Code 407 : 03/05/54 EMA5 จะตัด EMA10 ลงหรือไม่

วันอังคารที่ 3 พฤษภาคม 2554

ATT Code : EMA5 จะตัด EMA10 ลงหรือไม่

1. เข้าที่.... หลังจากที่ SET ลงไปทดสอบแนวรับที่ EMA75. และ BBA จากนั้นก็เด้งขึ้นมาปิดเหนือ EMA25. ได้
2. ระวัง.... จับตา ยังมีโอกาสที่จะเกิด Dead Cross... เพราะ EMA5. ยังคงลงมาสู่ EMA10. อยู่
3. ไป.... ถ้า EMA5 ต่ำกว่า EMA10... เกิด Dead Cross = Bearish // แต่ถ้า EMA5 ลงมาชน EMA10. แล้วเด้งขึ้น ก็จะกลับเป็น Bullish อีกครั้ง


สรุปสภาวะการซื้อขายในวันศุกร์ที่ 29/04/54 นี้ : Call Market โดดมา 4 จุด... งงอะดิ
1. SET อยู่ในแดนลบตลอดวัน.... แต่พอตอน Call Market กลับโดดขึ้นมา 4 จุด จาก 1089.54 มาปิดที่ 1093.56 บวก 1.25 จุด... มันซะใจมั้ยน้อง
2. SET โดดขึ้นมาปิดเหนือ BBA และ EMA25. ได้แบบงงๆ
3. Mains Indicators ยังลงอยู่... ยกเว้น RSI ที่มีค่าเพิ่มขึ้น

แนวโน้มในวันอังคารที่ 03/05/54 นี้ : EMA5 จะตัด EMA10 ลงหรือไม่
1. ถึงแม้ว่า SET จะ Rebound ขึ้นมาช่วง Call Market แต่ก็ถื่อว่าดูดีแบบงงๆๆ
2. Candle Stick ขึ้นมาสูงกว่าเมื่อวานได้... แนวโน้มมีโอกาสที่จะเด้งขึ้นมาทดสอบ EMA5 และ EMA10 ได้
3. ถ้า SET ยังมีซื้อขึ้นมายืนเหนือ EMA5 ได้... มีโอกาสที่จะพลิกกลับขึ้นมาเป็น Bull ใหม่ได้
4. ถ้า SET ยังมีแรงขายลงสู่ EMA25... มีโอกาสที่จะเกิด Dead Cross ได้

โดยที่ตลาดมีกรอบแนวรับ-แนวต้าน ดังนี้
แนวรับ : EMA25. 1088 / EMA75. 1081
แนวต้าน : EMA10. 1095 / EMA5. 1097

-----------------------------------------------------------------------------
MARKET WAVE Analysis
3 พค.54 ( +1.25 จุด) โกมล พงศ์วิญญู เลขทะเบียน 18338

ปรับตัวขึ้น 1105 - 10 จุด
ตราบใดไม่ต่ำกว่า 1082.20 จุดต่ำสุดของวันศุกร์ ภาพระยะสัปดาห์ ดัชนีมีโอกาสที่จะปรับตัวกลับขึ้นไปบริเวณ 1105 – 10 ใกล้จุดสูงสุดเดิมของสัปดาห์อีกครั้ง

จากนั้นดัชนีน่าจะแกว่งตัว ย่ำฐานอีกหนึ่งถึงสองสัปดาห์ ในกรอบ 1082 – 1113 หรือระหว่างจุดต่ำสุดของวันศุกร์ ถึงจุดสูงสุดของสัปดาห์

ขณะที่แนวโน้มหลักของตลาดยังคงเป็น“ขาขึ้น” และการปรับตัวขึ้น เกิน 1113.63จุดสูงสุดเดิมเดือน เมษ. จะถือเป็นสัญญาณการปรับตัวขึ้นต่อไปของตลาด มีเป้าหมายประมาณปลายเดือน พค. บริเวณ 1185 - 95 จุดในรูปแบบที่คาดว่าเป็น Double zigzag

หุ้นเด่น
BAY
ปรับตัวทะลุกรอบสามเหลี่ยม ภาพระยะเดือนทยอยซื้อแถว 27.50 – 28.00 หรือรอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 29.00 จุดสูงสุดวันศุกร์เป้าหมายระยะสัปดาห์ 30.75 – 32.75 / ระยะเดือนขึ้นไป 38.00 – 40.00( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 26.50 )

DTAC
ปรับตัวขึ้นมาอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ย 25 ชั่วโมงได้อีกครั้ง รอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 50.75จุดสูงสุดวันศุกร์ เป้าหมายสองสามวัน52.75 – 53.25( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 49.75 )

10 อันดับซื้อขายสูงสุด
JAS ต่ำกว่า 3.70 ลง 3.20 – 3.50
CPF แกว่งตัว 29 – 31.50
PTT ไม่ต่ำกว่า 367 ขึ้น 382 - 387
PTTEP ไม่ต่ำกว่า 183.50 ขึ้น 188 - 190
BBL ไม่ต่ำกว่า 168 ขึ้น 172 - 174
HEMRAJ เกิน 2.42 ขึ้น 2.76 – 3.12
SUSCO ต่ำกว่า 1.43 ลง 1 – 1.33
TTA ไม่ต่ำกว่า 21.60 ขึ้น 23.60 – 25
PTTCH ไม่ต่ำกว่า 157.50 ขึ้น 165 - 168
TOP ไม่ต่ำกว่า 83 ขึ้น 85.50 – 86.50

Code 406 : 29/04/54 มีโอกาสเกิด Dead Cross สูง

วันศุกร์ที่ 29 เมษายน 2554

ATT Code : มีโอกาสเกิด Dead Cross สูง
1. เข้าที่.... หลังจากที่เปิดโดดขึ้นไปตาม DJIA แล้ว.... แต่ก็มีแรงขายทำกำไรออกมาแรง
2. ระวัง.... จับตา การเกิด Dead Cross... หลังจากที่ SET หลุดเส้น EMA5 และ EMA10. ลงมา
3. ไป.... ถ้า EMA5 ต่ำกว่า EMA10... เกิด Dead Cross = Bearish // แต่ถ้า EMA5 ลงมาชน EMA10. แล้วเด้งขึ้น ก็จะกลับเป็น Bullish อีกครั้ง



สรุปสภาวะการซื้อขายในวันพฤหัส 28/04/54 นี้ : Rebound แต่เจอแรงขายหนักๆ
1. SET เปิดโดดตามตลาดทั่วโลกที่อยู่ในแดนบวก... แต่หลังจากนั้นก็มีแรงขายทำกำไรออกมาอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับ HSKI ก็ลงมาติดลบด้วย
2. SET เปิดต่ำกว่า EMA5. และ EMA10. ลงมาปิดที่ 1092.31
2. Mains Indicators ทุกตัวปรับค่าลงหมด... ยืนยันทิศทางขาลงยังแข็งแรงอยู่ = Strenght to Bearish
3. นอกจากนี้ %K ยังตัดเส้น 80 ลงมาด้วย = Sell Signal
4. Vol > MAV5... ลงมาพร้อม volume ด้วย = ยันยันการลง

แนวโน้มในวันศุกร์ที่ 29/04/54 นี้ : มีโอกาสเกิด Dead Cross สูง
1. หลังจากที่ SET หลุดเส้น EMA5 และ EMA 10... มีแนวโน้มลงได้อีก สู่ EMA25 ที่ 1088 ได้
2. Candle Stick ปรับตัวลงเป็นแท่งแดง ต่ำกว่าราคาปิด 1096.95 ของวันที 26/04/54.... มีแนวโน้มลงสู่ 1084 ได้
3. STO : %K ต่ำกว่าเส้น 80 แล้ว... มีแนวโน้มอ่อนค่าลงได้อีก
4. ถ้า SET ยังมีแรงขายลงสู่ EMA25... มีโอกาสที่จะเกิด Dead Cross ได้
5. แต่ถ้า EMA 5 ลงมาชน EMA10. แล้วยังไม่ตัดลง เป็น Dead Cross... แล้วมีแรงซื้อกลับเข้ามา ก็ยังพอมีโอกาสที่จะเด้งกลับขึ้นมาได้ vแต่ต้องดู Indicator ด้วยว่า มีตัวไหนที่วกกลับขึ้นมาได้บ้างรึป่าว

โดยที่ตลาดมีกรอบแนวรับ-แนวต้าน ดังนี้
แนวรับ : EMA25. 1088 / 1084
แนวต้าน : EMA10. 1095 / EMA5. 1098

-----------------------------------------------------------------------------
MARKET WAVE Analysis
29 เมษ. 54 ( -9.04 จุด) โกมล พงศ์วิญญู เลขทะเบียน 18338

ต่ำกว่า 1091.29 ปรับตัวลง 1075 – 80จุด
แนวโน้มวันศุกร์นี้ ดัชนียังมีโอกาสที่จะแกว่งตัวต่อไปในกรอบเล็ก 1092 - 1107 หรือระหว่างจุดต่ำสุดของวันอังคาร ถึงจุดสูงสุดของวันพุธ

และยังคงมีความเสี่ยงอยู่ว่า หากมีการปรับตัวลง ต่ำกว่า 1091.29 จุดต่ำสุดของวันอังคาร ดัชนีมีโอกาสปรับตัวลงต่อแถว 1075 –80 จุด (จะกลายเป็นการแกว่งตัวย่ำฐานในกรอบใหญ่ 1070 – 1110)

ขณะที่ แนวโน้มหลักของตลาดยังคงเป็น“ขาขึ้น” โดยเฉพาะการปรับตัว เกิน 1113.63จุดสูงสุดของสัปดาห์ที่แล้ว จะถือเป็นสัญญาณการปรับตัวขึ้นอีกครั้งของตลาด มีเป้าหมายเดือน พค. บริเวณ 1185 - 95 จุด ในรูปแบบที่คาดว่าเป็น Double zigzag

หุ้นเด่น
STPI
กำลังปรับตัวในกรอบสามเหลี่ยม ภาพระยะสัปดาห์ รอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 28.25กรอบบนของสามเหลี่ยม เป้าหมายระยะสัปดาห์ขึ้นไป 29.50 – 31.50( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 26.75 )

SAMART
กำลังปรับตัวในกรอบสามเหลี่ยม ภาพระยะเดือน รอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 9.70 กรอบบนของสามเหลี่ยม เป้าหมายระยะสัปดาห์ขึ้นไป 10.70 – 13.70( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 9.25 )

10 อันดับซื้อขายสูงสุด
JAS ต่ำกว่า 3.58 ลง3 – 3.40
CPF ปรับฐาน 29 - 29.50
TTA ไม่ต่ำกว่า 21.40 ขึ้น 23.60 – 25
SCC เกิน 377 ขึ้น 383 – 386
IRPC แกว่งตัว 6.10 – 6.40
PTT แกว่งตัว 373 – 380
PTTEP แกว่งตัว 186 – 190
GFPT แกว่งตัว 10.60 – 11.60
BANPU แกว่งตัว 744 - 754
IVL แกว่งตัว 53.50 – 54.50

-----------------------------------------------------------------------------
EFinance Thai : กระทิงรอจังหวะสิงหุ้นไทย
'มาร์ค โมเบียส' คาดตลาดหุ้นทั่วโลกยังเป็นภาวะกระทิง หลังเฟด คงดบ. ที่ 0-0.25% พร้อมเดินหน้ามาตรการ QE2 จนถึงกลางปีนี้ ด้านวงการมอง ตลาดหุ้นเอเชีย รวมถึงตลาดหุ้นไทย รับอานิสงส์เม็ดเงินไหลเข้า แต่ระยะสั้นอยู่ในช่วงปรับฐาน แนะปรับพอร์ต ถือหุ้น Real Sector ที่มี PER ต่ำ และ Dividend Yield ในระดับปานกลางคือ BCP, TPIPL และ GFPT หรือเล่นหุ้นรายตัวที่มีความปลอดภัย หรือหุ้นที่มีปันผล
จากกรณีที่ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศคงเป้าหมายอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น (fed funds rate) อยู่ในกรอบ 0-0.25% โดยย้ำว่าเฟดจะยังคงรักษาอัตราดอกเบี้ยให้อยู่ในระดับต่ำเป็นพิเศษต่อไปอีกระยะหนึ่งเนื่องจากเงินเฟ้อได้ดีดตัวขึ้นในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ขณะเดียวกัน เฟดย้ำถึงความตั้งใจในการซื้อพันธบัตรระยะยาวของรัฐบาลสหรัฐจำนวน 6 แสนล้านดอลลาร์ หรือการดำเนินมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณรอบสอง (QE2) จนถึงสิ้นสุดไตรมาส 2/2554 นอกจากนี้ เฟดยังคงจับตาแนวโน้มเศรษฐกิจและความคืบหน้าทางการเงิน และจะใช้เครื่องมือด้านนโยบายหากมีความจำเป็นเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและควบคุมเงินเฟ้อ
ด้านผู้เชี่ยวชาญการลงทุนระดับโลก คาดตลาดหุ้นทั่วโลกยังเป็นภาวะกระทิง หลังเฟดยังคงเดินหน้ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ QE2 ถึงเดือนมิ.ย. ด้านนักวิเคราะห์ มอง ทิศทางเงินทุนจากทางฝั่งสหรัฐฯ มีโอกาสไหลเข้ามาในตลาดทุนไทยต่อไป
ขณะที่วานนี้ ตลาดหุ้นไทย เผชิญแรงขายทำกำไร หลังก่อนหน้านี้ดัชนีดีดตัวขึ้นมามากแล้ว ปิดตลาด SET Index อยู่ที่ 1092.31จุด ลดลง 9.04 จุดหรือ 0.82% มูลค่าการซื้อขาย 34,530.30ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนต่างชาติยังคงมีสถานะซื้อสุทธิ 2250 ล้านบาท ส่งผลให้ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.- 28 เม.ย. นักลงทุนต่างชาติยังมีสถานะซื้อสุทธิ 30,219.76 ล้านบาท
สำหรับแนวโน้มการซื้อขายวันนี้ คาดว่าดัชนีจะเคลื่อนไหวในกรอบแคบแต่หากมีการอ่อนตัวลงมา ก็คาดว่าจะไม่มากนัก โดยมองแนวรับที่ 1,090 จุด และแนวต้านที่ 1,100 และ 1,105 จุด

***'มาร์ค โมเบียส' คาดตลาดหุ้นทั่วโลกยังเป็นภาวะกระทิง หลังเฟดจะใช้มาตรการกระตุ้นศก.เชิงปริมาณถึงเดือนมิ.ย.***
รายงานข่าวบนเว็บไซท์บลูมเบิร์กดอทคอมระบุว่า 'มาร์ค โมเบียส' ประธานเท็มเพลตั้นแอสเซ็ทแมเนจเมนท์คาดว่า ตลาดหุ้นทั่วโลกจะยังคงอยู่ในภาวะกระทิง หลังธนาคารกลางสหรัฐฯหรือเฟดจะคงใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการซื้อคืนหลักทรัพย์วงเงิน 600 พันล้านดอลลาร์จนครบกำหนดในเดือนมิถุนายนนี้ พร้อมจะดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนปรนพิเศษต่อไปอีกระยะ
'เรากำลังอยู่ในภาวะกระทิงที่จะดำเนินต่อไป แน่นอนว่า อาจมีการปรับฐานบ้าง แต่นั่นจะเกิดขึ้นเพียงช่วงสั้นๆ เพราะกำลังซื้อในสหรัฐฯและยุโรปกลับมาแล้ว แม้จะไม่ได้มากมายนัก แต่ก็กลับมาแล้ว' นายโมเบียสกล่าว
ส่วนตลาดหุ้นที่นายโมเบียสระบุว่า เป็นตลาดหุ้นที่จะให้ผลตอบแทนสูงสุดได้แก่ ตลาดหุ้นบราซิล รัสเซีย อินเดีย และจีน รองลงมาได้แก่ ตลาดหุ้นแอฟริกา เวียดนาม บังคลาเทศ และปากีสถาน โดยระบุว่า มีโอกาสที่จะให้ผลตอบแทนสูงในอนาคต


*** บล.ไทยพาณิชย์ ชี้ เฟดคงดบ.-QE2 ส่งผลเงินทุนไหลเข้าเอเชียและตลาดหุ้นไทย***
นายสุกิจ อุดมศิริกุล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนลูกค้าบุคคล บล.ไทยพาณิชย์ กล่าวถึง นโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับต่ำ รวมถึงทิศทางการใช้นโยบาย QE2 ว่า ในระยะแรกอาจทำให้ตลาดการเงินทั้งตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ และตลาดหุ้น เกิดความผันผวนขึ้นจากความกังวลต่อทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ แต่ในระยะยาวการทำความเข้าใจของตลาดอย่างสถานการณ์อย่างค่อยเป็นค่อยไป อาจทำให้ยังมีเงินทุนที่ไหลเข้ามาในเอเชีย รวมทั้งตลาดหุ้นไทยได้
ดังนั้นภาคการลงทุนในระยะสั้นที่พบว่าตลาดหุนไทยเริ่มสู่ช่วงการปรับฐาน จึงแนะนำให้นักลงทุนพิจารณาการลงทุนในหุ้นรายตัวที่มีความปลอดภัย หรือความสามารถในการจ่ายปันผลต่อผู้ลงทุน เช่น หุ้นในกลุ่มค้าปลีกและสื่อสารที่ยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นน้อยกว่าตลาด ขณะที่ภาคระยะยาวในช่วงครึ่งหลังปีนี้หุ้นในกลุ่มค้าปลีก กลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์และพลังงานอาจมีความน่าสนใจเพิ่มมากขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ทั้งนี้ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีฯ อยู่ในช่วง 1050 -1150 จุด
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรติดตามสถานการณ์ภายหลังการหมดมาตรการ QE2 ว่าในขณะนั้นผลตอบแทนพันธบัตรของสหรัฐฯ จะเพิ่มขึ้นในระดับใด ซึ่งอาจมีผลต่อการตัดสินใจแสวงหาผลตอบแทนของนักลงทุนกลับไปยังตลาดพันธบัตร และอาจทำให้ทิศทางการเคลื่อนย้ายเงินทุนกลับข้างได้

***SSEC คาด เฟด เปิดแผนกระตุ้นศก.รอบใหม่ต่อจากQE2 หนุนเม็ดเงินนอกทะลักเข้าตลาดหุ้นเอเชีย-ไทย***
นายศราวุธ เตโชชวลิต ผู้อำนวยการฝ่ายธุรกิจตราสารอนุพันธ์ บล.ซิกโก้ (SSEC) เปิดเผยกับ eFinanceThai.com ว่า หากพิจารณาจากถ้อยแถลงของ เฟด มีแนวโน้มที่จะออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจออกมารอบใหม่ ต่อเนื่องจากแผนเดิมคือนโยบายผ่อนคลายเชิงปริมาณหรือ QE 2 ที่จะสิ้นสุดลงในเดือนมิถุนายนนี้ ที่คาดว่าอาจจะไม่เพียงพอสำหรับการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งการประกาศแผนกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่น่าจะมีขึ้นภายใน เดือนพฤษภาคม หรือมิถุนายน เพื่อสร้างความต่อเนื่องจากมาตรการ QE2 ซึ่งการประกาศคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 0-0.25% ของเฟดในครั้งนี้เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นเป็นอย่างดีว่า ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในช่วง 3-6 เดือนต่อจากนี้ ยังไม่ฟื้นตัวอย่างแท้จริง และจะส่งผลให้เงินทุนจากทางฝั่งสหรัฐฯ ไหลเข้ามาในตลาดทุนไทยต่อไป
อีกหนึ่งปัจจัยที่ชี้ว่านักลงทุนยังคงมีความเชื่อมั่นต่อการลงทุนในไทย นั่นคือ ดัชนี SET50 Futures ในตลาดอนุพันธ์แห่งประเทศไทย (TFEX) ซึ่งรูปแบบการซื้อขายแบบสัญญาล่วงหน้า โดยในขณะนี้ดัชนี SET50 Futures เคลื่อนไหวสูงกว่าดัชนีอ้างอิงอย่าง SET50 สะท้อนให้เห็นว่านักลงทุนมองทิศทางตลาดในอนาคตเป็นเชิงบวก ซึ่งในวันนี้ดัชนี SET50 Futures สัญญา S50M11 เดือนมิถุนายน 2554 ปิดที่ระดับ 771.40จุด ลดลง 10.20 จุด ในขณะที่ดัชนี SET50 ปิดที่ระดับ 769.91 จุด ลดลง 7.72 จุด โดยดัชนี SET50 Futures ปิดสูงกว่า SET50 ถึง 1.49 จุด
" ตลาดขึ้นมาหลายวัน อาจจะมีพักฐานลงมาบ้าง แต่ต้องดูในระยะกลาง - ยาว เทรนด์หลักของเม็ดเงินต่างชาติยังเป็นบวกต่อหุ้นไทย เพราะถ้าเศรษฐกิจสหรัฐยังไม่แข็งแรง เงินดอลล์ยังอ่อนค่าอยู่อย่างนี้ นักลงทุนในสหรัฐฯย่อมโยกเงินเข้ามาในตลาดเอเชียอยู่ดี " นายศราวุธกล่าว

*** ดีบีเอสฯ มอง เฟดคงดบ. ส่งผลดีต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์และตลาดหุ้น***
นางสาวอาภาภรณ์ แสวงพรรค ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส เปิดเผยถึงกรณีธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 0-0.25% ว่า การพิจารณาคงนโยบายการเงินไว้เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ซึ่งเบื้องต้นจะส่งผลดีต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์และตลาดหุ้นให้ปรับตัวเพิ่มขึ้น เพราะค่าเงินดอลลาร์ยังส่งสัญญาณอ่อนค่าอย่างต่อเนื่อง แต่ต้องจับตาดูต่อไปว่าการใช้นโยบายการเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯในครั้งนี้จะส่งผลอย่างไรต่อภาพรวมเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ ไม่ยืนยันว่าจะทำให้เงินทุนไหลเข้ามาตลาดหุ้นไทยมากขึ้น เพราะต้องขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยทั้งผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในไตรมาสแรกปีนี้ออกมาโดดเด่นเพียงพอที่จะจูงใจให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนหรือไม่


***ASP คาด เฟด เดินหน้า QE2 ต่อ กดดันDollar Index ซึ่งน่าจะหนุนหุ้นโภคภัณฑ์เดินหน้าต่อ***
ด้านบทวิเคราะห์ บล.เอเซียพลัส (ASP )เชื่อว่าเหตุผลของ เฟด ก็เพียงเพื่อต้องการใช้นโยบายดอกเบี้ยต่ำกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไป เนื่องจากปัจจัยเสี่ยงที่ยังมีอยู่รอบด้าน ทั้งเหตุการณ์ภัยธรรมชาติล่าสุดที่เกิดขึ้นในญี่ปุ่นและสงครามกลางเมืองในตะวันออกกลาง แต่อย่างไรก็ตาม เท่ากับเป็นการตอกย้ำถึงทิศทางค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ จะยังคงมีแนวโน้มอ่อนค่าต่อไปเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ของโลก โดยเฉพาะกับสกุลยุโรป เนื่องจากปัจจุบันอัตราเงินเฟ้อในสหรัฐอยู่ในระดับสูง 2.7% เท่ากับสหภาพยุโรป แต่ล่าสุดสหภาพยุโรปขึ้นดอกเบี้ยไปแล้ว 1 ครั้ง 0.25% และยังมีโอกาสเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมครั้งถัดไป ซึ่งเป็นผลให้อัตราผลตอบแทนดอกเบี้ยสุทธิในสหรัฐ ติดลบสูงถึง 2.7% (เงินเฟ้อ 2.7% หักดอกเบี้ย 0-0.25%) เทียบกับของยุโรปติดลบราว 1.45%(เงินเฟ้อ 2.7% หักดอกเบี้ย 1.25%) เป็นเหตุผลสำคัญสนับสนุนให้ค่าเงินยูโรยังมีแนวโน้มแข็งค่าต่อเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐแม้ได้แข็งค่าต่อเนื่องมานานถึง 4 เดือน หรือแข็งค่า 14% แล้วก็ตาม ซึ่งในที่สุดจะกดดันให้ Dollar Index (ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ เทียบกับสกุลคู่ค้าหลัก 6 ประเทศของสหรัฐ) มีแนวโน้มอ่อนตัวต่อและหนุนให้เงินทุนยังคงไหลเข้าสินทรัพย์เสี่ยง ทั้งน้ำมันและหุ้น ในระยะ 1-2 สัปดาห์นับจากนี้ เป็นต้น
กลยุทธ์การลงทุน กรณี เฟด ตัดสินใจเดินหน้าใช้นโยบายการเงินอ่อนตัวต่อ กังวลต่อภาวะเศรษฐกิจโลก มากกว่าเงินเฟ้อ
กดดัน Dollar Index ซึ่งน่าจะหนุนหุ้นโภคภัณฑ์เดินหน้าต่อ แต่น่าจะเป็นจังหวะของการปรับพอร์ตระยะสั้น โดยเฉพาะหุ้นที่มีค่า PER สูงกว่า PER ของตลาด ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 13 เท่า และให้กลับมาซื้อ หรือถือหุ้น Real Sector ที่มี PER ต่ำ และ Dividend Yield ในระดับปานกลางคือ BCP, TPIPL และ GFPT

***กสิกรไทย คาดค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 29.87-30.00 บาท/ดอลล์***
นักค้าเงินจากธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่ากรอบการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทในวันนี้คาดว่าจะแกว่งตัวอยู่ในช่วง 29.87-30.00 บาท/ดอลลาร์ โดยต้องติดตามทิศทางราคาสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะทองคำที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยอาจกดดันการเคลื่อนไหวของค่าเงินในแถบเอเชีย ขณะเดียวกันต้องติดตามสถานการณ์ความเคลื่อนไหวล่าสุดของหนี้สาธารณะในประเทศแถบยูโร
สำหรับค่าเงินบาทวานนี้ปิดตลาดที่ระดับ 29.91-29.93 บาท/ดอลลาร์ โดยระหว่างวันเคลื่อนไหวแข็งค่าสุดที่ 29.87 บาท/ดอลลาร์ และอ่อนค่าสุดที่ 29.93 บาท/ดอลลาร์



-----------------------------------------------------------------------------

Code 405 : จะ Rebound ได้อีกหรือไม่... ลุ้นตาม DJIA

วันพฤหัสที่ 28 เมษายน 2554

ATT Code : จะ Rebound ได้อีกหรือไม่... ลุ้นตาม DJIA
1. เข้าที่.... หลังจากที่ Main Indicators เป็น Sell Signal หมดแล้ว.... แต่ RSI พลิกกลับขึ้นมาได้
2. ระวัง.... จับตา SET ไม่ควรต่ำกว่า 1096.95 หรือ ต่ำกว่า MAV5 ที่ 1100
3. ไป.... ถ้า CandleStick ต่ำกว่า MAV5... SET ก็จะลงไปสู่แนวรับที่ MAV10 ได้ // แต่ถ้ายืนเหนือ 1100 อยู่ ก็อาจจะไปปิด Gap ที่ 1107 ได้




สรุปสภาวะการซื้อขายในวันพุธ 27/04/54 นี้ : Rebound ตามยุโรปและอเมริกา
1. SET ขึ้นมายืนเหนือ MAV5 ที่ 1100 ได้ในช่วงก่อนปิดตลาด... ดูดีขึ้นมาบ้าง
2. ระหว่างวัน CandleStick ปิด GAP 1107 ได้แล้ว... แต่ไม่สามารถยืนอยู่ได้ โดยลงตาม HSKI
3. RSI ขยับขึ้นมาตาม SET
4. Vol > MAV5

แนวโน้มในวันพฤหัสที่ 28/04/54 นี้ : จะ Rebound ได้อีกหรือไม่... ลุ้นตาม DJIA
1. หลังจากที่ RSI เกิด Sell Signal แล้ว.... แต่เมื่อวานมีการ rebound ขึ้นมา มีลุ้นที่ SET จะปรับตัวขึ้นได้ โดยมีแนวต้านที่ 1107
2. SET ยืนเหนือ MAV5 ได้.... มีลุ้นปิด GAP ที่ 1107
3. STO : %K มีอกาสที่จะต่ำกว่าเส้น 80
4. ถ้า SET ย่อลง ก็มีโอกาสที่จะต่ำกว่า MAV5 ได้

โดยที่ตลาดมีกรอบแนวรับ-แนวต้าน ดังนี้
แนวรับ : MAV5. 1100 / MAV10. 1095
แนวต้าน : ปิด GAP 1107 / 1109

-----------------------------------------------------------------------------
MARKET WAVE Analysis
28 เมษ. 54 ( + 4.40 จุด) โกมล พงศ์วิญญู เลขทะเบียน 18338

แกว่งตัวในกรอบ 1091 – 1107 จุด
แนวโน้มวันพฤหัสนี้ ดัชนีน่าจะแกว่งตัวในกรอบเล็ก 1091 - 1107 หรือระหว่างจุดต่ำสุดของวันอังคารถึงจุดสูงสุดของวันพุธ

อย่างไรก็ตาม พอมีความเสี่ยงอยู่บ้างหากมีการปรับตัวลง ต่ำกว่า 1091.29 จุดต่ำสุดของวันอังคาร ดัชนีมีโอกาสปรับตัวลงต่อแถว1075 – 80 จุด (จะกลายเป็นการแกว่งตัวย่ำฐานในกรอบใหญ่ 1070 – 1110)

ขณะที่แนวโน้มหลักของตลาดยังคงเป็น“ขาขึ้น” โดยเฉพาะการปรับตัว เกิน 1113.63จุดสูงสุดของสัปดาห์ที่แล้ว จะถือเป็นสัญญาณการปรับตัวขึ้นอีกครั้งของตลาด มีเป้าหมายเดือน พค. บริเวณ 1185 - 95 จุด ในรูปแบบที่คาดว่าเป็น Double zigzag

หุ้นเด่น
TTA
กำลังปรับตัวในกรอบสามเหลี่ยม ภาพระยะสัปดาห์ รอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 21.60กรอบบนของสามเหลี่ยม เป้าหมายระยะสัปดาห์ 23.60 – 25.00( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 20.70 )

AMATA
กำลังปรับตัวในกรอบสามเหลี่ยม ภาพระยะสัปดาห์ รอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 16.20กรอบบนของสามเหลี่ยม เป้าหมายหนึ่งถึงสองวัน 16.40 – 16.60 / เป้าหมายระยะสัปดาห์ขึ้นไป 20.50 – 25.50( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 15.60 )

BAY
ปรับตัวทะลุกรอบสามเหลี่ยม ภาพระยะเดือนทยอยซื้อแถว 27.75 – 28.25 หรือรอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 28.50 จุดสูงสุดวันพุธเป้าหมายหนึ่งถึงสองวัน 29.00 - 29.25 /เป้าหมายระยะเดือนขึ้นไป 38.00 – 40.00( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 27.25 )

10 อันดับซื้อขายสูงสุด
CPF เกิน 31 ขึ้น 31.50 - 32
JAS ไม่ต่ำกว่า 3.32 ขึ้น 3.60 – 3.86
SCC ไม่ต่ำกว่า 380 ขึ้น 397 – 417
IVL ไม่ต่ำกว่า 53 ขึ้น 55 – 56
MAJOR เกิน 14.70 ขึ้น 14.90 – 15.20
PTT แกว่งตัว 373 – 380
SCB ต่ำกว่า 115 ลง 112 - 114
SUSCO ต่ำกว่า 1.31 ลง 1.21 – 1.25
BBL เกิน 174 ขึ้น 180 – 184
AMATA รายละเอียดใน “หุ้นเด่น”

-----------------------------------------------------------------------------
ถ้อยแถลง เบอร์นันเก้

เบอร์นันเก้คาดศก.สหรัฐโต 3.3% ปีนี้
ย้ำ QE2 ประสบความสำเร็จ คาดตลาดแรงงานฟื้นตัว

เบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ออกแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนภายหลังการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายของเฟด (เอฟโอเอ็มซี) เมื่อวานนี้ โดยเบอร์นันเก้คาดการณ์ว่า อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐจะอยู่ที่ระดับ 3.1-3.3% ในปีนี้ ซึ่งลดลงจากที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ที่ 3.9%

เบอร์นันเก้มีมุมมองที่เป็นบวกต่อแนวโน้มตลาดแรงงานสหรัฐ โดยคาดว่าอัตราว่างงานจะลดลงมาอยู่ที่ระดับ 8.4% ภายในปลายปีนี้ จากปัจจุบันที่ระดับ 8.8% และคาดว่าอัตราว่างงานในปี 2555 จะลดลงสู่ระดับ 7.6-7.9% นอกจากนี้ เบอร์นันเก้ประมาณการว่า ดัชนีการใช้จ่ายด้านการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคล (PCE)ในสหรัฐ ซึ่งเป็นดัชนีวัดเงินเฟ้อ จะอยู่ที่ระดับ 2.1-2.8% เพิ่มขึ้นจากเดิมที่คาดการณ์ไว้ที่ 1.3-1.7% ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมราคาอาหารและพลังงาน คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 1.3-1.6% ในปีนี้ เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ที่ 1.0-1.3%

"อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจจะค่อนข้างอ่อนแอในช่วงไตรมาสแรก แต่สถานการณ์ดังกล่าวจะเกิดขึ้นเพียงระยะสั้นๆเท่านั้น ส่วนตลาดแรงงานกำลังฟื้นตัวขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป และผมมั่นใจว่าตลาดแรงงานจะฟื้นตัวขึ้นอีก" เบอร์นันเก้กล่าวในระหว่างการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ 98 ปีของเฟดที่ประธานเฟดจัดแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน

เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงสถานการณ์ค่าเงินดอลลาร์ เบอร์นันเก้ยืนยันว่า "สกุลเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าและมีเสถียรภาพ" เป็นประโยชน์ต่อสหรัฐ ซึ่งสอดคล้องกับที่นายทิโมธี ไกธ์เนอร์ รมว.คลังสหรัฐได้ออกมายืนยันก่อนหน้านี้ว่า "สหรัฐไม่เคยมีแผนใช้นโยบายที่ทำให้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าเพียงเพื่อจะฉวยข้อได้เปรียบด้านการค้าในตลาดโลก และการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ถือเป็นประโยชน์ของสหรัฐ"

ส่วนเรื่องมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณรอบสอง (QE2) ที่เฟดถูกวิพากษ์วิจารย์อย่างหนักนั้น เบอร์นันเก้ยืนยันว่า มาตรการ QE2 ที่เฟดนำมาใช้เพื่อรับมือกับวิกฤตการเงินและกระตุ้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจนั้น "ประสบความสำเร็จ" เป็นอย่างดี และเมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าเฟดมีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหรือไม่ เบอร์นันเก้กลาวว่า ทุกอย่างจะขึ้นอยู่กับสถานการณ์เงินเฟ้อและการขยายตัวของเศรษฐกิจในอีกหลายเดือนข้างหน้า

เบอร์นันเก้กล่าวว่า การที่เฟดตัดสินใจจะยุติโครงการซื้อพันธบัตรวงเงิน 6 แสนล้านดอลลาร์ในเดือนมิ.ย.ปีนี้นั้น จะไม่ส่งผลกระทบ "อย่างมีนัยสำคัญ" ต่อตลาดการเงินหรือเศรษฐกิจ และเฟดจะยังคงรักษาขนาดของงบดุลบัญชีไว้ที่ระดับเดิมภายหลังเดือนมิ.ย. ด้วยการนำเงินที่ได้รับจากสินทรัพย์ที่ครบกำหนดไถ่ถอนมาลงทุนใหม่ สินทรัพย์ดังกล่าวรวมถึงพันธบัตรและตราสารหนี้ประเภทที่มีสินเชื่อบ้านเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน (MBS) ซึ่งสินทรัพย์เหล่านี้จะครบกำหนดไถ่ถอนในเดือนมิ.ย.

นอกจากนี้ เบอร์นันเก้ส่งสัญญาณว่า เฟดจะยังคงใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไปจนกว่าตัวเลขการจ้างงานจะขยายตัวรวดเร็วขึ้น และจนกว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวแข็งแกร่งพอที่จะต้านทานภาวะสินเชื่อตึงตัวได้

อย่างไรก็ตาม ในระหว่างการแถลงข่าวครั้งนี้ เบอร์นันเก้ยอมรับว่า สหรัฐกำลังเผชิญกับปัญหาหนี้มูลค่ามหาศาล ซึ่งถือเป็นปัญหาเศรษฐกิจที่สำคัญที่สุดที่สหรัฐกำลังเผชิญอยู่ในเวลานี้ สำนักข่าวซินหัวรายงาน


-----------------------------------------------------------------------------

Code 404 : 27/04/54 RSI = Sell Signal... All Main Indicators = Sell Signal

วันพุธที่ 27 เมษายน 2554

ATT Code : RSI = Sell Signal... All Main Indicators = Sell Signal
1. เข้าที่.... หลังจาก MACD เกิด Sell signal แล้ว... เมื่อวาน RSI ก็เกิด Sell Signal ขึ้นแล้ว
2. ระวัง.... จับตา CandleStick ต่ำกว่า MAV10
3. ไป.... ถ้า CandleStick ต่ำกว่า MAV10... SET ก็จะลงไปสู่แนวรับที่ MAV25 ได้




สรุปสภาวะการซื้อขายในวันอังคาร 26/04/54 นี้ : RSI = Sell Signal...
1. SET หลุดแนวรับ MAV5. ที่ 1102 และที่ 1100.... โดย SET ลงมาปิดที่ 1096.95
2. ระหว่างวัน CandleStick ปิด GAP 1095.88 ของวันที่ 19/04/54 แล้ว... แต่ก่อนปิดตลาดก็ Rebound ขึ้นมา โดยทำให้ยังไม่ได้ลงมาปิด GAP
3. RSI ตัดเส้น MAV9 และเส้น 70 ลงมาแล้ว = Sell Signal
4. Vol < MAV5

แนวโน้มในวันพุธที่ 27/04/54 นี้ : Main Indicators = Sell Signal = Bearish
1. หลังจากที่ RSI ต่ำกว่าเส้น MAV9 และเส้น 70 ทำให้เกิด Sell Signal แล้ว.... ก็ทำให้ Main Indicators เป็น Sell Signal
2. SET มีโอกาสที่จะหลุด MAV10 ได้... และมีโอกาสที่จะลงมาปิด GAP ที่ 1095 ได้
3. STO : %K มีอกาสที่จะต่ำกว่าเส้น 80
4. มีโอกาสที่ MAV5 ตัด MAV 10 ลงมาได้... ถ้าเป็นเช่นนั้นก็จะเกิด Dead Cross ได้
5. แต่ถ้า SET กลับขึ้นมายืนเหนือ 1100 ได้... ก็จะกลับมาดูดีอีกครั้ง โดยมี Gap ที่ 1106

โดยที่ตลาดมีกรอบแนวรับ-แนวต้าน ดังนี้
แนวรับ : MAV10. 1094 / MAV25. 1185 / MAV75. 1076
แนวต้าน : MAV5. 1100 / ปิด GAP 1106

-----------------------------------------------------------------------------
MARKET WAVE Analysis
27 เมษ. 54 ( - 8.48 จุด) โกมล พงศ์วิญญู เลขทะเบียน 18338

ไม่ต่ำกว่า 1091.29 ขึ้น 1108 – 13 จุด
ตลาดอยู่ใน “เขตขายมาก” เครื่องมือStochastic ภาพระยะชั่วโมง ดังนั้นแนวโน้มในวันพุธนี้ตราบใดไม่ต่ำกว่า 1091.29 จุดต่ำสุดของวันอังคาร ดัชนีมีโอกาสที่จะปรับตัวกลับขึ้นไปบริเวณ 1108 – 13 ใกล้จุดสูงสุดของสัปดาห์นี้อีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม ตลาดยังอยู่ในช่วงของการปรับฐาน อาจจะต้องใช้ระยะเวลาอีกเป็นสัปดาห์แกว่งตัวย่ำฐานในกรอบประมาณ 1090 – 1110หรือ ระหว่างจุดต่ำสุดถึงจุดสูงสุดของสัปดาห์นี้ในรูปแบบที่อาจจะเป็น Expanding Flat

ขณะที่แนวโน้มหลักยังคงเป็น “ขาขึ้น” โดยเฉพาะการปรับตัว เกิน 1113.63 จุดสูงสุดของสัปดาห์ที่แล้ว จะถือเป็นสัญญาณการปรับตัวขึ้นอีกครั้งของตลาด มีเป้าหมายเดือนพค. บริเวณ 1180 - 90 จุด ในรูปแบบที่คาดว่าเป็น Double zigzag

หุ้นเด่น
JAS
ปรับตัวทะลุกรอบสามเหลี่ยม ภาพระยะชั่วโมง ทยอยซื้อแถว 3.34 – 3.38 หรือรอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 3.46 จุดสูงสุดวันอังคารเป้าหมายระยะสัปดาห์ 3.60 – 3.86( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 3.28 )

SCC
กำลังปรับตัวในกรอบสามเหลี่ยม ภาพระยะวัน รอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 384 กรอบบนของสามเหลี่ยม เป้าหมายระยะสัปดาห์397 - 417( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 377 )

10 อันดับซื้อขายสูงสุด
JAS รายละเอียดใน “หุ้นเด่น”
BBL เกิน 172.50 ขึ้น 181 – 184
BANPU ต่ำกว่า 748 ลง 730 - 740
SCB เกิน 118.50 ขึ้น 127 -129
PTT เกิน 378 ขึ้น 385 – 387
CPF เกิน 30 ขึ้น 31 – 31.50
KTB เกิน 20.40 ขึ้น 20.50 – 20.70
THAI เกิน 41.25 ขึ้น 42.50 – 43
IRPC แกว่งตัว 6.20 – 6.45
PTTEP เกิน 187.50 ขึ้น 189 – 190

-----------------------------------------------------------------------------

Code 403 : 26/04/54 MACD = Sell Signal... RSI จะเกิด Sell Signal หรือไม่

วันอังคารที่ 26 เมษายน 2554

ATT Code : MACD = Sell Signal... RSI จะเกิด Sell Signal หรือไม่
1. เข้าที่.... หลังจาก Sto เกิด Sell signal แล้ว... เมื่อวาน MACD ก็เกิด Sell Signal ขึ้นแล้ว
2. ระวัง.... จับตา RSI จะตัดเส้น MAV9 ลงมาเป็น Sell Signal
3. ไป.... ถ้า RSI เกิด Sell Signal... ก็จะทำให้ Main Indicators ทุกตัว และ SET มีโอกาสที่จะหลุด 1100 ได้




สรุปสภาวะการซื้อขายในวันจันทร์ 25/04/54 นี้ : MACD = Sell Signal...
1. SET ไม่สามารถผ่าน 1107 ขึ้นมาได้ แต่ก็ยังดีที่ยังไม่หลุดต่ำกว่า 1104
2. MACD ตัดเส้น Signal ลงมาแล้ว = Sell Signal
3. RSI เกือบตัดเส้น MAV9 ลงมา.... รอดูพรุ่งนี้
4. Vol < MAV5
5. CandleStick ยังบอกอะไรได้ไม่ชัดเจน

แนวโน้มในวันอังคารที่ 26/04/54 นี้ : MACD = Sell Signal... RSI จะเกิด Sell Signal หรือไม่
1. หลังจากที่ MACD ตัดเส้น Signal ลงมาเป็น Sell Signal แล้ว... รอดูวันนี้ว่า RSI จะเกิด Sell Signal หรือไม่
2. CandleStick ต่ำกว่า 1105... แนวโน้ม SET มีโอกาสลงไปได้ที่ 1100
3. ถ้า RSI เกิดเป็น Sell Signal ... แนวโน้ม SET มีโอกาสลงไปต่ำกว่า 1100 ได้ แนวรับ MAV10 = 1093

โดยที่ตลาดมีกรอบแนวรับ-แนวต้าน ดังนี้
แนวรับ : 1104 / MAV5. 1102 / MAV10. 1093
แนวต้าน : 1107 / 1111 / 1113

-----------------------------------------------------------------------------
MARKET WAVE Analysis
26 เมษ. 54 ( +0.14 จุด) โกมล พงศ์วิญญู เลขทะเบียน 18338

มีโอกาสปรับตัวลง 1081 – 91 จุด
ดัชนีปรับตัวลงต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ย 25ชั่วโมง ถือเป็นสัญญาณที่ไม่ดีในระยะสั้น และมีความเสี่ยงที่จะปรับตัวลงต่อแถว 1081 – 1091ใกล้จุดต่ำสุด 19 มษ.

และ ตลาดอาจจะต้องใช้ระยะเวลาอีกเป็นสัปดาห์ แกว่งตัวย่ำฐานในกรอบประมาณ1080 – 1110 หรือระหว่างจุดต่ำสุดถึงจุดสูงสุดของสัปดาห์ที่แล้ว ในรูปแบบที่อาจจะเป็นExpanding Flat

ขณะที่แนวโน้มหลักยังคงเป็น “ขาขึ้น”โดยเฉพาะการปรับตัว เกิน 1113.63 จุดสูงสุดของสัปดาห์ที่แล้ว จะถือเป็นสัญญาณการปรับตัวขึ้นอีกครั้งของตลาด มีเป้าหมายเดือนพค. บริเวณ 1180 - 90 จุด ในรูปแบบที่คาดว่าเป็น Double zigzag

หุ้นเด่น
LPN
กำลังปรับตัวในกรอบสามเหลี่ยม ภาพระยะสัปดาห์ รอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 10.80กรอบบนของสามเหลี่ยม เป้าหมายระยะสัปดาห์ 11.60 – 12.10( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 10.30 )

SCB
ปรับตัวทะลุกรอบสามเหลี่ยม ภาพระยะวันขึ้นมาได้ รอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 118.50จุดสูงสุดวันจันทร์ เป้าหมายระยะสัปดาห์127.00 – 129.00( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 116.00 )

10 อันดับซื้อขายสูงสุด
BBL เกิน 177.50 ขึ้น 182 – 184
IRPC ต่ำกว่า 6.30 ลง 6.05 – 6.15
SCB รายละเอียดใน “หุ้นเด่น”
CPF ต่ำกว่า 29.50 ลง 28.25 – 28.75
BANPU ต่ำกว่า 756 ลง 730 - 740
HEMRAJ ต่ำกว่า 2.16 ลง 2 – 2.06
PS ไม่เกิน 21.20 ลง 20.40 – 20.60
SCC เกิน 384 ขึ้น 397 – 417
JAS แกว่งตัว 3.20 – 3.36
KBANK แกว่งตัว 126 – 130

-----------------------------------------------------------------------------
EFinance Thai : PS-SPALI-LPNกรี๊ดสลบ!!
คลังอัดแคมเปญบ้านหลังแรก ดันยอดขายที่อยู่อาศัยพุ่ง
หุ้นอสังหาฯรับส้มหล่นเข่งเบ้อเริ่ม!! หลังรัฐบาลประกาศอัดแคมเปญ"บ้านหลังแรก"และ"แปลงค่าเช่าเป็นซื้อ" หนุนประชาชนแห่ซื้อ-โอน ที่อยู่อาศัยราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท ชี้ PS- SPALI - LPN ได้ประโยชน์มากสุด เหตุมีโครงการสร้างเสร็จและพร้อมโอนมากสุด แถมเป็นเจ้าพ่อตลาดบ้านระดับกลาง-ล่าง
หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์กลับมาคึกคักอีกครั้ง หลังจากที่ก่อนหน้านี้ถูกกดดันจากดอกเบี้ยขาขึ้นที่ฉุดกำลังซื้อบ้านของประชาชน และมาตรการ LTV ของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เพราะล่าสุดรัฐบาลเตรียมประกาศเปิดตัวโครงการบ้านหลังแรกและโครงการแปลงเช่าเป็นซื้อ ผ่านธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ซึ่งจะช่วยหนุนผู้ประกอบการในกลุ่มอสังหาฯให้สามารถขายบ้านได้มากขึ้น
สำหรับโครงการบ้านหลังแรก ผู้ซื้อบ้านราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท จะได้ดอกเบี้ย 0% เป็นเวลา 2 ปี พร้อมทั้งยกเว้นค่าธรรมเนียมจดจำนอง และการโอน 3% ให้กู้เป็นเวลา 30 ปี มีวงเงินให้กู้ทั้งหมด 5 หมื่นล้านบาท ส่วนโครงการแปลงเช่าเป็นซื้อ เพื่อให้ประชาชนสามารถมีบ้านเป็นของตนเองได้ง่ายขึ้น สำหรับผู้ที่เข้าถึงระบบสินเชื่อได้ยาก โดยโครงการดังกล่าวจะแทนค่าเช่าที่จะต้องเสียในแต่ละเดือนซึ่งผู้กู้จะต้องซื้อบ้านราคาไม่เกิน 1.5 ล้านบาท และจ่ายค่าเช่าอยู่แล้วไม่เกิน 10,000 บาทต่อเดือน เพื่อเป็นการช่วยเหลือประชาชนให้มีบ้านหลังแรกได้ง่ายขึ้น
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ประเมินว่าหุ้นอสังหาฯที่ได้ประโยชน์จากนโยบายดังกล่าวมากสุด ประกอบด้วย PS -SPALI และ LPN เนื่องจากมีสินค้าประเภทที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทมาก รวมทั้งมีโครงการสร้างเสร็จและพร้อมโอนภายในสิ้นปีนี้มากสุด ส่งผลให้วันนี้ราคาหุ้นทั้ง 3 บริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้นแรง โดย PS ปิดตลาดที่ระดับ 21 บาท เพิ่มขึ้น 1.60 บาท หรือ 8.25% มีมูลค่าการซื้อขาย 753.94 ล้านบาท ราคา SPALI ปิดที่ 12 บาท เพิ่มขึ้น 0.90 บาท หรือ 8.11% มีมูลค่าการซื้อขาย 544.56 ล้านบาท และราคา LPN ปิดที่ 10.70 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท หรือ 4.90% มีมูลค่าซื้อขาย 304.69 ล้านบาท

***** PS คาดรับอานิสงส์ตั้งแต่ Q2/54 เป็นต้นไป
นายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตทจำกัด (มหาชน) หรือ PS เปิดเผยกับ eFinanceThai.com ว่า การที่รัฐบาลออกโครงการบ้านหลังแรกด้วยการยกเว้นดอกเบี้ยในช่วง 2 ปีแรกของการผ่อน สำหรับผู้ที่ซื้อบ้านในราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาทนั้นจะส่งผลดีต่อประชาชนที่มีรายได้ปานกลาง-น้อย ที่อยากมีบ้านเป็นของตัวเองเพื่อเข้าอยู่จริง ซึ่งบริษัทฯ เองก็จะได้ประโยชน์จากโครงการดังกล่าวเช่นกัน เนื่องจากปัจจุบันโครงการบ้านและคอนโดมิเนียมของ PS มากถึง 90% มีราคาเฉลี่ยอยู่ที่1.8-1.9 ล้านบาท และบริษัทมีส่วนแบ่งการตลาดบ้านราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาทถึง 20% เป็นอันดับ 1 ในตลาด คาดว่า หากโครงการผ่านมติของคณะรัฐมนตรีและเริ่มเปิดให้บริการในวันที่ 1 พฤษภาคมก็น่าจะทำให้บริษัทรับผลดีตั้งแต่ไตรมาส 2 คาบเกี่ยวถึงต้นไตรมาส 3/54 เพราะวงเงินมีประมาณ 50,000 ล้านบาท
' น่าจะเป็นข่าวดีสำหรับผู้บริโภคที่มีรายได้ระดับกลาง-น้อย เพราะเขาสามารถประหยัดเงินได้ถึง8%ภายใน 2 ปี จากการที่ไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ยใน 2 ปีแรก เพราะปัจจุบัน MLR-1 และที่สำคัญพอร์ตเราส่วนใหญ่อยู่ตรงนี้ ' นายประสริฐ กล่าว
ทั้งนี้ คาดว่ายอดขายในไตรมาสแรกปีนี้จะอยู่ที่ประมาณ 8.5 พันล้านบาท ลดลงจากไตรมาสแรกปีก่อน แต่ยังเชื่อมั่นว่ายอดขายทั้งปีจะเข้าเป้าที่ 4.2 หมื่นล้านบาทตามที่ตั้งไว้เมื่อต้นปี โดยล่าสุดรัฐบาลก็ได้ออกโครงการซื้อบ้านหลังแรกราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท ปลอดดอกเบี้ย 2 ปีแรก ก็จะช่วยกระตุ้นยอดขายได้ในภาวะที่เงินเฟ้อสูง ดอกเบี้ยขาขึ้น

***** SPALI มั่นใจยอดขายพุ่งกระฉูด
นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการบริหาร บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ SPALI เปิดเผยกับ eFinanceThai.com ว่า โครงการบ้านหลังแรกของรัฐบาลน่าจะเอื้อต่อยอดขายของบริษัทในครึ่งปีหลัง โดยบริษัทมีที่อยู่อาศัยราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาทประมาณ 50-60% ของพอร์ต จึงเป็นอีก 1 บริษัทที่ได้รับผลดีจากโครงการดังกล่าว และมีส่วนแบ่งการตลาดในที่อยู่อาศัยราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาทประมาณ 7-8%
อย่างไรก็ตาม บริษัทจะยังไม่มีการปรับเพิ่มเป้าหมายยอดขายทั้งปี แม้จะมีสถานการณ์เข้ามาเอื้ออำนวยก็ตาม เพราะจะต้องรอดูผลบวกที่เกิดขึ้นกับบริษัทก่อน ซึ่งน่าจะเกิดในครึ่งหลังปีนี้
สำหรับ ยอดขายในไตรมาสแรกปีนี้ดีเกินคาด อยู่ที่กว่า 4,000 ล้านบาท จากที่ตั้งไว้เพียง 4,000 ล้านบาท เนื่องจากลูกค้ามีการทยอยโอนต่อเนื่อง และล่าสุด ภาครัฐมีโครงการบ้านหลังแรกก็น่าจะช่วยกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ได้ เพราะเป็นการช่วยเหลือประชาชนที่ต้องการบ้านหลังแรกเพื่อเข้าอยู่จริง

***** LPN ชี้ได้ประโยน์ 100% เหตุขายบ้านราคาต่ำกว่า 3 ลบ.
นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทแอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด(มหาชน)หรือ LPN เปิดเผยว่า บริษัทจะได้รับผลดีหากรัฐออกมาตรการปล่อยกู้ดอกเบี้ย 0% ในช่วง 2 ปีแรก สำหรับผู้ที่ซื้อที่อยู่อาศัยราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท เนื่องจากลูกค้าที่มีอยู่ทั้งหมดเป็นลูกค้าที่ซื้อบ้านต่ำกว่าราคา 3 ล้านบาท
"กลุ่มเรา ได้ประโยชน์ทั้ง 100% เพราะลูกค้าทั้งหมดที่มีต่ำกว่า 3 ล้านบาท แต่สุดท้ายก็ขึ้นอยู่กับ backlog ว่า ของค่ายไหนจะโอนได้มากน้อยอย่างไร"นายโอภาส กล่าว
ทั้งนี้ มองว่าโครงการบ้านหลังแรกของรัฐบาลเป็นเรื่องที่ดี ที่จะกระตุ้นให้แบงก์เอกชนมีการปรับตัว และปรับเปลี่ยนแพ็คเกจสินเชื่อที่อยู่อาศัยให้เหมาะสมและแข่งขันกับธนาคารอาคารสงเคราะห์(ธอส.)ได้ ในภาวะที่ดอกเบี้ยเป็นขาขึ้น
นายโอภาส กล่าวต่อว่า สำหรับผลประกอบการไตรมาส 1/54 ของ LPN ทั้งกำไรสุทธิและรายได้ คาดว่าจะดีกว่างวดเดียวกันปีก่อน เนื่องจากมีการโอนโครงการขนาดใหญ่ ซึ่งก่อสร้างเสร็จแล้ว โดยในไตรมาส 1/54 บริษัทมียอดขายประมาณ 3.6 พันล้านบาท ขณะที่ทั้งปีนี้บริษัทคาดรายได้อยู่ที่ 1.2 หมื่นล้านบาท ซึ่งการรับรู้รายได้ในปีนี้ จะมาจากยอดขายที่รอการโอน 9.6 พันล้านบาท จากปัจจุบันที่มีประมาณ 1 หมื่นล้านบาท ที่เหลือจะมาจากโครงการที่มีการก่อสร้างเสร็จแล้ว ขณะที่ทั้งปีนี้ บริษัทจะมีการเปิดโครงการใหม่ ประมาณ 10 โครงการ มูลค่ารวม 1.6 หมื่นล้านบาท

***** เคจีไอ-ฟินันเซีย ไซรัส แนะซื้อ PS-LPN-SPALI
บทวิเคราะห์หลักทรัพย์จาก บล.เคจีไอ เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังเดินหน้าจัดหาที่อยู่อาศัยให้แก่ประชาชน ผ่านโครงการบ้านหลังแรก และโครงการแปลงเช่าเป็นซื้อ ผ่านธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) โดยโครงการบ้านหลังแรก ผู้ซื้อบ้านราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท จะได้ดอกเบี้ย 0% เป็นเวลา 2 ปี พร้อมทั้งยกเว้นค่าธรรมเนียมจดจำนอง และการโอน 3% ให้กู้เป็นเวลา 30 ปี มีวงเงินให้กู้ทั้งหมด 5 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้ ผู้สนใจสามารถเปิดให้ยื่นคำขอกู้กับ ธอส. ระหว่าง 1 พ.ค.- 30 ธ.ค. 2554 และทำนิติกรรมภายใน 1 พ.ค.2555 สำหรับโครงการแปลงเช่าเป็นซื้อ เพื่อให้ประชาชนสามารถมีบ้านเป็นของตนเองได้ง่ายขึ้น สำหรับผู้ที่เข้าถึงระบบสินเชื่อได้ยาก โดยโครงการดังกล่าวจะแทนค่าเช่าที่จะต้องเสียในแต่ละเดือนซึ่งผู้กู้จะต้องซื้อบ้านราคาไม่เกิน 1.5 ล้านบาท และจ่ายค่าเช่าอยู่แล้วไม่เกิน 10,000 บาทต่อเดือน เพื่อเป็นการช่วยเหลือประชาชนให้มีบ้านหลังแรกได้ง่ายขึ้น
ทั้งนี้ มาตรการดังกล่าว เป็นบวกต่อผู้ประกอบการอสังหาฯ ที่มีสินค้าในกลุ่มราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท โดยเฉพาะ PS LPN และSPALI ซึ่งมีฐานลูกค้าแข็งแกร่งในตลาดระดับกลางถึงล่าง แนะนำซื้อ PS LPN และSPALI โดยมีราคาเป้าหมาย 31.00, 13.00 และ16.00 บาทตามลำดับ
บทวิเคราะห์หลักทรัพย์จาก บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุว่า นโยบายที่อยู่อาศัยของกระทรวงคลัง โดยมีมาตรการโครงการบ้านหลังแรก ราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทจะได้อัตราดอกเบี้ย 0% เป็นเวลา 2 ปี และยกเว้นค่าธรรมเนียมจดจำนองและการโอน 3% ให้กู้ 30 ปี วงเงินรวม 5 หมื่นล้านบาท เป็นมาตรการที่ช่วยเหลือประชาชนรายได้ต่ำ-ปานกลาง ซึ่งเป็นผู้ที่ต้องการที่อยู่อาศัยจริง (Real demand) โดยคาดว่าผู้ประกอบการที่ได้ประโยชน์คือ PS, SPALI, LPN เนื่องจากมีโครงการสร้างเสร็จและพร้อมโอนภายในสิ้นปีนี้มากที่สุด

-----------------------------------------------------------------------------

Code 402 : 25/04/54 รอ MACD กับ RSI ตัดลงเป็น Sell Signal

วันจันทร์ที่ 25 เมษายน 2554

ATT Code : รอ MACD กับ RSI ตัดลงเป็น Sell Signal
1. เข้าที่.... SET ไม่สามารถผ่าน 1111 มาได้ ทำให้หลุด 1107 ลงไปด้วย
2. ระวัง.... SET หลุด 1104
3. ไป.... ถ้าต่ำกว่า 1104 ก้จะลงมาที่ 1100 ได้.... แต่ถ้าสูงกว่า 1107 ก็มองไปที่ 1111




สรุปสภาวะการซื้อขายในวันศุกร์ 22/04/54 นี้ : หลุด 1107 แต่ไม่ต่ำกว่า 1104
1. SET ไม่สามารถผ่าน 1111 มาได้ ทำให้ ลงไปทดสอบแนวรับที่ 1100 แต่สามารถขึ้นมายืนเหนือ 1104 ได้ โดยปิดที่ 1105.29
2. MACD กับ RSI มีค่าลดลง เกือบที่จะตัดลงเป็น Sell Signal... รอลงอีกนิดนึง
3. Volume, STO.... เป็น Sell Signal แล้ว
4. หลังจากที่ %R และ CCI เข้ามาอยู่ในเขต Overbought... และวันนี้ก็เกิดเป็น Sell Signal แล้ว
5. CandleStick ต่ำกว่า 1107... ดูไม่ดี

แนวโน้มในวันศุกร์ที่ 22/04/54 นี้ : รอ MACD กับ RSI ตัดลงเป็น Sell Signal
1. มีโอกาสที่ Main Indicators 2 ตัว คือ MACD และ RSI ตัดลงมาเป็น Sell Signal... ถ้ามี Sell Signal เกิดขึ้น SET ก็อาจจะหลุด 1100 ได้
2. CandleStick ต่ำกว่า 1107... แนวโน้มมีโอกาสลงได้อีก
3. หลังจากที่ %R และ CCI ตัดลงมาเป็น Sell Signal แล้ว... มีแนวโน้มที่จะตัดลงมากกว่านี้อีก

โดยที่ตลาดมีกรอบแนวรับ-แนวต้าน ดังนี้
แนวรับ : 1104 /1100
แนวต้าน : 1107 / 1111


-----------------------------------------------------------------------------
MARKET WAVE Analysis
25 เมษ. 54 ( - 4.63 จุด) โกมล พงศ์วิญญู เลขทะเบียน 18338

ไม่เกิน 1113.63 ปรับตัวลง 1080 – 90จุด
จากสภาวะ RSI Overbought ในภาพระยะวัน ดัชนีมีความเสี่ยงที่จะปรับตัว“ชั่วคราว” กลับลงไปบริเวณ 1080 – 90 ใกล้จุดต่ำสุดของสัปดาห์ที่แล้ว และตลาดอาจจะต้องใช้ระยะเวลาอีกเป็นสัปดาห์ แกว่งตัวย่ำฐานในกรอบประมาณ 1080 – 1110 หรือระหว่างจุดต่ำสุดถึงจุดสูงสุดของสัปดาห์ที่แล้ว ในรูปแบบที่อาจจะเป็น Expanding Flat

ขณะที่แนวโน้มหลักยังคงเป็น “ขาขึ้น”โดยเฉพาะการปรับตัว เกิน 1113.63 จุดสูงสุดของสัปดาห์ที่แล้ว จะถือเป็นสัญญาณการปรับตัวขึ้นอีกครั้งของตลาด มีเป้าหมายเดือนพค. บริเวณ 1180 - 90 จุด ในรูปแบบของDouble zigzag

หุ้นเด่น
BLAND
กำลังปรับตัวในกรอบสามเหลี่ยม ภาพระยะวัน รอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 0.80 กรอบบนของสามเหลี่ยม เป้าหมายระยะสัปดาห์
0.92 – 0.98( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 0.76 )

LH
ปรับตัวทะลุกรอบสามเหลี่ยม ภาพระยะวันขึ้นมาได้ รอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 7.05 จุดสูงสุดวันศุกร์ เป้าหมายระยะสัปดาห์7.60 – 7.70( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 6.85 )

10 อันดับซื้อขายสูงสุด
BANPU ต่ำกว่า 762 ลง 750 - 754
CPF ไม่เกิน 29.75 ลง 28.25 – 28.75
JAS ไม่ต่ำกว่า 3.10 ขึ้น 3.56 – 3.66
HEMRAJ ต่ำกว่า 2.18 ลง2 – 2.10
IRPC เกิน 6.35 ขึ้น 6.40 – 6.50
BBL ต่ำกว่า 176 ลง 171 – 173
IVL ไม่ต่ำกว่า 55 ขึ้น 64.50 – 66.50
TOP ต่ำกว่า 84.50 ลง 81 – 83
KTB ไม่ต่ำกว่า 19.90 ขึ้น 21 – 21.30
PTT ต่ำกว่า 378 ลง 369 - 372

-----------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย

-----------------------------------------------------------------------------

Code 401 : 22/04/54 จะผ่าน 1111 หรือจะลงมาที่ 1100

วันศุกร์ที่ 22 เมษายน 2554

ATT Code :จะผ่าน 1111 หรือจะลงมาที่ 1100

1. เข้าที่.... SET ไม่สามารถผ่าน 1111 มาได้ ทำให้ CandleStick เกิดเป็น Hanging Man
2. ระวัง.... SET ย้อนกลับลงมาปิดต่ำกว่า 1104-1007... แต่ถ้าไม่ย้อนลงก็ มองไปที่ 1111 จุด อีกครั้ง
3. ไป.... ถ้าต่ำกว่า 1104 ก้จะลงมาที่ 1100 ได้.... แต่ถ้าสูงกว่า 1111 ก็มองไปที่ 1117





สรุปสภาวะการซื้อขายในวันพฤหัส 21/04/54 นี้ : ยังไม่สามารถผ่าน 1111 ไปได้ แต่ Main Indicators ยังดูดีอยู่
1. SET ปิด 1,109.92 ไม่สามารถปิดเหนือ 1111 ได้
2. MACD มีค่าเพิ่มขึ้นอีก... และ MACD Osc ก็เริ่มแข็งแรงขึ้นตามมา
3. Volume, STO และ RSI ยืนยันความแข็งแรง
4. STO, RSI, %R และ CCI เข้ามาอยู่ในเขต Overbought... ยังไม่เป็นไร แต่ %R และ CCI เริ่มย่อลงมาแล้ว
5. CandleStick เกิดเป็น Hanging Man

แนวโน้มในวันศุกร์ที่ 22/04/54 นี้ : จะผ่าน 1111 หรือจะลงมาที่ 1100
1. Main Indicators ทุกตัวแข็งแรงดี.... ลุ้น SET ไปต่อได้...
2. แต่ CandleStick เป็น Hanging Man ทำให้ SET มีโอกาสที่จะกลับตัวลงมาได้
3. ให้จับตาดูว่า %R และ CCI ที่เริ่มย่อลงมาแล้ว.... จะตัดลงมาเป็น Sell Signal หรือไม่

โดยที่ตลาดมีกรอบแนวรับ-แนวต้าน ดังนี้
แนวรับ : 1107 /1104 /1100
แนวต้าน : 1111 / 1117 /1120

-----------------------------------------------------------------------------
MARKET WAVE Analysis

22 เมษ. 54 ( +2.56 จุด) โกมล พงศ์วิญญู เลขทะเบียน 18338
ไม่ต่ำกว่า 1100.87 ยังปรับตัวขึ้นต่อได้
จากสภาวะ RSI Overbought ในภาพระยะวัน ถ้าต่ำกว่า 1100.87 จุดต่ำสุดของวันพุธ

ดัชนีมีความเสี่ยงที่จะปรับตัว “ชั่วคราว” กลับลงไปบริเวณ 1080 – 90 ใกล้จุดต่ำสุดของสัปดาห์นี้ และตลาดอาจจะต้องใช้ระยะเวลาอีกสักระยะ แกว่งตัวย่ำฐานในกรอบประมาณ 1080– 1110 หรือระหว่างจุดต่ำสุดถึงจุดสูงสุดของสัปดาห์นี้ ในรูปแบบที่อาจจะเป็น ExpandingFlat

แต่ตราบใด ไม่ต่ำกว่า 1100.87 จุดต่ำสุดของวันพุธ ดัชนีมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อและมีเป้าหมายเดือน พค. บริเวณ 1160 - 90 จุด ในรูปแบบของ Double zigzag

หุ้นเด่น
IVL
ปรับตัวทะลุกรอบสามเหลี่ยม ภาพระยะวันขึ้นมาได้ ทยอยซื้อแถว 55.00 – 55.50 หรือรอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 56.50 จุดสูงสุดวันพฤหัส เป้าหมายระยะสัปดาห์ขึ้นไป64.50 – 66.50( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 54.50 )

KBANK
ปรับตัวทะลุกรอบสามเหลี่ยม ภาพระยะชั่วโมง รอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 130.00จุดสูงสุดวันพฤหัส เป้าหมายหนึ่งถึงสองวัน132.00 – 134.00( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 127.50 )

10 อันดับซื้อขายสูงสุด
BBL ไม่ต่ำกว่า 176.50 ขึ้น 182 – 183
BANPU แกว่งตัว 768 - 786
IVL รายละเอียดใน “หุ้นเด่น”
CPF ไม่ต่ำกว่า 28 ขึ้น 30 – 31
IRPC แกว่งตัว 6.05 – 6.30
PTT ต่ำกว่า 382 ลง 378 – 380
TOP ต่ำกว่า 85 ลง 81 – 83
JAS ไม่ต่ำกว่า 3 ขึ้น 3.56 – 3.66
BAY เกิน 28.25 ขึ้น 28.75 – 29.25
KTB ไม่ต่ำกว่า 19.60 ขึ้น 21 – 21.30


-----------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย
แบงก์เจ๋ง Q1/54 กำไรโต 47.88%
กลุ่มแบงก์โชว์ผลงาน Q1/54 แจ่มกำไรโต 47.88% สูงเกินคาด SCB โตสุด 104.73% ขณะที่ KK รั้งท้ายกำไรหดกว่า 26.07%ด้านโบรกฯคาด แนวโน้ม Q2/54 ผลงานโตต่อเนื่อง ตามการขยายตัวของสินเชื่อ แถมรับอานิสงส์ ทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้น แนะซื้อ BBL, KBANK, KTB และ SCB
เข้าสู่ช่วงเทศกาลประกาศผลงานไตรมาส 1/54 ของบริษัทจดทะเบียนกลุ่มแรกที่ประกาศคือกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ล่าสุดประกาศมาแล้ว 10 แห่ง ประกอบด้วย ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BBL) ธนาคาร กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) (KBANK) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)(SCB) และ ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) (TMB) ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) (KK) บริษัท ทุนธนชาต จำกัด (มหาชน) (TCAP) บริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป จำกัด (มหาชน)(TISCO) ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) (CIMBT) และธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)(KTB) และธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)(BAY)
ปรากฎว่ามีกำไรเพิ่มขึ้น 47.88% โดยมีกำไรรวม 37,886.26 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไร 25,619.42 ล้านบาท กำไรเพิ่มขึ้น 12,266.84 ล้านบาท
ทั้งนี้ พบว่า ธนาคารพาณิชย์ 3 อันดับแรกที่มีผลประกอบการเติบโตโดดเด่นสุดในกลุ่ม เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน โดยเฉพาะSCB ที่มีกำไรเพิ่มขึ้น ถึง 104.73% โดย Q1/54 มีกำไร 13,051.29 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6,676.58 ล้านบาท จากQ1/53 ที่มีกำไร 6,374.71 ล้านบาท ขณะที่ KTB มีกำไรอันดับ 2 กำไรเพิ่มเป็น 78.53% โดยQ1/54 มีกำไร 5,488.76 ล้านบาท จาก Q1/53 มีกำไร 3,074.30 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2414.46 ล้านบาท ตามมาด้วย KBANK โดยQ1/54 มีกำไร 6,113.88 ล้านบาท จาก Q1/53 ที่มีกำไร 4,105.67 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2008.21 ล้านบาทหรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 48.91%
อย่างไรก็ตาม TMB และ BAY ถือเป็นแบงก์ที่มีกำไรเพิ่มขึ้นสูงกว่า30% โดย TMB มีกำไรเพิ่มขึ้น 38.79% โดยกำไร Q1/54 อยู่ที่ 1,095.78 ล้านบาท จาก Q1/53 มีกำไร 789.51 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 306.27 ล้านบาท ขณะที่ BAY มีกำไรเพิ่มขึ้น 35.67% โดยใน Q1/54 มีกำไร 2,808.14 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไร 2,069.70 ล้านบาท กำไรเพิ่มขึ้น 738.44 %
ด้าน TISCO มีกำไร Q1/54 อยู่ที่ 828.59 ล้านบาทจาก Q1/53 มีกำไร 712.27 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 116.32 ล้านบาทหรือ 16.33% ขณะที่ BBL มีกำไรเพิ่มขึ้น 8.11% โดยในQ1/54 มีกำไร 6,468.80 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 485.73 ล้านบาทกจาก Q1/53 มีกำไร 5,983.07 ล้านบาท
ขณะที่ ธนาคารพาณิชย์ 3 อันดับแรกที่มีผลประกอบการชะลอตัวสุดในกลุ่ม เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน โดยเฉพาะ KKที่มีกำไรลดลงมากสุด 26.07% โดย Q1/54 มีกำไร 605.18 ล้านบาท ลดลงจาก Q1/53 ที่มีกำไร 818.68 ล้านบาท กำไรลดลง 213.5 ล้านบาท ตามาด้วย CIMBT กำไรลดลง 19.11% จากQ1/54 ที่มีกำไร281.58 ล้านบาทลดลงจาก Q1/53 ที่มีกำไร 348.13 ล้านบาท กำไรลดลง 66.55 ล้านบาท และTCAP กำไรลดลง 14.82% จาก Q1/54 มีกำไร 1,144.26 ล้านบาท จากQ1/53 มีกำไร 1,343.38 ล้านบาทลดลง 199.12 ล้านบาท
อย่าไงรก็ตามความเคลื่อนไหวของหุ้นกลุ่มแบงก์วานนี้(21 เม.ย.54) มีทั้งเคลื่อนไหวในแดนบวกและแดนลบ โดย BAY -KTB KBANK และTISCO ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่น ขณะที่ BBL-TCAP TMB ปรับตัวลดลง ส่วน SCB และ CIMBT ราคาไม่เปลี่ยนแปลง

โดยBBL ปิดที่ 177.50 บาท ลดลง 5.00 บาท หรือ 2.74% มูลค่าการซื้อขาย 4,492.20ล้านบาท
KTB ปิดที่ 20.20 บาท เพิ่มขึ้น 0.40 บาทหรือ 2.02% มูลค่าการซื้อขาย 1,341.84 ล้านบาท
KBANK ปิดที่ 130.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.50บาท หรือ 1.17% มูลค่าการซื้อขาย 1,176.13 ล้านบาท
SCB ปิดที่ 116.00 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง มูลค่าการซื้อขาย 916.15 ล้านบาท
TMB ปิดที่ 2.34 บาท ลดลง 0.02 บาท หรือ 0.85% มูลค่าการซื้อขาย 314.09 ล้านบาท
BAY ปิดที่ 28.25บาท เพิ่มขึ้น0.75 บาทหรือ 2.73% มูลค่าการซื้อขาย 1,350.15ล้านบาท
KK ปิดที่ 35.75บาท ลดลง 0.50 บาท หรือ 1.38 % มูลค่าการซื้อขาย 129.72 ล้านบาท
TCAP ปิดที่ 31.75 บาท ลดลง 1.00 บาท หรือ 3.05% มูลค่าการซื้อขาย 739.42 ล้านบาท
TISCO ปิดที่ 41.50บาท เพิ่มขึ้น 0.25 บาท หรือ 0.61 % มูลค่าการซื้อขาย 135.56 ล้านบาท
CIMBT ปิดที่ 3.30บาท ไม่เปลียนแปลง มูลค่าการซื้อขาย 7.87ล้านบาท
ขณะที่ SET Index ปิดที่ 1,109.92จุด เพิ่มขึ้น 2.56จุด หรือ 0.23% มูลค่าการซื้อขาย 46,289.37ล้านบาท

***โบรกฯ ระบุ ผลงานกลุ่มแบงก์Q1/54สูงเกินคาด แนะซื้อ BBL, KBANK, KTB และ SCB ***
นักวิเคราะห์ บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า การประกาศผลประกอบการของธนาคารพาณิชย์ในไตรมาส 1/54 ถือว่าส่วนใหญ่มีผลประกอบการสูงกว่าที่คาด แต่ขณะเดียวกันก็มีบางแห่งที่ต่ำกว่าที่คาดไว้เช่นกัน อาทิ BBL และ TCAP เป็นต้น โดยในไตรมาสดังกล่าว ยอดสินเชื่อเดือนขยายตัวได้ดีอย่างต่อเนื่อง ขณะที่สภาพคล่องในระบบเริ่มดีขึ้น จากปริมาณเงินฝากที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก
ส่วนแนวโน้มในไตรมาส 2/54 หากไม่นับรวมผลกำไรพิเศษ คาดว่าผลประกอบการจะยังคงดีขึ้น จากความต่อเนื่องของการปล่อยสินเชื่อในไตรมาสแรก และได้รับอานิสงส์จากการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ซึ่งคาดว่าในไตรมาสนี้การปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ระยะสั้นจะลดลง และให้น้ำหนักการเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำระยะยาวมากกว่า รวมถึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ดังนั้นจะทำให้ต้นทุนทางการเงินต่ำลง และส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (NIM) ก็จะดีขึ้นด้วย
สำหรับหุ้นในกลุ่มธนาคารที่แนะนำซื้อ ได้แก่ BBL, KBANK, KTB และ SCB โดย BBL มีราคาเป้าหมาย 215 บาท ซึ่งคาดหวังการเติบโตอย่างต่อเนื่องของสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ ที่ยังคงมีปริมาณความต้องการสินเชื่อสูง และกลุ่มที่เป็นลูกค้าหลักของ BBL โดยคงประมาณการการเติบโตของสินเชื่อของ BBL ในปี 54 ที่ 11.6% ขณะที่การปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องจะเริ่มส่งผลดีต่อ NIM ของ BBL มากขึ้นเรื่อยๆ ด้านรายได้ค่าธรรมเนียมจะยังคงเติบโตต่อเนื่องตามการขยายตัวของเศรษฐกิจ เรายังคงประมาณการการเติบโตของกำไรสุทธิของ BBL ในปีนี้ที่ระดับสูง 22.7%
ด้าน KBANK มีราคาเป้าหมายที่ 148 บาท พร้อมทั้งคาดว่าการเติบโตของสินเชื่อปีนี้จะอยู่ที่ 9.1% ขณะที่ด้านรายได้ค่าธรรมเนียมคาดหวังการเติบโตในระดับสูงกว่า 15% อย่างไรก็ตามผลการดำเนินงานของ KBANK อาจจะยังได้รับแรงกดดันจากค่าใช้จ่าย K-Transformation ที่จะยังคงอยู่ในระดับสูงในปีนี้ ซึ่งปัจจัยพื้นฐานของ KBANK ยังคงแข็งแกร่ง และยังคงรักษาจุดแข็งในด้านการทำธุรกิจ SME ไว้ได้ดี
SCB ให้ราคาเป้าหมายที่ 145 บาท โดยได้มีการปรับประมาณการกำไรสุทธิของ SCB ขึ้นเป็น 3.73 หมื่นล้านบาท จากเดิม 3.0 หมื่นล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 24.4% รวมถึงปรับประมาณการการเติบโตของสินเชื่อขึ้นจาก 10.9% เป็น 15.7% จากการเติบโตของสินเชื่อที่ดีกว่าที่คาดไว้ ในช่วงครึ่งปีแรก โดยเป็นการขยายตัวในทุกภาคธุรกิจ ทั้ง Corporate, SME, และ Retail ซึ่งหลังจากปรับประมาณการทำให้กำไรสุทธิปี 2554 เติบโต 54% จากปีก่อนหน้า โดยเป็นการเติบโตของกำไรปกติสูงถึง 33.5% สูงที่สุดในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ส่วน KTB ให้ราคาเหมาะสม 21.00

*** บล.กรุงศรีอยุธยา คาดแนวโน้มกลุ่มแบงก์ Q2/54 ขยายตัวต่อเนื่อง แนะนำ ซื้อ SCB, KBANK และ TISCO ***
นักวิเคราะห์ บล.กรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า ผลประกอบการไตรมาส 1/54 ของธนาคารพาณิชย์ พบว่า SCB, TISCO และ KTB ออกมาดีกว่าที่คาด ขณะที่ TCAP และ KK ถือว่าต่ำกว่าที่คาดเช่นกัน แต่โดยภาพรวมแล้วมีการเติบโตที่ดีขึ้น ทั้งรายได้ค่าธรรมเนียม และสินเชื่อรวมที่ทั้งระบบขยายตัวถึง 14% ขณะที่ NIN อาจลดลงบ้าง เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า จากภาวะการแข่งขันที่สูงขึ้น และต้นทุนดอกเบี้ยจ่างที่เพิ่มขึ้น
ส่วนแนวโน้มไตรมาส 2/54 น่าจะยังขยายตัวได้ต่อเนื่อง แม้จะมีปัจจัยเสี่ยงจากปัญหาภัยพิบัติในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์ และอาจสืบเนื่องมายังสินเชื่อของภาคธุรกิจดังกล่าวให้ชะลอลง ขณะเดียวกัน NIM จะอยู่ในภาวะทรงตัว ไม่ได้เพิ่มขึ้น แม้ว่าทิศทางดอกเบี้ยนโยบายยังคงอยู่ในช่วงขาขึ้น เป็นเพราะภาวะการแข่งขันในตลาดที่ยังคงสูง
ทั้งนี้แนะนำ ซื้อ SCB, KBANK และ TISCO โดย SCB มีมูลค่าพื้นฐานอยู่ที่ 131 บาท อิงจาก Target P/BV ที่ 2.5 เท่า (ROE 17%, Ke 10.5%)จากมุมมองบวกต่อการดำเนินกลยุทธ์เชิงรุกกระตุ้นสินเชื่อเติบโตโดดเด่น นอกจากนี้ การซื้อกิจการ SCNYL จะเสริมประสิทธิภาพในการทำ Cross selling และเป็นการสนับสนุนกลยุทธ์ Universal banking แข็งแกร่งขึ้น
ด้าน KBANK มีมูลค่าพื้นฐานที่ 152 บาท อิงจาก Target P/BV ที่ 2.4 เท่า (ROE 17%, Ke 10.7%) โดยพื้นฐานยังแข็งแกร่ง และสินเชื่อใน Q2 มีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้นตามทิศทางการขยายการลงทุนของบริษัทขนาดใหญ่ นอกจากนี้ การทำ Cross selling ที่มีประสิทธิภาพทำให้แนวโน้มรายได้ค่าธรรมเนียมเติบโตสูงต่อเนื่องในปี 54 สนับสนุนให้ ROE ยังอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น
ส่วน TISCO มีมูลค่าพื้นฐาน 45 บาท โดยคงประมาณการกำไรสุทธิปี 54 ที่ 3.29 พันล้านบาท และแม้สินเชื่อใน Q2 มีแนวโน้มจะขยายตัวต่อเนื่องตามการขยายตัวของยอดขายรถยนต์ที่ได้รับการกระตุ้นจากงาน Motor Show แต่ด้วยผลกระทบจากทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นทำให้ต้นทุนการเงินมีแนวโน้มจะเร่งตัวขึ้นเร็วกว่ารายได้ดอกเบี้ย ซึ่งจะกดดัน NIM มีแนวโน้มปรับลดลงต่อเนื่องใน Q2

**CNS เชียร์ KTB -SCB เด่นสุด ***
ด้านบทวิเคราะห์ บล. โนมูระ พัฒนสิน (CNS)ประเมิน กลุ่มแบงก์ 1QFY11F รวม 3.39 หมื่นล้านบาท (+33% y-y, +30% q-q) เด่นสุด KTB SCB โดยคาดว่ากลุ่มธนาคารที่ศึกษาจะมีกำไรสุทธิใน 1QFY11F รวม 3.39 หมื่นล้านบาท (+33% y-y, +30% q-q) โดยการเติบโตที่แข็งแกร่งทั้ง y-y และ q-q ผลักดันหลักๆจาก
1) สินเชื่อที่คาดว่าจะเติบโตถึงกว่า ~14% y-y และ %4 q-qผลักดันหลักๆจากสินเชื่อรายใหญ่ โดยเฉพาะสินเชื่อเพื่อการซื้อกิจการที่ยังมีต่อเนื่องจากช่วงสิ้นปี FY10;
2) ส่วนต่างดอกเบี้ยรับ (NIM) ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น ~10 bps y-y และ ~5 bps q-q (NIM ไม่รวมเงินปันผลรับจากกองทุนวายุภักษ์น่าจะปรับลดลง~2 bps q-q)
3) ค่าใช้จ่ายดำเนินงานที่ปรับลดลง q-q
4) รายได้ค่าธรรมเนียมที่ยังเติบโตแข็งแกร่ง y-y แต่ลดลง q-qตามปกติจากปัจจัยของฤดูกาล
และ 5) ในงวด 1QFY11F ธนาคาร 4 แห่ง (KTB, SCB, TCAP และ BAY) จะมีการบันทึกรายได้เงินปันผลรับจากกองทุนวายุภักษ์รวมกว่า 1.6 พันล้านบาท เทียบกับงวด 4QFY10 ที่ไม่มีรายได้ดังกล่าว

***BBL แจง กำไรQ1/54 เพิ่มขึ้น สะท้อนการขยายตัวของสินเชื่อและเงินฝาก***
นายชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ(BBL) กล่าวว่า ผลประกอบการไตรมาส 1 สะท้อนถึงความก้าวหน้าของธนาคารในด้าน การขยายสินเชื่อ การขยายเงินฝาก และการเพิ่มรายได้ค่าธรรมเนียม โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากพลวัติการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจและระบบโดยรวม นอกจากนี้ ธนาคารยังสามารถรักษาความแข็งแกร่งในด้านสภาพคล่องและเงินกองทุนอย่างต่อเนื่อง
เงินให้สินเชื่อของธนาคารมีการขยายตัวเป็นไตรมาสที่ 3 ติดต่อกัน โดยเงินให้สินเชื่อ ณ สิ้นไตรมาสแรกของปี 2554 มีจำนวน 1,305,795 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 49,184 ล้านบาท หรือร้อยละ 3.9 เมื่อเทียบกับสินเชื่อ ณ สิ้นปี 2553 หรือเพิ่มขึ้น 159.8 ล้านบาท หรือร้อยละ 13.9 จาก ณ สิ้นไตรมาสแรกของปี 2553 จากการที่ภาคธุรกิจยังคงมีความต้องการสินเชื่อเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนตามภาวะการส่งออกและการบริโภคภายในประเทศที่ยังคงขยายตัวได้ดี อีกทั้งความต้องการสินเชื่อเพื่อใช้ในการปรับปรุงระบบการผลิตและเพื่อขยายธุรกิจยังคงมีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม ภาวะการแข่งขันด้านราคาในตลาดสินเชื่อยังคงมีอยู่ในระดับสูง ประกอบกับต้นทุนเงินฝากที่เพิ่มขึ้นมากจากการที่เงินฝากดอกเบี้ยต่ำเริ่มทยอยครบกำหนด และจากการที่สถาบันการเงินมีการแข่งขันระดมเงินฝาก ส่วนหนึ่งเพื่อบริหารสภาพคล่อง และอีกส่วนหนึ่งเพื่อเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับใช้เป็นแหล่งเงินทุนในการขยายสินเชื่อในอนาคต ดังนั้น ธนาคารจึงมีแรงกดดันที่สูงขึ้นด้านราคาทั้งในด้านการให้สินเชื่อและแหล่งเงินทุน ส่งผลให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิของธนาคารปรับตัวลดลงจากร้อยละ 2.62 ในไตรมาส 1 ปี 2553 เป็นร้อยละ 2.55 ในไตรมาสนี้
ธนาคารสามารถขยายฐานเงินฝากได้เพิ่มขึ้นจำนวน 51,825 ล้านบาท หรือร้อยละ 3.7 จากสิ้นปี 2553 ส่งผลให้ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2554 เงินฝากของธนาคารมีจำนวน 1,446,213 ล้านบาท โดยมีอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อเงินฝากอยู่ในระดับร้อยละ 90.3 ใกล้เคียงกับร้อยละ 90.1 ณ สิ้นปี 2553
ธนาคารมีรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.7 จากไตรมาสก่อนหน้า และเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.8 จากไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว โดยรายได้หลักยังคงมาจากธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ บัตรเครดิต และ ธุรกรรมโอนเงิน นอกจากนี้รายได้ค่าธรรมเนียมจากการค้ำประกันอาวัลและบริการประกันชีวิตผ่านธนาคาร (แบงก์แอสชัวรันส์) ยังคงมีการเติบโตในอัตราที่ดี
ธนาคารมีค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่นๆ ลดลงร้อยละ 5.1 จากไตรมาสก่อนหน้า เป็น 8,099 ล้านบาท แต่เพิ่มขึ้น 669 ล้านบาทหรือร้อยละ 9.0 จากไตรมาส 1 ปี 2553 ในขณะที่รายได้จากการดำเนินงานเติบโตร้อยละ 6.3 จากไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้วณ วันที่ 31 มีนาคม 2554 ธนาคารมีสินเชื่อด้อยคุณภาพ 43,387 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 2.8 ของเงินให้สินเชื่อรวม เทียบกับร้อยละ 3.0 ณ สิ้นปี 2553 จากการที่ธนาคารประสบความสำเร็จในการปรับโครงสร้างหนี้ และจากภาวะเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้น ทำให้คุณภาพสินเชื่อของธนาคารดีขึ้นเป็นลำดับ
ในไตรมาสนี้ธนาคารตั้งค่าใช้จ่ายเผื่อหนี้สูญจำนวน 1,760 ล้านบาท ส่งผลให้ ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2554 ธนาคารมีสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญจำนวน 73,937 ล้านบาท คิดเป็นอัตราส่วนสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพที่ร้อยละ 170.4
ส่วนของผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 31 มีนาคม 2554 มีจำนวน 237,669 ล้านบาท โดยเมื่อนับรวมกำไรสุทธิครึ่งหลังของปี 2553 และไตรมาสแรกของปี 2554 และหักด้วยเงินปันผลที่จะจ่ายในเดือนพฤษภาคมปีนี้ ธนาคารจะมีอัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้นและเงินกองทุนชั้นที่ 1 ต่อสินทรัพย์เสี่ยง อยู่ในระดับที่ประมาณร้อยละ 16.7 และร้อยละ 13.2 ตามลำดับ ซึ่งเป็นระดับที่แข็งแกร่งและสามารถสนับสนุนให้ธนาคารดำเนินธุรกิจได้อย่างมั่นคงต่อไปในอนาคต

***KTB แจงกำไร Q1/54 โต 79% สูงสุดเป็นประวัติการณ์***
ด้านนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกรุงไทย(KTB) เปิดเผยผลประกอบธนาคารในไตรมาสที่ 1/2554 เปรียบเทียบกับไตรมาส 1/2553 ว่า ธนาคารมีกำไรสุทธิ 5,489 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,415 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 79 สูงสุดเป็นประวัติการณ์ สาเหตุหลักเกิดจาก รายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น 2,470 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 28 รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการเพิ่มขึ้น 394 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 17 ในไตรมาส 1/2554 ธนาคารมียอดสินเชื่อ 1,301,249 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2553 จำนวน 51,619 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 4 มียอดเงินฝาก 1,295,485 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 47,434 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 4 ขณะเดียวกันคุณภาพสินทรัพย์ของธนาคารปรับตัวดีขึ้น โดยสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL) มีจำนวน 67,875 ล้านบาท ลดลงจากสิ้นปี 2553 จำนวน 8,382 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 11 ทำให้สัดส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพสุทธิ (Net NPL) ณ 31 มีนาคม 2554 ลดลงเหลือร้อยละ 2.69
ทางด้านอัตรารายได้ดอกเบี้ยสุทธิต่อสินทรัพย์รวม (NIM) ปรับตัวดีขึ้นจากระดับร้อยละ 2.29 ในช่วงเดียวกันของปีก่อน มาอยู่ที่ระดับร้อยละ 2.47 อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ ลดลงจากร้อยละ 62 มาอยู่ที่ร้อยละ 49 อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) อยู่ในระดับที่แข็งแกร่งที่ร้อยละ 14.11 โดยมีเงินกองทุนชั้นที่ 1 ร้อยละ 8.71

*** บิ๊ก BAY พอใจกำไรQ1/54เพิ่มขึ้น 35.9%***
ขณะที่ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา(BAY) แจ้งว่ากำไรสุทธิ Q1/54 จำนวน 2,820 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35.9% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2553 และเพิ่มขึ้น 24.5% จากไตรมาส 4/2553 โดยเป็นกำไรจากการดำเนินงาน จำนวน 6,635 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.0% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2553 และ เพิ่มขึ้น 12.7% จากไตรมาส 4/2553 ด้าน สินเชื่อที่มีคุณภาพ เพิ่มขึ้น 65,273 ล้านบาท เมื่อเทียบกับ ณ สิ้นไตรมาส 1/2553 และเพิ่มขึ้น 10,880 ล้านบาท เมื่อเทียบกับ ณ สิ้นไตรมาส 4/2553 ส่วนการเติบโตของแหล่งเงิน ขยายตัวเพิ่มขึ้น 57,844 ล้านบาท เมื่อเทียบกับ ณ สิ้นไตรมาส 1/2553 และเพิ่มขึ้น 14,280 ล้านบาท เมื่อเทียบกับ ณ สิ้นไตรมาส 4/2553 ขณะที่สินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPLs) ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 36,457 ล้านบาท จาก 38,149 ล้านบาท ณ สิ้นไตรมาส 4/2553 ด้านคุณภาพสินทรัพย์ สัดส่วนเงินสำรองต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ จัดให้มั่นคงสูงขึ้นที่ระดับ 92% จาก 89% ขณะที่ ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ ยังแข็งแกร่งที่ระดับ 4.62%
ด้านนายมาร์ค อาร์โนลด์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ของเครือกรุงศรี กล่าวว่า พอใจกับการเริ่มต้นปี 2554 ด้วยความแข็งแกร่ง ผลการดำเนินงานในไตรมาสแรกของปีนี้แสดงถึงการดำเนินงานที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างมาก จากกำไรสุทธิที่เติบโตเพิ่มขึ้น 35.9% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปีก่อน รายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น 8.4% มาอยู่ที่ระดับ 9,191 ล้านบาท และยอดสินเชื่อเติบโตตามเป้าหมาย ในขณะที่งบดุลมีความแข็งแกร่งมากขึ้น นอกจากนี้ คุณภาพสินทรัพย์ได้ปรับตัวดีขึ้นโดยสินเชื่อด้อยคุณภาพลดลงมาอยู่ที่ระดับ 36,457 ล้านบาท หรือจาก 5.4% มาอยู่ที่ 5.0% ของยอดสินเชื่อรวม ขณะเดียวกันสัดส่วนเงินสำรองต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพปรับตัวสูงขึ้นจากระดับ 89% สู่ระดับ 92%
ณ วันที่ 31 มีนาคม 2554 ตามงบการเงินรวม ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) มีสินทรัพย์รวม 870,410 ล้านบาท มีสินเชื่อรวม 658,148 ล้านบาท มีเงินฝาก 572,270 ล้านบาท และมีอัตราเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) ที่ระดับ 16.8% โดยเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่ระดับ 12.1%


ตารางเทียบผลกำไรสุทธิ ไตรมาส 1/54 กับ ไตรมาส 1/53 (หน่วย:ล้านบาท)

ปี 2554 ปี 2553 เปลี่ยนแปลง %

BBL 6,468.80 5,983.07 485.73 8.11
SCB 13,051.29 6,374.71 6,676.58 104.73
KTB 5,488.76 3,074.30 2,414.46 78.53
KBANK 6,113.88 4,105.67 2,008.21 48.91
BAY 2,808.14 2,069.70 738.44 35.67
TCAP 1,144.26 1,343.38 -199.12 -14.82
TMB 1,095.78 789.51 306.27 38.79
TISCO 828.59 712.27 116.32 16.33
KK 605.18 818.68 -213.5 -26.07
CIMBT 281.58 348.13 -66.55 -19.11

รวม 37,886.26 25,619.42 12,266.84 47.88

ที่มา eFinanceThai.com


-----------------------------------------------------------------------------

Code 400 : ลุ้นผ่าน 1111 เพื่อ Hit BB-T 1117

วันพฤหัสที่ 21 เมษายน 2554

ATT Code : ลุ้นผ่าน 1111 เพื่อ Hit BB-T 1117
1. เข้าที่.... SET ผ่าน 1100 ได้อย่างสวยงาม พร้อมกับ Main Indicators ทุกตัวแข็งแรงขึ้น
2. ระวัง.... SET ย้อนกลับลงมาปิดต่ำกว่า 1100 ของเมื่อวาน... แต่ถ้าไม่ย้อนลงก็ มองไปที่ 1111 จุด
3. ไป.... Buy signal and Uptrend... look at the resistance BB-T 1117




สรุปสภาวะการซื้อขายในวันพุธ 20/04/54 นี้ : ผ่าน 1100 ได้อย่างง่ายดาย พร้อมกับความแข้งแรงของ Main Indicators
1. SET ปิด 1,107.36 ทำ New High เลยทีเดียว
2. MACD มีค่าเพิ่มขึ้นอีก... และ MACD Osc ก็เริ่มแข็งแรงขึ้นตามมา
3. Volume, STO และ RSI ยืนยันความแข็งแรง
4. STO, RSI, %R และ CCI เข้ามาอยู่ในเขต Overbought... ยังไม่เป็นไร ตราบใดที่ยังไม่ตัดลงมาเป็น Sell Signal
5. กนง. ขึ้นดอกเบี้ยยโยบายอีก 0.25% มาที่ 2.75%... ตามที่นักวิเคราะห์คาด

แนวโน้มในวันพฤหสที่ 21/04/54 นี้ : ลุ้นผ่าน 1111 เพื่อ Hit BB-T 1117
1. Main Indicators ทุกตัวแข็งแรงดี.... ลุ้น SET ไปต่อได้...
2. รอดูผลประอบการของแบงค์ที่เหลือ Kbank / KTB...
3. ร.ฟ.ท.คาดเซ็นสัญญางานปรับปรุงทางรถไฟกับ ITD-STEC ภายใน เม.ย.นี้...
4. ตลาดหุ้นต่างประเทศเมื่อคืนนี้บวกกันกันท่วนหน้า 1-2%... โดย DJIA +1.52% แลยุโรปบวกไป 2%... ส่งผลให้ตลาด Asia มีทิศทางไปทางบวกมากขึ้น...

โดยที่ตลาดมีกรอบแนวรับ-แนวต้าน ดังนี้
แนวรับ : 1100 / 1095
แนวต้าน : 1111 / 1117

-----------------------------------------------------------------------------
MARKET WAVE Analysis
21 เมษ. 54 ( +11.48 จุด) โกมล พงศ์วิญญู เลขทะเบียน 18338

อาจปรับฐานแถว 1085 – 95 จุด
แนวโน้มในวันพฤหัสนี้ ในกรณีปรับฐาน ดัชนีพอจะมีโอกาสปรับตัวลงมาบริเวณ1085 – 95 ใกล้จุดต่ำสุดของวันอังคารและเส้นค่าเฉลี่ย 25 ชั่วโมง ในรูปแบบที่อาจจะเป็นExpanding flat ?

และตราบใด ไม่ต่ำกว่า 1064.61 จุดต่ำสุดของสัปดาห์ที่แล้ว ถือว่าแนวโน้มหลักของตลาดยังคงเป็น “ขาขึ้น” มีเป้าหมายเดือน พค.บริเวณ 1160 - 90 จุด

ขณะที่ เป้าหมายหลักสำหรับการปรับตัวขึ้นรอบนี้อยู่บริเวณ 1300 จุด ประมาณเดือนสค. ในรูปแบบที่คาดว่าจะเป็น Double zigzagwave

หุ้นเด่น
TOP
ปรับตัวทะลุกรอบสามเหลี่ยม ภาพระยะชั่วโมง รอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 84.00จุดสูงสุดวันพุธ เป้าหมายสองสามวัน86.00 – 87.00( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 83.00 )

BBL
ปรับตัวทะลุกรอบสามเหลี่ยม ภาพระยะวันขึ้นมาได้ รอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 184.00จุดสูงสุดวันพุธ เป้าหมายระยะสัปดาห์200 - 204( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 180.50 )

10 อันดับซื้อขายสูงสุด
PTT ไม่ต่ำกว่า 362 ขึ้น 424 – 434
SCB เกิน 117.50 ขึ้น 125.50 – 127.50
BBL รายละเอียดใน “หุ้นเด่น”
KBANK ไม่ต่ำกว่า 127 ขึ้น 132 - 133
CPF ไม่ต่ำกว่า 28 ขึ้น 30 – 31
BANPU แกว่งตัว 768 - 780
KTB ไม่ต่ำกว่า 18.50 ขึ้น 21 – 21.30
TOP รายละเอียดใน “หุ้นเด่น”
THAI ไม่ต่ำกว่า 38 ขึ้น 41 – 43
CPALL เกิน 45.75 ขึ้น 46.50 - 47


-----------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย

-----------------------------------------------------------------------------

Code 399 : 20/04/54 ลุ้นเหนือ 1100 เพื่อ Hit BB-T 1111

วันพุธที่ 20 เมษายน 2554

ATT Code : ลุ้นเหนือ 1100 เพื่อ Hit BB-T 1111
1. เข้าที่.... SET take a Breakout เหนือ 1092.34 พร้อมกับ Main Indicators ทุกตัวแข็งแรงขึ้น
2. ระวัง.... SET ย้อนกลับลงมาปิดต่ำกว่า 1092.34 ของเมื่อวาน... แต่ถ้าไม่ย้อนลงก็ มองไปที่ 1100 จุด
3. ไป.... Buy signal and Uptrend... look at the resistance BB-T 1111




สรุปสภาวะการซื้อขายในวันอังคาร 19/04/54 นี้ : Breakout 1092.34 ตามคาด
1. SET ปิด 1,095.88 Take a breakout 1092.34 ของวันที่ 08/04/54.. ไม่หวั่น แม้เมื่อคืน DJIA ปิดลบลงมาก
2. Candle Stick ยืนปิดเหนือแท่งเทียนของเมื่อวานได้อย่างสวยงาม
3. MACD มีค่าเพิ่มขึ้นอีก... และ MACD Osc ก็เริ่มแข็งแรงขึ้นตามมา
4. Volume, STO และ RSI ยืนยันความแข็งแรง
5. %R และ CCI เข้ามาอยู่ในเขต Overbought ยังไม่เป็นไร ตราบใดที่ยังไม่ตัดลงมาเป็น Sell Signal

แนวโน้มในวันพุธที่ 20/04/54 นี้ : Buy signal and Uptrend to hit BB-T
1. ลุ้นผลประกอบการของกลุ่มแบงค์ที่จะออกมา
2. การขึ้นดอกเบี้ยของ กนง.
3. จับตากลุ่มรับเหมา เริ่มมีแรงซื้อกลับเข้ามา
4. ลุ้น Main Indicators มีค่ามากขึ้น เพื่อยืนยัน Uptrend อีกครั้ง

โดยที่ตลาดมีกรอบแนวรับ-แนวต้าน ดังนี้
แนวรับ : 1092 / 1090 / 1087 / 1084
แนวต้าน : 1100 / 1111

-----------------------------------------------------------------------------
MARKET WAVE Analysis
20 เมษ. 54 ( +5.21 จุด) โกมล พงศ์วิญญู เลขทะเบียน 18338

อาจปรับฐานแถว 1080 – 85 จุดแนวโน้มในวันพุธนี้ ดัชนี “อาจจะ”ปรับฐานชั่วคราวแถว 1080 – 85 ใกล้จุดต่ำสุดของวันอังคาร และเส้นค่าเฉลี่ย 25 ชั่วโมง

จากนั้นถ้ามีการปรับตัวขึ้น เกิน 1096.73จุดสูงสุดวันอังคาร ดัชนีสามารถปรับตัวขึ้นต่อแถว 1155 – 60 จุด ในเดือน พค. ในรูปแบบที่คาดว่าจะเป็น Double zigzag wave

ตราบใดไม่ต่ำกว่า 1044 จุด เส้นค่าเฉลี่ย25 วัน ถือว่าแนวโน้มหลักของตลาดยังคงเป็น“ขาขึ้น” มีเป้าหมายประมาณเดือน สค. บริเวณ1300 จุด

หุ้นเด่น
IVL
ยังสามารถปรับตัวอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ย 25 วันได้ รอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 55.50 กรอบบนของสามเหลี่ยม เป้าหมายระยะสัปดาห์ 64.50 – 66.50( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 53.25 )

PTTAR
ยังสามารถปรับตัวอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ย 25 วันได้ รอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 43.50 จุดสูงสุดวันจันทร์ เป้าหมายระยะสัปดาห์ 47.25 –48.25( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 42.50 )

PTTCH
ยังสามารถปรับตัวอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ย 25 วันได้ รอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 166.50จุดสูงสุดวันจันทร์ เป้าหมายระยะสัปดาห์ 179.00 – 184.00( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 163.00 )

10 อันดับซื้อขายสูงสุด
SCC ไม่ต่ำกว่า 366 ขึ้น 393 – 403
CPF ไม่ต่ำกว่า 27.50 ขึ้น 30 – 31
PTT เกิน 383 ขึ้น 424 – 434
BANPU แกว่งตัว 770 - 780
THAI ไม่ต่ำกว่า 38 ขึ้น 41 – 43
SCB ไม่ต่ำกว่า 112.50 ขึ้น 115 – 116
KBANK ไม่ต่ำกว่า 126.50 ขึ้น 129 – 130
PTTEP ไม่ต่ำกว่า 187 ขึ้น 190 – 192
IVL รายละเอียดใน “หุ้นเด่น”
JAS ไม่ต่ำกว่า 2.90 ขึ้น 3.56 – 3.66
-----------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย
-----------------------------------------------------------------------------

Code 398 : 19/04/54 ลุ้น SET Breakout 1092.34

วันอังคารที่ 19 เมษายน 2554

ATT Code : 19/04/54 ลุ้น SET Breakout 1092.34
1. เข้าที่.... STO และ RSI พลิกกลับมาเป็น Buy Signal ใหม่อีกครั้ง
2. ระวัง.... ทั้ง STO และ RSI ก็เป็นแค่ Buy Signal เบาๆ เท่านั้น และ MACD Osc ก็ต้องมีค่ามากขึ้นเรื่อยๆ แต่นี่กลับมีค่าน้อยลง.... ดังนั้นระวังการตัดลงมาของ Indecators ทั้ง 3 ตัว
3. ไป.... รอ MACD Osc ให้มีค่าบวกมากขึ้นกว่านี้ เพื่อยืนยันการขึ้นไปอีกครั้ง ที่ 1100 จุด





สรุปสภาวะการซื้อขายในวันจันทร์ 18/04/54 นี้ : Candle Stick ปิดเหนือ High 1090.38 ของวันที่ 11/04/54 ถือว่าดีขึ้นไม่มาก แต่ก้ยังดูดี
1. SET ปิดเหนือ High 1090.38 ของวันที่ 11/04/54
2. Candle Stick ยืนเหนือราคาปิดของเมื่อวาน... ดูดี
3. STO และ RSI พลิกกลับมาเป็น Buy Signal ใหม่อีกครั้ง
4. MACD แข็งแรงมาก ไม่ลงไปตัดเส้น Signal... แต่ MACD Osc มีค่าน้อยลง

แนวโน้มในวันอังคารที่ 19/04/54 นี้ : ลุ้น SET Breakout 1092.34
1. ลุ้น SET Breakout ของ High เดิมที่ 1092.34 ก็จะกลับมาเป็น Buy Signal อีกครั้ง
2. ถ้า MACD Osc มีค่ามากขึ้น SET ก็จะแข็งแรงขึ้นอีก
2. ถ้า STO+RSI ตัดเป็น Buy Signal มีค่ามากขึ้นกว่าเดิม SET ก็จะแข็งแรงขึ้นอีก

โดยที่ตลาดมีกรอบแนวรับ-แนวต้าน ดังนี้
แนวรับ : 1085 / 1083
แนวต้าน : 1093 = Breakout

-----------------------------------------------------------------------------
MARKET WAVE Analysis
19 เมษ. 54 ( +5.76 จุด) โกมล พงศ์วิญญู เลขทะเบียน 18338

เกิน 1092.34 มีโอกาสขึ้นต่อ
แนวโน้มในวันอังคารนี้ตราบใด ไม่เกิน1092.34 จุดสูงสุดเดิมของปีนี้ ภาพระยะสั้นดัชนีมีโอกาสปรับตัวกลับลงมาแถว 1078 - 81
ใกล้เส้นค่าเฉลี่ย 25 ชั่วโมง

รวมถึงความเป็นไปได้ที่มีอยู่บ้างว่า ดัชนี“อาจจะ” ปรับตัวลงไปได้ลึกถึงบริเวณ 1065 –70 ใกล้จุดต่ำสุดของสัปดาห์ที่แล้ว ??

อย่างไรก็ตามถ้าปรับตัวขึ้น เกิน 1092.34จุดสูงสุดเดิมของปีนี้ มีความเป็นไปได้ที่ตลาดอาจจะกลับมาเป็น “ขาขึ้น” อีกครั้ง มีเป้าหมายบริเวณ 1160 – 70 จุด สำหรับภาพเดือน พค. ในรูปแบบที่คาดว่าจะเป็น Zigzag wave

หุ้นเด่น
JAS
ปรับตัวทะลุกรอบสามเหลี่ยม ภาพระยะวันทยอยซื้อแถว 2.86 – 2.90 หรือรอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 2.98 จุดสูงสุดวันจันทร์
เป้าหมายระยะสัปดาห์ 3.56 – 3.66( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 2.82 )

KTB
ยังสามารถปรับตัวอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ย 25 วันได้ ทยอยซื้อแถว 19.00 – 19.20 หรือรอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 19.50 จุดสูงสุดวันจันทร์เป้าหมายระยะสัปดาห์ 21.00 – 21.30( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 18.90 )

10 อันดับซื้อขายสูงสุด
SCC ปรับตัวชั่วคราว 364 – 366
CPF เกิน 27.75 ขึ้น 28 – 29
PTT เกิน 378 ขึ้น 380 – 383
PTTEP ไม่ต่ำกว่า 188 ขึ้น 192 – 193
PTTAR ไม่เกิน 43.50 ลง 42 – 42.50
PTTCH ไม่เกิน 166.50 ลง 162 – 163
SCB ต่ำกว่า 114.50 ลง 112 – 113
TOP ไม่ต่ำกว่า 82.50 ขึ้น 86 – 87
BBL เกิน 181.50 ขึ้น 182.50 – 183.50
KBANK ต่ำกว่า 129 ลง 126.50 – 127.50

-----------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย

-----------------------------------------------------------------------------

Code 397 : 18/04/54 MACD แข็งแรงมาก ขอบอก / Candle Stick ปิดทะลุราคาปิดเมื่อวาน กลับมาเป็น Buy ใหม่

วันจันทร์ที่ 18 เมษายน 2554

ATT Code :18/04/54 MACD แข็งแรงมาก ขอบอก / Candle Stick ปิดทะลุราคาปิดเมื่อวาน กลับมาเป็น Buy ใหม่

เข้าที่.... STO ลงนำ RSI ลงตาม... เป็น Sell Signal ทั้งคู่แล้ว
ระวัง.... MACD เกิด Sell Signal ตามมา.... เปิดตลาดเช้าตัดลง ปิดตลาดเย็นย้อนขึ้นมา
ไป.... ยังไม่ไป เพราะ MACD ย้อนกลับขึ้นมาอีก... MACD Osc กลับมามีค่าเป็นบวก







สรุปสภาวะการซื้อขายในวันอังคาร 12/04/54 นี้ : Candle Stick ปิดทะลุราคาปิดเมื่อวาน กลับมาเป็น Buy ใหม่
1. SET ยืนอยู่แนวรับเส้น 10 วันได้
2. Candle Stick ทะลุราคาปิดของเมื่อวาน
3. SET ปิดเหนือเส้น 10 วัน ได้อย่างสวยงาม
4. MACD แข็งแรงมาก ไม่ลงไปตัดเส้น Signal

แนวโน้มในวันจันทร์ที่ 18/04/54 นี้ : Candle Stick ปิดทะลุราคาปิดเมื่อวาน กลับมาเป็น Buy ใหม่
1. ถ้า MACD Osc มีค่ามากกว่า 1 SET ก็จะแข็งแรงขึ้นอีก
2. รอลุ้น STO+RSI กลับขึ้นมาเป็น Buy Signal อีกครั้ง

โดยที่ตลาดมีกรอบแนวรับ-แนวต้าน ดังนี้
แนวรับ : 1080 / 1076
แนวต้าน : 1087 / 1090 / 1092

-----------------------------------------------------------------------------
MARKET WAVE Analysis
18 เมษ. 54 ( +8.58 จุด) โกมล พงศ์วิญญู เลขทะเบียน 18338

ดีดตัวขึ้น 1090 - 92 จุด
ตลาดในวันอังคารอยู่ใน “เขตขายมาก”เครื่องมือ Stochastic ภาพระยะชั่วโมง ดังนั้นดัชนีมีโอกาสดีดตัวกลับขึ้นไปบริเวณ 1090 – 92ใกล้จุดสูงสุดเดิมของเดือนนี้แต่ยังไม่ชัดเจนว่า ตลาดจะสามารถปรับตัวขึ้นผ่านจุดสูงสุดเดิมของเดือนนี้ไปได้ ?

และพอมีความเป็นไปได้ว่า ตลาดอาจจะต้องปรับฐานกลับลงไปแถว 1067 – 72 ใกล้จุดต่ำสุดของวันอังคารอีกครั้ง ?

และ ดัชนีอาจจะต้องใช้ระยะเวลาอีกสักระยะ (หนึ่งถึงสองสัปดาห์) แกว่งตัวขึ้นลงในกรอบ 1064 – 92 หรือระหว่างจุดต่ำสุดของวันอังคาร ถึงจุดสูงสุดเดิมของเดือนนี้ ... ก่อนที่จะปรับตัวขึ้นต่อไป

หุ้นเด่นTOP
อยู่ใน “เขตขายมาก” เครื่องมือ Stochasticภาพระยะชั่วโมง ทยอยซื้อแถว 82.25 –82.50 หรือรอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 83.25จุดสูงสุดวันอังคาร เป้าหมายสองสามวัน86.00 – 87.00( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 80.50 )

PTTEP
อยู่ใน “เขตขายมาก” เครื่องมือ Stochasticภาพระยะชั่วโมง ทยอยซื้อแถว 189.50 –190.50 หรือรอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 191.50 จุดสูงสุดวันอังคาร เป้าหมายสองสามวัน197.00 – 199.00( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 189.00 )

10 อันดับซื้อขายสูงสุด
PTT ไม่ต่ำกว่า 366 ขึ้น 379 – 383
PTTEP รายละเอียดใน “หุ้นเด่น”
BBL ไม่ต่ำกว่า 178.50 ขึ้น 182 – 183
SCB ไม่น่าเกิน 117 – 118
TOP รายละเอียดใน “หุ้นเด่น”
SCC ไม่น่าเกิน 360 – 361
PTTCH ไม่ต่ำกว่า 161 ขึ้น 166 - 168
BANPU ไม่ต่ำกว่า 774 ขึ้น 788 – 792
IVL ไม่ต่ำกว่า 52.75 ขึ้น 55 – 55.50
KBANK ไม่ต่ำกว่า 129 ขึ้น 133 - 134


-----------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย

-----------------------------------------------------------------------------

Code 396 : 12/04/54 STO+RSI=Sell Signal... รอ MACD อีกตัว

วันอังคารที่ 12 เมษายน 2554

ATT Code : 12/04/54 STO+RSI=Sell Signal... รอ MACD อีกตัว

เข้าที่.... STO ลงนำ RSI ลงตาม... เป็น Sell Signal ทั้งคู่แล้ว
ระวัง.... MACD เกิด Sell Signal ตามมา
ไป.... ถ้า MACD ตัดเส้น Signal ลงมาละก็ ภาพใหญ่ของตลาด Main Indicators ทั้ง 3 ตัว เป็น Sell Siganl ทันที





สรุปสภาวะการซื้อขายในวันจันทร์ 11/04/54 นี้ : ขายพลังงานและแบงค์ออกมาไม่สุด ดันมาหยุดที่เส้น 5 วัน
SET เปิดมาบอกไปก่อน ก็ดูดีในตอนเช้า แต่อล้วก็มีแรงขายทั้งแบงค์และพลังงานออกมา ทำให้หลุดแนวรับที่ 1082 จุด แล้วก็ลงมาเรื่อยๆ จนมาหยุดที่เส้น 5 วัน พอดี โดยมาปิดที่ 1076.33 จุด ลบไป 6.36 จุด ส่งผลให้ RSI เกิด Sell Signal ขึ้นมาอีก 1 ตัว

แนวโน้มในวันอังคารที่ 12/04/54 นี้ : STO+RSI=Sell Signal... รอ MACD อีกตัว
หลังจากที่ Mimor Indicators อย่าง %R และ CCI เป็น Sell Signal มาก่อนหน้านี้แล้ว และก็ตามมาด้วย Main Indicators อย่าว STO ในวันศุกร์ โดยเมื่อวาน RSI ก็เป็น Sell Signal ตามมา และ MACD Oscillator ก้มีค่าแคบลง แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มของ MACD มีโอกาสที่จะตัดเหส้น Signal ลงมาได้ และถ้าตัดลงมา ก็จะทำให้ Main Indicators เกิด Sell Signal ขึ้นมาทันที ก็จะส่งผลให้ตลาดพลิกกลับมาเป็นการปรับฐานลงมาได้


โดยที่ตลาดมีกรอบแนวรับ-แนวต้าน ดังนี้
แนวรับ : 1076 1068 และปิด Gap ที่ 1064
แนวต้าน : 1082


-----------------------------------------------------------------------------
MARKET WAVE Analysis
12 เมษ. 54 ( -6.36 จุด) โกมล พงศ์วิญญู เลขทะเบียน 18338

เกิน 1078.62 ดีดตัวขึ้น 1089 – 92 จุด
ดัชนี อยู่ในช่วงเวลาของการปรับฐานแกว่งตัวขึ้นลงในกรอบ 1064 – 92 จุด สำหรับภาพหนึ่งถึงสองสัปดาห์ข้างหน้า
อย่างไรก็ตามการปรับตัวขึ้น เกิน1078.62 จุดสูงสุดเวลา 15.00 น. วันจันทร์ ดัชนีมีโอกาสดีดตัวกลับขึ้นไปแถว 1089 – 92 ใกล้จุดสูงสุดของสัปดาห์ที่แล้วอีกครั้ง

ขณะที่ตราบใดไม่ต่ำกว่า 1035 จุด เส้นค่าเฉลี่ย 25 วัน แนวโน้มหลักของตลาดยังคงเป็น “ขาขึ้น” มีเป้าหมายบริเวณ 1300 จุด
ประมาณเดือน สค.

หุ้นเด่น
PTT
อยู่ใน “เขตขายมาก” เครื่องมือ Stochasticภาพระยะชั่วโมง รอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน372 จุดสูงสุดวันจันทร์ เวลา 15.00 น.
เป้าหมายสองสามวัน 379 – 383( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 367 )

JAS
กำลังปรับตัวในกรอบสามเหลี่ยม ภาพระยะวัน รอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 2.90 กรอบบนของสามเหลี่ยม เป้าหมายระยะสัปดาห์ขึ้นไป
3.50 – 3.70( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 2.74 )

10 อันดับซื้อขายสูงสุด
PTT รายละเอียดใน “หุ้นเด่น”
BANPU แกว่งตัว 778 – 792
PTTEP เกิน 194.50 ขึ้น 197 – 199
TTA แกว่งตัว 20.60 – 21.70
CPF ไม่ต่ำกว่า 25.75 ขึ้น 26.75 – 27
JAS รายละเอียดใน “หุ้นเด่น”
IRPC แกว่งตัว 6.10 – 6.30
IVL ไม่น่าต่ำกว่า 51 – 52
PTTCH เกิน 163 ขึ้น 166 - 168
SCB ต่ำกว่า 114.50 ลง 110 - 112

-----------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย

-----------------------------------------------------------------------------

Code 395 :11/04/54 SET หลุด BB-T ลงมาแล้ว และ Indicators บางตัว จาก Overbought เริ่มเข้า Sell Signal แล้ว

วันจันทร์ที่ 11 เมษายน 2554

ATT Code : 11/04/54 SET หลุด BB-T ลงมาแล้ว และ Indicators บางตัว จาก Overbought เริ่มเข้า Sell Signal แล้ว

เข้าที่.... SET เข้ามาอยู่ในเขต Overbought... ลงมาหลุด BB-T เริ่มมี Sell Signal เบาๆ ปรากฏให้เห็นแล้ว
ระวัง.... Indicators ที่อยู่ในเขต Overbought มีบางตัวเกิด Sell Signal แล้ว
ไป.... รอ MACD เกิด Sell Signal ขึ้นมา... ก็ลงได้แน่






สรุปสภาวะการซื้อขายในวันศุกร์ 08/04/54 นี้ : มีแรงขายออกมา ทำให้ SET ปิดหลุด BB-T
แสดงให้เห็นชัดเลยว่า SET มีแรงขายออกมามาก เพราะหลุดเส้น BB-T แล้ว ยังลงมาปิดต่ำกว่า Low ของเมื่อวานนี้ ส่งผลให้ Indicatos ต่างๆ เกิด Sell Signal ขึ้นมาแล้ว

แนวโน้มในวันจันทร์ที่ 11/04/54 นี้ : SET หลุด BB-T ลงมาแล้ว จาก Overbought เริ่มเข้า Sell Signal แล้ว
จาก Minor Indicators ที่อยู่ในเขต Overbought เริ่มลงมาตัดเส้น Sell Signal แล้ว นอกจากนี้ยังมี Main Indicators ตั้เส้น Sell Signal ลงมาด้วย

โดยที่ตลาดมีกรอบแนวรับ-แนวต้าน ดังนี้
แนวรับ : 1078 และ 1082 จุด
แนวต้าน : 1089 / 1092

Indicators ต่างๆ ของวันก่อนหน้านี้ :
Main Buy Signal = MACD + RSI
Main Sell Signal = Slow Stochastic + Candle Stick ต่ำกว่า BB-T และเป็นแท่งแดงต่ำกว่าราคาเปิดเมื่อวันก่อน
2 Indicators = Main Buy Signal
0 Indicators = Minor Buy Signal
4 Indicators = Overbought
0 Indicators = Bearish Divergence
3 Indicators = Sell Signal

-------------------------------------------
Main Signal
1. Alert MACD (B)+(Werak)
Major = Buy Signal : 1. MACD >. Signal.... และ Minor =Uptrend ยังดีอยู่โดย 2. MACD > 0)
(+/-) MACD Oscillator มีค่าลดลงมา จาก 3.51 เป็น 2.65

2. Alert Slow Sto (S)
(-) Slow Stochastic : %K(93.48) < %D(93.49)... %K ตัด %D ลงมาแล้วเป็นวันแรก แต่ตัดลงนิดเดียวเอง

3. Alert RSI (B)+(Weak)+(Overbought)
(+/-) RSI(71.5) > MAV9(69.3) : RSI สูงกว่าเส้นค่าเฉลี่ย... แต่เริ่มย่อลงมาแล้ว

------------------------------------------
Minor Signal
4. Alert William %R (S)
%R ตัดเส้น -10 ลงมาแล้ว: เป็น Sell Signal เบาๆ
(-) Williams %R เริ่มมีค่าอ่อนลงมา จาก (0) เป็น (-16)... %R ตัดเส้น -10 ลงมาเป็นวันแรก

5. Alert CCI (B)+ (Overbought)
CCI ตัดเส้น 100 ลงมาแล้ว: เป็น Sell Signal เบาๆ
(-) CCI มีค่าลดลงมาจาก 125.7 มาที่ 94.15

6. Alert ADX (B)
(+) เส้น ADX : DI+(44) > DI-(9)...

------------------------------------------
Support
7. OBV - : Weak
(-) OBV มีค่าลดลง

8. Alert Volume (S)
(-) Volume < Avg 5 D

****************
Historical Technics
****************
Buy Signal:
1. (+)MACD กลับมาเป็น Buy Signal อีกครั้ง(22/03/54)
2. (+) DI+ ตัดเส้น 20 ขึ้นมา... แสดงว่า UpTrend มีความแข็งแรง
3. (+) SET ผ่านแนวต้านหลัก BB Average = Major เป็น Bullish + Uptrend... ยืนยันความเข็งแรงของตลาด... BB Average เปลี่ยนจากแนวต้านมาเป็นแนวรับหลัก (16/02/54)
4. (+) EMA5 (979.12) ตัด EMA10 (976.12 )ขึ้นมา... Major เป็น Golden Cross = Buy Signal (17/02/54)
5. (+) EMA10 (988.34) ตัด EMA25 (987.47) = Golden Cross : Strong (04/03/54)
6. (+) EMA25 (992.96) ตัด EMA75 (991.78) : Stronger (09/03/54)
7. (+) SET สูงกว่าเส้น 10 วัน และ 5 วัน แล้ว : Stronger (21/03/54)


Overbought:
1. (+/-) Slow Sto : %K(81) > %D(73) = Overbought (23/03/54)
2. (+/-) Alert William %R > -10 = Overbought (30/03/54)
3. (+/-) Alert CCI > 100 =(Overbought) (30/03/54)
4. (+/-) Alert RSI > 71 =(Overbought) (01/04/54)

Sell Signal :
1. (+) Slow Sto : %K(93.48) < %D(93.49) = Sell Signal (08/04/54)
2. (-) SET < BB-T และ ราคาเปิดของวันก่อน

Bearish Divergence :
Oversold : None


-----------------------------------------------------------------------------
MARKET WAVE Analysis
11 เมษ. 54 ( -6.52 จุด) โกมล พงศ์วิญญู เลขทะเบียน 18338

อยู่ในช่วงเวลาของการปรับฐาน ...
ตลาดน่าจะอยู่ ในช่วงเวลาของการปรับฐาน มีความเสี่ยงที่จะปรับตัวกลับลงไปแถว1064 – 74 จุด หรือประมาณ Fibonacci Ratio 38.2% นับจากจุดต่ำสุดของวันที่ 29 มีค.

จากนั้นตลาดมีโอกาสที่จะ ย่ำฐานและแกว่งตัวในกรอบ 1064 – 92 จุด สำหรับภาพหนึ่งถึงสองสัปดาห์ข้างหน้า

และตราบใดไม่ต่ำกว่า 1032 จุด เส้นค่าเฉลี่ย 25 วัน ถือว่าแนวโน้มหลักของตลาดยังคงเป็น “ขาขึ้น” มีเป้าหมายเดือน สค. 1300
Aug target 1300 จุด ในรูปแบบของ Zigzag wave C ต่อไป

หุ้นเด่น
PTTEP
ยังสามารถปรับตัวอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ย 25ชั่วโมงได้ รอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 197.00จุดสูงสุดวันศุกร์ เป้าหมายสองสามวัน
200 – 202( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 195.00 )

DTAC
กำลังปรับตัวในกรอบสามเหลี่ยม ภาพระยะวัน รอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 48.75 กรอบบนของสามเหลี่ยม เป้าหมายสองสามวัน
50.50 – 52.50( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 48.25 )

10 อันดับซื้อขายสูงสุด
PTT ปรับตัวลง 366 - 372
PTTCH ปรับตัวลง 160 – 161
IVL ปรับตัวลง 51 – 52
IRPC ปรับตัวลง 5.90 – 6.10
PTTAR ปรับตัวลง 40 – 41
SCB ปรับตัวลง 112 - 113
PTTEP รายละเอียดใน “หุ้นเด่น”
TRUE ต่ำกว่า 4.80 ลง 4.20 – 4.40
CPF ไม่ต่ำกว่า 25 ขึ้น 26.50 - 27
TTA แกว่งตัว 20.30 – 20.80

-----------------------------------------------------------------------------
E FinanceThai : เล่นหุ้นหลังสงกรานต์
โบรกฯ ประสานเสียง หุ้นไทยหลังสงกรานต์ยังขาขึ้น ดัชนีฯ ลุ้นแตะแนวต้าน 1,100-1,120 จุด เชียร์ลงทุนหุ้นพลังงาน-แบงก์ ให้น้ำหนักการลงทุน “มากกว่าตลาด” ด้าน กิมเอ็ง เชียร์ เก็บหุ้นที่ยังไม่สะท้อนปัจจัยบวก ผลงาน1Q54 ฟากโนมูระ พัฒนสิน ชี้ ดัชนีฯหุ้นไทยจะสร้างจุดสูงสุดใหม่ ภายในQ2-ต้นQ3 ปีนี้ ให้เป้าหมายที่บริเวณ 1,125-1,212 จุด
จากกระแสเงินลงทุนต่างชาติที่ไหลเข้าตลาดหุ้นไทยประกอบกับ แนวโน้มราคาน้ำมันโลกที่ยังพุ่งแรงไม่หยุด ส่งผลให้ดัชนีหุ้นไทยทะยานบวกอย่างต่อเนื่องช่วงก่อนหยุดยาวเทศกาลสงกรานต์ แต่หลังจากสงกรานต์แล้ว หุ้นไทยจะมีทิศทางอย่างไรต่อไป

* โบรกฯ ประสานเสียง หุ้นไทยหลังสงกรานต์ ยังขาขึ้น ดัชนีฯ ลุ้นแตะแนวต้าน 1,100-1,120 จุด แนะลงทุน หุ้นพลังงาน-แบงก์
นายชัย จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.โนมูระพัฒนสิน เปิดเผยว่า แนวโน้มการเคลื่อนไหวดัชนีตลาดหุ้นไทย หลังจากวันหยุดยาวช่วงเทศกาลสงกรานต์แล้ว ดัชนีฯยังมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ต่อ เนื่องจากเชื่อว่าจะมีแรงซื้อเข้ามาในหุ้นกลุ่มขนาดใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่มพลังงาน เพราะได้รับแรงสนับสนุนจากแนวโน้มราคาน้ำมันในตลาดโลกยังเป็นขาขึ้น โดยมีโอกาสขึ้นไปทดสอบแนวต้านที่ระดับ 1,100-1,120 จุด ส่วนแนวรับอยู่ที่ 1,070 จุด
"หากประเมินตลาดหุ้นไทยในเดือนเมษายนของทุกปีแล้วจะพบว่าดัชนีฯจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ในทิศทางเชิงบวก และให้ผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุน แม้ว่าปีก่อนจะไม่ดีนักจากเหตุความไม่สงบทางการเมือง ทำให้การลงทุนไม่คึกคักนัก ซึ่งปีนี้แรงซื้อต่างชาติก็เข้ามาในหุ้นกลุ่มหลัก อาทิ พลังงาน แต่หลังสงกรานต์อาจจะเจอกับแรงขายหุ้นกลุ่มแบงก์บ้าง เพราะแรงขายจากนักลงทุนที่เก็งกำไรไปก่อนหน้าแล้ว ซึ่งอาจจะทำให้ดัชนีฯฟื้นตัวอย่างมีกรอบจำกัด"นายชัย กล่าว
นอกจากนี้ ยังเชื่อว่าจะมีแรงเก็งกำไรเข้ามาในหุ้นกลุ่มธนาคารบ้างจากการประกาศผลประกอบการไตรมาส1/54 ในวันที่ 20 เมษายนนี้ เพราะคาดว่าผลประกอบการจะออกมาเติบโตโดดเด่น และยังได้รับอานิสงส์จากดอกเบี้ยขาขึ้น แต่อาจจะเจอกับแรงขายทำกำไรออกมาจากนักลงทุนที่เข้ามาเก็งกำไรไปแล้วก่อนหน้านี้
สำหรับกลยุทธ์การลงทุน หลังจากสิ้นสุดช่วงเทศกาลสงกรานต์ตลาดฯจะเปิดทำการอีกเพียง 10 วันทำการเท่านั้น แต่ถือว่าดัชนีฯยังเป็นขาขึ้น จึงควรเข้าลงทุนหุ้นตัวหลัก อาทิ กลุ่มพลังงาน และธนาคาร
ด้านนายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.เอเซียพลัส เปิดเผยว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทย หลังช่วงเทศกาลสงกรานต์ มีโอกาสขึ้นไปแตะแนวต้าน 1,100 จุดได้ จากแรงซื้อในหุ้นกลุ่มพลังงาน เพราะราคาน้ำมันในตลาดโลก โดยเฉพาะน้ำมันไนเม็กเพิ่มขึ้นไปแตะที่ 111 ดอลลาร์/บาร์เรลแล้ว ถือเป็นปัจจัยหลักที่สนับสนุนบรรกาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย แต่ก็ต้องระมัดระวังแรงขายเช่นกันหากราคาปรับเพิ่มขึ้นสูง อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 20 เม.ย.กลุ่มธนาคารจะประกาศผลประกอบการ ซึ่งอาจจะเกิดภาวะ Sale on Fact ในหุ้นกลุ่มธนาคารได้
"แรงซื้อจากต่างชาติยังคงไหลเข้าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหลังสงกรานต์ก็เชื่อว่าจะยังเห็นอยู่ แต่อาจจะชะลอไปบ้าง เพราะได้ซื้อติดต่อกัน 12 วันทำการแล้ว" เทิดศักดิ์ กล่าว
กลยุทธ์ลงทุน ยังคงเข้าเก็งกำไรในหุ้นกลุ่มโภคภัณฑ์ได้ เพราะยังได้รับอานิสงส์จากราคาน้ำมันโลกที่เพิ่มขึ้น โดยประเมินแนวต้าน 1,100 จุด และประเมินแนวรับ 1,080 จุด

* เอเซียพลัส ชู กลุ่มพลังงาน -แบงก์ ให้น้ำหนักการลงทุน “มากกว่าตลาด”
บทวิเคราะห์ บล.เอเซียพลัส ระบุว่า ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกอ้างอิงดูไบ และไนเม็กซ์ปัจจุบันอยู่ที่ 112.19 และ 108.20 เหรียญฯต่อบาร์เรล ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี 2554 ถึง 20% โดยมีปัจจัยผลักดันหลักมาจากปัญหาความขัดแย้งในตะวันออกกลางซึ่งถือเป็นกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ของโลกที่ได้ขยายตัวในวงกว้างอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี 2554 เริ่มจาก ซาอุดิอาระเบีย, เยเมน, บาร์เรน, อียิปต์ และลิเบีย เป็นต้น ส่งผลให้ปริมาณน้ำมันที่ออกสู่ตลาดโลกโดยรวมปรับตัวลดลง อาทิเช่น เหตุการณ์ในปัจจุบันการเกิดปัญหาขึ้นในลิเบียส่งผลให้กำลังการผลิตน้ำมันของประเทศลิเบียลดลงเหลือเพียง 3.9 แสนบาร์เรลต่อวัน จาก 1.59 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งฝ่ายวิจัยคาดปัญหาในตะวันออกกลางยังคงยืดเยื้ออีกระยะหนึ่ง จึงเป็นประเด็นสำคัญที่ยังช่วยหนุนให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่ทางด้านพื้นฐานก็เป็นไปตามที่ประเมินไว้ว่าความต้องการใช้น้ำมันในปี 2554 มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น ตามการคาดสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มฟื้นตัวทั้งในทวีปยุโรป และสหรัฐ ซึ่งจากการพยากรณ์ของ IEA (International Energy Agency) คาดว่าจะอยู่ที่ราว 1.7%yoy หรือคิดเป็นปริมาณ 1.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน มาเฉลี่ยอยู่ที่ 89.3 ล้านบาร์เรลต่อวัน ในส่วนของ Supply เองนั้น แม้จะมีปริมาณการผลิตน้ำมันที่เพิ่มขึ้น แต่คาดว่ากลุ่ม OPEC จะยังเป็นกลไกสำคัญที่ทำหน้าที่คอยทำการควบคุมปริมาณการผลิตที่จะออกสู่ตลาดไว้ เพื่อรักษาฐานราคาน้ำมันให้ทรงตัวไว้ในระดับสูง
ฝ่ายวิจัยได้ทำการปรับเพิ่มสมมติฐานราคาน้ำมันดิบอ้างอิงดูไบเป็น 100 เหรียญฯต่อบาร์เรล จากเดิม 85 เหรียญฯต่อบาร์เรล หรือเพิ่มขึ้น 17.6%เพื่อสะท้อนราคาน้ำมันที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ซึ่งฝ่ายวิจัยมีมุมมองว่าราคาน้ำมันนับจากนี้ไปจนถึงสิ้นปี 2554 น่าทรงตัวที่ระดับเกิน 100 เหรียญฯต่อบาร์เรล จากปัจจัยหนุนที่กล่าวมาข้างต้น ซึ่งการปรับเพิ่มสมมติฐานราคาน้ำมันดังกล่าวส่งผลบวกโดยตรงต่อหุ้นกลุ่มน้ำมันทั้ง PTTEP และ PTT เนื่องจากราคาขายผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมแปรผันโดยตรงกับราคาน้ำมันในตลาดโลก ทั้งนี้ภายหลังการปรับสมมติฐานราคาน้ำมันจะทำให้ประมาณการกำไรปี 2554 ของ PTTEP และ PTT ปรับตัวสูงขึ้น 10.7% และ 5.5% จากประมาณการเดิมตามลำดับ และมูลค่าพื้นฐาน ณ สิ้นปี 2554 ภายใต้ประมาณการใหม่ อ้างอิงวิธี DCF ของ PTTEP และ PTT เท่ากับ 255.98 บาทต่อหุ้น และ 440.39 บาทต่อหุ้น
ฝ่ายวิจัยให้น้ำหนักการลงทุนหุ้นกลุ่มน้ำมัน “มากกว่าตลาด” โดยคงคำแนะนำซื้อลงทุนทั้ง PTTEP และ PTT ราคาตลาดปัจจุบันยังมี Upside จาก Fair Value ปี 2554 ใหม่ ถึง % และ % ตามลำดับ ซึ่งนอกจากปัจจัยบวกในส่วนของราคาน้ำมันที่อยู่ในทิศทางขาขึ้นแล้วนั้น PTTEP ยังมีปัจจัยบวกในส่วนของปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้นและปัญหามอนทาราที่คลี่คลายลงไป ส่วน PTT นั้น ยังได้รับประโยชน์จากธุรกิจปิโตรเคมี และโรงกลั่นที่อยู่ในช่วงขาขึ้นเช่นกัน อีกทั้งพิจารณา PER และ EPS Growth ของหุ้นกลุ่มปิโตรเลียม และถ่านหิน ในภูมิภาค พบว่า PTTEP และ PTT ถือเป็นหุ้นที่มีอัตราการเติบโตของกำไรที่โดดเด่น และ PER ยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในภูมิภาค จึงคาดในระยะ 3 เดือน ข้างหน้าราคาหุ้นน่าจะมีโอกาส Outperform ตลาดสูง
สำหรับ หุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ (ธ.พ.) บทวิเคราะห์ บล.เอเซียพลัส ระบุว่า ธ.พ. 9 แห่งคาดว่าจะมีกำไรสุทธิ 1Q54 เท่ากับ 3.56 หมื่นล้านบาท เติบโตถึง 35.1% qoq และทำระดับสูงสุดในรายไตรมาสในรอบหลายปีที่ผ่านมา โดยมีปัจจัยบวกหนุนหลายประการ ทั้งในส่วนของสินเชื่อสุทธิที่เห็นการเติบโตเชิงรุกถึง 4.7% qoq ซึ่งเป็นการเติบโตจากทุกกลุ่มทั้งรายใหญ่ SME และรายย่อย (ส่วนใหญ่เป็นสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์) ค่อนข้างสูงเกินเป้าหมายที่ฝ่ายวิจัยที่คาดไว้ทั้ง ปี 2554 ที่ 10.4% yoy ขณะที่ NIM ปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 7bp จากงวดที่ผ่านมาสู่ระดับ 3.81% โดยได้รับผลบวกจากการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ทุกประเภทในระดับเฉลี่ย 0.30-0.40% แม้ด้านต้นทุนดอกเบี้ยจ่ายจะเห็นการปรับตัวสูงขึ้นของดอกเบี้ยออมทรัพย์ แต่ผลบวกจาก Yield ที่เพิ่มขึ้นสามารถหักล้างผลกระทบได้เป็นส่วนใหญ่ ส่วนรายได้ค่าธรรมเนียมฯ ใน 1Q54 ค่อนข้างทรงตัวได้จากงวดที่ผ่านมา แม้จะเป็นช่วง low season ก็ตาม เนื่องจากรายได้ค่าธรรมเนียมฯ ในส่วนของสินเชื่อ (กลุ่มรายใหญ่) ที่บันทึกเข้ามามากในงวดนี้ จึงช่วยพยุงรายได้ค่าธรรมเนียมฯ รวมไว้ได้ ด้านคุณภาพหนี้ แม้พบว่า ธ.พ. บางแห่ง (โดยมากเป็น ธ.พ.ในกลุ่มเช่าซื้อรถยนต์) จะมี NPL เพิ่มขึ้นบ้าง แต่ไม่ได้มีนัยฯ จนน่ากังวล โดยระดับการตั้งสำรองหนี้ฯ โดยรวมแล้ว ยังลดลงกว่า 3.1% จากงวดที่ผ่านมา (ส่วนใหญ่เป็นการลดลงของ TMB, TISCO และ BAY ขณะที่คาด KK และ TCAP จะมีการตั้งสำรองเพิ่มขึ้นมาก) ส่วน Cost to income ratio ใน 1Q54 ปรับตัวลดลงมาที่ 56.9% จาก 59.7% ในงวดที่ผ่านมา จากการลดลงของค่าใช้จ่ายตามฤดูกาล โดยรวมแล้ว คาดการณ์กำไรสุทธิ 1Q54 คิดเป็นสัดส่วนถึง 29% ของประมาณการกำไรสุทธิทั้งปี 2554 ที่ประเมินไว้ ทั้งนี้ ธ.พ. ที่ฝ่ายวิจัยคาดว่าจะมีกำไรสุทธิเติบโตโดดเด่นมากใน 1Q54 ได้แก่ SCB (จากการบันทึกรายได้พิเศษจากการตีมูลค่าเพิ่มของเงินลงทุนใน SCNYL ขึ้นกว่า 5.1 พันล้านบาท) KK (จากค่าใช้จ่ายพิเศษที่ลดลงจาก 4Q54 กว่า 583 ล้านบาท สำหรับความเสียหายจากการผิดสัญญาในการเข้าประมูลทรัพย์ในช่วงที่ผ่านมา) และ KTB (จากการบันทึกเงินปันผลรับจากกองทุนวายุภักษ์กว่า 820 ล้านบาทในงวดนี้)
ฝ่ายวิจัยยังค่อนข้างเชื่อมั่นต่อภาพรวมการเติบโตของสินเชื่อและผลการดำเนินงานใน 2Q54 (จากธุรกิจไม่รวมรายการพิเศษ) ว่าจะเป็นไปในทิศทางบวกต่อเนื่องจาก 1Q54 แม้ปกติแล้วในช่วง 1H จะเป็นช่วง low season ของสินเชื่อ แต่จะไม่เกิดรูปแบบดังกล่าวขึ้นในปี 2554 เนื่องจากความต้องการสินเชื่อในกลุ่มสินเชื่อรายใหญ่ที่ได้ทยอยอนุมัติไปตั้งแต่ปี 2553ยังมีเข้ามาต่อเนื่องสำหรับโครงการลงทุนต่างๆ ทั้งในส่วนของโครงการภาครัฐ และภาคเอกชนที่รับเหมางานจากภาครัฐซึ่งจะเห็นการเติบโตของความต้องการสินเชื่อเด่นชัดมากขึ้นในปี 2554 ภายหลังจากที่โครงการภาครัฐได้นำร่องการลงทุนไปเป็นส่วนใหญ่แล้ว นอกจากนี้ ความต้องการสินเชื่อที่เกิดจากการขยายฐานเข้าไปลงทุนในต่างประเทศหรือการซื้อ/ปรับเปลี่ยนเครื่องจักรใหม่ โดยอาศัยโอกาสในช่วงที่ค่าเงินบาทแข็งค่ามากในปี 2553 ล้วนเป็นปัจจัยสนับสนุนให้การเติบโตของกลุ่มสินเชื่อรายใหญ่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยฯ และมีความต่อเนื่อง ขณะที่กลุ่มสินเชื่อ SME พบว่าความต้องการสินเชื่ออยู่ในระดับสูงมากเช่นกัน จากสาเหตุข้างต้นที่ฝ่ายวิจัยนำเสนอ โดยมีปัจจัยผลักดันจากสถานการณ์ราคาสินค้าเกษตรที่ปรับตัวขึ้นมากในช่วงที่ผ่านมา อาทิ ยาง ปาล์ม และนำตาล ทำให้ ธ.พ.ส่วนใหญ่ถึงขั้นต้องเปิดวงเงินเบิกเกินบัญชีให้แก่ลูกหนี้มากขึ้นสำหรับการผลิตและสต็อคสินค้าในปริมาณที่เท่าเดิม ทั้งนี้ สถานการณ์ดังกล่าวจะส่งผลบวกต่อแนวโน้มการเติบโตของสินเชื่อสุทธิในปี 2554 ซึ่งมีแนวโน้มสูงกว่าจะเติบโตได้เกินเป้าหมายที่ฝ่ายวิจัยประเมินไว้ที่ 10.4% yoy (SCB และ BAY ประกาศแล้วว่าจะมีการปรับเพิ่มเป้าหมายสินเชื่อสุทธิทั้งปี 2554 ขึ้น)
ฝ่ายวิจัยให้น้ำหนักการลงทุนมากกว่าตลาด สำหรับหุ้นในกลุ่ม ธ.พ. เพื่อให้สอดคล้องกับมุมมองการดำเนินธุรกิจของ ธ.พ. ที่จะเป็นไปในทิศทางบวกมากขึ้นในปี 2554 โดยคาด EPS ปี 2554-55 จะเติบโตในระดับ 11.5%yoy และ 11.6%yoy ตามลำดับ ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยยังเลือกหุ้น Top picks ได้แก่ BBL และ KBANK เนื่องจากได้รับผลบวกสูงสุดจากการเติบโตของสินเชื่อรายใหญ่ และ SME ในปี 2554 อีกทั้งยังมี upside ที่ดีให้เข้าลงทุน คำแนะนำการลงทุนมากกว่าตลาด

* ฟาก กิมเอ็ง เชียร์ เก็บหุ้นที่ยังไม่สะท้อนปัจจัยบวก ผลงาน1Q54 หลังสงกรานต์
บทวิเคราะห์ บล.กิมเอ็ง เชื่อว่า SET INDEX มีโอกาสทะลุแนว 1,100 จุด นำโดยกลุ่มธนาคาร เพื่อเก็งกำไรต่อการประชุมกนง.วันที่ 20 เม.ย. และงบการเงิน 1Q54 ภายในวันที่ 21 เม.ย. ทั้งนี้ปัจจัยสำคัญในสัปดาห์นี้ อยู่ที่ตัวเลขเศรษฐกิจของจีนคือ อัตราเงินเฟ้อเดือนมี.ค. ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์ประเมินว่าน่าจะถึงระดับสูงสุดของปีนี้ในเดือนมี.ค.หรือเม.ย. หากเป็นเช่นนั้น ย่อมทำให้แรงกดดันเงินเฟ้อสูง เศรษฐกิจร้อนแรงของจีนคลี่คลายลง และอาจกลายเป็นจุดที่ดึงเม็ดเงินทุนต่างชาติเข้าเอเชียได้เช่นกัน พร้อมกับการรายงาน GDP ใน 1Q54 ของจีน
บล.กิมเอ็ง เสนอให้นักลงทุน “กลับมาทยอยขายทำกำไรราว 15% ของพอร์ตบริเวณ 1,100 จุด ” และถือพอร์ตส่วนที่เหลือ หรืออาจจัดสรรเข้าสะสมหุ้นที่ราคายังไม่สะท้อนปัจจัยบวกของผลการดำเนินงานใน 1Q54 ที่จะมีการประมาณการในช่วงหลังจากเทศกาลสงกรานต์นี้ น่าจะเป็นตัวเลือกของการลงทุนช่วงสั้นนี้ พร้อมกับเก็งกำไรต่อกระแสเงินทุนต่างชาติในรอบนี้ด้วยเช่นกัน

*ฟาก โนมูระ พัฒนสิน ชี้ ดัชนีฯหุ้นไทยจะสร้างจุดสูงสุดใหม่ ภายในQ2-ต้นQ3 ปีนี้ ให้เป้าหมายที่บริเวณ 1,125-1,212 จุด
บทวิเคราะห์ บล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุว่า สำหรับมุมมองระยะ3เดือนข้างหน้า CNS คงคำแนะนำ ซื้อสะสมเมื่ออ่อนตัว โดยคาดว่า ดัชนีฯหุ้นไทยจะสร้างจุดสูงสุดใหม่ –ดูรายงานกลยุทธ์ล่าสุด (สูงสุดเดิม ปี 2011: 1,056.44 จุด) ภายในไตรมาส 2-ต้นไตรมาส 3 ปีนี้ โดยมีเป้าหมายที่บริเวณ 1,125-1,212 จุด (เทคนิคคาด 1,130 จุด) เราคงแนะนำ ซื้อเพิ่ม/ ถือ (แนะนำซื้อเมื่อปรับฐานใน 1Q11 ไปแล้ว) โดยแนะนำหุ้นตามประเด็นการลงทุนดังต่อไปนี้
1) Political play: โดยสถิติหุ้นไทย จะปรับสูงขึ้นก่อนการเลือกตั้ง แนะนำ กลุ่มแบงก์ บันเทิง อสังหาฯ รับเหมาฯ สื่อสารฯค้าปลีก และอาหาร (ADVANC STEC STPI MCOT SCB CPALL ฯลฯ)
2) Earning play: คาดกำไร 1Q11F เติบโตโดดเด่น หรือมีโอกาสปรับเพิ่มประมาณการณ์กำไร แนะนำ กลุ่มโรงกลั่นแบงก์ อาหาร ถ่านหิน (TOP PTTAR KBANK BBL KTB GFPT BANPU)
3) M&A: การควบรวมกิจการ PTTAR PTTCH เก็งกำไร ESSO GSTEEL
4) Japan recovery: การบูรณะฟื้นฟูประเทศญี่ปุ่น แนะนำ กลุ่มวัสดุก่อสร้าง ยานยนต์ นิคมอุตสาหกรรม (รอซื้อเมื่ออ่อนตัว หรือเมื่อมีข่าวธุรกิจในญี่ปุ่นเริ่มกลับมาดำเนินการได้ตามปกติ)

* สมาคมนักวิเคราะห์ มั่นใจการเมือง-ศก.ปรับเพิ่มดัชนี สิ้นปี 54 เพิ่มเป็น 1181 จุด ชู BANPU, BBL, KBANK, PTT, SCB, TOP เด่น
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ เปิดเผยผลสำรวจความเห็นนักวิเคราะห์ครั้งล่าสุด สรุปได้ว่า ปัจจัยบวกสำคัญมาจากกระแสเงินทุนจากต่างชาติที่ไหลเข้าไทยอย่างต่อเนื่อง การเลือกตั้งที่คาดว่าจะมีขึ้นช่วงกลางปีนี้ แนวโน้มการฟื้นตัวของ เศรษฐกิจโลกและสหรัฐ การขยายตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศ รวมถึงผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่ดีขึ้น ซึ่งนักวิเคราะห์ประมาณการอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจปี 54 ที่เฉลี่ย 4.4% และปี 55 ที่เฉลี่ย 4.8% ในขณะที่คาดว่าอัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้น (EPS Growth) ปี 54 จะปรับตัวลดลงเป็นเฉลี่ย 13.8% (จากฐานกำไรปี 53 ที่สูง)
ปัญหาสำคัญที่นักวิเคราะห์แนะภาครัฐจับตา ได้แก่ ปัญหาค่าครองชีพ ภัยธรรมชาติ และการแข็งค่าของเงินบาท พร้อมเสนอมาตรการสำคัญที่ควรเร่งดำเนินการ คือ มาตรการด้านการลงทุน โดยเร่งการลงทุนภาครัฐ มาตรการควบคุมเงินเฟ้อ และมาตรการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
คำแนะนำแก่นักลงทุน สำหรับการลงทุนระยะกลาง-ยาว แนะนำให้ลงทุนในหุ้นปัจจัยพื้นฐานดี มีอัตราเงินปันผลสูง ในขณะที่ราคายังไม่สูงมากนัก โดยทยอยสะสมในช่วงตลาดปรับฐาน ทั้งนี้ ควรศึกษาข้อมูลหุ้นที่จะเข้าลงทุน และติดตามข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งเตรียมพร้อมรับความผันผวนของตลาด และเตรียมกลยุทธ์รองรับในกรณีที่ตลาดไม่เป็นไปตามที่คาดไว้
สำหรับการลงทุนระยะสั้น เพิ่มความระมัดระวังในการลงทุนให้มากขึ้น เนื่องจากตลาดในระยะนี้เป็นตลาดขาขึ้น มีความเสี่ยงสูง ควรเลือกหุ้นที่รับประโยชน์จากการเลือกตั้ง การฟื้นฟูหลังสถานการณ์น้ำท่วม และวิกฤตนิวเคลียร์ญี่ปุ่น ควรดูจังหวะซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว และขายทำกำไรเมื่อราคาปรับตัวสูงขึ้น ปัจจัยที่ต้องจับตามอง ควรติดตามทั้งปัจจัยภายนอกประเทศ (กระแสเงินทุนต่างชาติ) และภายในประเทศ (การเมือง) อย่างใกล้ชิด
หุ้นแนะนำ หุ้นเด่นที่นักวิเคราะห์แนะนำให้ลงทุนตรงกันหลายสำนักวิจัย ได้แก่ BANPU, BBL, KBANK, PTT, SCB, TOP เป็นต้น (เรียงตามลำดับตัวอักษร) สำหรับหุ้นที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เห็นว่าราคาเต็มมูลค่า หรือเกินมูลค่าแล้ว ได้แก่ TMB, TRUE เป็นต้น



-----------------------------------------------------------------------------