Code 367 : 01/03/54 จะไปทางไหน 990 หรือ 983

วันอังคารที่ 1 มีนาคม 2554

ATT Code : จะไปทางไหน 990 หรือ 983





เมื่อเช้าวันจันทร์ที่ 28/02/54 มีแรงขายในกลุ่มพลังงานออกมา ทำให้ SET เปิดลบไปประมาณ 5 จุด เปิดที่ระดับ 980.61 โดยเปิดเป็น Low ของวันเลย แล้วก้ Sideway อยู่ในกรอบ 7 จุด ทั้งเช้าทั้งบ่าย โดยมีแรงขายออกมาในกลุ่มพลังงาน เน้นไปที่ PTT และ Banpu แล้วก็โยกเข้าไปซื้อในกลุ่มแบงค์ BBL KBANK และ SCB บวกกับช่วงบ่าย HSKI บวกขึ้นไป 300 กว่าจุด ทำให้ช่วงปิดตลาด มีแรงซื้อเข้ามาอีก แล้วมาปิดเป็น High ที่ 987.91 จุด บวกไป 2 จุด

SET มีแรงขายออกมา ทำให้หลุดแนวรับเส้น 5 วัน ที่ 983 ลงมา ที่ 980 แต่ก้มีแรงซื้อในกลุ่มแบงค์ที่ได้ดีในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้น ทำให้ ดันผ่านแนวรับขึ้นมาทั้ง 2 เส้น ผ่าน 983 และ 985 มาปิด High ที่ 987 ได้

แนวโน้มในวันอังคารที่ 01/03/54
-แนวต้านก้กลับไปเป็นแนวรับ คื่อที่ 985 และ 982 แนวรับหลักยังอยู่ที่ 977 เหมือนเดิม ถ้าหลุด 983 ก้จะลงมาที่ 977 ได้อีกครั้ง
-ส่วนแนวต้านที่เส้น 75 วัน ที่ระดับ 990 แต่ถ้าผ่าน 990 ไปได้ ก็อาจจขึ้นไปหา 1000 จุด ได้เหมือนกัน ช่วงนี้ตลาดสวิงค่อนข้างมาก ทำให้ ต้องดูแนวรับและแนวต้านต่างๆ ซึ่งถ้าผ่านก้ตามได้ ถ้าไม่ผ่านก็รอตามแนวรับต่อๆ ไป

*** SET มีการโยก ขายกลุ่มพลังงานมาเข้าแบงค์ ทำให้ Indicators ต่างๆ +/- สลับกันไป

1. (+) MACD ยังคงตัดเส้น Signal ขึ้นมาอยู่ โดย MACD ตัดผ่านเส้นศูนย์มากขึ้นแล้ว.... มีสัญญาณที่ดีอยู่
2. (+) OBV ขึ้นจาก 565 ไปที่ 594.... แสดงให้เห็นว่ามีแรงซื้อขายสะสมเพิ่มขึ้น
3. (-) CCI ลดลงมาจาก 27 ลงมาที่ 21 ลดลงมาเกือบ 6 ... แนวโน้มยังเป็นลบเหมือนเดิม
4. (-) เส้น ADX : DI+(26) ตัดเส้น DI-(29) โดย DI+ ตัด DI-ลงมาเหมือนเดิม ... แนวโน้มยังเป็นลบเหมือนเดิม
5. (-) Williams %R ลดลงมาจาก -23 ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ -30 ลบมากขึ้น... แนวโน้มพลิกกลับมาเป็นลบใหม่

6. (+) RSI ขึ้นมาจาก 49% มาอยู่ที่ 50% เพิ่มขึ้นนิดหน่อย... แนวโน้มยังบวกเหมือนเดิม
7. (+/-) Fast Sto : %K ยังตัด %D ลงมาอยู่ แต่ %K แต่ก็ลดลงจากเดิมจาก 65 ลงมาที่ 64... แนวโน้มยังทรงๆ

-----------------------------------------------------------------------------
MARKET WAVE Analysis
1 มีค. 54 ( +2.00 จุด ) โกมล พงศ์วิญญู เลขทะเบียน 18338

ปรับตัวขึ้น 994 – 999 จุด
แนวโน้มในวันอังคารนี้ ดัชนีมีโอกาสปรับตัวกลับขึ้นไปแถว 994 – 999 ใกล้จุดสูงสุดเดิมของสัปดาห์ที่แล้ว

อย่างไรก็ตามยังไม่ชัดเจนว่า ตลาดจะสามารถปรับตัวขึ้นเกิน 1000.90 จุดสูงสุดของสัปดาห์ที่แล้ว และแนวต้านตามธรรมชาติของ
เส้นค่าเฉลี่ย 25 สัปดาห์ได้หรือไม่ ??

และพอมีความเป็นไปได้ว่า ตลาด“อาจจะ” ยังไม่สามารถผ่าน 1000.90 และต้องแกว่งตัวในกรอบ 977 – 1000 จุด หรือระหว่าง
เส้นค่าเฉลี่ย 25 วัน และ 25 สัปดาห์ อีกนานหลายวัน?

หุ้นเด่น
TOP
ปรับตัวขึ้นมาแถวเส้นค่าเฉลี่ย 25 ชั่วโมงพอดีรอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 74.50 จุดสูงสุดวันศุกร์ และเส้นค่าเฉลี่ยดังกล่าว เป้าหมาย
หนึ่งถึงสองวัน 75.50 – 76.50( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 73.25 )

THAI
ปรับตัวขึ้นมาอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ย 25 ชั่วโมงได้อีกครั้ง รอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 38.50จุดสูงสุดวันจันทร์ เป้าหมายสองสามวัน
39.75 – 40.75( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 37.25 )

10 อันดับซื้อขายสูงสุด
PTT ต่ำกว่า 336 ลง 330 - 334
BANPU แกว่งตัว 724 – 740
KBANK ไม่ต่ำกว่า 116 ขึ้น 119 - 120
TMB เกิน 2.32 ขึ้น 2.34 – 2.36
PTTEP แกว่งตัว 180.50 – 182.50
PTL แกว่งตัว 23.20 – 23.90
IVL แกว่งตัว 41.50 - 43
SCB ไม่ต่ำกว่า 100.50 ขึ้น 103 – 104
PTTAR แกว่งตัว 36.50 – 38
PTTCH ต่ำกว่า 144 ลง 137 – 141

-----------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย
EFinance Thai: หุ้นโรงกลั่นกำไรทรุด..ปี54ขอแก้มือ!!
กลุ่มโรงกลั่นสุดเซ็ง!! กำไรปี 53 ลดลงสวนทางอุตสาหกรรมอื่นที่กำไรเพิ่มขึ้นถ้วนหน้า เผย BCP หนักสุด กำไรลดลงเกิน 100% ตามมาด้วย ESSO ที่ลดลง 62% ชี้สาเหตุหลักมาจากค่าการกลั่นที่ต่ำกว่าปี 52 แม้ช่วงครึ่งหลังปี 53 ราคาน้ำมันจะพุ่งขึ้นต่อเนื่อง ด้านนักวิเคราะห์มองกำไรปี 54 กลับมาโดดเด่น ยังคงให้น้ำหนักลงทุน ยก TOP-PTTAR เป็นหุ้นเด็ดในกลุ่ม
ช่วงนี้บริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ประกาศผลประกอบการปี 53 ออกมาแล้ว และพบว่าเกือบทุกอุตสาหกรรมมีกำไรเพิ่มขึ้น ยกเว้นบริษัทในกลุ่มโรงกลั่นที่มีผลประกอบการลดลงจากปี 52 สวนทางบริษัทในกลุ่มอื่นๆ อาทิเช่น บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน)หรือ TOP บริษัทเอสโซ่ จำกัด(มหาชน)หรือ ESSO บริษัทบางจาก ปิโตรเลียม จำกัด(มหาชน)หรือ BCP และบริษัท ปตท. อะโรเมติกส์และการกลั่น จำกัด (มหาชน)หรือ PTTAR เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าในปี 54 บริษัทในกลุ่มโรงกลั่นจะกลับมาทำกำไรได้โดดเด่นอีกครั้ง เนื่องจากค่าการกลั่นที่เพิ่มขึ้นตามทิศทางราคาน้ำมันในตลาดโลก และยังคงแนะนำให้ลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้ โดยยกให้ TOP-PTTAR เป็นหุ้นเด็ดในกลุ่ม

***** กลุ่มโรงกลั่นเศร้างบปี 53 วูบ!!
บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน)หรือ TOP แจ้งว่า ปี 53 บริษัทมีกำไรสุทธิ 8.99 พันล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 4.41 บาท ลดลงจากปี 52 ที่มีกำไรสุทธิ 1.2 หมื่นล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 5.91 บาท หรือผลประกอบการลดลงประมาณ 25.08%
ทั้งนี้ กำไรที่ลดลงมาจากปริมาณวัตถุดิบที่ป้อนเข้าสู่กระบวนการผลิตของกลุ่มอยู่ที่ 273 พันบาร์เรลต่อวัน และกำไรขั้นต้นรวมจากการผลิต (Gross Integrated Margin - GIM) ที่ 6.5 เหรียญสหรัฐฯ ทำให้ในปี 53 บริษัทฯและบริษัทย่อยมี EBITDA และกำไรสุทธิจำนวน 17,432 ล้านบาท และ 8, 999 ล้านบาท (คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 4.41 บาท) ตามลำดับ
สาเหตุหลักที่ทำให้กำไรสุทธิลดลง 3,063 ล้านบาทจากปีก่อน เนื่องจากในปี 2552 บริษัทฯ และบริษัทย่อยบันทึกกำไรบนสินค้าคงเหลือ (Stock Gain) จากการที่ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นในอัตราที่สูงกว่าปี 53 นอกจากนี้ ในช่วงครึ่งแรกของปี 2553 ราคาผลิตภัณฑ์ของธุรกิจอะโรมาติกส์ถูกกดดันจากอุปทานที่ล้นตลาด จนทำให้ผู้ผลิตในหลายประเทศลดกำลังการผลิตลงและหยุดซ่อมบำรุงในช่วงที่ราคาตกต่ำ
อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งปีหลังราคาอะโรมาติกส์กลับมาฟื้นตัวเนื่องจากมีโรงอะโรมาติกส์หลายแห่งประสบปัญหาทำให้ต้องหยุดการผลิตไป บริษัท IPT ได้รับชดเชยค่าสินไหมทดแทนจากที่ได้หยุดเดินเครื่องจากอุบัติเหตุที่ทำให้เครื่องกำเนิดไฟฟ้ากังหันไอน้ำได้รับความเสียหายจากบริษัทประกันภัยแล้ว ปัจจุบัน บริษัท IPT ได้กลับมาดำเนินการผลิตไฟฟ้าตามปกติแล้วตั้งแต่วันที่ 30 พฤศจิกายน 53 เป็นต้นมา
ด้านบริษัทเอสโซ่ จำกัด(มหาชน)หรือ ESSO แจ้งว่า ปี 53 บริษัทมีกำไรสุทธิ 1.65 พันล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.48 บาท ลดลงจากปี 52 ที่มีกำไร 4.44 พันล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 1.29 บาท หรือผลประกอบการลดลง 62.83%
ทั้งนี้ สาเหตุที่กำไรของบริษัทลดลง เป็นเพราะน้ำมันดิบที่นำเข้ากลั่นมีปริมาณต่ำกว่าช่วงเวลาเดียวกันในปี 52 สาเหตุหลักมาจากความต้องการผลิตภัณฑ์น้ำมันที่ลดลงประกอบกับค่าการกลั่นของอุตสาหกรรมโดยรวมที่คงอยู่ในระดับต่ำในปี 53 ถึงแม้ว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในช่วงครึ่งปีหลังของปี 53
สำหรับบริษัทบางจาก ปิโตรเลียม จำกัด(มหาชน)หรือ BCP แจ้งว่า ผลประกอบการปี 53 มีกำไรสุทธิ 2.81 พันล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 2.40 บาท ลดลงจากปี 52 ที่มีกำไร 7.52 พันล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 6.57 บาท หรือผลประกอบการลดลงเกิน 100%
ทั้งนี้ ในปี2553 ธุรกิจโรงกลั่นมีกำไรจาก Hedging และจากสต๊อกน้ำมันน้อยกว่าในปี2552 ทำให้EBITDAรวมของธุรกิจโรงกลั่นมีจำนวน 4,466 ล้านบาท ต่ำกว่าปีก่อนที่มี EBITDA ที่ 10,839ล้านบาท ขณะที่ธุรกิจโรงกลั่น มีค่าการกลั่นรวมทั้งสิ้น 6.09 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ต่ำกว่าปีก่อนที่มีค่าการกลั่นรวมถึง 12.76 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เนื่องจากปีก่อนมีกำไรจาก GRM Hedging สูงถึง 5.62 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และกำไรจากสต๊อกน้ำมัน 3.16 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล
ส่วนบริษัท ปตท. อะโรเมติกส์และการกลั่น จำกัด (มหาชน)หรือ PTTAR แจ้งว่า ปี 53 บริษัทมีกำไรสุทธิ 6.34 พันล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 2.14 บาท ลดลงจากปี 52 ที่มีกำไร 9.16 พันล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 3.09 บาท หรือผลประกอบการลดลงประมาณ 31% โดยสาเหตุที่กำไรสุทธิลดลงเป็นผลมาจากค่าการกลั่นที่ต่ำกว่าในปี 52 รวมทั้งส่วนต่างปิโตรเคมีที่แคบกว่าในช่วงดังกล่าว

***** BCP คาดรายได้ปีนี้แตะ 1.5-1.6 แสนลบ.
ดร.อนุสรณ์ แสงนิ่มนวล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ BCP กล่าวว่า คาดว่าแนวโน้มรายได้รวมในปีนี้จะเพิ่มขึ้นอยู่ที่เป็น 1.5-1.6 แสนล้านบาท จากปี 2553 ที่มีรายได้อยู่ที่ประมาณ 1.3 แสนล้านบาท ขณะที่ค่าการกลั่น(GRM) ในปีนี้ยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง โดยใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมาที่ประมาณ 6 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล หรือดีกว่า พร้อมทั้งประเมินว่ากำไรก่อนหักภาษี ดอกเบี้ยจ่าย และค่าเสื่อม (EBITDA) ในปีนี้สูงกว่าปี 2553 บนสมมติฐานว่า ราคาน้ำมันในตลาดโลกยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูง
ทั้งนี้บริษัทฯ ได้ปรับประมาณการราคาน้ำมันในตลาดโลกปีนี้เพิ่มขึ้นจากเดิม โดยคาดว่าราคาเฉลี่ยจะอยู่ที่ระดับ 95-100 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ปัจจัยที่จะส่งผลให้อัตรากำไรในปีนี้ปรับตัวดีขึ้น จากการที่บริษัทฯ จะมีกำลังการผลิตก๊าซ LPG เพิ่มขึ้น อีกทั้งยังมีการผลิตน้ำมันอากาศยานเพิ่มขึ้น โดยลดการขายน้ำมันดีเซลที่เคยส่งออกในสัดส่วน 40-50 ล้านลิตรต่อเดือน โดยลดลงเหลือเพียง 20 ล้านลิตรต่อเดือน ซึ่งจะสนับสนุนให้ค่าการกลั่นปรับตัวดีขึ้น
นอกจากนี้ ในส่วนของโรงกลั่นที่เกิดอุบัติเหตุเพลิงไหม้ในวันที่ 14 ม.ค.ที่ผ่านมา คาดว่าจะซ่อมแล้วเสร็จในวันที่ 6 มี.ค. โดยบริษัทฯ ได้มีการเลื่อนปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นเร็วขึ้นจากเดิม โดยลดจำนวนวันปิดซ่อมบำรุงเหลือแค่ 32 วัน ซึ่งลดลงจากเดิมที่ 38 วัน ซึ่งจะปิดซ่อมบำรุงในช่วงปลายเดือนก.พ. ถึงปลายเดือนมี.ค. โดยหากการซ่อมบำรุงแล้วเสร็จจะมีกำลังการกลั่นเพิ่มเป็น 1 แสนบาร์เรลต่อวัน โดยทั้งปีคาดว่าจะมีกำลังการกลั่นเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 92,000 บาร์เรลต่อวัน จากปี 2553 ที่มีกำลังการกลั่นเฉลี่ย 86,000 บาร์เรลต่อวัน ถือเป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยหนุนให้มาร์จิ้นปรับตัวดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม คาดว่าแนวโน้มรายได้ไตรมาส 1/2554 ของบริษัทฯ มีโอกาสลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน เนื่องจากได้รับผลกระทบจากกำลังการกลั่นที่ลดลง เนื่องจากไตรมาสนี้ บริษัทฯ จะมีการปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นจำนวน 32 วัน แต่
อย่างไรก็ดี ประเมินว่าแนวโน้มกำไรไตรมาส 1/2554 มีโอกาสจะดีกว่าช่วงเดียวกันปีก่อน เนื่องจากไตรมาสนี้บริษัทฯ มีโอกาสที่จะมีกำไรจากสต็อกน้ำมัน (Stock Gain) หลังจากแนวโน้มราคาน้ำมันโลกที่เพิ่มสูงขึ้น

***** ฟาร์อีสท์มองค่าการกลั่นปีนี้อยู่ที่ 6-7 เหรียญ/บาร์เรล
นักวิเคราะห์ บล.ฟาร์อีสท์ กล่าวว่า แนวโน้มผลประกอบการของบริษัทที่ทำธุรกิจโรงกลั่นในปีนี้ คาดว่าจะมีทิศทางปรับตัวดีขึ้นจากปี 2553 ที่ผ่านมา พร้อมทั้งประเมินว่าค่าการกลั่น(GRM) จะปรับตัวสูงขึ้นอยู่ที่ประมาณ 6-7 เหรียญต่อบาร์เรล ขณะที่ประเมินว่าแนวโน้มราคาน้ำมันในตลาดโลกเฉลี่ยจะปรับตัวสูงขึ้นอยู่ที่ 90-95 เหรียญต่อบาร์เรล เนื่องจากได้รับปัจจัยสนับสนุนจากความต้องการใช้น้ำมันปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น และแรงขยายตัวของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะประเทศผู้บริโภคหลักของโลก ประกอบด้วยจีนและอินเดียที่เศรษฐกิจมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งสหรัฐฯ ที่เศรษฐกิจมีการฟื้นตัวดีขึ้นในระยะสั้น
นอกจากนี้ ยังประเมินว่าสถานการณ์ของธุรกิจโรงกลั่นน่าจะปรับตัวดีขึ้นจากปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2553 ที่ความต้องการใช้อ่อนตัวลงค่อนข้างมาก จากความอ่อนแอของเศรษฐกิจสหรัฐฯ แต่ทั้งนี้ภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ เริ่มมีแนวโน้มดีขึ้นในช่วงปลายปี
กลยุทธ์การลงทุน แนะนำซื้อลงทุน ได้แก่ TOP ให้ราคาเหมาะสมปี 54 ที่ 84 บาท BCP ให้ราคาเหมาะสมปี 54 ที่ 20 บาท และ PTTAR ให้ราคาเหมาะสมที่ 42.50 บาท

***** โกลเบล็กแนะซื้อ PTTAR
บทวิเคราะห์บล.โกลเบล็ก ระบุว่า แนะนำซื้อ PTTAR ให้ราคาเป้าหมายปี 54 ที่ 47 บาท หลังบริษัทแจ้งกำไรสุทธิ 4Q53 ที่ 3,807 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 448%qoq และ 154%yoy และเมื่อรวมทั้งปีมีกำไรสุทธิในปี 53 ที่ 6,343 ล้านบาทลดลง 31%yoy กำไรสุทธิที่ลดลงเป็นผลจากการหดตัวของธุรกิจปิโตรฯโดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 2 และ 3 ซึ่งราคาและส่วนต่างปรับตัวลดลงอย่างมากเนื่องจากถูกกดดันจาก Supply ใหม่ที่เพิ่มขึ้นจากจีนและตะวันออกกลาง
ส่วนในปีนี้เราคาดว่ากำไรสุทธิของบริษัทจะกลับมาเพิ่มขึ้นโดยมีปัจจัยหนุนจากการเพิ่มขึ้นของค่าการกลั่นและส่วนต่างปิโตรฯซึ่งมีแรงกดดันจาก Supply ใหม่น้อยลง โดยเราคาดกำไรสุทธิในปีนี้ประมาณ 9,637 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 52%yoy และเมื่อวันที่ 24 ก.พ.54 ที่ประชุมคณะกรรมการมีมติให้ควบรวมกิจการระหว่าง PTTAR + PTTCH โดยมีอัตราส่วนการแลกหุ้น คือ 1 PTTAR แลกได้ 0.501296 หุ้นใหม่ และ 1 PTTCH แลกได้ 1.9801223 หุ้นใหม่ ซึ่งการควบรวมและการนำหุ้นใหม่เข้าจดทะเบียนคาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนส.ค. 54 คงคำแนะนำ 'ซื้อ' โดยมีราคาเป้าหมายปี 54 ที่ 47 บาท

***** เคจีไอ ยก TOP เป็นหุ้นเด่นในกลุ่ม
บทวิเคราะห์บล.เคจีไอ ระบุว่า คาดในไตรมาส 1/54 กลุ่มโรงกลั่น TOP จะรายงานกำไรจากการดำเนินงานเพิ่ม QoQ ในขณะที่ PTTAR จะรายงานกำไรด้อยกว่าจากการปิดซ่อมบำรุง เมื่อหักผลกระทบจากสินค้าคงคลัง เราคาดว่า TOP จะรายงานกำไรจากการดำเนินงานใน ไตรมาส 1/54 ดีต่อเนื่องจาก 1) การเปลี่ยนราคา LPG ในประเทศตั้งแต่วันที่ 14 ม.ค. 54 2) ส่วนต่างราคา middle distillate ที่เพิ่มขึ้น และ 3) ค่าส่วนต่างราคา PX และ BZ ที่สูงขึ้นตั้งแต่ต้นไตรมาสเป็นหลัก ในขณะที่ PTTAR จะรายงานกำไรด้อยกว่า เนื่องจากบริษัทฯ มีแผนปิดโรงกลั่น (AR1) เพื่อซ่อมบำรุงเป็นเวลา 39 วัน
ทั้งนี้ เชื่อว่าการปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นในสหรัฐฯ และยุโรปตามฤดูกาลจำนวน 8 ล้านบาร์เรลต่อวัน ที่ใกล้จะมาถึงจะเป็นประโยชน์ต่อค่าการกลั่นในปลายไตรมาส 1/54 ถึงต้น ไตรมาส 2/54 ก่อนความต้องการ น้ำมันเบนซินจะปรับเพิ่มขึ้นตามฤดูกาลขับขี่ในสหรัฐ จะผลักให้ค่าการกลั่นปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง ในระยะยาวเรายังคงมุมมองเชิงบวกต่อธุรกิจการกลั่นในปี 2554 และ 2555 เนื่องจากความต้องการใหม่ ๆ ยังคงสูงกว่ากำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ความต้องการที่สูงขึ้นในเอเชียแปซิฟิคและตะวันออกกลางยังจะสูงกว่า 1.0 ล้านบาร์เรลต่อวัน ต่อปีในช่วงปี 2554-2558 น่าสังเกตุว่าอุปทานที่เพิ่มขึ้นในปี 2539-2553 ที่ 5.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน จะสูงกว่าเป้ากำลังการผลิตใหม่ในช่วงปี 2554-2558 ถึง 2 เท่า
ขณะเดียวกันจากสูตรราคา LPG หน้าโรงงานใหม่ เราปรับเพิ่มสมมติฐานค่าการกลั่นของเราอีก US$0.3-0.5 ต่อบาร์เรลสำหรับ PTTAR และ TOP ทำให้ประมาณการกำไร สำหรับ TOP ของเราเพิ่ม 4.1-5.5% เป็น 12.8 พันล้านบาทในปี 2554 และ 14.4 พันล้านบาทในปี 2555 ในขณะเดียวกันประมาณการกำไรของ PTTAR ในปี 2554-2555 ก็ปรับเพิ่ม 2.6%-4.8% เป็น 9.6 - 11.5 พันล้านบาทด้วย
นอกจากนี้เรายังปรับเพิ่มประมาณการกำไรในปี 2553 ของเราสำหรับ TOP อีก 8.3% และสำหรับ PTTAR อีก 14.3% เพื่อสะท้อนกำไรจากสินค้าคงคลังและส่วนต่างราคา PX ที่สูงเกินคาดใน ไตรมาส4/53 เราปรับเพิ่มราคาเป้าหมายของเราเป็น 91.00 (จาก 86.50) บาทสำหรับ TOP และเป็น 43.00 (จาก 41.50) บาท สำหรับ PTTAR
ทั้งนี้ แม้ว่าการส่งออกน้ำมันดีเซลจากจีนอาจจะลดลง เรายังคงมุมมองที่เป็นบวกต่อแนวโน้มธุรกิจโรงกลั่นในระยะสั้น จากการปิดกำลังการผลิตจำนวนมากในสหรัฐฯ และยุโรป ซึ่งคาดว่าจะทำให้กำลังการผลิตหายไป 8 ล้านบาร์เรลต่อวัน ในทางตรงกันข้าม เราคาดว่าค่า PX ที่ผิดปกติในปัจจุบันจะมีโอกาสปรับลดลงมากกว่าปรับขึ้น ทำให้เราคงให้น้ำหนัก ‘เท่ากับตลาด’ สำหรับธุรกิจโรงกลั่นโดยมี TOP เป็นหุ้นเด่น


-----------------------------------------------------------------------------

Code 366 : 28/02/54 SET ไม่หลุด 977 แบงค์ก็ดันตลาดขึ้นมาอีกครั้ง

วันจันทร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2554

ATT Code : SET ไม่หลุด 977 แบงค์ก็ดันตลาดขึ้นมาอีกครั้ง

เมื่อเช้าวันศุกร์ที่ 25/02/54 มีแรงซื้อในกลุ่มแบงค์เข้ามาหลังจากกลุ่มนี้ลงมาเยอะ ทำให้ SET เปิดโดดไปประมาณ 4 จุด เปิดที่ระดับ981.54 จุด จากนั้นก็ Sideway ขึ้นลงไม่มาก ไม่ลงไปต่ำกว่าแนวรับที่สำคัญที่ 977 จุด โดยลงไป Low ที่ 978.54 จุด เมื่อไม่ต่ำกว่าแนวรับสำคัญ ก้ทำให้มีแรงซื้อเข้ามา ประกอบกับ HSKI บวกไป 400 กว่า ในช่วงบ่าย ทำให้ SET ขึ้นไป High ที่ 987.74 จุด ก่อนที่จะย่อลงมาปิดที่ 989.35 จุด บวกไป 8.69 จุด โดยกลุ่มที่ดัน SET ขึ้นไปก้คือกลุ่มแบงค์ ส่วนกลุ่มที่ดันตลาดลงมาก็คือกลุ่ม ปตท.

SET มีแรงขายออกมาแต่ก็ไม่ต่ำกว่าแนวรับหลักอยู่ที่ 977 ก็ทำให้มีแรงซื้อเข้ามาสามารถผ่านแนวต้านทั้ง 2 เส้น คือเส้น 10 วัน และ 25 วัน ที่ระดับ 982 และ 985 ได้

แนวโน้มในวันจันทร์ที่ 28/02/54 แนวต้านก้กลับไปเป็นแนวรับ คื่อที่ 982 และ 985 โดยมีแนวต้านที่ 990 และ 1000 จุด ช่วงนี้ตลาดสวิงค่อนข้างมาก ทำให้ ต้องดูแนวรับและแนวต้านต่างๆ ซึ่งถ้าผ่านก้ตามได้ ถ้าไม่ผ่านก็รอตามแนวรับต่อๆ ไป

***SET ไม่หลุด 977... ทำให้ตลาดก็พลิกกลับมาขึ้นมาดูดีอีกครั้ง พร้อมกับมี Indicators ต่างๆ +/- สลับกันไป

1. (+) MACD ยังคงตัดเส้น Signal ขึ้นมาอยู่ โดย MACD ขยับเข้ามาใหล้ศูนย์มากขึ้น.... มีสัญญาณที่ดีอยู่
2. (+) OBV ขึ้นไปที่ 619.... แสดงให้เห็นว่ามีแรงซื้อขายสะสมเพิ่มขึ้น
3. (-) CCI ลดลงมาจาก 36 ลงมาที่ 27 ลดลงมาเกือบ 10 ... แนวโน้มยังเป็นลบเหมือนเดิม
4. (-) เส้น ADX : DI+(27) ตัดเส้น DI-(30) โดย DI+ ตัด DI-ลงมาเหมือนเดิม ... แนวโน้มยังเป็นลบเหมือนเดิม
5. (+) Williams %R ลดลงมาจาก -37 ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ -23 ลบน้อยลง... แนวโน้มพลิกกลับมาเป็นบวกใหม่
6. (+) RSI ขึ้นมาจาก 46% มาอยู่ที่ 49%... แนวโน้มพลิกกลับมาเป็นบวกใหม่
7. (+/-) Fast Sto : %K ยังตัด %D ลงมาอยู่ แต่ %K แต่เพิ่มขึ้นจาก 63 ลงมาที่ 65... แนวโน้มยังทรงๆ

-----------------------------------------------------------------------------
MARKET WAVE Analysis
28 กพ. 54 ( +8.69 จุด ) โกมล พงศ์วิญญู เลขทะเบียน 18338

เกิน 987.74 ขึ้นต่อ 996 – 999 จุด
ดัชนีในวันศุกร์ ปรับตัวขึ้นมาแถวแนวต้านตามธรรมชาติของเส้นค่าเฉลี่ย 25 ชั่วโมงพอดี

จากนี้ไปถ้า เกิน 987.74 จุดสูงสุดวันศุกร์และเส้นค่าเฉลี่ย 25 ชั่วโมงได้ ดัชนีมีโอกาสปรับตัวกลับขึ้นไปแถว 996 – 999 ใกล้จุดสูงสุดเดิมของสัปดาห์ที่แล้ว

แต่ถ้าปรับตัวลง ต่ำกว่า 977.08 จุดต่ำสุดของวันพฤหัส ตลาดมีความเสี่ยงที่จะปรับตัวกลับลงไปแถว 950 – 960 ใกล้จุดต่ำสุดของสัปดาห์ที่แล้ว Below 977.08

หุ้นเด่น
SCB
ปรับตัวขึ้นมาแถวเส้นค่าเฉลี่ย 25 ชั่วโมงพอดีรอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 101.00 จุดสูงสุดวันศุกร์ และเส้นค่าเฉลี่ยดังกล่าว เป้าหมายสองสามวัน 103.00 – 104.00( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 100.00 )

KTB
ปรับตัวขึ้นมาแถวเส้นค่าเฉลี่ย 25 ชั่วโมงพอดีรอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 16.30 จุดสูงสุดวันศุกร์ และเส้นค่าเฉลี่ยดังกล่าว เป้าหมาย
สองสามวัน 16.80 – 17.10( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 16.00 )

10 อันดับซื้อขายสูงสุด
PTT ต่ำกว่า 343 ลง 338 -340
PTTCH แกว่งตัว 145 – 149
PTTEP แกว่งตัว 178.50 – 182.50
PTL ต่ำกว่า 21.60 ลง 20 - 21
CPF เกิน 24 ขึ้น 24.70 – 25
KBANK เกิน 115 ขึ้น 119 - 120
IRPC แกว่งตัว 5.40 – 5.65
BANPU เกิน 742 ขึ้น 750 - 754
IVL เกิน 43 ขึ้น 44 – 44.50
BBL เกิน 154 ขึ้น 157 - 160


-----------------------------------------------------------------------------
เงาหุ้น : PTTCH กับ PTTAR!!
โฟกัสหุ้น PTTCH และ PTTAR หลังชี้แจงแถลงไขแผนควบรวมกิจการกัน โดย บล.โกลเบล็ก แนะนำ "ซื้อ" ให้ราคาเป้าหมายปี 54 สูงสุดที่ 200 บาท

ตามด้วย บล.เกียรตินาคิน แนะนำ "ซื้อ" ให้มูลค่าที่เหมาะสม 198 บาท ตามด้วยกิมเอ็งกับกรุงศรีอยุธยา ให้มูลค่าพื้นฐานเท่ากับ 190 บาท ส่วนเคที ซีมิโก้ ให้ 189 บาท และทิสโก้ ให้ราคาเป้าหมาย 188 บาท

ทั้งนี้ บล.โกลเบล็ก ระบุว่า บริษัทแจ้งกำไรสุทธิไตรมาส 4 ปี 53 ออกมาตามคาด โดยมีกำไรสุทธิ 2,771 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36% จากไตรมาสก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น 24% จากงวดปีก่อน โดยรวมทั้งปี 53 มีกำไรสุทธิ 10,290 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 51% จากงวดปีก่อน ส่วนแนวโน้มไตรมาส 1 ปี 54 และทั้งปีนี้คาดว่าจะมีกำไรสุทธิ 17,660 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 79% จากงวดปีก่อน

ส่วนการควบรวมกิจการระหว่าง PTTCH + PTTAR เป็นไปตามที่คาดไว้ ใช้วิธี A + B = C โดยอัตราส่วนการแปลงหุ้น PTTCH จะมีต้นทุนของหุ้นใหม่ที่ 73.48 บาท และ PTTAR จะมีต้นทุนของหุ้นใหม่ที่ 74.307 บาท PTTCH จึงถูกกว่า ขณะที่ประเมินราคาเหมาะสมของหุ้นใหม่ที่ 91 บาท อิง PE 15 เท่า และ EPS ของหุ้นใหม่ที่ 6 บาท จึงมี Upside จากราคาปัจจุบันถึง 23.8% จึงคงคำแนะนำ "ซื้อ" ให้ราคาเป้าหมายปี 54 ที่ 200 บาท

บล.ทิสโก้ แนะนำ "ซื้อ" PTTAR ราคาเป้าหมาย 43 บาท และ PTTCH 188 บาท ระบุว่า บริษัทกล่าวว่าการรวมกิจการครั้งนี้จะสร้างประโยชน์ ราว 80-154 ล้านเหรียญฯต่อปี หรือคิดเป็น 15-28% ของผลประกอบการ

ทั้ง 2 บริษัทรวมกันปี 53 หรือ 10-19% สำหรับประมาณการผลประกอบการปี 54 โดยทิสโก้เห็นว่าข่าวควบรวมกิจการนี้ จะเป็นปัจจัยกระตุ้นราคาหุ้นทั้งสองบริษัท แต่ด้วยอัตราส่วนแลกหุ้น เรายังชอบ PTTCH มากกว่า PTTAR

ขณะที่บทวิเคราะห์ บล.ธนชาต เชียร์ซื้อ PTTAR และ PTTCH ช่วงราคาอ่อนตัว โดยหากเทียบกับระดับราคาปิดเมื่อวันที่ 24 ก.พ. ถือว่า PTTAR และ PTTCH ไม่มี Upside แต่หากเทียบในเชิงการแลกหุ้นแล้ว ถือว่า PTTAR ได้เปรียบ

แถมยังแนะนำซื้อต่อเนื่อง หุ้น PTTEP โดยประเด็นบวกในช่วงสั้นๆ ยังมาจากการหนุนของราคาน้ำมันดิบที่พุ่งขึ้น!!

อินเด็กซ์ 51

-----------------------------------------------------------------------------
EFinance Thai : THAI โชว์หรู ข่าวดีรุม

THAI สุดหรู โบรกฯ เชียร์ซื้อ หลังโชว์กำไรปี 53 ทะยานแตะ 1.53 หมื่นลบ. แถมบอร์ดอนุมติจัดหาเครื่องบินใหม่ภายในปี 54-60 เพิ่มอีก 37 ลำ พร้อมอนุมัติออกหุ้นกู้วงเงิน 8 พันล้านบาท "ปิยสวัสดิ์" คาดปีนี้ กวาดรายได้รวม 2 แสนลบ. บล.ฟิลลิป ให้ราคาพื้นฐานที่ 47.50 บาท

แม้สถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวสูงอย่างต่อเนื่อง จากเหตุการณ์ความรุนแรงในตะวันออกกลาง แต่ราคาหุ้นบริษัท การบินไทย จำกัด มหาชน (THAI) เมื่อวันที่ 25 ก.พ. 54 ยังปรับตัวเพิ่มขึ้นได้โดยราคาปิดตลาด อยู่ที่ 37.25 บาท เพิ่มขึ้น 0.75 บาท หรือ 2.05% มูลค่าการซื้อขาย 548.19 ล้านบาท ทั้งนี้ เพราะ THAI ส่งสัญญาณที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก

* THAI ปลื้มกำไรปี 53 กระฉูดแตะ 1.53หมื่นลบ. เหตุ รายได้จากทุกส่วนปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 7.7-45.9%
บริษัท การบินไทย จำกัด(มหาชน)หรือ THAI แจ้งว่า ในปี 53 ที่ผ่านมาบริษัทมีกำไรสุทธิ 1.53 หมื่นล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 8.39 บาท เพิ่มขึ้นจากปี 52 ที่มีกำไร 7.34 พันล้านบาท หรือคิดเป็นกำไรต่อหุ้น 4.32 บาท

ทั้งนี้ กำไรที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวมาจาก รายได้จากการขายหรือการให้บริการที่เพิ่มขึ้น โดยในปี 53 บริษัทมีรายได้จากการขายและการให้บริการทั้งสิ้น 1.8 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 52 จำนวน 1.89 หมื่นล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 11.7% นอกจากนี้มีรายได้จากกิจการขนส่งจำนวน 1.73 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.92 หมื่นล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 12.5%

ขณะเดียวกันบริษัทมีรายได้จากค่าโดยสารและน้ำหนักส่วนเกินรวมทั้งสิ้น 1.44 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.03 หมื่นล้านบาท หรือ 7.7% โดยมีสาเหตุหลักมาจากความต้องการเดินทางที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเป็นผลจากเศรษฐกิจโลกที่เริ่มฟื้นตัว

ทั้งนี้ บริษัทมีรายได้จากค่าระวางขนส่งและค่าไปรษณีภัณฑ์ทั้งสิ้น 2.82 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.88 พันล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 45.9% และมีรายได้จากบริการอื่นๆจำนวน 7.49 พันล้านบาท ลดลง 280 ล้านบาท หรือลดลง 3.6%

นอกจากนี้ บริษัทมีดอกเบี้ยรับ 185 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7 ล้านบาท หรือ 3.9% เนื่องจากเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดเฉลี่ยสูงกว่าปีก่อน อย่างไรก็ตาม บริษัทมีค่าใช้จ่ายรวมทั้งสิ้น 1.66 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.09 หมื่นล้านบาท หรือ 7%

*บอร์ด THAI ไฟเขียวจัดหาเครื่องบินใหม่ภายในปี 54-60 เพิ่มอีก 37 ลำ พร้อมอนุมัติออกหุ้นกู้วงเงิน 8 พันล้านบาท จ่ายปันผลปี 53 1.25บาท/หุ้น
นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI กล่าวต่อว่า คณะกรรมการบริษัทฯ ได้มีมติอนุมัติโครงการจัดหาเครื่องบินปี 2554-2560 จำนวน 37 ลำ รวมวงเงินประมาณ 2.16 แสนล้านบาท ซึ่งขณะนี้ยังไม่ได้กำหนดรุ่นของเครื่องบิน ประกอบด้วยเครื่องบินลำตัวแคบ จำนวน 11 ลำ และเครื่องบินลำตัวกว้าง สำหรับเส้นทางการบินข้ามทวีปและเส้นทางบินภูมิภาค จำนวน 26 ลำ และอนุมัติโครงการจัดหาเครื่องบินปี 2561-2565 โดยแบ่งเป็นเครื่องบินลำตัวกว้าง สำหรับเส้นทางบินข้ามทวีป และเส้นทางบินภูมิภาค จำนวน 38 ลำ รวมวงเงินประมาณ 2.41 แสนล้านบาท พร้อมทั้งเครื่องยนต์สำรอง ประกอบด้วยการจัดหาเครื่องบินแบบ Firm Order จำนวน 21 ลำ และจัดหาแบบ Option Order จำนวน 11 ลำ โดยโครงการการจัดหาเครื่องบินเป็น 2 ช่วงดังกล่าว ได้แก่ ช่วงปี 2554-2560 และช่วงปี 2561-2565 เพื่อทดแทนปลดระวางเครื่องบินเก่า โดยตามแผนจะส่งให้ในปี 2561 บริษัทฯ มีฝูงบินเพิ่มเป็น 105 ลำ จากปัจจุบันที่มีอยู่ 85 ลำ โดยเป้าหมายในการจัดหาเครื่องบินครั้งนี้จะส่งผลให้ฝูงบินของบริษัทฯมีอายุเฉลี่ยของสายการบินลดลงจากปี 53 ที่ 11.9 ปี เป็น 8.5 ปี โดยเฉลี่ยในปี 2560

นอกจากนี้คณะกรรมการบริษัทฯได้อนุมัติโครงการจัดหาเครื่องบินบรรทุกสินค้าของฝ่ายการพาณิชย์สินค้าและไปรษณียภัณฑ์ โดยจัดหาเครื่องบินขนส่งผู้โดยสารแบบโบอิ้ง 747-400 อายุ 15-20 ปี จำนวน 2 ลำ มาดัดแปลงเป็นเครื่องบินขนส่งสินค้า คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จและนำมาให้บริการประมาณไตรมาส 2/2555

ขณะเดียวกันมีมติกำหนดการออกและการเสนอขายหุ้นกู้ในประเทศ วงเงิน 8 พันล้านบาท ในเดือนพฤษภาคมปีนี้ โดยมีมติแต่งตั้งธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)(BBL) และธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)(KBANK) เป็นที่ปรึกษาและจัดจำหน่าย โดยการออกหุ้นกู้ดังกล่าวเป็นไปตามนโยบายกระจายความเสี่ยงของแหล่งเงิน จากปัจจุบันที่บริษัทฯมีอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลอยตัว ซึ่งอยู่ในสัดส่วนที่ต่ำกว่าเงินกู้ที่มีอัตราดอกเบี้ยคงที่

สำหรับเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ดังกล่าวจะนำไปใช้ในการคืนหนี้เงินกู้ที่มีอัตราดอกเบี้ยสูง พร้อมทั้งในปีนี้บริษัทฯยังมีหุ้นกู้จำนวน 6 พันล้านบาท ที่จะครบอายุ อีกทั้งเพื่อรองรับแผนการลงทุนใหม่ นอกจากนี้บริษัทฯยังได้รับเงื่อนไขจากธนาคารทั้งสองแห่ง โดยได้อัตราดอกเบี้ยที่ดีกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้

ด้านนายกวีพันธ์ เรืองผกา รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สายการเงินและการบัญชี บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI เปิดเผยว่า วงเงินจากหุ้นกู้จำนวน 8 พันล้านบาทที่บริษัทฯมีแผนที่จะเสนอขายในเดือนพฤษภาคม จะประกอบด้วยหุ้นกู้อายุ 5 ปี อายุ 7 ปีและอายุ 10 ปี โดยมีอัตราดอกเบี้ยที่คงที่ โดยอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 5 ปีจะอยู่ที่ประมาณ 6.75% ทั้งนี้ภายหลังการออกหุ้นกู้ดังกล่าวจะส่งผลให้บริษัทฯมีวงเงินครอบคลุมความต้องการใช้เงินที่บริษัทฯวางไว้ในช่วงปี 2553-2557 จำนวน 3.5 หมื่นล้านบาท หลังจากในปี 2553 บริษัทฯได้มีการกู้เงินแล้วจำนวน 2.7 หมื่นล้านบาท

นายปิยสวัสดิ์ กล่าวด้วยว่า ปัจจุบันบริษัทฯอยู่ระหว่างการทบทวนราคาที่จะเสนอซื้อหุ้นสายการบินนกแอร์ จากธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)(KTB) จากเดิมที่บริษัทฯได้ยื่นเสนอซื้อในราคา 30 บาทต่อหุ้น หลังจากปัจจุบันราคาน้ำมันมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันสายการบินนกแอร์ไม่ได้มีการทำประกันความเสี่ยงราคาน้ำมัน (Hedging) เมื่อเทียบกับบริษัทฯที่ได้มีการทำประกันความเสี่ยงราคาน้ำมันปัจจุบันที่ 40-50% แม้การทำประกันความเสี่ยงดังกล่าวก็ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่เพิ่มสูงขึ้น อีกทั้งสายการบินนกแอร์ยังมีแผนที่จะเพิ่มฝูงบิน ซึ่งจำเป็นที่จะต้องใช้เงินในการจัดหาเครื่องบินเพิ่ม ส่งผลให้มีโอกาสที่จะให้สายการบินนกแอร์เพิ่มทุน

'บริษัทฯ ได้เสนอซื้อหุ้นสายการบินนกแอร์ในราคา 30 บาทต่อหุ้นกับธนาคารกรุงไทย ซึ่งยังไม่มีความคืบหน้าและตอนนี้บริษัทฯเริ่มลังเล หลังราคาน้ำมันเริ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนกแอร์ไม่มีการทำ Hedging แม้บริษัทฯได้ทำ Hedging ไว้แล้วก็ยังได้รับผลกระทบ ตอนนี้บริษัทฯกำลังทบทวนตัวเลขที่จะเสนอซื้อหุ้นสายการบินนกแอร์ ณ ตอนนี้บริษัทฯยังไม่ได้มีการปรับตัวเลขที่ทำไว้เพราะนกแอร์อาจมีความจำเป็นต้องเพิ่มทุนเพื่อใช้เงินในการเพิ่มฝูงบินตามแผนที่วางไว้' นายปิยสวัสดิ์ กล่าว

อนึ่ง คณะกรรมการ THAI อนุมัติจ่ายปันผลปี 53 อัตรา 1.25บาท/หุ้นกำหนดจ่าย 20 พ.ค.

* บิ๊ก THAI คาดปีนี้ กวาดรายได้รวม 2 แสนลบ. เพิ่มขึ้นจากปี 53 ที่มีรายได้รวม 1.84 แสนล้านบาท
นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI เปิดเผยว่า บริษัทฯคาดว่าแนวโน้มรายได้รวมในปีนี้จะอยู่ที่ประมาณ 2 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 53 ที่มีรายได้รวม 1.84 แสนล้านบาท พร้อมทั้งประเมินว่าอัตราบรรทุกผู้โดยสาร (Cabin Factor) เฉลี่ยทั้งปีจะอยู่ที่ 74% โดยในช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา Cabin Factor อยู่ในระดับที่ดีที่ 77.8%

อย่างไรก็ดีหากแนวโน้มราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น และบริษัทฯสามารถปรับราคาขายตั๋วเครื่องบินเพิ่มขึ้นได้ ก็จะส่งผลให้รายได้เพิ่มขึ้น แต่สิ่งที่สำคัญ คือ ราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง มาจากปัญหาความรุนแรงในลิเบีย โดยล่าสุดวานนี้น้ำมันอากาศยานปรับตัวเพิ่มขึ้น 130 เหรียญต่อบาร์เรล ซึ่งยังคงมีความกังวลว่าหากสถานการณ์ยังลุกลามไปยังประเทศอื่นต่อไปอาจส่งผลต่อบริษัทได้

อย่างไรก็ตามปัจจุบันบริษัทฯทำประกันความเสี่ยงราคาน้ำมันไว้ที่ประมาณ 40-50% โดยในช่วงเดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์จะได้รับเงินจากการทำประกันความเสี่ยงราคาน้ำมันประมาณ 250 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยบรรเทาผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น
ทั้งนี้ บริษัทฯคาดว่าแนวโน้มกำไรก่อนหักภาษีเงินได้ และก่อนกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศจะดีขึ้นจากปีก่อนที่มีกำไรที่ 8,417 ล้านบาท หลังจากในปีนี้

สถานการณ์การเมืองภายในประเทศไม่มีความรุนแรงเหมือนช่วงไตรมาส 2/53 ที่ผ่านมา อย่างไรก็ดีปัจจัยที่มีผลกระทบมากกว่าสถานการณ์การเมืองภายในประเทศขณะนี้ คือ สถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในลิเบีย ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันในตลาดโลก

ส่วนการปรับราคาขายตั๋วเครื่องบิน บริษัทฯยังคงต้องติดตามรอดูสถานการณ์ความรุนแรงในช่วง 2-3 วันข้างหน้าก่อนที่จะมีการพิจารณาและตัดสินใจ

สำหรับการพิจารณาการทำประกันป้องกันความเสี่ยงราคาน้ำมัน (Hedging) บริษัทฯจะพิจารณาทำเพิ่มเติมหรือไม่ต้องรอดูสถานการณ์ต่อไป เนื่องจากหากมีการทำ Hedging ในช่วงที่ราคาน้ำมันอยู่ในระดับสูง และราคามีการปรับตัวลดลงก็ถือว่ามีความเสี่ยง

* ฟิลลิป แนะซื้อ THAI ให้ราคาพื้นฐานที่ 47.50 บาท
บทวิเคราะห์บล.ฟิลลิป ระบุว่า ปริมาณการขนส่งผู้โดยสารและสินค้าใน 4Q53 เติบโต 0.69% และ 17.17% YoY มาอยู่ที่ 14,469 ล้านคน/กม. และ 778 ล้านตัน/กม. และมี Cabin Factor และ Freight Factor อยู่ที่ 73.83% และ 60.40% ตามลำดับ คาดรายได้ค่าโดยสารลดลง 1% YoY ซึ่งเป็นผลจากเงินบาทที่แข็งค่า แต่รายได้ค่าระวางขนส่งเพิ่มขึ้น 20.02% ส่วนรายได้ค่าไปรษณีย์ภัณฑ์และกิจการอื่นๆ คาดลดลง 3.74% และ 0.07% ทำให้รายได้รวมเพิ่มขึ้น 1.73% YoY เป็น 48,533.35 ล้านบาท ต้นทุนคาดปรับตัวขึ้น 1.65% โดยค่าใช้จ่ายซ่อมบำรุงลดลง 21.97% แต่ค่าเช่าเครื่องบินเพิ่มขึ้น 169.69% จากการเช่าเครื่องบิน 5 ลำ ค่าใช้จ่ายขาย/บริหารเพิ่มขึ้น 59% โดยหลักมาจากค่าใช้จ่ายบุคลากรโต 102.99% จากการจ่ายโบนัสพนักงานเพิ่มขึ้นและค่าใช้จ่ายเกษียณอายุก่อนกำหนดอีกราว 2,000 ล้านบาท รายได้อื่นลดลงแม้จะมีเงินชดเชยการส่งมอบเครื่องบินของ Airbus ล่าช้าที่ 400 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายอื่นจะมีการกลับรายการที่บันทึกการฟ้องร้องที่ EU เข้ามา 1,600 ล้านบาท แต่คาดจะมีการตั้งด้อยค่าสินทรัพย์อีกราว200 ล้านบาท และเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นคาดจะมีกำไรอัตราแลกเปลี่ยนที่ราว 1,700 ล้านบาทจึงคาดว่าจะมีกำไรสุทธิที่ 3,259.10 ล้านบาท ลดลง 63.43% YoY หากไม่นับรวมรายการพิเศษต่าง ๆ จะมีกำไรที่ 1,759.10 ล้านบาท และคาดจะจ่ายปันผลของปีที่ 1.25 บาท ซึ่งเป็นปันผลจากกำไรไม่รวมอัตราแลกเปลี่ยน

จากคาดการณ์ใน 4Q53 ทำให้กำไรสุทธิทั้งปีอยู่ที่ 15,671.94 ล้านบาท โดยมีกำไรก่อนอัตราแลกเปลี่ยนที่ 7,609.15 ล้านบาท สูงกว่าคาดที่ 6,252.88 ล้านบาท จากรายการพิเศษต่างๆที่เข้ามาส่วนในปี 2554 ยังคาดกำไรก่อนอัตราแลกเปลี่ยนที่ 11,521.53 ล้านบาท โดยใน 1Q54 ยังมีแนวโน้มดีจากเดือน ม.ค. ที่มี Cabin Factor ราว 78% และมี Yield/คน/กม. รวมค่าธรรมเนียมน้ำมันเพิ่มขึ้นเป็น 2.80 บาท เทียบกับปีก่อนที่ 2.77 บาท ส่วนยอด booking ในเดือน ก.พ. และ มี.ค. อยู่ที่ 75% และ 52% อย่างไรก็ตาม คงต้องติดตามการชุมนุมประท้วงที่ทำให้ต้องมีการประกาศ พรบ. ความมั่นคงในบางเขตของกรุงเทพฯ อิง P/CF ที่ 3.25 เท่า ราคาพื้นฐานที่ 47.50 บาท ยังคงแนะนำ “ซื้อ”

* โบรกฯ ประเมินผลงานQ1/54 THAI ยังเติบโตดี แต่ชี้ น้ำมันโลกแพงปัจจัยเสี่ยง
นายสมชาย เอนกทวีผล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส เปิดเผยว่า จากการประกาศผลประกอบการของ บมจ.การบินไทย ในปี 2553 ที่เติบโตเป็นที่น่าพอใจ โดยเบื้องต้นประเมินว่าผลประกอบการในไตรมาส 1/54 จะออกมาเติบโตดีขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน โดยบริษัทฯได้ประเมินราคาพื้นฐานไว้ที่ 50 บาท แต่ทั้งนี้ ยังไม่ได้รวมสมมติฐานราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากปัญหาเหตุความไม่สงบทางการเมืองของประเทศแถบตะวันออกกลาง ซึ่งหากราคาน้ำมันตลาดโลกยังอยู่ระดับ 100 ดอลลาร์/บาร์เรล ประมาณ 2-3 สัปดาห์หลังจากนี้ คงอาจจะต้องมีการปรับราคาพื้นฐานใหม่ เพราะจะกระทบต่อต้นทุนของผลการดำเนินงานบริษัทฯในอนาคต

ด้านนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.โกลเบล็ก กล่าวว่า ความกังวลที่มีต่อการดำเนินธุรกิจในกลุ่มขนส่ง โดยเฉพาะ THAI ที่มีภาระต้นทุนจากน้ำมันเป็นปัจจัยสำคัญ โดยแนวโน้มราคาน้ำมันมีความผันผวนที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งจะมีผลกำไรของบริษัทฯได้ เนื่องจากราคาจำหน่ายตั๋วในแต่ละช่วง จะถูกคำนวณสมมติฐานราคาน้ำมันและอัตรากำไรต่อหน่วยที่ตั้งเป้าไว้ ดังนั้นเมื่อราคาค่าตั๋วไม่สามารถขยับขึ้นได้ หรือปรับขึ้นในอัตราที่ต่ำ ย่อมมีผลกดดันต่อต้นทุนและกำไรของ THAI ได้

ส่วนมุมมองด้านการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ และการเติบโตของเศรษฐกิจเอเชียจะผลัดดันให้การเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยมากขึ้น จนส่งผลบวกต่อการดำเนินงานหรือไม่นั้น มองว่า สถานการณ์เรื่องน้ำมันเป็นปัจจัยใหญ่ปัจจัยหนึ่งที่มีผลต่ออัตราเงินเฟ้อทั่วทั้งโลก ขณะที่แนวโน้มรายได้ของประชากรกลับมีมูลค่าที่ลดลง จึงเหมือนไม่เป็นการสนับสนุนการเดินทางเพื่อการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวต่างชาติมากนัก

*ฟาก เคจีไอ ชี้ ราคาน้ำมันไม่ใช่ปัญหา เนื่องจาก THAI การทำสัญญาซื้อน้ำมันล่วงหน้า
บทวิเคราะห์บล.เคจีไอ ระบุว่า ไตรมาส 1/54 เป็นอีกไตรมาสที่ THAI จะมีผลประกอบการดี เนื่องจาก i) passenger yield ในเดือน ม.ค. เพิ่มอย่างมีนัยสำคัญจาก 2.20 บาทต่อ RPK โดยเฉลี่ย (รวม fuel surcharge 2.62 บาทต่อ RPK) ใน ไตรมาส 4/53 เป็น 2.42 บาทต่อ RPK (รวม fuel surcharge 2.80 บาทต่อ RPK) ii) Cabin factor ในเดือน ม.ค. อยู่ที่ 78% เพิ่มขึ้นจาก 75% ในเดือน ธ.ค. นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังไม่มีค่าใช้จ่ายการขายและการบริหารพิเศษ (แผนเกษียณก่อนอายุและเงินโบนัสพนักงาน) ดังนั้นกำไรของบริษัทฯ ในไตรมาส 1/54 จึงควรดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 4/53

ทั้งนี้ แม้ว่าราคาน้ำมันดิบจะปรับตัวเพิ่มใน ไตรมาส 1/54 แต่ยังเชื่อว่าความเสี่ยงด้านราคาน้ำมันไม่ใช่ปัญหาสำคัญต่อผลประกอบการของ THAI เนื่องจากการทำสัญญาซื้อน้ำมันล่วงหน้าและ fuel surcharge เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการควบคุมความเสี่ยงดังกล่าว จากข้อมูลของบริษัทฯ ปัจจุบัน THAI มีสัญญาซื้อน้ำมันล่วงหน้าอยู่ประมาณ 51% และ 41% ของปริมาณที่ต้องใช้ใน ไตรมาส 1/54 และ 2Q54 ตามลำดับ ราคาน้ำมันเครื่องบินเฉลี่ยที่ THAI ซื้อล่วงหน้าไว้อยู่ที่ประมาณ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในขณะที่ราคาน้ำมันเครื่องบินในปัจจุบันอยู่ที่ราว 115 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังปรับเพิ่ม fuel surcharge เพื่อชดเชยราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นดังที่เราได้กล่าวไว้ก่อนหน้าว่า fuel surcharge ในเดือน ม.ค. อยู่ที่ประมาณ 0.38 บาทต่อ RPK

จากแนวโน้มที่ดีขึ้นใน ไตรมาส 1/54 ยังคงแนะนำ ‘ซื้อ’ โดยมีราคาเป้าหมายที่ 60.00 บาท ราคาเป้าหมายดังกล่าวได้จากค่า 11PB ที่ 1.4 เท่า คิดเป็น +2 standard deviation ของค่าเฉลี่ยในระยะยาว (ปี 2550 – จนถึงปัจจุบัน)

-----------------------------------------------------------------------------

Code 365 : 25/02/54 น้ำมันยันอยู่ แต่ SET ต้านแรงขายไม่ไหว... จุดสำคัญอยู่ที่ 977 จุด

วันศุกร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ 2554

ATT Code : น้ำมันยันอยู่ แต่ SET ต้านแรงขายไม่ไหว... จุดสำคัญอยู่ที่ 977 จุด


เมื่อเช้าวันพฤหัสที่ 24/02/54 ยังมีแรงซื้อเข้ามาใหกลุ่มน้ำมัน ทำให้ SET โดดบวกประมาณ 5 จุด ไปเปิดที่ระดับ 996.25 จุด แต่ก็ขึ้นไปได้อีกนิดหน่อยก็เริ่มตื้อๆ โดยขึ้นไป High แค่ที่ 997.28 ขึ้นไปแค่ 1 จุดเอง และพอ SET ไหลหลุด 990 ที่เส้น 75 วัน ลงมา ก็ไหลลงมาตลอดเลย ในช่วงบ่ายพอมีข่าวเรื่องควบรวม PTTCH กับ PTTAR ออกมา ก้มีการ Sell on fact ทั้ง 2 ตัวออกมา ก็ยิ่งกดดันให้ SET ไหลลง หลุดเส้น 25 วัน และ 10 วัน ที่ 985 และ 982 ตามลำดับ จนกดดันให้ SET ลงมาให้แนวรับที่สำคัญ คือเส้น BB Avg อยู่ที่ 976.87 โดยลงมาปิดที่ 977.22 ลบไป 13.69 จุด ตามภูมิภาค แต่ PTT กับ PTTEP ยังยันราคาไว้ได้อยู่ ส่วนนอกนั้นร่วงกราวเลย

วันนี้หลุดแนวรับทั้ง 3 เส้นเลย ทำให้แนวโน้มดูไม่ดี แต่แนวรับหลักก็ยังสามารถรับได้อยู่อย่างฉิวเฉียด ที่ 977 จุด

แนวโน้มในวันศุกร์ที่ 25/02/54 มีแนวรับที่สำคัญยัญอยู่ที่เส้น BB Avg อยู่ที่ 977 และ 969 ที่เป็น high ของวันที่ 14/02/54 ส่วนแนวต้านก็จะมาอยู่ที่เส้น 10และ 25 วัน ที่ระดับ 982 และ 985 ตามลำดับ แต่ก็ยากส์ที่จะขึ้นไปถึง 990 อีกครั้ง

***ถ้าหลุด 977... SET ก็จะพลิกกลับมาเป็นขาลงอีกครั้ง พร้อมกับมี Indicators ต่างๆ พลิกกลับมาเป็นลบใหม่ ทั้ง 7 ตัว

1. (+/-) MACD ยังคงตัดเส้น Signal ขึ้นมาอยู่ แต่เริ่มลบมากขึ้น.... มีสัญญาณที่ทรงๆ
2. (-) OBV ลงไปที่ 655.... แสดงให้เห็นว่ามีแรงซื้อสะสมลดลง
3. (-) CCI ลดลงมาจาก +77 ขึ้นไปที่ +36 ลดลงมาเกือบ 30 ... แนวโน้มพลิกกลับมาเป็นลบใหม่
4. (-) เส้น ADX : DI+(29) ตัดเส้น DI-(32) โดย DI+ ตัด DI-ลงมาแล้ว ... แนวโน้มพลิกกลับมาเป็นลบใหม่
5. (-) Williams %R ลดลงมาจาก -15 ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ -37 ลบเพิ่มมากขึ้น... แนวโน้มพลิกกลับมาเป็นลบใหม่
6. (-) RSI ขึ้นมาจาก 51% มาอยู่ที่ 46%... แนวโน้มพลิกกลับมาเป็นลบใหม่
7. (-) Fast Sto : %K ตัด %D ลงมาแล้ว โดย %K แต่ลดลงจา84 ลงมาที่ 63... แนวโน้มพลิกกลับมาเป็นลบใหม่
-----------------------------------------------------------------------------
เงาหุ้น : โฟกัส CPALL!!
ดัชนีหุ้นวันที่ 23 ก.พ.54 ปิดที่ 977.22 จุด ลดลง 13.69 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 32,803.35 ล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิ 1,115.55 ล้านบาท

หุ้นที่มีการซื้อขายสูงสุด นำโดย IRPC ปิดที่ 5.50 บาท ลดลง 0.10 บาท, PTT ปิดที่ 340 บาท เพิ่มขึ้น 1 บาท, PTTEP ปิดที่ 184 บาท เพิ่มขึ้น 4 บาท, PTTCH ปิดที่ 145.50 บาท ลดลง 4.50 บาท, TOP ปิดที่ 72.25 บาท ลดลง 2.25 บาท

ฝ่ายวิเคราะห์ บล.ฟิลลิป ชี้หุ้นไทยผันผวนขึ้น-ลงแรง มีแรงซื้อหุ้นพลังงาน รับอานิสงส์ราคาน้ำมันปรับตัวสูง จากผลกระทบจากความวุ่นวายของประเทศต่างๆในตะวันออกกลาง แต่กลับมีแรงขายทำกำไร หุ้น PTTAR และ PTTCH หลังมีข่าวมติการควบรวมของทั้ง 2 บริษัท ซึ่งเป็นประเด็นต้องติดตาม

มองแนวโน้มตลาดระยะสั้น คาดว่าจะยังคงผันผวนและแกว่งตัวในทิศทางขาลง เนื่องจากยังคงมีปัญหาเงินเฟ้อที่นักลงทุนส่วนใหญ่วิตกกังวลว่าจะส่งผลต่อเศรษฐกิจ หลังราคาน้ำมันในตลาดโลกทะยานต่อเนื่องจากความขัดแย้งในประเทศตะวันออกกลาง โดยเฉพาะลิเบียที่ยังไม่มีความคืบหน้าในทิศทางเชิงบวก เป็นประเด็นที่นักลงทุนต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะส่งผลโดยตรงต่อทิศทางราคาน้ำมันและตลาดหุ้นทั่วโลก

แนะกลยุทธ์การลงทุน แนะเก็งกำไร 30% ของพอร์ต โดยเน้นหุ้นรายตัวที่ผลประกอบการดีและมีเงินปันผลสูง ด้านเทคนิคประเมินแนวรับไว้ที่ 970-965 จุด ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 986-990 จุด

โฟกัสหุ้นรายตัวหุ้น CPALL แทบทุกโบรกฯแนะซื้อ ยกเว้น บล.เกียรตินาคิน แนะ "ถือ" ให้ราคาเป้าหมายปี 54 ที่ 39 บาท ขณะที่ ซิกโก้ แนะ "ซื้อ" ให้ราคาเหมาะสมที่ 53 บาท, ยูไนเต็ดให้เป้าหมาย 49.25 บาท, กิมเอ็งให้ 49 บาท, ดีบีเอสวิคเคอร์สให้ 48.50 บาท, ฟินันเซีย ไซรัส ให้ 48 บาท, กรุงศรีอยุธยาให้ 46.58 บาท, ทิสโก้ 46 บาท และทรีนีตี้ ให้ราคาเป้าหมาย 40 บาท

ปิดท้ายมีข่าว "ประสิทธิ์ ศรีสุวรรณ" รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บล.คันทรี่ กรุ๊ป ประเมินตลาดหุ้นไทยปีนี้ยังมีแนวโน้มขยับตัวขึ้นต่อเนื่อง โดยฝ่ายวิจัยยังคงคาดว่าดัชนีหุ้นปีนี้จะไต่ระดับขึ้นไปได้ถึง 1,200 จุด และมีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันประมาณกว่า 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะทำให้รายได้นายหน้าค้าหลักทรัพย์ดีขึ้นตามไปด้วย!!

อินเด็กซ์ 51
-----------------------------------------------------------------------------
MARKET WAVE Analysis
25 กพ. 54 ( -13.69 จุด ) โกมล พงศ์วิญญู เลขทะเบียน 18338

ต่ำกว่า 977.08 มีโอกาสปรับตัวลงต่อ …
ดัชนีในวันพฤหัส ปรับตัวลงมาบริเวณแนวรับตามธรรมชาติของเส้นค่าเฉลี่ย 25 วันพอดี

แนวโน้มในวันศุกร์นี้ตราบใด ไม่ต่ำกว่า
977.08 จุดดต่ำสุดของวันพฤหัส ดัชนีมีโอกาสปรับตัวกลับขึ้นไปแถว 985 - 990 ใกล้บริเวณแนวต้านตามธรรมชาติของเส้นค่าเฉลี่ย 25 ชั่วโมง

อย่างไรก็ตามการปรับตัวลง ต่ำกว่า977.08 จุดต่ำสุดของวันพฤหัส ตลาดมีความเสี่ยงที่จะปรับตัวกลับลงไปแถว 950 – 960 ใกล้
จุดต่ำสุดของสัปดาห์ที่แล้ว สำหรับภาพสัปดาห์หน้า

หุ้นเด่น
PTTEP
ยังสามารถปรับตัวอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ย 25 วันได้ รอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 185.00จุดสูงสุดวันพฤหัส เป้าหมายสองสามวัน190.50 – 194.50( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 182.00 )

10 อันดับซื้อขายสูงสุด
IRPC ต่ำกว่า 5.40 ลง 5.20 – 5.30
PTT ต่ำกว่า 339 ลง 335 - 337
PTTEP รายละเอียดใน “หุ้นเด่น”
PTTCH ต่ำกว่า 145 ลง 142 - 144
TOP ต่ำกว่า 72.25 ลง 70 - 71
BANPU ต่ำกว่า 734 ลง 720 – 730
PTTAR ต่ำกว่า 36.75 ลง 35 - 36
CPF แกว่งตัว 23 - 24
IVL ต่ำกว่า 40.50 ลง 38 - 39
SCB ต่ำกว่า 98.50 ลง 96 - 97

-----------------------------------------------------------------------------
E Finance Thai : เปิดฉาก! PTTCH ควบ PTTAR
PTT เปิดฉากควบรวมกิจการ PTTCH และ PTTAR ด้วยแผน Amalgamation คาดสำเร็จพร้อมหุ้นใหม่เข้าเทรด ส.ค.นี้ กับขนาดมาร์เก็ตแคป 3 แสนล้านบาท ใหญ่ที่สุดอันดับ 4 ในตลาดหลักทรัพย์ฯ โบรกฯ แนะ อยากเก็งกำไรก่อนต้องลุย PTTCH เหตุราคาหุ้นยังมีอัพไซด์

* บอร์ด PTT ไฟเขียวแผนควบรวม PTTCH - PTTAR แบบ Amalgamation
แหล่งข่าวจากคณะกรรมการ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT เปิดเผยภายหลังจากการประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2554 ว่า ที่ประชุมได้มีมิตอนุมัติแผนควบรวมกิจการระหว่าง บริษัท ปตท. เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (PTTCH) และบริษัท ปตท. อะโรเมติกส์และการกลั่น จำกัด (มหาชน) (PTTAR) โดยใช้วิธี Amalgamation โดยจะมีการตั้งบริษัทใหม่แล้วเข้ามาแลกหุ้นกับบริษัทเดิม หลังจากนั้นจะนำเรื่องเสนอต่อผู้ถือหุ้นของบริษัทอนุมัติต่อไป

* ดันมาร์เก็ตแคปแตะ 3 แสนลบ. ติดอันดับ 4 หุ้นใหญ่สุดใน ตลท.
แหล่งข่าวกล่าวต่อว่า ภายหลังจากการควบรวมกิจการระหว่าง PTTAR และ PTTCH เรียบร้อยแล้ว บริษัทใหม่ที่เกิดขึ้นจะมีขนาดมาร์เก็ตแคปเพิ่มเป็นประมาณ 3 แสนล้านบาท โดยมีขนาดมาร์เก็ตแคปใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 4 ในตลาดหลักทรัพย์ฯ
โดยหลังจากนี้จะมีการเสนอต่อผู้ถือหุ้นในเดือนเมษายนนี้ พร้อมทั้งคาดว่าหุ้นของบริษัทใหม่ที่เกิดจากการควบรวมกิจการจะสามารถเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ในช่วงเดือนสิงหาคมปีนี้ ซึ่งหลังจากขั้นตอนที่ผู้ถือหุ้นได้มีการอนุมัติแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็จะมีการดำเนินการตามกฏหมาย โดยจะต้องตั้งบริษัทใหม่ และนำหุ้นมาแลกกับหุ้นของบริษัทเดิม

* ชี้เป็นไปตามเทรนด์ใหม่ของโลก
แหล่งข่าวกล่าวด้วยว่า การควบรวมกิจการดังกล่าว เป็นไปตามแนวโน้มของบริษัทที่ดำเนินธุรกิจปิโตรเคมีขนาดใหญ่ของโลกที่มีการควบรวมกิจการกันมากขึ้น และจากการที่บริษัทมีขนาดใหญ่ขึ้น จะช่วยสร้างความสนใจให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนมากขึ้น
นอกจากนี้ในส่วนของราคาที่จะใช้ในการแลกหุ้นกับหุ้นเดิม ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทของ ปตท. ได้อนุมัติแล้ว โดยยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ ทั้งนี้จะต้องมีการให้คณะกรรมการอีก 2 บริษัท คือ PTTCH และ PTTAR มีการประชุมเพื่ออนุมัติต่อไป

* PTT เผยหลังควบกิจการหนุนกำไรเพิ่มขึ้นอีก 2-4 พันล้านบาท/ปี
แหล่งข่าว กล่าวในตอนท้ายว่า ภายหลังจากที่มีการควบรวมกิจการระหว่าง PTTAR และ PTTCH คาดว่าจะสามารถช่วยสร้างกำไรให้กับบริษัทใหม่ที่เกิดจากการควบรวม 2 บริษัทดังกล่าวได้อีก 2-4 พันล้านบาทต่อปี

* บล.เคจีไอ มองกลุ่มปิโตรเคมีและโรงกลั่น ให้น้ำหนักเท่ากับตลาด
บทวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เคจีไอ ประเมินก่อนหน้านี้ว่า จากความต้องการอย่างแรงกล้าของ PTT ในการเดินหน้าตามแผนควบรวมกิจการโรงกลั่นและโรงงานปิโตรเคมีในเครือของบริษัทฯ เราเชื่อว่าผลสรุปว่าบริษัทใดจะถูกควบรวมกิจการในคราวนี้จะสามารถประกาศได้ในปลายเดือนก.พ. (หรืออย่างช้าในเดือน มี.ค.) และกระบวนการทั้งหมดจะเสร็จสิ้นในไตรมาส 3/54
เราเห็นว่า PTTAR และ PTTCH จะถูกควบรวมกิจการเข้าด้วยกัน เนื่องจาก IRPC* ยังมีปัญหาในด้านกฎหมาย ในขณะที่ TOP* มีข้อจำกัดในด้านสถานที่ การควบรวมกิจการดังกล่าวจะใช้วิธี Amalgamation โดย PTT มีประสบการณ์ในวิธีการดังกล่าว นอกจากนี้วิธีดังกล่าวยังจะทำให้ PTT มีสิทธิออกเสียงในรายการดังกล่าวอีกด้วย

* ระบุ PTTCH น่าสนใจกว่าในฐานะที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นช้ากว่า
ที่ระดับราคาปัจจุบัน อัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 3.7x (3.7 หุ้น PTTAR เท่ากับ 1 หุ้น PTTCH) เนื่องจาก PTTAR มีผลประกอบการที่ดีในระยะหลังนี้จากค่า PX spread ที่ปรับตัวสูงขึ้น อย่างไรก็ดี เราเชื่อว่าค่า PX spread ที่สูงขึ้นในปัจจุบันจะอยู่ได้อีกไม่นาน จากการคำนวณอัตราแลกเปลี่ยนของเราที่ 4.1x PTTCH จึงมีความน่าสนใจมากกว่า PTTAR ในฐานะที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นช้ากว่า
นอกจากนี้ ในกรณีที่ PTT ตัดสินใจยกเลิกแผนการควบรวมกิจ PTTCH ก็ยังคงน่าสนใจ เนื่องจากเราเห็นว่ากำไรของบริษัทฯ จะโตอีกหลายปีติดต่อกัน คงแนะนำ ‘ซื้อ’ PTTCH โดยมีราคาเป้าหมายที่ 190.00 บาทและคงแนะนำ ‘ถือ’ PTTAR โดยมีราคาเป้าหมายที่ 41.50 บาท ปัจจัยเสี่ยงสำคัญประกอบด้วยแนวโน้มธุรกิจและความสามารถในการทำกำไรที่เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญของทั้ง 2 บริษัทฯ
อย่างไรก็ตาม สำหรับประโยชน์ในด้านการดำเนินงานจากการรวมกันเป็นหนึ่งเดียว คาดว่าบริษัทที่จะเกิดขึ้นหลังการควบรวมจะสร้างมูลค่าเพิ่มจากแลกเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ รวมถึงการสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่จากสายการผลิตเดิม ปัจจุบัน PTTAR และ PTTCH มีรายการซื้อขายสินค้าซึ่งกันและกัน อย่างไรก็ดีการควบรวมกิจการจะให้ความยืดหยุ่นและกำไรที่สูงกว่าสำหรับทั้งสองบริษัทฯ รวมถึง PTT ในฐานะที่เป็นบริษัทแม่ หากบริษัททั้งสองรวมเป็นบริษัทเดียว นอกจากนี้ บริษัทใหม่ยังจะได้ประโยชน์จากช่วงที่ดีของรอบธุรกิจ และลดความเสี่ยงในด้านกำไรในช่วงที่ยากลำบาก

* บล.เกียรตินาคิน ชี้ ช่วยเพิ่มความสามารถการแข่งขันกับต่างประเทศ
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เกียรตินาคิน เปิดเผยว่า จากกรณีการควบรวมระหว่างบริษัทในกลุ่ม ปตท. ได้แก่ PTTCH และ PTTAR นั้น เบื้องต้นประเมินว่าการควบรวมทั้ง 2 บริษัทฯดังกล่าวเข้าด้วยกันจะส่งผลให้มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด ( Market Capitalization) ใหญ่ขึ้นติดอยู่อันดับ 1 ใน5 ของมูลค่าหลักทรัพย์ที่มีขนาดใหญ่ในตลาดหุ้น ซึ่งถือเป็นเป็นเรื่องที่ดีต่อการดำเนินงานของทั้ง 2 บริษัทฯ
โดยเฉพาะจะช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันกับต่างประเทศให้สูงขึ้นจากปัจจุบัน อีกทั้งยังสามารถลดต้นทุนการผลิตได้มากพอสมควร จากการแลกผลิตภัณฑ์เพื่อมาดำเนินธุรกิจปิโตเคมี และยังทำให้ได้รับประโยชน์จากการขยายธุรกิจปลายน้ำได้อีกด้วย เช่น การผลิตเม็ดพลาสติก
นอกจากนี้ ยังเป็นการส่งเสริมในการดำเนินงานของบริษัทฯ เพราะ PTTCH ถือว่ามีฐานะกระแสเงินสดแข็งแกร่งพอสมควร ส่วนด้านPTTAR ก็มีแผนงานที่มาก ซึ่งถือว่าเป็นการส่งเสริมเกื้อหนุนการทำธุรกิจกัน อย่างไรก็ตาม ความเป็นไปได้ที่คาดว่าจะควบรวมแล้วเสร็จประมาณ 6-9 เดือนหลังจากที่บอร์ดมีมติอนุมัติ
"หากประเมินราคาหุ้นของบริษัทฯ หลังจากการควบรวมแล้ว ขณะนี้คงประเมินได้ยาก เพราะต้องขึ้นอยู่กับสภาวะตลาดของธุรกิจปิโตรฯ ว่าเป็นอย่างไรในช่วงเวลานั้น" นักวิเคราะห์ กล่าว

* ฟันธง! การควบรวมครั้งใหม่เกิดได้ยาก
นอกจากนี้ จากการประเมินแล้วคาดว่า การควบรวมของบริษัทฯ ในเครือ ปตท. รอบต่อไปคงจะเกิดขึ้นได้ยาก เพราะทั้ง 2 บริษัทฯ ทั้ง IRPC และ TOP ยังมีข้อจำกัดอยู่หลายด้าน โดย IRPC ก็ยังมีปัญหาทางด้านข้อกฎหมายอยู่มาก ส่วน TOP หากนำไปควบรวมกับบริษัทฯ ที่เกิดขึ้นจากการควบรวมระหว่าง PTTAR และ PTTCH แล้ว ก็เชื่อว่าอาจจะต้องเจอกับคำวิพากวิจารณ์เกี่ยวกับการผูกขาดธุรกิจโรงกลั่นได้ ซึ่งถือว่าเป็นความเสี่ยงต่อการดำเนินงานในอนาคต
ทั้งนี้ หากนักลงทุนสนใจเข้าซื้อหุ้นของบริษัทฯ ควบรวมแนะนำ PTTCH เพราะได้เปรียบทั้งด้านราคาหุ้นที่ยังมี Upside และยังมีผลการดำเนินงานที่ดีกว่า PTTAR โดย PTTCH มีราคาพื้นฐานอยู่ที่ 198 บาท และ PTTAR อยู่ที่ 46 บาท

-----------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย

ยังเน้นขายมากกว่าซื้อ จากนั้นถือเงินสดไว้รอหาจังหวะรับใหม่เมื่อลงต่ำ!!
แนวโน้ม: หลังจากการประกาศผลประกอบการ Q4/53 ของ บจ.ในบ้านเราเริ่มเข้าสู่ช่วงสุดท้าย SET ก็เริ่มมีแรงขายในลักษณะ Sell on Fact ออกมากดดันตลาดบ้างแล้ววานนี้ ขณะที่ข่าวการควบรวมของ PTTCH และ PTTAR ก็ออกมาเป็นไปตามคาดด้วย ทำให้ตลาดเริ่มไม่มีปัจจัยบวกเกื้อหนุน ขณะที่ความกังวลต่อสถานการณ์ความรุนแรงในลิเบีย และประเทศต่างๆ ในตะวันออกกลางยังคงมีอยู่รวมทั้งราคาน้ำมันที่ขยับสูงขึ้นมาอย่างรวดเร็วและรุนแรงในระยะนี้น่าจะส่งผลกระทบต่อภาวะเงินเฟ้อของหลายประเทศโดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียที่ตัวเลขเงินเฟ้อค่อนข้างสูงอยู่แล้วเพิ่มขึ้นอีก รวมทั้งในรอบที่ผ่านมา SET ก็ดีดตัวขึ้นมาพอสมควร ดังนั้น FSS มองว่าตั้งแต่สัปดาห์หน้าไปต้องเริ่มระวังแรงขายกดดันให้SET กลับมาแกว่งตัวลงต่อเนื่องอีกครั้งและมีโอกาสไหลลงหาจุดต่ำเดิมแถว 940จุดอีกครั้งได้

กลยุทธ์: ยังเน้นขายมากกว่าซื้อและถือเงินสดไว้รอหาจังหวะรับใหม่อีกครั้งดีกว่า

ประเด็นสำคัญวันนี้
• (+) PTTCH+PTTAR กำไรเป็นไปตามคาด การควบรวมเป็นไปตามนัด ทั้ง2 บริษัทจะควบรวมกิจการแล้วตั้งเป็นบริษัทใหม่ อัตราส่วนแลกหุ้นคือ 1 หุ้นเดิมของ PTTCH ต่อ 1.980122323 หุ้นบริษัทใหม่ และหุ้นเดิมของ PTTAR ต่อ0.501296791 หุ้นในบริษัทใหม่ เปรียบเทียบสัดส่วนที่เหมาะสมของหุ้น PTTCH 1 หุ้น จะได้ 3.95 หุ้นของ PTTAR หรือคำนวณตามราคาปิดของ PTTCH ที่ 145.50 บาท จะได้หุ้น PTTAR เท่ากับ 36.84 บาท/หุ้น หรือ หากเอา PTTAR ตั้ง 37.25 จะได้ราคาหุ้นหุ้น PTTCH ที่ 147.14 บาท/หุ้น Synergy ในระยะสั้นจะยังไม่เกิด ดังนั้นเมื่อไม่มีประเด็นใหม่เข้ามากระทบราคาหุ้นทั้งอาจเกิด Sell on Fact ระยะสั้นแต่ระยะยาวหลังเกิด Synergy แล้ว และราคาหุ้นหลังควบรวมเป็นบริษัทใหม่แล้วมีราคาต่ำกว่า PE ระดับภูมิภาค หากราคาอ่อนตัวจึงน่าสนใจ

• (+) สินเชื่อแบงก์เดือน ม.ค. +1.5%M-M TMB มีสินเชื่อโตมากสุด+6.4%M-M รองลงมา SCB +2.1%M-M, KK +1.8%M-M เรายังคงคาดสินเชื่อทั้งปี +8.1% ชะลอจากฐานสูงปีก่อนที่ +11.5% แนวโน้มกำไร 1Q11 ของกลุ่มแบงก์ คาดเพิ่ม 5%Q-Q และ 9% Y-Y Top Pick ของเรายังคงเป็น KBANKนอกจากนี้ KTB และ SCB น่าสนใจเช่นกัน

• (+) AP กำไรดีเกินคาด โดยกำไรปกติ 4Q10 +579%Q-Q, -24%Y-Y ดีกว่าเราและตลาดคาด จากยอดโอนคอนโดถึง 5 โครงการ และกำไรขั้นต้นเพิ่มสูงขึ้นเราคาดว่า AP จะจ่ายปันผล 0.34 บาทต่อหุ้น คิดเป็น yield 5.7% ราคาเป้าหมาย8.30 บาท มี upside ถึง 41%

• (+) SVI กำไร 4Q10 ตรงตามคาด +8%Q-Q, +25%Y-Y ทำให้กำไรทั้งปี2010 +23% ทำ New High เราคาดว่ากำไรปี 2011 จะโตต่อ 19% สวนทางบริษัทอื่นในกลุ่มที่โตเฉลี่ย 2% - 4% SVI ประกาศจ่ายปันผลอีก 0.105 ยาท/หุ้นyield 2.8% XD 29 เม.ย. จ่ายเงิน 20 พ.ค. เราแนะนำ SVI เป็น Top pick ในกลุ่มนี้ ราคาเป้าหมาย 5.20 บาท

• (+) ROJNA กำไรดีกว่าคาด โดยกำไร 4Q10 +992%Q-Q, +423%Y-Y สูงกว่าคาดมากจากรายได้จากคอนโดในจีนที่ดีกว่าคาด ทำให้กำไรปกติทั้งปี 2010+21% จ่ายปันผล 0.40 บาท/หุ้น yield 3.5% XD 24 มี.ค. จ่ายเงิน 25 พ.ค. เรา
คาดปี 2011 กำไรลดลง 8% จากการเปลี่ยนมาตรฐานการรับรู้รายได้เป็นเมื่อโอนความเสี่ยง ราคาหุ้นปรับขึ้นมาเร็ว รับข่าวดีไปแล้ว แนะนำขาย

ค่าเงินบาทอ่อนค่าเล็กน้อยมาเคลื่อนไหวแถว 30.55-30.65 บ./ดอลลาร์ โดยค่าเงินดอลลาร์ยังอ่อนตัวลงต่อเนื่อง

แผนควบลูกปตท.ฉลุย PTTAR แลก PTTCH 4:1 มาร์เก็ตแคป 3 แสนล้าน บริษัทใหม่เข้าเทรดส.ค.นี้ แผนควบกิจการ PTTCH-PTTAR ผ่านฉลุยรูปแบบ A+B=C หลังบอร์ด ปตท. ไฟเขียว ส่วนบอร์ด 2 บริษัทลูกไม่คัดค้าน เชื่อบริษัทใหม่มาร์เก็ตแคป 3 แสนล้านบาท รายได้เพิ่มปีละ 2,000-4,000 ล้านบาท ย้ำบริษัทใหม่พร้อมเข้าเทรดเดือนส.ค.นี้ วงการเงินเผยสูตรแลกหุ้น PTTAR 4 หุ้นแลก PTTCH 1 หุ้น (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 25-02-2011)

TMB ปันผล 0.015 บ. ครั้งแรกในรอบ 14 ปี บอร์ดทหารไทยไฟเขียว ประกาศจ่ายปันผล 0.015 บาท ในรอบ 14 ปี พร้อมขอความเห็นชอบจากผู้ถือหุ้น 8 เม.ย. นี้ หลังฟาดกำไร 3.2 พันล้านบาท โบรกฯ คาดปีนี้ปั๊มอีก 4 พันล้านบาท ส่วน KBANK ไม่น้อยหน้าจ่ายปันผลงวดสุดท้ายของปี'53 ในอัตรา 2.00 บาท เผยจ่าย 29 เม.ย.นี้ (ทมี่ า: นสพ.ข่าวหุ้น 25-02-2011)

RS จัดหนักกำไรโต 300% จ่ายปันผล 15 สต. รอบ 4 ปี สิ้นสุดการรอคอย RS โชว์รายได้ปี'53 พุ่ง 2,917 ล้านบาท กำไรสวย 316 ล้านบาท โตทะลัก 319% ลุยจ่ายปันผลในรอบ 4 ปี สูงถึง 15 สตางค์ ฟากผู้บริหารลั่น วางเป้ารายได้ปี'54 แตะระดับ 3,100 ล้านบาท จ่อคิวเปิดตัวทีวีดาวเทียมเสริมทัพเพิ่มอีก 1 ช่องเดือนมี.ค.นี้ (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 25-02-2011)

LOXLEY ซวยสองเด้งหวยออนไลน์ - 3จี ส่อวืด ประชุมบอร์ดสลากวันนี้ มีมติให้ทำหนังสือถึงดีเอสไอขอคำยืนยันหวยออนไลน์ไม่ฮั้ว ก่อนถามกฤษฎีกาอีกรอบทำ 6 ตัวได้หรือไม่ “ประดิษฐ์”คาดถ้ายุบสภาฯเร็ว โครงการเดินหน้าไม่ทันรัฐบาลชุดนี้ ขณะที่ประมูล 3 จีส่อวืด บอร์ดทีโอทีตบเท้าลาออก ประชุมวันนี้ล่ม (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 25-02-2011)

TRU งบสุดหรูกำไร 219 ล้านปันผลรอบ 4 ปี TRU หักปากกาเซียน โชว์รายได้ทะลุ 2,000 ล้านบาท กำไรเดือด 219 ล้านบาท “สมพงษ์” มั่นใจปี'54 รายได้โตไม่มีเบรก วางเป้าเพิ่มขึ้น 10-15% ขานรับยอดผลิตรถยนต์บินสูงระดับ 1.8 ล้านคัน หวนจ่ายปันผล 25 สตางค์ เป็นครั้งแรกในรอบ 4 ปี(ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 25-02-2011)

-----------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ตปท.
ดัชนีดาวโจนส์ปิดปรับตัวลง 37.28 จุด แต่เป็นการดีดกลับขึ้นในช่วงท้ายๆ หลังจากปรับตัวลดลงไปกว่า 120 จุดในระหว่างวัน โดยได้รับแรงหนุนจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดระดับลงจากจุดสูงสุด หลังมีข่าวลือเรื่องผู้นำลิเบียถูกยิงอย่างไรก็ตามข่าวดังกล่าวยังไม่ได้เป็นข่าวจริงแต่อย่างใด

ตลาดหุ้นยุโรปดิ่งลงมากที่สุดในรอบเกือบ 8 เดือน หลังความกังวลเรื่องเงินเฟ้อและอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจกดดันความมั่นใจของนักลงทุน

ขณะที่ตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้ยังมีจังหวะรีบาวด์ขึ้นเล็กน้อยอีกครั้ง แต่ก็ยังอยู่ในลักษณะแกว่งผันผวนแคบๆ

ราคาน้ำมันดิบในตลาด NYMEX ปิดที่ 97.28 ดอลลาร์/บาร์เรล ปรับตัวลง 0.82 ดอลลาร์ หลังจากที่ระหว่างวันขยับขึ้นไปถึงระดับ 103.41 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบเกือบ 2 ปีครึ่ง โดยราคาปรับตัวย้อนกลับลงมาหลังมีข่าวว่าซาอุฯ พร้อมที่จะผลิตน้ำมันชดเชยในส่วนของลิเบีย รวมถึงข่าวลือว่าผู้นำลิเบียถูกยิง

ราคาทองคำล่วงหน้าในตลาด COMEX ปิดที่ 1415.80ดอลลาร์/ออนซ์ บวกอีก 1.80 ดอลลาร์ ยังบวกต่อเนื่องในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย แม้ว่าจะลดช่วงบวกลงเล็กน้อย

สหรัฐอเมริกา: สหรัฐเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานสัปดาห์ที่แล้วร่วงลงต่ำสุดในรอบกว่า 2 ปี กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการระหว่างว่างงานในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุด ณ วันที่ 19 ก.พ. ร่วงลงมาอยู่ที่ระดับ 391,000 ราย จากสัปดาห์ก่อนหน้านั้นที่ระดับ 413,000ราย ส่วนจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานโดยเฉลี่ย 4 สัปดาห์ ร่วงลงสู่ระดับ 402,000 ราย ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ช่วงกลางปี 2551 (ที่มา: อินโฟเควสท์ 25-02-2011)

สหรัฐอเมริกา: สหรัฐเผยยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนม.ค.เพิ่มขึ้น 2.7% กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน หรือสินค้าที่มีอายุการใช้งานนานกว่า 3 ปี เพิ่มขึ้น 2.7% ในเดือนม.ค. ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.ย.ปี 2553 หลังจากยอดสั่งซื้อเครื่องบินพาณิชย์ของสหรัฐปรับตัวสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม หากไม่นับรวมยอดสั่งซื้ออุปกรณ์ด้านการขนส่ง ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนม.ค.ร่วงลง 3.6% สวนทางกับที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.4% (ที่มา: อินโฟเควสท์ 25-02-2011)

สหรัฐอเมริกา: สหรัฐเผยสต็อกน้ำมันดิบสัปดาห์ที่แล้วเพิ่มขึ้นน้อยเกินคาด 800,000 บาร์เรล สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) รายงานว่า สต็อกน้ำมันดิบในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุด ณ วันที่ 18 ก.พ.เพิ่มขึ้น 800,000 บาร์เรล แตะที่ 346.7 ล้านบาร์เรล น้อยกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะพุ่งขึ้น 1.3 ล้านบาร์เรล สต็อกน้ำมันกลั่นลดลง 1.3 ล้านบาร์เรล แตะที่ 159.9 ล้านบาร์เรล ใกล้เคียงกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 1.4 ล้านบาร์เรล และสต็อกน้ำมันเบนซินลดลง 2.8 ล้านบาร์เรล แตะที่ 238.3 ล้านบาร์เรล สวนทางกับที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 400,000บาร์เรล ส่วนอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันร่วงลง 1.8% แตะที่ 79.4% สวนทางกับที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.4% (ที่มา: อินโฟเควสท์ 25-02-2011)


-----------------------------------------------------------------------------

Code 364 : 24/02/54 น้ำมันดัน SET ขึ้นต่อ

วันพฤหัสที่ 24 กุมภาพันธ์ 2554

ATT Code : น้ำมันดัน SET ขึ้นต่อ



เมื่อเช้าวันพุธที่ 23/02/54 มีแรงซื้อเข้ามาในกลุ่มน้ำมัน เพราะการประท้วงในลิเบีย ซึ่งเป็นแหล่งผลิตน้ำมันรายใหญ่ประเทศหนึ่ง ทำให้ราคาน้ำมันดิบเพิ่มสูงขึ้นมา 7.37 เหรียญ มาอยู่ที่ 93.97 เหรียญ ส่งผลให้ SET เปิดโดดขึ้นมา 3 จุด เปิดที่ 990.72 จุด จากนั้นก็ยังมีแรงซื้อในกลุ่มพลังงานเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ไป High ที่ 996.36 จุด ก่อนที่ช่วงบ่ายจะมีแรงขายทำกำไรออกมา ไป Low ที่ 985.72 จุด แต่ก่อนจะปิดตลาดไม่นาน ก็มีแรงซือในกลุ่มพลังงานเข้ามาอีก ทำให้ SET ขึ้นมายืนเหนือเส้น 75 วัน ที่ 990 ได้ โดยมาปิดที่ระดับ 990.91 จุด +3.70 จุด

แนวโน้มในวันพฤหัสที่ 24/02/54 มีแนวรับที่เส้น 75 วัน อยู่ที่ระดับ 990 จุด และเส้น 25 วัน อยู่ที่ระดับ 986 จุด แนวรับที่สำคัญอยู่ที่ BB Avg ที่ประมาณ 975 และแนวต้านที่สำคัญ ที่เส้น BB Topที่ระดับ 1000 จุด

การที่ราคาน้ำมันดับพุ่งขึ้นมา ทำให้ Indicators ต่างๆ พลิกกลับมาเป็นบวกใหม่ ทั้ง 7 ตัว
1. (+) MACD ยังคงตัดเส้น Signal ขึ้นมาอยู่.... มีสัญญาณที่ดีอยู่
2. (+) OBVขึ้นไปที่ 618.... แสดงให้เห็นว่ายังมีแรงซื้อสะสมเพิ่มขึ้นมาอีก
3. (+) CCI ยังคงเพิ่มขึ้น จาก +62 ขึ้นไปที่ +77 วิ่งเข้ามาหาเส้น 100 อีกทีได้อยู่... แนวโน้มดีขึ้นอีกครั้ง
4. (+) เส้น ADX : DI+(32) ตัดเส้น DI-(31)ขึ้นมาอีกครั้ง... มีสัญญาณซื้อเกิดขึ้นมาอีกครั้ง
5. (+) Williams %R ขึ้นมาจาก -21 ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ -15.... %R วิ่งเข้าไปหาเส้น -10 อีกครั้ง... แนวโน้มดีขึ้นอีกครั้ง
6. (+) RSI ขึ้นมาจาก 50% มาอยู่ที่ 51%... มีแนวโน้มดีขึ้นอีกครั้ง
7. (+) Fast Sto : %K ตัด %D อยู่เหมือนเดิม แต่ %K แต่เพิ่มขึ้น จาก 78 ลงมาที่ 84... มีแนวโน้มดีขึ้น

-----------------------------------------------------------------------------
MARKET WAVE Analysis
24 กพ. 54 ( +3.70 จุด ) โกมล พงศ์วิญญู เลขทะเบียน 18338

ปรับตัวขึ้น 994 - 995 จุด
แนวโน้มในวันพุฤหัสนี้ ดัชนีมีโอกาสปรับตัวกลับขึ้นไปแถว 994 - 995 ใกล้จุดสูงสุดของวันพุธอีกครั้ง ในรูปแบบที่คาดว่าจะเป็นการแกว่งตัวในกรอบสามเหลี่ยมตลาดน่าจะต้อง ใช้ระยะเวลาอีกหนึ่งถึงสองวันแกว่งตัวในกรอบ 982 – 996 หรือระหว่างจุดต่ำสุดของวันอังคาร ถึงจุดสูงสุดของวันพุธ

จากนั้นการปรับตัวขึ้น เกิน 1000.90จุดสูงสุดของวันจันทร์ และแนวต้านตามธรรมชาติของเส้นค่าเฉลี่ย 25 สัปดาห์ (คาดว่าจะ
เกิดขึ้นปลายสัปดาห์นี้ หรือต้นสัปดาห์หน้า)ดัชนีสามารถปรับตัวขึ้นต่อบริเวณ 1050 – 55ใกล้จุดสูงสุดเดิมของปีนี้

หุ้นเด่น
ESSOปรับตัวทะลุกรอบสามเหลี่ยม ภาพระยะเดือนขึ้นมาได้ รอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 8.40จุดสูงสุดเดิมเดือน ธค. เป้าหมายระยะ
สัปดาห์ขึ้นไป 10.00 – 11.00( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 8.00 )

PTTEP
ยังสามาถปรับตัวอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ย 25 วันได้ ทยอยซื้อแถว 178.00 – 179.00 หรือรอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 180.50 จุดสูงสุดวันพุธเป้าหมายสองสามวัน 185.50 – 187.50( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 178.00 )

10 อันดับซื้อขายสูงสุด
PTTEP รายละเอียดใน “หุ้นเด่น”
PTT แกว่งตัว 335 – 340
IRPC แกว่งตัว 5.50 – 5.70
PTTCH แกว่งตัว 149.50 - 154
KBANK เกิน 112 ขึ้น 113 - 114
IVL ต่ำกว่า 42.50 ลง 41.50 – 42
KTB ต่ำกว่า 15.90 ลง 15 – 15.50
CPF เกิน 24 ขึ้น 24.10 – 24.30
TOP แกว่งตัว 74 – 75.25
BANPU ไม่ต่ำกว่า 752 ขึ้น 766 - 770

-----------------------------------------------------------------------------
EFinance Thai : PTT-PTTEPพระเอกดันดัชนี!!
PTT- PTTEPโชว์ฟอร์มแกร่ง นำทีมดันดัชนีหุ้นไทยยืนแดนบวก เหตุนักลงทุนไล่ซื้อหุ้นเก็งกำไรราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้นต่อเนื่อง หลังปัญหาการเมืองในตะวันออกกลางยังไม่คลี่คลาย คาดน้ำมันดิบทะลุ 100 เหรียญต่อบาร์เรลเร็วๆนี้ ด้าน"ประเสริฐ" นัด 3 บอร์ดถกแผนควบรวมกิจการ ปลุกกระแสเก็งกำไรคึกคัก ขณะที่โบรกเกอร์ยังแนะนำซื้อ หลังราคาหุ้นในกระดานมีส่วนต่างมากเมื่อเทียบกับเป้าหมาย
ในช่วงนี้หุ้นกลุ่มพลังงานเคลื่อนไหวอย่างโดดเด่น โดยเฉพาะราคาหุ้นบริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน)หรือ PTT และบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน)หรือ PTTEP ที่ได้รับอานิสงส์จากการที่ราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลมาจากวิกฤตการเมืองในตะวันออกกลางที่ยังไม่สามารถหาทางคลี่คลายได้ นอกจากนี้ยังมีแรงเก็งกำไรกระแสข่าวควบรวมกิจการของบริษัทในกลุ่ม PTT เข้ามาอย่างหนาแน่น ส่งผลให้หุ้นพลังงานกลายเป็นพระเอกคอยประคองดัชนีไม่ให้ปรับตัวลดลงแรงเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นเพื่อนบ้าน
ขณะเดียวกันผู้บริหารกลุ่ม PTT ออกมายอมรับว่าผลประกอบการในปีนี้ยังคงเติบโตต่อเนื่อง และมีโครงการที่ต้องลงทุนเพื่ออนาคตจำนวนมาก โดยเฉพาะ PTTEP ที่ระบุว่าต้องใช้งบลงทุนสูงถึง 1 ล้านล้านบาทภายใน 10 ปีข้างหน้า นอกจากนั้นยังมีกระแสข่าวว่าในวันพรุ่งนี้(24 ก.พ.54) ผู้บริหารกลุ่ม PTT จะนัดหารือแผนควบรวมกิจการภายในกลุ่ม ซึ่งคาดว่าภายหลังการหารือดังกล่าวจะมีความชัดเจนมากขึ้น ส่วนโบรกเกอร์ยังคงแนะนำซื้อหุ้น PTTEP-PTT โดยให้ราคาเป้าหมาย 226 บาท และ 392 บาท ตามลำดับ

***** PTT แย้มงบ Q1/54 แจ่มกว่า Q4/53
นายพิชัย ชุณหวชิร กรรมการ บริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน)หรือ PTT เปิดเผยว่า คาดว่าแนวโน้มกำไรและรายได้ของกลุ่มปตท. ไตรมาส 1/54 จะออกมาดีกว่าไตรมาส 4/53 เนื่องจากแนวโน้มราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นค่อนข้างมาก เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า โดยราคาน้ำมันดิบดูไบปัจจุบันอยู่ที่ 104 เหรียญต่อบาร์เรล จึงส่งผลให้คาดว่าในไตรมาสนี้จะมีกำไรจากสต็อกน้ำมัน (Stock Gain) ประกอบกับแนวโน้มของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมียังอยู่ในระดับสูง รวมทั้งค่าการกลั่นรวม (GIM) ยังอยู่ในระดับสูงและได้ประโยชน์จากกรณีที่รัฐบาลปรับโครงสร้างราคา LPG

***** "ประเสริฐ"นัด 3 บอร์ดถกควบรวมบริษัทในกลุ่ม
นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) หรือ PTT เปิดเผยว่า ในวันพรุ่งนี้จะมีการประชุมของคณะกรรมการ 3 บริษัทในกลุ่ม ปตท. ที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาแผนในการควบรวมกิจการ ส่วนประเด็นรายละเอียดในขณะนี้ยังไม่สามารถเปิดเผยได้เนื่องจากต้องปฏิบัติตามเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ และ ก.ล.ต.
สำหรับผลการประชุมของคณะกรรมการทั้ง 3 บริษัท เมื่อมีการประชุมเสร็จสิ้นยังไม่สามารถระบุได้ชัดเจนว่าจะสามารถเปิดเผยข้อมูลได้ทันทีหรือไม่ เนื่องจากจะต้องมีการรายงานผลการประชุมต่อตลาดหลักทรัพย์ฯก่อน
นายประเสริฐ กล่าวต่อว่า ปัญหาความรุนแรงในตะวันออกกลางในขณะนี้ ประเมินว่าอาจส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันในตลาดโลกให้ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากลิเบียถือเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ ซึ่งมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 2 ล้านบาร์เรลต่อวัน พร้อมทั้งต้องติดตามปัญหาที่เกิดขึ้นว่าจะลุกลามเพิ่มเติมหรือไม่ และยังคาดการณ์ได้ยากว่าจะจบอย่างไร
อย่างไรก็ดี ปัญหาที่เกิดขึ้นดังกล่าวถือเป็นปัจจัยที่ไม่มีผลกระทบต่อปัจจัยพื้นฐานของความต้องการใช้น้ำมัน แต่ถือเป็นปัจจัยที่สร้างความกังวล พร้อมทั้งมองว่าปัจจุบันตะวันออกกลางไม่ใช่แหล่งลงทุนที่สำคัญของบริษัทขนาดใหญ่ เนื่องจากภูมิภาคดังกล่าวได้มีการลงทุนก่อนหน้านี้แล้วในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

***** PTTEP คาดใช้งบลงทุน 1 ล้านล้านบาทภายใน 10 ปี
นายพิชัย ชุณหวชิร กรรมการและประธานคณะกรรมการพิจารณาความเสี่ยง บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน)(PTTEP) เปิดเผยว่า บริษัทฯคาดว่าในช่วง 10 ปี (2554-2563) บริษัทฯจะใช้เงินลงทุนประมาณ 4.5 หมื่นล้านเหรียญ หรือประมาณ 1 ล้านล้านบาท ทั้งนี้เพื่อใช้ในการลงทุนหาแหล่งขุดเจาะเพิ่มเติม
โดยในช่วง 10 ปีดังกล่าวบริษัทฯได้ตั้งเป้าปริมาณการขาย ปิโตรเลียมในปี 2563 ไว้ที่ 9 แสนบาร์เรลต่อวัน ส่งผลให้ในช่วงดังกล่าวบริษัทฯจะต้องมีปริมาณสำรองปิโตรเลียมเพิ่มเป็น 3 พันล้านบาร์เรล จากปัจจุบันที่มีปริมาณการขายอยู่ที่ประมาณ 3 แสนบาร์เรลต่อวัน จากปัจจุบันที่บริษัทฯมีปริมาณสำรอง 1,100 ล้านบาร์เรล
ทั้งนี้ จะมีทั้งการสำรวจและผลิตเอง หรือการขอสัมปทานในแหล่งปิโตรเลียม การร่วมทุนและการเข้าซื้อหุ้น โดยต้นทุนในการผลิตในแหล่งที่มีการสำรวจและพัฒนาแล้วจะอยู่ที่ประมาณ 20 เหรียญต่อบาร์เรล ส่วนต้นทุนแหล่งสำรวจที่พบอยู่ระหว่างรอการพัฒนาจะต่ำกว่า โดยอยู่ที่ 15 เหรียญต่อบาร์เรล
ทั้งนี้แหล่งเงินลงทุนของบริษัทฯส่วนหนึ่งจะมาจากผลการดำเนินงาน โดยปัจจุบันบริษัทฯสามารถสร้าง EBITDA ต่อปีได้อยู่ที่ประมาณ 1 แสนล้านบาท หลังจากที่ได้มีการหักการจ่ายเงินปันผลแล้วบริษัทฯจะต้องหาแหล่งเงินลงทุนเพิ่มอีกประมาณ 1-2 หมื่นล้านเหรียญ เพื่อใช้ลงทุนในการเพิ่มแหล่งขุดเจาะ
นอกจากนี้แนวทางการเพิ่มทุนของบริษัทฯได้เปิดเป็นทางเลือกไว้ในกรณีที่มีโครงการขนาดใหญ่ที่จำเป็นต้องลงทุนก็อาจจะมีการพิจารณาใช้ ซึ่งยังไม่ได้สรุปว่าจะมีการทำหรือไม่
สำหรับแหล่งขุดเจาะแบบธรรมดา ปัจจุบันมีโอกาสที่จะเจอยากขึ้น ส่งผลให้การสำรวจและขุดเจาะต้องเป็นไปในแหล่งที่พัฒนายาก อาทิ แหล่งทะเลน้ำลึก และ Oil Sands โดยการขุดเจาะและสำรวจในแหล่งประเภทดังกล่าวจะมีต้นทุนสูง แต่ในระยะต่อไปจะมีต้นทุนที่ลดลง
ด้านผลกระทบจากปัญหาการประท้วงลิเบีย มองว่าน่าจะมีผลกระทบแต่ยังคาดการณ์ได้ยากว่าปัญหาดังกล่าวจะจบอย่างไร และยังเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ จึงมีผลกระทบต่อราคาน้ำมัน ประกอบกับราคาน้ำมันถือเป็นพลังงานที่มีจำนวนจำกัดในโลก

***** กิมเอ็ง ชี้ตะวันออกกลางไม่สงบหนุนหุ้นพลังงาน
บทวิเคราะห์บล.กิมเอ็ง(ประเทศไทย) ระบุว่า ประเมินว่าจาก สถานการณ์ความไม่สงบในตะวันออกกลาง เช่น เยเมน, อิหร่าน, บาห์เรน และแอฟริกาเหนือ เช่น ลิเบียที่ยังคงแผ่ขยายวงกว้างออกไป ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ยืนเหนือระดับ US$90.00/ barrel เป็นวันที่ 2 ติดต่อกัน จากความกังวลว่าอาจส่งผลกระทบต่อการขนส่ง & ผลิตน้ำมัน โดยตะวันออกกลาง และ แอฟริกาเหนือมีกำลังการผลิตน้ำมันรวมกันคิดเป็น 36% ของกำลังการผลิตทั่วโลก แม้ล่าสุดซาอุดิอาระเบีย ประกาศว่ายังมีกำลังการผลิตคงเหลืออีกราว 4 ล้านบาร์เรล / วัน ที่สามารถเพิ่มกำลังการผลิตได้
แต่คาดว่าราคาน้ำมันจะยังทรงตัวในระดับสูงต่อไปจนกว่าเหตุการณ์ความไม่สงบจะเริ่มคลี่คลาย ดังนั้น ตลาดหุ้นไทยที่ถ่วงน้ำหนักด้วยกลุ่มพลังงาน และปิโตรเคมีราว 35% ของมูลค่าตลาด จึงยังมีแรงรับจากหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากการปรับตัวขึ้นของน้ำมันดิบ ได้แก่ PTT, PTTEP, TOP, PTTAR, IRPC รวมทั้งหุ้นในกลุ่มปิโตรเคมีที่ราคาผลิตภัณฑ์เคลื่อนไหวตามราคาน้ำมัน ขณะที่ต้นทุนเป็นก๊าซ อย่าง PTTCH ที่จะทำให้ส่วนต่างกำไรขยายตัวขึ้น
ขณะที่ แผนควบรวมกิจการในกลุ่ม PTT ระหว่าง PTTCH กับ PTTAR คาดว่าจะได้ข้อสรุปเบื้องตันในวันที่ 24 ก.พ.ซึ่งเป็นวันประกาศงบของ PTT หลังจากนั้นจะใช้ระยะเวลาราว 6 เดือน ในขั้นตอนของการควบรวม และนำบริษัทใหม่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ โดย KimEng ประเมิน Swap Ratio ที่ 4.4 PTTCH ต่อ 1 PTTAR จึงคาดว่าจะมีแรงเก็งกำไรต่อเนื่องต่อสัดส่วนการควบรวมที่จะประกาศจาก PTT

***** ฟิลลิป เชียร์ซื้อ PTTEP-PTT
นางสาวธีรดา ชาญยิ่งยงค์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป(ประเทศไทย) เปิดเผยว่า จากปัญหาการเมืองในประเทศแถบตะวันออกกลางได้ส่งผลให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น โดยส่งผลดีต่อธุรกิจกลุ่มพลังงาน สะท้อนได้จากราคาหุ้นกลุ่มพลังงานวันนี้(23 ก.พ.)ได้ฟื้นตัวตอบสนองกับกระแสข่าวดังกล่าว แต่ทั้งนี้คงส่งผลบวกระยะสั้นเท่านั้น โดยคาดว่าน้ำมันโลกจะขึ้นไปแตะ 100 ดอลลาร์/บาร์เรลได้อย่างแน่นอน แต่ะระยะยาวคงมีปัญหาอัตราเงินเฟ้อเข้ามาเป็นปัญหาพ่วงท้าย ซึ่งถือว่าเป็นอุปสรรคต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ การที่ราคาหุ้นกลุ่มราคาน้ำมันได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนั้นการเก็งกำไรของนักลงทุนก็ควรต้องระมัดระวังเช่นกัน เนื่องจากจะต้องพิจารณาส่วนต่างราคาหุ้นด้วย โดยบริษัทฯประเมินว่าหุ้นกลุ่มพลังงานที่มีความน่าสนใจยังคงเป็น PTTEP (226 บาท) และPTT(392 บาท) ซึ่งถือว่ายังคงมีส่วนต่างราคาหุ้นที่พอจะลงทุนได้

-----------------------------------------------------------------------------

Code 363 : 23/02/54 สัญญาณการปรับตัวลงเริ่มชัดขึ้น

วันพุธที่ 23 กุมภาพันธ์ 2554

ATT Code : สัญญาณการปรับตัวลงเริ่มชัดขึ้น


เมื่อเช้าวันอังคารที่ 22/02/54 SET มีแรงขายออกมาตอนเปิดตลาด ลบไปประมาณ 9 จุด มาเปิดที่ระดับ 984.58 จุด หลุดแนวรับที่ 985 จุด จากนั้นในช่วงบ่ายก็มีลงไปทำ Low ที่ 982.42 จุด ก่อนที่จะ Rebound ขึ้นมา 5 จุด ขึ้นมายืนเหนือแนวรับเส้น 5 วัน ที่ระดับ 985 ได้ ก่อนที่จะมาปิดที่ 987.21 จุด -8.46 จุด

แนวโน้มในวันพุธที่ 23/02/54 มีแนวรับที่เส้น 5 วัน อยู่ที่ระดับ 985 จุด และเส้น 10 วัน อยู่ที่ระดับ 981 จุด และแนวต้านที่เส้น 75 วัน อยู่ที่ระดับ 990 จุด

มี Indicator แค่ MACD ตัวเดียว ที่ยังตรงตัวดีอยู่ได้
แต่มี Indicators 6 ตัว พลิกกลับมามีสัญญาณลบ โดยคือ OBV, CCI, ADX, Williams %R และ Fast Sto

1. (+) MACD ยังคงตัดเส้น Signal ขึ้นมาอยู่....
มีสัญญาณที่ดีอยู่
2. (-) OBV ลดลงจาก 581 ขึ้นไปที่ 553....
แสดงให้เห็นว่ายังมีแรงซื้อสะสมลดลง -28
3. (-) CCI ยังคงเพิ่มขึ้น จาก +111 ขึ้นไปที่ +62 ลดลงมา -48 ...ตัด 100 ลงมาแล้ว ให้ระมัดระวังแรงขาย
4. (-) เส้น ADX : DI+(30.51) ตัดเส้น DI-(33) ลงมาแล้ว...
มีสัญญาณขายเกิดขึ้นแล้ว
5. (-) Williams %R ขึ้นมาจาก -8.19 ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ -21.44.... %R ตัดเส้น -10 ลงมาแล้ว...
มีสัญญาณขายเกิดขึ้นแล้ว
6. (-) RSI ขึ้นมาจาก53.72% มาอยู่ที่ 50.17%... มีค่าลดลง SET เกิดสัญญาณลบ
7. (+/-) Fast Sto : %K ตัด %D อยู่เหมือนเดิม แต่ %K เริ่มลงมาอีก จาก 91.81 ลงมาที่ 78.56 (-14)...
สัญญาณไม่ค่อยดีนัก

-----------------------------------------------------------------------------
MARKET WAVE Analysis
23 กพ. 54 ( -8.46 จุด ) โกมล พงศ์วิญญู เลขทะเบียน 18338

เกิน 989.82 ปรับตัวขึ้น 997 - 1000 จุด
แนวโน้มในวันพุธนี้ถ้าปรับตัวขึ้น เกิน989.82 จุดสูงสุดของวันอังคาร และ เกินแนวต้านตามธรรมชาติของเส้นค่าเฉลี่ย 25 ชั่วโมงได้
ดัชนีสามารถปรับตัวกลับขึ้นไปแถว 997 – 1000ใกล้จุดสูงสุดเดิมของวันจันทร์ อีกครั้งและการปรับตัวขึ้น เกิน 1000.90จุดสูงสุดของวันจันทร์

และแนวต้านตามธรรมชาติของเส้นค่าเฉลี่ย 25 สัปดาห์ ภาพหนึ่งถึงสองสัปดาห์ข้างหน้า ดัชนีสามารถปรับตัวขึ้นต่อบริเวณ 1050 – 55 ใกล้จุดสูงสุดเดิมของปีนี้

อย่างไรก็ตาม คาดว่า ตลาดยังไม่น่าปรับตัวขึ้นผ่านจุดสูงสุดเดิมของปีนี้ 1056.44 ไปได้ง่ายนัก และ ยังคงมีความเสี่ยงที่จะปรับตัว
กลับลงมาบริเวณ 940 – 960 จุด อีกครั้งในเดือนมีค.

หุ้นเด่น
KBANK
ปรับตัวขึ้นมาแถวเส้นค่าเฉลี่ย 25 วันอีกครั้งรอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 114.50 จุดสูงสุดวันอังคาร และเส้นค่าเฉลี่ยดังกล่าว เป้าหมายสองสามวัน 118.50 – 120.00( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 112.00 )

IVL
ยังสามารถปรับตัวอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ย 25 วันได้ รอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 44.50 จุดสูงสุดวันอังคาร เป้าหมายสองสามวัน 47.00 –48.25( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 42.75 )

10 อันดับซื้อขายสูงสุด
CPF ต่ำกว่า 23.20 ลง 22.70 – 22.80
IVL รายละเดียดใน “หุ้นเด่น”
PTTEP แกว่งตัว 173 – 177
PTTCH แกว่งตัว 150 - 154
PTT ขึ้น 335 - 336
SCB เกิน 104 ขึ้น 111 - 114
BANPU ไม่ต่ำกว่า 754 ขึ้น 766 - 770
BBL เกิน 157 ขึ้น 160 – 161.50
KBANK รายละเดียดใน “หุ้นเด่น”
JAS ต่ำกว่า 1.87 ลง 1.78 – 1.83

-----------------------------------------------------------------------------
เย็นนี้ BANPU ประกาศผลประกอบการ พรุ่งนี้มี PTTCH, PTTAR ส่วน PTT วันที่ 25 ก.พ.

CPALL (BUY) - กำไร 4Q10 ดีกว่าคาด ทั้งปี โต 33% และจ่ายปันผลเท่ากับคาด
 กำไรสุทธิ 4Q10 ดีกว่าเราและ Consensus คาด จากสัดส่วนค่าใช้จ่ายต่อยอดขายที่น้อยกว่าคาด โดยเป็นกำไรที่ชะลอตัวปกติ 7% Q-Q แต่ถือเป็นระดับกำไรที่ดีมาก +41% Y-Y และจากกำไรที่ดีตลอด 4 ไตรมาส ทำให้กำไรทั้งปี 2010 เติบโตสูงถึง 34% โดยมีจำนวนสาขาใหม่เพิ่มขึ้น 520 สาขา และคาดกำไรปี 2011 จะโตต่อเนื่องอีก 16% จากการบริโภคภายในประเทศที่เพิ่มขึ้น การขยายสาขาต่อเนื่อง และเน้นเพิ่มสัดส่วนสินค้าอาหารที่มีอัตรากำไรสูง จึงคาดมีอัตรากำไรขั้นต้นสุงสุดในกลุ่มต่อไป ราคาเป้าหมายเท่ากับ 48 บาท (DCF) คิดเป็น PE 27 เท่า และ EV/EBITDA ที่ 16 เท่า แม้สูงกว่าค่าเฉลี่ยในกลุ่มค้าปลีกของไทย แต่มี ROE สูงที่สุดในกลุ่มที่ 38% และมี Upside 26% นอกเหนือจากอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลงวดปี 2010 ราว 3% (ไม่รวมปันผลพิเศษระหว่างกาล) จึงยังแนะนำ “ซื้อ”

-----------------------------------------------------------------------------
E Finance Thai : เวลาลุยหุ้น IVL

วงการเชียร์ IVL หลังกำไรปี 53 ดีเกินคาด โตถึง 119% โดยเฉพาะQ4/53ผลงานโต 190%ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ส่วนปีนี้มองผลงานโตไม่น้อยกว่า 32%ตามอุตสาหกรรม Petrochem ที่มีแนวโน้มสดใส แถมยังรับรู้รายได้จาก Invista ใน มี.ค. 54 และจะเริ่มรับรู้กำไรเต็มไตรมาสใน Q2/54เป็น Highlight การเติบโตของกำไรปีนี้ ขณะที่ Spread Margin ยังอยู่ในระดับสูงตามแนวโน้มของ Demand ที่เพิ่มขึ้น ด้านผู้บริหาร คาดยอดขายปีนี้โต 70% หลังราคาผลิตภัณฑ์อยู่ในแนวโน้มขาขึ้น โบรกฯแนะซื้อให้ราคาเป้าหมายตั้งแต่ 46-64บาท

เข้าสู่ฤดูการประกาศผลงานประจำปี 2553 ขณะที่บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน)(IVL) เป็นบริษัทที่มีผลงานเติบโตอย่างโดดเด่น โดยปี 2553 มีกำไรสุทธิ 10,560 ลบ. เพิ่มขึ้น 119% และผลประกอบการ Q4/53 มีกำไรสุทธิ 4,008 ลบ. เพิ่มขึ้น 190%เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากทั้งปริมาณการขายและราคาขายสินค้าที่เพิ่มขึ้นและดีกว่าที่โบรกฯคาดการณ์
เนื่องจากบริษัทร่วมทุนในอิตาลีกลับมามีกำไรหลังปรับปรุงเครื่องจักรใหม่ ทั้งนี้ผลประกอบการทั้งปี 2553 ที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่เป็นผลจากการปรับขึ้นของราคาขายสินค้า โดยเฉพาะ PTA ที่ปรับขึ้นกว่า 17% และปริมาณการการขายรวมก็เพิ่มขึ้น 5% จากโรงงานอัลฟ่าเพ็ทเดินเครื่องเต็มกำลังผลิต ที่สำคัญผลประกอบการ Q4/53 ที่มีกำไรเพิ่มขึ้นมากเพราะราคาขาย PTA เฉลี่ยปรับขึ้น 21%Q-Q และปริมาณการขายรวมเพิ่มขึ้น 2%Q-Q การปรับขึ้นของราคาสินค้า แต่ตันทุนวัตถุดิบปรับขึ้นล่าช้ากว่าส่งผลให้บริษัทมีความสามารถในการทำกำไรเพิ่มขึ้นโดย กำไรขั้นตันหรือ Integrated spreads ของ PTA และ PET ในไตรมาสนี้สูงกว่ากำไรขั้นตันเฉลี่ยใน 8 ไตรมาสที่ผ่านมา
ขณะที่บอร์ดI VL มีมติจ่ายปันผลงวดวันที่ 1 ม.ค.-31 ธ.ค. 2553 เป็นเงินสดอัตรา 0.66บาท/หุ้น กำหนดจ่าย 24 พ.ค. 2554
ส่งผลให้ราคาหุ้น IVL วานนี้ (22 ก.พ.54) เป็นหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นสวนทิศทางตลาด และเป็นหุ้นที่ดันดัชนีฯ มากที่สุด แม้ช่วงเปิดการซื้อขาย ราคาจะปรับตัวลดลงโดยเปิดตลาดที่ 41.50 บาท ก่อนจะรีบาวน์ จนแตะระดับสูงสุดที่ 44.50 บาท และปิดที่ 44.25บาท เพิ่มขึ้น 2.00 บาทหรือ 4.73% มูลค่าการซื้อขาย 2090.86 ล้านบาท โดยราคาหุ้นที่ปรับเพิ่มขึ้นมีผลต่อตลาด 1.0941 จุด
ส่วนSET Index ปิดที่ 987.21จุด ลดลง 8.46จุดหรือ 0.85% มูลค่าการซื้อขาย 28,304.06ล้านบาท

***FSSแนะซื้อเก็งกำไรระยะสั้น ราคาเป้าหมาย 46 บาท หลังผลงานปี 53ดีกว่าคาด***

บล.ฟินันเซีย ไซรัส (FSS)คาดว่า แนวโน้มกำไรปี 2554 ดีต่อเนื่องจากทั้งกำลังผลิตที่เพิ่มขึ้นของโรงงานอัลฟ่าเพ็ทเต็มที่และเต็มปีเป็นปีแรก โรงงาน PTA และ PET ในอิตาลีจากขาดทุนกลับมาเป็นกำไรไตรมาสละประมาณ 1,000 ลบ. นอกจากนี้หากผลการซื้อกิจการจีน อเมริกา เม็กซิโก อินโดนีเชียและโปแลนด์เสร็จภายใน 1H11 จะทำให้กำลังผลิตติดตั้งของทั้งหมดอีก 2.1 ล้านตัน จากปัจจุบัน 3.6 ล้านตัน โดยใช้เงินทุนจากการเพิ่มทุนและกู้ยืนจากธนาคาร ซึ่งเรายังไม่ได้รวมอยู่ในประมาณการ คาดว่ากำไรสุทธิปี 2554 จะโตอีก 34.5% แต่กำไรสุทธิต่อหุ้นหลังเพิ่มขึ้นจะโต 21%
ยังแนะนำ ซื้อเก็งกำไรระยะสั้น ราคาเป้าหมาย 46 บาท (อิง DCF@WACC 8.5%) เนื่องจากผลประกอบการปี 2553 ดีกว่าคาด แต่ราคาหุ้นปัจจุบันมี Upside จำกัดเมื่อเทียบกับราคาเป้าหมาย และเนื่องจากราคาวัตถุดิบ (PX) ปรับขึ้นแรงในช่วงตั้งแต่ต้นปี 2554 อาจจะส่งผลให้ Margin ของบริษัทแคบคง อย่างไรก็ตามเนื่องจากภาวะอุตสาหกรรม Petrochem กำลังมีแนวโน้มสดใสจากความต้องการใช้สินค้าบรรจุภัณฑ์และสิ่งทอซึ่งเป็นทำให้ตลาดมีความต้องการใช้เม็ดพลาสติก PET มากยิ่งขึ้น ทำให้มีแนวโน้มว่าราคา PTA PET และ Polyester ปรับตัวสูงขึ้นได้อีก และคาดว่ากำไรสุทธิปี 2554 จะโตอีก 34.5% แต่กำไรสุทธิต่อหุ้นหลังเพิ่มขึ้นจะโต 21%ดังนั้นจึงแนะนำ ซื้อเก็งกำไร

***KEST ปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 54 เป็น 13,390 ลบ. แนะนำ ซื้อ คงราคาเป้าหมายเดิมที่ 52 บาท ***

บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย )(KEST)ปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 2554 โดยคาดการณ์ว่าผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/54 จะดีกว่าไตรมาส 4/53 จาก spread margin ของ PTA และ Polyester ที่ทรงตัวในระดับสูงราว $350 ต่อตัน รวมถึงกำลังการผลิตใหม่ที่คาดเพิ่มขึ้นถึง 1 ใน 3 ของกำลังการผลิตเดิมในไตรมาส 1/54 ด้วย ดังนั้นกำไรจากการดำเนินงานในงวดไตรมาส 1/54 คาดจะสูงกว่าไตรมาสก่อนหน้า นอกจากนี้ได้ปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 2554 ของ IVL จาก 11,971 ล้านบาท (2.49 บาทต่อหุ้น) เป็น 13,390 ล้านบาท (2.78 บาทต่อหุ้น) โดยปรับเพิ่มสมมติฐาน spread margin ของ PET, เส้นใยโพลีเอสเตอร์ และ PTA เป็น $230, $330, และ $320 ต่อตัน จากแนวโน้ม spread margin ของ PTA และเส้นใยโพลีเอสเตอร์ที่ทรงตัวในระดับสูง ซึ่งได้แรงหนุนจากราคา cotton ที่ปรับตัวสูงขึ้น และปัญหา Supply shortage ในอุตสาหกรรมต้นน้ำ ในเบื้องต้นบริษัทคาดการณ์ว่ากำลังการผลิตรวม จะเพิ่มขึ้นอีก 2.1 ล้านตัน เป็น 5.7 ล้านตันในช่วงครึ่งแรกของปี 2554
ทั้งนี้ยังคงคำแนะนำ ซื้อ สำหรับ IVL โดยอิงราคาเป้าหมายเดิมที่ 52 บาทตามวิธีคิดลดกระแสเงินสดสำหรับกิจการ (DCF) อ้างอิงอัตราส่วนคิดลด (WACC) ที่ 10.27% อ้างอิงค่าเบต้าถัวเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่ 1.3 และค่า terminal growth ที่ 3% จาก 1) ส่วนลดจากราคาเป้าหมายที่ 23% คุ้มค่าที่จะเสี่ยงกับโอกาสในการเติบโตของกิจการในอนาคต, 2) ราคาหุ้นปัจจุบันปรับตัวลงมาซื้อขายบน P/E ปี 2554 ที่ 15.2 เท่า ต่ำกว่า P/E ในอดีตของ IVL ที่เทรดกันสูงกว่า 20 – 35 เท่า ขณะที่ปัจจัยพื้นฐานยังแข็งแกร่งเหมือนเดิม, 3) กำไรในอนาคตของบริษัทจะเติบโตแข็งแกร่งเฉลี่ย (CAGR) 23 - 25% ต่อปีในระยะ 4 ปีข้างหน้า ตามการขยายตัวของอุปสงค์ทั่วโลกต่อ PET และโพลีเอสเตอร์สำหรับผลิตบรรจุภัณฑ์ และเครื่องนุ่งห่ม และจากการขยายกิจการโดยสร้างโรงงานใหม่ หรือเข้าซื้อกิจการของผู้ผลิตที่มีผลการดำเนินงานย่ำแย่, 4) คาดผู้ถือหุ้นใช้สิทธิแปลง IVL-T1 ครบจำนวนในวันที่ 24 กุมภาพันธ์, และ 5) IVL จะถูกเพิ่มน้ำหนักการลงทุนใน MSCI Thailand จาก 2.6129% เป็น 3.1174% ซึ่งจะมีผลตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2554

*** บล.กรุงศรีอยุธยา คาด ผลงานมีแนวโน้มสูงขึ้น ตามกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น แนะซื้อ ให้มูลค่าพื้นฐาน 64.00 บาท ***

ด้านบล. กรุงศรีอยุธยา คงประมาณการกำไรสุทธิปี 54 เท่ากับ 14,598 ล้านบาท (+38.2%YoY) จากแนวโน้มราคาผลิตภัณฑ์ที่ทรงตัวในระดับสูงตามราคาคอนตตอนในตลาดโลก รวมไปถึงกำลังการผลิตติดตั้งรวมของโรงงาน PTA, PET และ Polyester ที่จะเพิ่มขึ้นจาก 3.4 ล้านตัน/ปี ในปี 53 เป็น 5.7 ล้านตัน/ปี ในปี 54 หรือเพิ่มขึ้น 67.6% ตามแผนการซื้อโรงงานที่ประกาศในช่วงปลายปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ คาดว่าความสามารถในการทำกำไรของบริษัทยังอยู่ในระดับสูง โดยอัตรากำไรขั้นต้น (Gross margin) ในปี 54 จะทรงตัวที่ระดับ 15% เช่นเดียวกับปี 53 ตามนโยบายการปรับราคารายเดือนกับลูกค้า
ทั้งนี้ประเมินมูลค่าพื้นฐาน 64.00 บาท (DCF, WACC 9.8%) และแนะนำ ซื้อ โดยผลประกอบการมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องตามกำลังการผลิตที่ทยอยเพิ่มขึ้น บริษัทประกาศจ่ายเงินปันผลสำหรับผลประกอบการปี 53 ในอัตรา 0.66 บาท/หุ้น คิดเป็นผลตอบแทน 1.6% ขึ้น XD วันที่ 6 พ.ค. 54 พร้อมกันนี้ ยังแนะนำ “ใช้สิทธิ” ซื้อหุ้นเพิ่มทุนสำหรับนักลงทุนที่ถือใบแสดงสิทธิในการซื้อหุ้นเพิ่มทุนที่โอนสิทธิได้ หรือ IVL-T1 ในอัตราส่วน 1 ใบแสดงสิทธิ ต่อ 1 หุ้นสามัญ ในราคา 36 บาท/หุ้น ที่จะครบกำหนดภายในวันที่ 24 ก.พ. นี้

*** บล.ทิสโก้ มอง แนวโน้มดีจากการเข้าซื้อกิจการและกำไรของ polyester คาดว่ากำไรปกติปี 54อาจโต 76% แนะซื้อราคาเป้าหมาย 48 บาท ***

บล. ทิสโก้ ยังคงแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 48 บาท (DCF) อิงจากแนวโน้มที่ดีในระยะยาวสำหรับการเข้าซื้อกิจการและอัตรากำไรของ polyester คาดว่ากำไรปกติน่าจะโต 76% YoY ในปี 2554F อิงจากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นจากการเข้าซื้อกิจการ และส่วนต่างผลิตภัณฑ์โดยรวมที่สูงขึ้น

*** บล.เกียรตินาคิน แนะซื้อ ประเมินมูลค่าที่เหมาะสม 60 บาท***

บล.เกียรตินาคิน ประเมินแนวโน้มกำไรปี 2554 ยังเชื่อว่าจะเห็นการเติบโตไม่น้อยกว่า 32%yoy โดยเฉพาะการรับรู้รายได้จาก Invista ใน มี.ค. 54 และจะเริ่มรับรู้กำไรเต็มไตรมาสใน Q2/54 ถือเป็น Highlight ของการเติบโตของกำไรสุทธิในปี 2554 ขณะที่ Spread Margin ยังอยู่ในระดับสูงตามแนวโน้มของ Demand ที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะจากกลุ่ม Polyester ทำให้คาดว่าบริษัทจะมีกำไรสุทธิในปี 54 ไม่น้อยกว่า 13,888 ล้านบาท
บริษัทประกาศจ่ายเงินปันผลปี 2553 ในอัตรา 0.66 บาท ให้ Yield 1.56% บริษัทจะขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 6 พ.ค. 54 และจ่ายเงินปันผล 24 พ.ค. 54 ขณะที่คาดเงินปันผลในปี 2554 จะไม่น้อยกว่า 0.90 บาท ให้ Yield 2.13%ปัจจัยพื้นฐานยังแข็งแกร่งเพียงพอ ยังคงแนะนำ ซื้อ โดยประเมินมูลค่าที่เหมาะสม 60 บาท

*** IVL คาดยอดขายปีนี้โต 70% หลังราคาผลิตภัณฑ์มีแนวโน้มขาขึ้น***

ด้านนายอาลก โลเฮีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน)(IVL) กล่าวว่า คาดว่ายอดขายของบริษัทฯ ในปีนี้จะเติบโตเพิ่มขึ้น 70% จากปีที่ผ่านมา ซึ่งบริษัทฯ ทำยอดขายได้ 3,055 ล้านเหรียญสหรัฐ ทั้งนี้เนื่องจากแนวโน้มราคาผลิตภัณฑ์เป็นขาขึ้น ทั้งจากธุรกิจ PET และ PTA ส่งผลให้ในช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้สเปรดของผลิตภัณฑ์ดีกว่าไตรมาส 4 ปีที่แล้ว
ทั้งนี้จากผลประกอบการของบริษัทเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลัง(2549-2553) บริษัทฯ จะมียอดขายเติบโตโดยเฉลี่ย 44% และมีกำไรสุทธิเติบโตเฉลี่ย 79%
"ส่วนเหตุความไม่สงบที่เกิดขึ้นในตะวันออกกลาง เชื่อว่าจะไม่กระทบผลประกอบการของบริษัทฯ เนื่องจากบริษัทฯ มีการลงทุนในระยะยาว แต่เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นเพียงระยะสั้นเท่านั้น ซึ่งตลาดของบริษัทฯ ที่ใหญ่ที่สุดคือตลาดยุโรปมีสัดส่วน 35% และสหรัฐฯ 30%" นายอาลก กล่าว
สำหรับ แผนการดำเนินธุรกิจในช่วง 4 ปีข้างหน้า (2554-2557)ว่า บริษัทฯ จะใช้เงินลงทุนทั้งหมดจำนวน 3.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ แบ่งเป็น 1 พันล้านเหรียญสหรัฐจะใช้ลงทุนสำหรับรายการที่ได้ลงนามไปแล้วในครึ่งหลังปี 2553 และจะแล้วเสร็จในไตรมาสแรกปี 2554
ส่วนที่เหลืออีก 2.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ จะถูกใช้ในปี 2554-2557 ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในโครงการใหม่ รวมถึงการใช้เพื่อเข้าซื้อกิจการ ซึ่งขณะนี้บริษัทฯ เจรจาอยู่หลายราย โดยในช่วง 4 ปีจากนี้บริษัทฯ ไม่มีความจำเป็นต้องเพิ่มทุนอีกครั้งหลังจากการเพิ่มทุนครั้งล่าสุด เนื่องจากมีเงินทุนที่เพียงพอ โดยแหล่งเงินทุนจะมาจากการเพิ่มทุนครั้งล่าสุด การกู้ยืม และกระแสเงินสดในบริษัทฯ ขณะเดียวกันบริษัทฯ จะรักษาระดับหนี้สินสุทธิต่อส่วนผู้ถือหุ้นที่ประมาณ 1 เท่า ยกเว้นในบางไตรมาส เช่น หลังจากบริษัทฯ ได้มีการเข้าซื้อกิจการอัตราส่วนดังกล่าวอาจสูงกว่าที่คาดไว้เป็นบางช่วงระยะเวลา
ทั้งนี้ บริษัทฯ มีเป้าหมายเพิ่มกำลังการผลิตมาอยู่ที่ 10 ล้านตันต่อปี ภายในปี 2557 แบ่งเป็น PET 4.4 ล้านตัน PTA 4.1 ล้านตัน และเส้นใย 1.5 ล้านตัน โดยได้วางแผนที่จะเข้าซื้อกิจการ 5 แห่ง และโครงการใหม่ 7 แห่ง โดยการเข้าซื้อกิจการ PET ในตะวันออกกลาง 2 แห่ง เข้าซื้อกิจการธุรกิจ PTA ในเอเชีย 1 แห่ง ธุรกิจเส้นใยในเอเชีย 1 แห่ง และยุโรปอีก 1 แห่ง
ส่วนการก่อสร้างโครงการใหม่จะกระจายไปยังอินเดียและตะวันออกกลาง นอกจากนี้บริษัทฯ มีการเจรจาในการเข้าซื้อกิจการอีกประมาณ 6 ราย แต่ขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนจึงยังไม่ขอชี้แจงในรายละเอียด


-----------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ตปท

-----------------------------------------------------------------------------


Code 362 : 22/02/54 แรงซื้อน้อยลง และมีแรงขายออกมาให้เห็นบ้างแล้ว

วันอังคารที่ 22 กุมภาพันธ์ 2554

ATT Code :
แรงซื้อน้อยลง และมีแรงขายออกมาให้เห็นบ้างแล้ว



เมื่อเช้าวันจันทร์ SET มีแรงซื้อเข้ามาตอนเปิดโดยเปิดบวกไป +4.77 จุด เปิดที่ 1,000.34 จุด โดยมีแรงซื้อเข้ามาในกลุ่มพลังงานและแบงค์ แต่หลังจากเปิดตลาดมา ก็มีแรงขายออกมาแรงและอย่างต่อเนื่อง ทำให้ SET ลงไป -12 จุด จากตอนเปิดตลาด หลุด 990 จุด ลงไป Low ที่ 998.31 จุด แต่เมื่อตั้งตัวได้ก็กลับมีแรงซื้อกลับเข้าในกลุ่มเดิมบ้าง จนสามารถดีดกลับขึ้นมาเป็นบวกได้เล็กน้อย +0.10 จุด ที่ระดับ 995.67 จุด ต่างชาติซื้อสุทธิ 3.3 พันล้านบาท
.
แนวโน้มในวันอังคารที่ 22/02/54 มีแนวรับที่เส้น 75 วัน อยู่ที่ระดับ 990 จุด และเส้น 5 วัน อยู่ที่ระดับ 985 จุด และแนวต้านสำคัญอยู่ที่ 1,0000 จุด
.
Indicators 5 ตัว ยังดูดีอยู่ แต่มีสัญญาณลบ จาก Indicator 2 ตัว ที่เริ่มพลิกลงมาแล้วคือ Williams %R และ Fast Sto

1. (+) MACD ยังคงตัดเส้น Signal ขึ้นมาอยู่.... มีสัญญาณบวกที่ดีอยู่
2. (+) OBV เพิ่มขึ้นจาก 555 ขึ้นไปที่ 581.... แสดงให้เห็นว่ายังมีแรงซื้อสะสมเพิ่มขึ้น +16
3. (+/-) CCI ยังคงเพิ่มขึ้น จาก +109 ขึ้นไปที่ +111 บวกมา 2 ... เกิน 100 ขึ้นมาแล้ว ต้องระมัดระวังเพราะ SET เริ่มมีการปรับตัวขึ้นมาสูงแล้ว แต่ก็ยังมีสิทธ์ที่จะขึ้นไปต่อได้ถึง High เดิมที่ 184... แต่ถ้าเริ่มจะตัด 100 ลงมา ต้องให้ระมัดระวังแรงขาย
4. (+) เส้น ADX : DI+(32.65) ตัดเส้น DI-(32.23) ขึ้นมาแล้ว... มีแนวโน้มที่ดีขึ้น
5. (-) Williams %R ขึ้นมาจาก -0.61 ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ -8.19.... เข้าเขต Overbought และก็เริ่มที่จะลงมาตัดเส้น -10 ลงมาแล้ว... สัญญาณไม่ค่อยดีนัก
6. (+/-) RSI ขึ้นมาจาก53.68% มาอยู่ที่ 53.72%... ไม่มีผลเท่าไหร่
7. (-) Fast Sto : %K ตัด %D อยู่เหมือนเดิม แต่ %K เริ่มลงมาแล้ว จาก 99.39 ลงมาที่ 91.981... สัญญาณไม่ค่อยดีนัก

-----------------------------------------------------------------------------
MARKET WAVE Analysis
22 กพ. 54 ( +0.10 จุด ) โกมล พงศ์วิญญู เลขทะเบียน 18338

ปรับตัวลง 976 – 986 จุด
แนวโน้มในวันอังคารนี้ ดัชนีมีโอกาสปรับตัวลงมาบริเวณ 976 – 986 จุด ซึ่งเป็นบริเวณแนวรับตามธรรมชาติของเส้นค่าเฉลี่ย 25
ชั่วโมง และบริเวณแนวรับ Fibonacci Ratio38.2% ของการปรับตัวขึ้นมาจากจุดต่ำสุดวันที่11 กพ.

จากนั้นการปรับตัวขึ้น เกิน 1000.90 จุดสูงสุดของวันจันทร์ และแนวต้านตามธรรมชาติของเส้นค่าเฉลี่ย 25 สัปดาห์ ภาพดัชนีระยะสัปดาห์สามารถปรับตัวขึ้นต่อแถว 1050 –55 ใกล้จุดสูงสุดเดิมของปีนี้

อย่างไรก็ตาม ดัชนียังไม่น่าจะปรับตัวผ่าน 1056.44 จุดสูงสุดเดิมของปีนี้ได้ และ ภาพในเดือน มีค. ตลาดน่าจะยังคงมีความเสี่ยงที่จะ
ปรับตัวกลับลงมาบริเวณ 940 – 950 ใกล้จุดต่ำสุดของเดือนกพ. อีกครั้ง
หุ้นเด่น
TTCL
ปรับตัวขึ้นมาอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ย 25 วันได้อีกครั้ง ทยอยซื้อแถว 8.45 – 8.55 หรือรอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 8.70 จุดสูงสุดวันจันทร์เป้าหมายหนึ่งถึงสองวัน 8.90 – 9.40( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 8.40 )
SCB
ปรับตัวขึ้นมาอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ย 25 สัปดาห์ได้อีกครั้ง รอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 104.00จุดสูงสุดวันจันทร์ เป้าหมายระยะสัปดาห์111.00 – 114.00( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 101.00 )

10 อันดับซื้อขายสูงสุด
SCB รายละเดียดใน “หุ้นเด่น”
BANPU ปรับตัวลง 734 – 750
PTTCH เกิน 154 ขึ้น 161 - 164
PTT เกิน 332 ขึ้น 334 - 336
CPF เกิน 23.10 ขึ้น 23.50 - 25
IVL รายละเดียดใน “หุ้นเด่น”
TRUE เกิน 6.35 ขึ้น 6.45 – 6.55
KBANK ปรับตัวลง 112 - 114
CPALL เกิน 39.25 ขึ้น 39.50 – 40
PTTAR ไม่น่าเกิน 40.50 – 40.75

-----------------------------------------------------------------------------
Commodities WoW :
• สัปดาห์ที่ผ่านมาราคาน้ำมันดิบปรับขึ้นต่อเนื่องจากปัญหาการเมืองในตะวันออกกลางรุนแรงขึ้น
• ค่าการกลั่นปรับขึ้น W-W เล็กน้อย (เป็นบวกต่อ TOP, ESSO และ BCP)
• ราคาปิโตรเคมีต้นน้ำสายโอเลฟินส์ปรับขึ้นเล็กน้อย และปรับขึ้นต่อเนื่อง 13 สัปดาห์ติดต่อกัน (เป็นบวกต่อ PTTCH)
• ราคาอะโรเมติกส์ PX ปรับขึ้นเล็กน้อย W-W (เป็นบวกต่อ PTTAR TOP และ ESSO)
• ราคาเม็ดพลาสติก HDPE ทรงตัว (เป็นกลางต่อ PTTCH, SCC) ส่วน PVC ปรับขึ้นเล็กน้อย (เป็นลบต่อ VNT และTPC)
• ราคา PTA ทรงตัวสัปดาห์นี้ หลังปรับขึ้นเป็นสัปดาห์ที่ 11 ติดต่อกัน แต่เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบ(PX)ปรับขึ้นทำให้ Margin แคบ (เป็นกลางต่อ IVL)
• ราคาถ่านหินปรับลง 0.80 USD/ตัน (เป็นกลาง BANPU, LANNA และ AGE)
• ราคาหมูและไก่ยังสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยล่าสุดราคาหมู อยู่ที่ 60.50 บาท/กก. (+17% YTD) และราคาไก่ทำ New High +2% W-W อยู่ที่ 48.50 บาท/กก. (+9% YTD) (เป็นบวกต่อ CPF)
• ราคายางพารายังทำ New high ต่อเนื่อง +2% W-W อยู่ที่ 189.74 บาท/กก. จากการเร่งสต็อกยาง เนื่องจากเข้าใกล้ช่วงปิดหน้ายาง (มี.ค. – เม.ย.) (เป็นบวกต่อ STA)

PS (BUY) : กำไรปกติ 4Q10 และปี 2010 ตามคาด จ่ายปันผลปี 10 ที่ 0.50 บาท
 กำไรปกติ 4Q10 เพิ่มมาก Q-Q จากยอดโอนฟื้นขึ้น มีกำไรปกติที่ 1,059 ล้านบาท (+194.8% Q-Q,-35.6% Y-Y) ตามคาด โดยมียอดโอนประมาณ 6.9 พันล้านบาท โดยยอดโอนทาวน์เฮาส์ 3.9 พันล้านบาท (+78.9% Q-Q,+ 34.6% Y-Y) บ้านเดี่ยว 2 พันล้านบาท (+96.2% Q-Q,+10.7% Y-Y) และคอนโด 934 ล้านบาท (+85.3% Q-Q,-68.1% Y-Y) โดยยอดโอนบ้านแนวราบดีขึ้นมากจาก 3Q10 หลังจากได้ปรับปรุงการก่อสร้างให้เร็วขึ้นโดยใช้ระบบ Prefabrication เข้ามาช่วยทำให้มียอดโอนดีขึ้นมากในเดือนพ.ย.-ธ.ค. และมียอดโอนจากคอนโดฯ 2 โครงการ คือ IVY ปิ่นเกล้าและ The Seed Musee (Sukumvit 26) จะเริ่มโอนได้ในเดือนธ.ค. จำนวน 934 ล้านบาท ส่วนอัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ยอยู่ที่ 38.7% ใกล้เคียงกับ 3Q10

STEC (BUY) : กำไรปกติ 4Q10 และปี 2010 ดีกว่าคาด
 กำไรปกติ 4Q10 เพิ่ม 25.9% Q-Q และ 37.7%Y-Y มีกำไรปกติ 149 ล้านบาท สูงกว่าคาดไว้ 23% โดยมีรายได้การก่อสร้างที่ 3.3 พันล้านบาท (+61.1% Q-Q,+29.2%Y-Y) ดีขึ้นจาก 3Q10 มาก โดยหลักๆ มาจากรายได้จากการก่อสร้างสายสีม่วงที่ก่อสร้างได้เร็วขึ้น คาดว่าคืบหน้า 4% จาก 3Q10 มาอยู่ที่ 12% และมีรายได้จากการก่อสร้างโรงไฟฟ้า SPP 7 โรงประมาณ 300-500 ล้านบาท ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นอ่อนลงเป็น 8.6% จาก 3Q10 ที่ 10.1%

-----------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย

ลุยหุ้นรับเหมาฯ!..กำไรพุ่ง-งานทะลัก
STEC - CK - ITD ราศีจับ!! สารพัดข่าวดีหนุน ผลประกอบการปี 53 พุ่งกระฉูด ขณะที่ปีนี้ยังโตต่อเนื่อง ล่าสุดเดินหน้าเซ็นสัญญารับงานก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน มูลค่ารวมกว่า 2.5 หมื่นล้านบาท พ่วงงานก่อสร้างโรงไฟฟ้าภาคเอกชนหลายแห่ง ด้านโบรกเกอร์เชียร์ซื้อยกกลุ่ม ไม่หวั่นต้นทุนวัสดุฯและดอกเบี้ยเพิ่มสูงขึ้น

หุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ซึ่งประกอบด้วย บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด(มหาชน) หรือ STEC บริษัท ช. การช่าง จำกัด (มหาชน)หรือ CK บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน)หรือ ITD กลับมาฉายแววโดดเด่นอีกครั้ง หลังจากที่ถูกกดดันจากต้นทุนวัสดุก่อสร้างและอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในช่วงขาขึ้นพักใหญ่ แต่ปัจจัยลบดังกล่าวถูกลดทอนลงไปมาก เมื่อหุ้นกลุ่มนี้ทยอยรับงานก่อสร้างภาครัฐอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโครงการรถไฟฟ้าสายต่างๆที่มีการเซ็นสัญญาอย่างเป็นทางการ และโครงการโรงไฟฟ้าของภาคเอกชน ส่งผลให้มูลค่างานในมือของบริษัทเหล่านี้พุ่งสูงสุดในรอบหลายปี
นอกจากนั้น คาดว่าบริษัทเหล่านี้จะประกาศผลการดำเนินงานปี 53 ออกมาโดดเด่น เนื่องจากในปีที่ผ่านมามียอดรับรู้รายได้จากโครงการที่สร้างเสร็จค่อนข้างมาก ขณะที่โบรกเกอร์ยังคงแนะนำซื้อลงทุนทั้ง 3 บริษัท เพราะคาดว่าแนวโน้มผลประกอบการในปี 54 จะยังดีต่อเนื่อง

***** STEC ฟันกำไรพุงกาง
นายวรพันธ์ ช้อนทอง กรรมการ บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด(มหาชน) หรือ STEC เปิดเผยว่า ผลประกอบการปี 53 บริษัทมีผลกำไรสุทธิรวมในส่วนของผู้ถือหุ้นบริษัทใหญ่เป็นจำนวนเงิน 443.76 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2552 ที่มีกำไร 304.82 ล้านบาท หรือกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนเงิน 138.94 ล้านบาท คิดเป็น 45.58% ซึ่งมีสาเหตุดังนี้
1. บริษัทและบริษัทย่อย มีกำไรขั้นต้นรวมปี 2553 เป็นจำนวนเงิน 859.92 ล้านบาท คิดเป็น 9.26% ในขณะที่ปีก่อนบริษัทฯและบริษัทย่อยมีกำไรขั้นต้นรวมเป็นจำนวนเงิน 584.32 ล้านบาท คิดเป็น 4.88% ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อนเป็นจำนวนเงิน 275.61 ล้านบาท คิดเป็น 47.17% อันเนื่องมาจากโครงการที่มีอัตรากำไรขั้นต้นต่ำมากได้ก่อสร้างเสร็จไปแล้วเป็นส่วนใหญ่ในปีที่ผ่านมา 2. บริษัทฯและบริษัทย่อยมีค่าใช้จ่ายทางการเงินลดลงจากปีก่อนเป็นจำนวนเงิน 20.02 ล้านบาท

***** โบรกฯแนะซื้อ STEC ให้เป้าหมาย 15.70-17 บ.
บทวิเคราะห์บล.บัวหลวง ระบุว่า แนะนำซื้อ STEC โดยปรับลดราคาเป้าหมายปี 2554 เป็น 15.70 บาท จากเดิมที่ 18.70 บาท แม้ STEC รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 4/53 ที่ 152 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 10% YoY และ 33% QoQ ผลประกอบการดีกว่าที่เรา
คาดไว้ 45% และสูงกว่าประมาณการของตลาดอยู่ 40% เนื่องจากมีการบันทึกรายได้จากการก่อสร้างมากกว่าคาด

ทั้งนี้ บริษัทมีรายได้รวม 3.3 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 29% YoY และ 61% QoQ เนื่องจากโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ซึ่งมีความคืบหน้าไปได้ดี อย่างไรก็ตามเนื่องจากสัญญาดังกล่าวมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ต่ำกว่างานอื่นๆ จึงทำให้อัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ยลดลง 1.46% QoQ เป็น 8.61% (แต่ยังคงสูงกว่าที่รายงานในไตรมาส 4/52 ที่ 8.15%)ฐานะการเงินยังคงแข็งแกร่ง โดยสถานะเงินสดสุทธิเพิ่มขึ้นจาก 1.19 พันล้านบาท ณ สิ้นเดือนกันยายนปีที่แล้ว มาเป็น 1.89 พันล้านบาท ณ สิ้นปี 53

บล.บัวหลวง คาดว่าบริษัทจะยังคงรายงานกำไรสุทธิขยายตัวแข็งแกร่งหนุนโดยการรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่องจาก Backlog ที่สูงถึง 3.7 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้เมื่อวันพฤหัสบดีที่แล้ว STEC เซ็นสัญญาโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินอีก 2 สัญญา เรายังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2554 เท่าเดิมแต่เพื่อสะท้อนความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากแนวโน้มการปรับขึ้นของราคาวัสดุก่อสร้าง เราจึงได้ปรับลด PBV เป้าหมายลงเป็น +1.5 เท่าของส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (จากเดิม +2 เท่า) ดังนั้นเราจึงปรับลดราคาเป้าหมายปี 2554 เป็น 15.70 บาท จากเดิมที่ 18.70 บาท

บทวิเคราะห์บล.ทิสโก้ ระบุว่า แนะนำซื้อ STEC ให้ราคาเป้าหมาย 17 บาท อิงจาก PBV 4 เท่าปี 2554F โดยผลประกอบการของ STEC ดีกว่าที่เราคาดไว้ แต่เรายังคงประมาณการผลประกอบการสำหรับปี 2554-55F โดยมีปัจจัยเสี่ยง คือ ต้นทุนบานปลายจากราคาวัสดุก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นระลอกใหม่, การชนะโครงการใหม่ที่น้อยกว่าคาด, การแข่งขันที่เพิ่มขึ้น และการก่อสร้างที่ล่าช้า และความไม่มีเสถียรภาพทางการเมือง รวมทั้งงานภาครัฐที่ถูกเลื่อนออกไป

***** ช.การช่าง เซ็นรับงานรวดเดียว 1.6 หมื่นลบ.
รายงานข่าวจากบริษัท ช. การช่าง จำกัด (มหาชน)หรือ CK เปิดเผยว่า บริษัทฯได้ทำการลงนามสัญญาในโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย ช่วงหัวลำโพง-บางแค และบางซื่อ-ท่าพระ กับ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย จำนวน 2 สัญญา ซึ่งเป็นรายการธุรกิจปกติและเป็นไปตามเงื่อนไขทางการค้าโดยทั่วไปที่บริษัทฯ ทำกับบริษัทอื่น

ทั้งนี้ งานดังกล่าวประกอบด้วย รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน สัญญา 2 ซึ่งเป็นงานออกแบบควบคู่การก่อสร้างเส้นทางใต้ดิน ช่วงสนามไชย - ท่าพระซึ่งมีมูลค่าสัญญาทั้งสิ้น 10,687,643,224.84 บาท (หนึ่งหมื่นหกร้อยแปดสิบเจ็ดล้านหกแสนสี่หมื่นสามพันสองร้อยยี่สิบสี่บาทแปดสิบสี่สตางค์) รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม ระยะเวลาแล้วเสร็จ ประมาณ 1,890 วัน และสัญญาที่ 5 ซึ่งเป็นงานออกแบบควบคู่การก่อสร้าง ระบบรางรถไฟฟ้าของทั้งโครงการ มูลค่าสัญญาทั้งสิ้น 4,999,134,909 บาท (สี่พันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าล้านหนึ่งแสนสามหมื่นสี่พันเก้าร้อยเก้าบาทถ้วน) รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม ระยะเวลาแล้วเสร็จ ประมาณ 1,890 วัน

นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้ลงนามในสัญญา Engineering, Procurement and Construction Contract for 6 MW (AC) Solar Photovoltaic Power Park (โครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ในจังหวัดนครราชสีมา) กับ บริษัท นครราชสีมา โซล่าร์ จำกัด มูลค่าโครงการ 740,119,896 บาท ซึ่งเป็นรายการธุรกิจปกติและเป็นไปตามเงื่อนไขทางการค้าโดยทั่วไปที่บริษัทฯ ทำกับบริษัทอื่น

*****เคจีไอ เชียร์ซื้อ CK ให้ราคาเหมาะสม 13.16 บ.
บทวิเคราะห์บล.เคจีไอ ระบุว่า CK เตรียมขายหุ้นบริษัทไซยะบุรี พาวเวอร์ 25% ให้ PTT* และคาดจะได้รับรู้กำไรพิเศษก่อนภาษีไม่ต่ำกว่า 2.2 หมื่นล้านบาทใน Q2/54 โดยภายหลังจากการขายหุ้นให้ PTT คาด CK จะยังคงถือหุ้นในสัดส่วน 30-35% และหุ้นส่วนที่เหลือจะขายให้กับพันธมิตร อาทิ ขายให้รัฐบาลลาวสัดส่วนราว 20%, บริษัทในประเทศลาว 5% เป็นต้น สำหรับเงินที่บริษัทจะได้รับ ส่งผลให้บริษัทมีสภาพคล่องในการดำเนินงานที่ดีและไม่มีความจำเป็นต้องเพิ่มทุนในระยะอันใกล้

นอกจากนี้ การเซ็นสัญญาทั้งจากโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินที่ผ่านมาและจากโครงการไซยะบุรีที่คาดจะเซ็นสัญญาใน 1Q54 คาดจะหนุนให้บริษัทมีกำไรปี 2554 เท่ากับ 920 ล้านบาท เปรียบเทียบกับผลขาดทุน 100 ล้านบาท ดังนั้น เรายังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสม 13.16 บาทต่อหุ้น

***** "อิตาเลียนไทยฯ" ซิวงานรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน 1.14 หมื่นลบ.
นางนิจพร จรณะจิตต์ กรรมการรองประธานบริหารอาวุโส บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน)หรือ ITD เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554บริษัทฯ ได้ร่วมลงนามในสัญญาก่อสร้าง กับ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เพื่อดำเนินการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย สัญญาที่1 ซึ่งเป็นงานโยธาส่วนใต้ดิน ช่วง หัวลำโพง-สนามชัย มูลค่าสัญญา 11,441,075,580.00 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ระยะเวลาก่อสร้าง 1,890 วัน

ด้านนายธวัชชัย สุทธิประภา กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ITD เปิดเผยว่า บริษัทฯคาดว่ามูลค่างานในมือ (Backlog) ในปีนี้จะมีมูลค่าเกิน 1.2 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก Backlog ณ สิ้นเดือนพ.ย. 53 ที่มีอยู่ราว 7 หมื่นล้านบาท พร้อมทั้งในปีนี้คาดว่าจะสามารถได้งานประมูลใหม่ มูลค่า 4-5 หมื่นล้านบาท โดยแบ่งเป็นสัดส่วน 50% มาจากงานในประเทศ และอีก 50% มาจากงานในต่างประเทศ อีกทั้งในปีนี้จะเน้นการเข้าประมูลงานในประเทศมากขึ้นจากในช่วง 14 ปีที่ผ่านมา บริษัทฯหันไปรับงานในต่างประเทศเป็นสัดส่วนสูง โดยในปี 53 ที่ผ่านมาบริษัทฯมีสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศอยู่ที่ 35% ของรายได้รวม และอยู่ในประเทศสัดส่วน 65%
โดยสาเหตุที่เน้นการประมูลในประเทศมากขึ้น เนื่องจากในปีนี้เชื่อว่าการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) จะมีการเปิดประมูลงานโครงการรถไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทฯประเมินว่ายังมีโอกาสที่จะได้งานประมูลโครงการรถไฟฟ้าของรฟม.ในปีนี้มูลค่ามากกว่า 2 หมื่นล้านบาท โดยมาจากโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง และสีเขียว และยังมีโอกาสที่จะมีการเปิดประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มในช่วงปลายปี

ในส่วนของงานในต่างประเทศของบริษัทฯ ปัจจุบันประกอบด้วยโครงการก่อสร้างที่บังคลาเทศ รวมถึงโครงการนิคมอุตสาหกรรมทวายในพม่า ซึ่งได้มีการเซ็น MOU เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยจะมีการว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาให้มีการออกแบบ อย่างไรก็ดีโครงการดังกล่าวยังไม่สามารถระบุได้ว่าจะรับรู้รายได้ในปีนี้ได้หรือไม่ เนื่องจากเป็นโครงการที่มีขนาดใหญ่ นอกจากนี้ยังมีงานในอินเดียที่บริษัทฯยังมีการเข้าประมูลอย่างต่อเนื่อง และงานก่อสร้างบาห์เรน

***** บล.ไอร่า ชี้ ITD เด่นสุดในกลุ่ม ให้เป้า 5.72 บ.
บทวิเคราะห์บล.ไอร่า ระบุว่า แนะนำซื้อ ITD ให้ราคาเป้าหมายปี’54 ที่ 5.72 บาท แม้ผลการดำเนินงานจากธุรกิจปกติยังมีความผันผวนสูง ไม่สามารถ Cover ค่าใช้จ่ายขายและบริหาร และดอกเบี้ย ที่คาดไม่ต่ำกว่า 4,000 ล้านบาท/ปี แต่คาด ITD มีความโดดเด่นจาก Backlog ที่มีอยู่เป็นระดับสูงสุดเมื่อเทียบกับ CK และ STEC สามารถรองรับการเติบโตของรายได้ไม่ต่ำกว่า 5 ปี

นอกจากนี้ ITD ยังมีงานที่เป็นผู้ประมูลราคาต่ำสุดและอยู่ระหว่างเจรจาต่อรอง อีกกว่า 100,000 ล้านบาท (ส่วนใหญ่เป็นงานในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น พม่า ลาว และมาเลเซีย เป็นต้น) รวมถึงโอกาสที่จะได้งานรับเพิ่มในประเทศเวียดนาม เช่น งานทางด่วน (78,000 ล้านบาท) Low Cost Housing (9,000 ล้านบาท) สนามบินโฮจิมินห์ แห่งใหม่ (22,500 ล้านUSD คาด ITD ได้รับบางส่วน) โดยในจำนวนนี้ยังไม่รวมโครงการท่าเรือน้ำลึกทวายมูลค่ารวมอีกกว่า 400,000 ล้านบาท ซึ่งทำให้คาดว่า ITD จะได้รับผลกระทบน้อยสุดหากโครงการต่างๆ มีความล่าช้า- ชะลอ หรือเลื่อนออกไป

-----------------------------------------------------------------------------


Code 361 : 21/02/54 มีสัญญาณ 2 ตัว บอกถึงเขต Overbought

วันจันทร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2554

ATT Code : มีสัญญาณ 2 ตัว บอกถึงเขต Overbought


เมื่อวันพฤหัส SET มีแรงซื้อเข้าพอๆ กับเมื่อวันพุธ โดยปิดบวกไป 13.50 จุด ปิดที่ 995.57 จุด โดยตอนเช้าเปิดบวกขึ้นไป 5.81 จุด ที่ระดับ 987.88 แล้วก้มีแรงซื้อในกลุ่มแบงค์และพลังงานเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ SET ผ่านแนวต้านที่ 990 จุดไปปิดที่ 995.57 จุด โดยไป High ที่ 995.93 จุด

แนวโน้มในวันจันทร์ที่ 21/02/54 มีแนวรับที่ 990 จุด และถ้ายังมีแรงซื้อเข้ามาก็สามารถที่จะไปตามแนวต้านที่ระดับ 1,003 จุด โดยมี Indicator ทั้ง 7 ตัว ส่งสัญญาณเป็น + ทั้งหมด ดั้งนี้

แต่ให้สังเกตุ Indicator 2 ตัว ที่เริ่มแสดงให้เห็นว่าเข้าสู่เขตการซื้อมาเกินไปแล้วคือ CCI และ Williams %R

1. (+) MACD ยังคงตัดเส้น Signal ขึ้นมาอยู่.... มีสัญญาณบวกที่ดีอยู่
2. (+) OBV เพิ่มขึ้นจาก 537 ขึ้นไปที่ 566.... แสดงให้เห็นว่ายังมีแรงซื้อสะสมเพิ่มขึ้น +29
3. (-) CCI มีแรงรับกลับขึ้นมา จาก +39 ขึ้นไปที่ +109 บวกมา 70 ... เกิน 100 ขึ้นมาแล้ว ต้องระมัดระวังเพราะ SET เริ่มมีการปรับตัวขึ้นมาสูงแล้ว แต่ก็ยังมีสิทธ์ที่จะขึ้นไปต่อได้ถึง High เดิมที่ 184... แต่ถ้าเริ่มจะตัด 100 ลงมา ต้องให้ระมัดระวังแรงขาย
4. (+) เส้น ADX : DI+ กับ DI- เริ่มห่างกันน้อยลงอีก จากห่าง 9.21 เป็น 2... มีแนวโน้มที่ดีอย่างต่อเนื่อง
5. (-) Williams %R ขึ้นมาจาก -22 ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ -0.61.... เริ่มเข้าเขต Overbought แล้ว ให้ระมัดระวังตอนที่ %R ขยับขึ้นมาเป็นศูนย์ แสดงว่า SET อาจจะไม่ได้วิ่งไปไกลมากว่านี้แล้ว
6. (+) RSI ขึ้มาจาก 48% มาอยู่ที่ 53%... มีแนวโน้มที่ดีขึ้น
7. (+) Fast Sto : %K ตัด %D อยุ่เหมือนเดิม โดย %K=99 %D=69... มีแนวโน้มที่ดีอย่างต่อเนื่อง

-----------------------------------------------------------------------------
MARKET WAVE Analysis

Intraday - ลง 976 - 979
ปรับตัวลง 976 - 979 หนึ่งถึงสองวันข้างหน้า จากนั้น เกิน 1000.90 จุดสูงสุดเดิมเช้านี้ ขึ้นต่อ 1050 - 55 หนึ่งถึงสองสัปดาห์

-----------------------------------------------------------------------------
เงาหุ้น : สะสมบุญ
ทำบุญ เวียนเทียน วันมาฆบูชากันเสร็จแล้ว ถือเป็นฤกษ์งามยามดี มีมงคล ได้สะสมบุญกันถ้วนหน้า ก็ขอให้ร่ำให้รวย ให้เฮง เฮง เฮง...!!

มาศึกษาข้อมูลดูหุ้นดีหุ้นรายตัวกันต่อ เริ่มด้วยหุ้น LPN ที่หลายโบรกเกอร์เชียร์ให้เป็นหุ้น Top pick ในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ก่อนหน้านี้ ซึ่งก็ไม่ผิดหวัง หลังบริษัทรายงานผลประกอบการงวดปี 53 มีกำไรสุทธิ 1.64

พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดปี 52 ที่มีกำไรสุทธิ 1.50 พันล้านบาท เนื่องจาก

มีการบริหารต้นทุนค่าก่อสร้างได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นจากการขายในปี 53 เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 34.30% จาก 31.25% ในงวดปี 52

และบริหารค่าใช้จ่ายในการขายลดลง อีกทั้งมีการจัดการค่าใช้จ่ายในการบริหารได้เป็นอย่างดี แม้ว่ามาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ของรัฐบาลได้สิ้นสุดลง และกลับมาใช้ในอัตราปกติ รวมถึงบริษัทสามารถบริหารต้นทุนการเงินลดลง เนื่องจากปี 52 ได้เพิ่มสภาพคล่องทางการเงินเพื่อรองรับความเสี่ยงจากความผันผวนทางธุรกิจ สำหรับปี 54 LPN เตรียมเปิด 10 โครงการใหม่ มูลค่า 1.6 หมื่นล้านบาท เพื่อสร้างการรับรู้รายได้ต่อเนื่องไปจนถึงปี 56

ขณะที่ LPN ยังระบุว่า คณะกรรมการบริษัทได้อนุมัติการจ่ายเงินปันผลงวดครึ่งหลังปี 53 จำนวนหุ้นละ 0.38 บาท โดยจะจ่ายในวันที่ 11 เม.ย.54 หลังจากได้จ่ายปันผลระหว่างกาลไปก่อนหน้านี้แล้วที่หุ้นละ 0.18 บาท รวมจ่ายทั้งปี 53 ที่ 0.56 บาท

ส่วนหุ้นใหญ่ BANPU ราคาพลิกฟื้นกลับขึ้นมาได้ในช่วงนี้ ขณะที่โบรกเกอร์ยังคงแนะนำ "ซื้อ" โดย บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุว่า BANPU มีปัจจัยบวกคือราคาถ่านหินที่มีทิศทางขาขึ้น BANPU ได้ทำสัญญาไปแล้ว 40% ของปริมาณขายในปี 53 และธุรกิจในจีนจะเพิ่มกำลังการผลิต ส่วนปัจจัยลบคือดอกเบี้ยจ่าย และค่าตัดจำหน่ายจากการซื้อเหมือง Centennial อาจมากกว่าคาด และนโยบายจีนที่ไม่ให้ต่างชาติถือหุ้นในเหมืองเกิน 50% ทำให้อาจต้องลดสัดส่วนในเหมือง Daning ลง 6% ส่วนแบ่งกำไรจะหายไป 600-800 ล้านบาท หรือ 3.2% ของกำไร จึงยังคงแนะ "ซื้อ" ให้ราคาเป้าหมายเดิม ที่ 1,100 บาท เพราะค่าตัดจำหน่ายไม่กระทบกระแสเงินสด

ส่วน บล.เกียรตินาคิน แนะ "ซื้อ" เช่นกัน ปรับประมาณการกำไรสุทธิของปี 54 ลงมาเหลือ 1.73 หมื่นล้านบาท และปรับราคาเหมาะสมเป็น 980 บาท จากเดิมที่ 1,000 บาท.

อินเด็กซ์ 51

-----------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย
EFinanace Thai : กลับมายืนที่เดิม!
กระทิงเริ่มเข้าสิงหุ้นไทย ดัชนีฯ จ่อทะลุ 1,000 จุดอีกครั้ง หลังตลาดคลายกังวลหลากหลายปัจจัยลบ ทั้งด้านเศรษฐกิจ และการเมืองใน-นอกประเทศ บวกกับแรงหนุนจากผลประกอบการปี 53 ของบรรดาบริษัทจดทะเบียนที่ออกมาหรู พร้อมจ่ายปันผลเอาใจผู้ถือหุ้นถ้วนหน้า โบรกฯ แนะอยากลดความเสี่ยงควรหาจังหวะขายทำกำไรช่วงดัชนีฯ พุ่งแรง และรอซื้อเก็บหุ้นพลังงาน ปิโตรฯ และธนาคารพาณิชย์ ช่วงดัชนีฯ อ่อนตัว

ในที่สุดดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทย ก็ปิดตลาดส่งท้ายก่อนวันหยุดยาว 3 วัน ที่ระดับ 995.57 จุด เพิ่มขึ้น 13.50 จุด หรือ 1.37% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย ล้านบาท ซึ่งถือว่าผ่านแนวต้านสำคัญที่ 990 จุดได้สำเร็จ หลังนักลงทุนต่างชาติมียอดซื้อสุทธิต่อเนื่อง 4 วันทำการรวม 14,579.61 ล้านบาท ซึ่งนั่นย่อมทำให้หลายคนต่างหวังว่าดัชนีฯ น่าจะไปทดสอบจุดสูงสุดเดิมของปีนี้ที่ 1,056.44 จุด ที่เคยเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2554 และน่าจะเดินทางสู่เป้าหมาย 1,200 และ 1,300 จุดได้ไม่ยาก

* บล.ฟาร์อีสท์ ชี้สัญญาณเทคนิคแจ่มหลังผ่าน 990 จุด
นายปริญทร์ กิจจาทรพิทักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟาร์อีสท์ เปิดเผยว่า การเคลื่อนไหวของ SET Index ในสัปดาห์ที่ 18-22 กุมภาพันธ์ 2554 มีโอกาสปรับขึ้นต่อเนื่องจากช่วงที่ผ่านมาได้ หลังจากที่ดัชนีฯ สามารถผ่านบริเวณ 990 จุดขึ้นมาได้ ซึ่งตามสัญญาณทางเทคนิคเริ่มมีแนวโน้มที่ดี นอกจากนี้ยังได้รับปัจจัยบวกจากการประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ที่คาดจะออกมาในทิศทางที่ดี
ส่วนกรณีที่เกิดเหตุการณ์ความวุ่นวายที่อียิปต์ และเหตุการณ์ที่ทหารไทยปะทะกับทหารกัมพูชาที่บริเวณปราสาทเขาพระวิหาร จังหวัดศรีสะเกษ ยังไม่มีนัยสำคัญต่อการตัดสินใจเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยของนักลงทุนอีกด้วย แต่นักลงทุนควรระมัดระวังหากดัชนีฯ ปรับขึ้นใกล้ถึงระดับ 1,000 จุด ควรทยอยขายทำกำไรในระยะสั้นออกมาบ้าง เพื่อป้องกันความเสี่ยง
"จากเหตุการณ์ในอดีตที่ผ่านมา เมื่อดัชนีฯ ปรับขึ้นถึงระดับ 1,000 จุด ก็จะมีแรงขายทำกำไรจากนักลงทุนต่างชาติออกมา ซึ่งนักลงทุนอาจจะกลัว กังวลไม่กล้าเข้ามาลงทุน เมื่อถึงจุดนี้ควรระมัดระวังด้วย ส่วนเหตุการณ์ที่อียิปต์และกัมพูชาก็ไม่ได้ส่งผลต่อเศรษฐกิจหรือผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน เพราะที่ผ่านมา บจ. ที่ประกาศงบก็ออกมาดีทุกบริษัท" นายปริญทร์ กล่าว
สำหรับในช่วงวันที่ 18-22 กุมภาพันธ์ 2554 ประเมินแนวรับของ SET Index ไว้ที่ 980 จุด ส่วนแนวต้านให้ไว้ที่ 998 จุด และให้แนวต้านถัดไปไว้ที่ 1,000 จุด ในขณะที่กลยุทธ์การลงทุนเลือกลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงาน ปิโตรเคมี และธนาคารพาณิชย์ เพราะมีปัจจัยพื้นฐานที่ดี ทั้งนี้นักลงทุนระยะสั้นควรขายทำกำไรออกมาบ้าง เพื่อลดความเสี่ยง ส่วนนักลงทุนระยะกลางและยาวควรรอซื้อเมื่อดัชนีฯ อ่อนตัวลงมา

* บล.โนมูระ พัฒนสิน แนะทยอยขายทำกำไรเมื่อดัชนีฯ แตะแนวต้าน 1,002-1,008 จุด
ด้านนายชัย จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.โนมูระ พัฒนสิน เปิดเผยว่า การเคลื่อนไหวของ SET Idex ในสัปดาห์หน้ายังคงมีโอกาสปรับขึ้นได้ แต่ไม่มากเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งดัชนีฯ ปรับขึ้นไปแล้วประมาณ 30 กว่าจุด เพราะยังไม่มีปัจจัยลบใหม่เข้ามากระทบ ประกอบกับบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ได้ประกาศผลประกอบการในปี 2553 ออกมาในทิศทางที่ดี
สำหรับปัจจัยที่ต้องติดตามประกอบด้วย การประกาศตัวเลขทางเศรษฐกิจของหน่วยงานต่างๆ ในช่วงสิ้นเดือน ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนและตัวเลขการซื้อขายหุ้นของนักลงทุนต่างชาติ ส่วนกลยุทธ์การลงทุนแนะนำรอขายเมื่อดัชนีฯ ปรับขึ้นไปที่แนวต้าน 1,002 จุด และแนวต้านถัดไปที่ 1,008 จุด และรอซื้อหุ้นในกลุ่มพลังงานและธนาคารพาณิชย์ เมื่อดัชนีฯ อ่อนตัวลงมาที่แนวรับ 975 จุด และแนวรับถัดไปที่ 970 จุด

* บล.ฟินันเซีย ไซรัส มองหุ้นไทยเข้าสู่ช่วงตลาดกระทิง ดึงต่างชาติกลับเข้าตลาด
นายทวีรัชต์ มัททวีวงศ์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า แนวโน้มการเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยในสัปดาห์ที่ 18-22 กุมภาพันธ์ ที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ โดยมองกรอบการเคลื่อนไหวแนวต้านอยู่ที่ 1,000-1,020 จุด ส่วนแนวรับอยู่ที่ 980 จุด ซึ่งหากดัชนีฯ เพิ่มขึ้นต่อเนื่องไปยืนที่ระดับ 1,000 จุดได้ อาจยิ่งมีแรงดึงดูดนักลงทุนต่างชาติกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากยิ่งขึ้น
ประกอบกับปัจจัยที่อาจมีผลบวกต่อการลงทุน ทั้งในแง่ของภายในจากปัญหาการชุมนุมทางการเมือง หรือแม้กระทั่งปัญหาทางเศรษฐกิจและการเมืองในต่างประเทศ ขณะนี้ปัจจัยเสี่ยงทั้งหลายชะลอความกังวลลงมาก ซึ่งอาจเหลือเพียงต้องติดตามความคืบหน้าในกรณีการเลือกตั้งภายในประเทศไทย และการเคลื่อนไหวของดัชนีฯ ดาวโจนส์ ของตลาดสหรัฐ ว่าจะมีทิศทางเป็นอย่างไรเท่านั้น
ขณะเดียวกัน หากประเมินสัญญาณทางเทคนิคในระยะนี้จะพบว่า ตลาดหุ้นไทยเข้าสู่ช่วงตลาดกระทิง (Bull market) ได้ ดังนั้นนักลงทุนที่ประเมินการลงทุนตามสัญญาณเทคนิค ก็จะอยู่ในช่วงซื้อลงทุน ซึ่งที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติส่วนใหญ่จะให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงาน และธนาคาร ฉะนั้นนักลงทุนไทยจึงยังสามารถลงทุนในหุ้นกลุ่มดังกล่าวได้เช่นกัน

-----------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ตปท.



-----------------------------------------------------------------------------