+) กลุ่มรับเหมา รฟม.เตรียมเปิดประมูลรถไฟฟ้าสายสีเขียว (แบริ่ง-สมุทรปราการ) มูลค่า 2.8 หมื่นล้านบาทในเดือน มี.ค. นี้ ปัจจุบันอยู่ระหว่างร่างเอกสารประกวดราคาเพื่อเสนอบอร์ด 16 ก.พ. นี้ และคาดว่าจะเปิดให้บริการได้ พ.ค. 2559 ส่วนสายสีเขียว
ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่ มูลค่า 3.65 หมื่นล้านบาท ยังอยู่ระหว่างพิจารณาเรื่องผลกระทบของสิ่งแวดล้อม แนะนำ STEC, CK

• Fund Flow วานนี้กลับมาไหลเข้าทุกประเทศภูมิภาคเอเชีย หลังจากที่ไหลออกเป็นอย่างมากในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาเพื่อปรับพอร์ตการลงทุนใหม่ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นภูมิภาค โดยเฉพาะตลาด TIPs ปรับขึ้นเป็นอย่างมากและทำให้เกิดภาวะ Oversold ดังนั้นในเชิงเทคนิกอาจจะเป็นเหตุให้นักลงทุนต่างชาติกลับเข้ามาซื้อเพื่อเก็งกำไรระยะสั้นได้ เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานของหุ้น หรือภาพรวมทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียไม่ได้เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด ซึ่งในความเป็นจริงแล้วไม่ว่าจะเป็นภาวะค่าเงินที่แข็งค่าหรือ แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้นจะเป็นปัจจัยบวกกับตลาดหุ้น แต่ผลกระทบเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นแรงจะเป็นตัวปั่นทอนตลาดในช่วงสั้นและพอปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตามก็จะเข้าสู่ภาวะปกติ ภาพรวมเศรษฐกิจยังโตต่อเนื่องเพียงแต่การขึ้นดอกเบี้ยเพื่อแตะเบรคเศรษฐกิจไม่ให้ร้อนแรงเกินไป สำหรับค่าเงินบาทเช้านี้ทรงตัว หรือแข็งค่าเล็กน้อยมาอยูที่ 30.94 บาท/ดอลลาร์ ขณะที่ประเทศเอเชียอื่นแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยจากค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่า แนวโน้มกระแสเงินทุนต่างชาติยังไม่ชัดเจนแม้จะกลับมาไหลเข้า ดังนั้นการรีบาวด์ของตลาดรอบนี้อาจเป็นเพียงช่วงสั้นเท่านั้น เรายังมองว่าการปรับพอร์ตของนักลงทุนต่างชาติยังมีอยู่

-----------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ตปท.
ตลาดหุ้นสหรัฐเริ่มแกว่งปรับพักตัวลงอีกครั้งเกือบ 100 จุด หลังถูกกดดันจากผลประกอบการที่น่าผิดหวังของบริษัท 3M และจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ก่อนที่จะกลับมาปิดเป็น ลบ 3.33 จุด จากตัวเลขความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน ม.ค.ที่ เพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 8 เดือน ขณะที่นักลงทุนยังจับ ตาดูถ้อยแถลงนโยบายประจำปีของ ปธน.โอบามา ต่อ สภาคองเกรสในช่วงเช้าวันนี้(26 ม.ค. 9 น. ตามเวลาไทย)

ตลาดหุ้นยุโรปก็ปรับตัวลดลงด้วยเช่นกัน หลังตัวเลข เศรษฐกิจของอังกฤษหดตัวลงใน Q4/10 ซึ่งถือเป็นการหด ตัวครั้งแรกนับตั้งแต่ Q3/09

ส่วนตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้เปิดทำการมีทั้งเป็นบวกและลบ โดยยังเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ เป็นหลัก ดัชนี VIX Index ยังปรับตัวลดลงอีก 0.34% หลังตัวเลข ความเชื่อมั่นผู้บริโภคยังออกมาดี

ราคาน้ำมันดิบในตลาด NYMEX ปิดที่ 86.19 ดอลลาร์/ บาร์เรล ดิ่งลงอีก 1.68 ดอลลาร์ ร่วงลงเป็นวันที่ 6 ติดต่อกัน หลังนักลงทุนยังกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจโลกจาก รายงานเศรษฐกิจของอังกฤษที่หดตัวลง รวมทั้งคาดการณ์ สต็อกน้ำมันดิบรายสัปดาห์ของสหรัฐคืนนี้อาจเพิ่มขึ้น

ราคาทองคำล่วงหน้าในตลาด COMEX ปิดที่ 1332.30 ดอลลาร์/ออนซ์ ปรับตัวลง 12.20 ดอลลาร์ ตัวเลข เศรษฐกิจสหรัฐยังออกมาดีต่อเนื่อง

-----------------------------------------------------------------------------