Code 181 : จะไปไหนก่อนดี 999 หรือ 970

วันศุกร์ที่ 22 ตุลาคม 2553
ATT Code : จะไปไหนก่อนดี 999 หรือ 970
ปีนี้อาจจะไม่ได้เห็น SET 1,000 ก็เป็นได้ ถ้ายังไม่สามารถยืนเหนือ 991 ได้ ซื่งถ้าหลุด 980 ก็อาจจะลงยาวได้ต่ำกว่า 970
----------------------------------------------------------------------------------
MARKET WAVE Analysis
22 ตค. 53 ( +0.69 จุด) โกมล พงศ์วิญญู เลขทะเบียน 18338

แกว่งตัวในกรอบ 980 - 999 จุด
แนวโน้มในวันศุกร์นี้ ดัชนีน่าจะแกว่งตัวในกรอบ 980 – 999 หรือระหว่างจุดต่ำสุดของวันพุธถึงจุดสูงสดเดิมของปีนี้

จากนั้นมีความเป็นไปได้ 2 แนวทางด้วยกัน คือ
1 การปรับตัวขึ้น เกิน 999.51 จุดสูงสุดเดิมของสัปดาห์ที่แล้ว ดัชนีมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อแถว 1040 – 1055 จุด ... ก่อนที่จะปรับฐานใหญ่ต่อไป
2 การปรับตัวลง ต่ำกว่า 970 เส้นค่าเฉลี่ย25 วัน ดัชนีมีโอกาสปรับฐานใหญ่แถว 900 –910 จุด หรือเท่ากับอัตราส่วน Fibonacci Ratio 38.2% นับจากที่ปรับตัวขึ้นมาเมื่อเดือน
มิย. ปีนี้

หุ้นเด่น
TCAP
ปรับตัวขึ้นมาแถวเส้นค่าเฉลี่ย 25 วันพอดีทยอยซื้อแถว 39.25 – 39.75 หรือซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 40.00 จุดสูงสุดวันพฤหัสเป้าหมายหนึ่งถึงสองวัน 41.50 – 42.00( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 39.00 )41.50 – 42

STPI
ปรับตัวทะลุกรอบสามเหลี่ยม ภาพระยะวันขึ้นมาได้ ทยอยซื้อแถว 35.50 – 35.75 หรือซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 37.25 จุดสูงสุดวันพฤหัสเป้าหมายระยะสัปดาห์ 39.75 – 40.75( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 35.00 )

10 อันดับซื้อขายสูงสุด
BANPU ไม่ต่ำกว่า 744 ขึ้น 816 - 836
PTT มีโอกาสลง 297 – 300
BJC ไม่ต่ำกว่า 19.90 ขึ้น 21.20 – 23.20
STA ไม่เกิน 32.25 ลง 26 – 28
CPF เกิน 23.90 ขึ้น 24.30 - 25
KTB แกว่งตัว 17 – 17.50
TISCO เกิน 43.50 ขึ้น 44 – 44.50
SCC เกิน 328 ขึ้น 331 - 333
TMB ปรับตัวลง 2.24 – 2.28
STPI รายละเอียดใน “หุ้นเด่น”
----------------------------------------------------------------------------------
FSS - BJC: เก็งกำไรการประมูลคาร์ฟูร์รอบ 2 ปลาย ต.ค.ต้น พ.ย.(รู้ผลสิ้นปี) ถ้าซื้อมาแพงอาจต้องเพิ่มทุน (ปีที่แล้ว Carrefour ขาดทุนเพราะเสีย market share ให้ Lotus, BIGC)

BJC
- ใกล้ระยะเวลาประมูลรอบ 2 คาร์ฟูร์ (ตามเอกสารระบุเป็นรอบสุดท้าย) ราวปลาย ต.ค. – ต้น พ.ย. คาดรู้ผลภายในสิ้นปีนี้
- ผู้ประมูลที่เหลืออยู่ 3 รายได้แก่ BJC, เซ็นทรัล กรุ๊ป และ คาสิโน (BIGC)
- เรายังไม่สามารถประเมิน Synergy จากการซื้อคาร์ฟูร์ได้ เนื่องจากปัจจุบันคาร์ฟูร์ประเทศไทยได้สูญเสียส่วนแบ่งการตลาดให้กับ Lotus, BIGC ทำให้ปี 2009 ที่ผ่านมาขาดทุนราว 300 ลบ. (จากปี 2008 ที่กำไรถึง 500 ลบ.) และยังไม่ทราบกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจค้าปลีกของ BJC ที่ไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน เบื้องต้นคาดว่าการซื้อคาร์ฟูร์จะต่อยอดธุรกิจ Consumer Product (สัดส่วน 30% ของยอดขายรวม) ของ BJC ได้ แต่ถ้าดีลนี้สำเร็จ BJC จะต้องเพิ่มทุนอย่างแน่นอน
- คาดกำไร 3Q10 ของ BJC จะเติบโต Y-Y อยู่ที่ระดับ 450 – 500 ล้านบาท ใกล้เคียง 2Q10
- ราคาเป้าหมาย Consensus (ยังไม่รวมคาร์ฟูร์) อยู่ที่ 24 – 25 บาท

----------------------------------------------------------------------------------
เFSS - รื่องควรรู้ : จากการหมดอายุของ DW ซึ่งตัวแรกของรอบนี้จะเป็น PTT13CB สัดส่วนการแปลง 20 ต่อ 1 ที่ราคา 271.70 บ. ซึ่งจะซื้อขายวันสุดท้ายวันที่ 22 พ.ย.

คาดว่าเมื่อเข้าใกล้วันหมดอายุ ราคาของ DW จะค่อยๆ ปรับตัวเข้าหาราคาที่ไม่มีพรีเมี่ยม เช่น PTT13CB พอเข้าใกล้วันที่ 22 พ.ย. ถ้าราคา PTT อยู่ที่ 305 บาท ราคาของ DW น่าจะปรับตัวลงไปแถว 1.66 บาท (เกิดจากการนำราคาตลาดหุ้นแม่ไปลบด้วยราคาแปลง แล้วหารด้วยสัดส่วนการแปลง) และวอลุ่ม BID คาดว่าจะเหลือค่อนข้างน้อย เนื่องจากนักลงทุนจะไม่มา BID แล้วเพราะไม่มีส่วนต่างเหลือ ดังนั้นยิ่งเข้าใกล้วันหมดอายุเท่าไหร่ คนที่มี DW อยู่ต้องระวังเรื่องของสภาพคล่องในการที่จะขายคืนในตลาดด้วย
อย่างไรก็ตาม สำหรับ DW ที่ออกโดย KGI ทางบริษัทแจ้งว่าในวันสุดท้ายของการเทรด (เช่นกรณีของ PTT13CB คือวันที่ 22 พ.ย.) Market Maker ของ KGI จะส่งคำสั่ง BID เข้าไปรองรับ ณ ราคา at the money ให้ทั้งวัน เพื่อนักลงทุนจะได้ไม่ต้องเสียภาษี... (แต่ไม่ได้เป็นข้อบังคับว่าผู้ออก DW ต้องทำแบบนี้ ดังนั้นส่วนของเจ้าอื่นๆ เราจะตามเช็คมาให้อีกครั้ง)
ข้อสำคัญ การหมดอายุของ DW จะเป็น Cash Settlement (ไม่มีการแลกเป็นหุ้นแม่) คือ ผู้ออก DW จะคิดส่วนต่างของราคาปิดหุ้นแม่ ณ วันสุดท้ายเพื่อมาคำนวณส่วนต่าง ถ้าเป็นบวกก็คืนเงินให้ ซึ่งต้องนำไปคำนวณเพื่อเสียภาษีสิ้นปีด้วย
ตัวอย่างเช่น PTT13CB พอสิ้นสุดวันที่ 22 พ.ย.ไปแล้ว ทาง KGI จะนำราคาปิดหุ้น PTT วันที่ 22 พ.ย. (สมมติว่าเป็น 305 บาท) มาหักราคา Exercise ของ PTT13CB ซึ่งในที่นี้เท่ากับ 271.70 บาท เท่ากับนักลงทุนที่ถือ DW อยู่จะได้กำไรจากส่วนต่างเท่ากับ 33.30 บาทต่อ DW ที่ถืออยู่ทุกๆ 20 หน่วย (เพราะสัดส่วนการแปลงคือ 20 ต่อ 1) หรือเท่ากับ 1.66 บาทต่อ 1 PTT13CB นั่นเอง แล้วโอนเงินเข้าบัญชีผู้ถือหน่วย หรือจ่ายเป็นเช็ค ในรูปแบบเดียวกับการรับเงินปันผล โดยไม่ได้สนใจต้นทุนการถือ DW ของนักลงทุนแต่ละคน ซึ่งข้อมูลรายรับตรงนี้นักลงทุนต้องนำไปกรอกเพื่อยื่นแบบฯ ภาษีของปี 53 นี้ในช่วงเดือน ม.ค.-มี.ค. 54 ด้วย ไม่ว่านักลงทุนรายนั้นๆ จะมีต้นทุน DW อยู่เท่าไหร่ และจริงๆ แล้วอาจจะขาดทุนจากการลงทุนครั้งนี้ก็ตาม [เช่นถ้าลูกค้าซื้อ DW มาที่ 5 บาท ถ้าคิดส่วนต่างก็จะเป็นขาดทุน = {(5*20)+271.70}-305 = ขาดทุน -66.70 บาทต่อ 20 DW] แต่ก็ต้องนำไปคำนวณเป็นรายได้เพื่อเสียภาษีตามฐานภาษีของแต่ละคนด้วย
ดังนั้นถ้าลูกค้าของใครถือไปจนหมดอายุ แล้วปิด Book ได้รับเงินจากผู้ออก DW ต้องเตือนให้นำไปยื่นแบบภาษีกับกรมสรรพากร ณ สิ้นปีนั้นๆ ด้วย เพื่อไม่ให้เสียค่าปรับจากการไม่ลงข้อมูลส่วนนี้ในแบบฯ
----------------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย
FSS: ยังมีสิทธิแกว่งในกรอบ 980-1000 ต่อ จังหวะซื้อจึงยังรอตอนอ่อนได้...
แนวโน้ม: FSS ยังคงคาดว่าตลาดหุ้นไทยยังมีโอกาสที่จะแกว่งตัวขึ้น-ลงอยู่ในกรอบ 980-1000 จุดต่อไปก่อน เนื่องจากความกังวลต่อเรื่องของค่าเงินบาทที่ถือว่าแม้จะยังทรงตัวแคบๆ ในช่วงหลัง แต่ก็ยังอยู่ในระดับแข็งค่าต่อเนื่อง ซึ่งอาจส่งผลให้แบงก์ชาติต้องพิจารณามาตรการดูแลออกมาได้ในอนาคต รวมทั้งตลาดหุ้นในภูมิภาคช่วงนี้แม้ว่าจะเคลื่อนไหวในด้านบวกแต่ก็ยังมีกรอบการขึ้นที่จำกัดและค่อนข้างแกว่งตัวผันผวนเช่นกัน ขณะที่ SET จะติดช่วงวันหยุดต่อเนื่องในวันจันทร์ที่จะถึงนี้ด้วย จึงน่าจะทำให้นักลงทุนบางส่วนชะลอการเข้าซื้อและอาจขายทำกำไรเพื่อลดความเสี่ยงออกมาบ้าง ทำให้ SET วันนี้น่าจะยังแกว่งตัวอยู่ในกรอบเดิมดังกล่าวต่อไป
กลยุทธ์: จึงเน้นถือหุ้นไม่เกิน 50% ของเงินลงทุนต่อ ส่วนซื้อเพิ่มรอช่วงตลาดอ่อนตัวได้ โดยหุ้นที่น่าสนใจได้แก่ กลุ่มแบงก์(SCB, KBANK, BBL, TCAP) ที่เริ่มทยอยประกาศผลการดำเนินงาน รวมทั้งหุ้นพื้นฐานที่ราคาพักฐานลงมาบ้างแล้วเช่น TASCO, TTCL, ITD, STEC, CK, SEFCO, LPN เป็นต้นประเด็นสำคัญวันนี้
• (+) UBS ชี้หุ้นไทยน่าลงทุน เพราะมีผลประกอบการดีสุดในเอเชีย มูลค่าหุ้นยังดึงดูดใจ ดัชนีอาจขึ้น 20% แตะ 1,050 จุดสิ้นปีนี้ แนะซื้อหุ้นแบงก์และพลังงาน
• (+) GDP ของจีนใน 3Q10 โต 9.6% Y-Y ดีกว่าตลาดคาดที่ +9.5% Y-Yแต่ชะลอจากไตรมาสก่อนที่ +10.3% Y-Y แต่หากพิจารณาการเติบโต Q-Qพบว่าในไตรมาสนี้ GDP +8.9% เร่งตัวขึ้นจากไตรมาสก่อนที่ +7.3% Q-Q ส่งสัญญาณว่าเศรษฐกิจจีนผ่านจุดที่ชะลอตัวไปแล้วและกลับมาขยายตัวได้อย่างมีเสถียรภาพอีกครั้ง การขยายตัวที่ดีอยู่ในภาคการลงทุนและการผลิต ส่งผลดีต่อเนื่องกับภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะไทยที่พึ่งพาตลาดจีนถึง 11% ของการส่งออกทั้งหมด หุ้นที่ส่งออกไปจีนค่อนข้างมากได้แก่ STA, TASCO, IVL,
SITHAI, VNG
• (+) กำไรกลุ่มแบงก์ดีกว่าคาด แบงก์ 10 แห่งที่เราศึกษามีกำไรเติบโต 9.6%Q-Q และ 22.7% Y-Y ดีกว่าที่เราคาดโดยเฉพาะ KTB (รายได้ดอกเบี้ยที่กว่าคาด), KK (เพราะมีกำไรจากการขาย NPA), TCAP (สำรองหนี้สูญต่ำกว่าคาด),BBL (กำไรจากการขายเงินลงทุนดีกว่าคาด) โดยมีแบงก์ที่เราปรับประมาณการและราคาเป้าหมายขึ้นคือ KTB ปรับขึ้นเป็น 19 บาท (เดิม 17.30 บาท) KBANKปรับเพิ่มเป็น 140 บาท (เดิม 130 บาท) SCB ปรับเพิ่มเป็น 130 บาท (เดิม 125บาท) TCAP ปรับเพิ่มเป็น 45 บาท (เดิม 40 บาท) TISCO ปรับเพิ่มเป็น 45 บาท
(เดิม 37 บาท) หุ้นเด่นในกลุ่มคือ SCB, KBANK, BBL
• (+) BANPU ปรับเป้าขึ้นเป็น 950 บาท โดยปรับเพิ่มสมมติฐานราคาขายเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็น US$80/ตันจากเดิม US$75/ตันและรับรู้ CEY เต็มปี (เริ่มรวมงบการเงินตั้งแต่ 1 ต.ค. นี้) สำหรับกำไร 3Q10 คาดโตก้าวกระโดด +263%Q-Qและ +262%Y-Y จากกำไรจากขาย ITMG แต่กำไรปกติลดลง 21%Q-Q และ4.5%Y-Y เรายังแนะนำซื้อ
• Fund Flow วานนี้เบาบางมาก แม้ตลาดหุ้นภูมิภาคส่วนใหญ่ปรับขึ้น ทั้งนี้เนื่องจากนักลงทุนส่วนใหญ่ยังไม่เห็นทิศทางตลาดที่ชัดเจน เพราะหลังจากที่จีน
ปรับขึ้นดอกเบี้ยขณะที่สหรัฐกำลังอัดฉีดเม็ดเงินเข้าระบบ ประกอบการรัฐมนตรีคลังสหรัฐออกมาบอกว่าดอลลาร์สหรัฐยังเป็นเงินสกุลหลักใช้เป็นทุนสำรอง
ระหว่างประเทศ ดังนั้นจึงทำให้ทิศทางค่าเงินผันผวนในระยะสั้น แต่อย่างไรก็ตามล่าสุดมีการคาดกันว่าเฟดอาจจะอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบแบบค่อยเป็นค่อยไปไม่
ใส่ครั้งเดียว ทั้งนี้เพื่อไม่ให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าเร็วเกินไป สำหรับแนวโน้มกระแสเงินทุนต่างชาติวันนี้น่าจะเบาบาง เพื่อรอเฟดจะประชุมกันอีกครั้งในวันที่ 3
พ.ย นี้ ค่าเงินบาทก็แข็งค่าแต่ผันผวนอยู่ในช่วงแคบ


ข่าวภายในประเทศ
กก.ผจก.ใหญ่ TOT เปิดเผยว่า ในช่วงต้นเดือนพ.ย.นี้ อัยการสูงสุดน่าจะตรวจเอกสารเงื่อนไขการประมูล (TOR) การเปิดประมูลโครงข่ายทั่วประเทศ สำหรับขยายบริการ 3G บนคลื่น 1900 MHz แล้วเสร็จ ในวงเงิน 19,980 ล้านบาท และคาดว่าจะส่งกลับมายังบอร์ด TOT โดยน่าจะสามารถเปิดการประมูลวิธีอี-ออคชั่น ได้ทันในเดือนเดียวกันตามกรอบเวลาเดิมทั้งนี้ ฝ่ายบริหารและบอร์ดทีโอที ได้มีข้อสรุปเพิ่มเติมในการแก้ไขเงื่อนไขทีโออาร์ โดยเพิ่มหลักเกณฑ์ 1 ข้อคือ การนำผลงานของบริษัทที่เคยชนะการประมูล มาพิจารณาร่วมด้วยเป็นพิเศษ ซึ่งในวันประชุมบอร์ดทีโอทีวันที่ 29 ตุลาคมนี้ จะมีการรับรองการเพิ่มหลักเกณฑ์ดังกล่าวลงไป จากนั้น จะนำส่งกลับไปยังอัยการสูงสุดอีกครั้งหนึ่ง“ถ้าใครที่เคยชนะงานทีโอทีและมีผลงานดี เสร็จตามกรอบเวลา ก็จะได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษร่วมกับการยื่นซองประกวดราคา และซองเทคนิค โดยโครงการดังกล่าวอยู่ในโครงการไทยเข้มแข็งจึงไม่จำเป็นต้องทำประชาพิจารณ์ และไม่ต้องประกาศรายการจัดซื้อจัดจ้างทางเว็บไซต์” รายงานข่าวแจ้งว่า บริษัทโทรคมนาคมหลักๆ ที่เข้าประมูลงานของทีโอทีประจำ มีบมจ. สามารถเทลคอม หรือ SAMTEL บริษัท ฟอร์ท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ FORTH บริษัท จัสมิน เทเลคอม ซิสเต็มส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JTS บริษัท แซดทีอี จำกัด และบริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี (ประเทศไทย) (Source - ข่าวหุ้น 22 ต.ค.10)
ความเห็นและคำแนะนำ: คง Rating “Trading Buy” SAMTEL ราคาเป้าหมายปี 11 ที่ 11.60 บาท อิง P/E เป้าหมายที่ 15 เท่า) โดย Upside จากโอกาสได้งานโครงการ 3G TOT ดังกล่าว คาดมูลค่าเพิ่มจากโครงการประมาณหุ้นละ 3 บาท แต่เรายังไม่รวมโครงการดังกล่าวในประมาณการและราคาเป้าหมาย เนื่องจากยังมีปัจจัยเสี่ยงความล่าช้าของการดำเนินการประมูลโครงการ
SAMTEL-FORTH-JTS ยิ้ม! ทีโอทีแก้ TOR เอื้อประโยชน์ ทีโอทีเพิ่มหลักเกณฑ์ทีโออาร์ใหม่ เปิดช่อง SAMTEL-FORTH-JTS ที่เคยรับงานทีโอทีได้รับพิจารณากรณีพิเศษ เล็งชงเข้าบอร์ด 29 ต.ค. เปิดประมูลเดือนพ.ย.นี้ มอบหมายฝ่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่-บริหารการลงทุน เปิดดีลแบงก์-โอเปอเรเตอร์ทำตลาด AIS เสนอตัวพร้อมเต็มที่ (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 22-10-2010)
PF ผุด 6 คอนโด 6 พันล้านบาท ยอดขายพุ่ง 7.2 พันล้าน คงเป้ารายได้ปีนี้หมื่นลบ. PF รุกหนัก Q4 ลุยเปิดคอนโดฯ 6 โครงการ มูลค่าเกือบ 6
พันล้านบาท ภายใต้ "ไอคอนโด" 3 โครงการ ราคาขาย 1-1.2 ล้านบาท และคอนโดฯปล่อยเช่าแบรนด์ "ยูนิลอฟท์" 3 โครงการ รวมปีนี้เปิดโครงการ
ใหม่ 14 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 14,022 ล้านบาท ขณะที่ล่าสุดยอดขายพุ่ง 7.2 พันล้านบาท ลุ้นสิ้นปีทำได้ตามเป้า 1.2 หมื่นล้านบาท ส่วนรายได้ปีนี้
คงเป้า 1 หมื่นล้านบาท โชว์แบ็กล็อก 3 พันล้านบาท บุ๊คปีนี้ 2.2 พันล้านบาท เพิ่มงบซื้อที่ดินแตะ 3.6 พันล้านบาท (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 22-10-
2010)
TTW กำไรไตรมาส 3 พุ่ง 545 ล้าน ขานรับกำลังผลิตใหม่ช่วยเสริม TTW ไตรมาส 3 ลุ้นกำไรสุทธิ 545 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% ขานรับกำลัง
การผลิตใหม่เดินเครื่อง 1 ก.ย.ที่ผ่านมา ยอดการใช้น้ำพุ่ง ย้ำเป้าทั้งปีขยายตัว 10% เนื่องจากปริมาณการใช้น้ำประปาเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอาหารทะเล แถมอานิสงส์เศรษฐกิจฟื้นไข้ โบรกฯฟันธงปีนี้ควักกระเป๋าจ่ายเงินปันผล 0.30 บาทต่อหุ้น ระหว่างกาลจ่าย 0.15 บาท (ที่มา:นสพ.ข่าวหุ้น 22-10-2010)
PYLON การันตีกำไรไตรมาส 4 สูงสุด งานในมือทะลัก 800 ล้าน เล็งเข้าประมูลงานอีกแห่ง PYLON ฟุ้งรายได้-กำไรไตรมาส 4/53 แจ่มสุด
เนื่องจากมีการรับรู้รายได้จากงานในมือเพิ่มขึ้น จาก Backlog ที่มีอยู่กว่า 800 ล้านบาท คาดรับรู้ปีนี้ 200 ล้านบาท หนุนรายได้ทั้งปีโตตามเป้าที่ตั้งไว้
600 ล้านบาท ขณะที่เตรียมเข้าประมูลงานใหม่มูลค่า 500 ล้านบาท เชื่อปี 2554 จะเป็นปีที่โดดเด่นที่สุดนับจากตั้งบริษัทมา (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 22-
10-2010)
MJD ลั่นกำไรปีนี้ใกล้เคียงปีก่อน เชื่อยอดรายได้รวมทำได้ตามเป้า MJD แย้มผลประกอบการปีนี้คาดใกล้เคียงปีก่อนที่มีรายได้รวม 2,997.86
ล้านบาท และกำไรสุทธิ 406.61 ล้านบาท หลังยอดรับรู้รายได้ทำได้ตามเป้า ส่วนยอดขาย 9 เดือนยังดีขานรับเปิด 3 โครงการใหม่ มูลค่ากว่า 6,000
ล้านบาท โบรกฯแนะซื้อเป้า 3.62 บาท เชื่อครึ่งปีหลังกำไรฟื้นตัว คาดทั้งปีนี้โกยกำไรสุทธิ 425 ล้านบาท โต 4.5% จากปีก่อน (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น
22-10-2010)
----------------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ตปท.
ข่าวต่างประเทศ
ยุโรป: รัฐบาลเยอรมนีปรับเพิ่มคาดเศรษฐกิจประเทศปีนี้เป็นขยายตัว 3.4% ไรเนอร์ บรูเดอร์เล รมว.กระทรวงเศรษฐกิจของเยอรมนี เปิดเผยว่ารัฐบาลเยอรมนีคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจของประเทศจะขยายตัวที่ระดับ 3.4% ในปีนี้ ซึ่งมากกว่าที่คาดการณ์ไว้เมื่อเดือนเมษายนว่าจะขยายตัวเพียง1.4% เนื่องจากการส่งออกของประเทศทะยานขึ้นแข็งแกร่ง นอกจากนี้ เยอรมนียังได้ยกระดับคาดการณ์เศรษฐกิจปีหน้าเป็น 1.8% จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 1.6% (ที่มา: อินโฟเควสท์ 21-10-2010)
สหรัฐอเมริกา: สหรัฐเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานสัปดาห์ที่แล้วลดลงเกินคาด 23,000 ราย กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการระหว่างว่างงานครั้งแรกในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุด ณ วันที่ 16 ต.ค.ลดลง 23,000 ราย มาอยู่ที่ระดับ 452,000 ราย ซึ่งปรับตัวลดลงมากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 455,000 ราย สะท้อนให้เห็นว่าตลาดแรงงานของสหรัฐกำลังเริ่มฟื้นตัว ส่วนจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานโดยเฉลี่ย 4 สัปดาห์ลดลง 4,250 ราย แตะระดับ 458,000 ราย (ที่มา: อินโฟเควสท์ 22-10-2010)
สหรัฐอเมริกา: ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจสหรัฐเดือนก.ย.ขยายตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3 คอนเฟอเรนซ์ บอร์ด ซึ่งเป็นองค์กรวิจัยเอกชนของสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจประจำเดือนก.ย.ของสหรัฐปรับตัวขึ้น 0.3% ทำสถิติเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3 อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ของคอนเฟอเรนซ์ บอร์ด กล่าวว่า แม้ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจซึ่งเป็นมาตรวัดกิจกรรมทางเศรษฐกิจในอีก 2-3 เดือนข้างหน้า ได้ปรับตัวขึ้นติดต่อกัน 3 เดือน แต่ดัชนีเดือนก.ย.ขยายตัวในอัตราที่ค่อนข้างช้า หลังจากที่ขยายตัว 0.1% ในเดือนส.ค. และขยายตัว 0.2% ในเดือนก.ค. (ที่มา: อินโฟเควสท์ 22-10-2010)
จีน: สนง.สถิติจีนเผยดัชนี CPI เดือนก.ย.ขยายตัว 3.6% สำนักงานสถิติจีนเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนก.ย.ขยายตัว 3.6% เมื่อ
เทียบเป็นรายปี ซึ่งถือเป็นสถิติที่สูงเป็นประวัติการณ์ในรอบ 24 เดือน เฉิง ไหล่หยุน โฆษกสำนักงานสถิติแห่งชาติ กล่าวว่า อัตราการขยายตัวดังกล่าวสูงขึ้น 0.1% เมื่อเปรียบเทียบกับสถิติเดือนส.ค. และเมื่อเทียบเป็นรายเดือนแล้ว CPI เดือนก.ย. ขยายตัว 0.6% จากเดือนส.ค. (ที่มา: อินโฟเควสท์
21-10-2010)
จีน: สำนักงานสถิติจีนเผย GDP ไตรมาส 3 ขยายตัว 9.6% สำนักงานสถิติแห่งชาติจีนเปิดเผยว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของ
จีนในไตรมาส 3 ปีนี้ ขยายตัว 9.6% จากไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว โดยอัตราการขยายตัวดังกล่าวชะลอตัวลงจากระดับ 11.9% ในไตรมาสแรก และ
ระดับ 10.3% ในไตรมาส 2 สำหรับในช่วงเดือนม.ค.-ก.ย.นั้น GDP ขยายตัว 10.6% เมื่อเทียบเป็นรายปี แตะ 26.866 ล้านล้านหยวน หรือประมาณ4.028 ล้านล้านดอลลาร์ (ที่มา: อินโฟเควสท์ 21-10-2010)
จีน: จีนเร่งผลักดันการควบรวมกิจการในอุตสาหกรรมเหมืองถ่านหิน ทางการจีนเรียกร้องให้ผู้ประกอบการเหมืองทั่วประเทศเพิ่มความพยายามในการควบรวมกิจการเหมือง เพื่อลดจำนวนเมืองขนาดเล็กที่มีเทคโนโลยีการผลิตล้าสมัย สภาแห่งรัฐจีน หรือคณะรัฐมนตรีจีนเปิดเผยแถลงการณ์จากคณะกรรมการธิการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติจีนซึ่งเรียกร้องให้บริษัทเหมืองถ่านหินในแหล่งผลิตถ่านหินสำคัญๆ ของประเทศ อาทิ มณฑลซานซี เขตปกครองตนเองมองโกเลียใน และมณฑลฉ่านซี เดินหน้าควบรวมกิจการเหมืองถ่านหิน รวมถึงปิดเหมืองถ่านหินขนาดเล็กที่มีการผลิตล้าสมัยเช่นเดียวกับมณฑลเฮย์หลงเจียง หูหนาน เสฉวน กุ้ยโจว และยูนนานที่ถูกเรียกร้องมาในลักษณะเดียวกันด้วย (ที่มา: อินโฟเควสท์ 21-10-2010)
----------------------------------------------------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น