Code 83 : ขึ้นขาย - ลงซื้อ

วันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม 2553

ATT Code : ขึ้นขาย - ลงซื้อ
SET เปิดที่ 742.49 จุด + 5.21 จุด โดยเปิดเลยแนวต้านที่ 740 ก็ต้องดูแนวต้านต่อไปที่ 747-750 ซึ่งเป็นแนวต้านที่ 10 วัน และ 75 วัน เป็นแนวต้านที่สำคัญว่าจะผ่านได้หรือไม่ ซึ่งหลายๆ โบรกก็ให้ความเห็นว่าให้ขายตามแนวต้านต่างๆ ทำให้จะเห็นว่า พอถึง 749 ก็มีแรงขายแล้วก็ทรุดลงไป ตอนเช้า ต่างชาติขาย 1,200 ล.บ.

ช่วง Call Market มีแรง Bid ขวาในตัวใหญ่หลายๆ ตัว ทำให้ SET ปิด 750.43 จุด +13.15 จุด V. 17,430 M.B. ถือว่าดี สามารถยืน 750 ได้ ดังนั้น พรุ่งนี้ก็ต้องดูที่ BB Average 760 ว่าจะผ่านหรือไม่ แต่จาก Oscillator ต่างๆ เช่น STO นั้น %K ก็ตัด %D ขึ้นไปแล้ว และ MACD ก็มีแนวโน้มว่าจะสามารถตัดเส้น Signal ได้ ถ้า SET สามารถยืนเหนือ 750 ไปได้ โดยอาจจะต้องดูตลาดโดยรวมด้วยเหมือนกัน

ส่วน TFEX ก็เปิดที่ 513.80 จุด + 1.80จุด โดยมีแนวต้านที่เส้น 10 วัน อยู่ที่ 521 จุด โดย TFEX ปิดที่ 519.60 จุด


วันนี้เป็นวันสุดท้ายของเดือน โดยมีฝรั่งซื้อเป็นวันแรกในรอบหลายสัปดาห์

---------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย

ไทยรัฐ - ทิศทางหุ้น 31/05/53
ภาวะการซื้อขายหุ้น
แนวโน้มในสัปดาห์นี้ (31 พ.ค.-4 มิ.ย. 2553) บริษัท หลักทรัพย์กสิกรไทย และบริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนีหุ้นไทยอาจเผชิญแรงขายทำกำไรหากฟื้นตัวขึ้น โดยปัจจัยในประเทศที่ต้องติดตาม ได้แก่ การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล การรายงานตัวเลขเศรษฐกิจและเงินเฟ้อโดย ธปท.และกระทรวงพาณิชย์ ทั้งนี้ บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด คาดว่า ดัชนีจะมีแนวรับที่ 720 และ 712 จุด ขณะที่แนวต้านคาดว่าจะอยู่ที่ 750 และ 780 จุด ตามลำดับ.

ภาวะตลาดเงินและตลาดอัตราแลกเปลี่ยน
อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นทรงตัวอีกครั้งหลังจากขยับขึ้นในสัปดาห์ที่แล้ว ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยอินเตอร์แบงก์ประเภทกู้ยืมข้ามคืน (Overnight) มีระดับหนาแน่นตลอดทั้งสัปดาห์ที่ระดับ 1.15% ลดลงจากสัปดาห์ก่อนหน้าที่ระดับ 1.205%

เงินบาทในประเทศ (Onshore) ปรับตัวในทิศทางที่อ่อนค่าเกือบตลอดสัปดาห์ตามทิศทางการอ่อนค่าของสกุลเงินในภูมิภาค ซึ่งถูกกดดันจากกระแสการลดการถือครองสินทรัพย์เสี่ยงของนักลงทุนท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับวิกฤติหนี้ภาครัฐของยูโรโซน และสถานการณ์ที่ตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลี.

บ.ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด

FSS : เน้นขายทำกำไร แล้วถือเงินสดไว้รอรับต่ำ...
แนวโน้ม: ตลาดหุ้นไทยปิดทำการไปเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาโดยมีตลาดหุ้นในเอเชียบางแห่งก็ปิดทำการด้วยเช่นกัน ขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐยังค่อนข้างแกว่งตัวผันผวนหลังจากดีดตัวบวกขึ้นกว่า 200 จุดไปเมื่อวันพฤหัส แต่สุดท้ายในวันศุกร์ DJIA ก็ยังย้อนกลับมาปิดลบกว่า 122 จุด จากความวิตกเกี่ยวกับปัญหาหนี้สินในยูโรโซนต่อเนื่อง หลังฟิทซ์ได้ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของสเปนลง รวมทั้งแรงขายจากการที่ตลาดหุ้นสหรัฐจะติดช่วงวันหยุดในคืนวันนี้ของบ้านเราด้วย ประกอบกับช่วงท้ายของสัปดาห์ที่แล้ว SET ได้ดีดตัวขึ้นมาพอสมควร ทำให้ FSS คาดว่าตลาดหุ้นไทยจะแกว่งตัวค่อนข้างผันผวนในช่วงต้นสัปดาห์นี้ และยังมีโอกาสที่จะเน้นหนักทางด้านปรับตัวลงอีกครั้ง ทั้งจากความกังวลต่อปัญหาหนี้สินในยุโรปที่ยังกดดันให้นักลงทุนต่างประเทศน่าจะมีแรงขายต่อเนื่องในตลาดหุ้นภูมิภาคเอเชีย รวมทั้งความขัดแย้งทางด้านการเมืองในบ้านเราที่แม้ว่าจะมีการยกเลิกการห้ามออกนอกเคหสถานฯไปแล้ว แต่ก็ยังอยู่ในช่วงของการประกาศใช้ พรก. ฉุกเฉินฯ อยู่ โดยเราคาดว่าระดับดัชนีที่จะสามารถดึงดูดความสนใจของนักลงทุนต่างประเทศให้กลับมาทยอยซื้อหุ้นไทยได้อีกครั้งนั้น น่าจะอยู่ที่บริเวณใกล้เคียง 680 จุดหรือที่ระดับพีอีประมาณ 10-11 เท่า
กลยุทธ์: จึงยังแนะนำเพียงเทรดดิ้งตามรอบสั้นๆ และเน้นขายทำกำไรเมื่อตลาดขยับขึ้น จากนั้นแนะนำให้ถือเงินสดเพื่อรอตลาดปรับตัวลงไปแถว 700 จุดหรือต่ำกว่า ก่อนที่จะเริ่มมองหาจังหวะซื้อกันใหม่ โดยหุ้นที่น่าสนใจเมื่อตลาดปรับตัวลงอีกครั้ง ได้แก่ กลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี (BANPU, PTTEP, PTTCH) โรงไฟฟ้า (GLOW) กลุ่มวัสดุฯ (SCC, SCCC, TSTH, DCC) กลุ่มอาหารและเกษตร (CPF, GFPT, TUF, TVO, STA) กลุ่มอิเล็คทรอนิคส์ (KCE, DELTA) และกลุ่มยานยนต์ (SAT, STANLY)

ประเด็นสำคัญวันนี้
-ขึ้นขาย ลงเลือกซื้อ สัปดาห์นี้เป็นอีกหนึ่งสัปดาห์ที่ค่อนข้างท้าท้ายตลาดหุ้นเพราะมีรายงานเศรษฐกิจที่สำคัญหลายตัว เรามองกรอบสัปดาห์นี้ 710 – 745 จุด แนวโน้มต่างชาติยังคงขาย จึงยังคงแนะนำ “ขึ้นขาย” ลงซื้อหุ้นในกลุ่ม Defensive และหุ้นบางตัวที่มีกำไรเติบโตดี มี PE และ beta ต่ำ และมี Story เฉพาะตัวได้แก่ BBL, CPALL, CPF, GLOW, GFPT, KCE, LPN, TUF, PTT ฝ่ายกลยุทธ์ของเราบังคงประเมิน SET Target 860 จุดปลายปีนี้
-สัปดาห์นี้เป็นอีกหนึ่งสัปดาห์ที่ค่อนข้างท้าท้ายตลาดหุ้นเพราะมีรายงานเศรษฐกิจที่สำคัญหลายตัว ตัวเลขเศรษฐกิจในช่วงต้นสัปดาห์ไม่น่าจะเป็นข่าวบวกกับตลาด ไม่ว่าจะเป็นรายงานเศรษฐกิจของไทยเดือน เม.ย. (จันทร์) ที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมตลอดทั้งเดือน ตัวเลขภาคการผลิตของจีน (PMI) (จันทร์) อัตราเงินเฟ้อของไทยเดือน พ.ค. (อังคาร) ที่เพิ่มในอัตราเร่ง ส่วนวันพุธ ติดตามการประชุม กนง. ซึ่งตลาดคาดว่าไม่ขึ้นดอกเบี้ย แต่ให้ติดตามการปรับประมาณการ GDP ในช่วงปลายสัปดาห์ ตลาดหุ้นมีโอกาสรีบาวนด์จากตัวเลขการจ้างงานที่มีแนวโน้มดีขึ้นของสหรัฐฯ (พฤหัส – ศุกร์) โดยนักเศรษฐศาสตร์คาดว่าการจ้างงานในเดือน พ.ค. น่าจะเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก
-นายกฯ ระบุเศรษฐกิจไทยปีนี้โต 3.5% - 4.5% ต่ำกว่าเดิมที่คาด 6% - 7% ประกาศเดินหน้าไทยเข้มแข็งต่อ ส่วนการจัดงบประมาณปี 2554 ที่สภาผู้แทนมีมติรับหลักการเป็นวาระแรก เป็นงบขาดดุล 4.2 แสนล้านบาท หรือ 4.1% ของ GDP
-อภิปรายไม่ไว้วางใจ วันที่ 31 พ.ค. – 1 มิ.ย. ฝ่ายค้านเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯ และ รมต. 5 คน เชื่อว่าไม่มีผลกระทบกับตลาดแต่ก็เป็นประเด็นที่น่าติดตาม

------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ตปท.
หุ้นมะกันดิ่ง122จุด-น้ำมันปิด73.97ดอลล​์
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับลดลง 122.36 จุด ปิดที่ 10,136.63 จุด ขณะราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ ปิดที่ 73.97 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรล...

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 28 พ.ค. ตามเวลาท้องถิ่นว่า ปิดการซื้อขายตลาดหุ้นสหรัฐ ดัชนีดิ่งลงอย่างหนัก ก่อนวันหยุดยาวสุดสัปดาห์เนื่องในวันเมมโมเรียล เดย์ หรือ วันระลึกถึงผู้เสียชีวิตในสงครามกลางเมืองของสหรัฐฯ ขณะที่นักลงทุนยังเทขายหุ้นจากความวิตกกังวล หลังฟิทช์ เรทติ้งส์ ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของสเปน ที่เพิ่งผ่านญัตติมาตรการรัดเข็มขัดลงมาอีกเป็นครั้งที่ 2 ในรอบเดือนเดียว ทำให้หลังปิดตลาด ดัชนีดาวโจนส์ ปิดที่ 10,136.63 จุด ลดลง 122.36 จุด หรือ 1.19% ดัชนีแนสแดค ปิดที่ 2,257.04 จุด ลดลง 20.64 จุด หรือ 0.91% และดัชนีเอสแอนด์พี ปิดที่ 1,089.41 จุด ลดลง 13.65 จุด หรือ 1.24%

ด้านราคาน้ำมันดิบตลาดไนเม็กซ์ ลดลง 58 เซนต์ ไปปิดที่ระดับ 73.97 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล

ตลาดหุ้นสำคัญของยุโรป ดัชนี FTSE 100 ตลาดลอนดอน ปิดที่ 5,188.43 จุด ลดลง 6.74 จุด หรือ 6.74% ดัชนี DAX ตลาดแฟรงก์เฟิร์ต ปิดที่ 5,946.18 จุด ปรับขึ้น 9.04 จุด หรือ 0.15% และดัชนี CAC 40 ตลาดปารีส ปิดที่ 3,515.06 จุด ลดลง 10.25 จุด หรือ 0.29% ส่วนน้ำมันดิบเบรนต์ ตลาดลอนดอน ปิดที่ 74.02 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ลดลง 64 เซนต์

ราคาทองคำตลาดนิวยอร์ก ปิดที่ 1,212.20 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ เพิ่มขึ้น 0.30 ดอลลาร์สหรัฐ

----------------------------------------------------
Technical View : FSS
“ตลาดรีบาวด์กลับขึ้นมาพอควรแล้ว ต้องเริ่มระวังแรงขายกดกลับลงไปต่ำกว่า 720 จุดได้ ดังนั้นเน้นขายทำกำไร แล้วถือเงินสด เพื่อรอรอบปรับตัวลงของตลาดอีกครั้ง ซึ่งต้องตามดูแรงซื้อจากแนวรับก่อนเข้าเทรดดิ้งด้วย...”
แนวรับ : 730* , 720-718** , 715-710***
แนวต้าน : 740-745** , 748-752***

---------------------------------------------

Code 82 : ฝรั่งรวย 2 เด้ง

วันพฤหัสที่ 27 พฤษภาคม 2553

ATT Code : ฝรั่งรวย 2 เด้ง
>>ฝรั่งยังขายออกมาอย่างต่อเนื่องอยู่ 5 พันกว่าล้าน ซึ่งก็ยังเป็นการขายที่ยังมีกำไรอยู่และก็ได้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน และ SET เช้านี้ เปิด 726.61 ลบ 2.33 ตามภูมิภาค แต่พอ HSKI กลับมาเป็นบวก SET ก็มายืนเหนือ 730 ได้ โดยมีแนวรับ BB Bottom ที่ 724 และแนวต้านเส้น 5 วัน ที่ 737
>>ภาคบ่าย SET ปิดที่ 737.28 จุด +8.34 จุด V.22,307 MB. โดยต่างชาติยังขายอยู่ แต่ขายน้องลงแล้ว โดยขาย 3,195 ล.บ. ทางด้านเทคนิด มีแนวต้าน 2 แนวคือ เส้น 5 วัน ได้ขยับไปอยู่ที่ 740 แล้ว และเส้น 10 วัน อยู่ที่ 747 ส่วนแนวรับก็อยู่ที่ 730 และ 724 จุด

ข่าวจากไทยรัฐรายงานว่า ฝรั่งฟันปลิ้นรวยหุ้นพ่วงค่าเงิน แบงก์ชาติเผยขนดอลลาร์กลับ 5.2 หมื่นล้าน เปิดพอร์ตฝรั่งหลังเทขายหุ้นไทยพรวด งวดนี้กำไร 2 เด้งกว่า 30% ทั้งจากค่าเงินและราคาหุ้น ใช้กลยุทธ์ขายหุ้นปุ๊บล็อกอัตราแลกเปลี่ยนขายเงินบาทออกทันที....

FSS : ประเด็นข่าว
-Dow Jones ปิดต่ำกว่า 10,000 จุดเป็นครั้งที่ 2 ของปี
กลยุทธ์: เราจึงยังแนะนำเพียงเทรดดิ้งตามรอบสั้นๆ และควรหาจังหวะขายทำกำไรเมื่อ SET ดีดขึ้น
-PTTAR-IRPC หากภายใน 2Q10 ไม่ประกาศแผนควบ ดีลนี้อาจเลื่อนยาว
-คดีมาบตาพุดมีความหวัง
-CYBER เข้าตลาดวันนี้วันแรก ในตลาด MAI ราคา IPO 1.60 บาท

---------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย
ไทยรัฐ - By...อินเด็กซ์ 51 : เงาหุ้น-เด้งปลอบใจ!!
ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 26 พ.ค.53 ปิดที่ 728.94 จุด เพิ่มขึ้น 7.65 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 21,777.62 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 5,265.88 ล้านบาท

หุ้นที่มีการซื้อขายสูงสุด นำโดย TMB ปิดที่ 1.26 บาท ลดลง 0.10 บาท, PTT ปิดที่ 237.00 บาท เพิ่มขึ้น 4.00 บาท, BANPU ปิดที่ 582.00 บาท เพิ่มขึ้น 28.00 บาท, PTTCH ปิดที่ 89.25 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท และ CPF ปิดที่ 17.40 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท

ฝ่ายวิเคราะห์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส ประเมินแนวโน้มตลาดระยะสั้นว่า จะผันผวนแกว่งตัวในกรอบแนวรับ 718 จุด และแนวต้าน 740 จุด ตามทิศทางตลาดหุ้นในภูมิภาคที่อยู่ในช่วงรีบาวน์

ประเด็นที่ต้องติดตามคือความคืบหน้าและความชัดเจนของปัญหาวิกฤติหนี้กรีซที่สร้างความกังวลให้กับนักลงทุนว่าจะส่งผลลุกลามไปยังประเทศอื่นๆเพิ่มขึ้นอีกหรือไม่ ส่วนการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจประจำเดือนของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประเมินว่าตัวเลขที่ออกมาจะเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ จึงไม่น่าส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุนอย่างมีนัยสำคัญ

แนะกลยุทธ์การลงทุนระยะสั้นให้ซื้อเมื่อดัชนีปรับตัวลงตามแนวรับที่ 718 จุด และไปรอขายทำกำไรเมื่อดัชนีดีดตัวขึ้น

ด้าน บล.เอเซียพลัส ระบุในบทวิเคราะห์รายวันว่า ตลาดหุ้นยังมีปัจจัยกดดันรอบด้าน แต่คาดว่าดัชนีหุ้นไทยน่าจะยืนได้ที่ PER 12 เท่า หรือ 711 จุด โดยเชื่อว่า ธปท.น่าจะกลับมาใช้นโยบายการเงินอ่อนตัวจนถึงสิ้นปี 2553 ซึ่งน่าจะเป็นปัจจัยบวกประการเดียวที่จะประคองตลาดหุ้นไทยในยามวิกฤติความเชื่อมั่นระบาดทั่วโลก

กลยุทธ์การลงทุนยังเน้นไปที่นักลงทุนระยะกลางและยาว ให้เลือกหุ้นที่มี PER ต่ำกว่า 10 เท่า และยังจ่ายเงินปันผลต่อเนื่องคือ GFPT, TVO, LANNA, EASTW, RATCH

รวมถึงหุ้นโภคภัณฑ์ที่คาดว่าราคาลงมาลึกคือ TTA และ PTTEP

FSS : เน้นเป็นแค่เทรดดิ้งสั้นๆ ดังนั้นตลาดบวกขึ้นให้ขายทำกำไร แล้วถือเงินสดไว้...
แนวโน้ม: เมื่อคืนนี้ตลาดหุ้นสหรัฐยังคงแกว่งตัวผันผวนมากอีกวัน แต่มีทิศทางตรงข้ามกับวันก่อน โดยระหว่างวัน DJIA สามารถขยับบวกกลับขึ้นไปได้กว่า 1% จากตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐที่ยังออกมาดีต่อเนื่อง ก่อนที่จะแรงขายกดดันให้ย้อนลงในช่วงท้ายทำให้มาปิดทำการที่ -69.30 จุด ซึ่งเป็นการปิดต่ำกว่า 1 หมื่นจุดเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่วันที่ 8 ก.พ. จากความกังวลต่อข่าวลือที่ว่าจีนกำลังประเมินการถือครองตราสารหนี้ของยูโรโซน แสดงให้เห็นว่าความวิตกต่อปัญหาหนี้สินในยุโรปยังเป็นแรงกดดันตลาดหุ้นทั่วโลกอยู่ อย่างไรก็ตามความคาดหวังต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะในเอเชียก็ยังเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียช่วงนี้จะมีจังหวะของการแกว่งทรงตัวและรีบาวด์กลับขึ้นได้เป็นพักๆ รวมถึง SET ด้วย ซึ่ง FSS คาดว่า SET ยังมีโอกาสลุ้นรีบาวด์ขึ้นมาเคลื่อนไหวในด้านบวกต่อจากวานนี้ได้ แต่จะเป็นเพียงรอบสั้นๆ ก่อนที่จะเริ่มปรับพักตัวลงใหม่ เพราะคาดว่าแรงขายของนักลงทุนต่างประเทศจะยังมีออกมากดดันอยู่ โดยเรามองว่าระดับดัชนีที่จะน่าดึงดูดใจสำหรับการกลับเข้ามาลงทุนรอบใหม่ของนักลงทุนต่างประเทศจะอยู่ที่บริเวณใกล้เคียง 680 จุดมากกว่า
กลยุทธ์: เราจึงยังแนะนำเพียงเทรดดิ้งตามรอบสั้นๆ และควรหาจังหวะขายทำกำไรเมื่อ SET ดีดขึ้น จากนั้นให้กลับมาเน้นถือเงินสดไว้เพื่อรอตลาดปรับตัวลงไปแถว 700 จุดหรือต่ำกว่า ก่อนที่จะเริ่มมองหาจังหวะซื้อกันใหม่ โดยหุ้นที่น่าสนใจเมื่อตลาดปรับตัวลงอีกครั้ง ได้แก่ กลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี (BANPU, PTTEP, PTTCH) โรงไฟฟ้า (GLOW) กลุ่มวัสดุฯ (SCC, SCCC, TSTH, DCC) กลุ่มอาหารและเกษตร (CPF, GFPT, TUF, TVO, STA) กลุ่มอิเล็คทรอนิคส์ (KCE, DELTA) และกลุ่มยานยนต์ (SAT, STANLY)

ประเด็นสำคัญวันนี้
-Dow Jones ปิดต่ำกว่า 10,000 จุดเป็นครั้งที่ 2 ของปี โดยปรับลดลง 69 จุด ทั้งที่รายงานเศรษฐกิจเดือน เม.ย. ออกมาดีต่อเนื่อง ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนและยอดขายบ้านใหม่ดีกว่าคาด Moody’s คงอันดับเรทติ้งของสหรัฐฯ AAA และ Stable Outlook แต่ข่าวที่จีนจะประเมินการถือครองตราสารหนี้ของยูโรโซน (ทำให้ค่าเงินยูโรอ่อนลงมาอยู่ที่ 1.2169 ดอลลาร์/ยูโร) กดดันให้ดัชนีปิดลดลง แต่ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น 4% กลับมายืนเหนือ US$70 ได้อีกครั้งแม้ว่าสต็อกน้ำมันในสัปดาห์ที่ผ่านมาจะเพิ่มขึ้นถึง 2.4 ล้านบาร์เรล มากกว่าตลาดคาด ทั้งนี้เพราะ EIA รายงานว่าอุปสงค์นำมันในสหรัฐฯในเดือนที่ผ่านมาเพิ่มถึง 7% Y-Y ทำให้นักลงทุนกลับมาเก็งกำไรในราคาน้ำมันอีกครั้ง

-TCAP ขยายเวลา Tender offer SCIB เป็นวันที่ 9 มิ.ย. ผู้ขายจะได้รับเงินสุทธิ 32.413 บาท นอกจากนี้ บอร์ด TCAP ได้อนุมัติการซื้อหุ้นคืน 78 ล้านหุ้น วงเงินไม่เกิน 2 พันล้านบาท ในช่วง 15 มิ.ย.-14 ธ.ค. นี้ ข่าวนี้เป็น Sentiment เชิงบวกต่อราคาหุ้น และถือเป็นจังหวะดีที่จะขายไปก่อนหากราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมา เพราะเราคาดว่าราคาซื้อคืนน่าจะต่ำกว่า 20 บาท ราคาหุ้น TCAP ที่เคยขึ้นไปถึง 26.50 บาท (ราคาเป้าหมายของเรา 27 บาท) ถือว่าสะท้อนข่าวดีเรื่องการซื้อ SCIB ไปแล้ว หลังจากนี้ต้องติดตามว่ากำไรจะดีตามนักวิเคราะห์คาด และค่าใช้จ่ายในการควบรวมจะมากกว่าคาดหรือไม่

-PTTAR-IRPC หากภายใน 2Q10 ไม่ประกาศแผนควบ ดีลนี้อาจเลื่อนยาว การประชุมบอร์ดของ PTTAR และ IRPC วานนี้ไม่มีมติอะไรออกมา เราเห็นว่าไม่มีการประกาศภายในกลางปีนี้ก็จะมีความเป็นไปได้สูงที่แผนนี้จะเลื่อนออกไปโดยไม่มีกำหนด ข่าวนี้เป็นลบกับราคาหุ้นทั้ง PTTAR และ IRPC เพราะที่ผ่านมามีการเก็งกำไรในประเด็นดังกล่าว โดยเฉพาะ IRPC ที่ราคาหุ้นยังปรับลงมาน้อยกว่า PTTAR

-คดีมาบตาพุดมีความหวัง คดีมาบตาพุดมีโอกาสที่จะจบภายในเดือน ก.ย. นี้ เพราะปัจจุบันองค์กรอิสระถูกจัดตั้งเรียบร้อยแล้ว เหลือแต่รอประกาศประเภทโครงการที่ส่งผลกระทบรุนแรงต่อสิ่งแวดล้อม และอยู่ระหว่างการสรุปจากคณะกรรมการ 4 ฝ่ายเพื่อนำเสนอต่อ ครม. ดังนั้นจึงมีโอกาสที่ PTT, PTTCH, SCC จะเริ่มดำเนินการผลิตได้ใน 4Q10 ในจำนวนหุ้นทั้ง 3 ตัวนี้ PTTCH มี beta สูงสุด เหมาะในการเก็งกำไรมากสุด มีโอกาสรีบาวนด์ได้ถึง 95 – 100 บาท มากกว่า PTT และ SCC ที่มีโอกาสรีบาวนด์ได้เพียง 244 – 246 บาท

-CYBER เข้าตลาดวันนี้วันแรก ในตลาด MAI ราคา IPO 1.60 บาท จำนวนหุ้นที่เสนอขาย 60 ล้านหุ้น (พาร์ 0.50 บาท) CYBER เป็นผู้พัฒนาซอฟต์แวร์เกมเพื่อจำหน่าย และรับจ้างพัฒนาซอฟต์แวร์เกมให้แก่ลูกค้า

ไทยรัฐ - ฝรั่งฟันปลิ้นรวยหุ้นพ่วงค่าเงิน แบงก์ชาติเผยขนดอลลาร์กลับ 5.2 หมื่นล้าน
เปิดพอร์ตฝรั่งหลังเทขายหุ้นไทยพรวด งวดนี้กำไร 2 เด้งกว่า 30% ทั้งจากค่าเงินและราคาหุ้น ใช้กลยุทธ์ขายหุ้นปุ๊บล็อกอัตราแลกเปลี่ยนขายเงินบาทออกทันที....

นายวิศิษฐ์ องค์พิพัฒน์กุล กรรมการบริหารบริษัทหลักทรัพย์ทรีนีตี้ กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมาที่นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยออกมาหนักๆ พบว่า ทันทีที่ขายหุ้นออกมา ต่างชาติได้ล็อกอัตราแลกเปลี่ยนจากเงินบาทเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐฯทันที หรืออีกนัยหนึ่งคือการสั่งขายเงินบาทออกมาทันที จนทำให้ค่าเงินบาทในช่วง 1-2 วันนี้ อ่อนค่าลงมาก ทั้งที่โดยปกติในทุกๆรอบที่ต่างชาติขายหุ้นออกมา จะโยกเงินไปพักไว้ที่ตลาดบอนด์หรือตลาดพันธบัตร แต่รอบนี้เห็นชัดมากว่าต่างชาติขายหุ้นแล้วขายเงินบาทออกมาทันที ซึ่งถือเป็นการล็อกกำไรค่าเงินไว้ด้วย เพราะหากต่างชาติประเมินว่าค่าเงินบาทมีโอกาสจะอ่อนค่าลงไปกว่านี้ ก็จะรีบขายเงินบาทออกมาก่อน "ตอนนี้ต่างชาติขายหุ้นออกมาทั้งเอเชีย ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลงแรงเกือบทั้งหมด แม้ในวันที่ 26 พ.ค. จะดีดตัวกลับขึ้นได้บ้าง แต่คาดว่าต่างชาติจะยังคงขายหุ้นออกมาต่อ"

ถล่มขายหุ้นทั่วกระดานเอเชีย
สาเหตุของการขายหุ้นทั่วเอเชียรอบนี้ของต่างชาติมีหลายปัจจัยที่เกี่ยวข้องกัน ทั้งจากวิกฤติหนี้กรีซที่หากลุกลามอาจทำให้ค่าเงินยูโรอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯและเป็นผลให้ค่าเงินเอเชีย รวมทั้งเงินบาทอ่อนค่าลงไปด้วย นอกจากนี้ นโยบายการเงินในสหรัฐฯเอง ก็เริ่มจำกัดการนำเงินฝากของประชาชนออกไปลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง ซึ่งกระทบต่อการนำเงินออกไปลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลก รวมทั้งยังมีการประเมินว่าเศรษฐกิจโลกกำลังเริ่มอืดจากวิกฤติยุโรปและเศรษฐกิจจีนที่เป็นความหวังอาจลดความร้อนแรงลง

นอกจากนี้ ยังมีการคาดการณ์ว่าไทยมีโอกาสขาดดุลบัญชีเดินสะพัดในไตรมาส 2 และ 3 ซึ่งอาจมีผลต่อการอ่อนตัวของค่าเงินบาท ต่างชาติจึงจำเป็นต้องล็อกกำไรค่าเงินที่ระดับปัจจุบันนี้ไว้ก่อน

ทั้งนี้ จากการรวมรวบตัวเลขการขายสุทธิของต่างชาติที่ได้ขายหุ้นไทยออกมาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่วันที่ 8 เม.ย.ถึง 26 พ.ค. (หลังประกาศภาวะฉุกเฉิน 7 เม.ย. เรื่อยมาจนเกิดจลาจลเผาบ้านเมืองและการประกาศกฎอัยการศึก) พบว่า ต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยรวมทั้งสิ้น 67,066 ล้านบาท เมื่อหักจากยอดซื้อสะสมที่ต่างชาติเข้ามาซื้อช่วงต้นปี (22 ก.พ. ถึงต้น เม.ย.) รวม 58,900 ล้านบาทนั้น นั่นหมายความว่ายอดซื้อสุทธิสะสมที่ต่างชาติซื้อมาตั้งแต่ต้นปีนั้นได้ถูกเทขายออกมาหมดสิ้นแล้ว ดังนั้น หุ้นที่ต่างชาติขนออกมาขายหลังจากนี้ จะเป็นหุ้นที่ซื้อสะสมไว้ในปี 52 ที่มียอดซื้อสุทธิ 38,000 ล้านบาท

กำไร 2 เด้งทั้งค่าเงินราคาหุ้น
และหากโฟกัสเจาะลึกถึงการเข้ามาซื้อหุ้นของต่างชาติในปี 52 ที่เข้ามาซื้อหุ้นไทยรอบใหญ่ ในช่วง มี.ค.-ส.ค.52 ต่างชาติซื้อสุทธิหนักสุดถึง 76,800 ล้านบาท ซึ่งช่วงนั้นต้นทุนค่าเงินบาทเฉลี่ยอยู่ 35-35.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งหากนำหุ้นมาขายในช่วงนี้ที่ค่าบาทเฉลี่ยอยู่ที่ 32.50 บาทนั้น ถือว่าต่างชาติได้กำไรค่าเงินร่วม 8-10% ยังไม่นับกำไรจากราคาหุ้นที่ต้นทุนเฉลี่ยตอนเข้ามาซื้อดัชนีหุ้นไทยอยู่ที่ 550-620 จุด ซึ่งหมายถึงต่างชาติยังได้กำไรจากราคา

หุ้นอีกร่วม 20% ที่ดัชนีล่าสุด 728 จุด
นางภรณี ทองเย็น ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซียพลัส กล่าวว่า น้ำหนักการขายหุ้นของต่างชาติอาจกดให้ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลงไม่มากนักจากนี้ เพราะน่าจะมีแรงซื้อกลับของนักลงทุนสถาบันในประเทศเข้ามาช่วยพยุงดัชนีไว้ โดยเฉพาะสถาบันที่เน้นการลงทุนระยะยาว เพราะราคาหุ้นไทยที่ปรับตัวลงมาขณะนี้ก็ถือว่าพอสมควรแล้ว น่าจะประคองตลาดที่ระดับนี้ไปได้

ทั้งนี้ ตลาดหุ้นไทยวันที่ 26 พ.ค. ปิดที่ 728.94 จุด เพิ่มขึ้น 7.65 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 21,777.62 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิต่อ 5,265.88 ล้านบาท

ขนดอลลาร์กลับ 5.2 หมื่นล้าน
ด้านนางสุชาดา กิระกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สายตลาดการเงิน กล่าวว่า ช่วงเดือน เม.ย.และ พ.ค.ที่ผ่านมา เงินทุนต่างชาติที่ออกจากตลาดหุ้นไทยจากการเทขายของนักลงทุนต่างชาติ ถูกแลกกลับเป็นเงินดอลลาร์และไหลออกไปแล้วตั้งแต่ต้นปี 2553 จนถึงวันที่ 26 พ.ค.ที่ผ่านมา 52,000 ล้านบาท จากเงินทุนต่างชาติที่ไหลเข้ามาเพื่อซื้อหุ้นไทยตั้งแต่ต้นปีกว่า 40,000 ล้านบาท เงินทุนที่ไหลออกจากตลาดหุ้นตั้งแต่ต้นปีจนถึงขณะนี้มากกว่าเงินที่ไหลเข้ามาซื้อหุ้น 12,000 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม เงินทุนต่างประเทศในส่วนที่ลงทุนในตลาดพันธบัตร และการลงทุนโดยตรงในช่วงที่ผ่านมา เช่นการเข้ามาซื้อธนาคารพาณิชย์ และการลงทุนในกิจการอื่นยังไม่ไหลออกไป ขณะเดียวกันก็ยังคงมีเงินไหลเข้าต่อเนื่องและจำนวนค่อนข้างสูงจากการเกินดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัด ทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงไม่มาก เมื่อเทียบกับประเทศในเอเชียอื่นๆ ที่ช่วงนี้มีเงินไหลออกต่อเนื่องเช่นกัน

"สาเหตุของการไหลออกของเงินทุนต่างประเทศ มาจากทั้งเหตุการณ์ทางการเมืองของประเทศเรา และปัจจัยหลักคือความไม่มั่นใจในเศรษฐกิจยุโรป โดยเฉพาะปัญหาหนี้สาธารณะในกรีซและสเปน ซึ่งมีแนวโน้มลุกลามไปยังประเทศอื่นในยุโรปได้ ขณะที่มาตรการช่วยเหลือแม้จะเป็นเม็ดเงินถึง 750,000 ล้านยูโร แต่ยังมีเม็ดเงินที่เข้าไปช่วยเหลือได้ทันทีไม่มาก ทำให้เกิดความไม่แน่ใจ"

ต้นทุนกู้ยืมพุ่งความเสี่ยงเพิ่ม
นางสุชาดายังกล่าวถึงต้นทุนการกู้ยืมของไทยในตลาดต่างประเทศว่า ยังคงเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง สะท้อนความเสี่ยงที่สูงขึ้น โดยผลตอบแทนของตราสารอนุพันธ์ที่มีหลักทรัพย์อื่นค้ำประกัน (ซีอีเอส) ของไทย ในช่วงสัปดาห์ก่อนหน้าอยู่ที่ 1.3% ล่าสุดเมื่อวันที่ 26 พ.ค.เพิ่มขึ้น เป็น 1.7% แต่ยังกระทบการลงทุนของไทยไม่มาก เพราะนักธุรกิจไทยกู้ยืมเงินต่างประเทศในอัตราที่ต่ำ

น.ส.วงษ์วธู โพธิรัชต์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายตลาดการเงินและบริหารเงินสำรอง ธปท.กล่าวเพิ่มเติมว่า นับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาจนถึงขณะนี้ ค่าเงินบาทอ่อนค่าประมาณ 2% เทียบกับก่อนหน้าที่แข็งค่าประมาณ 3% ซึ่งเงินบาทอ่อนค่าไปในทิศทางเดียวกับสกุลเงินอื่นๆในภูมิภาคเอเชีย ทั้งนี้ เงินบาทอ่อนค่าเกิดจากปัญหาการขาดดุลงบประมาณของกลุ่มประเทศยุโรปและความเสี่ยงถือสินทรัพย์ (Risk Aversion) เพิ่มขึ้น ทำให้นักลงทุนต่างชาติหันไปถือสินทรัพย์สกุลดอลลาร์สหรัฐฯมากขึ้น ประกอบกับในเอเชียมีปัญหาความตึงเครียดระหว่างเกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้ ขณะที่เงินบาทอ่อนค่าลงไม่มาก เพราะแม้จะมีนักลงทุนต่างชาติขายหุ้นเอาเงินออกไป แต่ผู้ส่งออกนำเข้าซื้อเงินดอลลาร์เพิ่มขึ้น "ความผันผวนของเรายังน้อยกว่าคนอื่น โดยคนอื่นอยู่ที่ระดับ 5-6%โดยเฉพาะค่าเงินวอนของเกาหลีใต้และค่าเงินริงกิตมาเลเซียอ่อนค่ามากกว่าเงินบาทไทย โดยของเราอ่อนค่าประมาณ 2-3%".

-----------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ตปท.
หุ้นมะกันร่วงหนัก น้ำมันขยับเพิ่ม 2.76ดอลล์
หุ้นสหรัฐฯติดลบลงไปปิดต่ำกว่า 10,000 จุด โดยดัชนีดาวโจนส์ ปิดที่ 9,974.45 จุด ลดลง 69.30 จุด ส่วนราคาน้ำมันดิบขยับขึ้นเหนือ 71 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล...

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ปิดการซื้อขายตลาดหุ้นสหรัฐฯเมื่อวันที่ 26 พ.ค.ดัชนีปรับเพิ่มในช่วงแรก จากยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนในภาคอุตสาหกรรมในเดือนที่ผ่านมา เพิ่มขึ้น 2.9% เช่นเดียวกับยอดขายบ้านเดี่ยวในช่วงเวลาเดียวกัน ที่เพิ่มขึ้น 14.8% ชี้ว่าเศรษฐกิจในประเทศกำลังฟื้นตัว ก่อนที่นักลงทุนจะขยับเทขายหุ้นเพื่อทำกำไรระยะสั้น ทำให้ดัชนีลงมาอยู่ในแดนลบ

ด้านราคาน้ำมันดิบตลาดไนเม็กซ์ เพิ่มขึ้น 2.76 ดอลลาร์สหรัฐ ไปปิดที่ 71.65 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ทำให้หลังปิดตลาด เป็นการปิดต่ำกว่า 10,000 จุด ครั้งแรก นับตั้งแต่วันที่ 10 กุมภาพันธ์ ดัชนีดาวโจนส์ ปิดที่ 9,974.45 จุด ลดลง 69.30 จุด หรือ 0.69% ดัชนีเอสแอนด์พี ปิดที่ 1,067.95 จุด ลดลง 6.08 จุด หรือ 0.57% ดัชนีแนสแดค ปิดที่ 2,195.88 จุด เพิ่มขึ้น 15.07 จุด หรือ 0.68%

ตลาดหุ้นสำคัญของยุโรป ดัชนี FTSE 100 ตลาดลอนดอน ปิดที่ 5,038.08 จุด เพิ่มขึ้น 97.40 จุด หรือ 1.97% ดัชนี DAX ตลาดแฟรงก์เฟิร์ต ปิดที่ 5,758.02 จุด เพิ่มขึ้น 87.98 จุด หรือ 1.55% ดัชนี CAC 40 ปิดที่ 3,408.59 จุด เพิ่มขึ้น 77.30 จุด หรือ 2.32% ส่วนราคาน้ำมันดิบเบรนต์ ตลาดลอนดอน พุ่งขึ้น 2.19 ดอลลาร์สหรัฐ ปิดที่ 71.74 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล

ราคาทองคำตลาดนิวยอร์ก ปิดที่ 1,213.30 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ เพิ่มขึ้น 15.50 ดอลลาร์สหรัฐ จากเมื่อวันอังคารซึ่งปิดที่ 1,197.80 ดอลลาร์สหรัฐ.

------------------------------------------------------------
Technical View : FSS
“ดัชนียังแกว่งทรงตัวเหนือแนวรับ 720-715 จุดได้ ทำให้ยังมีลุ้นดีดขึ้นหาแนวต้านต่างๆ เพื่อทำกำไรตามรอบต่อ แต่ยังเน้นขายทำกำไรเมื่อทดสอบแนวต้าน โดยต้องผ่านต้านหนึ่งได้ถึงจะเทรดตามต่อไปขายที่อีกแนวต้าน...”
แนวรับ : 720-718** , 715***
แนวต้าน : 733-736* , 742-744** , 748-752***

------------------------------------------------------------

Code 81 : Technical Rebound

วันพุธที่ 26 พฤษภาคม 2553

ATT Code : Technical Rebound
>>เมื่อวานคาดว่า SET เปิดมาน่าจะลงต่อ เนื่องจากดูตลาดยุโรปและ Future Dow แล้ว แต่ก็ผิดคาด Djia กลับมาลบนิดหน่อย และ HSKI ก็เปิดบวกในเช้านี้ ทำให้หุ้นไทยเรามี Technical Rebound จากที่ลงมาแล้วประมาณ 45 จุด และจากที่มีแนวรับที่แข็งที่ 720
>>โดยเช้านี้ SET เปิดโดดมา 6 จุด เปิดที่ 727.93 และถ้ายืนเหนือ 728-730 ได้ ก็จะไปแนวต้าน 5 วัน ที่ 740 จุด แต่ถ้าเจอแรงขายก็ต้องกลับไปดูที่ 720 ใหม่
>>วันนี้ทั้งวันถือว่าสวิงน่าดู เพราตอนเช้าขึ้นไป High ที่ 732 และก็เจอแรงขายออกมา ลงไปลบช่วงบ่าย ก่อนที่จะมีแรงซื้อก่อนปิดตลาดครึ่งชั่วโมง กลับมาบวกได้ 7 จุด ปิดที่ 728.9 จุด

ไทยรัฐ : โบรกฯคาดหุ้นไทยวันนี้มีโอกาสรีบาวน์
แนวต้านที่ 730 - 735 จุด แนวรับที่ 714- 709 จุด
FSS : ยังเน้นเป็นการเข้าเทรดดิ้งสั้นๆ SET ดีดขึ้นจึงยังเน้นขายทำกำไร เพื่อรอรับต่ำ!
แนวโน้ม: ถ้าดูจากระดับดัชนีตลาดหุ้นไทยที่เรามองว่าจะเป็นระดับที่น่าดึงดูดใจสำหรับการกลับเข้ามาลงทุนรอบใหม่ของนักลงทุนต่างประเทศคาดว่าจะอยู่ที่บริเวณ 700-680 จุดโดยประมาณ
กลยุทธ์:โดยหุ้นที่แนะนำ ได้แก่ กลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี (BANPU, PTTEP, IRPC, PTTCH) โรงไฟฟ้า (GLOW) กลุ่มวัสดุฯ (SCC, SCCC, TSTH, DCC) กลุ่มอาหารและเกษตร (CPF, GFPT, TUF, TVO, STA) กลุ่มอิเล็คทรอนิคส์ (KCE, DELTA) และกลุ่มยานยนต์ (SAT, STANLY)
-แรงขายต่างชาติเริ่มชะลอระยะสั้น ระยะกลางยังขายต่อ...รีบาวนด์จึงให้ขาย

-------------------------------------------------------
รุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย
ไทยรัฐ - By...อินเด็กซ์ 51 : เงาหุ้น-ฝรั่งถล่ม!!
ดัชนีหุ้นวันที่ 25 พ.ค.53 ปิดที่ 721.29 จุด ลดลง 23.02 จุด มีมูลค่า การซื้อขาย 24,385.06 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 4,523.51 ล้านบาท

หุ้นที่มีการซื้อขายสูงสุด PTT ปิดที่ 233 บาท ลดลง 9 บาท,BANPU ปิดที่ 554 บาท ลดลง 34 บาท, PTTCH ปิดที่ 88.75 บาท ลดลง 7.50 บาท, PTTAR ปิดที่ 25.25 บาท ลดลง 2.25 บาท และ SCC ปิดที่ 234 บาท ลดลง 10 บาท

จากการรวบรวมตัวเลขการขายสุทธิของต่างชาติที่ได้ขายหุ้นไทยออกมาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่วันที่ 8 เม.ย.ถึง 25 พ.ค.นี้ จากการที่รัฐบาลประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินร้ายแรง จนถึงเกิดเหตุจลาจลเผาเมืองและประกาศกฎอัยการศึก พบว่าต่างชาติขายสุทธิในตลาดหุ้นไทยรวมทั้งสิ้น 6.18 หมื่นล้านบาท

และหากจำแนกลงไปตามรายบริษัทในช่วงเวลาดังกล่าว (8 เม.ย.-24 พ.ค.) พบว่า โบรกเกอร์ต่างชาติที่มีคำสั่งขายออกมามากที่สุดคือ บล.ยูบีเอส (UBS) ที่ขายสุทธิรวม 1.15 หมื่นล้านบาท รองลงมาคือเครดิต สวิส (CS) ขายสุทธิ 7,376.15 ล้านบาท ตามด้วยเจพีมอร์แกน (JPM) ขายสุทธิ 7,007.05 ล้านบาท แมคควอรี่ (MACQ) ขาย 5,592.91 ล้านบาท ขณะที่ CLSA ขาย 1,815.30 ล้านบาท

ฝ่ายวิเคราะห์ บล.เอเชียพลัส ระบุว่า ยอดขายสะสมสุทธิของนักลงทุนต่างชาติ นับจากวันที่ประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ในวันที่ 7 เม.ย. ถึง 24 พ.ค. ที่สูงถึง 5.73 หมื่นล้านบาท เมื่อหักจากยอดซื้อสะสมสุทธิที่เข้ามาในช่วงก่อนหน้าถึงช่วงเดือน มี.ค.53 พบว่า ยังเหลือยอดซื้อสะสมสุทธิอีกเพียง 2 พันล้านบาท แต่ในวันที่ 25 พ.ค. ต่างชาติยังขายสุทธิอีกมากถึง 4.5 พันล้านบาท นั่นหมายถึงว่ายอดซื้อสุทธิสะสมที่ต่างชาติซื้อมาตั้งแต่ต้นปีนั้นได้ถูกเทขายออกมาหมดสิ้นแล้ว

ขณะที่ยังไม่พบสัญญาณว่านักลงทุนต่างชาติจะหยุดขายหุ้นออกมาในเร็ววันนี้!!

แต่หากพิจารณายอดซื้อสะสมสุทธิของต่างชาติ ที่เข้ามาตั้งแต่ 13 มี.ค. ปี 52 ซึ่งต่างชาติกลับเข้ามาซื้อรอบใหญ่สูงถึง 7.68 หมื่นล้านบาทนั้น จะพบว่าเม็ดเงินส่วนนั้นยังเหลืออีกราว 4 หมื่นล้านบาท และเป็นความเสี่ยงที่จะถูกขายออกมาได้

ดังนั้น ภายใต้สถานการณ์ที่ตลาดหุ้นไทยโดนกระหน่ำจากปัจจัยลบจากทั้งภายในและนอกประเทศ จะเป็นแรงกดดันให้ต่างชาติขายหุ้นไทยต่อเนื่องตามทิศทางตลาดหุ้นในภูมิภาคอีกอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์.

ไทยรัฐ - โบรกฯคาดหุ้นไทยวันนี้มีโอกาสรีบาวน์
โบรกฯ คาด หุ้นไทยวันนี้มีโอกาสรีบาวน์ตามตลาดหุ้นทั่วโลก จับตามองตลาดหุ้นสหรัฐฯ หลังผันผวนหนัก เนื่องจากนักลงทุนวิตกเกี่ยวกับปัญหาหนี้สินของกลุ่มประเทศยูโรโซน โดยกำหนดแนวต้านที่ 730 - 735 จุด แนวรับที่ 714- 709 จุด ...

วันที่ 26 พ.ค.2553 นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้บังคับบัญชาสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ พัฒนสิน จำกัด ( มหาชน ) กล่าวถึงแนวโน้มดัชนีหุ้นไทยวันเดียวกันนี้ ว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้มีโอกาสปรับตัวรีบาวน์ขึ้นตามตลาดหุ้นต่างประเทศและตลาดหุ้นกลุ่มภูมิภาค หลังดัชนีดาวโจนส์ สหรัฐอเมริกา หลุดจากระดับ 10,000 จุด แต่สามารถดีดตัวขึ้นได้ ทำให้ปิดตลาดติดลบ 22.82 จุด หลังจากที่ร่วงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 3 เดือน

ปัจจัยต่างประเทศที่ต้องจับตามอง คือ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ผันผวนหนัก เนื่องจากนักลงทุนวิตกเกี่ยวกับปัญหาหนี้สินของกลุ่มประเทศยูโรโซน ขณะที่นักลงทุนยังกังวลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งอาจได้รับผลจากมาตรการรัดเข็มขัดของประเทศในยุโรปเพื่อแก้ปัญหาหนี้ สาธารณะและการขาดดุลงบประมาณ

โดยปิดตลาดดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นสหรัฐ ปิดที่ 10,043.75 ลดลง 22.82 จุด ขณะที่ดัชนีนิกเกอิ ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดตัวสูงของการเปิดตลาด คือ ปรับขึ้น 104.44 จุด อยู่ที่ 9,564.33 จุด ส่วนทางด้านน้ำมันดิบไนเม็กซ์ส่งมอบเดือนก.ค.ลด 1.46 ดอลลาร์ หรือ 2.08% ปิดที่ 68.75 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

กลยุทธ์แนะนำนักลงทุนในวันนี้ คาดว่าหุ้นไทยอาจมีการรีบาวน์ในระหว่างเทรดได้เล็กน้อย เนื่องจากการลงทุนของต่างชาติเวลานี้ได้หันไปหาสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยสูง หลังจากที่ตัวเลขเศรษฐกิจของอียูและสหรัฐฯออกมาไม่ค่อยดี ทำให้คนกลับไปกังวลการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก โดยกำหนดแนวต้านที่ 730 - 735 จุด แนวรับที่ 714- 709 จุด

FSS : ยังเน้นเป็นการเข้าเทรดดิ้งสั้นๆ SET ดีดขึ้นจึงยังเน้นขายทำกำไร เพื่อรอรับต่ำ!
แนวโน้ม:
ตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวลดลงในระหว่างวันเกือบ 300 จุดเป็นลบเกือบ 3% จากความกังวลต่อสถานการณ์หนี้สินในยุโรปต่อเนื่อง ก่อนที่จะเริ่มมีแรงซื้อกลับเข้ามาทำให้ DJIA ค่อยๆ ไต่ระดับกลับขึ้นมาปิดลบไปเพียง 22 จุดเศษ ซึ่งคาดว่าตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียตอบรับความกังวลดังกล่าวไปแล้วตั้งแต่วานนี้ ส่งผลให้เช้านี้ตลาดหุ้นในเอเชียส่วนใหญ่เปิดทำการด้วยการขยับบวกกลับขึ้นมาตามภาวะตลาดหุ้นสหรัฐที่สามารถดีดกลับมาปิดเป็นลบน้อยได้ ขณะเดียวกัน SET ก็ปรับตัวลดลงในช่วง 2 วันที่ผ่านมาถึงเกือบ 6% แล้วและถือว่าตั้งแต่ช่วงสายวานนี้การปรับตัวลงของดัชนีเริ่มมีกรอบจำกัดมากขึ้น ทำให้ FSS คาดว่า SET มีโอกาสลุ้นรีบาวด์กลับขึ้นมาเคลื่อนไหวเป็นบวกได้ตามตลาดอื่นๆ ในภูมิภาคด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตามความกังวลต่อสภาพหนี้ในยุโรปจะยังเป็นแรงกดดันต่อแรงขายของนักลงทุนต่างประเทศที่คาดว่ามีแนวโน้มที่จะยังมีออกมาอีก จนกว่านักลงทุนจะมีความมั่นใจว่าปัญหาหนี้สินในยุโรปจะไม่บานปลายออกไปมากกว่านี้ ซึ่งถ้าดูจากระดับดัชนีตลาดหุ้นไทยที่เรามองว่าจะเป็นระดับที่น่าดึงดูดใจสำหรับการกลับเข้ามาลงทุนรอบใหม่ของนักลงทุนต่างประเทศคาดว่าจะอยู่ที่บริเวณ 700-680 จุดโดยประมาณ
กลยุทธ์: เรายังแนะนำเพียงเทรดดิ้งตามรอบสั้นๆ เพื่อลุ้นจังหวะดีดกลับของตลาด โดยควรหาจังหวะขายทำกำไรเมื่อ SET ดีดขึ้นด้วย โดยเฉพาะถ้าขยับขึ้นไปในกรอบ 730-750 จุด ซึ่งเราคาดว่าโอกาสที่ดัชนีจะขึ้นถึง 750 จุดไม่ใช่เรื่องง่าย ส่วนการซื้อเพื่อถือลงทุนเรายังแนะนำให้รอ SET ปรับตัวลงอีกครั้ง ซึ่งยังมีแนวโน้มไหลลงไปแถว 700 จุดหรือต่ำกว่าได้ โดยหุ้นที่แนะนำ ได้แก่ กลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี (BANPU, PTTEP, IRPC, PTTCH) โรงไฟฟ้า (GLOW) กลุ่มวัสดุฯ (SCC, SCCC, TSTH, DCC) กลุ่มอาหารและเกษตร (CPF, GFPT, TUF, TVO, STA) กลุ่มอิเล็คทรอนิคส์ (KCE, DELTA) และกลุ่มยานยนต์ (SAT, STANLY)

ประเด็นสำคัญวันนี้
Indicator หลายตัวบ่งบอกว่าตลาดหุ้นทั่วโลกยังลงไม่สุด
1. ความวิตกเรื่องหนี้ในยุโรป
ทำให้สภาพคล่องของโลกเริ่มตึงตัวเพราะสถาบันการเงินไม่มั่นใจในการปล่อยกู้ระหว่างกัน เห็นได้จาก TED Spread ที่ปรับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเป็น 0.36% สูงที่สุดในรอบ 11 เดือน แม้ว่าระดับนี้จะต่ำกว่าในช่วง Subprime (4.82%) หรือช่วงต้มยำกุ้ง (1.02%) แต่ก็เป็นระดับที่สูงกว่าในช่วงเดือน มี.ค. 2010 ซึ่งเป็นช่วงที่ตลาดการเงินเป็นปกติที่ 0.1% - 0.15%
2. VIX หรือดัชนีความกลัว ปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 34.61 จุด สูงที่สุดในรอบ 1 ปี สะท้อนว่าความกลัวของนักลงทุนมีมากที่สุดในรอบปี แม้ว่าจะต่ำกว่าช่วงวิกฤต Subprime ที่เคยปรับขึ้นไปสูงกว่า 80 จุด แต่ที่ระดับปัจจุบันเท่ากับในช่วงที่โลกเพิ่งจะออกจากวิกฤตใหม่ๆ จึงถือว่าตลาดยังไม่ปกติ VIX ที่สูงขึ้นส่วนหนึ่งเป็นผลสะท้อนมาจากตลาดการเงินในปัจจุบันที่เริ่มตึงตัวกว่าในช่วงที่ผ่านมา
3. CDS Spread ของหลายประเทศปรับสูงขึ้นมากที่สุดในรอบ 1 ปี ของไทยอยู่ที่ 155 basis point ประเทศเอเชียอื่นๆ ก็มี CDS สูงสุดในรอบ 1 ปี+/- เช่นกัน และอีกหลายประเทศในยูโรโซนก็ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
4. มองหุ้นผ่าน Yield curve สะท้อนว่าตลาดหุ้นยังไม่น่าสนใจ ส่วนต่างระหว่างผลตอบแทนของพันธบัตร 2 ปีกับ 10 ปี แคบลงเหลือเพียง 1.45%

-แรงขายต่างชาติเริ่มชะลอระยะสั้น ระยะกลางยังขายต่อ...รีบาวนด์จึงให้ขาย ไม่น่าแปลกใจที่ตลาดหุ้นไทยร่วงแรงหลังจากเปิดตลาดวันจันทร์ เพราะในช่วงที่เราปิดตลาด 2 วันครึ่ง ตลาดหุ้นในเอเชียร่วงหนักจนทำให้เรา Outperform เกินไป หากนับตั้งแต่วันพุธที่แล้วถึงวานนี้ ตลาดที่ปรับลงแรงเป็นตลาดที่ Outperform ในช่วงก่อนหน้าคืออินโดนีเซีย (7.9%) และไทย (44 จุดหรือ 5.8%) ซึ่งร่วงแรงกว่าเอเชียโดยเฉลี่ยที่ -3.8% การปรับลงอย่างแรงของ SET ในช่วง 2 วันที่ผ่านมาทำให้เปอร์เซ็นต์การ Correction ของเราใกล้เคียงกับเพื่อนบ้านแล้ว เพราะการพักฐานของตลาดเอเชียรอบนี้ (จากจุด Last peak) ปรับลงมาเฉลี่ย 12% (SET ปรับลง 12% จาก 820 จุดเช่นกัน) เชื่อว่าจากนี้ไปแรงขายของต่างชาติจะเริ่มชะลอลงจากช่วงที่ผ่านมาที่ขายวันละ 5 - 7 พันล้านบาท แต่แนวโน้มก็ยังเป็นขายอยู่
-รัฐบาลเลื่อนวันปิดสภาเพื่อให้ฝ่ายค้านอภิปรายไม่ไว้วางใจ คาดว่าจะเป็นจันทร์หรืออังคารหน้า (31 พ.ค. หรือ 1 มิ.ย.)
-ความตึงเครียดบนคาบสมุทรเกาหลีกดดันตลาด แม้บางสื่อจะวิเคราะห์ว่าเป็นเพียงเกมของเกาหลีเหนือในการใช้กำลังทหารต่อรองกับสหรัฐฯ ในเรื่องความช่วยเหลือด้านอาหารและน้ำมัน บ้างก็ว่าต้องการเรียกร้องความสนใจจากสหรัฐ แต่อย่างน้อยก็สร้างความตึงเครียดซ้ำเติมตลาดหุ้นในระยะนี้

-------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ตปท.
ตลาดหุ้นสหรัฐฯปิดตลาดวานนี้ ปรับขึ้นช่วงท้ายของการซื้อขายทั้งนี้ดาวโจนส์ปรับลด 22.82 จุด ขณะที่น้ำมันดิบดิ่ง 1.46 ดอลล์

26 พ.ค. 53 : ตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวขึ้นในช่วงท้ายของการซื้อขายเมื่อวานนี้ (25 พ.ค.) ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดลบ 22.82 จุดหรือ 0.23% ปิด 10,043.75, ดัชนี S&P 500 ปิดขยับขึ้น 0.38 จุดหรือ 0.04% สู่ 1,074.03และดัชนี Nasdaq ปิดลบ 2.60 จุดหรือ 0.12% ปิด 2,210.95 ปริมาณซื้อขายแข็งแกร่งราว 1.306 หมื่นล้านหุ้นในตลาดนิวยอร์ค, ASE และ Nasdaq ซึ่งสูงกว่าปริมาณเฉลี่ยต่อวันของปีก่อนที่ 9.65 พันล้านหุ้น

ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า NYMEX ปิดดิ่งลงกว่า 2 % เมื่อวานนี้ หลังนักลงทุนพยายามลดความเสี่ยง เนื่องจากกังวลกับวิกฤติหนี้ยุโรปและความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างเกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้ ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบส่งมอบเดือนก.ค.รูดลง 1.46 ดอลลาร์ หรือ 2.08 % มาปิดตลาดที่ 68.75 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 67.15-69.91 ดอลลาร์ ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนก.ค.ที่ตลาดกรุงลอนดอนดิ่งลง 1.62 ดอลลาร์ หรือ 2.28 % ปิด 69.55 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 68.15-70.95 ดอลลาร์

--------------------------------------------------------
Technical View : FSS
“ตลาดมีสิทธิที่จะเริ่มแกว่งทรงตัวบริเวณแนวรับ 720 จุดหรือต่ำกว่าเล็กน้อย เพื่อลุ้นดีดกลับขึ้นหาแนวต้านต่างๆ ให้ตามเทรดดิ้งขึ้นไปทำกำไรตามรอบได้ แต่ยังเน้นเล่นสั้นตามรอบ เพราะโอกาสย้อนลงอีกครั้งยังเป็นไปได้...”
แนวรับ : 720-718** , 715***
แนวต้าน : 730-736* , 742-744** , 750-752***

--------------------------------------------------------

Code 80 : GDP 2 Digits

วันอังคารที่ 25 พฤษภาคม 2553

ATT Code : GDP 2 Digits
-เมื่อวานเกิด After Shock ในตลาดหุ้นที่ต่างชาติขาย 7 พันกว่าล้าน
-GDP ของไทย ไตรมาสแรกนี้ อยู่ที่ 12% เห็นตัวเลข 2 หลัก ในรอบ 15 ปี
-Moody's ก็ยังไม่ได้ลดอันดับของไทยลงไป จากการชุมนุมทางการเมือง
-SET หลุด 740 ก็มีแนวรับต่อไปที่ 736 / 730 / 720


-SET ปิดที่ 751.29 จุด -23.02 จุด V. 24,385 MB.

ยังมีแนวรับที่สำคัญที่ 720 จุด วันนี้ยังถือว่ารับอยู่ได้
แต่พรุ่งนี้ไม่แน่ เพราะ DJ Future -200 และยุโรป ลงค่อนข้างเยอะ -3%
-M10 ปิดที่ 500.90จุด -17.60 จุด มีแนวรับ 200 วัน ที่ 500 จุด
ถ้ารับอยู่ได้ ก็มีโอกาสเด้งได้บ้างเหมือนกัน แต่มีโอกาสหลุดสูงกว่านะ

---------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย
ไทยรัฐ - By...อินเด็กซ์ 51 : เงาหุ้น-ฝรั่งขาย 7.7 พันล้าน!!

ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 24 พ.ค.53 ปิดที่ 744.31 จุด ลดลง 21.23 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 27,683.30 ล้านบาท

นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 7,752 ล้านบาท ขณะที่สถาบันในประเทศ ขายสุทธิ 939.14 ล้านบาท พอร์ตโบรกเกอร์ขายสุทธิ 195.66 ล้านบาท ส่วนรายย่อยยังคงเป็นหน่วยกล้าตายโดดเข้าซื้อสุทธิ 8,886.82 ล้านบาท

บล.ธนชาต ระบุว่า ต่างชาติขายหุ้นไทยต่อเนื่องนับจากใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน (8 เม.ย.-19 พ.ค.) โดยขายไปแล้ว 50,000 ล้านบาท หากนับรวมวันที่ 24 พ.ค. ที่ตลาดหลักทรัพย์กลับมาซื้อขายหุ้นเต็มรูปแบบอีกครั้งหลังเกิดเหตุจลาจล เบ็ดเสร็จต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยรวม 5.77 หมื่นล้านบาท เท่ากับยอดซื้อสุทธิถึงเดือน มี.ค.ปีนี้ ที่ต่างชาติเข้ามาซื้อสุทธิทั้งสิ้น 5.8 หมื่นล้านบาท

ขณะที่ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลดลงจากระดับสูงสุดที่ 820 จุด ลงมาปิดที่ 744.31 จุด นั่นหมายถึงว่าดัชนีดิ่งลงมาแล้ว 75.96 จุด หรือ 10.16%

ฝ่ายวิเคราะห์ บล.กสิกรไทย ระบุว่า หุ้นไทยลงแรงผสมโรงปัจจัยลบทั้งในและนอกประเทศที่เข้ามากดดัน หลังตลาดหุ้นสหรัฐฯและตลาดหุ้นทั่วโลกที่ปรับตัวลงแรงในช่วงที่หุ้นไทยได้ปิดทำการ เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลกับปัญหาหนี้กรีซ ที่ส่งสัญญาณลุกลามไปยังประเทศอื่นในยูโรโซน

ขณะที่มองแนวโน้มตลาดระยะสั้นคาดว่าจะปรับตัวลงต่อ โดยระยะสั้นหุ้นไทยคงฟื้นตัวได้ยาก เห็นได้จากดัชนีที่ปรับตัวลงหลุดระดับแนวรับสำคัญที่ 746-745 จุด ทำให้คาดว่าสัปดาห์นี้ดัชนีมีโอกาสปรับตัวลงแตะ 730 จุด โดยประเมินว่าแรงขายต่างชาติจะมีมากขึ้น หลังกฎหมายปฏิรูปสถาบันการเงินของสหรัฐฯ ผ่านการพิจารณาของสภาฯแล้ว โดยจะควบคุมการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงเพิ่มขึ้น

แนะกลยุทธ์ให้ชะลอการลงทุน ด้านเทคนิคประเมินแนวรับไว้ที่ 730 จุด ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 760 จุด

ฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจและกลยุทธ์ บล.เคจีไอ แนะกลยุทธ์การลงทุน ให้ขาย สำหรับนักลงทุนระยะสั้น ขณะที่นักลงทุนระยะยาวให้ถือรอ เพราะภาพของตลาดหุ้นมีลักษณะแกว่งตัวออกข้าง เนื่องจากปัจจัยภายในดีขึ้น แต่ปัจจัยภายนอกประเทศกลับแย่ลง จึงแนะให้ติดตามสถานการณ์ก่อน

ด้านเทคนิคประเมินแนวต้านไว้ที่ 750–752 จุด ส่วนแนวรับอยู่ที่ 743–740 จุด หากลงมาให้ไปรอที่ 730 จุดได้เลย.

FSS : ความกังวลจากด้านยุโรปยังกดดัน และแรงขายต่างชาติยังสูง...รอรับต่ำดีกว่า
แนวโน้ม: จากปัจจัยทางด้านการชุมนุมที่คลี่คลายไปแล้ว แต่สถานการณ์ทางด้านการเมือง และความขัดแย้งในสังคมยังไม่หมดไป ทำให้การประกาศใช้ พรก.ฉุกเฉิน และการห้ามออกนอกเคหสถานในยามวิกาลของภาครัฐยังคงดำเนินอยู่ คาดว่าจะส่งผลต่อความมั่นใจของนักลงทุนต่างประเทศต่อเนื่อง ขณะที่ฝ่ายค้านได้ยื่นขออภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯ และรัฐมนตรีอีก 5 ท่าน โดยประเด็นหลักเป็นประเด็นต่อเนื่องจากการสลายการชุมนุมในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งกำลังรอกำหนดวันอภิปรายอีกครั้งหนึ่ง ส่วนในด้านปัจจัยการแกว่งตัวของตลาดหุ้นต่างประเทศก็ยังเป็นลบ โดยล่าสุดเมื่อคืนวานนี้ดัชนีดาวโจนส์ย้อนกลับมาปิดเป็นลบกว่า 126 จุดหรือคิดเป็น -1.24% จากความวิตกเกี่ยวกับการลุกลามของปัญหาหนี้สินในยุโรปหลังธนาคารสเปนได้เข้าเทคโอเวอร์ธนาคารออมทรัพย์ขนาดเล็กในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ส่งผลให้ตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ตอบรับประเด็นดังกล่าวด้วยการเปิดเป็นลบกว่า 1% เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งคาดว่า SET ก็น่าจะได้รับผลกระทบจากแรงขายของนักลงทุนต่างประเทศในลักษณะเดียวกัน ดังนั้น FSS คาดว่าวันนี้ SET จะยังคงปรับตัวลงต่อเนื่อง โดยแม้ว่าอาจจะมีจังหวะดีดกลับได้บ้างเป็นพักๆ แต่โอกาสที่จะเน้นหนักทางด้านแกว่งตัวลงในลักษณะนี้ไปอีกระยะหนึ่งมีความเป็นไปได้สูง โดยมีแนวโน้มที่จะไหลลงไปแถว 700 จุดต้นๆ หรือหลุดต่ำกว่าลงไปได้ ซึ่งเรามองระดับดัชนีเป้าหมายอยู่ที่ประมาณ 680 จุด

กลยุทธ์: ถ้าจะเข้าเทรดดิ้งในช่วงนี้ จึงเป็นจังหวะของการเทรดดิ้งในช่วงแกว่งตัวลงต่อเนื่องของตลาด ซึ่งต้องใช้ความระมัดระวังสูง และจำกัดพอร์ตไว้ โดยถ้าตลาดดีดกลับควรหาจังหวะขายทำกำไรตามรอบด้วย ส่วนการซื้อเพื่อถือลงทุนเรายังแนะนำให้รอ SET ไหลลงไปแถว 700 จุดหรือต่ำกว่าก่อน โดยเน้นหุ้นพื้นฐานดีที่ราคาตลาดต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานมากๆ โดยเฉพาะหุ้นที่ไม่ได้รับผลกระทบจากปัญหาการจลาจลในช่วงที่ผ่านมา เช่น กลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี (BANPU, PTTEP, IRPC, PTTCH) โรงไฟฟ้า (GLOW) กลุ่มวัสดุฯ (SCC, SCCC, TSTH, DCC) กลุ่มอาหารและเกษตร (CPF, GFPT, TUF, TVO, STA) กลุ่มอิเล็คทรอนิคส์ (KCE, DELTA) และกลุ่มยานยนต์ (SAT, STANLY)

ประเด็นสำคัญวันนี้
-เศรษฐกิจไทย 1Q10 โต Q-Q สูงสุดในรอบ 10 ปีแต่ไม่ช่วยตลาด เศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกขยายตัวถึง 12% Y-Y และ 3.8% Q-Q ดีกว่าตลาดคาด (4Q09GDP +5.9% Y-Y, +4.0% Q-Q) การเติบโต Y-Y ที่สูงสุดในรอบ 15 ปีไม่ได้มีความหมายมากนักเพราะฐานที่ต่ำผิดปกติใน 1Q09 แต่การขยายตัว Q-Q Seasonal adjusted ทั้งใน 4Q09 และ 1Q10 เป็นตัวเลขที่สูงที่สุดในรอบ 10 ปี และเป็นมูลค่าที่สูงกว่าระดับก่อนเกิดวิกฤตการเงินแล้ว แต่ไม่ได้ช่วย Sentiment ของตลาด เพราะตัวเลขใน 2Q10 น่ากังวลมากกว่าเพราะการชุมนุมเริ่มขึ้นตั้งแต่ 12 มี.ค. และกินเวลาเกือบเต็มไตรมาส

-จับตารายย่อยและกองทุนจะถอดใจเมื่อไหร่ เปิดตลาดมาวันแรกหลังจากปิดไป 2 วัน วานนี้ต่างชาติขายสุทธิถึง 7,752 ล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ และทำให้ยอดสะสมของปีนี้ (YTD) เป็นขายสุทธิ 7,970 ล้านบาท ใกล้เคียงกับยอดสะสมของกองทุนในประเทศที่เป็นขายสุทธิ 7,945 ล้านบาท แต่ต้นทุนต่างกัน โดยต้นทุนของต่างชาติในปีนี้เฉลี่ยอยู่ที่ดัชนีประมาณ 770 จุด ส่วนกองทุนในประเทศประมาณ 746 จุด ระดับดัชนีปัจจุบันเท่ากับขาดทุนแล้วทั้งคู่ สิ่งที่น่าห่วงคือหากกองทุนในประเทศที่ซื้อไปก่อนหน้านี้ถอดใจขาย จะยิ่งกดดันดัชนีให้ทรุดหนัก ช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาเพราะกองทุนในประเทศซื้อทำให้ประคองดัชนีไม่หลุด 740 จุด แต่เชื่อว่าอีกไม่นานน่าจะเห็น 700 ต้น สำหรับต่างชาติที่ขายออกมาหมดแล้วในปีนี้ หากดูยอดของปี 2009 เป็นยอดซื้อสุทธิ 3.8 หมื่นล้านบาทมีต้นทุนเฉลี่ยต่ำเพียง 650 จุด ถือว่ายังมีกำไร 14% ไม่รวมกำไรจากค่าเงินบาทอีก 5% เมื่อเทียบกับปีก่อน

-กลุ่มอสังหาฯ มีลุ้นได้ขยายมาตรการช่วยเหลือ การประชุม ครม.วันนี้จะมีการเสนอให้ขยายมาตรการอสังหาริมทรัพย์ออกไปอีก 1 เดือน จากเดิมที่สิ้นสุดเดือน พ.ค. นี้ เป็นเดือน มิ.ย. แทน มาตรการยังคงเหมือนเดิมคือลดค่าธรรมเนียมการโอนจากเดิม 2% เหลือ 0.01% ของราคาประเมินของทางราชการ และค่าจดทะเบียนการจำนองอสังหาริมทรัพย์จากเดิม 1% เหลือ 0.01% เราเห็นว่ามีผลกระทบน้อยต่อกำไร 2Q10 เพราะเป็นเพียงยอดโอนที่คงค้างในช่วงเดือน พ.ค. ซึ่งมีปัญหาเรื่องการชุมนุม

-พรรคเพื่อไทยยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯ กับ 5 รมต. ประธานสภาจะตรวจสอบญัตติภายใน 7 วันแล้วยื่นให้รัฐบาลกำหนดวันอภิปราย

-Moody’s คงอันดับความน่าเชื่อถือของไทยที่ Baa1 และ Outlook เป็น Negative เช่นเดิม โดยให้เหตุผลว่าความน่าเชื่อถือของเศรษฐกิจและการเงินในขณะนี้ยังไม่ถูกกระทบ แต่ในระยะสั้นแบงก์อาจมีหนี้เสียเพิ่มขึ้น และระบุว่าปัญหาการเมืองที่ยืดเยื้ออาจกระทบเศรษฐกิจในระยะยาวได้ -> ข่าวการคงอันดับเรทติ้งของ Moody’s อย่างน้อยก็ไม่ซ้ำเติมสถานการณ์ที่แย่อยู่แล้วให้แย่ไปอีก

สภาพัฒน์เผย GDP ไตรมาสแรกโต12%
สภาพัฒน์เผยGDP1/53โต12%สูงสุดในรอบ15ปี ประเมินผลกระทบชุมนุมการเมืองหั่นเป้าGDPทั้งปีจาก6-7% เหลือ3.5-4.5%

24 พ.ค. 53 : นายอำพน กิตติอำพน เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ แถลงข่าวถึงอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทย ไตรมาสแรก (ม.ค.- มี.ค. 2553 ) ขยายตัว 12 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน(ไตรมาสแรกปี 2552 จีดีพีหดตัว 7.1 %) สูงสุดในรอบ 15 ปี นับตั้งแต่ไตรมาส 2 ปี 2538 เนื่องจากได้รับปัจจัยบวก จากการส่งออกดี และภาคการเงิน การผลิตและการค้าระหว่างประเทศดีขึ้น

ขณะที่การเมืองในช่วงดังกล่าว สถานการณ์คลี่คลาย ทำให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไทยถึง4.7 ล้านคน ส่วนอุปสงค์ภายในประเทศดีขึ้นทำให้การผลิตภาคอุตสหากรรมฟื้นตัวในทิศทางเดียวกัน ต่อเนื่องจาก ไตรมาส 4/52 โดยสภาพัฒน์ฯปรับตัวเลขจีดีพีในไตรมาส 4/52 เป็นบวก 5.9% จากเดิมบวก 5.8% เมื่อเทียบปีต่อปี

อย่างไรก็ตาม จีดีพีไตรมาสแรกยังไม่ได้ถูกผลกระทบจากเหตุชุมนุมทางการเมือง ซึ่งจะมีผลกระทบต่อจีดีพีในไตรมาสที่ 2 ทำให้สภาพัฒน์ฯย้งประมาณการจีดีพีทั้งปี ไว้ที่ 3.5-4.5 % จากที่เคยคาดว่าจีดีพีของไทยในปีนี้อาจขยายตัวได้ถึง 6-7 % ขณะที่มีการประเมินเหตุรุนแรงช่วงเม.ย.-พ.ค.จะกระทบจีดีพีปีนี้ 1.5%

----------------------------------------------------------
Technical View : FSS
“คาดตลาดมีสิทธิลุ้นจังหวะดีดขึ้นรอบสั้นๆ ให้เทรดดิ้งได้จากแนวรับ 740 หรือ 720 จุด(+/-) ดังนั้นตามดูแรงซื้อเพื่อลุ้นเทรดดิ้งตามรอบได้ แต่ยังเน้นเล่นสั้น ตลาดดีดกลับขึ้นไปยังต้องขายทำกำไรอยู่เช่นเดิม...”
แนวรับ : 740-736* , 728-718**
แนวต้าน : 752** , 760-764***

---------------------------------------------------------

Code 79 : After Chock

วันจันทร์ที่ 24 พฤษภาคม 2553

ATT Code : After Chock
วันนี้ก็ยังไม่ได้เข้า Office ที่เดิมอยู่ มาเข้าที่สาขาสินธรแทน
เพราะระบบใช้ได้แต่ยังไม่ค่อยเสถียรเท่าไหร่นัก

หลังจากที่หยุดยาว มา 4 วัน เปิดมาวันแรก ก็เจอกับ After Chock
ทำให้หุ้นไทย ยังเจอแรงขายจากต่างชาติอยู่ ครึ่งวันเช้า 3,600 ล.บ.
ครึ่งบ่ายก็ยังขายพอกัน รวมแล้วทั้งวันก็ขาย 7,752 ล.บ.
รวมแล้ว 1 -24 พ.ค. นี้ ขายไปแล้ว 46,412 ล.บ.
และขายสะสมตั้งแต่ 1 ม.ค. - 24 พ.ค. เป็น Net Sell แล้ว 7,969 ล.บ.
SET ก็หลุดแนวรับที่แข็งแกร่งที่ 750-752 ลงมาแล้ว ลงมาปิดที่ 744.31
ถ้าจะหลุด 740 ก็คงไม่ยากส์ โดย Shot ต่อไปมองที่ 720 ครับ รับอยู่มั้ย


---------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย
ไทยรัฐ - ทิศทางหุ้น 24/05/53
ภาวะการซื้อขายหุ้น



สัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีหุ้นไทยปิดที่ 765.54 จุด ขยับลดลง 0.42% ขณะที่มูลค่าการซื้อขายรวมทั้งสัปดาห์ลดลง 59.07% จาก 112,054.15 ล้านบาท มาอยู่ที่ 45,862.60 ล้านบาท ตลาดหลักทรัพย์ MAI ปิดที่ 205.44 จุด ขยับลดลง 0.11% จาก 205.67 จุด ในสัปดาห์ก่อนหน้า

สำหรับแนวโน้มสัปดาห์นี้ (24-28 พ.ค.53) บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด มองว่า สถานการณ์การเมืองในประเทศมีแนวโน้มคลี่คลาย อาจช่วยหนุนดัชนีให้บวกขึ้นได้ ปัจจัยสำคัญคงจะอยู่ที่มุมมอง/ความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติเป็นหลัก ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงทางเศรษฐกิจโลกจากวิกฤติหนี้ในยูโรโซน ซึ่งถ่วงบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศ ก็อาจฉุดดัชนีให้มีโอกาสปรับฐานต่อ

ทั้งนี้ปัจจัยที่ต้องติดตาม ได้แก่ การรายงานตัวเลขจีดีพีไตรมาส 1/2553 โดย สศช. การรายงานตัวเลขการค้าระหว่างประเทศของกระทรวงพาณิชย์ ความเคลื่อนไหวราคาน้ำมันตลาดโลก ทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศที่สำคัญ ตลอดจนการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และจีน

ภาวะตลาดเงินและอัตราแลกเปลี่ยน

อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นทรงตัวถึงขยับขึ้น ก่อนตลาดเงินในประเทศปิดทำการปลายสัปดาห์ อัตราดอกเบี้ยอินเตอร์แบงก์ประเภทกู้ยืมข้ามคืน (Overnight) หนาแน่นตลอดสัปดาห์ที่ระดับ 1.205% ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 1.15% ในสัปดาห์ก่อน

เงินบาทในประเทศ (Onshore) ผันผวนในกรอบที่กว้างขึ้นตามสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศ เงินบาทอ่อนค่าลงอย่างหนักในช่วงต้นสัปดาห์ จากปัจจัยการเมืองในประเทศ และการอ่อนค่าของสกุลเงินในภูมิภาค ท่ามกลางความกังวลต่อวิกฤติหนี้ในยูโรโซน โดยช่วงที่ตลาดการเงินในประเทศปิดทำการวันที่ 20-21 พ.ค. เงินบาทในตลาดออฟชอร์เคลื่อนไหวใกล้ระดับ 32.40 บาทต่อดอลลาร์ฯ

เงินเยนแข็งค่าขึ้นเกือบตลอดสัปดาห์ในฐานะที่เป็นสกุลเงินที่ปลอดภัย ขณะที่นักลงทุนยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์วิกฤติหนี้สาธารณะของประเทศในแถบยูโรโซน และแนวโน้มทางเศรษฐกิจที่อาจชะลอตัวลงเนื่องเมื่อวันที่ 21 พ.ค.เงินเยนปรับตัวอยู่ที่ระดับ 90.01 (ตลาดยุโรป) เทียบกับระดับ 92.46 เยนต่อดอลลาร์ฯ เมื่อวันที่ 14 พ.ค. เงินยูโรร่วงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 4 ปีก่อนฟื้นตัวขึ้นช่วงปลายสัปดาห์ ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้นต่อเนื่องจากมาตรการรัดเข็มขัดทางการคลังของประเทศในแถบยูโรโซน เมื่อวันที่ 21 พ.ค. ค่าเงินยูโรขยับแข็งค่าต่อมายืนที่ระดับ 1.2510 (ตลาดยุโรป) เทียบกับระดับ 1.2360 ดอลลาร์ฯต่อยูโร เมื่อวันที่ 14 พ.ค.ที่ผ่านมา.

------------------------------------------------------------

Code 78 : เปลี่ยนความแค้น เป็นการให้อภัย

วันเสาร์ที่ 22 พฤษภาคม 2553

ATT Code : เปลี่ยนความแค้น เป็นการให้อภัย
การปรองดองจะเกิดขึ้นได้ก็ต้องเปลี่ยนจากความแค้นเคือง เป็นการให้อภัย เป็นสิงที่ทำได้ยาก แต่มันก็ไม่ได้เหนือความพยายาม ถ้าทำด้วยความจริงใจ

ถึงแม้ว่า ม.หอการค้าไทย คาดเหตุม็อบเผาเมือง ทำเศรษฐกิจไทยพินาศทะลุ 1.5-3 แสนล้านบาท มันก็สามารถสร้างขึ้นมาใหม่ได้ ถ้าคนไทยร่วมแรงร่วมใจกันอย่างจริงใจ และให้อภัยกัน

----------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย
ไทยรัฐ - By...อินเด็กซ์ 51 : เงาหุ้น-พลังแห่งการให้อภัย!!

สิ่งที่มีพลังที่สุด...ที่จะปลดปล่อยให้คุณเป็นอิสระ
คือการให้อภัยทุกคนที่เคยทำให้คุณเจ็บปวดในทุกๆเรื่อง
เพียงคุณปลดปล่อยคนอื่นออกจากจิตใจโดยการให้อภัยเขา
คุณจะปลดปล่อยตนเองให้เป็นอิสระจากความทุกข์
นี่คือเหตุผลที่ศาสนาส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับการให้อภัย
และสอนว่า การให้อภัยเป็นก้าวแรกที่จะนำไปสู่สันติสุขในใจและบนโลกมนุษย์
เก็บตกจากฟอร์เวิร์ดเมล์

หากคนในชาติไม่เริ่มต้นให้อภัยกับคนที่คิดต่าง หากคนในแผ่นดินยังอยู่กับความคั่งแค้น...เกลียดชังกัน แผนปรองดองแห่งชาติไทยก็คงจะเดินหน้าไปได้ไม่สำเร็จ...
ดังนั้น "อย่าปล่อยให้ความแตกร้าวของคนในชาติไปไกลกว่านี้ จนต้องสิ้นชาติ สิ้นแผ่นดิน"

มาเรื่องดีๆมีสาระ "เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ" ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า ขณะนี้ยังประเมินยากว่าจีดีพีไตรมาส 2 จะออกมาอยู่ที่ระดับใด แต่ผลกระทบจากปัจจัยและสถานการณ์การเมืองที่ชัดเจนมากที่สุดคือภาคการท่องเที่ยว ซึ่งจะมีผลเชื่อมโยงไปยังรายได้และการจ้างงานของภาคธุรกิจอื่นๆที่เกี่ยวข้อง

แต่เชื่อว่า เศรษฐกิจไทยยังสามารถพึ่งพารายได้จากการส่งออกต่อไปได้ เพราะมีสัดส่วนต่อจีดีพีสูงถึง 60% และยังขยายตัวได้ดีตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก

แต่สิ่งที่ต้องระวังคือ ต้องดูแลไม่ให้ความขัดแย้งทางการเมืองรุนแรงถึงขั้นมีการปิดช่องทางการขนส่งต่างๆ เพราะจะทำให้คู่ค้าไม่เชื่อมั่นและหันไปสั่งซื้อจากประเทศอื่นแทนได้

สำหรับจีดีพีทั้งปี 53 นั้น "เศรษฐพุฒิ" ระบุว่า ก่อนหน้านี้ศูนย์วิจัยไทย-พาณิชย์ คาดไว้ที่ 4.5-5.5% แต่ขณะนี้อยู่ระหว่างการปรับลดประมาณการ แต่จีดีพีไตรมาส 1 ปี 53 ที่คาดว่าจะโตได้มากกว่า 9% ทำให้เฉลี่ยทั้งปีนี้ยังน่าจะโตได้เกิน 4% และคาดว่า กนง.จะยังไม่มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย

ขณะที่ "สมชัย อมรธรรม" ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บลจ.กรุงไทย ระบุว่า ผลกระทบจากสถานการณ์การเมืองที่เกิดขึ้น ในแง่การลงทุนของภาครัฐผ่านโครงการไทยเข้มแข็งยังคงดำเนินต่อไปได้ แต่การลงทุนของผู้ประกอบการ เอกชนอาจชะลอออกไป เพื่อให้มีความมั่นใจในสถานการณ์มากกว่านี้ เช่นเดียวกับการบริโภคภายในประเทศที่อาจมีการชะลอตัว.


ไทยรัฐ - พิษม็อบเผาเมือง ทำเศรษฐกิจไทยพินาศ3แสนล.
ม.หอการค้าไทย คาดเหตุม็อบเผาเมือง ทำเศรษฐกิจไทยพินาศทะลุ 1.5-3 แสนล้านบาท ...

นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงผลกระทบความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้นในขณะนี้ว่า สร้างความเสียหายในระบบเศรษฐกิจแล้ว 150,000-300,000 ล้านบาท เพิ่มจากเดิมที่คาดจะเสียหาย 90,000-140,000 ล้านบาท

เพราะความขัดแย้งรุนแรงกว่าที่คาดไว้ มีการเผาอาคาร สถานที่สำคัญ และมีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก โดยภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบมากสุด ได้แก่ การท่องเที่ยว รองลงมาเป็นการบริโภคภาคประชาชน และการลงทุน

อย่างไรก็ตาม ศูนย์จะประกาศผลสำรวจความเสียหายเป็นทางการวันที่ 27 พ.ค.นี้ และเชื่อว่าผลกระทบครั้งนี้จะกระทบต่อเศรษฐกิจไทยต่อเนื่องไปอีก 6 เดือน ส่วนการกระตุ้นเศรษฐกิจตอนนี้คงต้องหวังพึ่งการส่งออก และการลงทุนจากภาครัฐผ่านงบประมาณไทยเข้มแข็งเป็นหลัก

------------------------------------------------------------------

Code 77 : SIR JOHN TEMPLETON

วันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม 2553

ATT Code : SIR JOHN TEMPLETON
ในวันหยุดวันสุดท้ายของตลาดฯ เลยขอแนะนำ วิธี การและแนวทางการลงทุน 10 ประการของ เซอร์จอห์น เทมป์เพลตัน SIR JOHN TEMPLETON ในคอลัม ถนนนักลงทุนในกรุงเทพธุรกิจ เห็นว่าน่าสนใจดี ก็เลยนำมาให้ได้อ่านกันครับ

-------------------------------------------------------------
วิธี การและแนวทางการลงทุน 10 ประการของ
เซอร์จอห์น เทมป์เพลตัน SIR JOHN TEMPLETON

Link - http://www.thaivi.com/2010/02/143/

เกษียรแล้ว เคยเป็นหัวหน้า Templeton Investment Management.
รูป แบบการลงทุน เน้นการลงทุนแบบเน้นคุณค่ากระจายทั่วโลก

จอห์น เทมป์เพลตัน เกิดในครอบครัวที่ยากจน เขาเริ่มงานครั้งแรกกับบริษัทหลักทรัพย์ก่อนมีสงครามไม่นาน การลงทุนครั้งแรกของเราเริ่มต้นจากเงินที่ยืมจากเจ้านายจำนวน 10,000 ดอลล่า เขาสามารถลงทุนให้เกิดเป็นเงินทั้งสิ้น40,000 ดอลล่าภายในเวลา4ปี โดยเขานำเงินจำนวนนั้นไปซื้อหุ้นจำนวน104บริษัทระหว่างที่สงครามกำลังรุนแรง และขายออกหลังสงครามเลิก………..
หลังจากทำงาน แรกไม่นานเขาก็ก่อตั้งบริษัทที่ปรึกษาการลงทุนของเขาเอง และเมื่ออายุได้ 56 ปีเขาได้ขายมันไปและเริ่มต้นก่อตั้งกองทุนฃึ้นใหม่ชื่อว่า Templeton Growth กองทุนนี้สามารถสร้างผลดำเนินการได้ในระดับที่สูงติดอันดับตลอดระยะเวลา20ปี ทีเดียว จากความสำเร็จนี้เกิดจากการที่เขาสามารถมองเห็นโอกาสในการลงทุนก่อนใคร เช่นโอกาสในญี่ปุ่นช่วงยุค60 และการบูมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในคานาดาช่วงปี70

ผลตอบแทนที่เคยทำได้
จาก ปี 1954-2000, กองทุนTempleton Growth สามารถสร้างผลตอบแทนได้โดยเฉลี่ย 15%ต่อปี

ความสำเร็จที่สำคัญ
เนื่องจากการใช้แนว การลงทุนแบบเน้นคุณค่าทำให้เขาลงทุนในหุ้นจำนวนมาก โดยเขามองว่า ผลตอบแทนจากหุ้นเพียงบริษัทเดียวไม่สำคัญเท่าผลตอบแทนโดยรวมของทั้งportลง ทุน อาจเป็นได้ว่าความสำเร็จที่สำคัญของเขาเกิดจากการลงทุนอย่างมากในตลาดหุ้น ญี่ปุ่นในช่วงปี1962 ซึ่งเป็นช่วงที่ตลาดญี่ปุ่นเป็นตลาดที่โตเร็วมากในยุคนั้นจนถึงปี1990

วิธี การและแนวทางการลงทุน
เขาได้สรุปหลักการลงทุนของเขาเป็นทั้ง สิ้นหลักปฎิบัติ10ประการ ซึ่งยังคงใช้เป็นหลักการในการลงทุนและการเลือกพิจารณาหุ้นอยู่ในบริษัทของ เขาจนทุกวันนี้
1 ลงทุนเพื่อผลตอบแทนที่แท้จริง วัตถุประสงค์หลักในการลงทุนระยะยาว คือการสร้างผลตอบแทนหลังหักภาษีให้สูงที่สุด
2 เปิดใจให้กว้างตลอดเวลา เขาไม่เคยใช้หลักการลงทุนใดอย่างถาวร เขามักมีการปรับวิธีการลงทุนให้ยืดหยุ่นเหมาะสมกับสถานการณ์ และเปิดใจให้กว้างเพื่อรับแนวความคิดใหม่ๆเสมอ
3 ไม่ตามคนหมู่มาก หากซื้อหุ้นตามคนหมู่มาก เราก็มักจะได้รับผลตอบแทนแบบเดียวกันกับคนเหล่านั้น การซื้อหุ้นควรทำเมื่อคนส่วนใหญ่เกิดความกลัว และขายเมื่อคนส่วนใหญ่กำลังหึกเหิม การจะทำอย่างนี้ได้ต้องอาศัยความอดทนที่ยิ่งใหญ่ แต่รางวัลที่ได้รับก็มักจะยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน
4 ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีการเปลี่ยนแปลง ตลาดที่ซบเซามักจะมีเป็นการชั่วคราว หลังจากนั้นจะเป็นตลาดขาขึ้น
5 หลีกเลี่ยงหุ้นที่กำลังเป็นที่นิยม เพราะนักลงทุนเหล่านั้นอาจกำลังเลือกหุ้นที่ผิดพลาดหรือผิดจังหวะเวลาก็เป็น ได้
6 เรียนรู้จากความผิดพลาดของตัวเอง
7 ซื้อหุ้นในช่วงที่ตลาดปกคลุ่มไปด้วยข่าวร้าย
ช่วงเวลาที่ตลาดปกคลุ่มไปด้วย ข่าวร้ายเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการซื้อ และช่วงที่ตลาดปกคลุ่มไปด้วยข่าวดีเป็นช่วงที่ควรขายที่สุด
8 มองหาคุณค่าและราคาที่ถูกเมื่อเทียบกับมูลค่าแล้ว ในตลาดหุ้นนั้นการที่จะซื้อหุ้นได้ในราคาที่ถูกมากๆคือตอนที่นักลงทุนส่วน ใหญ่ขายหุ้นออกมา
9 มองหาโอกาสทั่วโลก ถ้าเราสามารถหาโอกาสการลงทุนได้ทั่วโลกเราจะพบว่ามีหุ้นที่ถูกๆมากกว่าการลง ทุนในประเทศเดียว
ไม่มีใครรู้ไปซะทุกเรื่อง
10 ผู้ที่สามารถตอบได้ทุกเรื่องเขาอาจจะไม่เข้าใจคำถามก็ได้

สี่ ปัจจัยหลักในการพิจารณาลงทุน
-P/E ratio เทียบกับบริษัทที่มีลักษณะเดียวกัน
-Operating profit margins โดยเฉพาะถ้ามีการเพิ่มขึ้น
-Liquidating value, มูลค่าที่บริษัทจะสามารถขายได้ทันที
-อัตราการเติบโตของกำไรเฉลี่ย และที่สำคัญอัตราการเติบโตต้องมีความสม่ำเสมอ โดยทั่วไปแล้วให้ระวังบริษัทที่มีการลดลงของการเติบโต2ปีติดต่อกัน

ประโยคทอง
“History shows that time, not timing, is the key to investment success. Therefore, the best time to buy stocks is when you have money.”
“I never made money for clients by buying anything expensive.”

ที่มา : Templeton Maxims, published by Templeton Investment Management Limited

----------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย
ไทยรัฐ - By...อินเด็กซ์ 51 : เงาหุ้น-เศร้าหัวใจ!!


ขออัญเชิญพระดำรัสของกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์
เจอบันทึกนี้ ให้เอาคำต่อไปนี้ของกู ไปประกาศให้คนรู้ว่า "กู กรม
หลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ผู้เป็นโอรสของพระปิยมหาราช ขอประกาศให้รับรู้ ไว้ว่า แผ่นดินสยามนี้ บรรพบุรุษได้เอาเลือดเนื้อ เอาชีวิต เข้าแลกไว้ ไอ้ อี มันผู้ใดคิดบังอาจทำลายแผ่นดิน ทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ฤา ทำการทุจริต ก่อให้เกิดความเดือดร้อนต่อส่วนรวม จงหยุดกระทำนั่นเสียโดยเร็ว ก่อนที่กูจะสังหารผลาญสิ้นทั้งโคตร ให้หมดเสนียดของแผ่นดินสยาม อันเป็นที่รักของกู ตราบใดที่คำว่า "อาภากร" ยังยืนหยัดอยู่ในโลก กูจะรักษาพื้นแผ่นดินสยามของกู ลูกหลานทั้งหลาย แผ่นดินใดให้กำเนิดมา แผ่นดินใดให้ที่ซุกหัวนอน ให้ความร่มเย็นเป็นสุข มิให้อนาทรร้อนใจ จงซื่อสัตย์ต่อแผ่นดินนั้น"
(คัดจากอนุสาวรีย์กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ปากน้ำหลังสวน จังหวัดชุมพร)

เห็นภาพการ "เผาเมือง" จนพินาศวายวอดของคนไทยด้วยกันเองแล้ว มันเศร้าหัวจิตหัวใจจริงๆ อาคารบ้านเมือง ศูนย์การค้า ธนาคาร ไม่เว้นแม้แต่อาคารตลาดหลักทรัพย์ยังถูกเผาวายวอดไปกับเขาด้วย

ไม่มีใครแพ้ ไม่มีใครชนะ เพราะมิคสัญญีครั้งนี้ คนไทย ชาติไทยพ่ายแพ้ ปราชัยอย่างย่อยยับ!!

และไม่รู้ว่าเราจะกอบกู้บ้านเมืองกลับคืนมาได้เมื่อไร สิ่งก่อสร้างอาคารต่างๆ ความเสียหายที่เกิดขึ้นยังซ่อมแซมก่อสร้างให้กลับคืนมาได้

แต่สิ่งที่น่าวิตกกังวลมากกว่านั้น คือเราจะเยียวยาและฟื้นฟูจิตใจของคนในชาติให้กลับคืนมาเหมือนเดิมได้อย่างไร

เฮ้อ...!! มาฟังรายงานล่าสุดของอาคารตลาดหลักทรัพย์

"ภัทรียา เบญจพลชัย" ผู้จัดการตลาดหุ้น เปิดเผยว่า ตามที่ได้เกิดความเสียหายต่ออาคารตลาดหลักทรัพย์ฯ ถ.รัชดาภิเษกนั้น จากการประเมินความเสียหาย พบว่าพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายส่วนใหญ่อยู่ที่บริเวณชั้น 1 บริเวณโถงนิทรรศการ และบางส่วนของห้องสมุดมารวย บริเวณชั้น 1 ซึ่งกรุงเทพมหานครและสมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยได้ให้ความร่วมมือในการเข้ามาตรวจสอบ และพบว่าความเสียหายดังกล่าวไม่กระทบต่อโครงสร้างอาคาร จึงคาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการได้ในเร็ววัน

ทั้งนี้ ผู้บริหารของตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้มีการประชุมร่วมกัน และประเมินว่าความเสียหายดังกล่าวไม่มีผลกระทบต่อระบบงานสำคัญของตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยระบบซื้อขายหลักทรัพย์และระบบงานที่เกี่ยวข้องยังคงสามารถดำเนินงานได้อย่างสมบูรณ์!!

----------------------------------------------------------

Code 76 : Bangkok Studio

วันพฤหัสที่ 20 พฤษภาคม 2553

ATT Code : Bangkok Studio
วันนี้ขอนำบทความในคอลัมสำนักข่าวหัวเขียว ของไทยรัฐ เรื่องนรกมีจริง เรื่มตั้งแต่แผนการรบแตกหัก 4 ขั้นตอน (ที่เริ่มได้ยินมาเมื่อวันสองวันนี้) จนเป็นสงครามกลางเมือง เกิดจากคนไทยด้วยกันเอง โดยเป็น Power Game ของเกมการเมือง ที่มีคนไทยเป็นตัวประกัน ทำให้มีประชาชนเสียชีวิตและบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก มันเหมือนหนังสงครามที่มีการสร้างฉากเสมือนจริงขึ้นมา โดย Universal Studio แต่ขอโทษ มันไม่ฉากที่สร้างขึ้นมา แต่มันเป็นของจริง มันเป็น Bangkok Studio เป็นประวติศาสตร์ชาติไทยที่เจ็บปวด ที่ไม่น่าจดทำ แต่มันก็เกิดขึ้นแล้ว ใจกลางกรุงเทพ

---------------------------------------------
ไทยรัฐ : เงาหุ้น - รายย่อยกล้าตาย
ดัชนีหุ้นวันที่ 19 พ.ค.ปิดที่ 765.54 จุด บวก 5.43 จุด มีมูลค่า การซื้อขาย 14,315 ล้านบาทต่างชาติขายสุทธิ 4,715.46 ล้านบาท ส่วนนักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 4,025.41 ล้านบาท, นักลงทุนสถาบันในประเทศซื้อสุทธิ 667.94 ล้านบาท ส่วนพอร์ตโบรกเกอร์ซื้อสุทธิ 22.11 ล้านบาท

หุ้นที่มีการซื้อขายสูงสุด นำโดย CPF ปิดที่ 17.70 บาท เพิ่มขึ้น 0.30 บาท, PTT ปิดที่ 251.00 บาท เพิ่มขึ้น 2.00 บาท, BANPU ปิดที่ 610.00 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง, SCB ปิดที่ 82.50 บาท เพิ่มขึ้น 1.25 บาท และ KBANK ปิดที่ 88.00 บาท เพิ่มขึ้น 0.75 บาท

นักลงทุนในประเทศโดยเฉพาะรายย่อย อาสาเป็นหน่วยกล้าตายเข้าไปไล่ซื้อหุ้นคืน ด้วยกลัวว่าจะเข้าซื้อหุ้นไม่ทัน เพราะหวังว่าหากสถานการณ์สงบแล้ว ราคาหุ้นอาจจะวิ่งทะยานขึ้นแล้วจะกลัว "ตกขบวน" แต่เห็นแรงขายของต่างชาติแล้ว น่ากลัวจริงๆ เพราะขายแบบหนีตายจริงๆ

นับจากวันที่ 3 พ.ค. ถึงล่าสุด 19 พ.ค. ต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทย ไปแล้วร่วม 40,000 ล้านบาท!!ฝ่ายวิเคราะห์ บล.คันทรี่ กรุ๊ป ระบุว่า มีแรงซื้อเก็งกำไรเข้ามาจากนักลงทุนบางส่วนในหุ้นขนาดใหญ่ สำหรับแนวโน้มตลาดต้องติดตามสถานการณ์ทางการเมืองอย่างใกล้ชิด แม้ตลาดในวันที่ 20 พ.ค.จะปิดทำการแต่หากสถานการณ์การเมืองยังยืดเยื้อและลุกลามกระจายไปในวงกว้างก็จะส่งผลกระทบเชิงลบต่อจิตวิทยาการลงทุน ทำให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงต่อเนื่อง

แต่อย่างไรก็ดี หากสถานการณ์ทางการเมืองสามารถคลี่คลายลงและสามารถจบได้ด้วยดี ก็จะส่งผลบวกต่อตลาดหุ้นไทย

แนะกลยุทธ์การลงทุน ให้เก็งกำไรหุ้นขนาดใหญ่ ในหุ้นพลังงานและธนาคารพาณิชย์ 25-30% ของพอร์ต แต่ต้องกำหนดจุด "ตัดขาดทุน" หรือ Stop Loss หากดัชนีหลุดแนวรับที่ 752-750 จุด แนะให้ ขายตัดขาดทุน

แต่หากดัชนีสามารถประคองแนวรับนี้ได้ แนะให้ถือต่อขณะที่ประเมินแนวต้านไว้ที่ 762 จุด!!

---------------------------------------------
ไทยรัฐ : สำนักข่าวหัวเขียว - นรกมีจริง
ยุทธศาสตร์แห่งสงครามกำหนดแผนการรบแตกหักไว้ 4 ขั้นตอน 1, ปิดล้อม 2, กระชับวงล้อม 3,ใช้กำลังเข้าตี 4, ยึดพื้นที่คืน

สงครามรบแตกหักระหว่างทหารกับกลุ่มเสื้อแดง ก็ใช้ยุทธวิธี 4 ขั้นตอนดังที่ได้กล่าวมา

เพียงแต่ว่า...สงครามเกิดขึ้นใจกลางกรุงเทพมหานคร

เพียงแต่ว่า...เป็นสงครามที่คนไทยกับคนไทยฆ่ากันเอง

เป็นสงครามไม่จำกัดขอบเขต ไม่ เลือกวิธีการ สื่อต่างชาติรายงานตรงกันว่าเป็นสงครามกลางเมืองที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ประเทศไทย

"แม่ลูกจันทร์" เศร้าใจที่บ้านเมืองของเราต้องกลายเป็นดินแดนมิคสัญญี

นี่คือ "เพาเวอร์เกม" ที่ใช้ชีวิตประชาชนเป็นเดิมพัน ใช้อาวุธสงครามเป็นเครื่องมือ ใช้ความเสียหายของประเทศเป็นต้นทุน

ถึงแม้สงครามกลางเมืองครั้งนี้รัฐบาลชนะ ก็เป็นชัยชนะบนกองศพ กองเลือดของพี่น้องเพื่อนร่วมชาติเดียวกัน

เป็นชัยชนะบนความพ่ายแพ้ยับเยินของประเทศไทย

เป็นชัยชนะบนบาดแผลแห่งความขัดแย้งฝังลึกเข้ากระดูกดำ

ส่วนฝ่ายพ่ายแพ้ก็บ่มเพาะความเจ็บแค้นเพื่อรอเอาคืน

นี่คือสัญญาณแห่งความน่ากลัวที่ก่อตัวขึ้นในสังคมไทย

"แม่ลูกจันทร์" ผ่านเหตุการจลาจล ผ่านเหตุการณ์ปะทะกันระหว่างทหารกับประชาชนมามากมาย

แต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่ต่อสู้กันดุเดือดยืดเยื้อเท่าครั้งนี้เลย

ไม่น่าเชื่อว่าสงครามกลางเมืองครั้งนี้เกิดขึ้นในยุครัฐบาลประชาธิปไตย

แถมเป็นรัฐบาลที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นพลเรือน

น่าเสียดายที่นายกรัฐมนตรีพลเรือนคนนี้ ไม่มีความอดทนมากพอที่จะใช้แนว ทางสันติวิธีแก้ปัญหาขัดแย้งทางการเมือง

กลับเลือกแนวทางยุติปัญหาด้วยความเข้มข้นเฉียบขาดรุนแรง

ทั้งๆที่รู้อยู่แล้วว่าการใช้ความรุนแรงจะต้องเกิดความสูญเสียตามมา

ยอดตัวเลขความสูญเสียจากเหตุทหารปะทะกลุ่มเสื้อแดง หลังจากนายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ สั่งใช้กำลังทหารติดอาวุธปิดล้อมสี่แยกราชประสงค์ ตั้งแต่ วันที่ 14 พ.ค. ถึงเย็นวันที่ 17 พ.ค.

มีผู้เสียชีวิตแล้ว 35 ราย บาดเจ็บรวมทั้งสิ้น 254 คน

ถ้านับยอดความสูญเสียตั้งแต่เกิดเหตุสลายการชุมนุมที่สี่แยกคอกวัวเมื่อวันที่ 10 เม.ย.

มีผู้สังเวยชีวิตไปแล้ว 65 ราย

ยอดผู้ได้รับบาดเจ็บรวม 1,675 คน

ยอดคนเจ็บคนตายสูงกว่าเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535 เกือบเท่าตัว

ข้อสำคัญ ถ้าสงครามกลางเมืองยังยืดเยื้อต่อไป ยอดคนเจ็บคนตายจะต้องเพิ่มขึ้นๆ ทุกชั่วโมงทุกนาที

"แม่ลูกจันทร์" เชื่อว่ายังไม่สายที่จะยุติสงครามไทยฆ่าไทย ยังไม่ช้าเกินไปที่รัฐบาลกับกลุ่มเสื้อแดง จะกลับสู่การเจรจาแก้ปัญหาอย่างสันติวิธีเพื่อนำไปสู่ความปรองดอง และความสงบสุขของบ้านเมืองเป็นสำคัญ

"แม่ลูกจันทร์" เห็นใจพี่น้องประชาชนที่ต้องอยู่อาศัย ต้องทำมาหากินในพื้นที่ที่กลายเป็นสนามรบของทหารกับ ม็อบเสื้อแดง

พี่น้องนับหมื่นคน หลายพันครอบครัว ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งทางการเมือง

พี่น้องประชาชนที่อยู่ย่านทุ่งมหาเมฆ ลุมพินี บ่อนไก่ สาทร คลองเตย วิทยุ สีลม ราชประสงค์ ประตูน้ำ ราชปรารภ ดินแดง ฯลฯ

พี่น้องเหล่านี้เหมือนตกนรกทั้งเป็น เพราะต้องใช้ชีวิตกลางห่ากระสุนปืน

โดยเฉพาะหลายพื้นที่ที่ถูกตัดน้ำตัดไฟ ต้องอยู่ท่ามกลางความมืดและท่ามกลางอันตราย

แม้แต่จะออกไปซื้ออาหารประทังชีวิตก็ทำไม่ได้เพราะอยู่ในคิลลิ่งโซน

จะอพยพครอบครัวไปอยู่ที่อื่นชั่วคราวก็เป็นห่วงบ้านตัวเอง

นี่แหละกรุงเทพฯ นรกมีจริง.

---------------------------------------------------------

Code 75 : พวกคุณชนะ แต่ประเทศไทยแพ้ครับ

วันพุธที่ 19 พฤษภาคม 2553

ATT Code : พวกคุณชนะ แต่ประเทศไทยแพ้ครับ
ประเทศไทย... โดนสไนเปอร์เข้ากลางหัวใจ...ใจกลางเมืองหลวง
อาการอยู่ในขั้นโคม่า... ต้องให้อ๊อกซิเจนตลอดเวลา
คงต้องเยียวยากันอีกนาน....
กว่าจะกลับมา...สร้างความมั่นใจในการลงทุนอีกครั้ง...
ไม่รู้จะนานเท่าไหร่... ไม่รู้จะกลับมาปกติสุขอย่างไร
คงต้องสร้างความสามัคคีกันในชาติ... เรียนรู้จากสิ่งที่ผิดพลาดไป
เพื่อกลับมาเป็นสยามเมืองยิ้มกันใหม่... ด้วยใจของไทยทุกคน

-------------------------------------------------------
ไทยรัฐ :เงาหุ้น - ยังมีหวัง
ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 18 พ.ค.53 ปิดที่ 760.11 จุด เพิ่มขึ้น 6.85 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 13,883.98 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 2,640.08 ล้านบาท

หุ้นที่มีการซื้อขายสูงสุด นำโดย PTT ปิดที่ 249 บาท เพิ่มขึ้น 1 บาท, CPF ปิดที่ 17.40 บาท เพิ่มขึ้น 0.60 บาท, PTTEP ปิดที่ 145.50 บาท เพิ่มขึ้น 1.50 บาท, SCB ปิดที่ 81.25 บาท เพิ่มขึ้น 0.25 บาท และ BANPU ปิดที่ 610 บาท เพิ่มขึ้น 2 บาท

ฝ่ายวิเคราะห์ บล.กสิกรไทย หุ้นไทยที่ดีดขึ้นบวกท่ามกลางเหตุป่วนเมืองยังคงมีอยู่ต่อเนื่อง เพราะนักลงทุนมีความหวังว่า น่าจะมีทางออกและการชุมนุมน่าจะยุติ หลังมีข่าวสมาชิกวุฒิสภา หรือ ส.ว.เสนอเป็นตัวกลางในการยุติปัญหาทางการเมือง โดยขอให้ทุกฝ่ายยุติความรุนแรงที่เกิดขึ้นทันทีและเปิดการเจรจาเพื่อหาทางออกที่เหมาะสม โดยแกนนำผู้ชุมนุมคนเสื้อแดงส่งสัญญาณตอบรับ

เช่นเดียวกับข้อเสนอของอดีตนายกรัฐมนตรี "บรรหาร ศิลปอาชา" ที่เสนอทางออกให้คนเสื้อแดงยุติการชุมนุมและรัฐบาลสั่งถอนทหารออกมา หากไม่ถอนทหาร พรรคร่วมรัฐบาลจะถอนตัวออกจากการร่วมรัฐบาล

ขณะที่ดัชนีดาวโจนส์ ล่วงหน้า และราคาน้ำมันเริ่มกลับมาปรับตัว เพิ่มขึ้น หลังก่อนหน้านี้ปรับตัวลดลงไปมาก ทำให้ตลาดหุ้นเอเชียฟื้นตัวกลับขึ้นมาได้

ดังนั้น จึงมองแนวโน้มตลาดระยะสั้น เชื่อว่าดัชนีมีโอกาสรีบาวน์ดีดตัวกลับขึ้นมาได้ต่อเนื่อง แต่การฟื้นตัวอาจไม่สามารถผ่านแนวต้านที่ระดับ 770 จุดขึ้นไปได้ เพราะภาพรวมตลาดยังมีปัจจัยเสี่ยงที่กระทบบรรยากาศการลงทุนอยู่ แต่ผลการเจรจาที่มีวุฒิสมาชิกเป็นตัวกลางสามารถหาข้อยุติได้ เชื่อว่าจะส่งผลดีต่อการลงทุน

แนะกลยุทธ์การลงทุน หากดัชนีดีดตัวขึ้นให้ฉวยจังหวะขาย เพราะเชื่อว่าตลาดยังมีปัจจัยที่กดดันการลงทุนต่อเนื่องในระยะยาว โดยเฉพาะเศรษฐกิจโลก แม้ว่าจะฟื้นตัวแต่ยังมีความเปราะบางสูง

ด้านเทคนิคประเมินแนวรับไว้ที่ 743 จุด ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 770 จุด

ฝ่ายวิเคราะห์ บล.ซีไอเอ็มบี มองดัชนีมีโอกาสรีบาวน์ขึ้นได้อีกเล็กน้อย แต่หลังจากนั้นจะมีแรงขายทำกำไรออกมา เพราะช่วงที่ผ่านมา นักลงทุนรายย่อยได้เข้าซื้อหุ้นเพื่อเก็งกำไรไปพอสมควร!!

------------------------------------------------------

Code 74 : ประกาศ โปรดการเจรจา...อีกครั้ง

วันอังคารที่ 18 พฤษภาคม 2553

ATT Code : ประกาศ โปรดการเจรจา...อีกครั้ง
วันนี้ ยังคงประจำการอยู่ที่ Central ปิ่นเกล้า เหมือนเดิม
ตอนเช้าตลาดเปิดมาก็ลบนิดหน่อยเกือบ 2 จุด และก็ไหลลงไป
ลบประมาณ 5 จุด หลุด 750 ไป แต่สักพักก็กลับมายืนเหนือ 750 อีก
ซึ่งก็คาดว่าคงเริ่มชินชากับการปะทะกัน การจุดเผายางรถยนต์

ปิดตลาดภาคเช้า SET สามารถยืนเหนือแนวรับที่สำคัญที่ 750
และยังสามารถผ่าน 755 มาได้อีก บวกทั้งกลุ่มแบงค์ พลังงาน และอาหาร

ช่วงบ่าย มีข่าวว่า สว. เป็นคนกลางในการเจรจาขอทั้ง 2 ฝ่าย
ทำให้มีแรงซื้อเข้ามา บวกไป 8 จุด ไปที่ 761
และปิดตลาดภาคบ่าย SET มาปิดที่ 760.11 สามารถยืนเหนือ 760 ได้
ซึ่งตลาดได้มีการคาดหวังว่า จะมีการกลับมาเจรจากันอีกครั้ง

ต่างชาติยังขายอยู่ 2,640 ล.บ. แต่ก็ขาน้อยลงกว่าเดิมครึ่งนึง
ส่วนรายย่อยก็ยังป็นขาใหญ่ ที่ยังซื้ออยู่ 2,477 ล.บ.

---------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย
ไทยรัฐ - By...อินเด็กซ์ 51 : เงาหุ้น-ลงแรง รอซื้อ!!

ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 17 พ.ค.53 ปิดที่ 753.26 จุด ลดลง 15.53 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 17,662.76 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 4,219.30 ล้านบาท

หุ้นที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด นำโดย CPF ปิดที่ 16.80 บาท ลบ 0.50 บาท, PTT ปิด 248 บาท ลบ 6 บาท, SCB ปิด 81 บาท ร่วง 3 บาท, BANPU ปิด 608 บาท ลดลง 12 บาท และ STPI ปิด 20.40 บาท บวก 0.40 บาท

ฝ่ายวิเคราะห์ บล.ซีไอเอ็มบี มองว่าหากมีการสลายการชุมนุม ดัชนีที่ ระดับ 720 จุด น่าจะรองรับการปรับตัวลงของตลาดได้ เพราะดัชนีที่ระดับดังกล่าวเป็นดัชนีระดับต่ำที่สุด ในช่วงที่รัฐบาลสลายการชุมนุมครั้งแรกเมื่อวันที่ 10 เม.ย. เพราะนักลงทุนได้คาดการณ์และรับรู้แล้วว่าจะมีการสลายการชุมนุม ขณะที่ ราคาหุ้นได้ปรับตัวลงซึมซับรับข่าวไปแล้วบางส่วน

สิ่งที่ต้องจับตาหลังสลายการชุมนุมคือ หากรัฐบาลยังถูกกดดันหนักต่อและทำให้เกิดการยุบสภาอาจส่งผลกระทบต่อการแก้ปัญหากรณีมาบตาพุดต้องล่าช้าออกไป ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจมากยิ่งขึ้น และอาจทำให้ดัชนีทรุดตัวลงมาต่ำกว่าระดับ 700 จุดได้ สำหรับแนวโน้มตลาดระยะสั้น มองว่าดัชนียังมีโอกาสปรับตัวลงได้อีก

ฝ่ายวิเคราะห์ บล.ฟิลลิป มองแนวโน้มตลาดขึ้นอยู่กับสถานการณ์ทางการเมือง หากยังไม่คลี่คลายและทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้น จะส่งผลกระทบต่อจิตวิทยาการลงทุน ทำให้ดัชนีปรับตัวลงต่อและซึมยาว แต่หากสถานการณ์คลี่คลายดีขึ้นน่าจะทำให้ดัชนีรีบาวน์กลับขึ้นมาได้

แนะกลยุทธ์การลงทุนสำหรับนักลงทุนระยะสั้นให้ชะลอการลงทุน ส่วนนักลงทุนระยะยาว แนะให้หาจังหวะกลับเข้าซื้อ เมื่อดัชนีปรับตัวลงในหุ้นพื้นฐานดี ด้านประเมินแนวรับ 740 จุด แนวต้าน 756 จุด

ฝ่ายวิเคราะห์ บล.พัฒนสินแนะกลยุทธ์การลงทุนให้นักลงทุนรออยู่นอกตลาด โดยให้ถือหุ้นในพอร์ตเพียง 25% เท่านั้น แต่หากเป็นนักลงทุนระยะยาว มองว่า การดิ่งลงแรงของตลาดจะเป็นจังหวะที่ดีของการลงทุน แต่การเข้าซื้อควรรอให้ แรงขายนักลงทุนต่างชาติสะเด็ดน้ำกว่านี้ก่อน หรือควรตั้งซื้อและซื้อคืนที่แนวรับหลัก

สำหรับหุ้นที่แนะนำลงทุนคือ หุ้นกลุ่มที่ปลอดภัยสูงหรือกลุ่มที่ มีข่าวดีรออยู่ ได้แก่ GLOW, TUF, GFPT, CPF, BLA, IVL, IRPC และ PTTAR.


ไทยรัฐ : ฝรั่งขายหุ้นหนีตาย 3.1 หมื่นล้าน ผวาไทยเข้าสู่กลียุค!
ต่างชาติผวาสงครามกลางเมือง ถอดใจเทขายหนีตายหุ้นไทยต่อเนื่อง กดตลาดหุ้นทรุดกว่า 15 จุด แค่ 9 วันทำการต่างชาติขายสุทธิไปแล้วกว่า 30,000 ล้านบาท ....

ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยวันที่ 17 พ.ค. หลังเกิดการปะทะรุนแรงจนทำให้รัฐบาลต้องสั่งหยุดราชการเป็นเวลา 2 วัน (17-18 พ.ค.) ขณะที่ตลาดหลักทรัพย์ปิดการซื้อขายในเวลา 15.30 น. เร็วกว่าปกติ 1 ชั่วโมง ท่ามกลางความตึงเครียดทางการเมือง ส่งผลให้นักลงทุนเทขายหุ้นออกมาอย่างหนัก กดดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลงแรงทันทีที่เปิดตลาด โดยลงไปต่ำสุดที่ 744.55 จุด ลดลง 24.24 จุด ก่อนมาปิดที่ 753.26 จุด ลดลง 15.53 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 17,662.76 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิหนีตายต่ออีก 4,219.30 ล้านบาท เพียง 9 วันทำการ (3-17 พ.ค.) ต่างชาติขายสุทธิรวมทั้งสิ้น 31,305.43 ล้านบาท

นายวิศิษฐ์ องค์พิพัฒน์กุล รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิจัย บล.ทรีนีตี้ กล่าวว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยขณะนี้ ยังคงเป็นแรงกระตุ้นให้ต่างชาติเทขายสุทธิหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดเมื่อเช้าวันที่ 17 พ.ค. ค่าประกันความเสี่ยงของการกู้เงินต่างประเทศหรือ Default swap ของประเทศไทยเพิ่มขึ้น โดยอยู่ในระดับใกล้เคียงกับช่วงที่มีเหตุรุนแรงทางการเมืองเดือน เม.ย.ปี 52 นั่นหมายถึงการระดมทุนหรือการออกหุ้นกู้รวมถึงการกู้เงินต่างประเทศของไทยจะมีต้นทุนที่สูงขึ้น

นอกจากนี้ นักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนต่างชาติ เริ่มให้ความเห็นถึงกรณีว่า ประเทศไทยจะมีโอกาสเข้าสู่ภาวะการเป็น Failed State หรือประเทศที่ไม่สามารถบังคับใช้กฎหมายได้หรือไม่ จากเหตุรุนแรงที่กำลังเกิดขึ้น เพราะภาพที่ถูกสื่อออกไปต่างประเทศนั้นรุนแรงมาก จึงคาดว่าต่างชาติน่าจะยังคงเทขายหุ้นออกมาเพื่อลดความเสี่ยง โดยจะเห็นว่าช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยกว่า 30,000 ล้านบาท จากที่ซื้อสะสมมาตั้งแต่ต้นปีกว่า 50,000 ล้านบาท โดยต้นทุนเฉลี่ยของต่างชาติที่เข้าซื้อในปีนี้อยู่ในช่วงดัชนี 730 จุด ดังนั้นต่างชาติอาจขายหุ้นในมือออกมา และดัชนีมีโอกาสลงไปถึง 720-730 จุด แต่หากสถานการณ์ยังยืดเยื้อรุนแรง ต่างชาติก็อาจจะเทขายหุ้นออกมาหนักอีก โดยอาจขายหุ้นที่ซื้อมาตั้งแต่ปีที่แล้วออกมาด้วย ซึ่งราคาต้นทุนของต่างชาติที่เข้าซื้อในปีที่แล้วเฉลี่ยอยู่ที่ดัชนี 678 จุด และหุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์อาจได้รับผลกระทบมากถูกต่างชาติเทขายออกมามากที่สุด เพราะเป็นหุ้นที่ต่างชาติถืออยู่ในสัดส่วนที่สูงมากกว่าหุ้นกลุ่มพลังงาน

ด้านนายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่า ความขัดแย้งทางการเมืองขณะนี้หยั่งรากลึกและมีความเห็นที่แตกต่างกันสุดขั้วมาก ทำให้ใช้เวลาในการแก้ปัญหานาน โดยการชุมนุมที่เกิดขึ้นได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะการท่องเที่ยวที่แทบหยุดชะงัก ขณะที่การบริโภคของคนในกรุงเทพมหานครก็ชะลอลง รวมทั้งความเสี่ยงด้านธุรกิจจากภาคการลงทุนจริงคงชะลอตัว นักลงทุนที่จะขยายการลงทุนอาจทบทวนหรือชะลอการลงทุนออกไป "ปัญหาการเมืองที่ลากยาวขณะนี้ เหมือนบาดแผลลึกที่ส่งผลกระทบกับทุกด้าน ทำให้ต้องระมัดระวังและมีความเสี่ยงว่าประเทศไทยอาจถูกลดอันดับเครดิต ซึ่งยิ่งกดดันให้ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลงมาสู่ระดับ 730-700 จุดได้"

ผู้บริหารระดับสูงโบรกเกอร์ต่างชาติกล่าวว่า ตลอดทั้งวันมีผู้จัดการกองทุนต่างชาติจำนวนมากสอบถามถึงสถานการณ์ในไทย ซึ่งต่างชาติมีความกังวลกับสิ่งที่เกิดขึ้นมาก เพราะปัญหาครั้งนี้หนักที่สุดและเลวร้ายกว่าที่คาดคิด มีการนำอาวุธสงครามมาต่อสู้กันกลางเมืองหลวง ทำให้ต่างชาติเริ่มถอดใจกับการลงทุนในไทย เพราะที่ผ่านมาต่างชาติประเมินว่าตลาดหุ้นไทยมีพื้นฐานเศรษฐกิจดี ส่วนปัญหาการเมืองคาดว่าน่าจะจบลงได้ไม่น่ารุนแรงลากยาว จึงเข้ามาซื้อหุ้นไทยหลังจากที่กระแสเงินทุนจำนวนมหาศาลทั่วโลกไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเอเชีย ทำให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวดีขึ้นกว่าตลาดหุ้นในภูมิภาคหลายแห่ง ดังนั้น จึงเห็นว่าหากสถานการณ์ยังรุนแรงวุ่นวายต่อไปอีก 1-2 สัปดาห์ น่าจะทำให้ต่างชาติยิ่งถอดใจเทขายหุ้นไทยออกมา ส่วนต่างชาติที่เคยเข้าใจและกล้าเข้ามาลงทุนในไทยในช่วงก่อนหน้านี้ ก็น่าจะกล้าน้อยลง

"หากใช้ความรุนแรงสลายการชุมนุมมีคำถามว่า เป็นการยุติหรือจบจริงหรือไม่ จะมีความเคียดแค้นหรือปัญหาอื่นบานปลายตามมาอีกหรือไม่ ต่างชาติไม่คิดว่าการใช้ความรุนแรงจะเป็นการแก้ปัญหาได้อย่างเบ็ดเสร็จ ขณะที่ไทยมีน้ำหนักการลงทุนในดัชนี MSCI เพียง 1.8% เท่านั้นถือว่าน้อยมาก หากปัญหายังวุ่นวายไม่รู้จบ ต่างชาติอาจตัดสินใจได้ไม่ยากในการทิ้งตลาดหุ้นไทย"

นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ กล่าวว่า หลังบอร์ดตลาดหลักทรัพย์ได้ประชุมและหารือกับนายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์เพื่อประเมินเหตุความไม่สงบที่เกิดขึ้น จึงมีมติให้ยังคงกำหนดเวลาปิดการซื้อขายเร็วขึ้น 1 ชั่วโมง ในวันที่ 18 พ.ค.นี้ โดยปิดทำการเวลา 15.30 น. ขณะที่นายสมพล เกียรติไพบูลย์ ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์ กล่าวว่า ดัชนีหุ้นที่ปรับตัวลง 15 จุด ไม่ถือว่าเป็นความตื่นตระหนกเทขายของนักลงทุนมากเกินไป ส่วนการที่ต่างชาติยังคงเทขายออกมากนั้น ยอมรับว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นคงทำให้ต่างชาติเกิดความไม่มั่นใจ เพราะเป็นภาวะที่ผิดปกติ แต่ขอให้นักลงทุนเข้าใจว่า พื้นฐานเศรษฐกิจไทยที่แข็งแกร่งหากเหตุรุนแรงยุติหรือสงบลงเราน่าจะฟื้นตัวกลับมาได้เร็ว.


-------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ตปท.
TNN : น้ำมันดิบปิดร่วง$1.53-ดาวโจนส์ปิดขยับขึ้น5.67จุด
น้ำมันดิบปิดร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 5 เดือน หลังวิกฤตการณ์การเงินในยุโรปทรุด ส่วนดาวโจนส์ปิดบวกหลังจากสกุลเงินยูโรดีดตัวขึ้น

18 พ.ค. 53 : สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวก 5.67 จุด หรือ 0.05% แตะที่ 10,625.83 จุด ดัชนี S&P 500 ปิดขยับขึ้น 1.26 จุด หรือ 0.11% แตะที่ 1,136.94 จุด และดัชนี Nasdaq ปิดบวก 7.38 จุด หรือ 0.31% แตะที่ 2,354.23 จุด

ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ราว 1.068 หมื่นล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นบวกมากกว่าหุ้นลบในอัตราส่วน 3 ต่อ 2 ส่วนปริมาณการซื้อขายในตลาด Nasdaq มีอยู่ราว 9.65 พันล้านหุ้น

นักวิเคราะห์จากจีเอเอ็มซีโอ โกร็ธ ฟันด์ กล่าวว่า ตลาดหุ้นนิวยอร์กดีดตัวขึ้น เนื่องจากค่าเงินยูโรฟื้นตัวขึ้น ขณะที่นักลงทุนเข้าซื้อเก็งกำไรหลังจากตลาดปิดร่วงติดต่อกัน 2 วันทำการที่ผ่านมา อันเป็นผลมาจากความกังวลที่ว่าปัญหาหนี้สินของกรีซอาจส่งผลให้เกิดวิกฤตการณ์การเงินในยุโรป และจากความกังวลที่ว่ามาตรการรัดเข็มขัดและการควบคุมงบประมาณการใช้จ่ายของหลายประเทศในยุโรป อาจส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในภูมิภาคด้วย

ส่วนรัฐบาลสเปนประกาศใช้มาตรการลดการขาดดุลงบประมาณขั้นเฉียบขาด รวมถึงการลดเงินเดือนข้าราชการเฉลี่ย 5% ตั้งแต่เดือนมิ.ย.ปีนี้ และระงับการขึ้นเงินเดือนในปี 2554 ซึ่งรัฐบาลสเปนคาดว่าจะช่วยลดรายจ่ายได้มากกว่า 1.5 หมื่นล้านยูโร (1.9 หมื่นล้านดอลลาร์) ภายในระยะเวลาสองปี
อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นนิวยอร์กถูกกดดันหลังจากสหรัฐเปิดเผยว่า ภาคการผลิตในรัฐนิวยอร์กขยายตัวในอัตราที่ช้าลงในเดือนพ.ค. ซึ่งบ่งชี้ว่าการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐยังคงเปราะบาง
ขณะที่สำนักงานคอนเฟอเรนซ์ บอร์ด ซึ่งเป็นองค์กรวิจัยเอกชนของสหรัฐ ระบุว่า การขยายตัวของเศรษฐกิจจีนอาจมาถึงจุดสูงสุดแล้ว โดยดัชนีชี้นำเศรษฐกิจเดือนมี.ค.ของจีนพุ่งขึ้น 1.1% สู่ระดับ 144.5 จุด หลังจากขยับขึ้นเพียง 0.4% ในเดือนก.พ.

นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ โดยวันอังคาร กระทรวงพาณิชย์จะเปิดเผยข้อมูลการเริ่มสร้างบ้านและการอนุญาตก่อสร้างเดือนเม.ย. และกระทรวงแรงงานจะเปิดเผยดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนเม.ย.

สำหรับวันพุธ กระทรวงแรงงานจะเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนเม.ย. ขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเปิดเผยรายงานการประชุมเมื่อวันที่ 27-28 เม.ย. วันพฤหัสบดี กระทรวงแรงงานจะรายงานจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และสำนักงานคอนเฟอเรนซ์ บอร์ด จะรายงานดัชนีชี้นำเศรษฐกิจเดือนเม.ย. ส่วนวันศุกร์ไม่มีรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญ

ขณะที่ สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX เดือนมิ.ย.ร่วงลง 1.53 ดอลลาร์ ปิดที่ 70.08 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 70.30 - 69.50 ดอลลาร์

สัญญาน้ำมันฮีทติ้งออยล์เดือนมิ.ย.ลดลง 6.36 เซนต์ ปิดที่ 1.9970 ดอลลาร์/แกลลอน และสัญญาน้ำมันเบนซินเดือนมิ.ย.ร่วงลง 7.43 เซนต์ ปิดที่ 2.047 ดอลลาร์/แกลลอน

ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนมิ.ย.ร่วงลง 2.83 ดอลลาร์ ปิดที่ 75.10 ดอลลาร์/บาร์เรล

ด้านนักวิเคราะห์จากออยล์ไพรซ์ อินฟอร์เมชัน เซอร์วิส กล่าวว่า ตลาดน้ำมันนิวยอร์กยังคงถูกดดันอย่างหนักจากความกังวลที่ว่าวิกฤตการณ์การเงินในยุโรปอาจส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและดีมานด์พลังงานทั่วโลก

นอกจากนี้ ตลาดได้รับผลกระทบจากหลายปัจจัย รวมถึงข้อมูลที่บ่งชี้ว่าภาคการผลิตในรัฐนิวยอร์กชะลอตัวลง รายงานที่ระบุว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจจีนได้มาถึงจุดอิ่มตัวแล้ว และยอดขายรถยนต์ในยุโรปที่หดตัวลง

ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขานิวยอร์กเปิดเผยว่า ดัชนีการผลิตในรัฐนิวยอร์กร่วงลงแตะระดับ 19.11 จุดในเดือนพ.ค. จากเดือนเม.ย.ที่ระดับ 31.86 จุด ขณะที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ว่าดัชนีจะอยู่ที่ระดับ 30.00 จุดในเดือนพ.ค

สมาคมผู้ผลิตรถยนต์แห่งยุโรป (ACEA) รายงานว่า ยอดขายรถยนต์ใหม่ในประเทศกลุ่มสหภาพยุโรป (อียู) ร่วงลง 7.4% ต่อปี ในเดือนเม.ย. ซึ่งเป็นการร่วงลงครั้งแรกในรอบ 10 เดือน
สำนักงานคอนเฟอเรนซ์ บอร์ด ซึ่งเป็นองค์กรวิจัยเอกชนของสหรัฐ ระบุว่า การขยายตัวของเศรษฐกิจจีนอาจมาถึงจุดสูงสุดแล้ว ขณะที่บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เร่งดำเนินงานด้านการก่อสร้างก่อนที่รัฐบาลจะประกาศใช้มาตรการชะลอการขยายตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์

คอนเฟอเรนซ์ บอร์ด เปิดเผยว่า ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจเดือนมี.ค.ของจีนพุ่งขึ้น 1.1% สู่ระดับ 144.5 จุด หลังจากขยับขึ้นเพียง 0.4% ในเดือนก.พ.

ทั้งนี้บิล อดัมส์ นักวิเคราะห์ของคอนเฟอเรนซ์ บอร์ด คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจจีนจะไม่ขยายตัวสูงไปกว่านี้ในตลอดช่วงฤดูร้อนนี้ ส่วนบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ก็พยายามเร่งโครงการก่อสร้างให้แล้วเสร็จก่อนที่รัฐบาลจะบังคับใช้มาตรการควบคุมตลาดอสังหาริมทรัพย์

---------------------------------------------------------------

Code 73 : SET ปิดเร็ว 1 ช.ม.

วันจันทร์ที่ 17 พฤษภาคม 2553

ATT Code : SET ปิดเร็ว 1 ช.ม.
-วันนี้...เป็นวันที่ตลาดหลักทรัพย์ปิดเร็วกว่าปกติ 1 ช.ม.
เนื่องจากสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เกิดเหตุปะทะรุนแรงในกรุงเทพฯ
-ยังคงไปทำงานที่ Central ปิ่นเกล้าอยู่ จนกว่าจะมีการยุติชุมนุม
-TFEX ของบริษัทฯ ไม่สามารถใช้การได้ เนื่องจากไฟฟ้าสำรองฉุกเฉิน

ใช้การไม่ได้ เพราะไม่สามารถเติมน้ำมันที่เครื่องปั่นไฟได้
แต่ก็สามารถใช้ Settrade แทนได้อยู่
-SET เปิดมาหลุดแนวรับที่สำคัญ ที่ 750 มาเปิดที่ 745
-ปิดตลาด SET กลับมายืนเหนือ 750 ได้ มาปิดที่ 753
-แต่ต่างชาติยังขายอย่างต่อเนื่องอยู่ 4,219 ล้านบาท

รวมทั้งเดือนนี้ 1-17 พ.ค. ต่างชาติขายสุทธิแล้ว 31,305 ล้านบาท
-นักลงทุนรายย่อย ยังคงเก็บหุ้น เหมือนเดิม 4 พันกว่าล้าน

-คาดว่าในสัปดาห์นี้ การชุมนุมควรที่จะยุติลงได้
ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ไม่ นปช. กลับบ้าน ก็รัฐบาล กลับบ้าน
-แนวรับสำคัญ 750 แนวต้าน 760

-----------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย
ไทยรัฐ - ทิศทางหุ้น 17/05/53

ภาวะการซื้อขายหุ้น
แนวโน้มในสัปดาห์นี้ บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทยและบริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนียังมีโอกาสที่จะปรับฐานต่อ จากบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศที่ยังมีแนวโน้มผันผวนตามปัจจัยเสี่ยงเศรษฐกิจโลก ตลอดจนแรงกดดันจากสถานการณ์การเมืองในประเทศ โดยปัจจัยที่ต้องติดตาม ได้แก่ การรายงานตัวเลขการค้าระหว่างประเทศของกระทรวงพาณิชย์ ความเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันในตลาดโลก การปรับตัวของตลาดหุ้นภูมิภาค ตลอดจนการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ ทั้งนี้ บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด คาดว่าดัชนีจะมีแนวรับที่ 764 และ 743 จุด ขณะที่แนวต้านคาดว่าจะอยู่ที่ 780 และ 790 จุด ตามลำดับ

ภาวะตลาดเงินและตลาดอัตราแลกเปลี่ยน
อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นยังคงทรงตัวต่อเนื่อง ท่ามกลางภาวะสภาพคล่องในตลาดเงินที่ไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยอินเตอร์แบงก์ประเภทกู้ยืมข้ามคืน (Overnight) หนาแน่นตลอดทั้งสัปดาห์ที่ระดับ 1.15%

เงินบาทในประเทศ (Onshore) ยังคงเคลื่อนไหวในกรอบที่จำกัด เนื่องจากขาดปัจจัยใหม่ๆมากระตุ้น เงินบาทขยับแข็งค่าสอดคล้องกับสกุลเงินเอเชียอื่นๆ ในช่วงต้นสัปดาห์ ตอบรับมาตรการวงเงิน 7.5 แสนล้านยูโร เพื่อสกัดการลุกลามของปัญหาหนี้ในยุโรป สำหรับในวันศุกร์ เงินบาทปรับตัวอ่อนค่ากว่าระดับ 32.35 ในช่วงเช้า ก่อนจะกลับมายืนที่ระดับประมาณ 32.32 บาทต่อดอลลาร์ฯ.

กระแสหุ้น : พรุ่งนี้...ดัชนีชะตาขาดไปกว่าครึ่ง
Monday, 17 May 2010 16:23
นางสาวธีรดา ชาญยิ่งยงค์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภาพรวมดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยวันนี้ ดัชนีฯปรับตัวลดลง เนื่องจาก นักลงทุนวิตกกังวลต่อสถนการณ์ความรุนแรงทางการเมืองหลังกลุ่มผู้ชุมนุมแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือ กลุ่มเสื้อแดง กระจายไปในพื้นที่ต่างๆ ขณะที่ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ประกาศให้ผู้ชุมนุมออกจากพื้นที่ราชประสงค์ก่อนเวลา 15.00 น. ทำให้คาดการณ์ว่าจะมีการสลายการชุมนุมเกิดขึ้น ส่งผลให้นักลงทุนเทขายหุ้นออกมาเพื่อลดความเสี่ยง ซึ่งรวมถึงนักลงทุนต่างชาติที่จะยังคงขายหุ้นออกมาอย่างต่อเนื่อง จากเมื่อวานศุกร์ที่ขายสุทธิกว่า 5.6 พันล้านบาท พร้อมกันนี้ ปัญหาหนี้กรีซที่อาจลุกลามไปในแถบยุโรป ก็สร้างความกดดันต่อบรรยากาศการลงทุน โดยส่งผลให้ตลาดหุ้นในต่างประเทศอ่อนตัว

ทั้งนี้ ตลาดหุ้นส่วนใหญ่ปรับตัวลดลง นำโดย ดัชนี BSESN ตลาดหุ้นอินเดีย เวลา 15:36 น. (ตามเวลาประเทศไทย) อยู่ที่ระดับ 16,720.03 จุด ลดลง 274.57 จุด ด้านดัชนี ฮั่งเส็ง ตลาดหุ้นฮ่องกง ปิดตลาดที่ระดับ 19,715.20 จุด ลดลง 430.23 จุด หรือ -2.14% ทั้งนี้ ดัชนี คอมโพสิต ตลาดหุ้นอินโดนีเซีย เวลา 15:35 น. (ตามเวลาประเทศไทย) อยู่ที่ระดับ 2,797.34 จุด ลดลง 61.05 จุด และ ดัชนี SHI ตลาดหุ้นจีน ปิดตลาดที่ระดับ 2,559.93 จุด ลดลง 136.70 จุด หรือ -5.07 %

สำหรับแนวโน้มดัชนีฯในวันพรุ่งนี้ (18 พ.ค.53) ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ทางการเมืองภายในประเทศ ซึ่งหากสถานการณ์ทางการเมืองยังไม่คลี่คลายและทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้น จะส่งผลกระทบต่อจิตวิทยาการลงทุน ทำให้ดัชนีฯปรับตัวลดลงต่อเนื่อง แต่อย่างไรก็ดี หากสถานการณ์ทางการเมืองสามารถคลี่คลายไปในทิศทางที่ดี ก็จะส่งผลบวกต่อบรรยากาศการลงทุน ขณะที่ยังมีปัจจัยลบจากต่างประเทศ จากปัญหาหนี้กรีซที่อาจลุกลามไปในแถบยุโรป ก็สร้างความกดดันต่อบรรยากาศการลงทุน อาจส่งผลให้เเม็ดเงินลงทุนไหลออกจากสินทรัพย์เสี่ยง

'พรุ่งนี้ ตลาดหุ้นยังคงวนเวียนอยู่กับปัจจัยเดิมทั้งการเมืองและความกังวลปัญหาหนี้กรีซ หากการเมืองผลตอบรับออกมาก็ส่งผลบวกต่อดัชนีฯ แต่หากผลตอบรับออกมาไม่ดี ดัชนีฯ น่าจะซึมยาว 'นางสาวธีรดา กล่าว

กลยุทธ์การลงทุน แนะนำ นักลงทุนระยะสั้น ชะลอการลงทุน รอติดตามสถานการณ์การเมืองอย่างใกล้ชิด ส่วนนักลงทุนทนระยะยาว แนะนำ ให้ดัชนีฯ ปรับตัวลดลงแล้วหาจังหวะเข้าซื้อหุ้นพื้นฐานดี

ประเมินแนวรับ 740 จุด แนวต้าน 756 จุด

--------------------------------------------------------------

Code 72 : ประกาศเคอร์ฟิวส์ แล้วจะจบมั้ย

วันอาทิตย์ที่ 16 พฤษภาคม 2553

ATT Code : ประกาศเคอร์ฟิวส์ แล้วจะจบมั้ย
สรุปข่าวสั้น
-(เบื้องต้น)ศอฉ.เตรียมประกาศเคอร์ฟิวส์พื้นที่แยกราชประสงค์ เพื่อแยกกลุ่มผู้ชุมนุม ให้เวลาตั้งแต่ 15.00 น.วันนี้ออกจากพื้นที่
-ส่งออกยางอนาคตสดใส : อย่างนี้หุ้นเกี่ยวกับยางยังมีโอกาสไปได้อยู่
>>> STA, TRUBB
-แรงขายของนักลงทุนต่างชาติ ความกังวลต่อวิกฤตหนี้ในยุโรป รวมถึงการลดน้ำหนักการลงทุนหุ้นไทยของ MSCI รวมถึง ความวิตกต่อสถานการณ์การเมือง ที่มีสัญญาณรุนแรงมากขึ้น
-บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย คาดว่า ดัชนีจะมีแนวรับที่ 764 จุด และ 743 จุด ขณะที่ แนวต้าน คาดว่าจะอยู่ที่ 780 จุด และ 790 จุด ตามลำดับ

---------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย
ไทยรัฐ : ส่งออกยางอนาคตสดใส
ภาพรวมยังอยู่ในเกณฑ์ดี โดยพบว่ายางแผ่นดิบคุณภาพที่ 1 ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 105.05 บาท ลดลงจาก 109.51 บาท ของสัปดาห์ที่แล้ว....

นายศุภชัย โพธิ์สุ รมช.เกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงสถานการณ์ยางพาราขณะนี้ว่า ในช่วงไตรมาสแรกของปี 53 นี้ไทยส่งออกยางไปยังประเทศจีนมากที่สุด 327,000 ตัน มูลค่า 31,708 ล้านบาท รองลงมาคือมาเลเซีย 126,000 ตัน มูลค่า 11,407 ล้านบาท ญี่ปุ่น 92,000 ตัน มูลค่า 8,861 ล้านบาท สหรัฐอเมริกา 52,000 ตัน มูลค่า 4,904 ล้านบาท ปริมาณการส่งออกสูงขึ้นในทุกประเทศ ยกเว้นสหรัฐอเมริกาที่เท่ากับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

ส่วนการผลิตการตลาดและราคาในตลาดต่างประเทศนั้นพบว่าในช่วง 3 เดือนแรกของปีนี้ระหว่าง ม.ค.-มี.ค. 2553 จีนนำเข้ายางธรรมชาติทั้งสิ้น 490,452 ตัน เพิ่มจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 30% โดยสาเหตุสำคัญที่ทำให้จีนนำเข้ายางเพิ่มขึ้นเนื่องจากผลผลิตยางภายในประเทศลดลงจากความแห้งแล้งรุนแรงในแหล่งผลิตยางสำคัญที่มณฑลไหหลำและมณฑลยูนนาน ซึ่งจากภาวะดังกล่าวคาดว่าจะทำให้ในปีนี้จีนจะผลิตยางได้ลดลง 20,000 ตัน ขณะที่อุปสงค์ยางมีมากโดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งในเดือน มี.ค. จีนมียอดขายรถยนต์เพิ่มจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา 56%

ด้านนายอภิชาต จงสกุล เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กล่าวว่า ขณะนี้ราคายางพาราที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศใน ภาพรวมยังอยู่ในเกณฑ์ดี โดยพบว่ายางแผ่นดิบคุณภาพที่ 1 ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 105.05 บาท ลดลงจาก 109.51 บาท ของสัปดาห์ที่แล้ว.

TNN : ปัญหาการเมืองฉุดหุ้นไทยสัปดาห์หน้า
บ.หลักทรัพย์กสิกรไทย ชี้ ตลาดหุ้นไทยสัปดาห์หน้ามีโอกาสปรับฐานลงมา จากแรงกดดันปัญหาการเมืองในประเทศ
15 พ.ค. 53 : ตลาดหุ้นไทย ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีปิดที่ 768.79 จุด ปรับตัวขึ้นร้อยละ 0.03 จาก 768.55 จุด ในสัปดาห์ก่อนหน้า ท่ามกลางมูลค่าการซื้อขายรวมทั้งสัปดาห์เพิ่มขึ้นเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 22,410 ล้านบาท โดยนักลงทุนรายย่อย และนักลงทุนสถาบัน ซื้อสุทธิ ขณะที่ นักลงทุนต่างชาติ ขายสุทธิ 14,692 ล้านบาท รวมทั้ง บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ ที่ขายสุทธิออกมา 420 ล้านบาท

ทั้งนี้ ตลาดหุ้นไทย ถูกกดดันจากปัจจัยลบทั้งในและต่างประเทศ ขณะที่ นักลงทุนต่างชาติยังขายสุทธิต่อเนื่อง เป็นสัปดาห์ที่สามติดต่อกัน ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวขึ้นในวันจันทร์ ตามตลาดหุ้นภูมิภาคที่ฟื้นตัวขึ้นขานรับแผนช่วยเหลือปัญหาหนี้กรีซ แต่เป็นการปรับขึ้นในอัตราที่น้อยกว่าตลาดหุ้นอื่นๆ ซึ่งเป็นผลจากความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมือง

ส่วนในวันอังคาร ดัชนีปิดลดลง ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นภูมิภาคที่อ่อนตัวลง สำหรับการชุมนุมทางการเมืองในประเทศที่ยังไม่ยุติลง ทำให้นักลงทุนบางส่วนเทขายหุ้นเพื่อลดความเสี่ยง ก่อนที่ดัชนีจะปิดปรับตัวขึ้นได้เล็กน้อยในวันพุธ

ขณะที่ แรงขายของนักลงทุนต่างชาติ ความกังวลต่อวิกฤตหนี้ในยุโรป รวมถึงการลดน้ำหนักการลงทุนหุ้นไทยของ MSCI รวมถึง ความวิตกต่อสถานการณ์การเมือง ที่มีสัญญาณรุนแรงมากขึ้น เป็นปัจจัยกดดันตลาด ให้ดัชนีปิดลดลงอีกในวันพฤหัสบดี อย่างไรก็ตาม ดัชนีพลิกมาปิดบวกเล็กน้อยในช่วงท้ายตลาดในวันศุกร์ เนื่องจากมีนักลงทุนเข้ามาเก็งกำไรจากการคาดหวังว่า สถานการณ์ทางการเมืองน่าจะยุติลงได้ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์นี้

สำหรับแนวโน้มในสัปดาห์หน้า บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทยและบริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ดัชนียังมีโอกาสที่จะปรับฐานต่อ จากบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศที่ยังมีแนวโน้มผันผวนตามปัจจัยเสี่ยงเศรษฐกิจโลก ตลอดจนแรงกดดันจากสถานการณ์การเมืองในประเทศ ทั้งนี้ บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย คาดว่า ดัชนีจะมีแนวรับที่ 764 จุด และ 743 จุด ขณะที่ แนวต้าน คาดว่าจะอยู่ที่ 780 จุด และ 790 จุด ตามลำดับ

Code 71 : ฝรั่งหนีตาย รายย่อยลุย

วันเสราร์ที่ 15 พฤษภาคม 2553

ATT Code : ฝรั่งหนีตาย รายย่อยลุย
สรุปข่าวสั้น
-ฝรั่งขายหนีตาย ขายสุทธิ 5,611.19 ล้านบาท
-สถานการณ์ทางการเมืองในวันหยุดเสาร์และอาทิตย์ ถือเป็นตัวแปรสำคัญต่อทิศทางตลาด
-ตลาดหุ้นสหรัฐฯดิ่งลงอย่างหนัก ลดลง 162.79 จุด
-ด้านราคาน้ำมันดิบตลาดไนเม็กซ์ ลดลงถึง 279 ดอลลาร์สหรัฐ หรือเกือบ 4%...ไปปิดที่ระดับ 71.61 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล

---------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย
ไทยรัฐ - By...อินเด็กซ์ 51 : เงาหุ้น-ฝรั่งขายหนีตาย!!
ดัชนีหุ้นวันที่ 14 พ.ค.53 ปิดที่ 768.79 จุด เพิ่มขึ้น 2.24 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 18,963.93 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 5,611.19 ล้านบาท

ฝ่ายวิเคราะห์ บล.เกียรตินาคิน มองแนวโน้มตลาดสัปดาห์หน้าว่า คงต้องติดตามสถานการณ์ทางการเมืองในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ว่าจะออกมาเป็นอย่างไร หากสามารถคลี่คลายและยุติการชุมนุมลงได้ เชื่อว่าบรรยากาศการลงทุนน่าจะมีทิศทางที่ดีขึ้น แต่หากสถานการณ์ทางการเมืองยังอึมครึมมีความรุนแรง จะส่งผลกระทบต่อจิตวิทยาการลงทุน ทำให้นักลงทุนชะลอการลงทุนหรือเทขายหุ้นออกมาเพื่อลดความเสี่ยง

แต่ทั้งนี้ต้องติดตามทิศทางของตลาดหุ้นต่างประเทศด้วย เพราะยังมีอิทธิพลต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทยอยู่ด้วย

กลยุทธ์การลงทุน แนะนำให้ wait & see รอประเมินสถานการณ์ ก่อน ด้านเทคนิคให้แนวรับไว้ที่ 740 จุด และแนวต้านอยู่ที่ 770 จุด

ปิดท้าย "สมบัติ นาราวุฒิชัย" เลขาสมาคมนักวิเคราะห์ หลักทรัพย์ ระบุว่า สถานการณ์ทางการเมืองในวันหยุดเสาร์และอาทิตย์ ถือเป็นตัวแปรสำคัญต่อทิศทางตลาด

หากความรุนแรงและการชุมนุมยังไม่มีข้อยุติจะมีผลในทางลบให้ตลาดปรับตัวลง และหากปัญหาการเมืองมีข้อยุติแต่ไม่ใช่การยุติอย่างสิ้นเชิงตลาดหุ้นจะยังคงอยู่ภายใต้มรสุมของปัจจัยลบ จากการที่ความคิดเห็นของแต่ ละฝ่ายไม่ลงรอยกันอย่างสุดขั้ว ซึ่งต้องใช้เวลานานในการแก้ไขความเข้าใจ จึงยังไม่ช่วยเสริมสร้างความมั่นใจให้ต่างชาติกลับเข้ามาลงทุนได้ง่ายนัก

ขณะที่วิกฤติหนี้กรีซที่จะมีทั้งข่าวดีและข่าวลบสลับกันออกมา จะมีผลทำให้ตลาดหุ้นขึ้น-ลงผันผวน

ทั้งนี้ ประเมินกรอบดัชนีอย่างกว้างนับจากนี้จนถึงสิ้นปี 53 จะแกว่งขึ้น-ลงอยู่ที่ 700-800 จุด แต่จากการเมืองที่ตึงเครียดใกล้สุกงอมกันอยู่ขณะนี้ อาจส่งผลให้สัปดาห์หน้า ดัชนีมีโอกาสปรับตัวลดลงต่ำกว่า 750 จุด มาที่ 730 จุด หรืออาจปรับตัวลงไปต่ำกว่านั้น ขึ้นอยู่กับความรุนแรงและการยืดเยื้อ

กลยุทธ์การลงทุนให้ทยอยเข้าซื้อ หากดัชนีลงไปต่ำกว่าระดับ 750 จุด โดยค่อยๆเพิ่มน้ำหนักการลงทุนตามความเสี่ยงที่ลดลง คาดว่าดัชนีน่าจะไม่ลงไปต่ำกว่าแนวรับที่ 720-700 จุด สำหรับหุ้นที่น่าสนใจรอบนี้คือหุ้นพลังงาน!!


ไทยรัฐ : ตลาดหุ้นไทยฝ่าวิกฤติสวนกระแสปิดบวก
นักลงทุนต่างชาติขนเงินออกทั้งภาวะเศรษฐกิจโลกที่เติบโตได้ดี รวมถึงไทยอยู่ในภูมิภาคเอเชียที่ไม่ถูกกระทบจากวิกฤติต่างๆ....

นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ เปิดเผยว่า แม้จะมีเหตุรุนแรงจากการชุมนุม แต่ตลาดหลักทรัพย์ยังคงยืนยันต้องเปิดตลาดเพื่อให้นักลงทุนซื้อขายหลักทรัพย์ได้ตามปกติ แม้ที่ทำการของบริษัทหลักทรัพย์ หรือ โบรกเกอร์จำนวนมากจะอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงกับการชุมนุม และได้รับผลกระทบแต่ตลาดหลักทรัพย์และโบรกเกอร์ได้เตรียมแผนรับมืออย่างต่อเนื่อง โดยการซื้อขายในวันที่ 14 พ.ค. หลายโบรกเกอร์ได้ใช้ระบบสำรองในการส่งคำสั่งซื้อขายเข้ามายังระบบกลางของตลาดหลักทรัพย์ เพราะหลายแห่งไม่สามารถเข้าทำงานในสำนักงานใหญ่และห้องค้าหุ้นได้ โดยต้องไปรับคำสั่งซื้อขายจากสถานที่ที่ได้มีการสำรองไว้ รวมทั้งในห้องค้าที่อยู่ในย่านที่ไม่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุม

"ตลาดหลักทรัพย์ยืนยันว่าในวันจันทร์ที่ 17 พ.ค.นี้ จะเปิดซื้อขายตามปกติ แม้ในช่วงบ่ายวันที่ 14 พ.ค.จะมีเหตุรุนแรงแถวสีลมและสาธร ทำให้พนักงานโบรกเกอร์ หลายแห่งที่อยู่บริเวณดังกล่าวรู้สึกกังวลกับความไม่ปลอดภัย และขอให้ปิดการซื้อขายในช่วงเวลา 15.30 น. เร็วกว่าปกติ 1 ชั่วโมง แต่หลังจากได้หารือกับสมาคมโบรกเกอร์และพิจารณาในภาพรวมแล้วเห็นว่ายังจำเป็นต้องปิดตลาดตามเวลาปกติ"

ส่วนการประเมินภาวะตลาดหุ้นสัปดาห์หน้านั้น นางภัทรียากล่าวว่า ประเมินยาก เพราะต้องรอดูสถานการณ์ทางการเมืองในช่วงวันเสาร์และวันอาทิตย์ ซึ่งหวังว่าจะไม่รุนแรงให้คนไทยต้องสูญเสียกันอีก

ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้น วันที่ 14 พ.ค. ที่ระหว่างวันเต็มไปด้วยความตึงเครียด ปรากฏว่า มีแรงขายออกมากดดัชนีหุ้นไทยลงไปแตะจุดต่ำสุดของวัน ที่ 755.49 จุด ลดลงกว่า 11.06 จุด แต่ ในช่วงท้ายตลาดมีแรงซื้อหุ้นกลับเข้ามาหนาแน่น ดันดัชนีขึ้นมาปิดตลาดในแดนบวก โดยนักลงทุนหวังว่าในช่วงวันหยุดนี้ สถานการณ์ความวุ่นวายทางการเมือง น่าจะจบสิ้นลงได้ โดยดัชนีมาปิดตลาดที่จุดสูงสุดที่ 768.79 จุด บวก 2.24 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 18,963.93 ล้านบาท แต่นักลงทุนต่างชาติยังคงขายหุ้นไทยหนีตายโดยขายสุทธิต่ออีก 5,611.19 ล้านบาท

นางสุชาดา กิระกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายตลาดการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า การเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทเมื่อวานนี้ (14 พ.ค.) กลับมาอ่อนค่าต่อเนื่องจากเมื่อวันที่ 13 พ.ค. ซึ่งในช่วงเช้าเงินบาทแข็งค่า และตั้งแต่ช่วงบ่ายปรับทิศมาอ่อนค่า เนื่องจากไปในทิศทางเดียวกับเงินยูโรที่อ่อนค่าลง รวมถึงสถานการณ์ทางการเมือง ที่เดิมมองว่าคลี่คลายแต่กลับตึงเครียด ทำให้ขณะนี้เริ่มเห็นนักลงทุนต่างชาติขายหุ้น และนำเงินบาทมาแลกซื้อเงินดอลลาร์กลับออกไป

ทั้งนี้ เงินบาทอ่อนค่าในขณะนี้ถือว่ายังไม่มากหรือยังอยู่ในระดับสมดุล เพราะแม้ต่างชาติจะซื้อเงินดอลลาร์ออกไป แต่ในขณะเดียวกันก็มีบางส่วนนำเงินเหล่านั้นหันไปลงทุนในตราสารหนี้แทน รวมถึงผู้ที่มี รายได้ในรูปเงินตราต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นผู้ส่งออก ผู้ลงทุนในทองคำ รวมถึงผู้ประกอบการรถยนต์ ก็รอจังหวะที่จะขายเงินดอลลาร์เพื่อแลกเป็นเงินบาท จึงเป็นเรื่องปกติที่เมื่อต่างชาติตัดสินใจนำเงินมาลงทุนในไทยแล้วก็มีการขายออก แม้ขณะนี้เศรษฐกิจไทยต้องเผชิญกับปัญหาการเมือง แต่ก็ยังมีปัจจัยบวกอยู่บ้าง ทั้งภาวะเศรษฐกิจโลกที่เติบโตได้ดี รวมถึงไทยอยู่ในภูมิภาคเอเชียที่ไม่ถูกกระทบจากวิกฤติต่างๆ.


----------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ตปท.
ไทยรัฐ : หุ้นมะกันติดลบ เงินยูโร ดิ่งสุดรอบ19ด.

ตลาดหุ้นสหรัฐฯดิ่งลงอย่างหนัก ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ ปิดที่ระดับ 10,620.16 จุด ลดลง 162.79 จุด ด้านราคาน้ำมันดิบตลาดไนเม็กซ์ ลดลงถึง 279 ดอลลาร์สหรัฐ หรือเกือบ 4%...

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ปิดการซื้อขายตลาดหุ้นสหรัฐฯวันที่ 14 พ.ค.ดัชนีดิ่งลงอย่างหนักจากแรงเทขายตลาดการซื้อขาย หลังจากนักลงทุนวิตกกังวลว่า มาตรการรัดเข็มขัดและตัดลดการใช้จ่ายของหลายประเทศในยุโรป ไม่ว่าจะเป็นกรีซ สเปน และโปรตุเกส อาจส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของยุโรปเอง ขณะที่ค่าเงินยูโร เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ดิ่งลงหนักสุดในรอบ 19 เดือน

ด้านราคาน้ำมันดิบตลาดไนเม็กซ์ ลดลงถึง 279 ดอลลาร์สหรัฐ หรือเกือบ 4% ไปปิดที่ระดับ 71.61 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ทำให้หลังปิดตลาด ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ ปิดที่ระดับ 10,620.16 จุด ลดลง 162.79 จุด แนสแดค ปิดที่ระดับ 2,346.85 จุด ลดลง 47.51 จุด และเอสแอนด์พี ปิดที่ระดับ 1,135.68 จุด ลดลง 21.76 จุด.
-----------------------------------------------------

Code 70 : ลดโลกร้อน - ตัดน้ำ ตัดไฟ

วันศุกร์ที่ 14 พฤษภาคม 2553

ATT Code : ลดโลกร้อน - ตัดน้ำ ตัดไฟ
ข่าวเด่นการเมือง
- เสธ.แดงโดนมือดีส่องปืนชนิดสไนเปอร์เข้าศรีษะด้านขวา
บาดเจ็บสาหัสขณะกำลังให้สัมภาษณ์สื่อนอก
-ศอฉ. ก็ยังเพิ่มความเข้มข้นในการกดดันผู้ชุมนุมอยู่
-มีการตัดไฟตามท้องถนน บริเวณกลุ่มผู้ชุมนุม
-ทหารตรวจสอบรถที่เข้าออกบริเวณการชุมนุม

สรุปข่าวสั้น
-ตลาดหุ้นไทยโดนการเมืองกดดัน
-หุ้นดาวโจนส์ลดลง 113.96 จุด หลังตัวเลขผิดหวังค้าปลีก

และตลาดแรงงาน

ตลาดหุ้น
- หุ้นเข้าเทรดใหม่วันนี้ TMI

Technical
แนวรับสำคัญ 750 จุด

วันนี้เป็นแรกที่ไม่สามารถเข้าไปทำงานที่ Office ได้

เนื่องจากใกล้กับพื้นที่เสี่ยง ที่ราชประสงค์ โดยมีการตรวจเข้มของทหาร
จึงต้องย้ายไปทำงานที่ Central ปิ่นเกล้าแทน ก็ได้เปลี่ยนบรรยากาศ
สนุกดีไปอีกแบบ แบบว่า 3 คน ต่อคอม 1 เครื่อง เป็นเก้าอี้ดนตรีเลยครับ
มี Order ก็เข้าไปซื้อขายกันที่ แล้วก็ต้องสลับให้คนอื่นใช้บ้าง
เข้า NET ก็ไม่ได้ Biznews ก็มี 2 เครื่อง ทำให้ดูกราฟไม่ทัน
ดูข่าวทางTVเพียงอย่างเดียว การให้คำแนะนำทางเทคนิค จึงมีข้อจำกัด
แต่ก็อาศัยการที่เขียน Post ทุกวัน ทำให้พอจำกราฟเส้นต่างๆ ได้

หุ้น TMI น้องใหม่วันนี้ ถือว่าสุดยอดมาก จองเพียง 0.88 เปิดเป็น Low

ที่ 0.87 แล้วก็ลากยาวเลย ไปทำ High ที่ 1.05 ก่อนย่อลงมาปิดที่ 0.99

โดย SET และ TFEX เปิด low แล้วไปปิด High เลยครับ
โดยที่น่าวิตก ฝรั่งขายเยอะมาก 5,611 ล้านครับ
แต่ที่สุดยอดก็คือรายย่อยกลับซื้อคนเดียว 6,365 ล้าน
สามารถยกให้ตลาดเป็นเขียวได้ มันต้องเป็น Case Study

ที่น่าสนใจทีเดียวครับ สงสัยรายย่อย รายนี้จะไม่ธรรมดา

ท้ายสุดนี้ SET สามารถยืนได้ทั้ง 760 และ 765 ได้ มาปิดที่ 768.79 จุด
บวกไป 2.24 จุด มูลค่าการซื้อขายรวม 18,963.93 ล้านบาท
แต่เป็นที่รู้กันในหมู่นักวิเคราะห์และเซียนห้นรายใหญ่ว่า กว่าที่นักลงทุน

ต่างชาติ จะกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง จะต้องรอให้ SET
ไปอยู่ที่แนว 650-670 จุด ซึ่งถือเป็น "ต้นทุนเดิม" ของนักลงทุนต่างชาติ

---------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย
ไทยรัฐ - By...อินเด็กซ์ 51 : เงาหุ้น-สูญเสีย!!

ดัชนีหุ้นวันที่ 13 พ.ค.53 ปิดที่ 766.55 จุด ลดลง 7.17 จุด มี มูลค่าการซื้อขาย 20,332.67 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 2,621.74 ล้านบาท

หุ้นที่มีการซื้อขายสูงสุด CPF ปิดที่ 17.60 บาท ลดลง 0.40 บาท, PTT ปิดที่ 252 บาท ลดลง 3 บาท, BANPU ปิดที่ 614 บาท ลดลง 10 บาท, SCB ปิดที่ 84.50 บาท ลดลง 0.75 บาท และ PTTAR ปิดที่ 28.25 บาท ลดลง 0.50 บาท

ฝ่ายวิเคราะห์ บล.โกลเบล็ก ชี้ว่า ตลาดหุ้นไทยโดนการเมืองกดดัน อีกรอบ หลังรัฐบาลประกาศใช้มาตรการเด็ดขาดกับกลุ่มคนเสื้อแดงที่ยังไม่ยอมยุติการชุมนุมที่แยกราชประสงค์ตามแผนปรองดองของรัฐบาล ส่งผลให้นักลงทุนเทขายหุ้นออกมาเพื่อลดความเสี่ยง โดยเฉพาะนักลงทุนต่างชาติ มองแนวโน้มตลาดว่า ยังไม่สามารถระบุทิศทางตลาดได้อย่างชัดเจน โดย ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ทางการเมืองเป็นหลัก

แนะกลยุทธ์การลงทุน ต้องประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิดตลอดเวลา ให้กรอบการแกว่งตัวของดัชนีไว้ที่ 750-790 จุด ซึ่งระยะสั้นหากดัชนีปรับตัวลดลงหลุดกรอบแนวรับดังกล่าว ให้หลีกเลี่ยงการลงทุนในทันที

ฝ่ายวิเคราะห์ บล.เคจีไอ มองแนวโน้มว่า ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสปรับตัวลงต่อจากแรงกดดันในการสลายการชุมนุม ที่อาจจะเกิดเหตุรุนแรง แม้ขณะนี้ ปัจจัยจากภายนอกประเทศจะดีขึ้น แต่คงไม่สามารถช่วยตลาดหุ้นไทยได้

ด้านเทคนิค ให้กรอบแนวรับไว้ที่ 745-755 จุด ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 772 จุด

ปิดท้าย วรวรรณ ธาราภูมิ กรรมการผู้จัดการ บลจ. บัวหลวง แนะกลยุทธ์ การลงทุนสำหรับบุคคลทั่วไปหรือรายย่อย ว่า ควรจัดพอร์ตลงทุนที่เน้นการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ ซึ่งหากลงทุนในหุ้นก็ควรใช้กลยุทธ์ซื้อ-ขายเร็ว แม้ตลาดหุ้นจะมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นได้ แต่ก็คงปรับขึ้นได้ไม่มาก เพราะที่ผ่านมาปรับขึ้นมา ระดับหนึ่งแล้ว ขณะที่ยังมีสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองเป็นตัวกดดัน

ทั้งนี้ การจัดพอร์ตลงทุน ควรเป็นเงินฝาก 50% ของพอร์ตลงทุนทั้งหมด ขณะที่การลงทุนในหุ้นกู้หรือตราสารหนี้เอกชน รวมทั้งพันธบัตรรัฐบาล ยังมีความน่าสนใจ เนื่องจากมีความเสี่ยงต่ำ

ส่วนนักลงทุนที่ต้องการความเสี่ยงต่ำมาก ให้ลดพอร์ตการลงทุนในหุ้น เหลือแค่ 5–20% แต่หากมีเงินทุนสูงและสามารถรับความเสี่ยงได้ดี อาจลงทุนได้มากถึง 30%.

TNN : หุ้นปิดลบ7.17จุดจากแรงกดดันสลายชุมนุม
หุ้นไทยปิดลบ 7.17 จุด มูลค่าการซื้อขาย 20,332.67 ลบ. นักวิเคราะห์ฯเผยตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลง จากแรงกดดันการเมืองหากสลายการชุมนุมคืนนี้ 13 พ.ค. 53 : บรรยากาศการลงทุนตลาดหุ้นไทยวันนี้ ดัชนีแกว่งตัวผันผวนในแดนบวกสลับแดนลบ โดยหลังเปิดตลาดภาคเช้าดัชนีทะยานตัวในแดนบวกตามตลาดต่างประเทศ ปรับตัวสูงสุดที่ 777.85 จุด ก่อนที่จะปรับตัวในแดนลบ หลังนายกฯยืนยันล้มเลิกแผนจัดเลือกตั้งใหม่ในวันที่ 14 พ.ย. เนื่องจากแกนนำ นปช. ยังไม่มีท่าทีตอบรับแผนปรองดอง และยังไม่ยุติการชุมนุม ตามที่มีการขีดเส้นตายก่อนหน้า และศอฉ. เตรียมที่จะตัดน้ำ-ตัดไฟ และปิดเส้นทางเข้าออกบริเวณชุมนุม เพื่อกดดันผู้ชุมนุม และอาจมีการสลายการชุมนุม ฉุดดัชนีลดลงต่ำสุดที่ 764.63 จุด ก่อนปิดตลาดที่ 766.55 จุด ลบ 7.17 จุด หรือ 0.93%

---------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ตปท.
ไทยรัฐ : หุ้นสหรัฐฯดิ่ง113.96จุด

หุ้นดาวโจนส์ลดลง 113.96 จุด หลังตัวเลขผิดหวังค้าปลีก และตลาดแรงงาน รวมถึงแรงขายหุ้นกลุ่มสถาบันการเงิน ขณะราคาน้ำมันลดลง ปิดที่74.40ดอลลาร์สหรัฐฯ...

สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานเมื่อวันที่ 13 พ.ค. ตามเวลาท้องถิ่นว่า ปิดการซื้อขายตลาดหุ้นสหรัฐ ดัชนีปรับลดลง ทั้งจากข้อมูลล่าสุดที่ระบุว่า จำนวนคนงานที่ถูกเลิกจ้างและขอความช่วยเหลือจากทางการในสัปดาห์ที่ผ่านมา ลดลงมาอยู่ที่ 440,000 ราย ไม่มากอย่างที่คาดไว้ รวมถึง โคห์น คอร์ป บริษัทค้าปลีกชื่อดัง ซึ่งคาดว่าผลประกอบการไตรมาสต่อไปอาจไม่ถึงเป้าที่วางไว้ ขณะที่มีแรงขายหนาแน่นในหุ้นกลุ่มสถาบันการเงิน ทำให้หลังปิดตลาด ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ ปิดที่ 10,782.95 จุด ลดลง 113.96 จุด แนสแดค ปิดที่ 2,394.36 จุด ลดลง 30.66 จุด และเอสแอนด์พี ปิดที่ 1,157.44 จุด ลดลง 14.23 จุด

ด้านราคาน้ำมันดิบตลาดไนเม็กซ์ ลดลง 1.25 ดอลลาร์สหรัฐ ไปปิดที่ 74.40 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล

---------------------------------------------

Code 69 : ชินซะแล้ว จะสลายหรือไม่สลายการชุมนุม

วันพฤหัสที่ 13 พฤษภาคม 2553

ATT Code : ชินซะแล้ว จะสลายหรือไม่สลายการชุมนุม
โดยเมื่อวาน ศอฉ. ได้ประกาศว่าจะตัดน้ำตัดไฟ และมีการควบคุม
การเข้าออกของผู้ชุมนุมให้เข้มข้นขึ้น พร้อมที่จะสลายการชุมนุม
และรัฐบาลก็ได้พับแผนการเลือกตั้งในวันที่ 14 พ.ย. นี้ไปแล้ว
มันกลายเป็นว่า ข่าวที่ออกมาเป็นความชินชาไปซะแล้ว
มีแต่ขนมจีน แต่ไม่มี.......

วันนี้บรรยากาศการลงทุนทั่วโลกดูสดใส เขียวยกแผง
โดยหุ้นสหรัฐบวก 148.65 จุด ปรับขึ้นมาปิดแดนบวกแบบยกกระดาน
หลังรายงานเศรษฐกิจโดยรวมของสหรัฐมีท่าทีดีขึ้น
และจากตัวเลขส่งออกที่เพิ่มขึ้นสูง ทำให้นักลงทุนมีความมั่นใจมากขึ้น

สรุปข่าวสั้น
-รัฐบาลพับแผนการเลือกตั้ง 14 พ.ค.
-ยังมี Downside สำหรับสินทรัพย์เสี่ยง
-ตลาดต่างประเทศบวกเพราะเศรษฐกิจยุโรปโต
-หมดผลประกอบการ เตรียมหมดข่าวดี

รวมกลยุทธ์:
-แนะนำให้เป็นเพียงการเข้าทรดดิ้งเล่นตามรอบไปก่อน
-แนวโน้มตลาดระยะสั้นขึ้นอยู่กับสถานการณ์การเมืองในประเทศ
-ขายทำกำไรเมื่อดัชนีปรับตัวขึ้น

ภาคเช้า SET เปิดที่ 775.66 จุด +1.94 จุด
ผ่านเส้น 5 วัน ที่ 775 มาได้ จะยืนเหนือ 780 ได้มั้ย ต้องติดตาม
ส่วน TFEX เปิดที่ 545 จุด +4.40จุด ผ่าน 5 วัน ที่ 543 มาได้

ภาคเช้า SET ปิดที่ 770.84 จุด -2.88 จุด V. 9 พันกว่าล้าน
บรรยากาศไม่ค่อยดี มีข่าวเกี่ยวกับการสลายการชุมนุมที่เริ่มเข้มน้น
ทำให้ก่อนปิดตลาดภาคเช้า ทั้ง 2 ตลาดไหลมาอย่างละ 7 จุด
โดย SETลงจาก 777 มาที่ 770 และ TFEX ลงจาก 546 มา 539
แต่ SET ก็มีแนวรับที่ 768, 765 และ 750 ตามลำดับ
และต่างชาติขายสุทธิ 1,400 ล้านบาท
TFEX ปิดที่ 538.50 จุด -2.10 จุด

ภาคบ่าย SET ปิดที่ 766.55 จุด -7.17 จุด V. 20,270 MB.
หลุดเส้น 25 วัน ที่ 768 ลงมา แต่ยังยืนเหนือ BB Avg ที่ 765
MACD เกือบเป็น Dead Cross แล้ว ถ้า SET หลุด 760
และ TFEX ปิดที่ 536 จุด - 4.60จุด

ปิดเกือบหลุด BB Avg 536 แต่ก็ถือว่าไม่ค่อยดีเท่าไหร่
พรุ่งนี้มีสิทธิลงต่อ ต้องดูสถานการณืการเมืองอย่างใกล้ชิด

----------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย
ไทยรัฐ - By...อินเด็กซ์ 51 : เงาหุ้น-นครหลวงไทยแจกหุ้น!!
ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 12 พ.ค.53 ปิดที่ 773.72 จุด เพิ่มขึ้น 1.63 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 19,840.60 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 1,409.77 ล้านบาท

หุ้นที่มีการซื้อขายสูงสุด นำโดย CPF ปิดที่ 18 บาท ลดลง 0.30 บาท, BANPU ปิด 624 บาท ลดลง 2 บาท, PTT ปิดที่ 255 บาท เพิ่มขึ้น 1 บาท, PTTAR ปิดที่ 28.75 บาท เพิ่มขึ้น 0.25 บาท และ IVL ปิดที่ 17.50 บาท ลดลง 0.30 บาท

ฝ่ายวิเคราะห์ บล.ฟิลลิป มองแนวโน้มตลาดระยะสั้นขึ้นอยู่กับสถานการณ์การเมืองในประเทศ โดยเฉพาะท่าทีของกลุ่มคนเสื้อแดงหลังรัฐบาลประกาศตัดน้ำไฟและสัญญาณโทรศัพท์ทั้งหมด เพื่อขอพื้นที่แยกราชประสงค์คืน ซึ่งหากเกิดเหตุรุนแรงจะส่งผลกระทบเชิงลบต่อจิตวิทยาการลงทุน ซึ่งเป็นปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด

แนะกลยุทธ์การลงทุน แนะนำเก็งกำไร 50% ของพอร์ตลงทุน โดยประเมินแนวรับไว้ที่ 760 จุด ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 782 จุด

ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.ทิสโก้ มองแนวโน้มดัชนีมีโอกาสปรับตัวลดลง เนื่องจากได้รับแรงกดดันจากทิศทางของตลาดหุ้นต่างประเทศที่อยู่ ในช่วงขาลง หลังนักลงทุนกังวลกับปัญหาหนี้กรีซที่อาจจะลุกลามไปทั้งยูโรโซน ซึ่งเชื่อว่าแผนช่วยเหลือปัญหาหนี้กรีซของอียูและไอเอ็มเอฟเป็นเพียงปัจจัยที่ส่งผลดีระยะสั้นเท่านั้น โดยปัญหากรีซน่าจะลุกลามและส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจระยะยาว

แนะกลยุทธ์การลงทุน แนะนำเทขายทำกำไรเมื่อดัชนีปรับตัวขึ้นโดยประเมินแนวรับไว้ที่ 770-765 จุด และแนวต้านอยู่ที่ 780-785 จุด

ปิดท้าย บทวิเคราะห์สถาบันวิจัยนครหลวงไทยแนะหุ้นน่าซื้อช่วงนี้ TCAP ให้ราคาเป้าหมาย 11 บาท, TASCO เป้าหมาย 48 บาท, HMPRO 6.70 บาท, BSBM 1.85 บาท, SPALI 8.80 บาท, MINT 15.40 บาท, CPALL อยู่ระหว่างปรับประมาณการราคาเป้าหมายขึ้น, BANPU ปรับเป้าหมายขึ้นเป็น 710 บาท และ TVO ให้ราคาพื้นฐาน 21 บาท

ส่วน EGCO แนะให้ถือราคาเป้าหมาย 73 บาท!!

FSS : เน้นเล่นสั้นตามรอบไปก่อน...เพราะคาดตลาดยังมีสิทธิแกว่งตัว!!
แนวโน้ม: ตลาดหุ้นต่างประเทศกลับมาดูดีขึ้น หลังสเปนเปิดเผยแผนรัดเข็มขัดซึ่งสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนว่า ยุโรปกำลังดำเนินการแก้ปัญหาด้านการคลัง รวมทั้งตัวเลขเศรษฐกิจทั้งของสหรัฐและยุโรปหลายประเทศที่ยังออกมาดีกว่าคาด ส่งผลให้ดัชนีดาวโจนส์ปิดบวกไปกว่า 148 จุด ขณะที่ตลาดหุ้นยุโรปก็ปิดบวกกันมากกว่า 1% เป็นส่วนใหญ่รวมถึงตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ก็สามารถเปิดบวกได้มากกว่า 1% ด้วย ทำให้คาดว่าตลาดหุ้นไทยก็มีสิทธิที่จะขยับตัวขึ้นต่อเนื่องจากวานนี้ได้อีก โดยเฉพาะสถานการณ์ทางด้านการเมืองที่ยังไม่มีความรุนแรงใดๆ แม้ว่าวานนี้จะเป็นเส้นตายของนายกฯ ที่จะให้
กลุ่ม นปช. ยุติการชุมนุม และมีการแถลงของ ศอฉ.ว่าจะดำเนินมาตรการกดดันกลุ่มผู้ชุมนุม ดัวยการตัดสาธารณูปโภคต่างๆ แต่สุดท้ายมาตรการดังกล่าวก็ถูกยกเลิกไป อย่างไรก็ตามแรงขายของนักลงทุนต่างประเทศในบ้านเรายังคงมีออกมาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่สถานการณ์การชุมนุมยังไม่ได้รับการคลี่คลาย ก็ถือว่ายังมีแรงกดดันต่อ SET อยู่บ้าง ดังนั้นแม้ว่า SET จะขยับขึ้นต่อได้ แต่ก็ต้องระมัดระวังจังหวะแกว่งตัวผันผวน โดยเฉพาะจากข่าวความผันผวนทางด้านการเมืองที่ยังอาจจะเป็นตัวฉุดตลาดไว้ต่อไป
กลยุทธ์: จึงยังแนะนำให้เป็นเพียงการเข้าทรดดิ้งเล่นตามรอบไปก่อน โดยควรหาจังหวะขายทำกำไรด้วย และพยายามไม่ไล่ราคาถ้าเป็นบวกแรง ส่วนจังหวะซื้อเพื่อถือลงทุนแนะนำให้เริ่มทยอยเลือกหุ้นพื้นฐานดีที่ราคาตลาดยังต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานมากๆ เข้ารับได้เมื่อตลาดปรับตัวลง โดยเฉพาะถ้ามีการปรับตัวลงแรง ซึ่งได้แก่ KBANK, SCB, BBL, BAY, TTW,HMPRO, CPALL, BIGC, MAKRO, AP, PS, LH, QH, CPN, PTTEP, ROJNA เป็นต้น

ประเด็นสำคัญวันนี้
-รัฐบาลพับแผนการเลือกตั้ง 14 พ.ค.
นายกอร์ปศักดิ์เปิดเผยว่าการเจรจาระหว่างรัฐบาลกับ นปช. ได้ยุติแล้ว และเมื่อ นปช. ไม่ยุติการชุมนุม รัฐบาลก็จะพับแผนการเลือกตั้งวันที่ 14 พ.ย. เช่นกัน การเมืองกลับมาสร้างความกดดันให้ตลาดหุ้นอีกครั้ง
-ยังมี Downside สำหรับสินทรัพย์เสี่ยง...ทองพุ่ง แม้ราคาทองวานนี้จะปรับลดลง US$4.90 แต่ก็เกิดจากการขายทำกำไรหลังจากปรับสูงขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง แต่ในระหว่างเทรด ปรับขึ้นไปสูงสุดถึง ที่ US$1,247 (+20% นับจากเดือน ก.พ.) Demand ในทองยังแข็งแกร่งเนื่องจาก 1) ตลาดกังวลว่าเงินกู้วิกฤตยุโรปที่สูงถึง 7.5 แสนล้านยูโร จะทำให้เกิดเงินเฟ้อรุนแรงในอนาคต ทองในฐานะที่เป็น Inflation hedge และ Safe heaven จึงเป็นที่ต้องการมากขึ้น 2) กองทุน ETF ทองรายใหญ่ที่สุดในโลก SPDR Gold Trust เข้าถือครองทองคำสูงเป็นประวัติการณ์ที่ระดับ 1,192.15 ตันเมื่อที่ 11 พ.ค. จากวันที่ 7 พ.ค.ที่ 1,188.49 ตัน 3) นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์กันว่าจีนน่าจะปล่อยให้เงินหยวนแข็งค่าเร็วๆ นี้ในปี 2005 ที่จีนปรับค่าเงินหยวนให้แข็งค่าขึ้น ส่งผลให้ราคาทองคำปรับขึ้นมาจาก~US$400 เป็นสูงสุด ~US$1,000 แนวโน้มระยะยาวของราคาทองเป็นทิศทางขาขึ้น แต่ระยะสั้นยังผันผวนตามค่าเงินดอลลาร์ การพุ่งขึ้นมาอย่างแรงและเร็วทำให้อาจเกิดการปรับฐานในช่วงสั้น
-ตลาดต่างประเทศบวกเพราะเศรษฐกิจยุโรปโต Y-Y เป็นครั้งแรกในรอบ 5 ไตรมาส ตลาดหุ้นยุโรปปรับขึ้นตอบรับข่าวดีที่ GDP 1Q10 ขยายตัว Y-Y เป็นครั้งแรกหลังจากติดลบ 5 ไตรมาสติดต่อกัน และโตมากกว่าตลาดคาด (+0.5% Y-Y และ 0.2% QQ)นอกจากนี้ สเปนได้ประกาศมาตรการลดขาดดุลงบประมาณอย่างเป็นรูปธรรม (ลดเงินเดือนข้าราชการเฉลี่ย 5% ตั้งแต่ มิ.ย. นี้ และไม่ขึ้นเงินเดือนในปี 2554) และยังส่งผลให้ตลาด Wall Street บวกกว่า 1% - 2% (Dow Jones บวก 148 จุดเพราะผลประกอบการIntel และ IBM ดีด้วย) VIX ลดลง 10% เงินดอลลาร์อ่อนค่า แต่ราคาน้ำมันปรับลดลง 62 เซนต์ เพราะสต็อกน้ำมันดิบเพิ่มถึง 1.9 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่ผ่านมา เรามองการปรับขึ้นของตลาดหุ้นต่างประเทศเป็นเพียงชั่วคราว เพราะความกังวลเรื่องกรีซยังอยู่ในตลาดประกอบกับเงินเฟ้อของจีนเดือน เม.ย. ที่สูงสุดในรอบ 18 เดือนทำให้ตลาดหันมากังวลกับมาตรการเบรกเศรษฐกิจของจีนอีกครั้ง
-หมดผลประกอบการ เตรียมหมดข่าวดี กำไรของบริษัทจดทะเบียนที่อยู่ใน Coverage ของเราเท่าที่ประกาศถึงเย็นวานนี้ มีกำไรปกติเพิ่มขึ้นถึง 27% Q-Q และ 38%Y-Y และกำไรสุทธิโต 31% Q-Q และ 33% Y-Y แทบทุกกลุ่มมีกำไรโตขึ้น Y-Y แต่กลุ่มที่กำไรโตมากสุด Q-Q คือกลุ่มพลังงาน (+76% Q-Q) รองลงมาคือกลุ่มค้าปลีก (+36% QQ)เกษตรและอาหาร (+36% Q-Q) แนวโน้ม 2Q10 ส่วนใหญ่จะชะลอลง Q-Q ตามฤดูกาลยกเว้นกลุ่มพลังงาน อาหาร ค้าปลีก เดินเรือ บันเทิง (ทีวี) ที่ยังน่าจะเติบโต Q-Q

----------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ตปท.
ไทยรัฐ : หุ้นสหรัฐบวก 148.65 จุด จากตัวเลขส่งออกที่เพิ่มขึ้นสูง ขณะที่ราคาน้ำมันดิบสวนทางปรับลดลง ปิดที่ 75.65 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล...


สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานเมื่อวันที่ 12 พ.ค. ตามเวลาท้องถิ่นว่า ปิดการซื้อขายตลาดหุ้นสหรัฐ นักลงทุนหันความสนใจจากเรื่องของหนี้สินในยุโรปมาดูปัจจัยในประเทศ โดยตัวเลขการส่งออกเดือน มี.ค. เพิ่มขึ้นแตะระดับสูงสุด นับตั้งแต่ปี 2551 ขณะที่ราคาทองคำพุ่งขึ้นแตะ 1,247.70 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ช่วยให้มีแรงซื้อหุ้นกลุ่มทองคำและเหมืองแร่ ทำให้หลังปิดตลาด ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 148.65 จุด ไปปิดที่ 10,896.91 จุด แนสแดค ปิดที่ 2,425.02 จุด เพิ่มขึ้น 49.71 จุด และเอสแอนด์พี ปิดที่ 1,171.67 จุด เพิ่มขึ้น 15.88 จุด

ด้านราคาน้ำมันดิบตลาดไนเม็กซ์ ลดลง 72 เซนต์ ไปปิดที่ 75.65 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล

INN : หุ้นUSปิดบวก-น้ำมันลงเกือบ1$ปิด75.65$
ตลาดหุ้นสหรัฐเมื่อคืนที่ผ่านมา ปรับขึ้นมาปิดแดนบวกแบบยกกระดาน หลังรายงานเศรษฐกิจโดยรวมของสหรัฐมีท่าทีดีขึ้น จนสามารถเรียกคืนความมั่นใจจากนักลงทุน

-----------------------------------------------------------
Technical View : FSS
“ตลาดยังแกว่งในกรอบ 768-781 จุดอยู่…ไม่ต่ำกว่าแนวรับแรกก็ยัง
ลุ้นเทรดดิ้งต่อเนื่องได้ แต่ต้องทำกำไรตามแนวต้านด้วย ผ่านแนว
ต้านหนึ่งได้ถึงจะเล่นตามต่อไปหาอีกแนวต้านหนึ่ง..ส่วนถ้าหลุดลง
ก่อนรอดูจังหวะใหม่!!”
แนวรับ : 770-768*** , 760-757* , 747-740**
แนวต้าน : 779-781* , 787-790** , 796-800***


ASP : SET Index แนวรับ 760 จุด แนวต้าน 790 จุด



ประเด็นวิเคราะห์:
• ขึ้นยาก ขึ้นเย็น เหมือนอย่างที่คิด เพราะ SET พาทัวร์ด้วยการวนลงมา 768 จุด ก่อนหลอกให้ดีใจเล่นเมื่อดีดตัวจนไปถึง 780จุด แต่สุดท้ายก็มาปิดตัวทำเซ็งที่ 774 จุด ช่างน่าละเหี่ยใจเสียนี่กระไร
• มองในแง่ดี คือทุกอย่างยังเป็นไปตามแผนที่ได้วางไว้เมื่อวันที่ 12 เม.ย.2553 ว่าดัชนีจะเริ่มแกว่งขึ้นด้วยความยากลำบาก และน่าจะปรับตัวลดลงต่ำกว่า 770 จุดเล็กน้อยก่อนที่จะค่อยๆ ฟื้นตัวเพื่อกลับสู่ 790 จุด
• ในระยะสั้นคาดว่า ดัชนีจะถูกจำกัดอยู่ในกรอบ 768-790 จุดต่อไป และถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด ก็เชื่อว่าหลังจากพ้นช่วงน่าเบื่อหน่าย ดัชนีน่าจะ Break 790 จุดขึ้นมาได้
สรุป :
• ปรับเพิ่มขึ้นด้วยความยากลำบาก และอาจจะยังไม่ผ่าน 780 จุด

-----------------------------------------------------------