Code 390 : 01/04/54 ต่ำกว่า BB-T แล้ว เป็น Sell Signal เบาๆ

วันศุกร์ที่ 1 เมษายน 2554

ATT Code : ต่ำกว่า BB-T แล้ว เป็น Sell Signal เบาๆ



สรุปสภาวะการซื้อขายในวันพุธที่ 30/03/54 นี้ : ชนแนวต้านที่ High เดิม กดดัน SET ลงมาต่ำกว่า BB-T
ช่วงเช้า SET สามารถเปิดมาสูงกว่า BB-T ได้ จนขึ้นผ่าน High เดิม ไปทำ New High ที 1056.52 จุด แต่หลังจากนั้นก็มีแรงขายในกลุ่มแบงค์ออกมา หลุด BB-T ลงมา จนไปปิดที่ 1047.48 จุด ทำให้ SET ต่ำกว่า BB-T แล้ว จะดูไม่ค่อยดี

แนวโน้มในวันพฤหัสที่ 31/03/54 นี้ : ต่ำกว่า BB-T แล้ว เป็น Sell Signal เบาๆ
หลังจากที่ SET หลุดลงมาต่ำว่า BB-T ทำให้ตลาดทีแนวโน้มที่จะอ่อนตัวลงมาอีกได้

โดยที่ตลาดมีกรอบแนวรับ-แนวต้าน ดังนี้
แนวรับที่ EMA 5D ที่ 1,041 จุด และ EMA 10D ที่ 1,033 จุด
แนวต้านที่ BB-T 1052จุด 1,056.44 จุด ที่เป็น High เดิมในวันที่ 6/1/54

Indicators ต่างๆ ของวันก่อนหน้านี้ :
Main Buy Signal = MACD + Slow Stochastic + RSI
3 Indicators = Main Buy Signal
2 Indicators = Minor Buy Signal
2 Indicators = Overbought
0 Indicators = Bearish Divergence
2 Indicators = Sell Signal

1. Alert MACD (B)+(Stronger)
Major = Buy Signal : 1. MACD >. Signal.... และ Minor =Uptrend ยังดีอยู่โดย 2. MACD > 0)
(+/-) MACD Oscillator มีค่าลดลงมา จาก 1.79 เป็น 1.58 แต่ MACD ยังมีค่ามากขึ้นอยู่

2. Alert Slow Sto (B)+(Weak)+(OverBought)
(-) Slow Stochastic : %K(90) > %D(89)...

3. Alert RSI (B)+(Weak)
(+) RSI(66) > MAV9(62) : RSI สูงกว่าเส้นค่าเฉลี่ย แต่มีค่าลดลง...

4. Alert William %R (S)
%R ตัดเส้น -10 ลงมาอีกครั้ง : เป็น Sell Signal เบาๆ
(+) Williams %R เริ่มมีค่าอ่อนลงมา จาก (0) เป็น (-17)

5. Alert CCI (B เบาๆ)+ (Overbought)
CCI ตัดเส้น 100 อยู่: อยู่ในเขต Overbought
(-) CCI กลับมามีค่าเพิ่มขึ้นอีกครั้ง ลงมาจาก 123 มาที่ 120

6. Alert ADX (B)+(Stronger)
(+) เส้น ADX : DI+(40) > DI-(15)...

7. OBV - : Weak
(-) OBV มีค่าลดลง

****************
Historical Technics
****************
Buy Signal:
1. (+)MACD กลับมาเป็น Buy Signal อีกครั้ง(22/03/54)
2. (+) DI+ ตัดเส้น 20 ขึ้นมา... แสดงว่า UpTrend มีความแข็งแรง
3. (+) SET ผ่านแนวต้านหลัก BB Average = Major เป็น Bullish + Uptrend... ยืนยันความเข็งแรงของตลาด... BB Average เปลี่ยนจากแนวต้านมาเป็นแนวรับหลัก (16/02/54)
4. (+) EMA5 (979.12) ตัด EMA10 (976.12 )ขึ้นมา... Major เป็น Golden Cross = Buy Signal (17/02/54)
5. (+) EMA10 (988.34) ตัด EMA25 (987.47) = Golden Cross : Strong (04/03/54)
6. (+) EMA25 (992.96) ตัด EMA75 (991.78) : Stronger (09/03/54)
7. (+) SET สูงกว่าเส้น 10 วัน และ 5 วัน แล้ว : Stronger (21/03/54)
8. (+) Slow Sto : %K(72) > %D(69) = Buy Signal (22/03/54)

Overbought:
1. (+/-) Slow Sto : %K(81) > %D(73) = Overbought (23/03/54)
2. (+/-) Alert William %R > -10 = Overbought (30/03/54)
3. (+/-) Alert CCI > 100 =(Overbought) (30/03/54)

Sell Signal :
1. (-) Bollenger Band : SET ย่อลงมาต่อกว่า BB-T... เกิดเป็น Sell signal เบาๆ
2. (-) %R : ต่ำกว่าเส้น -10 ลงมา... เกิดเป็น Sell signal เบาๆ

Bearish Divergence :
Oversold : None


-----------------------------------------------------------------------------
MARKET WAVE Analysis
1 เมษ. 54 ( -3.19 จุด) โกมล พงศ์วิญญู เลขทะเบียน 18338

ปรับฐาน 1027 - 1032 จุด
ภาพระยะสั้นวันศุกร์นี้ ถึงต้นสัปดาห์หน้า ดัชนีมีโอกาสที่จะปรับฐานลงไปบริเวณ1027 – 1032 ใกล้จุดต่ำสุดของสัปดาห์นี้

สำหรับภาพในสัปดาห์หน้า ดัชนีอาจจะแกว่งตัวขึ้นลง โดยประมาณในกรอบ1030 – 56 หรือระหว่างจุดต่ำสุดถึงจุดสูงสุดของสัปดาห์นี้

จากนั้นถ้าสามารถปรับตัวขึ้น เกิน1056.52 จุดสูงสุดของวันพฤหัสได้ ดัชนีมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อแถว 1300 จุด ประมาณ
เดือน สค. ในรูปแบบของคลื่น 3 ต่อไป

หุ้นเด่น
AJ
ปรับตัวทะลุกรอบสามเหลี่ยม ภาพระยะวันขึ้นมาได้ ทยอยซื้อแถว 24.80 – 25.00 หรือรอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 25.50 จุดสูงสุดวันพฤหัส เป้าหมายสองสามวัน 26.50 – 27.00( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 24.60 )

BANPU
ปรับตัวขึ้นมาแถวเส้นค่าเฉลี่ย 25 สัปดาห์พอดีทยอยซื้อแถว 760 – 764 หรือรอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 776 จุดสูงสุดวันพฤหัสและเส้นค่าเฉลี่ยดังกล่าว เป้าหมายระยะสัปดาห์796 – 806( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 752 )

10 อันดับซื้อขายสูงสุด
SCB ปรับตัวลง 104 – 105
BANPU รายละเอียดใน “หุ้นเด่น”
PTT ปรับตัวลง 344 – 345
IVL ปรับตัวลง 49 - 51
BBL ปรับตัวลง 165 - 166
PTTEP ต่ำกว่า 180 ลง 176 – 178
CPF เกิน 25.75 ขึ้น 26 – 26.50
TRUE เกิน 6.05 ขึ้น 6.10 – 6.30
IRPC ต่ำกว่า 5.75 ลง 5.40 – 5.60
PTTCH ต่ำกว่า 148.50 ลง 145 – 146


-----------------------------------------------------------------------------
E Finance Thai : ลงทุนหุ้นแบงก์มากกว่าตลาด

โบรกฯ ประสานเสียง 'Overweight' หุ้นกลุ่มแบงก์ รับแนวโน้มสินเชื่อขยายตัวต่อเนื่อง บวกผลการดำเนินงานไตรมาส 1/54 ส่อแววสดใส ด้วยปัจจัยหนุนจากการเติบโตทางเศรษฐกิจ ที่กระตุ้นการใช้จ่ายของภาคเอกชน ประสานกับโครงการลงทุนของรัฐบาล ชูหุ้นเด่น KBANK SCB BBL และ KTB ขณะที่ ฟิทช์เรทติ้งส์ คาดแนวโน้มธนาคารพาณิชย์ไทยมีเสถียรภาพ ในอีก 12-18 เดือนข้างหน้า

* บล.ยูไนเต็ด มอง Banking Sector แนะนำ 'Overweight'
ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ยูไนเต็ด ออกบทวิเคราะห์ประเมินสถานการณ์หุ้นกลุ่มแบงก์ โดยระบุว่า จากรายงาน ธ.พ.1.1 เดือน ก.พ.54 ของ 7 ธนาคาร (BAY,BBL, KBANK, KTB, SCB,TISCO, TMB) พบว่าสินเชื่อเดือนก.พ.54 +1.5% MoM โดย BBL ถือเป็นธนาคารขนาดใหญ่ที่ยังมีสินเชื่อโตสุด +3.1% MoM รองลงมาเป็น SCB +2.6% MoM และ TISCO +1.9% MoM และจะเห็นว่าทุกธนาคารมีสินเชื่อที่เติบโตขึ้นกันถ้วนหน้า
ด้านสินเชื่อ 2M54 ยังโต +2.8% YTD โดย TMB ยังคงเป็นธนาคารที่มีสินเชื่อโตสุด +7.2% YTD จากการปล่อยสินเชื่อให้ BIGC ซื้อคาร์ฟูร์ ขณะที่ SCB โตรองเป็นอันดับ 2 +4.8% YTD เงินฝากเดือน ก.พ. 54 ทั้งระบบเพิ่มขึ้นถึง +2.99% MoM ซึ่งจะเห็นว่า KBANK มีเงินฝากที่โตสูงสุด +5.9% MoM 2M54 เงินฝากเพิ่มขึ้น +3.3% โดย BBL ระดมเงินฝากสูงสุด +5.4% YTD ซึ่งสอดคล้องกับการเติบโตของสินเชื่อ สำหรับ TISCO มีเงินฝากหดตัวมากสุดถึง -13.2% YTD ทั้งนี้เป็นเพราะปกติ TISCO จะระดมทุนผ่านการออกตั๋ว B/E ด้วย ซึ่งถ้ารวมก็ยังเพิ่มขึ้นอยู่ LDR เฉลี่ย 7 ธนาคารอยู่สูงถึง +1.3 เท่า สูงขึ้นเป็นลำดับจากเดือนก่อน แสดงให้เห็นถึงสภาพคล่องที่ตึงตัวขึ้นเป็นลำดับเช่นกัน
สำหรับผลกระทบด้านสินเชื่อเดือน ก.พ.54 ยังโตต่อเนื่อง 2M54 โต +2.8% ถือว่าเป็นการเติบโตที่ดีพอควร และยังเติบโตทุกธนาคารถ้วนหน้า ซึ่งเริ่มเห็นความต้องการสินเชื่อจากภาคธุรกิจขนาดใหญ่มากขึ้นล่าสุดมีการประกาศการร่วมปล่อยกู้โครงการเอกชนรายใหญ่ (Syndicate Loans) หลายโครงการส่งผลให้สินเชื่อภาคธุรกิจเริ่มกลับมาโตโดดเด่นมากขึ้น
ส่วนทั้งปี 54 เชื่อว่าแนวโน้มของสินเชื่อจะยังเติบโตได้ดีต่อเนื่องจากการขยายกำลังการผลิตในหลายๆ อุตสาหกรรม ประกอบกับการลงทุนของภาครัฐภายหลังการเลือกตั้ง นอกจากนี้ยังเชื่อว่าแนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้นจะดีต่อ NIM ของธนาคาร และผลักดันให้กำไรของระบบธนาคารยังเติบโตสูงขึ้นในปี 54
สำหรับ BBL ถือได้ว่ามีสินเชื่อที่โตโดดเด่นมากในเดือนนี้ คาดว่าเป็นผลจากการร่วมปล่อย syndicate loan และการปล่อยกู้ธุรกิจเอกชนที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะเป็นผลดีต่อธนาคารที่มีขนาดใหญ่ที่สุดอย่าง BBL
ด้านคำแนะนำ เรายังให้น้ำหนักการลงทุนของกลุ่มธนาคารระดับ Overweight เนื่องจาก
เริ่มเห็นความต้องการสินเชื่อเพื่อการลงทุนเข้ามามากขึ้นจากกำลังการผลิตในหลายภาคอุตสาหกรรมที่เริ่มเต็มกำลังการผลิต ประกอบกับการลงทุนภาครัฐที่ยังมีต่อเนื่องในปีนี้ สำหรับ Top Picks เราเลือก KBANK (ราคาเป้าหมายปี 54 ที่ 154 บาท) และSCB (ราคาเป้าหมายปี 54 ที่ 136 บาท)

* บล.กรุงศรีอยุธยา คาดผลงาน 1Q54 มีทิศทางสดใส
ขณะที่ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.กรุงศรีอยุธยา ประเมิน Banking Sector และแนะนำ 'Overweight' เช่นกัน โดยคาดว่า ผลการดำเนินงาน 1Q54 ยังมีทิศทางเติบโต YoY และ QoQ ด้วยปัจจัยบวกจากการเติบโตทางเศรษฐกิจกระตุ้นการใช้จ่ายของภาคเอกชน ประสานกับโครงการลงทุนของรัฐบาล รวมทั้งคุณภาพสินทรัพย์แข็งแกร่งของกลุ่มฯ ปัจจัยเหล่านี้จะสนับสนุนการเติบโตต่อเนื่องของผลการดำเนินงานงวด 1Q54
โดยคาดการณ์กำไรสุทธิของกลุ่มฯ (ไม่รวม BAY) ใน 1Q54 อยู่ที่ราว 2.7-2.8 หมื่นล้านบาท ซึ่งเติบโต 15%YoY และ 10% QoQ ขณะที่เราคงประมาณการกำไรสุทธิรวมทั้งปี 54 ที่ 1.11 แสนล้านบาท (+12.9%YoY) สาระสำคัญจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ยของสินเชื่อ และรายได้ค่าธรรมเนียม
อย่างไรก็ตาม ยังคงน้ำหนักการลงทุนกลุ่มธนาคาร “มากกว่าตลาด” และมองว่าหุ้นกลุ่มธนาคารมีปัจจัยบวกสนับสนุนจากความสามารถการทำกำไรเติบโต คาด ROE ของกลุ่มฯ เพิ่มขึ้นเป็น 13.8% ในปี 54 และ 14.1% ในปี 55 จาก 13.7% ในปี 53 และงบดุลแข็งแกร่ง คุณภาพสินทรัพย์ และเงินกองทุนแข็งแกร่งสนับสนุนการเติบโตของกลุ่มฯ แนะนำ “ซื้อลงทุน” KBANK BBL SCB KTB เนื่องจากได้รับประโยชน์สูงจาก Investment cycle และทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น

* บล.โกลเบล็ก ชี้กลุ่มแบงก์รับประโยชน์จากภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง
ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.โกลเบล็ก ระบุว่า ยังคงแนะนำ "Overweight" หุ้นกลุ่มธนาคาร เพราะปัจจัยพื้นฐานของหุ้นกลุ่มนี้ยังแข็งแกร่ง เนื่องจากได้รับประโยชน์เต็มที่จากภาวะเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัว ซึ่งเศรษฐกิจในปี 54 มีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องจากปี 53 ในอัตราที่ลดลงจากปีที่แล้ว เนื่องจากฐานการเติบโตที่สูง
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิจัยเชื่อว่าสินเชื่อของระบบธนาคารพาณิชย์ น่าจะยังเติบโตได้ดีใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา จากความต้องการสินเชื่อเพื่อการลงทุนมากขึ้น เพื่อนำมาใช้ในการเพิ่มกำลังการผลิต ขณะที่สินเชื่อที่เติบโตในปีที่ผ่านมา ส่วนใหญ่จะเป็นสินเชื่อเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน
นอกจากนี้ การเดินหน้าโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐ โดยเฉพาะด้านสาธารณูปโภคที่จะออกมาอย่างต่อเนื่อง ตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ การที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในทิศทางขาขึ้นอย่างชัดเจน ส่งผลดีต่อส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (NIM) ให้ปรับดีขึ้น
ขณะที่คุณภาพสินทรัพย์มีแนวโน้มดีขึ้นเป็นลำดับ ส่งผลให้การตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญกลับเข้าสู่ระดับปกติ ส่งผลให้ผลประกอบการปี 54 ของกลุ่มธนาคารยังคงเติบโตต่อเนื่องในปีนี้ เรายังคงให้น้ำหนักการลงทุนเป็น "Overweight" โดยเน้นให้ลงทุนในหุ้นธนาคารขนาดใหญ่ ได้แก่ BBL KBANK KTB และ SCB

* บล.ธนชาต แนะทยอยสะสม BAY ส่วน BBL-KBANK-KTB-SCB ซื้อช่วงอ่อนตัว
ด้านฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ธนชาต ระบุว่า BAY “ทยอยซื้อสะสม” โดยพื้นฐานของเรามีการคาดการณ์ว่า BAY จะรายงานกำไรสุทธิงวด 1Q11 แข็งแกร่งที่ 2.67 พันลบ. เพิ่มขึ้น 29%y-y และ 18%q-q โดยกำไรที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น y-y มีปัจจัยผลักดันมาจากสินเชื่อที่เติบโตสูงขึ้น รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและการตั้งสำรองที่ลดลง ขณะที่กำไรเพิ่มขึ้น q-q น่าจะมีสาเหตุจากค่าใช้จ่ายที่ลดลง
ภายใต้การคาดการณ์ของเรา กำไรงวด 1Q11F คิดเป็น 24% ของประมาณการกำไรทั้งปี จากการที่กำไรมีแนวโน้มที่แข็งแกร่งขึ้นในไตรมาสถัดๆ ไป เนื่องจากค่าใช้จ่ายตั้งสำรองที่ลดลง เราจึงยังคงประมาณการอัตราการเติบโตของ EPS ของเราที่คาดว่าจะโตราว 28% สำหรับปีนี้ และราคาเป้าหมายที่ 34 บาท โดยทางเทคนิคประเมินว่าช่วงราคาจะมี GAP ในการชะลอตัวไม่มาก แนวรับ 23.70-23.50 บาทน่าจะทำฐานและดีดกลับได้ ซึ่งเมื่อวาน NVDR มียอดขายสุทธิลดลงเหลือ 36 ลบ. จากวันศุกร์ที่ขายสุทธิ 86 ลบ.
ส่วนหุ้นธนาคารใหญ่ BBL -KBANK- KTB & SCB “แนะถือต่อ/ซื้อเพิ่มช่วงอ่อนตัว”เพราะ SETBANK ยังเคลื่อนไหวไปตามแนวโน้ม Sideway up ที่มีเป้าหมายแนวต้าน 418-420 จุด สอดคล้องกับหุ้นใหญ่ในกลุ่มที่มีแนวโน้มแข็งแกร่ง โดยเฉพาะ BBL ที่มีเป้าหมายแนวต้านหลัก 170 บาท และ KBANK มีเป้าหมายแนวต้าน 130-132 บาท KTB เป้าหมายแนวต้าน 19 บาท และ SCB ผ่าน 106.50 บาทเป็นสัญญาณซื้อมีแนวต้านถัดไป 110 บาท

* บล.ซิกโก้ ให้ BBL เด่นสุด
เจ้าหน้าที่ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ซิกโก้ เปิดเผยว่า แนวโน้มผลประกอบการของหุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ไตรมาส 1/2554 คาดว่าจะเติบโตในทิศทางที่ดีกว่างวดเดียวกันของปีก่อน เพราะได้รับปัจจัยบวกจากตัวเลขสินเชื่อที่ขยายตัวตามเศรษฐกิจและการลงทุนของภาครัฐที่ต่อเนื่องมาจากปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้ในช่วง 2 เดือนแรกที่ผ่านมาสินเชื่อธนาคารพาณิชย์ยังเติบโต 2.7% ส่วนในช่วงที่เหลือของปีนี้คาดว่าภาพรวมของผลประกอบการในหุ้นกลุ่มดังกล่าวยังคงมีโอกาสขยายตัวไปในทิศทางที่ดีตามตัวเลขสินเชื่อที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามหุ้นที่มีความโดดเด่นและแนะนำให้ลงทุนในกลุ่มธนาคารพาณิชย์คือธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL โดยในปี 2554 คาดว่า BBL จะมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 26,675 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.5% จากปีก่อนที่ 24,593 ล้านบาท ส่วนราคาเป้าหมายในปีนี้ให้ไว้ที่ 182 บาทต่อหุ้น

* น้องใหม่ LH BANK เตรียมเข้าตลาด เม.ย.นี้
ด้านฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.บัวหลวง ประเมินว่าการจดทะเบียน LHBANK เข้าตลาดหลักทรัพย์ (เดือน เม.ย.2554) จะเป็นปัจจัยบวกหลักผลักดันราคาหุ้น LH และ QH (ผู้ถือหุ้นรายใหญ่สองราย ซึ่งหลังการออกหุ้น IPO LH จะถือสัดส่วนหุ้น 36% และ QH ถือ 22%) เราคาดว่าตลาดจะปรับเพิ่มประมาณการกำไรขึ้นสำหรับทั้ง LH และ QH เพื่อสะท้อนส่วนแบ่งกำไรจาก LHBANK ที่นักวิเคราะห์กลุ่มธนาคารได้นำเสนอประมาณการจริงออกมา
ทั้งนี้การจดทะเบียน LHBANK ในตลาดหลักทรัพย์จะปลดล็อคมูลค่าแฝงของ LH และ QH ที่มีค่ามหาศาล นอกจากนี้เรายังเห็นแนวโน้มที่จะปรับเพิ่มราคาหุ้นทั้งสอง ซึ่งขึ้นกับระดับราคาตลาดของ LHBANK เรายังคงคำแนะนำ “ซื้อเก็งกำไร” สำหรับ LH ที่ราคาเป้าหมาย 7.20 บาท และ “ซื้อ” QH ที่ราคาเป้าหมาย 2.50 บาท ปัจจุบัน LH ซื้อขายที่ core PER 15.0 เท่าและ net PER ที่ 10.4 เท่า เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยปี 2548-2553 ที่ 17.3 เท่า และ QH ซื้อขายที่ PER ปี 2554 ที่ 9.1 เท่าเทียบค่าเฉลี่ยที่ 9.3 เท่า
พร้อมกันนี้ได้ปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 2554-2555 ขึ้นสำหรับ LH และ QH เพื่อสะท้อนประมาณการกำไรของ LHBANK ซึ่งประมาณการโดยนักวิเคราะห์กลุ่มธนาคาร โดยกำไรของ LH ปรับขึ้น 2% ในปี 2554 และอีก 4% ในปี 2555 สำหรับ QH ปรับขึ้น 4% สำหรับปีนี้และ 5% สำหรับปีหน้า

* ฟิทช์ คาด แนวโน้มธนาคารพาณิชย์ไทยมีเสถียรภาพ ในอีก 12-18 เดือนข้างหน้า
บริษัท ฟิทช์เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด รายงานว่า แนวโน้มของธนาคารพาณิชย์ไทยยังคงมีแนวโน้มมีเสถียรภาพในอีก 12-18 เดือนข้างหน้า ฟิทช์คาดว่าสภาวะเศรษฐกิจจะยังคงเป็นปัจจัยสนับสนุนผลการดำเนินงานโดยรวมของธนาคารพาณิชย์ไทย แต่ปัจจัยเสี่ยงหลักอาจจะรวมถึงความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากการเติบโตในระดับสูงของสินเชื่อสำหรับธุรกิจรายใหญ่ในบางกลุ่มอุตสาหกรรมและสินเชื่อรายย่อย ต้นทุนทางการเงินที่อาจปรับตัวสูงขึ้นอย่างมาก
รวมทั้งความเสี่ยงในด้านคุณภาพสินทรัพย์ที่อาจเพิ่มขึ้น จากการขึ้นของอัตราดอกเบี้ยเนื่องจากอัตราเงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงขึ้น และเศรษฐกิจโลกที่ยังคงอยู่ในสภาวะที่ไม่มั่นคง อย่างไรก็ตามระดับของรายได้และเงินกองทุนของธนาคารพาณิชย์ไทยน่าจะสามารถรองรับผลกระทบจากการชะลอตัวลงอย่างฉับพลันของเศรษฐกิจได้ในระดับหนึ่ง
แม้ว่าต้นทุนทางการเงินที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นและภาวะการแข่งขันที่สูงขึ้นอาจจะส่งผลกระทบต่อส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ของธนาคารพาณิชย์ไทย แต่ฟิทช์คาดว่าความต้องการสินเชื่อที่อยู่ในระดับสูง รายได้ค่าธรรมเนียมที่สูงขึ้น และการตั้งค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญในระดับไม่สูงมากนัก จะเป็นปัจจัยสนับสนุนต่อผลประกอบการโดยรวม ฟิทช์เชื่อว่าธนาคารพาณิชย์ไทยขนาดใหญ่จะสามารถบริหารต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้นได้ดีกว่าธนาคารพาณิชย์ขนาดเล็ก เนื่องจากมีฐานลูกค้าเงินฝากที่ใหญ่กว่า
ฟิทช์มองว่า การเติบโตอย่างต่อเนื่องของรายได้ของธนาคารพาณิชย์ไทยเป็นปัจจัยสนับสนุนที่ช่วยรักษาระดับเงินกองทุนให้สอดคล้องกับอันดับเครดิตของธนาคาร อีกทั้ง ฟิทช์ยังเห็นว่าธนาคารไทยไม่ได้มีการพึ่งพาแหล่งเงินทุนที่มาจากการออกตราสารหนี้ที่มีลักษณะคล้ายทุน (hybrid capital securities) ในระดับที่สูงนัก เนื่องจากทุนจดทะเบียนชำระแล้วและกำไรสะสม ซึ่งมีคุณสมบัติในการรองรับผลขาดทุนของธนาคารสูงที่สุด ยังคงเป็นส่วนประกอบหลักในโครงสร้างเงินกองทุนของธนาคารพาณิชย์ไทย
คุณภาพสินทรัพย์ของธนาคารพาณิชย์ไทยมีการปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ยังคงลดลงอย่างต่อเนื่องและอัตราส่วนสำรองหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ปรับตัวสูงขึ้น โดย ณ สิ้นปี 2553 ธนาคารพาณิชย์ไทยมีอัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ที่ 4.4% (5.9% ณ สิ้นปี 2552) และมีอัตราส่วนสำรองหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ที่ 91% (76% ณ สิ้นปี 2552) ในระยะยาว ฟิทช์คาดว่ากระบวนการอนุมัติสินเชื่อที่รัดกุมมากขึ้น รวมทั้งการป้องกันและการแก้ปัญหาสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ที่รวดเร็วขึ้นน่าจะช่วยให้คุณภาพสินทรัพย์ของธนาคารพาณิชย์ไทยปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง
ในขณะเดียวกัน ฟิทช์มองว่าความเสี่ยงด้านการระดมเงินทุนและสภาพคล่องน่าจะยังคงอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ แม้ว่าธนาคารพาณิชย์ไทยจะมีอัตราส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากเฉลี่ยที่ 97% (สำหรับธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ 6 อันดับแรก ซึ่งมีสินทรัพย์รวมประมาณ 80% ของระบบ) ซึ่งโดยทั่วไปยังคงอยู่ในระดับที่สูงกว่าธนาคารพาณิชย์ในภูมิภาคเอเชีย
แต่อย่างไรก็ตามความเสี่ยงด้านการระดมเงินทุนยังคงอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้เนื่องจากธนาคารมีการถือครองสินทรัพย์สภาพคล่องในระดับที่พอเพียงและมีฐานลูกค้าเงินฝากที่มั่นคง เหตุการณ์ที่อาจส่งผลให้เงินกองทุนของธนาคารมีความเสี่ยงที่จะลดลง เช่น การเพิ่มขึ้นของสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ในระดับสูงเนื่องจากการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ต่ำกว่าการคาดการณ์ และ/หรือ สินเชื่อที่มีการเติบโตในระดับที่สูงมากกว่าปกติ อาจส่งผลกระทบในเชิงลบต่ออันดับเครดิต ขณะเดียวกันการปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องของอัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญ เช่น อัตราส่วนกำไรสุทธิต่อสินทรัพย์ที่สูงขึ้นและอัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ที่ต่ำลง น่าจะส่งผลกระทบเชิงบวกต่อความแข็งแกร่งทางการเงินของธนาคารพาณิชย์ไทยโดยรวม


-----------------------------------------------------------------------------

Code 389 : 31/03/54 ลุ้นทำ Window ดัน SET เหนือ BB-T

วันพฤหัสที่ 31 มีนาคม 2554

ATT Code : ลุ้นทำ Window ดัน SET เหนือ BB-T



สรุปสภาวะการซื้อขายในวันพุธที่ 30/03/54 นี้ : จัดหนักเกินคาด ยกแบงค์+พลังงาน+ทำ Window ดัน SET เหนือ BB-T
วันนี้เรียนกว่าเปิดเป็นเกือบ Low และปิดเป็น High เลย ด้วยแรงซื้อจากกลุ่มแบงค์เป็นหลักจากการไป Roadshow ร่วมกับตลาด และกลุ่มพลังงานก็ยังช่วยดันขึ้นมาด้วย นอกจากนี้ก็ยังมีการทำ window Dressing ของสิ้นไตรมาสนี้ด้วย ส่งผลห้ SET ขึ้นมาปิดที่ 1050.67 จุด บวกไป 14.31 จุด ปิดเหนือ BB-T ได้อย่างสวยงาม หลังจากลุ้นมาหลายวัน ซึ่งเมื่อ 2 วันก่อนยังมีแรงขายเบาๆ ที่เป็น Sell Signal แต่นั่นก็ไม่ใช่สัญญาณหลัก ซึ่งการปิดเหนือ BB-T ในวันนี้ทำให้ Indicators ทุกตัวกลับมาแข็งแรงใหม่ อีกครั้ง

แนวโน้มในวันพฤหัสที่ 31/03/54 นี้ : ลุ้นผ่านที่ High เดิม 1056.44
เนื่องจากเมื่อวานมีแรงซื้อในกลุ่มแบงค์เข้ามาในช่วง Call Market ทำให้คาดว่า พรุ่งนี้ในตอนเช้า SET น่าจะเปิดกระโดดขึ้นไปเหนือ BB-T ได้อยู่ โดยมี High เดิมที่ 1056 จุด ซึ่งจะทะลุไปได้เลยไหม ก้ต้องดูตลาดเพื่อนบ้านเป็นหลักด้วย แต่หลังจากตลาดยุโรปเปิดมาแล้ว ก้บวกขึ้นไปที่ 0.8% และ 1.48% ทำให้แนวโน้มยุโรปดูดีมาก ก้อาจจะส่งผลให้ตลาดหุ้นเอเซียรวมถึงไทยปรับตัวขึ้นได้อีก

โดยที่ตลาดมีกรอบแนวรับ-แนวต้าน ดังนี้
แนวรับที่ 1,041 จุด, EMA 5D ที่ 1,039 จุด และ EMA 10D ที่ 1,030 จุด
แนวต้านที่ 1,056.44 จุด ที่เป็น High เดิมในวันที่ 6/1/54

Indicators ต่างๆ ของวันก่อนหน้านี้ :
Main Buy Signal = MACD + Slow Stochastic + RSI
6 Indicators = Buy Signal
3 Indicators = Overbought
0 Indicators = Bearish Divergence
0 Indicators = Sell Signal

1. Alert MACD (B)+(Stronger)
Major = Buy Signal : 1. MACD >. Signal.... และ Minor =Uptrend ยังดีอยู่โดย 2. MACD > 0)
(+) MACD Oscillator มีค่าเพิ่มขึ้นมา จาก 1.14 เป็น 1.79 แต่ MACD ยังมีค่ามากขึ้นอยู่

2. Alert Slow Sto (B)+(Stronger)+(OverBought)
(+) Slow Stochastic : %K(93) > %D(88)...

3. Alert RSI (B)+(Stronger)
(+) RSI(68) > MAV9(61) : RSI สูงกว่าเส้นค่าเฉลี่ย และมีค่าเพิ่มขึ้น...

4. Alert William %R (B)+ Overbought
%R ตัดเส้น -10 ขึ้นมาอีกครั้ง : กลับมาอยู่ในเขต Overbought อีกครั้ง
(+) Williams %R เริ่มมีค่าอ่อนลงมา จาก (-7) เป็น (0)

5. Alert CCI (B เบาๆ)+ (Overbought)
CCI ตัดเส้น 100 ขึ้นมาอีกครั้ง: กลับมาอยู่ในเขต Overbought ใหม่ และเปลี่ยนจาก Sell Signal เป็น Buy Signal เบาๆ)
(+) CCI กลับมามีค่าเพิ่มขึ้นอีกครั้ง ลงมาจาก 82 มาที่ 123

6. Alert ADX (B)+(Stronger)
(+) เส้น ADX : DI+(38) > DI-(16)...

7. OBV + : Stronger
(+) OBV มีค่าเพิ่มขึ้น

****************
Historical Technics
****************
Buy Signal:
1. (+)MACD กลับมาเป็น Buy Signal อีกครั้ง(22/03/54)
2. (+) SET ผ่านแนวต้านหลัก BB Average = Major เป็น Bullish + Uptrend... ยืนยันความเข็งแรงของตลาด... BB Average เปลี่ยนจากแนวต้านมาเป็นแนวรับหลัก (16/02/54)
3. (+) EMA5 (979.12) ตัด EMA10 (976.12 )ขึ้นมา... Major เป็น Golden Cross = Buy Signal (17/02/54)
4. (+) EMA10 (988.34) ตัด EMA25 (987.47) = Golden Cross : Strong (04/03/54)
5. (+) EMA25 (992.96) ตัด EMA75 (991.78) : Stronger (09/03/54)
6. (+) SET สูงกว่าเส้น 10 วัน และ 5 วัน แล้ว : Stronger (21/03/54)
7. (+) Slow Sto : %K(72) > %D(69) = Buy Signal (22/03/54)

Overbought:
1. (+/-) Slow Sto : %K(81) > %D(73) = Overbought (23/03/54)
2. (+/-) Alert William %R > -10 = Overbought (30/03/54)
3. (+/-) Alert CCI > 100 =(Overbought) (30/03/54)

Bearish Divergence

Sell Signal :

Oversold: None



-----------------------------------------------------------------------------
MARKET WAVE Analysis

-----------------------------------------------------------------------------
EFinance Thai :
ลุ้นหุ้นไทยเดือนเม.ย.แตะ1080จุด
โบรกเกอร์ทำนายหุ้นไทยเดือนเมษายนมีแนวโน้มเป็นบวก เหตุได้รับปัจจัยหนุนจากแรงเก็งกำไรงบ Q1/54 ขณะที่การเมืองเดินหน้าสู่การเลือกตั้ง แต่คาดดัชนีผันผวนหนัก เพราะเข้าใกล้จุดสูงสุดเดิมที่ 1056 จุด ทำให้มีโอกาสถูกเทขายทำกำไร ให้กรอบการเคลื่อนไหว 980-1080 จุด แนะซื้อหุ้นผลประกอบการดี-ปันผลสูง-downside risk จำกัด
การลงทุนในตลาดหุ้นไทยเดือนมีนาคมนี้กำลังจะจบสิ้นลง ทำให้หลายฝ่ายคาดการณ์ไปถึงการลงทุนในเดือนเมษายนว่าจะมีแนวโน้มออกมาอย่างไร ซึ่งส่วนใหญ่มองว่าในเดือนเมษายนดัชนีหุ้นไทยยังสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยกระตุ้นจากการเก็งกำไรผลประกอบการไตรมาส 1/54 และการเก็งกำไรในช่วงที่ประเทศเดินหน้าเข้าสู่การเลือกตั้ง อย่างไรก็ตามเชื่อว่าดัชนีจะมีความผันผวนหนัก เพราะปรับตัวเพิ่มขึ้นมามากแล้ว จนใกล้เข้าสู่จุดสูงสุดเดิมที่ 1056 จุด ขณะที่ยังมีปัจจัยลบภายนอกกดดันเป็นระยะๆ
ทั้งนี้ โบรกเกอร์ให้กรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีในเดือนเมษายนที่ 980 -1080 จุด โดยแนะนำให้เลือกลงทุนในหุ้นที่ผลประกอบการมีแนวโน้มเติบโตแข็งแกร่งหรือฟื้นตัว (turnaround)ในปีนี้ หรือหุ้นที่จ่ายเงินปันผลในเกณฑ์ดีและมี downside risk จำกัด

*****กิมเอ็งให้กรอบหุ้นไทยเดือนเม.ย. 980-1080 จุด
บทวิเคราะห์บล.กิมเอ็ง ระบุว่า มุมมองต่อการลงทุนในเดือนเม.ย.นี้ KimEng ขยับขึ้นเป็น “Positive” จากเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา “Neutral to Positive”
เพราะเชื่อว่าเดือนเม.ย.ปีนี้จะไม่เกิดเหตุการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองเหมือนเช่นที่เกิดขึ้นใน 3 ปีที่ผ่านมาหลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี 9 ท่านผ่านพ้นไปได้ด้วยดี พร้อมกับการปักธงยุบสภาฯในสัปดาห์แรกของเดือนพ.ค. และการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นหลังจากนั้น 45-60 วัน น่าจะทำให้ทุกอย่างกลับเข้าสู่ระบบกันอีกครั้ง แม้ว่าจะมีการออกมาเดินขบวน เพื่อแสดงความเห็นทางการเมืองก็ตาม แต่เชื่อว่าจะอยู่ในกรอบที่กฎหมายกำหนดไว้
ขณะที่ปัจจัยภายในประเทศ อย่างการเก็งกำไรต่องบการเงิน 1Q54 ต่อกลุ่มธนาคาร คาดว่าจะเห็นการเติบโตอย่างโดดเด่นทั้ง qoq และ yoy พร้อมการประชุมกนง.ในเดือนเม.ย. เชื่อว่าจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 25bps เป็นครั้งที่ 3 ซึ่งจะเสริมประเด็นเชิงบวกให้แก่กลุ่มธนาคารมากยิ่งขึ้น รวมไปถึงการเก็งกำไรในกลุ่มที่ไม่ใช่ธนาคารในช่วงปลายเดือนเม.ย. ซึ่งในหลายๆ กลุ่มอุตฯ คาดว่าจะมีกำไรจากการดำเนินงานที่โดดเด่นเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มโรงกลั่น และกลุ่มปิโตรเคมี
ด้านปัจจัยต่างประเทศ เชื่อว่ากรณีลิเบียน่าจะได้ข้อยุติลงไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง หลังจากยูเอ็นมีมติให้กำหนดเขตห้ามบินวันที่ 18 มี.ค. พร้อมมอบอำนาจให้สหรัฐฯ เป็นผู้นำในการปฎิบัติการทางอากาศตามมา ซึ่งหากคลี่คลายลงได้เร็วเท่าไร เงินทุนที่ไหลเข้าเก็งกำไรในน้ำมันดิบล่วงหน้า NYMEX และทองคำ Comex น่าจะไหลเข้าตลาดหุ้นทั่วโลกเช่นกัน เพราะแรงกดดันด้านเงินเฟ้อสูงจากราคาน้ำมันดิบจะผ่อนคลายลง
อย่างไรก็ตาม การประชุมธนาคารกลาง ECB – FOMC เป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม แน่นอนว่า ECBจะพิจารณาขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อควบคุมเงินเฟ้อ ขณะที่ FOMC นั้นประเด็นสำคัญอยู่ที่มุมมองต่อ QE#2นั้นจะมีความจำเป็นในการคงต่อไปจนถึงเดือนมิ.ย. ตามแผนเดิมหรือไม่ เพราะจะมีผลต่อนโยบายการเงินระยะกลางถึงยาว
จากภาพรวมของตลาดเดือนเม.ย. KimEng ขยับกรอบการเคลื่อนไหวของ SET INDEX ขึ้นจากเดือนมี.ค.ที่ (930) 950 - 1,030 (1,050) จุด เป็น (950) 980 – 1080 (1100) จุด เพราะน่าจะมีโมเมนตัมเชิงบวกต่อเนื่องจากกลางเดือนมี.ค. ซึ่งมีการทำ Roadshow ทั้งในและต่างประเทศ พร้อมกับกระแสเงินทุนต่างชาติที่ไหลเข้าตลาดหุ้นทั่วเอเชีย รวมถึงตลาดหุ้นไทย

***** เชียร์ซื้อ PTTEP-DCC-CPALL-BEC
บทวิเคราะห์บล.กิมเอ็ง ระบุว่า สำหรับหุ้นที่แนะนำให้ลงทุนในเดือนเม.ย.นี้ ให้เลือกหุ้นที่ผลประกอบการมีแนวโน้มเติบโตแข็งแกร่งหรือฟื้นตัว (turnaround) ในปีนี้ หรือหุ้นที่จ่ายเงินปันผลในเกณฑ์ดีและมี downside risk จำกัด ได้แก่ BBL, KBANK, BANPU, PTTEP, SGP, CPALL,DCC, และ BEC
ทั้งนี้ ในส่วนของ PTTEP เน้นถือลงทุน เพราะได้ประโยชน์โดยตรงจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวสูงขึ้นจากความกังวลสถานการณ์ความไม่สงบในลิเบียและตะวันออกกลาง เราประเมินผลกำไรในปีนี้จะมีการเติบโตต่อเนื่องอีก 24% เป็นกำไรสุทธิ 51,955 ล้านบาท หรือ 15.71 บาท/หุ้น จากการเติบโตของปริมาณการจำหน่ายปิโตรเลียมและราคาจำหน่ายที่คาดว่าจะปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเช่นกัน ราคาหุ้นปัจจุบันมี upside น่าสนใจกว่า 24.7% จากราคาเป้าหมายของเราที่ 227 บาท
สำหรับ DCC เน้นถือลงทุน แนวโน้มผลประกอบการในไตรมาสแรกปี 2554 เบื้องต้นเราประเมินจะทำจุดสูงสุดใหม่ หรือ มากกว่า 360 ล้านบาท โดยจะได้แรงหนุนจากเป็นช่วงไฮซีซั่น และ การบูรณะซ่อมแซมหลังน้ำท่วม ส่วนแนวโน้มปี 2554 คาดจะยังเติบโตโดดเด่น จาก 1.) การขยายกำลังการผลิตใหม่ ในปี 2553-2554 จาก 48 ล้านตรม./ปี เป็น 64 ล้านตรม./ปี ทำให้เกิดการประหยัดจากขนาดมากขึ้นส่งผลทำให้อัตรากำไรขั้นต้นพุ่งขึ้นต่อเนื่อง 2.) จุดเด่นของ DCC คือ มีตลาดนัดกระเบื้องถึง 200 สาขา ในปัจจุบัน กระจายทั่วประเทศ ได้เพิ่มช่องทางจำหน่าย และ ปีนี้จะเปิดเพิ่มอีก 15-20 สาขา 3.) ราคาพืชผลทางการเกษตรได้พุ่งขึ้นอย่างมาก จะส่งผลบวกต่อ DCC เนื่องจากยอดขายของ DCCประมาณ 80% จะขายไปยังต่างจังหวัด
ขณะเดียวกันเราประเมิน ปี 2554 ยอดขายจะเติบโตต่ออีก 15-17% เป็นเท่ากับ 7,611 ล้านบาท และ มีกำไรสุทธิ1,476 ล้านบาท (กำไรต่อหุ้น 3.62 บาท) เพิ่มขึ้น 26% ราคาหุ้นปัจจุบันให้เงินปันผลตอบแทนสูง 7.4% และมี upside 22% จากราคาเป้าหมายของเราที่ 60 บาท
ด้าน CPALL เน้นถือลงทุน ประเมินว่ากำไรของ CPALL ปีนี้จะเพิ่มขึ้น 15% เป็น 7,637 ล้านบาท (1.70 บาท/หุ้น) จากการที่ยอดขายต่อสาขาเติบโตกว่า 5% และมีการเปิดสาขาใหม่ 500 สาขา ฐานะการเงินของ CPALL ยังคงแข็งแกร่ง ไม่มีภาระหนี้สิน ทำให้คาดว่าบริษัทจะจ่ายเงินปันผลในปีนี้ได้ 1.1 บาท หรือคิดเป็นอัตราผลตอบแทน 3% ราคาหุ้นปัจจุบันยังมี upside สูงถึง 26% จากราคาเป้าหมายของเราที่ 49 บาท
ส่วน BEC เน้นถือลงทุน ราคาหุ้นปัจจุบันมี upside 21.20% จากราคาเป้าหมายของเราที่ 40 บาท มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องจากอัตราการใช้เวลาโฆษณาหนาแน่นและการขึ้นค่าโฆษณา คาดกำไรปกติในปี 2553 เพิ่มขึ้น 24% เป็น 3,255 ล้านบาท (1.63 บาท/หุ้น) และเป็นกลุ่มที่คาดจะมีแรงเก็งกำไรก่อนการเลือกตั้ง จากอัตราการใช้เวลาโฆษณาที่หนาแน่นขึ้น
นอกจากนี้แนะนำขายทำกำไร IVL, SCC, และ CPF หลังราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรงในเดือนที่ผ่านมา รอซื้อคืนเมื่ออ่อนตัว และถอด THAI ออกจากพอร์ตชั่วคราว เนื่องจากในระยะสั้นราคาหุ้นขาดปัจจัยกระตุ้น

***** ฟาร์อีสท์ มองเดือนเม.ย.ดัชนีผันผวนหนัก
นายปริญทร์ กิจจาทรพิทักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟาร์อีสท์ กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นช่วงเดือนเม.ย. น่าจะมีความผันผวนมากขึ้น เนื่องจากเป็นช่วงที่ดัชนีฯ เริ่มเข้าใกล้ 1056 จุด ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเดิมที่ทำไว้เมื่อเดือนม.ค. ที่ผ่านมา เพราะช่วงที่เข้าใกล้เป้าหมายดังกล่าวจะมีนักลงทุนบางส่วนขายทำกำไร แต่เชื่อว่าการปรับตัวลดลงของดัชนีฯ ไม่น่าหลุด 1000 จุด
สำหรับปัจจัยที่หนุนดัชนีฯ ในเดือนดังกล่าว คือการประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 1/54 เนื่องจากตลาดส่วนใหญ่คาดว่าแนวโน้มน่าจะออกมาดี ส่วนปัจจัยที่จะทำให้นักลงทุนขายหุ้นน่าจะเป็นเรื่องปัญหาการเมือง เพราะช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงเวลาของการเตรียมประกาศยุบสภาและมีการเลือกตั้งใหม่ อาจจะทำให้นักลงทุนอาศัยจังหวะดังกล่าวขายทำกำไรออกมา ซึ่งจะทำให้ดัชนีฯ ผันผวนมากขึ้น
"มองว่าในเดือนเม.ย. เป็นช่วงเวลาของคนที่ชอบเล่นเก็งกำไร และคนที่รอเข้าซื้อเก็บช่วงที่ดัชนีฯ ปรับตัวลดลง ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีที่จะทยอยซื้อหุ้นในพอร์ตช่วงนี้"นายปริญทร์ กล่าว
สำหรับกลุ่มที่น่าสนใจได้แก่ กลุ่มพลังงาน PTTCH - PTTEP- BANPU- TOP- IVL กลุ่มปิโตรเคมี กลุ่มโรงกลั่น และกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ได้แก่ KTB- BAY- KBANK -SCB โดยเฉพาะกลุ่มพลังงานที่แนวโน้มผลประกอบการครึ่งแรกปีนี้จะโดดเด่นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน
อย่างไรก็ตาม ข้อจำกัดที่ควรระวังในเดือนนี้คือ Upside ที่จะเหลือน้อยลง ในช่วงที่ดัชนีฯ ทะลุ 1056 จุด และวิ่งเข้าหา 1200 จุด ซึ่งเป็นเป้าหมายของดัชนีฯ ทั้งปีที่บริษัทฯมอง อาจจะทำให้นักลงทุนมองว่ามีส่วนต่างในการทำกำไรเหลือน้อยลงแค่ 100 กว่าจุด อาจจะตัดสินใจขายในช่วงนี้



-----------------------------------------------------------------------------

Code 388 : 30/03/54 Sideway ในกรอบ EMA 5D และ BB Top

วันพุธที่ 30 มีนาคม 2554

ATT Code : Sideway ในกรอบ EMA 5D และ BB Top



สรุปสภาวะการซื้อขาย วันอังคารที่ 29/03/54 : วันนี้พลังงานและแบงค์ดันให้ SET ขึ้นไป High ที่ 1039 แล้วก็มีแรงขายพลังงานออกมาอย่างเดียว ส่วนกลุ่มแบงค์ก็ยังยันไว้ได้อยู่ ทำให้ย่อลงมาปิดที่ 1036 จุด บวกไป 3.42 จุด ซึ่งยังไม่สามารถผ่านแนวต้านที่ 1038 จุดได้ ซึ่งก้ถือว่ายังดี ยัง Sideway อยู่ในกรอบเส้น EMA 5D และ BBTop ได้อยู่ ซึ่ง %R พลิกกลับขึ้นมาตัด -10 ได้อีกครั้ง ทำให้แนวโนมระยะสั้นกลับมาเป็นบวกได้อีก

แนวโน้มในวันพุธที่ 30/03/54 นี้ หลังจากที่ SET ลงไปต่ำกว่าแนวรับแล้ว แต่ก็ไม่หลุดเส้น 5 วัน ทำให้มีแรงซื้อกลับเข้ามาให้ในระยะสั้น โดยความแข็งแรงของ MACD และ Sto กลับมาแข็งแรงขึ้นใหม่ ทำให้ Main Indicator ยังไม่เกิด Sell Signal ขึ้นมา ก็คง Sideway อยู่ในกรอบ 10 จุด โดยที่ตลาดมีกรอบแนวรับ-แนวต้าน ดังนี้

แนวรับ EMA 5D ที่ 1,032 จุด และ EMA 10D ที่ 1,025 จุด
แนวต้านที่ 1,039 จุด และที่ BB Top ที่ 1,041 จุด 4

Indicators ต่างๆ ของวันก่อนหน้านี้ :
Main Buy Signal = MACD + Slow Stochastic + RSI
5 Indicators = Buy Signal
2 Indicators = Overbought
2 Indicators = Bearish Divergence
1 Indicators = Sell Signal (เป็นแค่ Minor Signal เท่านั้น)

1. Alert MACD (B)+(Weak)
Major = Buy Signal : 1. MACD >. Signal.... และ Minor =Uptrend ยังดีอยู่โดย 2. MACD > 0)
(+/-) MACD Oscillator มีค่าลดลงมา จาก 1.39 เป็น 1.14 แต่ MACD ยังมีค่ามากขึ้นอยู่

2. Alert Slow Sto (B)+(Stronger)+(OverBought)
(+) Slow Stochastic : %K(90) > %D(86)...

3. Alert RSI (B)+(Stronger)
(+) RSI(63) > MAV9(59) : RSI สูงกว่าเส้นค่าเฉลี่ย...

4. Alert William %R (B)+(Divergence)
(%R ตัดเส้น -10 ขึ้นมาอีกครั้ง : กลับมาอยู่ในเขต Overbought อีกครั้ง
(+) Williams %R เริ่มมีค่าอ่อนลงมา จาก (-14) เป็น (-7)

5. Alert CCI (S)+(Divergence)
(1.CCI ตัดเส้น 100 ลงมาแล้ว: เปลี่ยนจาก Overbought เป็น Sell Signal)
(-) CCI เริ่มย่อลงมาแล้ว ลงมาจาก 92 มาที่ 82

6. Alert ADX (B)+(Weak)
(-) เส้น ADX : DI+(36) > DI-(18)... DI มีค่าลดลง

7. OBV + : Stronger
(+) OBV มีค่าลดลง

****************
Historical Technics
****************
Buy Signal:
1. (+)MACD กลับมาเป็น Buy Signal อีกครั้ง(22/03/54)
2. (+) SET ผ่านแนวต้านหลัก BB Average = Major เป็น Bullish + Uptrend... ยืนยันความเข็งแรงของตลาด... BB Average เปลี่ยนจากแนวต้านมาเป็นแนวรับหลัก (16/02/54)
3. (+) EMA5 (979.12) ตัด EMA10 (976.12 )ขึ้นมา... Major เป็น Golden Cross = Buy Signal (17/02/54)
4. (+) EMA10 (988.34) ตัด EMA25 (987.47) = Golden Cross : Strong (04/03/54)
5. (+) EMA25 (992.96) ตัด EMA75 (991.78) : Stronger (09/03/54)
6. (+) SET สูงกว่าเส้น 10 วัน และ 5 วัน แล้ว : Stronger (21/03/54)
7. (+) Slow Sto : %K(72) > %D(69) = Buy Signal (22/03/54)

Overbought:
1. (+) Slow Sto : %K(81) > %D(73) = Overbought (23/03/54)

Bearish Divergence
1. (-) %R เริ่มมีค่าอ่อนลง โดยที่ SET ทำ New High แต่ %R มีค่าต่ำกว่าจุดสูงในครั้งก่อน (25/03/54)
2. (-) CCI เริ่มมีค่าอ่อนลง โดยที่ SET ทำ New High แต่ CCI มีค่าต่ำกว่าจุดสูงในครั้งก่อน (25/03/54)

Sell Signal :
1. (-) CCI < 100 : เปลี่ยนจาก Overbought (23/03/54) เป็น Sell Signal (28/03/54)

Oversold: None

-----------------------------------------------------------------------------
MARKET WAVE Analysis

-----------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย
EFinance Thai : เปิดโผหุ้นรับน้ำท่วม
ใต้อ่วมหนักหลังเผชิญอุทกภัยหลายพื้นที่ ด้านวงการเปิดโผหุ้น เด่น-ดับ คาดกลุ่มวัสดุก่อสร้าง รับอานิสงส์หลังน้ำลด อาทิ DCC, SCC, TASCO, DRT ส่วนกลุ่มค้าปลีก อาทิ CPALL, HMPRO ขณะที่กลุ่มอาหาร เป็นบวกคือ CPF ส่วนที่ผลกระทบด้านลบอาทิ TUF, CFRESH กลุ่มธุรกิจท่องเที่ยว รวมทั้งธุรกิจสวนปาล์ม คาดกระทบ LST ขณะที่สวนยางเสียหาย คาด STA บวกเล็กน้อย แต่อาจเป็นลบต่อ VNG เหตุไม้ยางแพงขึ้น
จากสถานการณ์น้ำท่วมในหลายจังหวัดของ ภาคใต้ อาทิ จังหวัดนครศรีธรรมราช, พัทลุง, สุราษฎร์ธานี, ตรัง และชุมพร โดยมีความเป็นไปได้ที่เกิดน้ำท่วมหนัก และขยายพื้นที่เพิ่มขึ้นเป็นวงกว้าง หลังมีคำเตือนพื้นที่เฝ้าระวังเพิ่มประกอบด้วย จังหวัดยะลา ปัตตานี นราธิวาส พัทลุง ระนอง สงขลา สตูล เนื่องจากคาดว่าฝนจะตกหนักต่อเนื่องไปจนถึงวันศุกร์นี้ (1 เม.ย.)
ทั้งนี้พื้นที่ภาคใต้ของไทย ถือเป็นพื้นที่สำคัญทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะพื้นที่ปลูกยางพารา และสวนปาล์ม รวมทั้ง เป็นแหล่งเลี้ยงกุ้งอันดับ 2 รองจากภาคตะวันออก ส่งผลให้กระทบต่อภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ขณะเดียวกันมีกลุ่มธุรกิจที่ได้รับประโยชน์ หลังเหตุการณ์ดังกล่าวเข้าสู่ภาวะปกติ


***FSS มองหลังน้ำลดจะส่งผลบวกต่อ DCC, SCC, TASCO, DRT และ CPF***
บทวิเคราะห์บล.ฟินันเซียไซรัส(FSS) คาดว่าหลังน้ำลดแล้วจะเป็นบวกต่อกลุ่มวัสดุก่อสร้าง ประกอบด้วย DCC, SCC, TASCO, DRT กลุ่มค้าปลีก อาทิ CPALL, HMPRO กลุ่มอาหาร อาทิ CPF แต่เป็นลบกับ TUF, CFRESH เนื่องจากต้นทุนการเลี้ยงกุ้งจะสูงขึ้น, ส่วน VNG เนื่องจากไม้ยางอาจแพงขึ้น, TPOLY มีงานใน 3 จว.ชายแดนภาคใต้


*** CNS คาดน้ำท่วมกระทบต่อธุรกิจท่องเที่ยว และ LST แต่ STA บวกเล็กน้อย***
บทวิเคราะห์ บล.โนมูระ พัฒนสิน ประเมินว่าน้ำท่วมภาคใต้กระทบธุรกิจท่องเที่ยว อาทิ AOT SPF MINT CENTEL
ขณะที่พื้นที่ที่ถูกน้ำท่วม ทั้ง จ.สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง ชุมพร ตรัง ผลผลิตส่วนใหญ่ได้แก่
1) กุ้ง บริเวณดังกล่าวเป็นแหล่งเลี้ยงกุ้งอันดับ 2 รองจากภาคตะวันออก โดยมีสัดส่วนกุ้งจากทางภาคใต้ราว 40% ของผลผลิตกุ้งทั้งหมด
โดยราคากุ้งขาวล่าสุดปรับตัวสูงขึ้น 5 บาท/กก.W-W อยู่ที่ 155 บาท/กก. (+15% YTD)
2) ยางพารา ทั้ง 5 จังหวัดมีพื้นที่ปลูกยางพาราคิดเป็นสัดส่วน 50% ของพื้นที่ปลูกยางทั้งหมดของภาคใต้ หรือ 35% พื้นที่ปลูกยางทั่วประเทศอยู่ที่ราว 5.6 ล้านไร่
ดังนั้นจึงคาดว่า น้ำท่วมครั้งนี้คาดว่าเป็นลบต่อTUF แต่คาด Neutral CPF
นอกจากนั้นเหตุน้ำท่วมส่งผลให้สวนปาล์ม จ.สุราษฎร์ และชุมพรอาจเสียหาย จึงเป็นผลลบต่อ LSTขณะที่ สวนยางเสียหาย STA คาด Slightly positive

*** บล.ทิสโก้ มองกลุ่มค้าปลีกได้รับผลกระทบค่อนข้างจำกัด เมื่อเทียบกับน้ำท่วมในหาดใหญ่***
ด้านบล.ทิสโก้ ประเมินคาดผลกระทบต่อกลุ่มค้าปลีกไทยค่อนข้างจำกัด คาดว่าผลกระทบต่อกลุ่มค้าปลีกจะไม่มีนัยสำคัญ (น้อยกว่า 1 % จากรายได้ทั้งหมด) จากภาวะน้ำท่วมในนครศรีธรรมราช, พัทลุง, สุราษธานี, ตรัง, และชุมพร ซึ่งดูเหมือนว่าผลกระทบน่าจะน้อยกว่าหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใน Q4/53 (น้ำท่วมในหาดใหญ่และนครราชสีมา ซึ่งมีผลต่อกลุ่มค้าปลีกค่อนข้างมาก)
ส่วนกลุ่มอาหารนั้นเนื่องจากภาคใต้เป็นแหล่งเลี้ยงกุ้งที่ใหญ่ที่สุดในไทย (ราว 20% ของอุปทานกุ้งทั้งหมด) นักลงทุนอาจคิดว่าธุรกิจกุ้งของ CPF และ TUF อาจจะได้รับผลกระทบจากภาวะน้ำท่วมในปัจจุบัน
มองว่ามีผลกระทบที่ค่อนข้างแตกต่างกันระหว่าง CPF และ TUF นอกจากนี้ ภาวะน้ำท่วมน่าจะส่งผลให้ขาดแคลนอุปทานกุ้ง ส่งผลให้คาดว่าจะเห็นราคากุ้งยังคงอยู่ในระดับสูงต่อไป
โดยCPF คาดว่าจะได้ประโยชน์จากราคากุ้งที่ปรับตัวสูงขึ้นมากกว่าจะได้รับผลกระทบจากการสูญเสียของฟาร์ม ด้วยคาดว่า 50% ของอุปทานกุ้งของ CPF มาจากภาคใต้ (ส่วนที่เหลือมาจากภาคตะวันออก) อย่างไรก็ตาม CPF มีฟาร์มกุ้งในหลายจังหวัด ทั้งสงขลา, นครศรีธรรมราช และสุราษฎร์ธานี มีเพียงฟาร์มในจังหวัดนครศรีธรรมราชเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบ อย่างไรก็ตาม ด้วยมีฟาร์มในท้องถิ่นในจังหวัดเหล่านี้ได้รับผลกระทบ คาดว่าอุปทานจะยังคงตึงตัวต่อเนื่อง และด้วยฟาร์มของ CPF ที่กระจายในหลายจังหวัด บริษัทน่าจะได้ประโยชน์จากราคากุ้งที่ปรับตัวสูงขึ้น ดังนั้นยังคงแนะนำ “ซื้อ” สำหรับ CPF ด้วยราคาเป้าหมาย 30 บาท (sum of the part)
ส่วน TUF มองว่า ความสามารถในการทำกำไรของ TUF ขึ้นอยู่กับความสามารถในการส่งผ่านต้นทุนที่เพิ่มขึ้นของบริษัท TUF เป็นผู้บรรจุสินค้ากุ้ง ดังนั้นจากภาวะน้ำท่วม จึงเป็นปัจจัยที่ต้องจับตาดูถึงความสามารถของบริษัทในการส่งผ่านต้นทุนที่สูงขึ้นไปยังผู้ซื้อ
อย่างไรก็ตาม พิจารณาจากสิ่งที่เกิดขึ้นใน Q4/53 คิดว่าความสามารถของ TUF ที่จะส่งผ่านต้นทุนนั้นดีขึ้น เนื่องจากบริษัทมีสัญญาที่อายุสั้น จาก 6 เดือนในปีที่ผ่านมา มาอยู่ที่ 3 เดือนในปีนี้ นอกจากนี้ เนื่องจากโดยปกติแล้วในครึ่งปีแรกจะเป็นช่วงที่ราคากุ้งแข็งแกร่ง ดังนั้นคาดว่า TUF ได้ระมัดระวังต่อการกำหนดราคาผลิตภัณฑ์กุ้งแล้ว โดยรวมแล้วคาดว่าจะมีผลกระทบที่จำกัดต่อ TUF ยังคงแนะนำ “ซื้อ” ด้วยราคาเป้าหมาย 51 บาท

***บล.ยูไนเต็ด แนะ UNDERWEIGHT สำหรับกลุ่มวัสดุก่อสร้าง คาดการก่อสร้างฟื้นตัว หลังพ้นน้ำท่วม เชียร์ SCC เด่นสุด ***
ด้านบทวิเคราะห์ บล.ยูไนเต็ด ประเมินกลุ่มวัสดุก่อสร้างและตกแต่ง โดยให้น้ำหนัก UNDERWEIGHT เนื่องจาก ยอดขายปูน ม.ค.54 +4.4% เพราะการก่อสร้างเริ่มฟื้นตัวหลังพ้นภาวะน้ำท่วมและคาดว่าความต้องการปูนปี 54 +5% จากโครงการใหญ่ เช่น รถไฟฟ้า, สนามบินสุวรรณภูมิระยะ 2, Mega Bangna เป็นต้น ชอบ SCC ให้ราคาเป้าหมาย 385.บาท
ขณะที่กลุ่ม วัสดุตกแต่ง ประเมินว่า ส่วนใหญ่ยังไม่สามารถปรับราคาขึ้นได้จากภาวะแข่งขันสูง แต่ความต้องการยังเติบโตดี เพราะความเชื่อมั่นฟื้นตัว และเกษตรกรมีกำลังซื้อดีตามราคาพืชผลที่ปรับตัวสูงขึ้น

*** บล.โกลเบล็ก แนะ เก็งกำไร TASCO คาดความต้องการใช้ยางมะตอยซ่อมแซมถนนในภาคใต้ ให้ราคาเป้าหมาย 70บาท***
ทั้งนี้บทวิเคราะห์ บล.โกลเบล็ก ประเมิน คาดความต้องการใช้ยางมะตอยในประเทศยังคงสูงตามการจัดสรรงบประมาณจากภาครัฐ รวมถึงคาดว่าจะมีงบซ่อมแซมถนนในภาคใต้ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมเป็นกรณีพิเศษ ด้านตลาดส่งออกคาดว่าจะมีความต้องการสูงขึ้น ซึ่งคาดว่าจะได้รับอานิสงค์จากเหตุภัยพิบัติหลายแห่งในโลก รวมทั้งคาดว่าโรงกลั่นที่ประเทศมาเลเซียจะมีการใช้กำลังการผลิตสูงขึ้น แนะซื้อเก็งกำไร TASCO ให้ราคาเป้าหมาย 70 บาท

***KEST แนะ ซื้อ DCC คาดผลงาน Q1/54 ทำสถิติสูงสุดใหม่ เหตุเป็นช่วงไฮซีซั่น-การซ่อมแซมหลังน้ำท่วมให้เป้าหมาย 60บาท***
ด้านบทวิเคราะห์ บล.กิมเอ็ง(ประเทศไทย) ประเมิน DCCว่าแนวโน้มผลประกอบการในไตรมาสแรกปี 2554 เบื้องต้นประเมินจะทำจุดสูงสุดใหม่ หรือ มากกว่า 360 ล้านบาท โดยจะได้แรงหนุนจากเป็นช่วงไฮซีซั่น และ การบูรณะซ่อมแซมหลังน้ำท่วม
สำหรับแนวโน้มปี 2554 คาดจะยังเติบโตโดดเด่น จาก 1.) การขยายกำลังการผลิตใหม่ ในปี 2553-2554 จาก 48 ล้านตรม./ปี เป็น 64 ล้านตรม./ปี ทำให้เกิดการประหยัดจากขนาดมากขึ้นส่งผลทำให้อัตรากำไรขั้นต้นพุ่งขึ้นต่อเนื่อง 2.) จุดเด่นของ DCC คือ มีตลาดนัดกระเบื้องถึง 200 สาขา ในปัจจุบัน กระจายทั่วประเทศ ได้เพิ่มช่องทางจำหน่าย และ ปีนี้จะเปิดเพิ่มอีก 15-20 สาขา 3.) ราคาพืชผลทางการเกษตรได้พุ่งขึ้นอย่างมาก จะส่งผลบวกต่อ DCC เนื่องจากยอดขายของ DCC ประมาณ 80% จะขายไปยังต่างจังหวัด
ประเมิน ปี 2554 ยอดขายจะเติบโตต่ออีก 15-17% เป็นเท่ากับ 7,611 ล้านบาท และ มีกำไรสุทธิ 1,476 ล้านบาท (กำไรต่อหุ้น 3.62 บาท) เพิ่มขึ้น 26%
คาดเป็นตัวเลือกในการทำ window dressing ของกองทุนในประเทศหลังราคาหุ้นปรับตัวลงกว่า 26% จากระดับสูงสุดในเดือนธันวาคม 2554 จนมี upside และอัตราเงินปันผลตอบแทนน่าจูงใจราคาหุ้นปัจจุบันให้เงินปันผลตอบแทนสูง 7.4% และมี upside 22% จากราคาเป้าหมายที่ 60 บาท

***CPALL เผยน้ำท่วมภาคใต้กระทบยอดขาย 6 แสนบาท/วัน หลังปิดให้บริการบางสาขาชั่วคราว ***
นายปิยะวัฒน์ ฐิตะสัทธาวรกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) (CPALL) เปิดเผยว่าเหตุการณ์น้ำท่วมในหลายจังหวัดทางภาคใต้ของไทยว่า กระทบสาขาของเซเว่น อีเลฟเว่น 10 สาขาในจังหวัดนครศรีธรรมราชและเกาะสมุย ทำให้ต้องปิดบริการไปเมื่อวานนี้ แต่คาดว่าในวันนี้จะเปิดดำเนินการได้ตามปกติ
ทั้งนี้โดยเฉลี่ยเซเว่นฯ 1 สาขาจะมียอดขาย 60,000 บาทต่อวัน ดังนั้นการปิดบริการ 10 สาขาเมื่อวานนี้น่าจะกระทบยอดขายของบริษัท 600,000 บาท


*** CPF-TUF ยอมรับเหตุอุทกภัยภาคใต้ ส่งผลให้ราคากุ้งเพิ่มขึ้น***
นาย นายอดิเรก ศรีประทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF ระบุว่าปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ส่งผลให้พื้นที่เลี้ยงกุ้งได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมาก ทำให้เชื่อว่าในปีนี้แนวโน้มราคากุ้งจะปรับตัวเพิ่มขึ้นจากภาวะการขาดแคลนสินค้า ซึ่ งเบื้องต้นบริษัทฯได้อยู่ระหว่างการประเมินความเสียหายจากปัญหาดังกล่าว แต่เชื่อว่าจะได้รับผลกระทบเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
“ปีนี้ราคากุ้งคงจะเพิ่มขึ้นแน่นอน เพราะความเสียหายจากพื้นที่เลี้ยงกุ้งภาคใต้ได้รับผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วม แต่ก็ไม่ได้กังวล
ด้านนายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TUF เปิดเผยว่า หลังจากที่เกิดปัญหาน้ำท่วมในภาคใต้ทำให้กระทบสินค้ากุ้งของบริษัทฯ เพราะมีการสั่งซื้อกุ้งจากภาคใต้ในสัดส่วน 60% ฉะนั้นบริษัทฯ จึงเตรียมปรับราคาขายให้สอดคล้องกับต้นทุนกุ้งที่เพิ่มขึ้น แต่ไม่สามารถระบุได้ว่าจะปรับราคาขายขึ้นมากน้อยเพียงใด นอกจากนี้ ยังจะต้องติดตามสถานการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิดอีกด้วย


-----------------------------------------------------------------------------

Code 387 : 29/03/54 CCI และ %R เกิด Sell Signal ขึ้นมาแล้ว

วันอังคารที่ 30 มีนาคม 2554
ATT Code : 29/03/54 CCI และ %R เกิด Sell Signal ขึ้นมาแล้ว



สรุปสภาวะการซื้อขาย วันจันทร์ที่ 28/03/54 : SET ไม่สามารถผ่าน BB Top ขึ้นมาได้ ทำให้มีแรงขายออกมาในกลุ่มพลังงาน ส่วนแบงค์ก็ยังทรงๆ ลงบ้างนิดหน่อย แต่ภาพโดยรวม SET ดูไม่ค่อยดี โดยหลุดแนวรับแรกที่ 1034 ลงมาปิดที่ 1032.94 มาปิด Gap ของวันที่ 24/03/54 ทำให้ Indicators ทุกตัวเริ่มปรับตัวลดลงมา หรือ Weak แล้ว โดยที่ Indicators 2 ใน 3 ตัว ที่อยู่ในเขต Overbought ก็เกิด Sell Signal ขึ้นมาแล้ว

แนวโน้มในวันอังคารที่ 29/03/54 นี้ หลังจากที่ SET ไม่สามารถสามารถขึ้นมายืนเหนือ BB Top ได้ ทำให้ Indicators บางตัวที่อยู่ในเขต Overbought แล้วก็เกิด Sell Signal ขึ้นมา โดยคาดว่าถ้าวันอังคารนี้ SET ยังปรับตัวลดลงมาอีก ต้องดูว่า RSI และ Slow Sto จะเกิด Sell Signal ขึ้นตามมาอีกหรือไม่ ถ้าทั้ง 2 ตัวนี้เกิด Sell Signal ขึ้นมา ก็จะเป็น Main Indicators ที่แสดงให้เห็นชัดเจนว่า SET จะมีการพักฐาน และเกิดเป็น Sideway Down ได้ โดยที่ตลาดมีกรอบแนวรับ-แนวต้าน ดังนี้

แนวรับ EMA 5D ที่ 1,030 จุด และ EMA 10D ที่ 1,023 จุด
แนวต้านที่ 1,038 จุด และที่ BB Top ที่ 1,041 จุด

Indicators ต่างๆ ของวันก่อนหน้านี้ :
Main Buy Signal = MACD + Slow Stochastic
4 Indicators = Buy Signal
1 Indicators = Overbought (2 Overbought Indicators ไปเป็น Sell Signal แล้ว)
2 Indicators = Bearish Divergence
2 Indicators = Sell Signal

1. Alert MACD (B)+(Weak)
Major = Buy Signal : 1. MACD >. Signal.... และ Minor =Uptrend ยังดีอยู่โดย 2. MACD > 0)
(-) MACD Oscillator มีค่าลดลงมา จาก 1.85 เป็น 1.39

2. Alert Slow Sto (B)+(Weak)+(OverBought)
(-) Slow Stochastic : %K(88) > %D(84)... แต่ %K มีค่าลดลง

3. Alert RSI (B)+(Weak)
(-) RSI(62) > MAV9(58) : RSI สูงกว่าเส้นค่าเฉลี่ย... แต่มีค่าลดลง

4. Alert William %R (S)+(Divergence)
(%R ตัดเส้น -10 ลงมาแล้ว : เปลี่ยนจาก Overbought เป็น Sell Signal)
(-) Williams %R เริ่มมีค่าอ่อนลงมา จาก (-3.62) เป็น (-14.10)

5. Alert CCI (S)+(Divergence)
(1.CCI ตัดเส้น 100 ลงมาแล้ว: เปลี่ยนจาก Overbought เป็น Sell Signal)
(-) CCI เริ่มย่อลงมาแล้ว ลงมาจาก 133 มาที่ 92

6. Alert ADX (B)+(Weak)
(-) เส้น ADX : DI+(36) > DI-(18)... DI มีค่าลดลง

7. OBV + : Weak
(-) OBV มีค่าลดลง

****************
Historical Technics
****************
Buy Signal:
1. (+)MACD กลับมาเป็น Buy Signal อีกครั้ง(22/03/54)
2. (+) SET ผ่านแนวต้านหลัก BB Average = Major เป็น Bullish + Uptrend... ยืนยันความเข็งแรงของตลาด... BB Average เปลี่ยนจากแนวต้านมาเป็นแนวรับหลัก (16/02/54)
3. (+) EMA5 (979.12) ตัด EMA10 (976.12 )ขึ้นมา... Major เป็น Golden Cross = Buy Signal (17/02/54)
4. (+) EMA10 (988.34) ตัด EMA25 (987.47) = Golden Cross : Strong (04/03/54)
5. (+) EMA25 (992.96) ตัด EMA75 (991.78) : Stronger (09/03/54)
6. (+) SET สูงกว่าเส้น 10 วัน และ 5 วัน แล้ว : Stronger (21/03/54)
7. (+) Slow Sto : %K(72) > %D(69) = Buy Signal (22/03/54)

Overbought:
1. (+) Slow Sto : %K(81) > %D(73) = Overbought (23/03/54)

Bearish Divergence
1. (-) %R เริ่มมีค่าอ่อนลง โดยที่ SET ทำ New High แต่ %R มีค่าต่ำกว่าจุดสูงในครั้งก่อน (25/03/54)
2. (-) CCI เริ่มมีค่าอ่อนลง โดยที่ SET ทำ New High แต่ CCI มีค่าต่ำกว่าจุดสูงในครั้งก่อน (25/03/54)

Sell Signal :
Indicators ทั้ง 2 ตัว แสดงให้เห็นว่า เริ่มเกิด Overbought แล้วตามด้วย Bearish Divergence จากนั้นก็เกิด Sell Signal ขึ้นมา
1. (-) %R < -10 : เปลี่ยนจาก Overbought (23/03/54) เป็น Sell Signal (28/03/54)
2. (-) CCI < 100 : เปลี่ยนจาก Overbought (23/03/54) เป็น Sell Signal (28/03/54)

Oversold: None

-----------------------------------------------------------------------------
MARKET WAVE Analysis


-----------------------------------------------------------------------------
EFinance Thai : TRUEรีดเลือดผู้ถือหุ้น!!
-เพิ่มทุน1.3หมื่นลบ.ไดลูท30% โบรกฯจ่อหั่นราคาเป้าหมาย
"ทรู คอร์ปอเรชั่น" ประกาศเพิ่มทุนจดทะเบียน 6.27 พันล้านหุ้น เสนอขายผู้ถือหุ้นเดิมในอัตรา 1:0.865 หุ้น ในราคาหุ้นละ 1.95 บาท ระบุระดมทุน 1.31 หมื่นล้านบาท เพื่อลงทุนโครงข่าย 3G ส่วนที่เหลือใช้ชำระหนี้เงินกู้ คาดทำสัดส่วนหุ้นไดลูทลง 30% มั่นใจ"กลุ่มซีพี"ใช้สิทธิทั้งจำนวน ด้านโบรกฯชี้เพิ่มภาระให้ผู้ถือหุ้น เหตุราคาเพิ่มทุนต่ำกว่ากระดาน พร้อมเล็งหั่นราคาเป้าหมา

หลังจากที่มีกระแสข่าวลือตั้งแต่ปลายสัปดาห์ก่อนว่าบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE จะเพิ่มทุนจดทะเบียนครั้งใหญ่ จนส่งผลให้ราคาหุ้นในกระดานปรับตัวลดลงต่อเนื่อง กระทั่งล่าสุดเช้าวันนี้ข่าวเพิ่มทุนดังกล่าวก็เป็นจริงจนได้ เมื่อ TRUE แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.)ว่าคณะกรรมการบริษัทมีมติให้เพิ่มทุนจดทะเบียนอีก 6.72 พันล้านหุ้น เสนอขายให้ผู้ถือหุ้นเดิมในอัตรา 1 หุ้นเดิม ต่อ 0.865 หุ้นใหม่ ราคาขายหุ้นละ 1.95 บาท ซึ่งบริษัทจะได้เงินจากการเพิ่มทุนครั้งนี้ประมาณ 1.3 หมื่นล้านบาท
ภายหลังจากที่ข่าวดังกล่าวปรากฏออกมา ส่งผลให้ราคาหุ้น TRUE ปรับตัวลดลงแรงตั้งแต่ช่วงเปิดการซื้อขายภาคเช้า โดยราคาเปิดตลาดที่ระดับ 5.55 บาท หลังจากนั้นลดลงแตะ 5.45 บาท ก่อนที่จะรีบาวน์ขึ้นเล็กน้อยมาปิดที่ระดับ 5.70 บาท ลดลง 0.40 บาท หรือ 6.56% มีมูลค่าการซื้อขาย 1,657 ล้านบาท ระหว่างวันราคาหุ้นลดลงแรงสุดที่เกือบ 10%
ด้านนักวิเคราะห์มองว่าการเพิ่มทุนดังกล่าวของ TRUE เป็นการเพิ่มภาระให้ผู้ถือหุ้น เนื่องจากราคาเพิ่มทุนต่ำกว่าราคาในกระดานค่อนข้างมาก ส่งผลให้เกิดการไดลูทลงพอสมควร ขณะที่ TRUE เพิ่มทุนมาแล้วหลายครั้ง และแต่ละครั้งเป็นการเพิ่มทุนเพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า อย่างไรก็ตามคาดว่า TRUE จะขายหุ้นเพิ่มทุนได้หมดทั้งจำนวน เนื่องจากราคาขายต่ำกว่าในอดีต ทั้งนี้นักวิเคราะห์เตรียมปรับลดประมาณการราคาเป้าหมายของ TRUE ลง เนื่องจากการเพิ่มทุนทำให้จำนวนหุ้นเพิ่มขึ้น แต่พื้นฐานไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากนัก

***** TRUE เพิ่มทุน 1.3 หมื่นลบ. ลงทุน 3G-ใช้หนี้เงินกู้
นายศุภชัย เจียรวนนท์ กรรมการและผู้จัดการใหญ่ และประธานคณะผู้บริหาร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE กล่าวว่า บริษัทฯ ได้มีมติอนุมัติแผนเพิ่มทุน โดยการจัดสรรหุ้นสามัญใหม่ จำนวน 6,727,436,752 หุ้น ซึ่งเป็นหุ้นที่เหลือจากการเพิ่มทุนครั้งที่ 1/2551 โดยจะนำมาเสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม ตามสัดส่วนการถือหุ้นในอัตราส่วน 1 หุ้นเดิม ต่อ 0.865 หุ้นใหม่ และกำหนดราคาเสนอขาย 1.95 บาท/หุ้น
ทั้งนี้ กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นเดิมที่มีสิทธิซื้อหุ้นเพิ่มทุนดังกล่าวในวันที่ 11 เม.ย. 2554 และหากมีหุ้นเหลือจากการจัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นตามสัดส่วนในรอบแรกแล้ว บริษัทฯ จะจัดสรรหุ้นส่วนที่เหลือให้แก่ผู้ถือหุ้น ซึ่งแสดงความจำนงค์จองซื้อเกินสัดส่วนตามสัดส่วนการถือหุ้น แต่ทั้งนี้จะจำกัดเพียงไม่เกิน 2 เท่า ของจำนวนหุ้นตามสิทธิผู้ถือหุ้นนั้น และเปิดให้จองซื้อ 30 พ.ค. -3 มิ.ย. นี้
นายศุภชัย กล่าวว่า เงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้นครั้งนี้ จะนำไปใช้รองรับการเติบโต และการขยายตัวของธุรกิจใหม่ๆ โดยเฉพาะการขยายโครงการ 3G บนคลื่นความถี่ 850 MHz ส่วนที่เหลือก็จะนำเงินไปใช้คืนหนี้เงินกู้ เพื่อลดระดับหนี้โดยรวมของบริษัทฯ โดยจะพิจารณาลำดับความสำคัญเพื่อประโยชน์สูงสุดกับผู้ถือหุ้น
'หากบริษัทฯ ได้เงินเพิ่มทุนครบจำนวนที่ 13,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่จะนำไปลงทุนขยายโครงข่าย 3G ซึ่งต้องใช้เงินประมาณ 12,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลือก็จะเอามาลดภาระหนี้เดิมเพื่อให้โครงสร้างเงินทุนของเราเข้มแข็งมากขึ้น'นายศุภชัย กล่าว
ทั้งนี้ปัจจุบันบริษัทฯ มีหนี้เงินกู้ 67,000 ล้านบาท และโดยปกติมีภาระจ่ายคืนเงินต้นประมาณ 5,700 ล้านบาทต่อปี ซึ่งบริษัทฯ จะใช้กระแสเงินสดในการจ่ายคืนเงินต้นดังกล่าว อย่างไรก็ตามหากได้เงินจากการเพิ่มทุนครบจำนวน บริษัทฯ ก็จะนำเงินส่วนที่เหลือจากการลงทุน 3G มาใช้ลดหนี้เพิ่มเติม ซึ่งก็จะทำให้ลดภาระดอกเบี้ยได้อีกทาง

***** สัดส่วนหุ้นไดลูทลง 30%
นายศุภชัย เจียรวนนท์ กรรมการและผู้จัดการใหญ่ และประธานคณะผู้บริหาร TRUE กล่าวว่า มั่นใจว่าการประกาศเพิ่มทุนในครั้งนี้บริษัทฯจะขายหุ้นได้หมดทั้งจำนวน เนื่องจากผู้ถือหุ้นได้ซื้อหุ้นในราคาถูก บริษัทฯไม่ได้เพิ่มทุนเพื่อนำเงินไปชำระคืนหนี้เงินกู้เป็นหลัก แต่นำมาเพื่อเพิ่มมูลค่าทางธุรกิจ โดยใช้ลงทุนโครงการ 3G และการเพิ่มทุนดังกล่าวไม่ได้เป็นการบังคับของเจ้าหนี้หรือของใครทั้งสิ้น แต่เกิดจากการที่บริษัทฯ เห็นประโยชน์ในการเพิ่มมูลค่าให้กับผู้ถือหุ้นในอนาคต ทั้งนี้ การเพิ่มทุนดังกล่าวจะทำให้เกิด dilution effect 30% จากราคาปัจจุบัน
ด้านนายนพปฎล เดชอุดม หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มด้านการเงิน TRUE กล่าวว่า แม้การเพิ่มทุนครั้งนี้จะเกิด dilution effect กับผู้ถือหุ้นเดิม แต่ผู้ถือหุ้นก็มีทางเลือกว่าจะใช้สิทธิหรือไม่ก็ได้

***** "ศุภชัย"มั่นใจ"กลุ่มซีพี"ใช้สิทธิเต็มจำนวน
นายศุภชัย เจียรวนนท์ กรรมการและผู้จัดการใหญ่ และประธานคณะผู้บริหาร TRUE กล่าวว่า มั่นใจว่าทางกลุ่มซีพี ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ของ TRUE จะใช้สิทธิซื้อหุ้นเพิ่มทุนในครั้งนี้ เนื่องจากที่ผ่านมาในการเพิ่มทุนแต่ละครั้งทางกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ก็ให้การสนับสนุนมาตลอด ซึ่งจากการประชุมก็มีตัวแทนผู้ถือหุ้นใหญ่ ซึ่งเป็นคณะกรรมการใน TRUE ก็ได้สนับสนุนการเพิ่มทุนในครั้งนี้ด้วย ทั้งนี้หากกลุ่มซีพีใช้สิทธิเพิ่มทุนเต็มจำนวน ก็จะส่งผลให้สัดส่วนการถือหุ้นเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 64% จากเดิมซึ่งอยู่ที่ 39.16%
สำหรับเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุน บริษัทฯ จะนำมาขยายโครงข่าย 3G ภายใต้เทคโนโลยี HSPA เพื่อให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในระบบ 3G ภายใต้แบรนด์ใหม่ TrueMove H ซึ่งในช่วงแรกจะดำเนินการไปพร้อมๆ กับการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับกลุ่ม TRUE และปลายไตรมาส 3/2554 น่าจะขยายฐานไปสู่กลุ่มลูกค้ารายใหม่ได้มากขึ้น โดยในปีแรกจะขยายสถานีฐาน 2,000 สถานี ปีที่สอง 3,500 สถานี และปีที่สาม อีก 4,500 สถานี
'ในช่วง 6 เดือนแรก ฮัทช์กับทรู ต้องทำงานร่วมกันก่อนที่เราจะยกเลิกแบรนด์ฮัทช์ได้ เพื่อจะทำให้ลูกค้ารู้จักว่าจะเปลี่ยนมาเป็น TruMove H ซึ่งคาดว่าปลายไตรมาส 3 TrueMove H น่าจะเริ่มเป็นแมสมากขึ้น และเราก็จะเริ่มขยายสถานีฐานเพื่อรองรับ 3G' นายศุภชัย กล่าว

***** TRUE แย้มงบ Q1/54 โตกระโดด
นายนพปฎล เดชอุดม หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มด้านการเงิน TRUE กล่าวต่อว่า แนวโน้มรายได้ Q1/2554 ของบริษัทฯ เติบโตแบบก้าวกระโดด หลังจากที่เริ่มบันทึกรายได้จาก ฮัทช์ เข้ามาในปีนี้ รวมประมาณ 4,000 ล้านบาท ซึ่งแม้ว่ามาร์จิ้นของ ฮัทช์ จะต่ำกว่าผู้ประกอบการรายอื่นค่อนข้างมาก แต่เมื่อนำผลประกอบการของ ฮัทช์ มารวมกับ TRUE จะทำให้รายได้ของ TRUE เพิ่มขึ้นมาก รวมถึง EBITDA ก็เพิ่มขึ้นมากเช่นเดียวกัน แต่โดยรวมแล้ว EBITDA Margin ทั้งปีน่าจะต่ำกว่า 25% แต่เชื่อว่าระยะยาว EBITDA Margin ของ TRUE น่าจะค่อยๆ ดีขึ้น

***** โบรกฯเล็งหั่นราคาเป้าหมาย TRUE
นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์แห่งหนึ่ง กล่าว่า การเพิ่มทุนของ TRUE ในครั้งนี้เป็นการเพิ่มภาระให้กับผู้ถือหุ้น เนื่องจากเป็นการเพิ่มทุนราคาต่ำกว่าในกระดานค่อนข้างมาก ประกอบกับในอดีต TRUE มีการเพิ่มทุนหลายครั้งและการเพิ่มทุนแต่ละครั้งล้วนเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าตลอด อย่างไรก็ตามมองว่าการเพิ่มทุนในครั้งนี้มีแนวโน้มขายได้เป็นส่วนใหญ่ เพราะสถานการณ์เปลี่ยนไป และเงินที่ได้บริษัทฯ จะนำไปลงทุนเพื่อใช้ขยายกิจการใหม่ๆ เช่น โครงข่าย 3G ต่างจากการเพิ่มทุนเมื่อปี 2551 ที่บริษัทฯ ขายได้ไม่หมดเนื่องจากราคาในกระดานแค่ 1 บาทกว่า แต่ราคาเพิ่มทุนอยู่ที่ 1.95 บาท ทำให้ขายได้น้อย
ทั้งนี้ ในส่วนของราคาหุ้น TRUE ได้ตอบรับข่าวตั้งแต่ปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา และทำให้ราคาหุ้นปรับลดลงไปค่อนข้างมาก ดังนั้นหลังจากวันนี้ราคาหุ้นไม่น่าจะเปลี่ยนแปลงจากปัจจุบันมากนัก จนกว่าจะขึ้นเครื่องหมาย XD ซึ่งขณะนี้บริษัทฯ อยู่ระหว่างประมาณการราคาของ TRUE แนวโน้มจะปรับราคาเป้าหมายลง เนื่องจากการเพิ่มทุนครั้งนี้มูลค่าของกิจการไม่ได้เพิ่มขึ้น แต่มีเพียงปริมาณหุ้นที่เพิ่มขึ้น





-----------------------------------------------------------------------------

Code 386 : 28/03/54 ลุ้นยืนเหนือ BB Top อีกครั้ง หรือจะลงไปตาม Bearish Divergence

วันจันทร์ที่ 28 มีนาคม 2554
ATT Code : 28/03/54 ลุ้นยืนเหนือ BB Top อีกครั้ง หรือจะลงไปตาม Bearish Divergence



สรุปสภาวะการซื้อขาย วันศุกร์ที่ 25/03/54 : ผ่านแนวต้านที่ 1036 จุด มาได้ในช่วงบ่ายที่มีแรงซื้อกลุ่มแบงค์เข้ามาไปปิดใกล้ๆ กับ BB Top โดยมี Indicators ต่างๆ ก็ให้สัญญาณขึ้นอยู่ และมี Indicator อยู่ 3 ตัว ที่ยังมีสัญญาณ Overbought อยู่ แต่มี Indicotors 3 ตัว ที่เกิด Bearish Divergence ขึ้นมาแล้ว

แนวโน้มในวันจันทร์ที่ 28/03/54 นี้ หลังจากที่ SET ยังสามารถขึ้นมายืนได้ โดยที่ Indicators บางตัวเกิดสัญญาณ Overbought พร้อมกับมีสัญญาณ Bearish Divergence ขึ้นมา ซึ่งถ้าวันจันทร์นี้ ไม่สามารถยืนเหนือ BB Top ได้ และลงมาต่ำกว่า BB Top ลงมา ก็จะทำให้ SET พลิกกลับมาเป็นการย่อลงมา ตามสัญญาณเริ่มต้น ของ %R และ CCI ที่เริ่มหักมุมลงมาแล้ว แต่ยังไม่ได้หมายความว่าจะเป็น Sell Signal ซึ่งต้องรอ Indicators ตัวอื่นๆ ด้วย โดยที่ตลาดมีกรอบแนวรับ-แนวต้าน ดังนี้

แนวรับที่ 1,034 จุด เป็น Gap ของวันที่ 25/03/54 และที่ 1,027 จุด เป็น Gap ของวันที่ 23/03/54
แนวต้านที่ 1,044 / 1,052 จุด

Indicators ต่างๆ ของวันก่อนหน้านี้ :
Main Buy Signal = MACD + Slow Stochastic
6 Indicators = Buy Signal
3 Indicators = Overbought
2 Indicators = Bearish Divergence

1. Alert MACD (B)+(Stronger)
Major = Buy Signal : 1. MACD >. Signal.... และ Minor =Uptrend ยังดีอยู่โดย 2. MACD > 0)
(+) MACD Oscillator บวกขึ้นมาได้อีก จาก 1.52 เป็น 1.85

2. Alert Slow Sto (B)+(Stronger)+(OverBought) (+/-) Slow Stochastic : %K(90) > %D(81)

3. Alert RSI (B)+(Stronger)
(+) RSI(64) > MAV9(57) : RSI สูงกว่าเส้นค่าเฉลี่ย

4. Alert William %R (B)+(OverBought)+(Divergence)
(%R เกิน -10 ขึ้นมาแล้ว : OverBought)
(+/-) Williams %R เริ่มมีค่าอ่อนลงมา จาก (-2.09) เป็น (-3.62)

5. Alert CCI (B)+(OverBought)+(Divergence)
(1.CCI เกิน 100 : Minor = Buy Signal)
(+/-) CCI เริ่มย่อลงมาแล้ว ลงมาจาก 146 มาที่ 133... ระวังการลดลงมาจนตัดเส้น 100

6. Alert ADX (B)+(Stronger)
(+) เส้น ADX : DI+(37) > DI-(18)

7. OBV + : Stronger (+) OBV เพิ่มขึ้น

****************
Historical Technics
****************
Buy Signal:
1. (+)MACD กลับมาเป็น Buy Signal อีกครั้ง(22/03/54)
2. (+) SET ผ่านแนวต้านหลัก BB Average = Major เป็น Bullish + Uptrend... ยืนยันความเข็งแรงของตลาด... BB Average เปลี่ยนจากแนวต้านมาเป็นแนวรับหลัก (16/02/54)
3. (+) EMA5 (979.12) ตัด EMA10 (976.12 )ขึ้นมา... Major เป็น Golden Cross = Buy Signal (17/02/54)
4. (+) EMA10 (988.34) ตัด EMA25 (987.47) = Golden Cross : Strong (04/03/54)
5. (+) EMA25 (992.96) ตัด EMA75 (991.78) : Stronger (09/03/54)
6. (+) SET สูงกว่าเส้น 10 วัน และ 5 วัน แล้ว : Stronger (21/03/54)
7. (+) Slow Sto : %K(72) > %D(69) = Buy Signal (22/03/54)

Overbought:
1. (+) %R > -10 : Overbought (23/03/54)
2. (+) CCI > 100 : Overbought (23/03/54)
3. (+) Slow Sto : %K(81) > %D(73) = Overbought (23/03/54)

Bearish Divergence
1. (-) %R เริ่มมีค่าอ่อนลง โดยที่ SET ทำ New High แต่ %R มีค่าต่ำกว่าจุดสูงในครั้งก่อน (25/03/54)
2. (-) CCI เริ่มมีค่าอ่อนลง โดยที่ SET ทำ New High แต่ CCI มีค่าต่ำกว่าจุดสูงในครั้งก่อน (25/03/54)

Sell Signal: None
Oversold: None

-----------------------------------------------------------------------------
MARKET WAVE Analysis
28 มีค. 54 ( +3.34 จุด) โกมล พงศ์วิญญู เลขทะเบียน 18338

Bearish Divergence
ตลาดเริ่มเกิดสัญญาณ BearishDivergence ในเครื่องมือ RSI ภาพระยะวัน ดังนั้น โอกาสที่ดัชนีจะปรับตัวขึ้นต่อเริ่มมีน้อยลง

ขณะเดียวกันการปรับตัวลง ต่ำกว่า1029.86 จุดต่ำสุดของวันพฤหัสและเส้นค่าเฉลี่ย 25 ชั่วโมง จะถือเป็นสัญญาณการปรับตัวลงของตลาด มีเป้าหมายเดือน มีค. แถว 1000 – 05 จุด(หรือต่ำกว่า ?) ใกล้เส้นค่าเฉลี่ย 25 วัน

ภาพโดยรวมของตลาด ยังน่าจะอยู่ในช่วงเวลาของการย่ำฐาน ในรูปแบบของCorrective Wave ในกรอบ 100 จุด หรือ แกว่งตัวระหว่าง 950 – 1050 จุด (โดยประมาณ)สำหรับภาพจนถึงไตรมาสที่สองของปีนี้

หุ้นเด่น
AGE
ยังสามารถปรับตัวอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ย 25ชั่วโมงได้ รอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 19.40จุดสูงสุดวันศุกร์ เป้าหมายหนึ่งถึงสองวัน 19.80 – 20.20( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 19.00 )

RAIMON
กำลังปรับตัวในกรอบสามเหลี่ยม ภาพระยะชั่วโมง รอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 0.75จุดสูงสุดวันศุกร์ เป้าหมายระยะสัปดาห์ 0.85 – 0.90( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 0.71 )

10 อันดับซื้อขายสูงสุด
TRUE ต่ำกว่า 6.10 ลง 5.80 – 6
JAS แกว่งตัว 2.78 – 2.88
TOP ต่ำกว่า 83 ลง 80 – 81
SCC ต่ำกว่า 350 ลง 330 – 340
BANPU ต่ำกว่า 758 ลง 740 - 750
IVL ต่ำกว่า 52.75 ลง 49 - 51
HEMRAJ ต่ำกว่า 2.02 ลง 1.90 – 1.95
KTB ต่ำกว่า 18.10 ลง 17 - 17.50
PTTCH ไม่ต่ำกว่า 146 ขึ้น 149 – 150
PTT ต่ำกว่า 345 ลง 330 – 340

-----------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย

-----------------------------------------------------------------------------

Code 385 : 25/03/54 ลุ้นยืนเหนือ BB Top ที่ 1,036

วันศุกร์ที่ 25 มีนาคม 2554

ATT Code : 25/03/54 ลุ้นยืนเหนือ BB Top ที่ 1,036


สรุปสภาวะการซื้อขาย วันพฤหัสที่ 24/03/54 : ผ่านแนวต้านที่ 1032 จุด มาได้อย่างสวยงาม ตาม Sentiment ที่ Djia สามารถผ่านแนวต้านของ BB Average ขึ้นมาได้ โดยมี Indicators ต่างๆ ก็ให้สัญญาณขึ้นอยู่ และมี Indicator อยู่ 3 ตัว ที่ยังมีสัญญาณ Overbought อยู่

แนวโน้มในวันศุกร์ที่ 25/03/54 นี้ หลังจากตลาดที่ยุโรปและอเมริกายังสามารถยืนใหนแดนบวกและยังสมารถผ่านแนวต้านที่ BB Average ขึ้นมาได้แล้ว ทำให้ตลาดส่งสัญญาณกลับมาเป็นขาขึ้นอีกครั้ง แต่รอตลาดเยอรมันให้ผ่าน BB Avg ขึ้นมาอีกตลาดนึง ก็จะดูดีกว่านี้ ส่วนในเอเซียที่ตลาดฮ่องกงก็เปิดมาอยู่ในแดนบวก 200 กว่าจุด ก็อาจจะส่งผลให้ SET ยังสามารถขึ้นได้อยู่ ถึงแม้ว่ามี Indicators บางตัวเกิดสัญญาณ Overbought ขึ้นมา แต่ตลาดก็ยังมีแนวโน้มที่จะขึ้นต่อไปได้ โดยที่ตลาดมีกรอบแนวรับ-แนวต้าน ดังนี้

แนวรับที่ 1,028 จุด เป็น Gap ของวันที่ 24/03/54 และที่ EMA5D 1,023 จุด
แนวต้านที่ 1,040-1,044 จุด

Indicators ต่างๆ ของวันก่อนหน้านี้ :
Main Buy Signal = MACD + Slow Stochastic
6 Indicators = Buy Signal
3 Indicators = Overbought

1. Alert MACD (B)+(Stronger)
(Major = Buy Signal : 1. MACD >. Signal.... และ Minor =Uptrend ยังดีอยู่โดย 2. MACD > 0)
(+) MACD Oscillator บวกขึ้นมาได้อีก โดยขึ้นมาจาก +0.86 มาเป็น +1.52 ... ทำให้สัญญาณ Buy Signal แข็งแรงขึ้น

2. Alert Slow Sto (B)+(Stronger)+(OverBought)
(+/-) Slow Stochastic : %K(86) > %D(77)ตัดขึ้นแล้ว

3. Alert RSI (B)+(Stronger)
(+) RSI(63) > MAV9(57) : RSI สูงกว่าเส้นค่าเฉลี่ย

4. Alert William %R (B)+(OverBought)
(%R > -10 ขึ้นมาแล้ว : OverBought)
(+/-) Williams %R เริ่มมีค่าอ่อนลง จาก(-1.46) มาที่ (-2.09) เกิน -10 อยู่

5. Alert CCI (B)+(OverBought)
(1.CCI >. 100 : Minor = Buy Signal)
(+/-) CCI เพิ่มขึ้นจาก 120 มาที่ 146 และมีสัญญาณเป็นบวก และ Overbought มากขึ้น

6. Alert ADX (B)+(Stronger)
(+) เส้น ADX : DI+(36) > DI-(19) : และทั้ง 2 เส้น ห่างกันมากขึ้น = Stronger

7. (OBV + : Stronger)
(+) OBV เพิ่มขึ้นมาที่ 489.. แสดงให้เห็นว่ามีแรงซื้อขายสะสมเพิ่มขึ้น ส่งสัญญาณในทางบวกอีกครั้ง



****************
Historical Technics
****************
Buy Signal:
1. (+)MACD กลับมาเป็น Buy Signal อีกครั้ง(22/03/54)
2. (+) SET ผ่านแนวต้านหลัก BB Average = Major เป็น Bullish... ยืนยันความเข็งแรงของตลาด... BB Average เปลี่ยนจากแนวต้านมาเป็นแนวรับหลัก (16/02/54)
3. (+) EMA5 (979.12) ตัด EMA10 (976.12 )ขึ้นมา... Major เป็น Golden Cross = Buy Signal (17/02/54)
4. (+) EMA10 (988.34) ตัด EMA25 (987.47) = Golden Cross : Strong (04/03/54)
5. (+) EMA25 (992.96) ตัด EMA75 (991.78) : Stronger (09/03/54)
6. (+) SET สูงกว่าเส้น 10 วัน และ 5 วัน แล้ว : Stronger (21/03/54)
7. (+) Slow Sto : %K(72) > %D(69) = Buy Signal (22/03/54)

Sell Signal:
None

Overbought:
1. (+) %R > -10 : Overbought (23/03/54)
2. (+) CCI > 100 : Overbought (23/03/54)
3. (+) Slow Sto : %K(81) > %D(73) = Overbought (23/03/54)

Oversold:
None

-----------------------------------------------------------------------------
MARKET WAVE Analysis
25 มีค. 54 ( +6.85 จุด) โกมล พงศ์วิญญู เลขทะเบียน 18338

ยังมีโอกาสขึ้นต่อ ถ้าไม่ต่ำกว่า 1025 จุด
แนวโน้มในวันศุกร์นี้ตราบใด ไม่ต่ำกว่า1025 จุด เส้นค่าเฉลี่ย 25 ชั่วโมง ดัชนียังมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อแถว 1039 – 49 จุด

แต่ดัชนี ยังไม่น่าจะผ่านจุดสูงสุดเดิมของต้นปีนี้ไปได้ง่ายนัก และ ยังคงมีความเสี่ยงที่จะปรับตัวกลับลงมาบริเวณ 1000 – 05 จุด ใกล้เส้นค่าเฉลี่ย 25 วัน อีกครั้ง

ภาพโดยรวมของตลาด ยังน่าจะอยู่ในช่วงเวลาของการย่ำฐาน ในรูปแบบของCorrective Wave ในกรอบ 100 จุด หรือแกว่งตัวระหว่าง 950 – 1050 จุด (โดยประมาณ)Overall sideways สำหรับภาพจนถึงไตรมาสที่สองของปีนี้

หุ้นเด่น
JTS
กำลังปรับตัวในกรอบสามเหลี่ยม ภาพระยะชั่วโมง รอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 2.52 กรอบบนของสามเหลี่ยม เป้าหมายหนึ่งถึงสองวัน
2.70 – 2.80( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 2.38 )

10 อันดับซื้อขายสูงสุด
BANPU เกิน 768 ขึ้น 770 – 772
JAS ไม่ต่ำกว่า 2.62 ขึ้น 3.30 – 3.60
TMB เกิน 2.38 ขึ้น 2.40 – 2.44
IVL ปรับตัวลง 52 – 53.50
KTB ไม่ต่ำกว่า 18.10 ขึ้น 18.50 – 19
CPF เกิน 25.25 ขึ้น 26 – 26.50
BAY แกว่งตัว 24.20 – 24.60
TRUE ต่ำกว่า 6.35 ลง 6.15 – 6.25
SCB ปรับตัวลง 103 – 103.50
PTT ไม่ต่ำกว่า 344 ขึ้น 350 – 351

-----------------------------------------------------------------------------
เงาหุ้น-หุ้นเลือกตั้ง!!
ดัชนีหุ้นวันที่ 24 มี.ค.54 ปิดที่ 1,034.39 จุด เพิ่มขึ้น 6.85 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 36,724.13 ล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิ 693.25 ล้านบาท

ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.โนมูระ พัฒนสิน ชี้ว่า ตลาดหุ้นไทยได้แรงซื้อจากหุ้นพลังงานและธนาคารพาณิชย์หนุน จากการเข้ามาเล่นข่าวการจ่าย

ปันผล ขณะที่ยังมีแรงซื้อหุ้นรายตัวในกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม โดยเฉพาะ HEMRAJ และ AMATA

สำหรับทิศทางตลาดระยะสั้น คาดว่านักลงทุนจะยังคงเข้ามาเล่นหุ้นรายตัวที่มีข่าวมีสตอร์รี่หนุน รวมทั้งหุ้นที่ใกล้จะจ่ายเงินปันผลในอัตราสูง ขณะที่ โนมูระ พัฒนสิน แนะให้เลือกซื้อหุ้นพลังงานและธนาคารพาณิชย์ และแนะซื้อเก็งกำไรหุ้นกลุ่ม
นิคมอุตสาหกรรมและสื่อสาร

ด้านเทคนิคให้กรอบแนวต้านที่ 1,040 จุด ส่วนแนวรับอยู่ที่ 1,025 จุด

ฝ่ายวิเคราะห์ บล.ฟาร์อีสท์ มองกรณีที่รัฐบาลประกาศกรอบเวลาในการยุบสภาสัปดาห์แรกของเดือน พ.ค.ว่า ประเด็นนี้น่าจะส่งผลดีระยะสั้นต่อหุ้นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ที่น่าจะได้ประโยชน์ จากพรรคการเมืองนำไปใช้หาเสียง ถึงนโยบายที่จะมีการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ รวมถึงหุ้นสื่อสารที่น่าจะถูกหยิบมาเป็นประเด็นในการหาเสียง กรณีการเร่งผลักดันให้เกิด 3G โดยเร็ว

นอกจากนี้ หุ้นในกลุ่มมีเดียและบันเทิงจะได้รับประโยชน์จากการโฆษณาหาเสียง รวมทั้งช่วงนี้ประชาชนจะมีกำลังซื้อมากขึ้น เป็นผลดีต่อหุ้นกลุ่มอาหารและพาณิชย์
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนช่วงเลือกตั้ง แนะเก็งกำไรหุ้นรับเหมาฯ ได้แก่ CK, ITD และ STEC, หุ้นสื่อสาร TRUE, ADVANC และ DTAC หุ้นกลุ่ม พาณิชย์และอาหาร BIGC, CPALL, MAKR, ROBINS และ CPF, กลุ่มมีเดีย BEC และ MCOT

ด้าน บล.กสิกรไทย ประเมินว่าหุ้นกลุ่มสื่อและสิ่งพิมพ์จะได้ประโยชน์ เพราะถือเป็นช่องที่พรรคการเมืองจะใช้ในการหาเสียง นอกจากนี้ ในช่วง

ดังกล่าวจะมีเม็ดเงินสะพัดเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจจำนวนมาก ส่งผลดีต่อหุ้นการบริโภคภายในประเทศ

อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์การลงทุนในช่วงก่อนการเลือกตั้ง แนะเก็งกำไรระยะสั้นอย่างระมัดระวัง ในหุ้นมีเดีย ได้แก่ BEC และ MCOT และหุ้นพาณิชย์ ได้แก่ BIGC, CPALL, HMPRO และ GLOBAL.

อินเด็กซ์ 51

-----------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย
EFinanceThai:หุ้นโรงกลั่นแจ่มแจ๋ว
*โบรกฯ ชี้ รับอานิสงส์ วิกฤตญี่ปุ่น ชู TOP เป็น Top Picks ของกลุ่ม
โบรกฯ ชี้ สึนามิถล่ม 5โรงกลั่นในญี่ปุ่นเสียหาย – หยุดการกลั่น ดันหุ้นโรงกลั่นแจ่มแจ๋ว ธนชาต ฟันธง ส่งผลน้ำมันและค่าการกลั่นพุ่ง สั่งให้น้ำหนักการลงทุน หุ้นโรงกลั่น เป็น“OVERWEIGHT” ชู TOP เป็น Top Picks ของกลุ่ม ให้ราคาเป้า 95 บาท ฟากบิ๊ก BCP -TOP ประสานเสียง ผลงานQ1/54 แจ่ม
แนวโน้มค่าการกลั่นและราคาพาราไซลีนที่สดใส เพราะคาดว่าญี่ปุนจะต้องนำเข้าผลิตภัณฑ์การกลั่นเป็นจำนวนมากเพื่อชดเชยปริมาณผลิตในประเทศที่หายไปจากเหตุสึนามิ ดังนั้น หุ้นในกลุ่มโรงกลั่น ณ เวลานี้ จึงมีความน่าสนใจไม่น้อย เพราะ แม้หากโรงกลั่นในญี่ปุ่นเริ่มกลับมาผลิตอีกครั้ง แต่แนวโน้มค่าการกลั่นยังอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องอยู่ดีในระยะสั้น

* กูรู ทำนาย ครึ่งปีแรกผลงานหุ้นกลุ่มโรงกลั่น ขยายตัวดีอย่างต่อเนื่อง
นายมงคล พ่วงเภตรา ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.คันทรี่กรุ๊ป เปิดเผยว่า จากการประเมินผลประกอบการของธุรกิจกลุ่มโรงกลั่นคาดว่าในครึ่งปีแรกผลการดำเนินงานจะขยายตัวได้ดีอย่างต่อเนื่องจากค่าการกลั่นที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น จากความต้องการเพิ่มจากปัญหาแผ่นดินไหวญี่ปุ่น และราคาน้ำมันในตลาดโลกที่อยู่ในระดับสูง จากปัญหาการเมืองในประเทศตะวันออกกลางและลิเบีย ทำให้บริษัทฯมีกำไรจากสต็อกน้ำมัน (Stock Gain)
อย่างไรก็ตาม คาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังผลประกอบการอาจจะเริ่มไม่ค่อยดีนัก เนื่องจากแนวโน้มค่าการกลั่นอาจจะปรับตัวลดลง หากกรณีที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกยังปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นมากไปกว่านี้ เนื่องจากความต้องการจะชะลอลง ทำให้ค่าการกลั่นปรับตัวลดลง รวมไปถึงหากปัญหาประเทศตะวันออกกลางและลิเบียคลี่คลายลง จะทำให้บริษัทฯขาดทุนจากสต็อกน้ำมันที่มีอยู่
"หากประเมินค่าการกลั่นแล้วในระยะจะเพิ่มขึ้นพร้อมกับราคาน้ำมันแต่ระยะต่อไป ค่ากลั่นจะลดลง เพราะความต้องการลดลงจากการควบคุมปัญหาเงินเฟ้อของแต่ละประเทศ ซึ่งผู้ผลิตก็คงไม่อยากให้ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นไปกว่านี้แล้ว เพราะอาจจะเกิดการขาดทุนจากสต็อกน้ำมัน"นายมงคล กล่าว
สำหรับการลงทุนในหุ้นกลุ่มโรงกลั่นประเมินว่าหลังจากนี้คงจะเคลื่อนไหวได้ไม่ไกลนัก หลังจากราคาหุ้นได้ปรับเพิ่มขึ้นสูงมากเนื่องจากก่อนหน้านี้ราคาหุ้นกลุ่มโรงกลั่นได้ตอบรับกับค่าการกลั่นและราคาน้ำมันโลกที่เพิ่มขึ้นแล้ว

*โนมูระ พัฒนสิน ชี้ ภัยพิบัติในญี่ปุ่น กระทบ 5โรงกลั่น ขนาดกำลังการกลั่นรวม 1.16 ล้านบาร์เรล/วัน เสียหาย – หยุดการกลั่น
บทวิเคราะห์ บล. โนมูระ พัฒนสิน ระบุว่า ค่าการกลั่นปรับขึ้นแรง 47% w-w เป็น US$9.3/บาร์เรล : โดย crack spread ของน้ำมันเครื่องบิน และน้ำมันดีเซล ปรับขึ้นราว 16-18% w-w เป็น US$25/บาร์เรล และ US$23.5/บาร์เรล ตามลำดับ เช่นเดียวกับ crack spreadน้ำมันเตา ที่ติดลบลดลง ทั้งนี้สาเหตุหลักมาจากเหตุการณ์ภัยพิบัติในญี่ปุ่น ทำให้โรงกลั่น 5 โรง ขนาดกำลังการกลั่นรวม 1.16 ล้านบาร์เรล/วัน (คิดเป็นสัดส่วน 25% ของกำลังการกลั่นรวมของญี่ปุ่น และคิดเป็นสัดส่วน 1.3% ของกำลังการกลั่นของโลก) เสียหาย – หยุดการกลั่น ซึ่งทำให้เกิดความตึงตัวของอุปทานน้ำมันดีเซลและน้ำมันเครื่องบินในภูมิภาคเอเชีย เนื่องจากญี่ปุ่นต้องลดการส่งออกน้ำมันดังกล่าว เพื่อมาขายในประเทศมากขึ้น
ส่วนผลกระทบที่คาดจะยังไม่จบในระยะเวลาอันสั้น คือ การหยุดเดินเครื่องการผลิตของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในญี่ปุ่นจากผลกระทบของแผ่นดินไหวและสึนามิ ที่คาดจะทำให้มีการใช้เชื้อเพลิงอื่นในการผลิตกระแสไฟฟ้าทดแทนส่วนที่หายไปจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ โดยทีม Oil & Gas ของ NIHK คาดกำลังการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่หายไป 13,470MW คาดจะทำให้ความต้องการใช้น้ำมันเตาเพื่อเป็นเชื้อเพลิงทดแทนในการผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้นราว 170kbd และคาดจะทำให้ญี่ปุ่นเปลี่ยนสถานะจากการเป็นผู้ส่งออกน้ำมันเตาสุทธิราว 87kbd เป็นผู้นำเข้าสุทธิราว 115kbd

* ธนชาต ฟันธง ราคาน้ำมันและค่าการกลั่นพุ่ง ให้น้ำหนักการลงทุน “OVERWEIGHT” หุ้นกลุ่มโรงกลั่น ชู TOP เป็น Top Picks ให้เป้า 95 บาท
บทวิเคราะห์ บล.ธนชาต ระบุว่า กลุ่มโรงกลั่น “จังหวะย่อสลับเป็นโอกาสซื้อต่อเนื่อง” ทางพื้นฐานของธนชาตยังคงให้น้ำหนักการลงทุน “OVERWEIGHT” สำหรับกลุ่มฯ โดยเลือก TOP (T/P 95 บาท) เป็น Top Picks ของเรา เนื่องจากเหตุการณ์น่าสลดใจที่ญี่ปุ่นทำให้ Asian GRM และ aromatics spreads ที่อยู่ในระดับสูงอยู่แล้วขยายตัวขึ้นไปอีกเพียงในช่วงสั้น แต่สร้างกระแสเงินสดให้แก่โรงกลั่นอย่างใหญ่หลวงทันที
นอกจากนี้ยังมีสถานการณ์ทางการเมืองที่รุนแรงในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือสร้างแรงกดดันมากขึ้นต่อราคาน้ำมันที่จะส่งผลกระทบในระยะยาว ในปีนี้ราคาน้ำมันได้แตะระดับมากกว่า US$100/bbl แล้ว และในมุมมองของเราราคาน้ำมันน่าจะสร้างฐานใหม่ ซึ่งทำให้มี upside ต่อสมมติฐานราคาน้ำมันของเราที่ US$97/bbl และ US$100/bbl ในปี 2011-12 ในทางเทคนิคการชะลอของราคาหุ้น TOP ไม่หลุด 78.50 บาท และมีการหดตัวของ Vol.
คาดเป็นการแกว่งออกข้างและขึ้นต่อ โดยเฉพาะทะลุ 82 บาทจะเป็นสัญญาณซื้ออีกรอบ เป้าหมายแนวต้าน 83.50-85 บาท และ PTTEP (T/P 220 บาท) ได้ประโยชน์อย่าง
ชัดเจนจากราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับสูงในระยะยาว ในทางเทคนิค จะมีรอบซื้อมากขึ้นเมื่อทะลุผ่านแนวต้าน 182 บาท มีเป้าหมายแนวต้าน 185 บาท และ 188 บาท

* เกียรตินาคิน ชี้ กำไรกลุ่มธุรกิจโรงกลั่นได้ปัจจัยบวกจากค่าการกลั่น และ Spread PX ที่แข็งแกร่ง
บทวิเคราะห์ บล.เกียรตินาคิน จาก (11 มี.ค. 54) ที่เป็นวันแรกของเหตุแผ่นดินไหวและซึนามิ ส่งผลกระทบต่อธุรกิจโรงกลั่น โรงงานปิโตรเคมี และโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ จำนวนมาก ทำให้ราคาน้ำมันสำเร็จรูปปรับตัวเพิ่มขึ้นในทุกผลิตภัณฑ์ ขณะที่ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงจากการหยุดผลิตของโรงกลั่นในประเทศญี่ปุ่น และความกังวลต่อการขยายตัวทางด้านเศรษฐกิจของญี่ปุ่น และภูมิภาคเอเซีย โดยก่อนหน้านี้ IEA คาดว่าจะเป็นภูมิภาคที่มีการเติบโตของความต้องการใช้น้ำมันดิบมากที่สุดถึง 0.73 ล้านบาร์เรลต่อวัน คิดเป็น 50% ของปริมาณใช้น้ำมันดิบโลกที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นในปี 2554 (IEA คาดความต้องการใช้น้ำมันดิบโลกจะเพิ่ม 1.46 ล้านบาร์เรลต่อวัน ในปี 2554)
จากรายงาน Japan Petroleum Association ระบุว่ามีโรงกลั่นหยุดดำเนินการกว่า 1.4 ล้านบาร์เรล คิดเป็น 50% ของกำลังการผลิตรวม รวมทั้งกลุ่มธุรกิจอะโรเมติกส์ มี
โรงงานพาราไซลีน และโรงงาน Mixed – Xylene ปิดตัวลงคิดเป็น 16% และ 20% ของกำลังการผลิตรวมตามลำดับ ซึ่งที่ผ่านมา (ปี 2010) ญี่ปุ่นเป็นผู้ส่งออกพาราไซลีนกว่า 2.34 ล้านตันต่อปี ส่งออกไป จีน ไต้หวัน และเกาหลีใต้ เกือบทั้งหมด
ข้อมูลจาก IEA ระบุ กำลังการผลิตส่วนใหญ่ในกลุ่มน้ำมันปิโตรเลียมจะเป็น น้ำมันเบนซิน น้ำมันดีเซล Naphtha และน้ำมันเครื่องบิน ในสัดส่วน 22% 19% 18% และ 13%
ตามลำดับ การประกาศปิดโรงกลั่นจะทำให้อุปทานปิโตรเลียมลดลง ขณะที่เรามองว่าความต้องการใช้น้ำมันเตาในประเทศญี่ปุ่นจะเพิ่มขึ้นจากภาคการผลิตไฟฟ้าจากหน่วยผลิตน้ำมันเตา เพื่อทดแทนกำลังการผลิตจากโรงงานนิวเคลียร์ที่ปิดตัวลง ขณะที่กลุ่มผู้ผลิตอะโรเมติกส์ (ซึ่งผู้ผลิตในประเทศไทยส่วนมากดำเนินการผลิตโรงกลั่นเช่น TOP และ PTTAR) ได้ประโยชน์จากอุปทานที่ลดลง
ปัจจัยดังกล่าวจะเป็น Positive กับกลุ่มธุรกิจโรงกลั่น โดยเฉพาะ TOP BCP และ PTTAR มากที่สุด อย่างไรก็ตามหากพิจารณา Upside Gain พบว่าการปรับตัวเพิ่มขึ้นมากของ
กลุ่มโรงกลั่น ทำให้ Upside Gain ในปัจจุบันเริ่มน้อยลง โดยปัจจุบัน PTTAR เป็นหุ้นที่มี Upside Gain 22% มากที่สุดของเรา ขณะที่ TOP และ BCP มี Upside Gain เพียง 9% และ 2% ตามลำดับ ทำให้เราเลือกลงทุนแค่เพียง TOP และ PTTAR เท่านั้น โดยยังคงมูลค่าที่เหมาะสมเชิงพื้นฐานสำหรับ TOP ที่ระดับ 88 บาท และ PTTAR ที่ระดับ 46 บาท

* เคที ซีมิโก้ เลือก TOP, PTTAR และ PTTACH เป็นหุ้นเด่น
บทวิเคราะห์ บล.เคที ซีมิโก้ ระบุว่า เราคาดว่าค่าการกลั่นจะสูงขึ้นและทรงตัวสูงในระยะสั้น-กลาง จากการหยุดผลิตของโรงกลั่นน้ำมันและโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่มีแนวโน้มทำให้ต้องมีการนำเข้าน้ำมันเบนซินและน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้น ล่าสุดกำลังผลิตโรงกลั่น 1 ใน 3 ของกำลังผลิตรวม (4.6 ล้านบาร์เรล/วัน) ต้องหยุดการผลิตลง นอกจากนี้เหตุระเบิดที่โรงกลั่นน้ำมันชิบะ ขนาด 2.2 แสนบาร์เรล/วัน จะต้องใช้เวลามากกว่า 1 ปีในการซ่อมแซม
ด้วยเหตุเหล่านี้ เราเลือก TOP, PTTAR และ PTTCH เป็นหุ้นเด่นของธีมการลงทุนนี้ เราเชื่อว่าค่าการกลั่นที่แข็งแกร่ง ราคาน้ำมันทรงตัวสูง และสเปรดปิโตรเคมีที่แข็งแกร่ง จะเป็นปัจจัยหนุนราคาหุ้นในระยะสั้น-กลาง แนะนำ “ซื้อ” TOP (มูลค่าพื้นฐาน 91 บาท) PTTAR (มูลค่าพื้นฐาน 47 บาท) และPTTCH (มูลค่าพื้นฐาน 189 บาท)

*บิ๊ก BCP ตั้งเป้า EBITDA ปีนี้โตกว่าปีก่อนที่ทำได้กว่า 6 พันลบ. เหตุ หลังความต้องการสูงจากปัญหาญี่ปุ่น-ตะวันออกกลาง มั่นใจผลงานQ1/54ยังเติบโตเป็นที่น่าพอใจ
ดร.อนุสรณ์ แสงนิ่มนวล กรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ BCP เปิดเผย eFinancethai.com ว่า บริษัทฯตั้งเป้ากำไรก่อนหักภาษีดอกเบี้ยจ่ายและค่าเสื่อม (EBITDA) ในปีนี้จะเติบโตกว่าปีก่อนไว้ที่ทำได้ 6 พันล้านบาท เนื่องจากบริษัทฯจะได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากปัญหาเหตุความไม่สงบทางการเมืองในประเทศแถบตะวันออกกลางและลิเบีย รวมไปถึงปัญหาแผ่นดินไหวและสึนามิในประเทศญี่ปุ่นทำให้มีความต้องการเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปทั้งน้ำมันดีเซลและน้ำมันเตา
ทั้งนี้ ปัจจุบันค่าการกลั่นอยู่ที่ 7.8 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่สูงพอสมควร ทำให้เป็นปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของผลประกอบการบริษัทฯ
สำหรับโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ในเฟสแรกที่มีกำลังการผลิตไฟฟ้า 38 เมกะวัตต์ คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จในช่วง ต.ค.ปีนี้ โดยจะทำให้รับรู้รายได้จากโครงการดังกล่าวช่วง ไตรมาส 4/54 (พ.ย.-ธ.ค.)
ดร.อนุสรณ์ กล่าวต่อว่า จากการประเมินผลประกอบการไตรมาส1/54 ยังคงเติบโตเป็นที่น่าพอใจ แม้ว่าบริษัทฯได้ปิดทำการโรงกลั่นไปช่วงเดือน ก.พ.ประมาณ 30 วัน แต่ในช่วงต้นเดือน มี.ค.ได้เดินเครื่องการผลิตเป็นปกติแล้วประมาณ 1-1.2 แสนบาเรล์/วัน โดยแนวโน้มราคาน้ำมันในตลาดโลกก็ได้ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งบริษัทฯได้มีการสต็อกล่วงหน้า ซึ่งเป็นไปตามแผนที่จะมีการปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่น ทำให้ในช่วงไตรมาสนี้บริษัทฯน่าจะมีกำไรจากสต็อกน้ำมัน (Stock Gain)
อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ไตรมาส 2 บริษัทฯจะเดินเครื่องโรงกลั่นเต็มกำลังการผลิตอยู่ที่ 1 แสนบาร์เรลต่อวัน ส่งผลให้กำลังการผลิตเฉลี่ยทั้งปีเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 9.2 หมื่นบาร์เรลต่อวัน เพิ่มขึ้นจากปี 53 ที่มีกำลังการกลั่นเฉลี่ยอยู่ที่ 8.6 หมื่นบาร์เรลต่อวัน

* บิ๊ก TOP คาด Q1/54 รายได้-กำไร ดีกว่า Q1/53 หลังค่าการกลั่นรวมเพิ่มขึ้นเฉลี่ยทั้งไตรมาสราว 8 เหรียญ
นายสุรงค์ บูลกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ไทยออยล์ (TOP) เปิดเผยว่า แนวโน้มของรายได้และกำไรในไตรมาส 1/2554 มีโอกาสออกมาในทิศทางที่ดีกว่างวดเดียวกันของปีก่อนหลังจากในไตรมาสนี้คาดว่าค่าการกลั่นเฉลี่ยทั้งไตรมาสจะอยู่ที่ 8 เหรียญต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่ 6 เหรียญต่อบาร์เรล ส่วนทั้งปีคาดว่าค่าการกลั่นเฉลี่ยมีโอกาสไม่ต่ำกว่า 7 เหรียญต่อบาร์เรล
ส่วนทิศทางราคาน้ำมันในไตรมาสดังกล่าวยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูง แต่ไม่น่าจะเพิ่มขึ้นมากนัก แม้ว่าจะมีเหตุการณ์ความไม่สงบเกิดขึ้นที่ประเทศลิเบีย เพราะประเมินว่าเหตุการณ์ดังกล่าวไม่น่าจะบานปลายมาถึงซาอุดิอาระเบีย ซึ่งเป็นประเทศหลักที่ผลิตน้ำมัน

* บิ๊ก IRPC คาดกำไร-รายได้ปีนี้ดีขึ้นกว่าปีก่อน เหตุส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์สูงขึ้น

ดร.ไพรินทร์ ชูโชติถาวร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC เปิดเผยว่า บริษัทฯคาดว่าแนวโน้มกำไรและรายได้ในปีนี้จะปรับตัวดีขึ้นจากปีก่อน เนื่องจากได้รับปัจจัยสนับสนุนของส่วนต่างผลิตภัณฑ์ราคา (สเปรด) ที่คาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้นตามทิศทางราคาที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากได้รับปัจจัยสนับสนุนจาก 2 ปัจจัยหลัก ประกอบด้วยปัญหาความรุนแรงในตะวันออกกลาง อีกทั้งจากผลกระทบจากเหตุการณ์สึนามิที่ญี่ปุ่น ทั้งนี้จากเหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้โรงไฟฟ้าที่ใช้พลังงานนิวเคลียร์มีสัดส่วนลดลงไปสูง โดยกำลังการผลิตของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่หายไปประมาณ 25% ซึ่งถือเป็นกำลังการผลิตไฟฟ้าที่หายไปที่ค่อนข้างสูงและหาแหล่งทดแทนได้ยาก และโรงไฟฟ้าที่ใช้พลังงานจากโรงกลั่นน้ำมันอีกประมาณ 25% จึงส่งผลให้ญี่ปุ่นจำเป็นต้องมีการนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูป อาทิ น้ำมันเตา ก๊าซ LNG และก๊าซธรรมชาติอื่น เพื่อนำไปใช้เป็นพลังงานทดแทนในการผลิตไฟฟ้า และประเมินว่าจะต้องใช้ระยะเวลาหลายปีกว่ากำลังการผลิตจะกลับมาสู่ระดับปัจจุบัน โดยสถานการณ์ถือว่าค่อนข้างมีความตึงเครียด หลังจากปัจจุบันผู้ใช้ไฟฟ้าในประเทศญี่ปุ่นแบ่งเป็น 5 พื้นที่ โดยจะมีการหมุนเวียนในแต่ละพื้นที่ที่จะต้องหยุดใช้ไฟฟ้าต่อวันวันละ 3 ชั่วโมง ขณะที่กลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ทุกรายในขณะนี้ได้หยุดการผลิตเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพื่อนำไฟฟ้าไปใช้ให้กับภาคอื่น อย่างไรก็ดีจากศักยภาพของญี่ปุ่นเชื่อว่าจะใช้เวลาไม่นานจะสามารถกลับมาสู่ภาวะปกติ
จากประเด็นดังกล่าวที่จะทำให้ญี่ปุ่นมีการนำเข้าน้ำมันมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อการนำเข้าพลังงานความร้อน และในระยะต่อไปจะส่งผลดีต่อผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี เนื่องจากโรงงานปิโตรเคมีขนาดใหญ่ในญี่ปุ่นได้มีการหยุดการผลิตจากผลกระทบที่เกิดขึ้น โดยกำลังการผลิตที่หายไปคิดเป็น 30% ของกำลังการผลิตรวมของประเทศ หรืออยู่ที่ประมาณ 7 ล้านตัน และยังส่งผลต่อราคาอาหารให้มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากญี่ปุ่นถือว่ามีพื้นที่ราบที่ใช้ในการเพาะปลูกน้อย และพื้นที่ดังกล่าวยังได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
'ในระยะสั้นคิดว่าสเปรดของโรงกลั่นน่าจะดีขึ้น เพราะเหตุการณ์ครั้งนี้ญี่ปุ่นจะมีความต้องการใช้พลังงานมากขึ้น โดยในช่วง 6 เดือนถึง 1 ปี และในระยะต่อไปราคาปิโตรเคมีน่าจะสูงขึ้น ความเสียหายที่เกิดขึ้นถือว่าอยู่ในวงกว้าง โชคดีที่เกิดอยู่ทางภาคเหนือของประเทศ ถือเป็นแถบที่มีอุตสาหกรรมน้อยหากเทียบกับทางตอนใต้ของประเทศ' ดร.ไพรินทร์ กล่าว
อย่างไรก็ดีบริษัทฯได้รับผลกระทบเล็กน้อยจากเหตุการณ์สึนามิที่สร้างความเสียหายให้ท่าเรือของญี่ปุ่น ส่งผลให้บริษัทฯไม่สามารถส่งสินค้าเข้าญี่ปุ่นได้ โดยสินค้าที่บริษัทฯส่งออกส่วนใหญ่จะเป็นผลิตภัณฑ์เกรดพิเศษ อาทิ เม็ดพลาสติก และน้ำมันยางที่ไม่มีสารก่อมะเร็ง ทั้งนี้การจะส่งออกสินค้าไปยังประเทศญี่ปุ่นจะต้องรอให้ท่าเรือกลับมาใช้ได้
แต่ทั้งนี้ บริษัทฯมีสัดส่วนการส่งออกสินค้าไปญี่ปุ่นไม่มากนัก โดยการส่งออกหลักจะไปยังจีน และอาเซียน ทั้งนี้มองว่าแม้ราคาผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มสูงขึ้น ขณะที่บริษัทฯมีสัดส่วนการส่งออกไปญี่ปุ่นไม่มาก แต่ประเมินว่าน่าจะส่งผลทางอ้อมในทิศทางบวกแก่บริษัทฯ เนื่องจากการนำเข้าพลังงานและผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีของญี่ปุ่นจะส่งผลให้ราคาผลิตภัณฑ์ดังกล่าวในภูมิภาคเพิ่มสูงขึ้น
'เราส่งออกไปญี่ปุ่นไม่เยอะ ซึ่งส่งออกที่เป็นสินค้าเกรดพิเศษ คือ เม็ดพลาสติกและน้ำมันยางที่ไม่มีสารก่อมะเร็ง ซึ่งต้องรอให้ท่าเรือขนส่งสินค้าได้จึงจะส่งสินค้าได้ เราส่งออกหลักๆไปจีนและอาเซียนมากกว่า แต่คงส่งผลดีต่อเราทางอ้อม เพราะการนำเข้าของญี่ปุ่นน่าจะทำให้ราคาในภูมิภาคเพิ่มสูงขึ้น' ดร.ไพรินทร์ กล่าว
-----------------------------------------------------------------------------

Code 384 : 24/03/54 ขึ้นต่อได้อีก ถึงแม้ว่า Indicators บางตัว เริ่ม Overbought แล้ว

วันพฤหัสที่ 24 มีนาคม 2554

ATT Code : 24/03/54 ขึ้นต่อได้อีก ถึงแม้ว่า Indicators บางตัว เริ่ม Overbought แล้ว


สรุปสภาวะการซื้อขาย วันพุธที่ 23/03/54 : ผ่านแนวต้านที่ 1025 จุด มาได้อย่างสวยงาม โดยมี Indicators ต่างๆ ก็ให้สัญญาณขึ้นอยู่ แต่มี Indicator อยู่ 3 ตัว ส่งสัญญาณ Overbought มาให้เห็นแล้ว

แนวโน้มในวันพฤหัสที่ 24/03/54 นี้ ยังมองขึ้นได้อยู่ ถึงแม้ว่ามี Indicators บางตัวเกิดสัญญาณ Overbought ขึ้นมามา แต่ยังไม่ต้องกังวล SET ยังสามารถขึ้นต่อไปถ้าหากคืนนี้ DJIA สามารถยืนเหนือ BB Avg. ที่ระดับ 12040 ได้ ตลาดมีแนวโน้มที่จะขึ้นต่อไปได้ โดยมีแนวต้านที่ BB TOP ที่ระดับ 1032 จุด โดยที่ตลาดมีกรอบแนวรับ-แนวต้าน ดังนี้
แนวรับที่ 1025 จุด ซึ่งเป็น High ของวันที่09/03/54 และ 1020 จุด
แนวต้านที่ BB Top ที่ระดับ 1,032 จุด

Indicators ต่างๆ ของเมื่อวานนี้ (23/03/54) :
Main Buy Signal = MACD + Slow Stochastic
6 Indicators = Buy Signal
3 Indicators = Overbought

1. Alert MACD (B)
(Major = Buy Signal : 1. MACD >. Signal.... และ Minor =Uptrend ยังดีอยู่โดย 2. MACD > 0)
(+) MACD Oscillator ขึ้นมาบวกเล็กน้อย โดยขึ้นมาจาก +0.15 มาเป็น +0.86 ... ทำให้สัญญาณ Buy Signal แข็งแรงขึ้น

2. (OBV + : Stronger)
(+) OBV เพิ่มขึ้นมาที่ 463.... แสดงให้เห็นว่ามีแรงซื้อขายสะสมเพิ่มขึ้น ส่งสัญญาณในทางบวกอีกครั้ง

3. Alert CCI (B and OverBought)
(1.CCI >. 100 : Minor = Buy Signal)
(+/-) CCI เพิ่มขึ้นจาก 94 มาที่ 100... และมีสัญญาณเป็นบวก แต่เข้ามาในเขต Overbought แล้ว

4. Alert ADX (B)
(+) เส้น ADX : DI+(34) > DI-(20) : แต่ทั้ง 2 เส้น เริ่มห่างกันไม่มาก

5. Alert William %R (B and OverBought)
(%R > -10 ขึ้นมาแล้ว : OverBought)
(+/-) Williams %R มีค่าสูงขึ้น (-1.46) เกิน -10 แล้ว

6. Alert RSI (B)
(+) RSI(61) > MAV9(56) : RSI สูงกว่าเส้นค่าเฉลี่ย

7. Alert Slow Sto (B and OverBought)
(+/-) Slow Stochastic : %K(81) > %D(73)ตัดขึ้นแล้ว


****************
Historical Technics
****************
Buy Signal
1. New(+)MACD กลับมาเป็น Buy Signal อีกครั้ง(22/03/54)
2. (+) SET ผ่านแนวต้านหลัก BB Average = Major เป็น Bullish... ยืนยันความเข็งแรงของตลาด... BB Average เปลี่ยนจากแนวต้านมาเป็นแนวรับหลัก (16/02/54)
3. (+) EMA5 (979.12) ตัด EMA 10 (976.12 )ขึ้นมา... Majorเป็น Golden Cross = Buy Signal (17/02/54)
4. (+) EMA10 (988.34) ตัด EMA25 (987.47) = Golden Cross : Strong (04/03/54)
5. (+) EMA25 (992.96) ตัด EMA75 (991.78) (10/03/54)
6. (+) SET สูงกว่าเส้น 10 วัน และ 5 วัน แล้ว : (21/03/54)
7. New (+) %R > -10 : Overbought (23/03/54)
8. New (+) CCI > 100 : Overbought (23/03/54)
9. New (+) Slow Sto : %K > %D = Buy Signal (22/03/54) : overbought (23/03/54)

Sell Signal

-----------------------------------------------------------------------------
MARKET WAVE Analysis
24 มีค. 54 ( +8.40 จุด) โกมล พงศ์วิญญู เลขทะเบียน 18338

ไม่ต่ำกว่า 1017 ขึ้น 1041 - 51 จุด
แนวโน้มในวันพฤหัสนี้ตราบใด ไม่ต่ำกว่า 1017 จุด และเส้นค่าเฉลี่ย 25 ชั่วโมง ถือว่าภาพตลาดระยะสัปดาห์ มีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อ
แถว 1041 – 51 ใกล้จุดสูงสุดเดิมของต้นปี

แต่ดัชนี ยังไม่น่าจะผ่านจุดสูงสุดเดิมของต้นปีนี้ไปได้ง่ายนัก และ ยังคงมีความเสี่ยงที่จะปรับตัวกลับลงมาบริเวณ 1000 – 05 จุด ใกล้เส้นค่าเฉลี่ย 25 วัน อีกครั้ง

ภาพโดยรวมของตลาด ยังน่าจะอยู่ในช่วงเวลาของการย่ำฐาน ในรูปแบบของCorrective Wave ในกรอบ 100 จุด หรือ
แกว่งตัวระหว่าง 950 – 1050 จุด (โดยประมาณ)สำหรับภาพจนถึงไตรมาสที่สองของปีนี้

หุ้นเด่น
AMATA
กำลังปรับตัวในกรอบสามเหลี่ยม ภาพระยะวัน รอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 14.70 กรอบบนของสามเหลี่ยม เป้าหมายระยะสัปดาห์
15.50 – 15.80( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 14.30 )

PTTCH
กำลังปรับตัวในกรอบสามเหลี่ยม ภาพระยะวัน รอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 146.50 กรอบบนของสามเหลี่ยม เป้าหมายระยะสัปดาห์
150.00 – 151.00( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 144.50 )

10 อันดับซื้อขายสูงสุด
SCC ต่ำกว่า 351 ลง 345 – 348
IVL เกิน 54 ขึ้น 54.25 – 54.50
TRUE ต่ำกว่า 6.55 ลง 6.30 – 6.40
BANPU แกว่งตัว 732 – 752
JAS ต่ำกว่า 2.62 ลง ขึ้น 2.50 – 3.56
PTT ไม่ต่ำกว่า 342 ขึ้น 350 – 351
PTTEP แกว่งตัว 179 – 183
CPF เกิน 25.25 ขึ้น 26 – 26.50
IRPC ต่ำกว่า 5.85 ลง 5.65 – 5.75
HEMRAJ ต่ำกว่า 1.94 ลง 1.86 – 1.88

-----------------------------------------------------------------------------
เงาหุ้น : มหกรรมนักวิเคราะห์กระหึ่ม!!
มีข่าวด่วน!! สมาคมนักวิเคราะห์ฯจัดงานสัมมนาใหญ่ "มหกรรมวิเคราะห์หลักทรัพย์" ในวันที่ 25-27 มี.ค.นี้ ที่อาคารสภาวิชาชีพบัญชี สุขุมวิท 21 (ใกล้ BTS อโศก และ MRT สุขุมวิท) ระดมผู้เชี่ยวชาญเกือบ 30 คน ทั้งด้านเศรษฐกิจ หุ้น ทองคำ และคอนโด มาเสวนาให้ฟังฟรี นำทัพโดย ก้องเกียรติ, มนตรี ศรไพศาล, สมบัติ นราวุฒิชัย และมนูญ ศิริวรรณ เป็นต้น ที่สำคัญงานนี้ได้จัดทำ "คู่มือผู้ลงทุน" เล่มใหม่ จำหน่ายในราคาเพียง 100 บาท พิเศษมีเฉพาะที่งานนี้เท่านั้น และยังเปิดโอกาสให้ผู้อ่าน "คู่มือผู้ ลงทุน" ได้โหวตนักวิเคราะห์ยอดเยี่ยมประจำปีได้ที่งานอีกด้วย งานนี้นัก ลงทุนคุณภาพไม่ควรพลาด!!

สำหรับดัชนีหุ้นไทยวันที่ 23 มี.ค.54 ปิดที่ 1,027.54 จุด เพิ่มขึ้น 8.40 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 24,454 ล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิ 699.82 ล้านบาท

ฝ่ายวิเคราะห์ บล.เอเซียพลัส มองหุ้นไทยขึ้นแรงเกินคาด โดยมีแรงซื้อหุ้นขนาดใหญ่ รวมทั้งหุ้นกลุ่มไอซีที หลังมีข่าวการอนุมัติให้เริ่มทำโครงการ 3 จี รวมทั้งยังมีแรงเก็งกำไรเข้ามาในหุ้นพลังงาน จากประเด็นค่าการกลั่นที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
ขณะที่มองทิศทางตลาดระยะสั้น คาดว่าแรงซื้อหุ้นพลังงานจะผลักดันให้ตลาดไปต่อได้ ด้านเทคนิคให้แนวต้านไว้ที่ 1,035-1,036 จุด ส่วนแนวรับอยู่ที่ 1,022-1,020 จุด โดยต้องติดตามวิกฤตินิวเคลียร์ในญี่ปุ่น รวมทั้งการแก้ปัญหาในลิเบีย เพราะมีผลกระทบต่อหุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์

แนะกลยุทธ์การลงทุน แนะให้ซื้อเก็งกำไรหุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น โรงกลั่น น้ำมัน รวมถึงหุ้นกลุ่มสื่อสารและอาหาร

ปิดท้าย มี บล.ทิสโก้ ให้น้ำหนักการลงทุนหุ้นกลุ่มแบงก์ "มากกว่าปกติ" โดยยกให้ KBANK (ราคาเป้าหมาย 160 บาท) และ KTB (ราคาเป้าหมาย 22.5 บาท) เป็นหุ้น Top Pick

ตามด้วย บล.ทรีนีตี้ เตรียมปรับเป้า DTAC ใหม่ ขึ้นจากเดิม 50 บาท หลังมีโอกาสจ่ายเงินปันผลเพิ่มขึ้น เนื่องจากเดือน ส.ค.54 หุ้นกู้ส่วนที่มีเงื่อนไขการจ่ายปันผลไม่เกิน 70% จะหมดอายุลง ทำให้ DTAC อาจพิจารณาการจ่ายปันผลเป็น 100% ของกำไรสุทธิ ซึ่ง DTAC จะ XD วันที่ 26 เม.ย.54 จ่ายปันผล 3.21 บาท คิดเป็น Yield 7.1% แนะ "ซื้อรับปันผล".

อินเด็กซ์ 51

-----------------------------------------------------------------------------

Code 383 : 23/03/54น่าจะแกว่งตัวในกรอบ1015-1025

วันพุธที่ 23 มีนาคม 2554

ATT Code : 23/03/54น่าจะแกว่งตัวในกรอบ1015-1025



สรุปสภาวะการซื้อขาย วันอังคารที่ 22/03/54 : ชนแนวต้านที่1025แล้วมีแรงขายในกลุ่มพลังงานออกมา

แนวโน้มในวันพุธที่ 23/03/54 นี้ คาดว่าตลาดยังมีความผันผวนอยู่ โดย SET มีแนวโน้มแกว่งตัวในกรอบ 1015-1,025 จุดโดยที่ตลาดมีกรอบแนวรับ-แนวต้าน ดังนี้
แนวรับที่ 1015 จุด
แนวต้านที่ High ของวันที่ 22/03/54 ที่ระดับ 1,025 จุด

Indicators ต่างๆ ของเมื่อวานนี้ (21/03/54) :
5 Indicators = Buy Signal

1. Alert MACD (B)
(Major = Buy Signal : 1. MACD >. Signal.... และ Minor =Uptrendยังดีอยู่ 2. MACD > 0)
(+) MACD Oscillator ขึ้นมาบวกเล็กน้อย โดยขึ้นมาจาก -0.27 มาเป็น +0.15 ... ทำให้สัญญาณ Buy Signal

2. (OBV - : Weak)
(-) OBV ลดลงมาที่ 456.... แสดงให้เห็นว่ามีแรงซื้อขายสะสมลดลง ส่งสัญญาณในทางลบอีกครั้ง

3. Alert CCI (B)
(1.CCI >. 0 : Minor = Buy Signal)
(+) CCI เพิ่มขึ้นจาก 59 มาที่ 94... และมีสัญญาณเป็นบวก แต่ใกล้เขตOversoldแล้ว

4. Alert ADX (B)
(+) เส้น ADX : DI+(34) > DI-(21) : ทั้ง 2 เส้น เริ่มห่างกันมากขึ้น = Stronger

5. Alert William %R (Sideway)
(%R < -50 ขึ้นมาอีกครั้ง : Minor = Buy Signal)
(+) Williams %R มีค่าเท่าเดิม

6. Alert RSI (B)
(+) RSI(58) > MAV9(56) : RSI สูงกว่าเส้นค่าเฉลี่ย

7. Alert Slow Sto (B)
(+) Slow Stochastic : %K(72) > %D(69)ตัดขึ้นแล้ว


****************
Historical Technics
****************
Buy Signal
1. New(+)MACD กลับมาเป็น Buy Signal อีกครั้ง(22/03/54)
2. (+) SET ผ่านแนวต้านหลัก BB Average = Major เป็น Bullish... ยืนยันความเข็งแรงของตลาด... BB Average เปลี่ยนจากแนวต้านมาเป็นแนวรับหลัก (16/02/54)
3. (+) EMA5 (979.12) ตัด EMA 10 (976.12 )ขึ้นมา... Majorเป็น Golden Cross = Buy Signal (17/02/54)
4. (+) EMA10 (988.34) ตัด EMA25 (987.47) = Golden Cross : Strong (04/03/54)
5. (+) EMA25 (992.96) ตัด EMA75 (991.78) (10/03/54)
6. New (+) SET สูงกว่าเส้น 10 วัน แล้ว : (21/03/54)
7. New (+) %R > -50 : Minor=Buy Signal (21/03/54)
8. New(+) CCI >50 : Minor = Buy Signal (21/03/54)
9. New (+) Slow Sto : %K > %D = Buy Signal (22/03/54)

Sell Signal
1. (-) SET หลุด BB Top ลงมาแล้ว = SET อ่อนลงมา (09/03/54)

-----------------------------------------------------------------------------
MARKET WAVE Analysis
23 มีค. 54 ( -0.79 จุด) โกมล พงศ์วิญญู เลขทะเบียน 18338

เกิน 1025.71 ขึ้น 1043 - 56 จุด
แนวโน้มในวันพุธนี้ถ้าปรับตัวขึ้น เกิน1025.71 จุดสูงสุดเดิมของเดือน มีค. ภาพดัชนีระยะสองสามสัปดาห์ข้างหน้า สามารถขึ้นต่อได้
แถว 1043 – 56 ใกล้จุดสุงสุดเดิมของต้นปีนี้

ขณะเดียวกันการปรับตัวลง ต่ำกว่า 1013จุด เส้นค่าเฉลี่ย 25 ชั่วโมง ดัชนีมีโอกาสปรับตัวกลับลงไปแถว 990 – 1005 จุด ใกล้เส้นค่าเฉลี่ย25 วัน

ภาพโดยรวมของตลาด ยังน่าจะอยู่ในช่วงของการย่ำฐานในกรอบ 100 จุด หรือแกว่งตัวระหว่าง 950 – 1050 จุด (โดยประมาณ)
Overall sideways สำหรับภาพถึงไตรมาสที่สองของปีนี้

หุ้นเด่น
KTB
ยังสามารถปรับตัวอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ย 25 วันได้ รอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 17.70 จุดสูงสุดวันอังคาร เป้าหมายสองสามวัน 18.50 –
19.00 ( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 17.30 )

TASCO
ปรับตัวขึ้นมาอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ย 25 วันได้อีกครั้ง ทยอยซื้อแถว 55.50 – 56.00 หรือรอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 57.00 จุดสูงสุดวัน
อังคาร เป้าหมายหนึ่งถึงสองวัน 58.00 –60.00( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 55.50 )

10 อันดับซื้อขายสูงสุด
TRUE แกว่งตัว 6.55 – 6.85
BBL เกิน 164 ขึ้น 165 - 166
KTB รายละเอียดใน “หุ้นเด่น”
SCC ไม่ต่ำกว่า 336 ขึ้น 351 - 361
JAS ไม่ต่ำกว่า 2.46 ขึ้น 2.80 – 3.60
SCB เกิน 104.50 ขึ้น 105 - 106
IRPC แกว่งตัว 5.70 – 6.15
IVL เกิน 53.25 ขึ้น 53.50 – 54
PTT เกิน 345 ขึ้น 349 – 350
BAY เกิน 24.20 ขึ้น 24.50 – 24.80

-----------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย
EFinanceThai:แบงก์สดใสรับสินเชื่อโตเข้าเป้า

หุ้นแบงก์ฉายแววสดใส รับแนวโน้มสินเชื่อโตเข้าเป้า บวกกับดอกเบี้ยขาขึ้น เสริมแรงจูงใจให้นักลงทุน โบรกเกอร์ส่งเสียงเชียร์เพิ่มน้ำหนักการลงทุนยกกลุ่ม ขณะที่ ตลท. เผยยังไม่เห็นสัญญาณนลท.ญี่ปุ่นถอนการลงทุนในตลาดหุ้นไทย แม้เกิดแผ่นดินไหว-สึนามิ

* KTB มองสินเชื่อรวมปีนี้โตอย่างน้อย 7-8% ระบุ 2 เดือนสินเชื่อดีขึ้น
นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB กล่าวว่า จากภาพรวมของเศรษฐกิจมองว่า การขยายตัวของสินเชื่อรวมปีนี้จะยังเป็นไปตามเป้าหมายที่เติบโตอย่างน้อย 7-8%
โดยในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา มูลค่ายอดสินเชื่อเพิ่มสูงขึ้นกว่าที่คาดหวังไว้ และดีกว่าเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า และช่วงเดียวกันปีก่อน โดยเป็นผลจากการที่ธนาคารได้มีการอนุมัติสินเชื่อขนาดใหญ่เพิ่มขึ้นจำนวนมาก และแนวโน้มการปล่อยสินเชื่อขนาดใหญ่ปีนี้ ยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะทำให้สัดส่วนสินเชื่อภาคเอกชนจะเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับสัดส่วนสินเชื่อภาครัฐ
ทั้งนี้แม้ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาจะมีการปล่อยสินเชื่อขนาดใหญ่มากขึ้นกว่า 4-5 หมื่นล้านบาท แต่ก็มีสินเชื่อภาครัฐชำระคืนมาประมาณ 2-3 หมื่นล้านบาท

* KBANK เผยสินเชื่อเอสเอ็มอี Q1/54 โต 1% มั่นใจทั้งปีเข้าเป้า 8-10%
นายปกรณ์ พรรธนะแพทย์ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK กล่าวว่า สินเชื่อเอสเอ็มอีในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ขยายตัวแล้ว 1% หรือคิดเป็นยอดสินเชื่อสุทธิ 4 พันล้านบาท จากวงเงินอนุมัติรวมทั้งสิ้น 4 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้ การเติบโตดังกล่าวถือว่าดีกว่าช่วงเดียวกันปีก่อนอย่างมากที่ติดลบ โดยเป็นผลจากสินค้าเกษตรบางตัว เช่น ข้าวโพด และมันสำปะหลังที่ทยอยออกผลผลิตในช่วงต้นปี ทำให้มีการขอสินเชื่อเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งภาคการลงทุนและการบริโภคขยายตัวดีขึ้น ดังนั้นจึงมั่นใจว่าในสิ้นปีนี้การขยายตัวของสินเชื่อเอสเอ็มอีจะเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 8-10% หรือคิดเป็นมูลค่าสินเชื่อสุทธิ 3.8 หมื่นล้านบาท โดยจะส่งผลให้พอร์ตสินเชื่อเอสเอ็มอีในสิ้นปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น 4.38 แสนล้านบาท จากเมื่อต้นปีที่อยู่ 4 แสนล้านบาท ซึ่งแบ่งเป็นสินเชื่อขนาดเล็กและไมโครที่ 1.5 แสนล้านบาท และสินเชื่อขนาดกลางที่ 2.5 แสนล้านบาท
สำหรับการเติบโตของสินเชื่อดังกล่าวคาดว่าไม่ต่ำกว่า 40% จะเป็นการรีไฟแนนซ์มาจากธนาคารอื่นในทุกเซ็คเตอร์ ขณะที่ในส่วนของธนาคารพบว่า ไม่มีการรีไฟแนนซ์จากลูกค้าไปยังธนาคารอื่น โดยตั้งเป้ากลุ่มลูกค้ารายกลางในปีนี้เติบโตเพิ่มขึ้น 6% ซึ่งสูงกว่าตลาดที่คาดว่าจะเติบโต 3-4% และลูกค้าขนาดกลางและไมโครคาดว่าจะเติบโต 17-18% โดยธนาคารยังคงมุ่งเน้นกลุ่มลูกค้า Start up ซึ่งมีประสบการณ์ในการทำธุรกิจเอสเอ็มอีค่อนข้างน้อย เนื่องจากมองว่าตลาดลูกค้ากลุ่มนี้มีขนาดใหญ่มากและธนาคารอื่นไม่ได้ให้น้ำหนักมากนัก
ดังนั้นจากผลการดำเนินงานต่างๆ ธนาคารเชื่อว่าในปีนี้จะยังสามารถครองส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับ 1 ต่อเนื่อง 4 ปีซ้อน ในสัดส่วนไม่ต่ำกว่า 30% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่อยู่ 29%

* BBL ย้ำเป้าสินเชื่อรวมปีนี้โต 5-7%
นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ ประธานกรรมการบริหาร ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BBL) กล่าวว่า ภาพรวมการปล่อยสินเชื่อในปีนี้น่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่องตามภาวะเศรษฐกิจไทยที่คาดว่าจะขยายตัวได้ดีในอัตรา 4% อีกทั้งยังมีแรงส่งจากทั้งภาคการลงทุน การบริโภค การส่งออกและนำเข้า ดังนั้นจึงมองว่าในปีนี้การปล่อยสินเชื่อรวมของธนาคารจะยังเป็นไปตามเป้าหมายที่ 5-7%
อย่างไรก็ตาม มองว่าแนวทางการปล่อยสินเชื่อของทั้งระบบจะไม่เป็นไปในลักษณะการเติบโตที่เกิดขึ้นจากภาวะหนี้สิน หรือ Debt Fever Gross ซึ่งน่าจะเป็นลักษณะที่ปล่อยสินเชื่อเพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของจีดีพีมากกว่า ซึ่งนักลงทุนและผู้ประกอบการไม่ควรตัดสินใจการลงทุนเพียงพิจารณาเหตุผลว่าอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับที่ต่ำ เนื่องจากในระยะต่อไปหากมีการเปลี่ยนแปลงอาจจะเกิดปัญหาได้

* ธนชาตตั้งเป้าสินเชื่อปีนี้โต 8-10% ระบุโตมากหลังควบรวม SCIB
นายสมเจตน์ หมู่ศิริเลิศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ธนาคารฯ ตั้งเป้าการเติบโตของสินเชื่อในปีนี้ไว้ที่ 8-10% ทั้งนี้มาจากการรวมฐานสินเชื่อของธนาคารธนชาตและนครหลวงไทยเข้าด้วยกัน ประกอบกับในปีนี้ประเมินว่าอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ (จีดีพี) จะอยู่ที่ 5-7% และอัตราเงินเฟ้อในปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 3.5%
โดยหากพิจารณาจากเศรษฐกิจของประเทศไทยยังคงได้รับปัจจัยสนับสนุนจาก 3 ประเด็นหลักจากปี 53 ที่มีการเติบโตดี ประกอบด้วย 1. ภาคเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคภายในประเทศ เนื่องจากได้รับปัจจัยบวกจากราคาสินค้าเกษตรที่ยังคงสูงขึ้นต่อเนื่อง ทำให้ภาคเกษตรกรมีกำลังในการใช้จ่าย 2. การลงทุนภาคเอกชนที่อยู่ในระดับสูง และ 3. การส่งออกที่ยังดีขึ้น แม้จะมีความเสี่ยงจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯและยุโรป
ทั้งนี้การบริโภคภายในประเทศ จะส่งผลดีต่อลูกค้าบุคคลที่มีการเติบโตต่อเนื่อง ทั้งสินเชื่อบ้าน สินเชื่อรถยนต์ และบัตรเครดิต ซึ่งหากลูกค้ามีรายได้ดีก็จะมีความมั่นใจในการใช้จ่ายมากขึ้น อีกทั้งการลงทุนภาคเอกชนและการส่งออกจะส่งผลดีต่อสินเชื่อลูกค้าองค์กรในสินเชื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และธุรกรรมการส่งออกที่ยังขยายตัวและการทำเทรดดิ้งไฟแนนซ์
โดยพอร์ตสินเชื่อของธนาคารปัจจุบันประกอบด้วยสินเชื่อรายย่อยสัดส่วน 50% และสินเชื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม 50% โดยธนาคารจะพยายามให้มีการขยายตัว โดยจับคู่ไปกับการขยายตัวของเศรษฐกิจ

* บล.ฟินันเซีย ไซรัส เชียร์ซื้อหุ้นแบงก์ หลังสินเชื่อเดือน ก.พ.54 โตต่อเนื่อง
บทวิเคราะห์บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุว่า สินเชื่อแบงก์ ก.พ. +0.91%M-M กลุ่มธนาคาร (ยกเว้น SCB, KTB) รายงานสินเชื่อเดือน ก.พ. ขยายตัวต่อเนื่องอีก 0.91%M-M แต่เป็นอัตราที่น้อยกว่าการขยายตัวที่ 1.27%M-M ในเดือนก่อน เทียบกับปีก่อน สินเชื่อรวมเพิ่มขึ้นแล้ว 2.19% ถือเป็นอัตราการเริ่มต้นที่ดีที่สุดในรอบหลายปี BBL มีสินเชื่อเพิ่มขึ้นสูงสุด 3%M-M และ 3.7%YTD ส่วน KBANK มีสินเชื่อเติบโตน้อยสุด +0.18%M-M แต่รวม 2 เดือนแรกยังโต 0.84%YTD เรายังแนะนำ Overweight กลุ่มแบงก์ และแนะนำซื้อเก็งกำไรผลประกอบการ KBANK, KTB เพราะคาดว่ากำไรจะเพิ่มทั้ง Y-Y, Q-Q
ขณะที่ SCB วัดใจประมูลขาย SICCO SICCO มี Book value ~6.90 บาท เราประเมินว่าราคาขายกรณีแย่ไม่น่าจะโดนหักส่วนลดเกิน 15-20% ซึ่งเท่ากับ 5.5-5.8 บาท ซื้อเก็งกำไร SICCO ส่วน SSEC จะเข้าข่ายต้องทำ Tender offer ด้วย

* บล.กิมเอ็ง ให้มุมมอง "เป็นบวก" ต่อ Banking Sector
ด้านฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ประเมินว่า ปี 2554…อีกปีที่ดีของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ โดยมองว่า แม้ในช่วง 2 ปี ที่ผ่านมาหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์จะสามารถปรับตัวขึ้นมาแล้วกว่า 3 เท่าตัวหลังจากวิกฤติเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในปี 2551 แต่ในปี 2554 นี้เรายังคงมองว่าหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ยังคงมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้ต่อ จากปัจจัยบวกที่ยังคงมีอยู่รอบด้าน ทั้งจากภาพรวมเศรษฐกิจที่ยังคงแข็งแกร่ง, ความต้องการสินเชื่อที่สูงขึ้นจากการคาดหวังกลับมาอีกครั้งของ Investment Cycle รอบใหม่, ทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น, รวมถึงความแข็งแกร่งของฐานเงินทุนของธนาคารและคุณถาพของสินทรัพย์ที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง น่าจะผลักดันให้ผลการดำเนินงานของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ในปี 2554 นี้ยังคงเติบโตได้ดีอย่างต่อเนื่องอีก19.2%
ขณะที่ราคาหุ้นปัจจุบันแม้ไม่ได้ถูกเหมือนในอดีตที่ผ่านมา แต่ยังคงมีความน่าสนใจในลงทุนอยู่ เรามองว่าด้วยภาพรวมอุตสาหกรรมที่ยังคงแข็งแกร่ง ราคาหุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์มีโอกาสได้รับการ Re-rate ขึ้นได้อีก เราให้น้ำหนักการลงทุนมากกว่าตลาด (Overweight) สำหรับการลงทุนกลุ่มธนาคารพาณิชย์ในปีนี้ โดยเน้นที่ 4 ธนาคารขนาดใหญ่ คือ BBL, KTB, SCB, KBANK และให้ BBL เป็นตัวเลือกอันดับหนึ่ง
เรามองว่าหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ในปีนี้ยังคงรายล้อมไปด้วยปัจจัยบวกทั้งจากภาพรวมเศรษฐกิจที่ยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่งต่อเนื่อง โดยเราคาด GDP growth ปีนี้ที่ระดับ 4.0% โดยปัจจัยผลักดันจะมาจากการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนในประเทศ ซึ่งจะผลักดันความต้องการสินเชื่อให้สูงขึ้น โดยเฉพาะสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ (Corporate Loans) ซึ่งเราคาดว่าจะเห็นการขยายตัวของสินเชื่ออย่างโดดเด่นในปี้นี้จาก Investment Cycle รอบใหม่หลังกำลังการผลิตในหลายภาคอุตสาหกรรมเริ่มปรับเต็ม
รวมถึงการควบรวมกิจการที่น่าจะยังคงมีอย่างต่อเนื่องต่อจากปีที่ผ่านมา โดยเราคาดการณ์ยอดสินเชื่อในปีนี้ของกลุ่มธนาคารพาณิชย์เติบโตอีก 9.1% ต่อเนืองจากปีก่อนหน้าที่เติบโต 12.4% ทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นส่งผลดีต่อส่วนต่างดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ของธนาคาร
โดยเราคาดการณ์ NIM ในปีนี้จะขยายตัวจาก 3.44% ในปีก่อนหน้าเป็น 3.57% ด้านรายได้ค่าธรรมเนียมน่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่องจากธุรกรรมทางการเงินที่เพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของเศรษฐกิจ รวมถึงคุณภาพของสินทรัพย์ที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีฐานเงินทุนที่แข็งแกร่ง เราคาดการณ์กำไรสุทธิของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ในปีนี้จะเติบโตต่อเนื่องอีก 19.2% ในปีนี้
ด้านราคาหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์แม้จะไม่ได้ถูกเหมือนช่วงก่อนหน้านี้หลังจากปรับตัวขึ้นมาอย่างต่อเนื่องตลอด 2 ปีที่ผ่านมา แต่ก็ยังมีความน่าสนใจและไม่ได้แพงจนเกินไป ราคาปัจจุบันซื้อขายกันที่ระดับ 1.55 เท่า PBV ซึ่งเป็นระดับใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยกลุ่มธนาคารพาณิชย์ในช่วงปี 2547-2550 ซึ่งเป็นช่วงก่อนวิกฤติเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่างไรก็ตามหากเปรียบเทียบปัจจัยพื้นฐานในปัจจุบันกับช่วงเวลาดังกล่าวแล้ว ธนาคารพาณิชย์ในปัจจุบันมีความแข็งแกร่งกว่าช่วงก่อนหน้านี้อย่างเห็นได้ชัด ประสิทธิภาพในการทำกำไรก็ดีขึ้นสังเกตได้จากตัวเลข ROE เรามองว่าราคาหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ของไทยยังมีโอกาสได้รับการ Re-rate จากตลาดขึ้นได้
เรามีมุมมอง “เป็นบวก” ต่อกลุ่มธนาคาร โดยให้น้ำหนักการลงทุนมากกว่าตลาด (Overweight) โดยเน้นที่ 4 ธนาคารขนาดใหญ่ คือ BBL, KTB, SCB, KBANK และให้ BBL เป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งสำหรับการลงทุนในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ในปีนี้

* ตลท. เผยยังไม่พบสัญญาณ นลท.ญี่ปุ่นถอนการลงทุนในตลาดหุ้นไทย
นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ขณะนี้ยังไม่เห็นสัญญาณที่นักลงทุนญี่ปุ่นจะถอนการลงทุนจากตลาดหุ้นไทย หลังเกิดเหตุแผ่นดินไหวและสึนามิในญี่ปุ่น ส่วนการที่นักลงทุนต่างชาติ ขายหุ้นในช่วงที่ผ่านมา เป็นเพียงการปรับพอร์ตการลงทุนตามปกติ
ส่วนผลกระทบ กรณีแผ่นดินไหวที่ประเทศญี่ปุ่น ต่อผลประกอบการของ บจ.นั้น นายจรัมพร กล่าวว่า ต้องพิจารณาเป็นรายบริษัท ซึ่งขณะนี้ตลท.ยังไม่มีการประเมิน โดยเห็นว่าควรจะต้องดูเศรษฐกิจภาพรวมก่อนว่าเป็นอย่างไร รวมทั้งไม่สามารถประเมินว่าความเสียหายดังกล่าวจะกระทบต่อความน่าสนใจลงทุนในตลาดหุ้นในภูมิภาคหรือไม่ แม้บริษัทญี่ปุ่นจะมีบริษัทลูกในต่างประเทศจำนวนมากก็ตาม


-----------------------------------------------------------------------------