Code167:กรอบแคบที่967-973

วันพฤหัสที่ 30กันยายน 2553

ATT Code :กรอบแคบที่967-973

MARKET WAVEanalysis
30 กย. 53 ( +10.38 จุด) โกมล พงศ์วิญญู เลขทะเบียน 18338

แกว่งตัว 967 – 973 จุด
ภาพระยะสั้นวันพฤหัสนี้ ดัชนีไม่น่าปรับตัวลงต่ำกว่า 966 – 967 จุด แถวจุดต่ำสุดวันพุธ

จากนั้น ตลาด “อาจจะ” ใช้ระยะเวลาสักพัก แกว่งตัวในกรอบ 967 – 973 หรือระหว่างจุดต่ำสุดถึงจุดสุงสุดของวันพุธ
การปรับตัวขึ้น เกิน 973.03 จุดสูงสุดวันพุธ ดัชนีสามารถขึ้นต่อได้บริเวณ 993 จุด

สำหรับภาพระยะหนึ่งสัปดาห์ข้างหน้านี้ หรือเท่ากับระยะทางประมาณจุดต่ำสุดของวันที่ 20ถึงจุดสูงสุดของวันที่ 23 กย.

หุ้นเด่น
10 อันดับซื้อขายสูงสุด
PTTAR ไม่ต่ำกว่า 26.50 ขึ้น 29 – 30
PTT แกว่งตัว 290 - 295
BAY เกิน 24.70 ขึ้น 25 – 25.50
PTTCH เกิน 136 ขึ้น 137 – 139
TRUE ต่ำกว่า 4.96 ลง 4 – 4.10
PTTEP เกิน 153 ขึ้น 154 - 155
SCC แกว่งตัว 325 – 342
BANPU แกว่งตัว 690 - 720
SCB ไม่ต่ำกว่า 101.50 ขึ้น 107 – 110
KTB รายละอียดใน “หุ้นเด่น”

BBL
กำลังปรับตัวในกรอบสามเหลี่ยม ภาพระยะวัน ทยอยซื้อแถว 153.50 – 154.50 หรือซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 155.50 กรอบบนของสามเหลี่ยม เป้าหมายสองสามวัน 159.50 -163.50( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 152.00 )

KTB
ปรับตัวทะลุกรอบสามเหลี่ยม ภาพระยะวันขึ้นมาได้ ทยอยซื้อแถว 16.30 – 16.50 หรือซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 16.60 จุดสูงสุดวันพุธเป้าหมายสองสามวัน 17.10 – 17.60( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 16.10 )

----------------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย
FSS:จุดถัดไปที่ต้องระวังแรงขายคือ 980 เพราะมีสิทธิย้อนลงหา 960 หรือต่ำกว่า...
แนวโน้ม: จากแรงซื้อของนักลงทุนต่างประเทศยังคงมีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะแค่
ช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา 3 วันทำการ นักลงทุนต่างประเทศก็มียอดซื้อสุทธิเข้ามาเกือบถึง
หมื่นล้านบาทแล้ว ส่งผลให้ SET ยังแกว่งตัวขึ้นได้ค่อนข้างร้อนแรง อย่างไรก็ตามความ
กังวลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และปัญหาเศรษฐกิจในยุโรปและสหรัฐ ก็ถือว่ายังเป็น
แรงกดดันต่อความมั่นใจของนักลงทุนอยู่ ดังนั้นตลาดจึงมีโอกาสที่จะขยับขึ้นสลับกับการ
แกว่งตัวผันผวนเป็นระยะๆ ขณะที่เมื่อวานนี้ SET ก็ขยับขึ้นมาทำจุดสูงสุดในกรอบแนวต้าน
ทางเทคนิคที่ 970-980 จุดและมีแรงขายให้เห็นในระหว่างวันด้วย ส่วนตลาดหุ้นต่างประเทศ
เช้านี้ส่วนใหญ่ก็อยู่ระหว่างการปรับพักฐาน ทำให้ FSS ยังคาดว่าแนวโน้มที่ SET จะมีการ
แกว่งพักตัวตามมาหลังการขยับขึ้นในแต่ละรอบยังเป็นไปได้ ดังนั้นเราจึงยังแนะนำให้แบ่ง
ส่วนขายทำกำไรบ้างเมื่อตลาดขยับขึ้น โดยช่วงนี้ยังต้องระวังการไหลย้อนลงจากบริเวณ
970-980 จุดเพื่อย้อนลงไปแถว 960 จุดหรือต่ำกว่าไว้ด้วย
กลยุทธ์: แนะนำให้แบ่งส่วนขายทำกำไรบ้างเมื่อตลาดขยับขึ้น และจังหวะเลือกหุ้นเข้ารับ
ยังน่ารอเมื่อตลาดปรับตัวลง โดยหุ้นที่ยังน่าสนใจและราคาต่ำกว่าราคาตามพื้นฐานมากๆ
ได้แก่ SIRI, LPN, BCP, IRPC, GLOW, KCE, TASCO, HANA, GFPT, AMATA, PTTEP,
DTAC, SPALI, DELTA, VNG, ADVANC, TTCL, CPALL, PS, GLOBAL, TTW และ PTTAR
เป็นต้น
ประเด็นสำคัญวันนี้
• (0) BAY คาดกำไรใน 3Q10 +2.7% Q-Q แต่ลดลง -5.1% Y-Y BAY อยู่ใน
ระหว่างการควบรวมบริษัทในเครือเป็นหนึ่งเดียวซึ่งจะเสร็จสมบูรณ์ทุกอย่างใน ~1Q12
ระหว่างนี้ค่าใช้จ่ายจึงสูงกว่าปกติ รวมทั้งนโยบายการตั้งสำรองหนี้สูญในระดับสูงราว
200bps ต่อสินเชื่อ ทำให้คาดว่ากำไรสุทธิในปี 2010 – 2011 ขยายตัวเพียง 3% ต่อปี
เราประเมินราคาเป้าหมาย 27 บาท ลดคำแนะนำจากเดิมซื้อเป็นถือ เพราะราคาหุ้นที่
ขยับขึ้นมาทำให้ upside แคบลงเป็นเพียง 9% แนะนำให้เปลี่ยนตัวเป็นเป็น SCB,
KBANK ที่มี PE ต่ำกว่า (PE~ 13 เท่า)
• (0) GSTEEL ลุ้นการประชุมเจ้าหนี้ 1 ต.ค. นี้ว่าจะยอมรับแผนการปรับโครงสร้างหนี้
หรือไม่ โดยบริษัทมีหุ้นกู้ที่จะครบกำหนด 4 ต.ค. นี้ US$170 ล้าน บริษัทจะขอลดหนี้
60% เหลือ US$68 ล้าน และขยายเวลาการชำระออกไปอีก 5 ปีเป็น 4 ต.ค. 2558 และ
ขอลดดอกเบี้ยจาก 10.5% เหลือ 1% เราคิดว่าน่าจะมีโอกาสมากกว่าที่เจ้าหนี้จะแปลง
หุ้นกู้เป็นทุน เพราะเจ้าหนี้จะเสียหายมากกว่าหากเลือกทางเลือกอื่น (ถ้าขายหุ้นกู้ทิ้ง
ราคาตลาดต่ำมากเพียง US$0.3 ต่อหน่วย) หากแปลงสภาพ ต้นทุนจะอยู่ที่ 1.4 – 1.5
บาท/หุ้น ส่วนผู้ถือหุ้นเดิมถูก dilute 23% เราไม่แนะนำหุ้น GSTEEL แม้ว่าแผนจะผ่าน
แต่ก็มีหุ้นตัวอื่นที่น่าสนใจกว่ามากเช่น DCC, TASCO, NWR, SYNTEC, SEAFCO
• Fund Flow วานนี้ไหลเข้าตลาดหุ้นภูมิภาคมากกว่า 2 วันที่ผ่านมา และเป็นซื้อสุทธิ 15
วันติดต่อกัน ทั้งนี้เป็นเพราะการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐส่วนใหญ่บ่งชี้ว่า
เศรษฐกิจสหรัฐยังอ่อนแอทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่คาดว่าเฟดอาจจะอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่
ระบบรอบ 2 โดยมาตรการแรกที่นักลงทุนคาดกันว่าเฟดอาจะเข้าซื้อพันธบัตรเพิ่มอีกกว่า
1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะส่งผลให้ราคาพันธบัตรสหรัฐปรับขึ้นแต่อัตรา
ผลตอบแทนจะต่ำลงและยังเป็นตัวกดดันให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายไม่สามารถปรับขึ้นได้
อีกนาน หากเป็นเช่นนี้ต่อไปก็จะส่งผลให้เกิดกระแสเงินทุนไหลเข้าประเทศที่มีอัตรา
ดอกเบี้ยที่สูงกว่าซึ่งก็คือเอเชียที่มีภาวะเศรษฐกิจที่เติบโตแข็งแกร่งที่สุดในโลก ดังนั้น
แนวโน้มกระแสเงินทุนต่างชาติจะยังคงไหลเข้าต่อเนื่องเช่นเดิมจนกว่าเศรษฐกิจสหรัฐ
จะฟื้นตัวอย่างชัดเจน ขณะเดียวกันค่าเงินยูโรที่แข็งค่าจะส่งผลให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์
ปรับตัวสูงขึ้น ส่วนค่าเงินเอเชียและค่าเงินบาทก็ยังมีแนวโน้มแข็งค่าและทำสถิติใหม่
ต่อเนื่องเช่นกัน อย่างไรก็ตามเนื่องจากดัชนีตลาดหุ้นทำสถิติใหม่ต่อเนื่อง กลยุทธ์การ
เก็งกำไรช่วงนี้น่าจะเป็น Sell into Strength และ Buy on Weakness เพราะยิ่งสูงก็ยิ่ง
หนาวนั่นเอง

ข่าวภายในประเทศ
สภาผู้แทนฯ ไม่เห็นด้วยกับกรณีวุฒิสภาแก้ไขเพิ่มเติมร่างพ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ มีมติให้ตั้งคณะกรรมาธิการร่วม 2 สภาการประชุมสภาผู้แทนฯ วานนี้ (29 ก.ย.10) มีวาระสำคัญ คือการพิจารณากรณีที่วุฒิสภาแก้ไขเพิ่มเติมร่างพ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม ผลการลงมติปรากฏว่า ที่ประชุมมีมติเป็นเอกฉันท์ 296 เสียง ไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขเพิ่มเติมของวุฒิสภา เพราะเห็นว่าวุฒิสภาแก้ไขเกินความจำเป็น เช่น การเพิ่มจำนวนคณะกรรมการกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. จากเดิม 11 เป็น 15 คน และมีการเพิ่มสัดส่วนผู้เชียวชาญด้านความมั่นคงร่วมเป็นกรรมการกสทช. กรณีการเพิ่มอายุผู้ดำรงตำแหน่งจากเดิม 65 ปี เป็น 70 ปี จากนั้นที่ประชุมได้มีมติให้ตั้งคณะกรรมาธิการร่วม 2 สภา จำนวน 22 คน ขึ้นมาพิจารณาแก้ไขปรับปรุงร่วมกันอีกครั้ง แบ่งสัดส่วนเป็น ส.ส. 11 คน และ ส.ว. 11 คน โดยไม่ได้กำหนดกรอบระยะเวลาการพิจารณา (Source – กรมประชาสัมพันธ์) ความเห็น: การต้องตั้งกรรมาธิการร่วมจาก 2 สภาขึ้นมาพิจารณาแก้ไขปรับปรุงร่วมกันอีกครั้งร่างพ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ
น่าจะเป็นสิ่งที่ตลาดคาดไว้บ้างแล้ว แต่ยังไม่ถึงกับเพิ่มความเป็นไปได้อย่างมีนัยฯ ว่าพ.ร.บ.ดังกล่าวจะล่าช้าโดยผ่านสภาฯ ไม่ทันภายในสิ้นปีนี้ตามที่รัฐบาลมุ่งหวัง อย่างไรก็ตาม คงคาดว่าแม้พ.ร.บ.จะมีผลบังคับใช้ภายในสิ้นปี และมีการจัดตั้งกสทช.ภายในกลาง 2H11 แต่จากขั้นตอนต่อไปต่างๆ คาดว่ากว่าจะมีการประมูล 3G ภายใต้การดำเนินการของกสทช.ต้องใช้เวลาจากนี้อีก 1-3 ปี คำแนะนำ: เรายังคงประเมินราคาเป้าหมายของหุ้นกลุ่มมือถือภายใต้สัมปทานปัจจุบัน 2G โดยคงน้ำหนักการลงทุนกลุ่ม “Neutral” คำแนะนำรายตัว ราคาหุ้น ADVANC ที่ rebound ขึ้นมารับคาดการณ์ปันผลพิเศษ รวมคิดเป็น Dividend yield ระดับ 10.8% ปัจจุบันราคาหุ้นมีส่วนลด 7.4% จากราคาเป้าหมายเดิมที่ 102 บาท คำแนะนำจากเดิม “ซื้อ เป็น “ซื้อเมื่อราคาหุ้นอ่อนตัว” หรือ “ถือ” ส่วน DTAC ราคาหุ้นยังมีส่วนลด 12.6% จากเป้าหมาย 47 บาท คง Rating “BUY”
GSTEEL นัดชี้ชะตาศุกร์นี้ ปรับหนี้ 170 ล้านเหรียญ GSTEEL ผู้ถือหุ้นไฟเขียวเพิ่มทุน 5.1 พันล้านหุ้น รองรับเจ้าหนี้หุ้นกู้แปลงหนี้เป็นทุน ลุ้นเจ้าหนี้ยอมรับเงื่อนไขปรับโครงสร้างหนี้ 1 ต.ค.นี้ เพื่อลดหนี้จาก 170 ล้านเหรียญ เหลือ 68 ล้านเหรียญ ขยายระยะเวลาคืนหนี้อีก 5 ปี ลดดอกเบี้ยจาก 10.5% เหลือ 1% (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 30-09-2010)
SAT กินรวบอีโคคาร์ Q3 รายได้ 1.5 พันล้าน SAT กินรวบงานอีโคคาร์ คว้าเพิ่มอีก 3 เจ้า มิตซูบิชิ ซูซูกิ โตโยต้า เข้าคิวรออเดอร์งาน ด้าน"วีระยุทธ" ลั่นขณะนี้มีอีโคคาร์อยู่ในมือแล้ว ถึง 5 เจ้า พร้อมการันตีงบไตรมาส 3 ยอดขายเกิน 1,500 ล้านบาท ขานรับอุตสาหกรรมขาขึ้น หนุนยอดขายรวมทั้งปีโต 45% ตามเป้าแน่ (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 30-09-2010)
SAMTEL-AIT แจ่มรับ 3G SAMTEL-JTS-LOXLEY-AIT อ้าแขนรับข่าวดี ครม.ไฟเขียวขยายเน็ตเวิร์ก 3 จีทั่วประเทศ โบรกฯประสานเสียงเชียรซื้อเชื่อได้ดีพร้อมกันถ้วนหน้า บอร์ด กทช. ลงมติให้ส่งหนังสือถามความคืบหน้า หลังทีโอที-กสทฯขออัพเกรดคลื่นความถี่เป็น HSPA (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 30-09-2010)
TICON ปีหน้ารายได้เกิน 3 พันล้าน ทุ่ม 2 พันล้านขยายทีพาร์ค-สร้างโรงงาน-แวร์เฮาส์ "ไทคอน" ลั่นปีหน้ารายได้สูงกว่าปีนี้ที่คาดทำได้ตามเป้า 3,000 ล้านบาท รับอานิสงส์ชิ้นส่วนยานยนต์-อิเล็กฯขยายการลงทุนเพิ่ม พร้อมทุ่มงบกว่า 2,000 ล้านบาท ขยายโลจิสติกส์พาร์คเพิ่มอีก 1แห่ง และก่อสร้างโรงงาน-แวร์เฮาส์เพิ่มกว่า 130,000 ตารางเมตร ขณะที่ปีหน้าเล็งเพิ่มทุน TFUND-TLOGIS มูลค่ารวม 2,000 ล้านบาท ส่วนการขายหน่วยลงทุน TFUND มูลค่า 1,715 ล้านบาท ระหว่างวันที่ 4-8 ต.ค. คาดขายเกลี้ยง เหตุราคาขายต่ำกว่าราคาตลาด (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 30-09-2010)
SIRI เพิ่มยอดขาย 2.5 หมื่นล้าน Q4 ยอดขายพุ่ง 9 พันล้าน รุกตลาดต่ำกว่า 3 ล้านบาท "แสนสิริ" เพิ่มเป้ายอดขายที่ดินปีนี้แตะ 2.4-2.5หมื่นล้านบาท หลังไตรมาส 3 ยอดขายพุ่งทำนิวไฮ 6.8 พันล้านบาท ดันยอดขาย 9 เดือนปีนี้ทะลัก 1.6 หมื่นล้านบาท แถม Q4 ไตรมาสเดียวคาดทำยอดขายสูงถึง 9 พันล้านบาท รับอานิสงส์ลงบุกตลาดบ้าน-คอนโดฯต่ำกว่า 3 ล้านบาท พร้อมเพิ่มงบซื้อที่ดินปีนี้เป็น 1 หมื่นล้านบาท จากเดิม 7พันล้านบาท ขณะที่ 8-10 ต.ค.นี้ จัดงาน "Sansiri Iconic Living" ตั้งเป้ายอดขายในงาน 5.5 พันล้านบาท (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 30-09-2010)
MODERN งานล้นไตรมาส 3 พุ่ง 51% ปีนี้ทุบสถิติกำไร 400 ล้าน เชียร์ซื้อเป้าหมาย 64 บาท MODERN ลุ้นกำไรไตรมาส 3/53 พุ่ง51.2% แตะ 95 ล้านบาท จากปริมาณงานในมือสูงกว่า 1,000 ล้านบาท เชื่อกำไรไตรมาส 4/53 โตต่อเนื่องหนุนกำไรปีนี้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง400 ล้านบาท ส่วนเงินปันผลระหว่างกาล 2.50 บาท ดิวิเดนด์ยีลด์สูงถึง 4.9% คาดทั้งปีจ่าย 4.75 บาท (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 30-09-2010)
----------------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ตปท.

ข่าวต่างประเทศ
สหรัฐอเมริกา: ดอลล์ร่วงหนัก จากกระแสคาดเฟดเล็งใช้มาตรการ QE ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐยังคงร่วงลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (29 ก.ย.) เนื่องจากนักลงทุนคาดการณ์ว่าภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนแอของสหรัฐจะทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (Quantitative Easing) หรือ QE ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวจะยิ่งฉุดดอลลาร์ให้ร่วงลงอีก (ที่มา:อินโฟเควสท์ 30-09-2010)
จีน: แบงก์ชาติจีนยันใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายปานกลางต่อไป พร้อมปล่อยหยวนยืดหยุ่นมากขึ้น ธนาคารกลางจีนเปิดเผยในวันนี้ (29 ก.ย.) ผ่านแถลงการณ์ทางเว็บไซต์ว่า จีนจะใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายปานกลางต่อไป ในขณะเดียวกันก็จะทำให้นโยบายมีความยืดหยุ่นและตรงจุดมากขึ้น สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า นอกจากนี้ แบงก์ชาติจีนยังให้คำมั่นว่าจะเดินหน้าปรับปรุงกลไกอัตราแลกเปลี่ยนเงินหยวนให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้นด้วย (ที่มา: อินโฟเควสท์ 29-09-2010)
เอเชีย: เกาหลีใต้เผยยยอดเกินดุลบัญชีเดินสะพัดเดือนส.ค.อ่อนตัวลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 4 เดือน ธนาคารกลางเกาหลีใต้เปิดเผยว่าเกาหลีใต้มียอดเกินดุลบัญชีเดินสะพัดอ่อนตัวลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 4 เดือน เนื่องจากมูลค่าการส่งออกสินค้าที่ร่วงลง โดยยอดเกินดุลเดือนส.ค.ของเกาหลีใต้อยู่ที่ 2.07 พันล้านดอลลาร์ ลดลงจากระดับที่ได้มีการทบทวนไว้เมื่อเดือนก.ค.ที่ 5.82 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่ปริมาณการค้าที่สูงขึ้นได้ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจเกาหลีใต้ รวมทั้งการที่ธนาคารกลางเกาหลีใต้ยังไม่ขึ้นดอกเบี้ยก็มีส่วนช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจด้วยเช่นกัน แบงค์ชาติเกาหลีใต้ได้คงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 2.25% เมื่อเดือนส.ค.และก.ย. หลังจากที่ได้ขึ้นดอกเบี้ยไป 0.25% ในเดือนก.ค. จากระดับต่ำเป็นประวัติการณ์ที่2% โดยเศรษฐกิจเกาหลีใต้ขยายตัว 7.6% ในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ ซึ่งถือเป็นสถิติการขยายตัวที่รวดเร็วที่สุดในรอบ 10 ปี (ที่มา: อินโฟเควสท์29-09-2010)
เอเชีย: เวียดนามคาดยอดค้าปลีกทะยาน 25.4% ในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ สำนักงานสถิติแห่งชาติของเวียดนามคาดการณ์ว่า ยอดค้าปลีกจะขยายตัว 25.4% เมื่อเทียบรายปี แตะที่ 1,146 ล้านล้านดอง (5.884 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ สำหรับเดือนกันยายนเดือนเดียว เวียดนามคาดว่ายอดค้าปลีกจะอยู่ที่ราว 134.88 ล้านล้านดอง (6.92 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ยอดค้าปลีกในภาคการค้าคาดว่าจะขยายตัวมากเป็นประวัติการณ์เมื่อเทียบรายปีที่ 26.4% แตะที่ 905.1 ล้านล้านดอง (4.646 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้(ที่มา: อินโฟเควสท์ 29-09-2010)
เอเชีย: เวียดนามคาด FDI 9 เดือนแรกแตะ $1.2 หมื่นล้าน หวั่นพลาดเป้าทั้งปี กระทรวงการวางแผนและการลงทุนของเวียดนามคาดว่าเวียดนามสามารถดึงดูดเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ได้ 1.219 หมื่นล้านดอลลาร์ ในช่วงเดือนม.ค.-ก.ย.ปีนี้ ลดลง 12.7% จากปีที่แล้ว ขณะที่ในช่วง 9 เดือนแรก ได้มีการอนุมัติโครงการใหม่ 720 โครงการ คิดเป็นมูลค่า 1.14 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 23.50% ในแง่ของจำนวนโครงการ และพุ่งขึ้น 48.05% ในแง่ของมูลค่า เมื่อเทียบเป็นรายปี และตั้งแต่ต้นปีจนถึงตอนนี้ มูลค่าเงินลงทุนที่เข้ามาดำเนินการจริง (FDIdisbursement) อยู่ที่ 8.05 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 4.8% จากปีก่อน (ที่มา: อินโฟเควสท์ 29-09-2010)
----------------------------------------------------------------------------------

Code 166 : พลังงานกับแบงค์ มาอีกแล้ว

วันพุธที่ 29 กันยายน 2553

ATT Code : พลังงานกับแบงค์ มาอีกแล้ว
วันนี้ SET ปิด +10.38 จุด ที่ระดับ 969.65จุด ด้วยมูล่ค่าการซื้อขาย 4.3 หมื่นล้าน โดยกลุ่มแบงค์และกลุ่มพลังงานเป็นต้วดันตลาดให้บวกขึ้นมาได้มาก โดยยืนเหนือแนวต้าน BB top ที่ 965 ได้ ทำให้ในวันพร่งนี้ก็มีสิทธ์ที่จะฝ่าน 970 ได้อย่างไม่ยาก แต่จะยืนได้หรือป่าวนั้น ก็ต้องดูตลาดเพื่อนบ้านด้วย ซื่งตอนเย็นนี้ ยุโรปเปิดมาก็ติดลบอยู่ประมาณ 0.40% และ Future Downjones -29 จุด SET อาจจะมีผันการผันผวนได้บ้างในวันพรุ่งนี้

----------------------------------------------------------------------------------
MARKET WAVE Analysis
29 กย. 53 (-3.20 จุด) โกมล พงศ์วิญญู เลขทะเบียน 18338

ไม่ต่ำกว่า 954.16 ขึ้น 963 - 965 จุด
แนวโน้มในวันพุธนี้ตราบใด ไม่ต่ำกว่า954.16 จุดต่ำสุดของวันอังคาร ดัชนีมีโอกาสปรับตัวกลับขึ้นไปแถว 963 – 965 ใกล้จุดสูงสุดของวันอังคารอีกครั้ง และ ตลาดอาจจะใช้ระยะเวลาอีกสักพักย่ำฐานในกรอบ 655 – 965หรือประมาณจุดต่ำสุด ถึงจุดสูงสุดของวันอังคาร

จากนั้นการปรับตัวขึ้น เกิน 965.88จุดสูงสุดของวันอังคารได้ ดัชนีจะมีเป้าหมายระยะสัปดาห์แถว 989 - 994 จุด ต่อไป( ขณะเดียวกันการปรับตัวลง ต่ำกว่า954.16 จะทำให้ดัชนีมีโอกาสปรับตัวลงต่อแถว945 – 948 จุด )

หุ้นเด่น
10 อันดับซื้อขายสูงสุด
TRUE ต่ำกว่า 4.96 ลง 4 – 4.10
BANPU มีโอกาสปรับฐาน 674 - 690
TMB ปรับตัวลง 2.38 - 2.42
ITD ต่ำกว่า 4.88 ลง 4.60 – 4.70
PTTEP ต่ำกว่า 148.50 ลง 146 - 148
PTT แกว่งตัว 288 - 297
SCB รายละอียดใน “หุ้นเด่น”
KTB ไม่ต่ำกว่า 15.50 ขึ้น 17.30 – 18.30
CPF ไม่เกิน 25.25 ลง 23.20 – 23.50
PTTCH ต่ำกว่า 126.50 ลง 120 - 124

KBANK
กำลังปรับตัวในกรอบสามเหลี่ยม ภาพระยะชั่วโมง ทยอยซื้อแถว 113.00 – 114.00 หรือซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 115.00 กรอบบนของสามเหลี่ยม เป้าหมายสองสามวัน 121.00 –125.00( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 112.00 )

SCB
ปรับตัวทะลุกรอบสามเหลี่ยม ภาพระยะชั่วโมงขึ้นมาได้ ทยอยซื้อแถว 101.00 –102.00 หรือซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 102.50
จุดสูงสุดวันอังคาร เป้าหมายสองสามวัน105.00 – 109.00( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 100.00 )

BBL
กำลังปรับตัวในกรอบสามเหลี่ยม ภาพระยะชั่วโมง ทยอยซื้อแถว 153.00 – 154.00 หรือซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 155.50 กรอบบนของสามเหลี่ยม เป้าหมายสองสามวัน 159.50 - 163.50(ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 152.00)

Intraday - TOP , KTB
TOP
กำลังปรับตัวในกรอบสามเหลี่ยม ภาพระยะวัน รอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 51.50 กรอบบนของสามเหลี่ยม เป้าหมายสองสามวัน 57.00 – 59.00(ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 50.00)

KTB
กำลังปรับตัวในกรอบสามเหลี่ยม ภาพระยะชั่วโมง ทยอยซื้อแถว 16.10 – 16.30 หรือซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 16.50 กรอบบนของสามเหลี่ยม เป้าหมายสองสามวัน 17.10 – 17.60(ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 16.00 )

SET ไม่ต่ำกว่า 959 เส้น 25 ชม.ดัชนีน่าขึ้นต่อถึง 993 จุด ในสัปดาห์นี้

----------------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย
FSS : ยังไม่ผ่าน 964-966 จุดขึ้นไปก็ยังรอรับต่ำได้ นอกจากผ่านขึ้นถึงจะลุ้นตามต่อ
แนวโน้ม: เมื่อวานนี้ SET เริ่มมีแรงขายกดดันให้ปรับตัวลงมาเคลื่อนไหวเป็นลบ โดยเป็นการแกว่งลงตามสภาพตลาดหุ้นทั่วโลก ซึ่งนักลงทุนบางส่วนยังคงกังวลต่อปัญหาการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐและยุโรปอยู่ อย่างไรก็ตามภาวะเศรษฐกิจของเอเชีย รวมทั้งไทยเราต้องถือว่ายังดีต่อเนื่อง โดยล่าสุด ADB ปรับเป้าคาดการณ์จีดีพีของไทยและเอเชียในปี 53นี้ขึ้น ถือเป็นการตอกย้ำมุมมองดังกล่าวได้ดี ขณะที่นักลงทุนต่างประเทศก็ยังคงมียอดซื้อสุทธิในบ้านเราหนาตาต่อเนื่อง โดยค่าเงินบาทก็กลับมาเริ่มแข็งค่าอีกครั้ง นอกจากนี้การเข้ามาเลือกซื้อหุ้นเพื่อเก็งกำไรผลการดำเนินงานไตรมาส 3/53 ที่กำลังจะปิดงวดในสัปดาห์นี้ ก็เป็นอีกปัจจัยที่คาดว่าจะทำให้ SET ยังสามารถแกว่งกลับขึ้นไปใหม่ได้ในที่สุด ดังนั้น FSSยังมองว่าจังหวะการแกว่งตัวผันผวนของ SET โดยเฉพาะการปรับตัวลงมาเคลื่อนไหวเป็นลบนั้น ยังเป็นจังหวะของการเลือกหุ้นเข้ารับ เพื่อถือรอการแกว่งขึ้นต่อเนื่องของตลาดได้อยู่เช่นเดิม โดยเป้าหมายของ SET ในรอบถัดจากนี้เรายังมองไว้แถว 980 จุด
กลยุทธ์: จึงยังแนะนำให้เลือกหุ้นเข้ารับได้เมื่อตลาดปรับตัวลง และเน้นถือเพื่อรอขายเมื่อดัชนีสามารถดีดกลับขึ้นอีกครั้ง โดยอาจแบ่งส่วนขายทำกำไรในหุ้นที่ราคาขยับขึ้นมาแรงมากบ้างก็ได้ เช่น หุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง , กลุ่มสื่อสาร และกลุ่มแบงก์บางตัว เป็นต้น ส่วนหุ้นที่ยังน่าสนใจและราคาต่ำกว่าราคาตามพื้นฐานมากๆ ได้แก่ SIRI, LPN, BCP, IRPC,GLOW, KCE, TASCO, HANA, GFPT, AMATA, PTTEP, DTAC, SPALI, DELTA, VNG,ADVANC, TTCL, CPALL, PS, GLOBAL, TTW และ PTTAR เป็นต้น
ประเด็นสำคัญวันนี้
• (+) ADB ปรับเป้าคาดการณ์ GDP ไทยปี 53 เป็นโต 7% จากเดิม 4% ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย(เอดีบี) ปรับคาดการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ(GDP)ของไทยในปี 53 เพิ่มเป็น 7% สูงจากเดิมในครั้งแรกที่คาดไว้ในระดับ 4% เนื่องจาก
มองว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวอย่างแข็งแกร่งในช่วงครึ่งปีหลังต่อเนื่องจากครึ่งปีแรกเช่นเดียวกับเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียที่เอดีบีได้ปรับคาดการณ์ GDP ของภูมิภาคเอเชียในปีนี้มาที่ 8.2% จากเดิม 7.5% ซึ่งสูงกว่าปี 52 ที่เติบโต 5.4%การปรับเพิ่มคาดการณ์อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจในเอเชียครั้งนี้ ครอบคลุมถึง 44 ประเทศกำลังพัฒนาและกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมเกิดใหม่ในเอเชีย แต่ไม่นับรวมญี่ปุ่น โดยคาดอัตราเงินเฟ้อของเอเชียอยู่ที่ 4.1% ในปีนี้ และจะชะลอลงเป็น 3.9% ในปีหน้า แต่มองว่าเป็นระดับที่แบงก์กลางของทุกประเทศรับมือได้
• (+) ที่ประชุมครม.วานนี้ (28 ก.ย.) อนุมัติให้ "ทีโอที" ลงทุนแผนธุรกิจโครงสร้างโครงข่ายโทรศัพท์ระบบ 3G วงเงินราว 1.9 หมื่นลบ. เป็นโอกาสต่อSAMTEL JTS LOXLEY AIT ในการเข้าร่วมประมูลงาน คาดว่าใช้ระยะเวลาโครงการติดตั้ง 2 ปี จากสมมุติฐานเบื้องต้น (1) มูลค่าโครงการที่ 1.744 หมื่นล้านบาท (2)โอกาสได้งานของแต่ละบริษัทที่ 20% (3)คาดว่าใช้ระยะเวลาโครงการติดตั้ง 2 ปี (4)เริ่มรับรู้รายได้ในปี 11 ที่ 60% (5) Net margin ที่ 5% และ (6) อิง P/E ที่ 14 เท่า
SAMTEL – คาดมูลค่าเพิ่มจากโครงการ 2.40 บาท จากราคาเป้าหมายเดิมที่ 9.80 บาทเป็น 12.24 บาท , JTS - คาดมูลค่าเพิ่มจากโครงการ 2.10 บาท (ราคาปิดวันที่ 27 ก.ย.10 ที่ 1.94 บาท) , LOXLEY - คาดมูลค่าเพิ่มจากโครงการ 0.70 บาท จากราคาเป้าหมายเดิมที่ 2.20 บาท เป็น 2.93 บาท , AIT - คาดมูลค่าเพิ่มจากโครงการ 4.50บาท จากราคาเป้าหมายเดิมที่ 40 บาท เป็น 44.50 บาท อย่างไรก็ตาม ขอให้ใช้ความระมัดระวังในการเก็งกำไรมาก เนื่องจากการแข่งขันน่าจะค่อนข้างมาก และเป็นโครงการใหญ่ที่อาจกระทบต่อฐานะทางการเงินหากประมูลได้
• Fund Flow วานนี้ยังไหลเข้าตลาดหุ้นภูมิภาคและต่อเนื่อง 13 วันติดต่อกัน แต่ปริมาณเบาบางมาก และก็เป็นครั้งแรกที่เห็นนักลงทุนต่างชาติเข้าซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยมากที่สุดในภูมิภาค ทั้งนี้อาจเป็นเพราะตลอดระยะเวลาที่กระแสเงินทุนต่างชาติไหลเข้าได้
หนุนให้ดัชนีตลาดหุ้นในหลายประเทศทำสถิติสูงสุดกันต่อเนื่อง ทำให้นักลงทุนมองว่าแนวโน้มอัตราผลตอบแทนในอนาคตจะแคบลง ประกอบยังไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามากระทบตลาดเนื่องจากนักลงทุนส่วนใหญ่หรือกองทุนต่างประเทศกำลังจับตาดูว่าเฟดจะออกมาตรากระตุ้นเศรษฐกิจรอบที่ 2 เมื่อไร หลังจากการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐในช่วงที่ผ่านมาถือว่าออกมาค่อนข้างผสมผสานและเริ่มอ่อนแอ แต่อย่างไรก็ตามเนื่องจากยังมีตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญที่จะประกาศภายในสัปดาห์นี้เช่น ตัวเลขขอรับสวัสดิการของผู้ว่างงานและดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรม น่าจะเป็นตัวแปรสำคัญในการตัดสินใจของเฟดว่าจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหรือไม่ เรายังเชื่อว่ากระแสเงินทุนต่างชาติยังไหลเข้าต่อเนื่อง จากค่าเงินเอเชียและค่าเงินบาทที่ยังแข็งแกร่งในเช้านี้

ข่าวภายในประเทศ
เข้าทางปืนเอไอเอส 3G ทีโอที 2 หมื่นล้าน รวบ MVNO ทั่วประเทศ-TRUE วิ่งรับ HSPA กสทฯ ครม. ไฟเขียวทีโอทีลงทุน 3G 2 หมื่นล้านบาท เข้าทางปืน ADVANC "วิเชียร" ลุยเจรจาขอทำเอ็มวีเอ็นโอทั่วประเทศระบุตั้งบริษัทลูกในเครือขอไลเซนส์จาก กทช.เรียบร้อยแล้ว ขณะที่DTAC-TRUE อยู่เฉยไม่ได้อ้อน กสทฯ ไฟเขียว HSPA ทำตลาดจริงจังเชิงพาณิชย์ "จุติ" ลั่น 6 เดือนคนไทยได้ใช้ 3 จีแน่ (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 29-09-2010)
ปตท.ขาดทุน NGV 2 หมื่นล้าน ปตท. โอดขณะนี้แบกรับภาระขายขาดทุนเอ็นจีวีกว่า 2 หมื่นล้านบาท ความต้องการใช้ก๊าซ 4,000 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน มั่นใจเตรียมรับใบอนุญาตเดินเครื่องโรงแยกก๊าซ 6 ก่อนสิ้นเดือนก.ย.นี้ ยันการประท้วงปิดมาบตาพุดสิ้นเดือนนี้ไม่กระทบการดำเนินงาน(ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 29-09-2010)
QLT จ่อคว้าอีก140 ล้าน งานท่อก๊าซปตท.เส้น 4 QLT บุกตลาดต่างประเทศมากขึ้น จับตาคว้างานใหม่ในพม่า เร่งหาพันธมิตรท้องถิ่นร่วมทุนจัดตั้งบริษัทย่อย ลุ้นผลประมูลงานท่อก๊าซเส้น 4 ปตท. มูลค่า 140 ล้านบาทภายในไตรมาส 4 คาดรายได้ปีนี้ใกล้เคียงปีก่อน 279.71 ล้านบาทอัตรากำไรขั้นต้นเติบโต 16% ปีหน้าโตไม่ต่ำกว่า 20% (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 29-09-2010)
TCAP จ่ายปันผล 0.50 บ. Q3 จ่อฟันกำไร 1.4 พันล. TCAP จ่ายปันผลระหว่างกาลอัตราหุ้นละ 0.50 บ. ดีเดย์ 26 ต.ค.นี้ คาดรวมทั้งปี 1.50บาท โบรกฯคาดกำไรสุทธิไตรมาส 3/53 อยู่ที่ 1.4 พันล้านบาท ส่วนทั้งปี 5.5 พันล้านบาท เพิ่มจากปีก่อนที่ทำได้ 5.1 พันล้านบาท (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 29-09-2010)
CEN ฮุบ 3 พันล้านโรงไฟฟ้าสระบุรีรอเซ็นสัปดาห์นี้ CEN เซ็นงานโรงไฟฟ้าสระบุรีมูลค่า 3,000 ล้านบาทสัปดาห์นี้ จ่อยื่นประมูลงานใหม่ 2-3โครงการช่วงครึ่งหลังคาดฟันรายได้ 2,000 ล้านบาทตามเป้า ขณะที่ล่าสุดบริษัทลูก “เอื้อวิทยา” คว้างานเสาไฟฟ้าแรงสูงของ กฟผ. มูลค่า 1,000ล้านบาท (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 29-09-2010)
MAJOR กำไรไตรมาส 3 สุดหรู ทะยานแตะ200ล้าน คนดูหนังแน่น-โฆษณาทะลัก MAJOR ลุ้นกำไรไตรมาส 3 แตะ 200 ล้านบาท คนดูหนังแน่น เม็ดเงินโฆษณาไหลเข้า ด้านวงการชี้ไตรมาส 4 ทีเด็ด หนังฟอร์มใหญ่วิ่งเข้าฉายเพียบ ชี้ทิศทางธุรกิจขาขึ้น เชื่อรายได้ทั้งปีเกิน 6,000 ล้านบาท ขณะที่กำไรโตทะลุ 600 ล้านบาท ราคาหุ้นถูก อัพไซด์เหลือเพียบ (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 29-09-2010)
CPN มั่นใจรายได้ปีนี้โต 10% Q4 รับรู้เซ็นทรัลเวิลด์ 300 ล้าน CPN ลั่นรายได้ปีนี้โต 10% ไตรมาส 4/53 คาดรับรู้รายได้จากเซ็นทรัลเวิลด์200-300 ล้านบาท จากการเปิดให้บริการ 80% ของพื้นที่ ก่อนจะเปิดเต็มรูปแบบเดือน ธ.ค.นี้ ส่วนรายได้ปี 2554 โตอย่างน้อย 10% หวังรับรู้รายได้จากเซ็นทรัลเวิลด์เต็มปี แม้จะมีการปิดปรับปรุงเซ็นทรัลลาดพร้าวกลางเดือน ก.พ. 54 (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 29-09-2010)
SENA ลั่น Q4 รายได้นิวไฮรอบปี ได้แรงหนุนโอน 3 คอนโด ปีนี้ตามนัด 1.5 พันล้าน "SENA" ลั่น Q4 รายได้ทะลัก 500 ล้านบาท ทำนิวไฮสูงสุดของปีนี้ รับอานิสงส์โอนคอนโดฯ 3 แห่ง ย่านลาดพร้าว 130-ห้วยขวาง-แจ้งวัฒนะ" ทั้งปีมั่นใจรายได้ตามเป้า 1,500 ล้านบาท ยอดขายปีนี้ตามนัด 1,700 ล้านบาท เหตุ Q4 จ่อเปิดเพิ่ม 2 โครงการใหม่ มูลค่า 900 ล้านบาท ส่วนปีหน้าตั้งเป้ารายได้โต 20% ลุยซื้อสนามกอล์ฟพัทยาคันทรีคลับฯ สรุป Q1 ปีหน้า หวังเพิ่มรายได้ค่าเช่า ล่าสุดจับมือ SCIB จัดแคมเปญใหม่ "ผ่อนหมดไว เสนาจ่ายให้ 100 งวด (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 29-09-2010)
----------------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ตปท.
ข่าวต่างประเทศ
ยุโรป: ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเยอรมนีเดือนต.ค.พุ่ง หลังผู้บริโภคหวังตลาดแรงงานฟื้น สถาบันวิจัย GfK เผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเยอรมนีปรับตัวสูงขึ้นอย่างแข็งแกร่ง ท่ามกลางมุมมองที่เป็นบวกเกี่ยวกับตลาดแรงงานและการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของเยอรมนี ซึ่งเป็นประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในยุโรป ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนต.ค.เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 4.9 จุด จากระดับที่มีการปรับทบทวนในเดือนก.ย.ที่ 4.3 จุด(ที่มา: อินโฟเควสท์ 28-09-2010)
สหรัฐอเมริกา: ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐเดือนก.ย.ร่วงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 7 เดือน คอนเฟอเรนซ์ บอร์ด ซึ่งเป็นองค์กรวิจัยเอกชนของสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสหรัฐเดือนก.ย.ร่วงลงสู่ระดับ 48.5 จุด ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 7 เดือน จากเดือนส.ค.ที่ระดับ 53.2 จุด เนื่องจากตลาดแรงงานและภาวะการลงทุนในภาคธุรกิจซบเซาลง โดยก่อนหน้านี้นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนก.ย.จะเคลื่อนไหวอยู่ที่ 52.5 จุด (ที่มา: อินโฟเควสท์ 29-09-2010)
สหรัฐอเมริกา: สหรัฐเผยดัชนีราคาบ้านใน 20 เขตเมืองลดลง 0.1% เดือนก.ค.หลังนโยบายลดหย่อนภาษีหมดอายุ สแตนดาร์ด แอนด์พัวร์/เคส ชิลเลอร์เปิดเผยว่า ดัชนีราคาบ้านใน 20 เขตเมืองของสหรัฐประจำเดือนก.ค. ลดลง 0.1% จากเดือนมิ.ย.ที่ปรับตัวขึ้น 0.2% สอดคล้องกับที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้ โดยปัจจัยที่ทำให้ราคาบ้านปรับตัวลดลงมาจากนโยบายลดหย่อนภาษีให้กับผู้ซื้อบ้านที่ได้หมดอายุลงเมื่อเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา หากเทียบเป็นรายปี ดัชนีราคาบ้านใน 20 เขตเมืองของสหรัฐประจำเดือนก.ค.เพิ่มขึ้น 3.2% (ที่มา: อินโฟเควสท์ 29-09-2010)
จีน: จีนเผยมูลค่าเพิ่มภาคอุตสาหกรรม 9 เดือนแรกในปีนี้มีแววพุ่งแตะ 16% ต่อปี มูลค่าเพิ่มในภาคอุตสาหกรรมของกลุ่มบริษัทของจีนที่มียอดขายรายปีสูงกว่า 5 ล้านหยวนมีแนวโน้มขยายตัวขึ้น 16% เมื่อเทียบเป็นรายปีในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปีนี้ ส่วนอัตราการขยายตัวตลอดทั้งปีมีแนวโน้มเคลื่อนไหวที่ระดับ 13-14% ซิน เกาปิน เจ้าหน้าที่จากกระทรวงอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศ (MIIT) ของจีนกล่าวในการประชุมที่จัดขึ้นในนครฉงชิ่งว่า ข้อมูลสถิติที่เผยแพร่โดยกระทรวง MIIT ระบุว่า มูลค่าเพิ่มของผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมในช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้ขยายตัว 16.6% เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งเพิ่มขึ้น 8.5% จากปีที่ผ่านมา (ที่มา: อินโฟเควสท์ 28-09-2010)
เอเชีย: ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกาหลีใต้เดือนก.ย.ร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 14 เดือน ธนาคารกลางเกาหลีใต้เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกาหลีใต้ในเดือนก.ย.ร่วงลงจากระดับเดือนส.ค. เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อ และอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของเกาหลีใต้ร่วงลงจากระดับ 110 จุดในเดือนส.ค. มาอยู่ที่ 109 จุดในเดือนก.ย. ซึ่งเป็นสถิติที่ต่ำที่สุดในรอบ 14 เดือน (ที่มา: อินโฟเควสท์ 28-09-2010)
----------------------------------------------------------------------------------

Code 165 : ย่อมาให้ตั้งรับ 950-955

วันอังคารที่ 28 กันยายน 2553

ATT Code : ย่อมาให้ตั้งรับ 950-955
วันนี้มีแรงขายในหุ้นกลุ่มที่เป็นหุ้นขนาดใหญ่เช่น Banpu SCC PTT PTTEP ทำให้กดกัน SET ลงมาปิด -3.20 จุด ที่ระดับ 959.27 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 4.1 หมื่นล้านบาท แต่กีการเก็งกำไรในกลุ่มสื่อสารเข้ามาเพราะที่ประชุมครม.วันนี้ (28 ก.ย.10) อนุมัติให้ "ทีโอที" ลงทุนแผนธุรกิจโครงสร้างโครงข่ายโทรศัพท์ระบบ 3G วงเงินราว 1.9 หมื่นลบ. เป็นโอกาสต่อ SAMTEL JTS LOXLEY AIT ในการเข้าร่วมประมูลงาน คาดว่าใช้ระยะเวลาโครงการติดตั้ง 2 ปี

----------------------------------------------------------------------------------
MARKET WAVE Analysis
28 ย. 53 ( +10.57 จุด) โกมล พงศ์วิญญู เลขทะเบียน 18338

ไม่น่าต่ำกว่า 943 – 948 จุด
แนวโน้มในวันอังคารนี้ กรณีปรับตัวลงดัชนีไม่น่าจะลงต่ำกว่า 943 – 948 จุด ซึ่งเป็นบริเวณแนวรับตามเครื่องมือ Point & Figure

ขณะเดียวกัน แนวโน้มหลักของตลาดยังคงเป็น “ขาขึ้น” มีเป้าหมายระยะสัปดาห์บริเวณ 981 - 995 จุด ในรูปแบบของ Zigzag
Waveและ เป้าหมายประมาณเดือน พย.บริเวณ 1040 – 1050 จุด หรือเท่ากับระยะทางนับจากจุดต่ำสุดวันที่ 9 มิย. ถึงจุดสูงสุดวันที่ 6สค. ในรูปแบบที่คาดว่าจะเป็น DoubleZigzag wave

KTB
ปรับตัวทะลุกรอบสามเหลี่ยม ภาพระยะวันขึ้นมาได้ ทยอยซื้อแถว 15.50 – 15.80 หรือซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 16.30 จุดสูงสุดวันจันทร์ เป้าหมายระยะสัปดาห์ 17.30 – 18.30( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 15.40 )

TRUE
กำลังปรับตัวในกรอบสามเหลี่ยม ภาพระยะชั่วโมง รอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 4.64 กรอบบนของสามเหลี่ยม เป้าหมายหนึ่งถึงสองวัน
5.00 – 5.15( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 4.50 )

หุ้นเด่น
10 อันดับซื้อขายสูงสุด
PTTEP เกิน 152 ขึ้น 153 – 155
PTT เกิน 295 ขึ้น 297 - 298
BANPU อาจปรับฐาน 674 - 690
BAY ไม่ต่ำกว่า 22.40 ขึ้น 25 – 27
KTB รายละอียดใน “หุ้นเด่น”
ITD เกิน 4.80 ขึ้น 4.90 - 5
SCB เกิน 100.50 ขึ้น 102 - 103
BBL เกิน 155.50 ขึ้น 156 – 157
TRUE รายละอียดใน “หุ้นเด่น”
ADVANC เกิน 94 ขึ้น 94.50 – 95.50

----------------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย
FSS : ถ้าตลาดผ่าน 964 จุดได้ก็ลุ้น 980 จุดต่อ..แต่ถ้ายังไม่ผ่านขึ้นก็น่ารอรับต่ำ!!

แนวโน้ม: ตลาดหุ้นต่างประเทศกลับมาเป็นปัจจัยกดดันต่อตลาดหุ้นไทยในเช้าวันนี้พอควรหลังนักลงทุนเริ่มขายทำกำไรบ้าง เพื่อรอดูตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐในรอบสัปดาห์นี้อีกครั้ง โดยเฉพาะตัวเลขคาดการณ์ จีดีพี ขั้นสุดท้ายของสหรัฐในคืนวันพฤหัส(30 ก.ย.) ที่จะถึงนี้ ขณะที่ SET ดีดตัวขึ้นมาประมาณ 5% ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาแล้วด้วย ทำให้มีโอกาสที่ SET จะเริ่มมีการแกว่งตัวพักฐานลงบ้างเช่นกัน อย่างไรก็ตามนักลงทุนต่างประเทศยังคงมียอดซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยในระดับค่อนข้างมากอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งเริ่มเข้าสู่ช่วงสุดท้ายก่อนปิดงบฯ รายไตรมาสของ บจ. ต่างๆ ซึ่งยังมีหลายบริษัทที่คาดว่าผลประกอบการไตรมาส 3/53 จะออกมาดีต่อเนื่อง รวมทั้งเช้านี้ยังมีประเด็นบวกจากหุ้นกลุ่มแบงก์ และหุ้นในกลุ่มสื่อสารมาช่วยหนุน ดังนั้น FSS จึงยังคาดว่า SET จะปรับพักตัวลงไม่ลึกมากนัก และยังมีโอกาสที่จะแกว่งกลับขึ้นไปใกล้ๆ 980 จุดได้ในที่สุด
กลยุทธ์: จึงยังแนะนำให้เลือกหุ้นเข้ารับได้เมื่อตลาดปรับตัวลง และเน้นถือเพื่อรอขายเมื่อดัชนีสามารถดีดกลับขึ้นอีกครั้ง โดยหุ้นที่ราคาตลาดยังต่ำกว่าราคาตามพื้นฐานมากๆ ได้แก่KCE, TASCO, SIRI, HANA, CK, GFPT, AMATA, PTTEP, DTAC, SCB, SPALI, BCP,DELTA, VNG, ADVANC, IRPC, GLOW, TTCL, CPALL, PS, GLOBAL, LPN, TTW และ
PTTAR เป็นต้น
ประเด็นสำคัญวันนี้
• (+) ก.คลังปรับเป้า GDP ปีนี้เป็น 7.5% ปีหน้ามีโอกาสเห็นค่าเงิน 29 บาท/ดอลลาร์ ก.คลังปรับเป้า GDP ปีนี้โต 7.5% จากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัว 5.5% และเศรษฐกิจในปี 2554 คาดว่าจะขยายตัวได้ 4.5% เหตุที่ปรับเป้าปีนี้เพราะครึ่งปีแรกขยายตัวได้ถึง 10.6% และคาดว่าไตรมาส 3 จะขยายได้ 6% Y-Y และไตรมาส 4 ขยายได้ 3.3% Y-Y ปัจจัยเสี่ยงคือค่าเงิน ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น 1% จะส่งผลกระทบต่อการส่งออก 0.4% และส่งผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ 0.3%
• (+) กลุ่มแบงก์ลดค่าธรรมเนียมน้อยกว่าคาด สมาคมแบงก์ได้ข้อสรุปเรื่องค่าธรรมเนียมโอน-ถอนเงินผ่านเค้าน์เตอร์และตู้ ATM เริ่มใช้ 1Q11 สำหรับธุรกรรมในธนาคารเดียวกัน และ 2Q11 สำหรับธุรกรรมต่างธนาคาร ซึ่งคุณชาติศิริระบุว่ารายได้ของแบงก์จะลดลงประมาณ 100 ล้านบาท/ราย/ปี ซึ่งดีกว่าเดิมมาก เพราะกระทบรายได้รวมเพียง 0.3% และกระทบกำไร 1.2% ขณะที่มาตรการที่คิดครั้งแรกกระทบกำไร 8% -10%
• (+) CPN ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์เปิดวันนี้ เปิด 6 ใน 7 โซน คือโซน B ถึง F พื้นที่เช่ารวม 1.11 ตรม. แนวโน้ม 3Q10 จะดีขึ้นจาก 2Q10 เล็กน้อยเพราะออฟฟิศเซ็นทรัลเวิลด์กลับมาจ่ายค่าเช่าได้ตามปกติ ส่วนเรื่องเงินประกันน่าจะสรุปได้ใน 4Q10 เราอยู่ระหว่างปรับเป้าหมายโดยอาจเพิ่มเป็น 32 – 34 บาท CPN มีศักยภาพในการเติบโตระยะยาว แต่ผลประกอบการที่ยังชะลอตัวอีก 2 ไตรมาสทำให้ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนซื้อหุ้นแนะนำซื้ออ่อนตัว
• (+) ศอฉ. ประชุมวันนี้ อาจยกเลิก พรก.ฉุกเฉินในบางพื้นที่เพิ่มเติม โดยเฉพาะทางภาคอีสาน ส่วนพื้นที่ในเขตกรุงเทพยังต้องประเมินสถานการณ์อีกครั้ง
• Fund Flow ยังไหลเข้าตลาดหุ้นภูมิภาคต่อเนื่องเป็นวันที่ 13 ติดต่อกัน เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่อ่อนแอ รวมถึงท่าทีของเฟดที่อาจจะใช้มาตรการในเชิงรุกในการจัดการกับปัญหาเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการกระตุ้นเศรษฐกิจให้เกิดการจ้างงานซึ่งเป็นโจทย์ที่รัฐบาลสหรัฐและเฟดยังไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้ ดังนั้นหากเฟดใส่เงินเข้าระบบมากขึ้นก็จะยิ่งมีเงินดอลลาร์ล้นโลก ในขณะที่เอเชียมีเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งก็จะดึงดูดเม็ดเงินกล่าวกว่าเข้าสู่ตลาดเอเชียอย่างหลีเลี่ยงไม่ได้เพราะเป็นตลาดที่ให้ผลตอบแทนมากกว่าและมั่นคงกว่า สำหรับค่าเงินเอเชียและค่าเงินบาทเช้านี้ก็ยังคงแข็งค่าต่อเนื่อง นั่นยังหมายความว่าแนวโน้มกระแสเงินทุนต่างชาติจะยังไหลเข้าตลาดหุ้นภูมิภาคต่อเนื่อง ดัชนีตลาดหุ้นภูมิภาคเอเชียส่วนใหญ่จะทำสถิติสูงสุดใหม่รวมถึงดัชนีตลาดหุ้นไทยด้วย ดังนั้นตลาดจะเกิดแรงเทขายทำกำไรเป็นระยะๆ แต่จะไม่ลงลึกเนื่องจากพื้นฐานเศรษฐกิจที่แข็งแรงและกระแสเงินทุนที่ไหลเข้าต่อเนื่องด้วย

ข่าวภายในประเทศ
KTB บุ๊ควายุภักษ์ 840 ล. ดันกำไร Q3 พุ่งขึ้น 11% โบรกชี้สินเชื่อโต 12% -อัพเป้าหมาย 19 บ. "กรุงไทย" (KTB) การันตีสินเชื่อปี' 53โตมากกว่า 10% หรือกว่า 1 แสนล้านบาทแน่ ด้านโบรกฯ มั่นใจสินเชื่อมีสิทธิทะลุ 12% ส่วนกำไรไตรมาส 3/53 เติบโต 11.5% หรือ 3.76พันล้านบาท หลังสินเชื่อขยายตัวโดดเด่น 9 เดือนปั๊มแล้ว 10.1% พ่วงปันผลวายุภักษ์ 840 ล้านบาท ส่วนผลตอบแทนจากเงินปันผลเฉลี่ย 4%ยังคงแนะนำ "ซื้อ" ราคาพื้นฐาน 19 บาท (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 28-09-2010)
AIS จ่ายปันผลพิเศษ เสนอบอร์ด ไฟเขียว ADVANC แจ่ม "วิเชียร" ส่งซิกจ่ายปันผลพิเศษ หลัง 3G ล่มเงินเหลือล้นมือ เตรียมเสนอบอร์ดไฟเขียวพร้อมรอกรรมการมาตรา 22 หากฟันว่าบริษัทผิดก็ไม่สามารถเลิกสัญญาได้ เพราะแก้ไขแต่ส่วนแนบท้ายไม่เคยทำในสัญญาหลัก ท้าหากจะมัดมือยึดสัมปทาน ดีแทค-ทรูมูฟต้องโดนด้วย (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 28-09-2010)
BANPU แตกพาร์ รอราคาทะลุ 800 บ. BANPU เตรียมแตกพาร์ รอราคาหุ้นวิ่งแตะ 800 บาท เพื่อหวังเพิ่มสภาพคล่อง หากแตกเป็นพาร์ 5บาท จำนวนหุ้นจะเพิ่มเป็น 543.5 ล้านหุ้น ส่วนราคาจะปรับเป็น 400 บาท ด้าน บล.เมอร์ริล ลินซ์ (ML) ปรับเป้าใหม่เป็น 832 บาท มองอนาคตสวยหรู ส่วน บล.กิมเอ็งให้ราคาใหม่สูงสุด 810 บาท แถมไม่รวม Centennial coal อีก 80 บาท จับตา BANP13CA กับBANP13CB ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามBANPU (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 28-09-2010)
ROJNA ปีนี้แจ่มขายที่ตามเป้าน่าลุ้น 14.90 บ. ROJNA ยอดขายที่ดินไหลลื่นปีนี้เชื่อตามเป้า 400 ไร่ รับอานิสงส์กลุ่มอิเล็กฯ-ยานยนต์-อาหารขยายลงทุนต่อเนื่อง ชี้สดใสถึงปีหน้า ขณะที่รายได้ค่าบริการสาธารณูปโภคปีนี้โต 8-10% บุ๊คคอนโดจีน 1 พันกว่าพันล้านบาท พร้อมทุ่มงบ 6-7พันล้านบาท โบรกฯแนะซื้อเป้า 14.90 บาท (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 28-09-2010)
AIT งบ Q3 แจ่มครึ่งหลังทะลัก AIT ฟุ้งแนวโน้มไตรมาส 3 รายได้ขยับอย่างน้อย 10% ยันแม้ประมูล 3 จีล้มไม่กระทบ เหตุลูกค้าเอกชนไม่ใช่รายได้หลัก เพราะแหล่งเงินหลักมาจากทีโอที-กสทฯ ส่วนงบครึ่งหลังทะลุเป้ารับงานในมือกว่า 3,000 ล้านบาท โบรกฯแนะหุ้นน่าสนยีลด์ เฉลี่ย10% ต่อป (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 28-09-2010)
CCP กำไรพิเศษ 300 ล้าน โชว์ยอดขาย 2.8 พันล้าน CCP รับทรัพย์ก้อนโตไตรมาส 4 บันทึกกำไรปรับโครงสร้างหนี้กว่า 300 ล้านบาท ดันผลประกอบการทั้งปีพลิกเป็นกำไรตามเป้า มั่นใจยอดขายทะลุ 2,800 ล้านบาท แถมมีงานในมือรอรับรู้รายได้กว่า 1,700 ล้านบาท กินยาวถึงปีหน้า(ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 28-09-2010)

----------------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ตปท.
ข่าวต่างประเทศ
ยุโรป: วิตกปัญหาหนี้สาธารณะยุโรป ฉุดเงินยูโรร่วงเทียบดอลล์ ค่าเงินยูโรอ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (27 ก.ย.) เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับปัญหาหนี้สาธารณะของรัฐบาลในกลุ่มยูโรโซน รวมถึงไอร์แลนด์นอกจากนี้ ข่าวมูดีส์ อินเวสเตอร์ส เซอร์วิส ประกาศลดอันดับเครดิตธนาคารแห่งหนึ่งของยุโรป ยังเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนกระหน่ำขายเงินยุโร ค่าเงินยูโรร่วงลง 0.10% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 1.3474 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับของวันศุกร์ (24 ก.ย.) ที่ 1.3488 ดอลลาร์สหรัฐขณะที่เงินปอนด์ดีดตัวขึ้น 0.22% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 1.5854 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.5819 ดอลลาร์สหรัฐ (ที่มา: อินโฟเควสท์ 28-09-2010)
จีน: จีนคุมเข้มการโอนที่ดินเพื่อการก่อสร้างอสังหาริมทรัพย์ กระทรวงที่ดินและทรัพยากร และกระทรวงการเคหะและการพัฒนาเมือง-ชนบทของจีน ได้ร่วมกันออกมาตรการที่มีความเข้มงวดมากขึ้นในการควบคุมการโอนที่ดินเพื่อการก่อสร้างอสังหาริมทรัพย์ โดยการควบคุมดังกล่าวจะแบ่งออกเป็น 4 รูปแบบได้แก่ การกำกับดูแลการโอนที่ดิน การกำหนดแบบและโครงสร้าง การตรวจสอบผู้ซื้อที่ดิน และการจัดการสัญญาการโอนที่ดิน(ที่มา: อินโฟเควสท์ 27-09-2010)
จีน: ผู้เชี่ยวชาญคาดยอดปล่อยเงินกู้ใหม่ของจีนร่วงลงต่อเนื่องในเดือนก.ย. ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่า ยอดปล่อยเงินกู้ใหม่ของจีนในเดือนก.ย.มีแนวโน้มร่วงลงต่อเนื่องจากเดือนก่อนหน้านี้ โดยสัดส่วนของยอดปล่อยเงินกู้ใหม่ คาดว่าจะอยู่ต่ำกว่าระดับ 5 แสนล้านหยวน ขณะเดียวกันตลาดอสังหาริมทรัพย์ของจีนเริ่มฟื้นตัวจากเดือนส.ค.และขยายตัวสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ซึ่งทำให้มีความเป็นไปได้ว่า รัฐบาลจะยังดำเนินมาตรการควบคุมตลาดอสังหาริมทรัพย์ต่อไป สำหรับเงินกู้ที่ได้รับจัดสรรผ่านโครงการระดมทุนของรัฐบาลนั้นมีแนวโน้มว่าจะปรับตัวขึ้นได้ไม่มากนักจนกว่าเจ้าหน้าที่จะรายงานผลการตรวจสอบทางการเงินก่อนสิ้นเดือนต.ค.นี้ ดังนั้น สัดส่วนของยอดปล่อยเงินกู้ใหม่อาจปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องในเดือนก.ย. ทั้งนี้ ยอดปล่อยเงินกู้ใหม่ของจีนในเดือนส.ค.อยู่ที่ระดับ 5.452 แสนล้านหยวน (ที่มา: อินโฟเควสท์ 27-09-2010)
เอเชีย: เวียดนามคาดมูลค่าส่งออกยาง 9 เดือนแรกพุ่งขึ้น 2 เท่า กระทรวงเกษตรและการพัฒนาชนบทของเวียดนามคาดว่า มูลค่าการส่งออกยางของเวียดนามในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้จะพุ่งขึ้นถึง 2 เท่าเมื่อเทียบกับระดับปีที่แล้ว แตะ 1.45 พันล้านดอลลาร์ และคาดว่าปริมาณการส่งออกในช่วงดังกล่าวจะอยู่ที่ 531,000 ตัน ซึ่งเพิ่มขึ้น 10.9% เมื่อเทียบเป็นรายปี สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า กระทรวงฯ คาดการณ์ว่าเวียดนามจะส่งออกยางได้ 100,000 ตันในเดือนก.ย.เพียงเดือนเดียว ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมานั้น มีแนวโน้มว่าจีนจะเป็นประเทศผู้นำเข้ายางรายใหญ่สุดของเวียดนามส่วนตลาดอื่นๆ รวมถึงมาเลเซีย เกาหลีใต้ และอินเดีย เวียดนามคาดว่า จะทำรายได้จากการส่งออกยางในปีนี้ที่ 1.8 พันล้านดอลลาร์ จากปริมาณการส่งออก 780,000 ตัน (ที่มา: อินโฟเควสท์ 27-09-2010)
----------------------------------------------------------------------------------

Code 164 : ทะลุ BB Top 955 ผ่าน 960

วันจันทร์ที่ 27 กันยายน 2553
ATT Code : ทะลุ BB Top 955 ผ่าน 960

MARKET WAVE ฤnalysis
27 กย. 53 ( +4.80 จุด) โกมล พงศ์วิญญู เลขทะเบียน 18338

แกว่งตัวในกรอบ 945 - 953 จุด
ดัชนีมีแนวโน้ม แกว่งตัวในกรอบสามเหลี่ยมภาพระยะชั่วโมง 945 – 953 จุด หรือระหว่างเส้นค่าเฉลี่ย 25 ชั่วโมงถึงจุดสูงสุดของ
วันศุกร์

จากนั้นถ้าสามารถปรับตัว เกิน 957.22จุดสูงสุดของสัปดาห์ที่แล้วได้ ดัชนีมีแนวโน้มระยะสัปดาห์ปรับตัวขึ้นแถว 980 – 985 จุดต่อไป

โดยที่แนวโน้มหลักของตลาด ยังคงเป็น“ขาขึ้น” มีเป้าหมายประมาณเดือน พย. บริเวณ 1040 – 1050 จุด หรือเท่ากับระยะทางนับจากจุดต่ำสุดวันที่ 9 มิย. ถึงจุดสูงสุดวันที่ 6 สค. ในรูปแบบของ Double Zigzag wave

หุ้นเด่น
10 อันดับซื้อขายสูงสุด
TRUE เกิน 4.46 ขึ้น 4.64 – 4.84
SCB แกว่งตัว 98 – 100.50
BANPU ไม่ต่ำกว่า 690 ขึ้น 712 – 722
PTT ต่ำกว่า 288 ลง 281 - 284
KTB แกว่งตัว 15.50 – 16.10
PTTCH รายละอียดใน “หุ้นเด่น”
DTAC เกิน 41.25 ขึ้น 42 - 43
SCC ต่ำกว่า 332 ลง 310 – 325
TCAP ไม่น่าเกิน 39.75 – 40.75
PTTAR รายละอียดใน “หุ้นเด่น”

PTTAR
กำลังปรับตัวในกรอบสามเหลี่ยม ภาพระยะวัน รอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 26.50 กรอบบนของสามเหลี่ยม เป้าหมายระยะสัปดาห์
28.50 – 29.50( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 25.75 )

PTTCH
กำลังปรับตัวในกรอบสามเหลี่ยม ภาพระยะชั่วโมง ทยอยซื้อแถว 130.00 – 132.00 หรือซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 133.50 กรอบบนของสามเหลี่ยม เป้าหมายสองสามวัน 139.00 –146.00( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 129.00 )

----------------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย
FSS : ยังต้องระวังการปรับพักฐานลงจาก 964 จุดอยู่ แต่ถ้าผ่านได้ลุ้น 980 จุดต่อ!!
แนวโน้ม: เช้านี้ตลาดหุ้นต่างประเทศค่อนข้างสดใส หลังตัวเลขเศรษฐกิจมหภาคของสหรัฐกลับมาดูดีขึ้นมาก ส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐและยุโรปปิดบวกกว่า 1% ขณะที่ตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียส่วนใหญ่ก็เปิดบวกด้วยเช่นกัน แม้ว่าจะยังบวกไม่ถึง 1% แต่ก็ทำให้บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยเช้านี้ดูดีไปด้วย อย่างไรก็ตามในช่วงท้ายสัปดาห์ที่แล้วตลาดหุ้นไทยยังค่อนข้างแกว่งตัวผันผวนจากระดับดัชนีแถว 960 จุดหรือใกล้เคียง ทำให้ FSS ยังแนะนำให้ระมัดระวังจังหวะแกว่งตัวต่อเนื่องจากแรงขายบริเวณดังกล่าวในช่วงต้นสัปดาห์นี้อีกครั้ง ซึ่งอาจทำให้ SET แกว่งตัวผันผวนในกรอบกว้างๆ ระหว่าง 900-960 จุดได้ นอกจากแรงซื้อมีมากพอที่จะผลักดันให้ SET ขยับผ่านบริเวณดังกล่าวขึ้นไปได้สำเร็จ จึงจะน่าเชื่อว่าตลาดมีโอกาสที่จะแกว่งขึ้นต่อเนื่องไปใกล้ๆ 980 จุดได้
กลยุทธ์: ถ้า SET ยังไม่ผ่าน 964 จุดขึ้นก็ยังต้องระวังแรงขายกดกลับลง ทำให้ยังสามารถรอซื้อเมื่อตลาดอ่อนตัวได้ นอกจากตลาดสามารถผ่าน 964 จุดขึ้นไป จึงจะน่าซื้อตามทันทีเพื่อลุ้นรอทำกำไรครั้งใหม่แถว 980 จุดหรือใกล้เคียงต่อไป โดยหุ้นที่ราคาตลาดยังต่ำกว่าราคาตามพื้นฐานมากๆ ได้แก่ KCE, TASCO, SIRI, HANA, CK, GFPT, AMATA, PTTEP,DTAC, SCB, SPALI, BCP, DELTA, VNG, ADVANC, IRPC, GLOW, TTCL, CPALL, PS,GLOBAL, LPN, TTW และ PTTAR เป็นต้น
ประเด็นสำคัญวันนี้
• (+) ต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิเพิ่มขึ้น สัปดาห์ที่ผ่านมา (สิ้นสุด 24 ก.ย.) SET Index กลับมาปรับตัวบวก 3.1% W-W ต่างชาติซื้อสุทธิเป็นปริมาณที่เพิ่มขึ้นเป็น 12,586 ล้านบาท เทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้าที่ซื้อสุทธิเพียง 39 ล้านบาท พร้อมทั้งสถาบันในประเทศก็กลับมาซื้อสุทธิ 1,045 ล้านบาท หลังจากที่ขายสุทธิไปในช่วง 2 สัปดาห์ก่อนหน้านี้
• (+) Moody’s อาจมีข่าวดีมู้ดดี้ส์ปรับเพิ่มเครดิตไทย ปัจจุบันกำลังอยู่ระหว่างการเก็บข้อมูล พร้อมระบุว่าพอใจกับตัวเลขรายได้และฐานะการคลัง ปัจจุบันไทยมีเรทติ้งBaa3 และ Outlook Negative ส่วน S&P จะเข้ามาเก็บข้อมูลปลายเดือน ต.ค.
• (+) CK เราปรับเป้าหมายขึ้นเป็น 12.70 บาท โครงการรอเซ็นสัญญา 5 โครงการรวม 97,035 ล้านบาท คาดเซ็นได้ทั้งหมดภายในปีนี้ ซึ่งหากเซ็นได้ทั้งหมดในปีนี้ จะทำให้ Backlog สิ้นปี 10 ขึ้นสู่ระดับ 1 แสนล้านบาท แนวโน้มผลประกอบการ 2H10 น่ากลับมาเป็นกำไร และจะดีขึ้นมากในปี 2011 จากโครงการรถไฟฟ้าและไซยะบุรี
• (+) PTTEP ผลการประชุมนักวิเคราะห์เมื่อวันศุกร์ ภาพรวมยังดูดี แม้มีความกังวลเกี่ยวกับการผลการสอบสวนมอนทาราเลื่อนประกาศไปเป็นสิ้นปี 2010 และการเรียกร้องค่าชดเชยความเสียหายกรณีน้ำมันรั่วมอนทาราของรัฐบาลอินโดนีเชียยังไม่มีข้อสรุป แต่
เรายังเชื่อว่า 2 กรณีดังกล่าวไม่น่าจะส่งผลกระทบรุนแรงต่อบริษัท ในขณะที่ผลประกอบการ 3Q10 จะยังออกมาดีและได้เงินประกันอีก US$40 ล้าน เราแนะนำซื้อสะสมเป้าหมาย 195 บาท
• Fund Flow ไหลเข้าต่อเนื่องตลอดทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมา และถือเป็นสัปดาห์ที่ 2ติดต่อกัน แม้ปริมาณจะไม่มากเท่าสัปดาห์ก่อนหน้า เนื่องจากตลาดหลายแห่งในภูมิภาคปิดทำการเนื่องในวันหยุดและไม่มีปัจจัยใหม่เข้าสู่ตลาด สำหรับแนวโน้มสัปดาห์นี้คาดว่า
กระแสเงินทุนจากต่างชาติจะยังไหลเข้าต่อเนื่องเช่นเดิม เพราะเรามองว่าความกังวลเกี่ยวกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐจะยังเป็นตัวกดอัตราดอกเบี้ยให้อยู่ในระดับต่ำต่อไป แม้ตลาดหุ้นสหรัฐจะปรับขึ้น แต่อัตราผลตอบแทนของตลาดพันธบัตรกลับปรับลงจากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่ประกาศออกมาเมื่อวันศุกร์ค่อนข้าง Mix นอกจากนี้ค่าเงินเอเชียและค่าเงินบาททรงตัวหรือแข็งค่าเล็กน้อย ซึ่งเราถือว่าช่วงนี้ค่าเงินค่อนข้างมีเสถียรภาพ ดังนั้นเชื่อว่ายังไม่มีมาตรการสกัดเงินทุนไหลเข้ายังไม่น่าจะมีให้เห็น

ข่าวภายในประเทศ
KIAT ฮุบเพิ่ม 1.2 พันล้าน ขนส่งก๊าซปตท.ยาว10 ปี KIAT เสือนอนกินตัวพ่อ คว้างานขนส่ง ปตท. เข้ากระเป๋าอีก 1,200 ล้านบาท ผู้บริหารชี้เตรียมทยอยรับรู้ตกปีละ 120 ล้านบาท เดินเครื่องเริ่มงานเดือนม.ค.ปี 54 ลั่นหาก ปตท. เปิดประมูลเพิ่ม พร้อมลุยเข้าฮุบงานอีกแน่ ชี้งบไตรมาส 3สวยหรูออเดอร์งานขนส่งแน่น (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 27-09-2010)
TMI ออเดอร์เข้ารับงานอินเดียดันรายได้โต 20% TMI เตรียมรับออเดอร์ใหม่จากอินเดียเร็วๆ นี้ ขณะที่อยู่ระหว่างประมูลงานประมาณ 10 ล้านบาท รู้ผลไตรมาส 4/53 ย้ำเป้ารายได้ปี 53 เติบโต 15-20% มียอดขายกว่า 300 ล้านบาท “ธีระชัย” การันตีปีหน้าเติบโตก้าวกระโดด รับอานิสงส์จาก BOI ทำให้ไม่ต้องเสียภาษี(ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 27-09-2010)
CK-ITD ซื้อรับข่าวใหญ่ รฟม.เซ็น 5 สัญญา ต.ค. รฟม. มั่นใจนัดลงนามก่อสร้างสีน้ำเงินทั้ง 5 สัญญา ต้นเดือนต.ค.นี้ ประธานประกวดราคาระบุ ผลประมูลสรุปหมดแล้ว รอแค่รายงาน ครม. รับทราบเท่านั้น เล็งทำสีเขียว แบริ่ง-สมุทรปราการต่อทันที คาดเปิดประมูลปลายปี 53 ส่วนงานเดินรถสีม่วงใกล้งวดเชื่อสัปดาห์สุดท้ายเดือนก.ย.ประกาศเชิญชวนแน่นอน (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 27-09-2010)
TTW ปริมาณใช้น้ำ 2 เดือนเพิ่มขึ้น 10% รายได้ไตรมาส 3 โตต่อเนื่อง เริ่มผลิตส่วนขยายต้นเดือนหน้า “น้ำประปาไทย” ส่วนต่อขยายน้ำ1.20 แสนลูกบาศก์เมตรต่อวัน เริ่มผลิตต้นเดือนที่ผ่านมา ดันกำลังการผลิตเพิ่มเป็น 4.4 แสนลูกบาศก์เมตรต่อวันและปรับขึ้นค่าน้ำส่วนเกินเพิ่มขึ้นอีก ส่งผลไตรมาส 3 รายได้เติบโตต่อเนื่อง รวมทั้งยอดการใช้น้ำเดือนก.ค.-ส.ค.อยู่ที่ 43.10 ล้านลูกบาศก์เมตร เพิ่มขึ้น 10.51% (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 27-09-2010)
TNDT ติดโผสุดยอดบริษัทแห่งอาเซียน คว้า Asia’s 200 Best Under a Billion TNDT ถูกคัดเลือกให้เป็นหนึ่งใน Asia’s 200 Best Undera Billion ประจำปี 2553 ของนิตยสาร Forbes Asia "ชมเดือน" เผยพร้อมทำงานหนักเพื่อผลักดันให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน มั่นใจครึ่งหลังผลประกอบการโตสวยกว่าครึ่งปีแรก แถมลุยประมูลงานใหม่ต่อเนื่อง เชื่อปั๊มรายได้เข้าเป้า 360 ล้านบาท (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 27-09-2010)
IT ยอดขายครึ่งหลังทะลุ 3 พันล้าน ตั้งเป้าปีนี้ครบ 43 สาขา-เดือนหน้าเปิดเมืองกาญจนบุรี “ไอที ซิตี้” มั่นใจยอดขายครึ่งปีหลังมากกว่า3,000 ล้านบาท พร้อมเดินหน้าขยายสาขาต่อเนื่อง จากปัจจุบัน 40 สาขา คาดเดือนต.ค.เปิดสาขากาญจนบุรี ตั้งเป้าสิ้นปีนี้มี 43 สาขา งบลงทุน6-8 ล้านต่อสาขา ล่าสุดจับมือกับเอ็นเนอร์ไจเซอร์ เปิดตัวผลิตภัณฑ์ Energizer Energi to go ตั้งเป้ายอดขายในช่วงปีแรก 100 ล้านบาท (ที่มา:นสพ.ข่าวหุ้น 27-09-2010)
ยูนิเวอร์แซลขาย IPO 30 ล้านหุ้น ดิสเคาต์ 20% เทรด mai 11ต.ค.นี้ “ยูนิเวอร์แซลฯ” ขายหุ้น IPO 30 ล้านหุ้น ราคาหุ้นละ 4 บาท ดิสเคาต์ 20% คิดเป็นค่าพี/อี ไม่ถึง 7เท่า โดยตั้ง บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) เป็นแกนนำและรับประกันขายหุ้น คาดเปิดจองซื้อหุ้นได้ระหว่างวันที่ 30ก.ย. และ วันที่ 1 ต.ค., 4 ต.ค.นี้ จ่อคิวเข้าเทรดในตลาด mai วันที่ 11 ต.ค.นี้ (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 27-09-2010)
DTAC-TRUE ดิ้นทำ 3G บนคลื่น 850 กสทฯปิดทางAIS อ้างไม่ทำจริง เสนอบอร์ด 12 ต.ค.นี้ DTAC-TRUE ยิ้มร่าหลังกสทฯแก้เกี้ยวเจียดคลื่น 850 ให้ทำ 3 จี เร่งให้ทำ HSPA เล็งชงบอร์ดไฟเขียว 12 ต.ค. ส่วนดีพีซีลูก AIS แม้อยู่ในสัมปทานแต่ไม่แบ่งคลื่นให้อ้างไม่เคยทำตลาดจริงจัง “จิรายุทธ”ออกตัวองค์กรตัวเองไม่ได้ขวางความเจริญประเทศ แต่กทช.ทำไม่ถูกพูดเข้าประโยชน์ตัวเองไม่เคยเอ่ยปัญหาติดขัดข้อกฎหมาย(ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 27-09-2010)

----------------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ตปท.
ข่าวต่างประเทศ
สหรัฐอเมริกา: ยอดการใช้จ่ายสินค้าทุนภาคธุรกิจของสหรัฐขยายตัว 4.1% ในเดือนส.ค. ยอดการใช้จ่ายด้านสินค้าทุนในภาคธุรกิจของสหรัฐประจำเดือนส.ค.ปรับตัวสูงขึ้น 4.1% ซึ่งข้อมูลดังกล่าวสะท้อนถึงการใช้จ่ายในภาคธุรกิจที่ดีขึ้น หลังจากที่ยอดสั่งซื้อสินค้าทุนร่วงลง 5.3%ในเดือนก.ค. (ที่มา: อินโฟเควสท์ 25-09-2010)
สหรัฐอเมริกา: สหรัฐเผยยอดขายบ้านใหม่เดือนส.ค.ดีดตัว 4.3% น้อยกว่าคาดการณ์ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า ยอดขายบ้านใหม่เดือนส.ค.กระเตื้องขึ้นเล็กน้อย 4.3% มาอยู่ที่ระดับ 288,000 ยูนิตต่อปี โดยจำนวนบ้านใหม่ที่ขายได้ยังทรงตัวอยู่ในระดับเดียวกับเดือนก.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่กระทรวงพาณิชย์เริ่มรวบรวมข้อมูลยอดการขายบ้านในปี 2506 (ที่มา: อินโฟเควสท์ 25-09-2010)
สหรัฐอเมริกา: สหรัฐเผยยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนนอกภาคขนส่งพุ่งสูงเกินคาด 2% ในเดือนส.ค. กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนนอกภาคอุตสาหกรรมขนส่งปรับตัวสูงขึ้น 2% ในเดือนส.ค. ทำสถิติขยายตัวสูงสุดในรอบ 5 เดือน และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ถึง 2 เท่า อย่างไรก็ตาม อุปสงค์สินค้าคงทนโดยรวมในเดือนส.ค.ปรับตัวลดลง 1.3% จากผลกระทบของยอดสั่งซื้อเครื่องบินที่ดิ่งลงอย่างหนัก (ที่มา: อินโฟเควสท์ 25-09-2010)
จีน: จีนเตรียมเก็บภาษีผลิตภัณฑ์ไก่หวังต่อต้านการทุ่มตลาดจากสหรัฐ กระทรวงพาณิชย์จีนประกาศในวันนี้ (26 ก.ย.) ว่า จีนจะเก็บภาษีต่อต้านการทุ่มตลาด (anti-dumping duties) ระหว่าง 50.3 - 105.4% สำหรับการนำเข้าผลิตภัณฑ์ไก่จากสหรัฐอเมริกาตั้งแต่วันจันทร์นี้เป็นต้นไปกระทรวงพาณิชย์จีนระบุในแถลงการณ์ออนไลน์ว่า ผลการตรวจสอบตั้งแต่เมื่อ 1 ปีที่แล้วพบว่าอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ไก่ของสหรัฐได้ทุ่มสินค้าจำนวนมากเข้าสู่ตลาดจีน ส่งผลให้อุตสาหกรรมในประเทศได้รับความเสียหายอย่างหนัก โดยจีนจะเก็บภาษีนำเข้าผลิตภัณฑ์ไก่จากบริษัท ไทสันฟู้ดส์ (Tyson Foods Inc.) และ คีย์สโตน ฟู้ดส์ (Keystone Foods LLC.) ที่ระดับ 50.3% ส่วนบริษัท พิลกริมส์ ไพรด์ คอร์ปอเรชั่น (Pilgrim'sPride Corporation) อยู่ที่ระดับ 53.4% (ที่มา: อินโฟเควสท์ 26-09-2010)
เอเชีย: ญี่ปุ่นเผยยอดส่งออกเดือนส.ค.เพิ่มขึ้นเพียง 15.8% ขณะยอดเกินดุลการค้าหดตัวครั้งแรกในรอบ 15 เดือน กระทรวงการคลังญี่ปุ่นเปิดเผยในวันนี้ว่า ยอดส่งออกเดือนส.ค.ปีนี้เพิ่มขึ้น 15.8% สู่ระดับ 5.22 ล้านล้านเยน (6.19 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งน้อยกว่าเดือนก.ค.ที่ขยายตัวถึง 23% และเดือนมิ.ย.ที่ขยายตัว 28% (ที่มา: อินโฟเควสท์ 27-09-2010)

----------------------------------------------------------------------------------

Code 163 : SET ต่ำกว่า 950 ย่อลงนิดหน่อยที่ 937-944

วันศุกร์ที่ 24 กันยายน 2553

ATT Code : SET ต่ำกว่า 950 ย่อลงนิดหน่อยที่ 937-944
SET วันนี้ปิดตลาดที่ 951.90 จุด +4.80 จุด ด้วยมูลคต่ากรซื้อขาย 2.8 หมื่นล้านบาท โดยช่วงเช้า SET ขึ้นไป High ก่อน +6 จุด ที่ระดับ 953.25 จุด แล้วก็มีแรงขายลงไปลบนิดหน่อยที่ -0.75 จุด ที่ระดับ 946.35 ก่อนที่ช่วงบ่าย ก็ไต่ระดับค่อยขึ้นมาเรื่อยๆ ก่อนที่จะปิดตลาดแล้วกระโดดขึ้นมาปิดเหนือ 950 ได้ โดยมาปิดที่ 951.90 จุด ดังนั้น แนวโน้มในวันจันทร์นี้ ก็มีสิทธิที่จะไปต่อได้ ซึ่งถ้าสามารถยืนเหนือ 957 จุด ได้ ก็มีโอกาสที่จะไปที่ 980-985 จุด โดยมีแนวรับที่ 944-940 จุด

***กลุ่มแบงก์ได้ประโยชน์ชัดเจนจากดอกเบี้ยขาขึ้น – แนะนำ KTB, TCAP, SCB, KBANK กลุ่มที่เกี่ยวกับการบริโภคภายใน – ได้ประโยชน์จาก wealth effect แนะนำ CPALL, SPALI, LPN, AMATA, STEC, SEAFCO
----------------------------------------------------------------------------------
MARKET WAVE Analysis
24 กย. 53 ( +2.10 จุด) โกมล พงศ์วิญญู เลขทะเบียน 18338

ไม่ต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ย 25 ชั่วโมง ปรับตัวขึ้น 954 – 957 จุด แนวโน้มระยะสั้นในวันศุกร์ ตราบใด ไม่ต่ำกว่า บริเวณแนวรับตามธรรมชาติของเส้นค่าเฉลี่ย 25 ชั่วโมง ดัชนีมีโอกาสปรับตัวกลับขึ้นไปแถว 954 – 957 ใกล้จุดสูงสุดเดิมของวันพฤหัสอีกครั้ง

จากนั้น ตลาดน่าจะใช้ระยะเวลาอีกสักระยะแกว่งตัวในกรอบ 940 – 957 หรือระหว่างเส้นค่าเฉลี่ย 25 ชั่วโมง ถึงจุดสูงสุดของวัน
พฤหัส

ขณะที่แนวโน้มหลักของตลาด ยังคงเป็น“ขาขึ้น” มีเป้าหมายประมาณเดือน พย. บริเวณ 1040 – 1050 จุด หรือเท่ากับระยะทางนับจากจุดต่ำสุดวันที่ 9 มิย. ถึงจุดสูงสุดวันที่ 6 สค. ในรูปแบบของ Double Zigzag wave

หุ้นเด่น
STEC
กำลังปรับตัวในกรอบสามเหลี่ยม ภาพระยะวัน รอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 13.40 กรอบบนของสามเหลี่ยม เป้าหมายระยะสัปดาห์
15.30 – 16.80( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 12.60 )

HEMRAJ
ยังสามารถปรับตัวอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ย 25 ชั่วโมงได้ รอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 2.10 จุดสูงสุดวันพฤหัส เป้าหมายหนึ่งถึงสองวัน
2.20 – 2.24 ( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 2.04 )

10 อันดับซื้อขายสูงสุด
BANPU ต่ำกว่า 690 ลง 670 – 680
PTT ต่ำกว่า 289 ลง 281 - 285
SCB ต่ำกว่า 98.50 ลง 96 – 97
TRUE เกิน 4.10 ขึ้น 4.18 – 4.22
PTTEP ต่ำกว่า 145 ลง 142 - 143
BBL ต่ำกว่า 151.50 ลง 148 - 149
SCC ต่ำกว่า 332 ลง 310 – 325
ADVANC ไม่เกิน 91.25 ลง 89 - 90
PTTCH ไม่ต่ำกว่า 126 รอขึ้น 143 - 146
CPF ไม่เกิน 25.25 ลง 23.20 – 23.50

Intraday - ในกรอบ 940 - 957
ดัชนีแกว่งตัวในกรอบ 940 - 957 หรืออาจจจะแคบแค่ 945 - 953 ? เกิน 957.22 สัปดาห์หน้า ขึ้นต่อ 980 - 985 เป้าหมายเดือน พย. 1040 - 1050

BANPU
กำลังปรับตัวในกรอบสามเหลี่ยม ภาพระยะชั่วโมง ทยอยซื้อแถว 692 - 696 หรือซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 700 กรอบบนของสามเหลี่ยม เป้าหมายหนึ่งถึงสองวัน 712 – 722 / ระยะสัปดาห์ขึ้นไป 786 - 858 ( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 690 )
----------------------------------------------------------------------------------
FSS : ธปท.ส่งสัญญาณพร้อมขึ้นดอกเบี้ย โดยระบุว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายในขณะนี้ ยังอยู่ในระดับ “ต่ำเกินไป” เมื่อเทียบกับอัตราเติบโตของเศรษฐกิจ ซึ่งหากปล่อยให้อยู่ในระดับต่ำนานเกินไป จะสร้างความไม่สมดุลต่อระบบการเงิน อาจทำให้เกิดการลงทุนเก็งกำไรในสินทรัพย์ต่าง ๆ รวมทั้งพร้อมออกมาตรการดูแลค่าเงินเพิ่ม หากจำเป็น

ธปท.ส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ย และแทรกแซงค่าเงินบาท จะทำให้ตลาดปรับฐานสั้นๆ ระหว่างวัน แต่ปรับเพื่อไปต่อ เพราะแนวโน้มค่าเงินบาทที่ยังแข็งค่าต่อเนื่องและให้ผลตอบแทนที่กว่าเงินสกุลอื่น จะดึงดูดกระแสเงินทุนให้ไหลเข้าต่อไป แม้ว่าโดยสถิติแล้วเดือน ต.ค. – พ.ย. จะเป็นเดือนที่ต่างชาติขายมากที่สุดเพื่อกำไรก่อนวันหยุดยาว แต่ก็เชื่อว่าไม่ทำให้ตลาดปรับฐานแรงเพราะกองทุนประเภท Long only ยังมีแนวโน้มอยู่ในที่ที่ให้ผลตอบแทนดีต่อไป

กลุ่มแบงก์ได้ประโยชน์ชัดเจนจากดอกเบี้ยขาขึ้น – แนะนำ KTB, TCAP, SCB, KBANK
กลุ่มที่เกี่ยวกับการบริโภคภายใน – ได้ประโยชน์จาก wealth effect แนะนำ CPALL, SPALI, LPN, AMATA, STEC, SEAFCO
----------------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย
FSS : ตลาดขยับถึงเป้าหมายช่วงสั้นที่ 950-960 จุดแล้ว .. ต้องเริ่มระวังการพักฐาน!!
แนวโน้ม: หลังจาก SET ขยับขึ้นถึงเป้าหมายที่ FSS คาดไว้สำหรับรอบนี้ที่บริเวณ 950-960 จุดแล้ว เริ่มมีแรงขายกดดันในช่วงบ่าย ทำให้ดัชนีไหลย้อนมาปิดค่อนข้างต่ำของวันขณะที่เช้านี้ยังได้รับแรงกดดันจากภาวะตลาดหุ้นทั่วโลกที่เริ่มมีการปรับพักตัวลงมา
เคลื่อนไหวในด้านลบ จากความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจโลก หลังตัวเลขตลาดแรงงานของสหรัฐออกมาน่าผิดหวังอีกครั้ง ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจของทางฝั่งยุโรปก็ยังชะลอตัวลงอย่างรุนแรง ทำให้เราคาดว่า SET น่าจะกลับมาแกว่งตัวผันผวนในกรอบกว้างๆ ระหว่าง
900-960 จุดอีกครั้งได้ โดยจังหวะแรกมีสิทธิที่จะเริ่มปรับพักตัวลงหาระดับดัชนีแถว 930-920 จุดที่ถือว่าเป็นฐานของการขยับขึ้นรอบหลังนี้ก่อน ซึ่งยังมีโอกาสที่จะมีแรงซื้อผลักดันให้ตลาดแกว่งตัวในกรอบ 920-960 จุดโดยประมาณสักพัก แต่หลังจากนั้นก็ยังต้องระวังการแกว่งหลุดลงไปแถว 900 จุดต้นๆ อีกครั้งด้วย ดังนั้นจังหวะเลือกหุ้นเข้าซื้อ เราจึงแนะนำให้รอช่วงตลาดปรับพักฐานลงก่อนดีกว่า ส่วนช่วงที่ SET ดีดขึ้นไปใกล้ 960 จุดอาจแบ่งส่วนขายทำกำไรเพื่อปรับพอร์ตบ้าง โดยเฉพาะในหุ้นที่ราคาขยับขึ้นมาแรงในรอบที่ผ่านมา
กลยุทธ์: รอซื้อเมื่อตลาดอ่อนตัว และที่ระดับดัชนี 960 จุดแนะนำให้แบ่งส่วนขายทำกำไรบ้าง โดยรายชื่อหุ้นที่ราคาตลาดยังต่ำกว่าราคาตามพื้นฐานมากๆ ได้แก่ STEC, CK,TTCL,SEAFCO, SYNTEC, TASCO, DCC, SPALI, LPN, TVO, KCE, SIRI, SITHAI, GFPT,PTTAR, GLOW และ BANPU เป็นต้น
ประเด็นสำคัญวันนี้
• (+) GFPT คาดกำไร 3Q10 เติบโต 22% Q-Q เพราะปริมาณขายที่เพิ่มขึ้น บาทที่แข็งค่าไม่กระทบกับบริษัทเพราะได้ประกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนไว้ที่ 32 บาท/ดอลลาร์แล้วเฉพาะในส่วนที่ส่งออกเป็นเงินสกุลดอลลาร์ กำลังการผลิตใหม่จะเริ่มทยอย
เข้ามาตั้งแต่ 4Q10 และเต็มปีในปีหน้า ซึ่งจะทำให้กำไรในปีนี้และปีหน้าโตปีละ 15%ราคาหุ้น GFPT laggard ที่สุดในกลุ่มขณะที่ PE ปีหน้าต่ำเพียง 7.7 เท่า เรายังแนะนำซื้อ โดยมีราคาเป้าหมาย 12 บาท
• (+) SCB คาดกำไรใน 3Q10 เติบโต 22% Q-Q และ 25% Y-Y เนื่องจากในไตรมาสนี้จะมีบันทึกกำไรจากการขายเงินลงทุน สินเชื่อเริ่มขยายตัวในอัตราเร่งตามที่เราคาดจึงคาดว่ากำไรในครึ่งปีหลังจะโดดเด่นกว่าครึ่งปีแรก เรายังคงราคาเหมาะสมปี 2011 ที่125 บาท อิง PBV 2.4 เท่า (ROE 16.7%, Ke 12.4%) แนะนำ ซื้อ
• (+) PTTAR รีไฟแนนซ์เงินกู้เดิม 2.83 หมื่นลบ. ช่วยประหยัดดอกเบี้ยจ่ายปีละ 0.5%หรือประมาณ 350 ลบ. เราจึงปรับประมาณการกำไรปี 2010 และ 2011 เพิ่มขึ้นปีละ 350 ลบ. เป็น 6,155 ลบ. และ 9,653 ลบ. ตามลำดับ ผลการปรับประมาณการทำให้ได้ราคาเป้าหมายใหม่จาก 25 บาท เป็น 27 บาทต่อหุ้น แม้ผลประกอบการของ PTTAR ผ่านต่ำสุดไปแล้วใน 2Q10 แนวโน้มธุรกิจอะโรเมติกส์ที่ยังไม่สดใสนัก ขณะที่ธุรกิจโรงกลั่นมีแนวโน้มดีขึ้นทำให้เราแนะนำเพียง ‘ถือ’ ประกอบกับราคาหุ้นมี Upside เพียง 4.8%ส่วนเรื่องแผนควบรวมกิจการมีความเป็นไปที่ PTTAR จะควบรวมกับ PTTCH หรือ TOP ตามนโยบายของบริษัทที่ต้องการรวมกลุ่มปตท. ให้เป็นหนึ่งเดียว เพื่อให้มีขนาดที่ใหญ่และมุ่งขยายธุรกิจไปสู่ตลาดต่างประเทศมากขึ้น
• Fund Flow ยังไหลเข้าต่อเนื่องในตลาดหุ้นภูมิภาคต่อเนื่องเป็นวันที่ 8 ติดต่อกัน แต่ปริมาณไม่มากเพราะการปิดทำการของตลาดหุ้นในภูมิภาคหลายแห่ง ขณะที่ยังไม่มีปัจจัยใหม่เข้าสู่ตลาด สำหรับแนวโน้มกระแสเงินทุนต่างชาติวันนี้ดูเหมือนจะชะลอ
ตัวการไหลเข้าบางจากแรงกดดันตัวเลขการขอรับสวัสดิการของผู้ว่างงานสหรัฐสูงกว่าคาดบ่งบอกถึงความน่าเป็นห่วงของเศรษฐกิจสหรัฐ ทำให้นักลงทุนยังไม่กล้าเสี่ยงและเน้นการลงทุนไปในตลาดพันธบัตร ประกอบกับค่าเงินเอเชียและยุโรปเช้านี้ทรงตัวหรือ
อ่อนตัวเล็กน้อย แต่อย่างไรก็ตามเรายังเชื่อว่าแนวโน้มกระแสเงินทุนต่างชาติจะยังไหลเข้าเอเชียตราบใดที่เฟดยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ในระดับต่ำต่อไปอีกนานและยิ่งหากเฟดต้องอัดฉีดเม็ดเงินรอบที่ 2 ก็จะยิ่งทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐท่วมตลาด ค่าเงิน
ดอลลาร์ก็ยังเสื่อมค่า เม็ดเงินก็จะไหลเข้าสู่เอเชียอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ข่าวภายในประเทศ
ฟอร์ซเซลทรูถล่มตลาดราคาสะเด็ดน้ำ 3.3 บาท ดึงหุ้นตัวอื่นรูดตาม หาเงินไปคืนโบรกฯ หุ้นทรูร่วงหนักผิดหวัง 3 จี โบรกฯเชือดพวกมาจิ้นบังคับขายกดราคารูดปรืด46% นับจากวันที่ 7 ก.ย. แถมดึงหุ้นตัวอื่นร่วงตาม เหตุต้องหาเงินไปคืนโบรกฯ งานนี้มีสิทธิกลับไปยืนที่เดิม 3.3 บาทกว่าจะสะเด็ดน้ำ หลังหมดข่าวประมูล 3 จีดันราคา ด้านตลาดฯไม่หวั่นตลาดรวมยังดี ต่างชาติซื้อสุทธิ ลุยหุ้นขนาดใหญ่ต่อเนื่อง (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 24-09-2010)
TTAระวังตกเรือ!Q4 กำไร300 ล้าน RCL ดีสุดรอบ 2 ปี หาจังหวะดักเก็บหุ้นเรือก่อนลุยไฮซีซั่นตั้งแต่ช่วงเดือนต.ค. วงการเงินชี้ไตรมาส 4TTA มีลุ้นโชว์กำไร 300 ล้านบาท หลังเตรียมบันทึกกำไรพิเศษจากขายเรือ และขายหน่วยลงทุน ขณะที่ RCL มีสิทธิลุ้นโชว์พลิกกำไรรอบ 8 ไตรมาส ขานรับความต้องการใช้เรือขนส่งคอนเทนเนอร์พุ่งทะลัก (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 24-09-2010)
แสนสิริลุยดีคอนโดเพิ่ม 2 โครงการ 2 ทำเลทองมูลค่ารวม 2.72 พันล้าน แสนสิริ ลุยเปิดขายคอนโดฯแบรนด์ "dcondo" อีก 2 โครงการ 2ทำเลใหม่ "dcondo รามคำแหง - dcondo รามอินทรา" มูลค่ารวมกว่า 2,720 ล้านบาท ภายใต้คอนเซ็ปต์ “HAVE A GOOD DAY..ทุกวันคือความสุขที่ ดี คอนโด” แต่งครบผ่อนสบายเพียง 3,300 บาท/เดือน หรือเริ่มต้น 1 ล้านบาท (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 24-09-2010)
AMATAสดใสรับการลงทุนฟื้นปีนี้ยอดขายที่ดินพุ่ง 1.5 พันไร่ ซื้อเป้า 20.50 บาท AMATA เด้งขึ้นเกือบ 2% หลังมีมุมมองบวก คาดรับอานิสงส์ความเชื่อมั่นการลงทุนฟื้นตัว 8 เดือนมูลค่าลงทุนโต 164% บวกการขยายการลงทุนของกลุ่มยานยนต์-อิเล็กฯ ขณะที่คาดยอดขายที่ดินปีนี้เติบโตอย่างน้อย 400% แตะ1,250-1,500 ไร่ และเติบโตต่อเนื่อง 1,600-1,800 ไร่ ในปีหน้า เชียร์ "ซื้อ" ราคาเป้าหมาย 20.50 บาท ส่วนเทคนิคยังแกว่งขึ้นลุ้นแนวต้าน 17.20-18 บาท (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 24-09-2010)
SITHAI การันตีปีนี้กำไรโตก้าวกระโดดรับรู้คืนเงินประกัน 300 ล้าน ยอดออเดอร์ทะลักยาว 3 เดือน SITHAI การันตีกำไรปี' 53 เติบโตเท่าตัว ด้วยกำไรพิเศษจากเงินประกันความเสียหายในเหตุเพลิงไหม้ 300 ล้านบาท ส่วนรายได้โตไม่ต่ำกว่า 5,700 ล้านบาท เชื่ออัตรากำไรขั้นต้นปีนี้อยู่ที่ 21% เตรียมขยายกำลังการผลิตเพิ่มไปยังอินเดีย-เวียดนาม รองรับคำสั่งซื้อจากลูกค้าใหม่ ขณะที่มีออเดอร์ล่วงหน้าค้างอยู่ 3 เดือน เล็งปรับขึ้นราคาขายอีก 5% ในไตรมาส 4/53 (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 24-09-2010)

E Finance Thai : เล่นหุ้นแบงก์ดีกว่า
กูรู ประสานเสียงเชียร์หุ้นกลุ่มแบงก์สุดแจ่ม รับสินเชื่อพุ่ง คาดปีนี้ยอดปล่อยสินเชื่อทั้งระบบโต 7.8% มองปีหน้าดีกว่าคาด ชู KBANK, BBL และ SCB เป็น top picks ของกลุ่ม ดีบีเอสวิคเคอร์ส ชอบ KBANK หลังมอง คุณภาพสินทรัพย์ดี, NPL ratio ต่ำสุดในกลุ่ม และรายได้ค่าธรรมเนียมขยายตัวสูงเมื่อเทียบกับกลุ่ม กิมเอ็ง ปรับคาดการณ์กำไร BBL ปี53 เพิ่มเป็น 2.43 หมื่นลบ.ให้มูลค่าเหมาะสมใหม่ที่ 179 บาท ชี้ได้เปรียบสุดในการปล่อยสินเชื่อ เอเซียพลัส คาด SCB กำไร 3Q53 โตถึง 28.2% สูงสุดรายไตรมาสรอบ 7 ปี แนะนำซื้อ Fair value 120 บาท
หุ้นกลุ่มแบงก์ราศีจับ รับเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว แนวโน้มการปล่อยสินเชื่อสุดสดใสถึงปีหน้า แถมดอกเบี้ยยังเป็นขาขึ้น ส่งผลให้ผลประกอบการแจ่ม ดังนั้น หุ้นกลุ่มธนาคาร จึงเป็นที่น่าสนใจเข้าลงทุนเป็นอย่างยิ่ง

*เซียนหุ้น คาดยอดการปล่อยสินเชื่อขยายตัว 7.8% คาดมอง ผลงามแจ่ม
นายธนัท รังษีธนานนท์ ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า จากการประเมินแนวโน้มผลการดำเนินงานของธนาคารพานิชย์ทั้งระบบในปีนี้ คาดว่ายอดการปล่อยสินเชื่อจะขยายตัว 7.8% ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่อยู่ในเกณฑ์ดี โดยในช่วงครึ่งปีหลังยอดการปล่อยสินเชื่อจะขยายตัวอยู่ในดับเดียวกับช่วงครึ่งปีแรกประมาณ 4-5% จากการปล่อยสินเชื่อให้กับลูกค้าขนาดใหญ่ และในส่วน SME หลังจากได้รับรายได้จากส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยที่ขยับตัวดีขึ้น แม้ว่าที่ผ่านมาภาคเอกชนจะมีการเรียกร้องให้ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ชะลอการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ย แต่เชื่อว่าอัตราดอกเบี้ยยังอยู่ในช่วงขาขึ้นโดยการปรับขึ้นคงจะเป็นอัตราที่ไม่มากนัก ซึ่งกลุ่มธนาคารพาณิชย์จะได้รับประโยชน์จากการขึ้นอัตราดอกเบี้ย ทั้งนี้ ประเมินว่าธนาคารจะยังคงขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากก่อนจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ เพราะจะเป็นการระดมทุนของธนาคารเพื่อเพิ่มสภาพคล่องก่อนจะเริ่มปล่อยสินเชื่อเเบบเต็มที่ในช่วงปีหน้า หลังจากเศรษฐกิจฟื้นตัว ทำให้ยอดการปล่อยสินเชื่อขยายตัวดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้กำลังประเมินแนวโน้มผลประกอบการของแต่ละธนาคาร ซึ่งเชื่อว่าธนาคารบางแห่งจะมีการปรับเพิ่มกำไรขึ้นจากเดิม อาทิ BBL- KBANK -SCB ทำให้จะต้องปรับเพิ่มราคาพื้นฐานขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น โดยก่อนหน้านี้ได้ปรับราคาพื้นฐาน BBL ไปเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นก็เหลือKBANK และ SCB ที่ยังคงต้องพิจารณาต่อไป ทั้งนี้ ยังมองว่าหุ้นกลุ่มธนาคารยังน่าสนใจเข้าลงทุนจากแนวโน้มผลประกอบการที่ดี โดยล่าสุดราคาพื้นฐานปีนี้ของหุ้น BBL อยู่ที่ 180 บาท SCB อยู่ที่ 113 บาท และKBANK อยู่ที่ 126 บาท
สำหรับกรณีภายหลังศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งยืนตามคำสั่งของศาลปกครองชั้นต้นให้ระงับการประมูลใบอนุญาต 3Gนั้น ทำให้ธนาคารเสียโอกาสจากการปล่อยสินเชื่อในระยะนี้เท่านั้น แต่เชื่อว่าหาก 3G เกิดขึ้นก็จะส่งผลดีต่อยอดการปล่อยสินเชื่อธนาคารอย่างแน่นอน

* กูรู แนะ Bullish หุ้นแบงก์ หลังสินเชื่อโตต่อเนื่อง-คาดปีหน้าดีกว่าคาด ส่งสัญญาณเพิ่มประมาณกำไร-ราคาเป้าหมาย ชู KBANK, BBL และ SCB เป็น top picks ของกลุ่ม
บทวิเคราะห์ บล.พัฒนสิน ระบุว่า สินเชื่อกลุ่มธนาคาร ในเดือน ส.ค. 10 เติบโต 0.8% m-m: กลุ่มธนาคารที่เราศึกษารายงานสินเชื่อเดือน ส.ค. ดีขึ้น m-m ตามคาด โดยเติบโตในอัตรา 0.8% หลักๆ ผลักดันจากสินเชื่อภาคธุรกิจรายใหญ่และ SME ที่กลับฟื้นตัวขึ้น ในขณะที่ สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ยังคงเติบโตต่อเนื่องและดีกว่าที่เราคาด โดยSCB และ KTB แสดงการเติบโตของสินเชื่อที่โดดเด่นสุดในกลุ่มแบงก์ใหญ่ ขณะที่ TISCO เติบโตโดดเด่นสุดในกลุ่มแบงก์เล็ก หลักๆผลักดันจากจากสินเชื่อรายใหญ่ของ TISCO ที่มีการเบิกจ่ายสินเชื่อในเดือน ส.ค. 10 ในทางกลับกันมีเพียง BAY และ BBL ที่สินเชื่อปรับลดลง m-m หลักๆ เกิดจากการชำระคืนหนี้ของลูกหนี้ธุรกิจรายใหญ่บางราย อย่างไรก็ดี เราคาดว่าสินเชื่อของทั้ง 2 ธนาคาร จะกลับมาเติบโตสูงในช่วงปลายปี โดยเฉพาะ BBL ที่เราคาดว่าจะเติบโตได้ตามประมาณการของเราได้โดยไม่น่ากังวลสินเชื่อทั้งปี 2010F มีแนวโน้มดีกว่าที่คาด สินเชื่อของกลุ่มธนาคารในงวด 8M10 เติบโต 3.3% YTD ขณะที่ การเติบโตของสินเชื่อในช่วงที่เหลือของปี โดยเฉพาะในเดือน ธ.ค. คาดว่าจะเติบโตในอัตราที่เร่งตัวสูงขึ้น ผลักดันจาก 1) ปัจจัยตามฤดูกาลที่สินเชื่อจะเติบโตสูงในช่วงปลายปีโดยเฉพาะสินเชื่อ SME ในกลุ่มเกษตรและส่งออก รวมถึงสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์; 2) ความต้องการสินเชื่อของภาคธุรกิจรายใหญ่และ SME เพื่อขยายกิจการที่แสดงการฟื้นตัวที่ชัดเจนขึ้น ส่วนหนึ่งจากผลบวกของโครงการในมาบตาพุดที่โครงการส่วนใหญ่ดำเนินการต่อได้; และ 3) ความต้องการสินเชื่อของบริษัทขนาดใหญ่เพื่อการลงทุนและซื้อกิจการ อาทิ BANPU,TUF และ SSI เป็นต้น ปัจจัยบวกดังกล่าวคาดว่าจะทำให้สินเชื่อปี 2010-12F ของกลุ่มฯมีแนวโน้มที่จะเติบโตดีกว่าที่เราคาดที่ +8%, +10% และ +12% ตามลำดับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2010F ซึ่งเป็นสัญญาณบวกที่เป็น upside ต่อการปรับเพิ่มประมาณการกำไรและราคาเป้าหมายของกลุ่มธนาคารคงมุมมอง Bullish และแนะนำ KBANK, BBL และ SCB เป็นหุ้น top picks ในกลุ่มฯ:เรายังคงมุมมองที่ชอบหุ้นธนาคารขนาดใหญ่ในระยะยาว โดยเฉพาะหุ้น top picks ของเราคือ KBANK (TP THB133),BBL (TP THB190) และ SCB (TP THB119) เนื่องจากคาดว่าธนาคารดังกล่าวจะได้รับผลบวกสูงสุดในกลุ่มฯในภาวะเศรษฐกิจฟื้นตัวและวัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้นKTB (แนะนำ BUY ราคาเหมาะสมปี 2011F 16 บาท) ประกาศสินเชื่อเดือน ส.ค. 10 เติบโต 1.4% m-m และคิดเป็นเติบโตถึง 9.5% YTD ในงวด 8M10 ซึ่งถือว่าดีกว่าที่เราคาดและน่าจะเป็น positive surprise ต่อตลาดเช่นกัน ซึ่งเป็นสัญญาณชี้นำที่ดีต่อการเติบโตของสินเชื่อและกำไรสุทธิของ KTB ที่มีแนวโน้มดีกว่าที่เราคาดการณ์ไว้ในขณะที่ ประเด็นการขายหุ้น “นกแอร์” เราคาดว่าไม่มีนัยสำคัญต่อกำไรและราคาเป้าหมาย (TP) ของ KTB โดยเรายังคงแนะนำ BUY หุ้น KTB เนื่องจากอาจมี upside potential ต่อ TP ปี 2011F ที่เราประเมินไว้ที่ 16 บาท/หุ้นหลักๆ ผลักดันจากการเติบโตของสินเชื่อที่มีแนวโน้มดีกว่าที่เราคาด นอกจากนี้ KTB มีประเด็นที่อาจเป็น pricecatalyst ต่อราคาหุ้นในระยะกลาง จากประเด็นที่กระทรวงการคลังอาจพิจารณาให้ศึกษาแนวทาง รวมถึงผลดีผลเสีย ในการขายหุ้น KTB ออกไป ประเด็นที่คลัง อาจพิจารณาลดสัดส่วนการถือหุ้นใน KTB อาจเป็น price catalyst ต่อ KTB ในระยะกลาง: แม้ว่านโยบายเดิมของกระทรวงการคลังจะยังคงต้องการถือหุ้น KTB ไม่ต่ำกว่า 51% เพื่อคงให้ KTB เป็นธนาคารกลไกลหลักของรัฐบาลที่ใช้ผลักดันเศรษฐกิจของประเทศ แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่คลังอาจให้มีการทำการศึกษาถึงแนวทาง รวมถึง ผลดี ผลเสียในการขายหุ้นใน KTB ออกไปทั้งหมดหรือบางส่วน ซึ่งประเด็นดังกล่าว แม้ว่าจะยังไม่มีความชัดเจน แต่ก็อาจเป็นประเด็นที่เป็น price catalyst ต่อราคาหุ้น KTB ในระยะกลาง ทั้งนี้ หากพิจารณาจากราคาที่มีการซื้อกิจการในหุ้นธนาคารพาณิชย์ไทยในกรอบ P/BV ที่ 1.2-1.6 เท่า ราคาขายอาจอยู่ในกรอบ 13.0-17.2 บาท/หุ้น หากมีการขายหุ้น KTB เกิดขึ้นจริง (อิงจากมูลค่าทางบัญชีสิ้นปี 2010F ของ KTB ที่ 10.74 บาท/หุ้น) โดยเรายังคงคำแนะนำ “ซื้อ” KTB เนื่องจากอาจมีupside potential ต่อราคาเป้าหมาย (TP) ปี 2011F ที่เราประเมินไว้ที่ 16 บาท/หุ้น หลักๆ จากการเติบโตของสินเชื่อและกำไรที่มีแนวโน้มดีกว่าที่เราคาด

* ดีบีเอสวิคเคอร์ส ชอบ KBANK หลังมอง คุณภาพสินทรัพย์ดี, NPL ratio ต่ำสุดในกลุ่ม และรายได้ค่าธรรมเนียมขยายตัวสูงเมื่อเทียบกับกลุ่ม
บทวิเคราะห์ บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส ระบุว่า สินเชื่อเดือนส.ค. 53 ขยายตัว 0.8%MoM (+7.8%YoY) เป็นไปตามคาด โดยการเติบโตหลักมาจากสินเชื่อ Corporate, สินเชื่อที่เกี่ยวข้องกับโครงการรัฐ และสินเชื่อ SMEs ธนาคารพาณิชย์ใหญ่ที่มีการเติบโตของสินเชื่อโดดเด่นในเดือนส.ค. 53 คือ SCB (+1.5%MoM และ +9.3%YoY) เพราะสินเชื่อ Corporate รายใหญ่ขยายตัวดีขึ้น และตามมาด้วย KTB (+1.4%MoM และ +9.0%YoY) ซึ่งสินเชื่อที่เกี่ยวข้องกับโครงการรัฐเติบโตแข็งแกร่ง, KBANK (+0.9%MoM และ +11.6%YoY) โดยหลักเป็นการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อ SMEs และรายย่อย ส่วน BBL สินเชื่อเดือนส.ค.หดตัว 0.4%MoM (+3.3%YoY) เนื่องจากมีการชำระคืนนี้ที่ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนของกลุ่ม Corporate ส่วนแบงค์เล็กยังมีการเติบโตของสินเชื่อเช่าซื้อแข็งแกร่งทั้ง TISCO (+3.3%MoM และ +26.1%YoY) และ KK (+2.7%MoM และ +17.3%YoY) สินเชื่อและกำไรสุทธิขยายตัวแข็งแกร่ง สำหรับทั้งปี 53 ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ DBSV ประเมินว่าสินเชื่อของกลุ่มแบงค์จะขยายตัว 7.3% และเติบโตต่อเนื่อง 7.5% ในปี 54 ซึ่งเป็นไปตามการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยที่แข็งแกร่ง ทำให้ความต้องการใช้สินเชื่อเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนและเพื่อการลงทุนของกลุ่ม SMEs เพิ่มขึ้น ทั้งนี้นักเศรษฐศาสตร์ของ DBS Bank คาดการณ์ว่า GDPของไทยในปี 53-54 จะเติบโต 9% และ 4% ตามลำดับ สำหรับกำไรสุทธิ เราประมาณการว่ากลุ่มธนาคารพาณิชย์จะมีการเติบโตของกำไรสุทธิปี 54 เท่ากับ 15.0% โดยมีสมมติฐานการขยายตัวของสินเชื่อ 7.5%, ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น 0.06%, รายได้ค่าธรรมเนียมเติบโต 11% และการตั้งสำรองค่าเผื่อฯ เท่ากับ 0.72% ของสินเชื่อรวม เรามีมุมมองที่เป็นบวกกับกลุ่มธนาคารพาณิชย์ โดยแนะนำซื้อและให้ BBL, KBANK และ KTB เป็นหุ้น Top Picks เราชอบ KBANK เนื่องจากมีคุณภาพสินทรัพย์ดี, NPL ratio ต่ำที่สุดในกลุ่ม และรายได้ค่าธรรมเนียมขยายตัวสูงเมื่อเทียบกับกลุ่ม สำหรับ BBL มีจุดเด่นเรื่องงบดุลแข็งแกร่ง และมีสำรองสะสมต่อ NPL (NPL Coverage Ratio) สูงมาก ด้าน KTB คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากแผนกระตุ้นเศรษฐกิจระยะที่ 2 และการใช้จ่าย & ลงทุนของภาครัฐ เราเชื่อว่า KBANK และ BBL จะได้รับประโยชน์จากความต้องการใช้สินเชื่อของกลุ่ม Corporate และ SMEs ที่เพิ่มขึ้นในปี 53 นอกจากนั้นยังแนะนำซื้อ SCB รวมทั้งแนะนำถือ BAY, TCAP และ TISCO

*บล.กิมเอ็ง ปรับคาดการณ์กำไร BBL ปี53 เพิ่มเป็น 2.43 หมื่นลบ.ให้มูลค่าเหมาะสมใหม่ที่ 179 บาท ชี้ได้เปรียบสุดในการปล่อยสินเชื่อ
บทวิเคราะห์ บล.กิมเอ็ง ระบุว่า รายได้หลักยังเติบโตแม้กำไรสุทธิลดลง qoq เพราะไม่มีรายได้พิเศษ ประเมินกำไรสุทธิไตรมาส 3/53 ไว้ที่ 5,669 ล้านบาท ลดลง 17.0%qoq เนื่องจากไตรมาสก่อนมีกำไรพิเศษจากเงินลงทุนกว่า 2 พันล้านบาท แต่หากพิจารณาเฉพาะรายได้หลักยังคงเติบโตต่อเนื่อง หากเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 11.8% จากรายได้ที่เติบโตต่อเนื่องประกอบกับค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองฯที่ลดลงตาม คุณภาพสินทรัพย์ที่ปรับตัวดีขึ้น ทางด้านสินเชื่อไตรมาส 3/53 ทรงตัวจากไตรมาสก่อน แต่คาดจะเติบโตสูงในไตรมาส 4/53 โดยทางธนาคารยังคงมั่นใจกับเป้าหมายสินเชื่อที่ 6% เราปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 53 เพิ่มขึ้น จากกำไรจากเงินลงทุนและกำไรจากการปริวรรตเงินตราที่สูง ในขณะที่แรงกดดันในการตั้งสำรองฯลดลง คงคำแนะนำ 'ซื้อ' จากโอกาสเติบโตของสินเชื่อที่สูงในไตรมาส 4/53 ประกอบกับงบดุลที่แข็งแกร่ง มูลค่าที่เหมาะสมใหม่อยู่ที่ 179.00 บาท/หุ้น เราประเมินกำไรสุทธิไตรมาส 3/53 ไว้ที่ 5,669 ล้านบาท ลดลง 17.0% จากไตรมาสก่อน สาเหตุหลักมาจากไตรมาสก่อนมีกำไรพิเศษจากการขายหุ้น ACL กว่า 2 พันล้านบาท แต่หากพิจารณาเฉพาะธุรกิจหลัก พบว่ารายได้หลักยังคงเติบโต qoq ในขณะที่ค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองฯมีแนวโน้มลดลงจากคุณภาพสินทรัพย์ที่ดี ขึ้น หากเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 11.8% yoy จากรายได้หลักที่เพิ่มขึ้นและค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองฯที่ลดลง เราคาดสินเชื่อไตรมาส 3/53 ขยายตัวเพียงเล็กน้อย 0.2%qoq ส่งผลให้สินเชื่อ 9 เดือนขยายตัว 2.76% จากสิ้นปีก่อน เราประเมินสินเชื่อจะขยายตัวได้สูงในไตรมาส 4/53 โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนหลักจากความต้องการเงินทุนหมุนเวียน การลงทุนภาคเอกชนโดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และอาหาร และโครงการภาครัฐ BBL ในฐานะธนาคารขนาดใหญ่ซึ่งมีความพร้อมทั้งทางด้านสภาพคล่องสูง สาขาต่างประเทศ ฐานะเงินกองทุนแข็งแกร่งและมุ่งเน้นการปล่อยสินเชื่อภาคธุรกิจ ย่อมเป็นหนึ่งในธนาคารที่จะได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของภาคการลงทุนดัง กล่าว โดยมีโอกาสสูงที่จะได้ร่วมปล่อยกู้ให้แก่โครงการลงทุนขนาดใหญ่ทั้งภาครัฐและ ภาคเอกชน ซึ่งทางธนาคารยังคงมั่นใจกับเป้าหมายสินเชื่อปีนี้ที่ 6% ในขณะที่เป้าหมายสินเชื่อปีนี้ของเราอยู่ที่ 5.5% ทางด้าน NIM ทรงตัวอยู่ในระดับใกล้เคียง 3.0% เราปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 53 เพิ่มขึ้นเป็น 24,321 ล้านบาท จากกำไรจากเงินลงทุนและกำไรจากการปริวรรตเงินตราที่สูงในปีนี้ ประกอบกับคุณภาพสินทรัพย์ที่ดี โดยสิ้นไตรมาส 2/53 มี NPL Ratio เพียง 4.07% ในขณะที่มี Coverage ratio สูง 127.9% พร้อมปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 54 เพิ่มขึ้นเป็น 25,692 ล้านบาท จากการปรับลดค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรอง ส่งผลให้มูลค่าที่เหมาะสมปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 171 บาท/หุ้น เป็น 179 บาท/หุ้น อ้างอิงกับ 1.5 เท่าของมูลค่าทางบัญชีปี 54 BBL อยู่ในสถานะที่ได้เปรียบในการปล่อยสินเชื่อในสถานการณ์ปัจจุบัน ซึ่งเรามองว่าการลงทุนภาคเอกชนจะเริ่มฟื้นตัว เนื่องจากมีสภาพคล่องสูง มีสาขาต่างประเทศ และมีฐานลูกค้าที่แข็งแกร่ง นอกจากนี้ยังมีงบดุลที่มีเสถียรภาพสูง ทั้งทางด้านฐานะเงินกองทุนที่แข็งแกร่งและคุณภาพสินทรัพย์ที่ดี ดังนี้เราคงคำแนะนำ 'ซื้อ' ด้วยมูลค่าที่เหมาะสมใหม่ที่ 179.00 บาท/หุ้น

* บล.ซิกโก้ เชียร์ซื้อ BBL ชี้ ฐานะการเงินแข็งแกร่ง ให้ราคาเหมาะสมเท่ากับ 172.00 บาท
บทวิเคราะห์ บล.ซิกโก้ ระบุว่า คาดผลการดำเนินงานของ BBL ในช่วง 3Q10E ยังไม่มีความโดดเด่นมาก นักโดยเราคาดกำไรสุทธิเท่ากับ 5,808 ลบ. โดยสาเหตุมาจากรายได้ดอกเบี้ยที่คาดว่าจะลดลง 5.7% QoQ เนื่องจากอัตราการปล่อยสินเชื่อที่ลดลงตอดต่อกัน 2 เดือน นอกจากนี้ใน 3Q10E BBL ไม่มีการรับรู้รายได้จากการขายหุ้น ACL ส่งผลให้เราคาดกำไรสุทธิใน 3Q10E ลดลง 14.9% QoQ แต่เพิ่มขึ้น 14.6% YoY สินเชื่อของ BBL ล่าสุดในเดือน ส.ค. 53 ยังคงลดลงต่อเนื่อง โดยมีสาเหตุมาจากการปล่อยสินเชื่อในช่วงที่ผ่านมาเป็นการปล่อยสินเชื่อประเภทเงินหมุนเวียนเป็นหลัก ซึ่งช่วงที่ผ่านมามีการจ่ายคืนเงินต้นให้กับธนาคาร อย่างไรก็ตามเราคาดว่าอัตราการปล่อยสินเชื่อจะเพิ่มมากขึ้นในช่วง 4Q10E เนื่องจากเป็น High Season ของหลายอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นไปตามการเติบโตของ GDP ทั้งนี้ BBL ยังคงเป้าหมายการเติบโตของสินเชื่อไว้ที่ 6% YoY ซึ่งอาจมีการปรับประมาณการอีกครั้ง
มองว่า BBL เป็นธนาคารที่มีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง ขณะที่มีการเติบโตที่ค่อนข้างตามภาวะเศรษฐกิจ เนื่องจากกลุ่มลูกค้าของ BBL เป็นกลุ่มลูกค้าขนาดใหญ่ อย่างไรก็ตาม SSEC คาดว่าในช่วง 4Q10E – FY11E เราจะเห็นการลงทุนใหม่เพิ่มมากขึ้นเนื่องจากอุตสาหกรรมต่างๆเริ่มมีการขยายตัวซึ่งจะส่งผลบวกต่อ BBL เราจึงแนะนำ “ซื้อ” โดยให้มูลค่าเหมาะสมใน FY11E เท่ากับ 172.00 บาท

* บล.เอเซียพลัส คาด SCB กำไร 3Q53 โตถึง 28.2% สูงสุดรายไตรมาสรอบ 7 ปี แนะนำซื้อ Fair value 120 บาท
บทวิเคราะห์ บล.เอเซียพลัส ระบุว่า ฝ่ายวิจัยคาด SCB จะมีกำไรสุทธิใน 3Q53 เท่ากับ 6.81 พันล้านบาท เติบโตถึง 28.2% qoq ซึ่งเป็นกำไรระดับสูงสุดในรายไตรมาสในรอบ 7 ปี โดยคาดธนาคารฯ จะมีการบันทึกกำไรจากการขายหุ้นของ บ.กรุงเทพซินธิติกส์ฯ (เป็นหลักทรัพย์ที่ได้จากการปรับโครงสร้างหนี้ของลูกหนี้) จำนวน 5.14 แสนหุ้น มูลค่าสุทธิจากภาษีฯ รวม 770 ล้านบาท (ขายให้แก่ บ.เอสซีจี เคมิคอลล์ฯ) หากไม่รวมรายการดังกล่าว พบว่ากำไรจากการดำเนินงานใน 3Q53 ยังเติบโตถึง 13.5% qoq มาจากการเติบโตของทั้งรายได้ดอกเบี้ยสุทธิและรายได้มิใช่ดอกเบี้ยถึง 3.6% qoq และ 16.9% qoq ตามลำดับ โดยในส่วนของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิมีปัจจัยผลักดันจากการเติบโตของสินเชื่อสุทธิที่ทยอยฟื้นตัวต่อเนื่องอีก 1.5% qoq (โดยรวมแล้วสินเชื่อสุทธิใน 9M53 เติบโตถึง 4.8% จากสิ้นปี 2552 ยังสอดคล้องกับเป้าหมายทั้งปี 2553 ที่ 7.1% yoy ตามที่ฝ่ายวิจัยคาด) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการเติบโตของสินเชื่อรายใหญ่ที่เห็นสัญญาณบวกมากขึ้นในงวดนี้ จากโครงการต่างๆ ที่มีการเบิกใช้สินเชื่อที่ธนาคารฯ ได้อนุมัติไปในช่วงที่ผ่านมา ขณะที่ SME มีการเติบโตเพิ่มขึ้นเช่นกัน แม้จะยังไม่มากและต่ำกว่าเป้าหมายอยู่ แต่ยังคาดหวังได้กับการเติบโตเชิงรุกใน 4Q53 เพราะเป็นช่วงฤดูกาลของ SME ส่วนสินเชื่อรายย่อยนั้น กลุ่มที่ยังมีการเติบโตเชิงรุกต่อเนื่องคือสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ ขณะที่สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยเริ่มชะลอการเติบโตลงแล้วจากที่เติบโตโดดเด่นมากใน 1H53 โดยคาด NIM ใน 3Q53 จะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 3.64% จาก 3.46% ในงวดที่ผ่านมา โดยมีปัจจัยผลักดันจาก 1) การปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ทุกประเภทขึ้น 0.15% เมื่อปลายเดือน ก.ค.53 ที่ผ่านมา และ 2) การบันทึกเงินปันผลรับจากกองทุนวายุภักษ์สำหรับผลการดำเนินงาน 1H53 ที่มาราว 320 ล้านบาท สำหรับรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย คาดว่ารายได้ค่าธรรมเนียมฯ ยังมีแนวโน้มการเติบโตที่ดีต่อเนื่องตามการขยายสินเชื่อใหม่ๆ ที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งธุรกรรมด้าบบัตร ATM และบัตรเครดิตล้วนกระเตื้องขึ้นจาก 2Q53 ที่เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบในประเทศ ส่วนกำไรจากธุรกรรม Fx คาดว่าจะฟื้นตัวกลับสู่ระดับปกติที่เคยทำได้ราว 700 ล้านบาท จากที่หดตัวลงไปมากใน 2Q53 ที่ผ่านมา สำหรับประเด็นเรื่อง NPL และการตั้งสำรองหนี้ฯ ไม่มีประเด็นที่น่ากังวล โดยรวมแล้ว คาดกำไรสุทธิใน 9M53 จะเพิ่มขึ้นเป็น 1.85 หมื่นล้านบาท เติบโตถึง 15.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และคิดเป็น 80% ของประมาณการกำไรสุทธิทั้งปี 2553 ที่ฝ่ายวิจัยคาดฝ่ายวิจัยยังมีมุมมองบวกต่อทิศทางการดำเนินธุรกิจและการเติบโตของกำไรสุทธิของ SCB ใน 4Q53 และปี 2554 ซึ่งจะฟื้นตัวเต็มที่ ซึ่งอาจนำไปสู่การปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิอีกครั้ง หากการเติบโตของสินเชื่อรายใหญ่ยังคงเป็นไปในอัตราเร่งมากขึ้น จนทำให้การเติบโตของสินเชื่อสุทธิโดยรวมทั้งปี 2553 สูงเกินเป้าหมายที่ฝ่ายวิจัยคาดที่ 7.1% yoy และทิศทางอัตราดอกเบี้ยที่เข้าสู่ทิศทางขาขึ้น และสูงกว่าที่ฝ่ายวิจัยประเมินว่าอัตราดอกเบี้ยจะปรับตัวสูงขึ้น 75bp ในปี 2554 ทั้งนี้ กลยุทธ์ธุรกิจปี 2553 ของ SCB ที่ได้ปรับเปลี่ยนมาเน้นการให้บริการครบวงจรแก่ลูกค้าเป้าหมายในกลุ่มบริษัท Blue chip จะสามารถบรรลุเป้าหมายได้มากขึ้น หากความเชื่อมั่นด้านการลงทุนของภาคเอกชนเริ่มฟื้นตัว โดยเฉพาะโครงการในมาบตาพุดหลายโครงการที่ไม่เข้าข่ายโครงการรุนแรงที่จะเริ่มกลับมาผลิตเชิงพาณิชย์ได้ ผนวกกับโครงการลงทุนที่เกี่ยวเนื่องกับโครงการไทยเข้มแข็งที่ยังเดินหน้าต่อเนื่อง ล้วนเป็นปัจจัยบวกที่จะช่วยผลักดันการเติบโตของสินเชื่อและรายได้ค่าธรรมเนียมฯ ของ SCB ในปี 2553-54 ตามลำดับ
ฝ่ายวิจัยยังคงประมาณการผลการดำเนินงานปี 2553-54 และคำแนะนำซื้อ โดยกำหนด Fair value เท่ากับ 120 บาท อิง PBV 2.5 เท่าปี 2554 ภายใต้คาดการณ์ ROE ระยะยาวที่ 20% ซึ่งเป็นระดับที่สูงสุดในกลุ่ม ธ.พ. โดยราคาหุ้น SCB เริ่มสะท้อนพื้นฐานธุรกิจที่จะกลับมาเติบโตเชิงรุกมากขึ้นใน 2H53 และเต็มที่ทั้งปีในปี 2554 และคาดว่าจะสามารถ outperform ค่าเฉลี่ยกลุ่มฯ ในไม่ช้า นอกจากนี้ในภาวะที่อัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มเป็นทิศทางขาขึ้น จะยิ่งส่งผลบวกต่อแนวโน้มธุรกิจของ SCB จากการที่มีสัดส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากสูงถึง 104.8%

----------------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ตปท.
ข่าวต่างประเทศ
อินโดนีเซียวางแผนระดมทุนผ่านการประมูลพันธบัตร $335 ล้านวันที่ 28 ก.ย.นี้ กระทรวงการคลังอินโดนีเซียรายงานในวันนี้ว่า รัฐบาลอินโดนีเซียตั้งเป้าระดมทุนมูลค่า 3 ล้านล้านรูเปียห์ (335 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ด้วยการเปิดประมูลพันธบัตรในวันที่ 28 ก.ย.นี้ รัฐบาลอินโดนีเซียได้ลดการจำหน่ายพันธบัตรในปีนี้ลง 15 ล้านล้านรูเปียห์ (1.66 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) จากแผนการเดิมที่กำหนดว่าจะนำพันธบัตรออกจำหน่ายทั้งสิ้น178 ล้านล้านรูเปียห์ (1.926 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ) หลังจากสามารถลดยอดขาดดุลงบประมาณลงเหลือ 1.5% ของจีดีพี จากระดับ 2.1% (ที่มา: อินโฟเควสท์ 23-09-2010)
สิงคโปร์เผยดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนส.ค.พุ่ง 3.3% หลังต้นทุนการขนส่งทะยาน สำนักงานสถิติแห่งชาติสิงคโปร์รายงานในวันนี้ว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนส.ค.พุ่งขึ้น 3.3% เมื่อเทียบเป็นรายปี หลังจากต้นทุนการขนส่งปรับตัวสูงขึ้น และหากเทียบเป็นรายเดือน ดัชนี CPIเดือนส.ค.เพิ่มขึ้น 0.5% จากเดือนก.ค. ดัชนี CPI ที่พุ่งขึ้นในเดือนส.ค.สะท้อนให้เห็นว่า ภาวะเงินเฟ้อมีสาเหตุหลักมาจากต้นทุนด้านการขนส่งที่ทะยานขึ้น 9.0% อันเป็นผลมาจากราคารถยนต์และค่าเบี้ยประกันรถยนต์ที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่วนต้นทุนด้านที่อยู่อาศัยในเดือนส.ค.เพิ่มขึ้น 3.1% ส่วนใหญ่เป็นเพราะค่าไฟฟ้าและค่าที่พักอาศัยที่สูงขึ้น ขณะที่ราคาอาหารเพิ่มขึ้น 1.7% ซึ่งรวมถึงอาหารสำเร็จรูป ผลไม้ อาหารทะเลสด ข้าวและธัญพืชประเภทอื่นๆ ผลิตภัณฑ์นมและไข่ และเนื้อแช่แข็ง สำนักข่าวซินหัวรายงาน (ที่มา: อินโฟเควสท์ 23-09-2010)

----------------------------------------------------------------------------------

Code 162 : ศาลปกครองสูงสุด ระงับการประมูล 3G ต่อไป

วันพฤหัสที่ 23 กันยายน 2553
ATT Code : ศาลปกครองสูงสุด ระงับการประมูล 3G ต่อไป

----------------------------------------------------------------------------------
MARKET WAVE Analysis
23 กย. 53 ( +7.79 จุด) โกมล พงศ์วิญญู เลขทะเบียน 18338


เกิน 948.02 ขึ้นต่อ 951 – 958 จุด
แนวโน้มระยะสั้นในวันพฤหัสนี้ ถ้าเกิน 948.02 จุดสูงสุดวันพุธได้ ดัชนีสามารถปรับตัวขึ้นต่อแถว 951 – 958 จุด

แต่ถ้าไม่สามารถปรับตัวเกิน 948.02 ในวันพฤหัสได้ ดัชนีมีโอกาสที่จะปรับฐาน“ชั่วคราว” แถว 935 – 938 จุด

ขณะที่ภาพโดยรวมแล้ว ตลาดยังอยู่ในแนวโน้มหลัก “ขาขึ้น” มีเป้าหมายประมาณเดือน พย. บริเวณ 1040 – 1050 จุด หรือเท่ากับระยะทางนับจากจุดต่ำสุดวันที่ 9 มิย. ถึงจุดสูงสุดวันที่ 6 สค. ในรูปแบบของ DoubleZigzag wave

หุ้นเด่น
BAY
มีโอกาสปรับตัวในคลื่น 4 เพื่อรอขึ้นต่อคลื่น 5 ภาพระยะวัน ทยอยซื้อแถว 21.70 – 22.00 หรือซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 22.10 จุดสูงสุดวันพุธ เป้าหมายหนึ่งถึงสองวัน 22.50 – 22.80 ( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 21.60 )

PTTCHปรับตัวทะลุกรอบสามเหลี่ยม ภาพระยะวันขึ้นมาได้ ทยอยซื้อแถว 127.00 – 128.00 หรือซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 132.50 จุดสูงสุดวันพุธเป้าหมายสองสามวัน 139.00 – 144.00 ( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 124.50 )

10 อันดับซื้อขายสูงสุด
PTT เกิน 294 ขึ้น 297 - 300
PTTCH รายละเอียดใน “หุ้นเด่น”
BANPU เกิน 682 ขึ้น 688 - 694
SCB เกิน 97 ขึ้น 98 - 99
KTB เกิน 15.80 ขึ้น 16 – 16.20
KBANK เกิน 112.50 ขึ้น 114 - 116
ADVANC ไม่ต่ำกว่า 91.50 ขึ้น 93 - 94
TRUE แกว่งตัว 4.86 – 5.15
PTTEP ไม่ต่ำกว่า 144.50 ขึ้น 148 – 149
BAY รายละเอียดใน “หุ้นเด่น”

----------------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย
FSS : ตลาดอาจมีแกว่งผันผวนบ้าง แต่ยังเน้นถือเพื่อรอจังหวะขายที่ 950 หรือสูงกว่า
แนวโน้ม: FSS คาดว่าเช้านี้นักลงทุนส่วนใหญ่ยังจับตาดูผลการตัดสินของศาลปกครองสูงสุด เกี่ยวกับการยื่นอุทธรณ์ของ กทช. ต่อคำสั่งระงับการประมูล 3G ของศาลปกครองกลาง แต่มองว่า ถ้าศาลฯ ไม่รับคำอุทธรณ์ซึ่งจะทำให้การประมูลต้องระงับไว้ก่อนต่อไปนั้น น่าจะส่งผลกระทบต่อ SET ไม่มากแล้ว เนื่องจากนักลงทุนได้รับข่าวไปเรียบร้อยแล้ว และช่วงที่ผ่านมาได้มีแรงขายในหุ้นกลุ่มสื่อสารออกมาพอสมควรด้วย แต่ถ้าศาลฯ รับคำอุทธรณ์ซึ่งอาจส่งผลให้มีการเปิดประมูลต่อไป จะถือเป็นข่าวดีค่อนข้างมากต่อราคาหุ้นในกลุ่มสื่อสารและ Sentiment โดยรวมของตลาดได้ อย่างไรก็ตามจากแรงขายในตลาดหุ้นบ้านเราช่วงบ่ายวานนี้ที่มีออกมากดดันอยู่ตลอด แม้ว่าจะไม่ทำให้ SET ปรับตัวลดลง แต่ก็ส่งผลให้ดัชนีขยับขึ้นต่อเนื่องจากช่วงเช้าไม่ได้ รวมทั้งภาวะตลาดหุ้นต่างประเทศในเช้าวันนี้ที่หลายแห่งปรับตัวลงเป็นลบ ทำให้เราคาดว่า SET วันนี้จะค่อนข้างแกว่งตัวผันผวน และมีโอกาสที่จะปรับพักตัวลงไปแถว 940 จุดหรือต่ำกว่าก่อนได้ อย่างไรก็ตามจากเม็ดเงินของนักลงทุนต่างประเทศที่ยังคงมีเข้ามาในตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดเมื่อวานนี้มียอดซื้อสุทธิสูงถึงกว่า 4 พันล้านบาทอีกครั้ง ซึ่งเป็นยอดซื้อสุทธิต่อวันสูงสุดในรอบ 7 เดือนด้วย FSS จึงยังมองว่าการแกว่งตัวลงของ SET ช่วงนี้ยังเป็นจังหวะเลือกหุ้นเข้ารับเพื่อรอรอบรีบาวด์กลับขึ้นไปให้ทำกำไรได้อยู่ โดยเป้าหมายรอบนี้เรายังมองไว้ที่บริเวณ 950-960 จุดอยู่เช่นเดิม
กลยุทธ์: ตลาดอ่อนตัวลงยังเลือกหุ้นซื้อได้ แล้วแนะนำให้เน้นเป็นถือต่อเนื่อง เพื่อรอหาจังหวะ ขายทำกำไรใหม่อีกครั้งเมื่อดัชนีขึ้นไปแถว 950-960 จุด โดยหุ้นที่ยังน่าสนใจในช่วงนี้ได้แก่ STEC, CK,TTCL, SEAFCO, SYNTEC, TASCO, DCC, SPALI, LPN, TVO, KCE, SIRI, SITHAI, GFPT, PTTAR, GLOW และ BANPU เป็นต้น
ประเด็นสำคัญวันนี้
• (-) 3G ลุ้นคำตัดสินของศาลปกครองสูงสุดวันนี้ เราเชื่อว่ามีโอกาสสูงที่ศาลปกครอง สูงสุดจะยืนตามศาลปกครองกลาง คือเลื่อนการประมูล 3G ไปไม่มีกำหนด จึงมีความเสี่ยงที่ ราคาหุ้น TRUE, DTAC, ADVANC จะปรับลงอีก โดยเฉพาะ TRUE ที่อายุสัมปทานเหลือเพียง 3 ปี ขณะที่ถ้ารอ กสทช. จัดประมูล 3G อย่างเร็วคือ 2 ปี ขณะที่ทั้ง ADVANC และ DTAC น่าจะจ่ายปันผลพิเศษได้ทั้งคู่ แต่ถ้าศาลปกครองสูงสุดกลับคำตัดสินของศาลปกครองกลาง กทช. จะเดินหน้าประมูล 3G ใน 2 – 3 วันข้างหน้า ราคาหุ้นทั้ง 3 ตัว รวมไปถึงกลุ่มแบงก์ และหุ้นเก็งกำไรขนาดเล็ก JAS, JTS, SAMART, SAMTEL จะถูกเก็งกำไรอีกครั้ง TRUE น่าจะถูกเก็งกำไรมากสุด ซึ่งถ้าชนะประมูล เราจะแนะนำขาย Sell on fact หลังประกาศผลอยู่ดี สำหรับการแปรสัมปทานหรือขยายอายุสัญญาไม่ใช่ทางออกที่ดีกับผู้ประกอบการ
• (+) TTCL ชนะงานประมูลโรงไฟฟ้า SPP ของบริษัทนวนครการไฟฟ้า (ปทุมธานี) กำลัง การผลิต 110 เมกะวัตต์ มูลค่า 3.9 พันล้านบาท ทยอยรับรู้รายได้ 2 ปี (4Q10 – 3Q12) ทำ ให้ Backlog เพิ่มเป็น 1.1 หมื่นล้านบาท โครงการนี้รวมอยู่ในประมาณการของเราอยู่แล้ว บริษัทกำลังเข้าประมูลงานอีก 5.45 หมื่นล้านบาท และมีศักยภาพที่จะได้งานอีกมากในอนาคต เราคงราคาเป้าหมายปีหน้า 12 บาท แนะนำซื้อ
• (0) PTT ถอนเข้าร่วมประมูลซื้อคาร์ฟูร์ ทำให้ผู้ร่วมประมูลเหลือ 3 รายคือ BIGC, BJC, และกลุ่มบริษัทเซ็นทรัล เราเชื่อว่าทั้ง 3 รายนี้มีฐานะการเงินที่พร้อม แต่ทั้งนี้ต้องดูราคาที่ ประมูลได้ว่าจะแพงไปหรือไม่ โดย Carrefour เคยระบุว่าต้องการขายกิจการทั้ง 3 ประทศคือ ไทย มาเลเซีย และสิงคโปร์ รวม US$1,000 ล้านบาท ปี 2009 Carrefour ขาดทุน 314 ล้าน บาท ขณะที่ปี 2007 – 08 กำไรปีละ 430 – 554 ล้านบาท หุ้น BIG, BJC เป็นหุ้นพื้นฐานดีทั้ง คู่ มีศักยภาพในการเติบโตแม้ไม่มี Carrefour ราคาเป้าหมายของ BIGC ปัจจุบันเท่ากับ 68 บาท ส่วน BJC เป้าหมายของ Consensus 24.80 บาท
• Fund Flow ไหลเข้าตลาดหุ้นภูมิภาคต่อเนื่องเป็นวันที่ 8 ติดต่อกัน แม้ปริมาณไม่มาก เนื่องจากตลาดหุ้นเกาหลีใต้และไต้หวันปิดทำการ แต่เข้าซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยมากเป็น พิเศษ แม้ยังไม่มีปัจจัยใหม่เข้าสู่ตลาด แต่อย่างไรก็ตามภาวะเศรษฐกิจสหรัฐที่เฟดบอกว่ายัง น่าเป็นห่วงยิ่งกดดันค่าเงินดอลลาร์ให้เสื่อมค่าลงต่อเนื่อง ในขณะเดียวกันฝั่งปัญหาหนี้ใน ยุโรปน่าจะคลี่คลายมากขึ้นหลังการประมูลพันธบัตรได้รับการตอบสนองอย่างดี ทำให้ค่าเงินยูโรแข็งค่าขึ้นอย่างเห็นได้ชัน ดังนั้นเม็ดกระแสเงินลงทุนต่างชาติก็จะยังไหลเข้าภูมิภาคเอเชียที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงที่สุดในโลกอย่างต่อเนื่องเช่นกัน แม้ค่าเงินบาทเช้านี้ทรงตัวและธนาคารแห่งประเทศไทยอาจออกมาตรการแทรกแซงตามที่กระทรวงการคลังเสนอ แต่เชื่อว่าไม่ใช้ยาแรงและวันนี้ตลาดภูมิภาคยังปิดทำการต่อเนื่อง

ข่าวภายในประเทศ
“มาร์ค”ส่งซิกคำสั่งศาล ยื่นศาลรธน.ตีความกทช. TRUE สยองขวัญ! 3G สะดุด เชื่ออนาคตมืดมนทันที “มาร์ค” ส่งซิกคำสั่งศาลปกครองสูงสุดเช้าวันนี้ อาจส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความอำนาจ กทช. ก่อน แย้มอาจใช้โครงข่ายร่วมกัน สั่งไอซีที-คลังหาทางออกเผื่อเลือกไว้สำรอง ส่วนหุ้นTRUE สยองขวัญแน่ เหตุไลเซนส์ 3G เป็นความหวังเดียวต่อการลงทุนธุรกิจโทรคมนาคมในอนาคต เพราะที่ผ่านมาต้นทุนสูงกว่าเพื่อน แถมอายุสัมปทานระบบ 2G เหลือแค่ 3 ปี เชื่อแห้ว 3G ครั้งนี้หุ้น TRUE ไร้ความน่าสนใจทันที (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 23-09-2010)
TTCL ฮุบอีก4พันล้านงานโรงไฟฟ้านวนคร TTCL คว้างานโรงไฟฟ้ามูลค่า 4,000 ล้านบาท ของค่าย “นวนครการไฟฟ้า” รับรู้รายได้ทันทีไตรมาส 4 และรับรู้ต่อเนื่องประมาณ 1,200 ล้านบาทต่อปี งานในมือทะลุ 1 หมื่นล้านบาท ส่งผลให้ผลประกอบการทั้งปีโตตามเป้าตั้งไว้ 7-8 พันล้านบาท พร้อมเข้าประมูลงานอีก 1.75 หมื่นล้านบาท (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 23-09-2010)
DTAC ไม่สน 3G สะดุดโชว์งบ Q3 กำไร 3 พันล. DTAC แรงไม่หยุดลูกค้าใหม่เพิ่ม 2 แสนราย แม้ 3 จีคลุมเครือ เชื่อ กสทช. เกิดได้อีก 2 ปีข้างหน้า โบรกฯแห่เชียร์ซื้อลงทุนประเมินกำไร Q3 ทะลุ 3,000 ล้านบาท จากรายได้รวม 19,000 ล้านบาท แรงผลักขายสมาร์ทโฟน-นอนวอยซ์และบันทึกค่าไอซีกว่า 700 ล้านบาท (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 23-09-2010)
MK ยอดขายพุ่ง 1.7 พันล้านบาท ปีนี้รายได้ 2.8 พันล้านต่ำกว่าเป้า Q4 เปิด 2 โครงการ MK ยอดขายพุ่ง 1,700 ล้านบาท แต่ทั้งปีคาดทำได้ 2,800 ล้านบาท ต่ำกว่าเป้า 3,000 ล้านบาท เหตุบางโครงการเปิดล่าช้า ขณะที่รายได้ปีนี้หลุดเป้าทำได้แค่ 2,800 ล้านบาท ส่วนไตรมาส 4 ลุยเปิด 2 โครงการ มูลค่า 1,200 ล้านบาท เร่งระบายสต๊อกบ้านสร้างก่อนขาย 100 หลัง มูลค่ารวม 400 ล้านบาทให้หมดภายในปีนี้ ล่าสุดจับมือ BAYจัดแคมเปญจับแจกทองคำแท่งหนัก 25 บาท สำหรับลูกค้าที่ซื้อบ้านสร้างก่อนขายของ “ชวนชื่น” และใช้บริการสินเชื่อของ BAY ตั้งแต่วันนี้ ถึง 31ธ.ค.นี้ (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 23-09-2010)
QH เปิดแบรนด์ใหม่รุกบ้านหรูเสริมทัพบุกตลาด 5.99-14 ล้าน “ควอลิตี้ เฮ้าส์” เปิดแบรนด์ใหม่บ้านหรู “วรารมย์ Premium” เจาะกลุ่มลูกค้าตลาดบ้านระดับ 5.99-14 ล้านบาท นำร่องเปิดโครงการแรก “วรารมย์ Premium วัชรพล-จตุโชติ” มูลค่ากว่า 1,700 ล้านบาท ประเดิมราคาเริ่มต้น5.99 ล้านบาท ขณะที่โบรกฯแนะนำ "ซื้อ" ราคาเป้าหมายปีหน้า 3.30 บาท หลังแนวโน้มการขายคอนโดฯดีขึ้นต่อเนื่อง คงประมาณการกำไรปีนี้โต 22.71% (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 23-09-2010)
TYM จ่อดึงพันธมิตรลุยโรงเหล็ก ลั่นใช้เงินลงทุนพันล้าน ย้ำกำไรปีนี้โตตามนัด 20% TYM จับมือพันธมิตรลงทุนสร้างโรงเหล็ก ใช้เงินลงทุนกว่า 1,000 ล้านบาท คาดได้เห็นปีหน้า ขณะที่อยู่ระหว่างเจรจาพันธมิตร 2-3 ราย เตรียมเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 16 ชม./วัน หลังมีออเดอร์ล่วงหน้ายาวถึงเดือนตุลาคม และรองรับลูกค้าใหม่ที่จะเข้ามาด้วย ย้ำรายได้-กำไรทั้งปีโต 20% ตามเป้า (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 23-09-2010)
MILLเพิ่มทุน 258 ล้านบาทปันผลครึ่งปีแรก 0.03 บาท MILL เพิ่มทุน 258.27 ล้านบาท ออกเป็นหุ้นสามัญและหุ้นบุริมสิทธิรวมกว่า 645.68 ล้านหุ้น เสนอขายนักลงทุนเฉพาะเจาะจง ราคาขายสูงกว่าตลาด ดึงสถาบันการเงินยุโรปร่วมทุน พร้อมปันผลระหว่างกาล 0.03 บาท/หุ้น กำหนดจ่าย 12 พ.ย. 53 นี้ (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 23-09-201

E Finance Thai : ดัชนีทุบสถิติ14ปี-เตือนพันจุดเกินพื้นฐาน
ดัชนีหุ้นไทยทุบสถิติสูงสุดในรอบ 14 ปี!! แตะ 948.02 จุด โบรกเกอร์-ผู้จัดการกองทุน-นักลงทุนรายใหญ่ ประสานเสียงได้เห็น 1000 จุดแน่ ภายในสิ้นเดือนนี้-ต้นเดือนหน้า เหตุฝรั่งยังขนเงินซื้อสุทธิต่อเนื่องอย่างน้อยอีก 1-2 สัปดาห์ ด้านนักวิเคราะห์แนะเลือกซื้อหุ้นพื้นฐานดี ผลประกอบการไตรมาส3/53 แจ่ม กลุ่มธนาคารเด่นสุด ส่วน "เสี่ยปู่"เตือนราคาหุ้นเกินพื้นฐานแล้ว ไล่ซื้อระวังติดยอดดอย
อานิสงส์เงินทุนต่างชาติที่ไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยต่อเนื่องช่วยดันดัชนีหุ้นไทยทำสถิติใหม่อีกครั้ง โดยวันนี้(22 ก.ย.53)ดัชนีพุ่งขึ้นแตะ 948.02 จุด สูงสุดในรอบ 14 ปี นับตั้งแต่ปี 39 ก่อนที่จะย่อตัวลงมาปิดที่ระดับ 945.00 จุด เพิ่มขึ้น 7.79 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 42,363.19 ล้านบาท
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ ผู้จัดการกองทุน และนักลงทุนรายใหญ่ ต่างมองเหมือนกันว่าดัชนีหุ้นไทยจะขึ้นไปแตะ 1000 จุด ค่อนข้างแน่ โดยอาจจะเห็นเร็วกว่าที่คาดไว้คือช่วงสิ้นเดือนนี้-ต้นเดือนหน้า เนื่องจาก Fund Flow ยังมีแนวโน้มไหลเข้าตลาดหุ้นต่อเนื่อง หลังจากซื้อสุทธิไปแล้วกว่า 1 แสนล้านบาท โดยบางแห่งระบุว่าฝรั่งจะยังซื้อสุทธิต่ออีกอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ ก่อนที่จะทยอยขายออกในช่วงเดือนตุลาคม
ส่วนกลยุทธ์การลงทุนมีมุมมองที่แตกต่างกันออกไป โดยผู้จัดการกองทุนเชื่อว่าตลาดหุ้นไทยเข้าสู่ภาวะ"Bull Market"แล้ว ดังนั้นจึงยังสมารถเข้าซื้อหุ้นพื้นฐานดีได้อยู่ ขณะที่นักลงทุยรายใหญ่เตือนว่าดัชนีหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นมามาก ราคาหุ้นบางตัวเกินพื้นฐานแล้ว ดังนั้นจึงต้องใช้ความระมัดระวังในการลงทุน ส่วนนักวิเคราะห์แนะซื้อหุ้นที่กำลังจะประกาศผลประกอบการไตรมาส 3/53 อย่างธนาคารพาณิชย์ และกลุ่มพลังงานที่ได้รับความสนใจจากต่างชาติ

*****กิมเอ็งมั่นใจได้เห็น1000จุด สิ้นเดือนนี้-ต้นเดือนหน้า
นางสาวมยุรี โชวิกรานต์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กิมเอ็ง กล่าวว่า มีโอกาสที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยจะขึ้นไปแตะที่ระดับ 1000 จุดในสิ้นเดือนนี้หรือต้นเดือนหน้า เนื่องจากเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติยังไหลเข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่อง และจะเพิ่มมากขึ้นหลังผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ส่งสัญญาณผ่อนคลายนโยบายทางการเงิน ดังนั้น เม็ดเงินต่างชาติจะไหลมาลงทุนในภูมิภาคเอเชียแน่นอน เพราะนักลงทุนยังไม่มั่นใจที่จะนำเงินลงทุนในยุโรปและสหรัฐ หลังยังกังวลภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของทั้ง 2 ประเทศ
ทั้งนี้ บริษัทจะไม่มีการปรับคาดการณ์ดัชนีตลาดหุ้นไทยใหม่ เพราะเดิมได้คาดการณ์ไว้อยู่แล้วว่าจะปรับขึ้นไปถึง 1000 จุดในปีนี้ และในช่วงนี้หุ้นกลุ่มที่น่าสนใจ บริษัทให้น้ำหนักกับกลุ่มธนาคารพาณิชย์ เพราะเป็นช่วงของการประกาศผลประกอบการไตรมาส 3 ซึ่งเมื่อเทียบ YOY และ QOQ กลุ่มแบงก์น่าจะโดดเด่นที่สุด
ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุน แนะนำซื้อหุ้นบิ๊กแคป โดยเฉพาะกลุ่มแบงก์ แนะนำ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)หรือ KTB และธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK ส่วนกลุ่มพลังงาน แนะนำ บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP แต่คงไม่สามารถให้ราคาเป้าหมายได้ เพราะช่วงนี้ราคาขึ้นเคลื่อนไหวตามแรงซื้อของต่างชาติ
ด้านนายเจริญ เอี่ยมพัฒนธรรม รองกรรมการผู้จัดการ บล.เคที ซีมิโก้ กล่าวว่า คาดว่าภายในปีนี้น่าจะได้เห็นดัชนีที่ 1000 จุดอย่างแน่นอนหากเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติยังไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เพราะตามประมาณการเดิมของบริษัทก็คาดการณ์ไว้อยู่แล้ว และคงไม่ต้องปรับเปลี่ยนเป้าหมายดัชนีใหม่
สำหรับหุ้นที่น่าลงทุนในช่วงนี้ น่าจะเป็นกลุ่มแบงก์และพลังงาน โดยกลยุทธ์การลงทุนช่วงนี้ ควรถือไว้ก่อนเพื่อความปลอดภัย เพราะในช่วงนี้เงินไหลเข้าออกของต่างชาติคาดการณ์ได้ยาก อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรจะเทขายทำกำไรเป็นบางส่วนด้วยหากดัชนีปรับเพิ่มขึ้นไปอีก เพื่อรอจังหวะที่ดัชนีปรับลดลงจะได้มีเงินเข้าไปซื้อได้

***** บลจ.อยุธยาคอนเฟิร์มหุ้นไทยเข้าสู่ภาวะ"Bull Market"
นายประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.)อยุธยา จำกัด กล่าวว่า การเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นในช่วงที่ผ่านมา เป็นการยืนยันว่า หุ้นไทยเข้าสู่ภาวะ "Bull Market" โดยเป็นการเพิ่มในอัตราที่สูง และยังมีโอกาสที่จะปรับขึ้นได้ต่อเนื่อง แม้จะเกิดการปรับฐานบ้างเป็นระยะก็ตาม อย่างไรก็ตามคาดว่า ดัชนีหุ้นไทยในสิ้นปีนี้จะขึ้นไปแตะระดับ 1,000-1,050 จุดได้ เพราะมีปัจจัยบวกจากกระแสเงินลงทุนที่ยังมีแนวโน้มที่จะไหลเข้ามาในเอเชีย รวมถึงไทย ขณะที่กำไรของบริษัทจดทะเบียนยังเติบโตได้ 15-20% และค่าพี/อี ที่เฉลี่ยแล้ว ยังต่ำกว่าภูมิภาค
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นไทยยังได้แรงหนุนจากพื้นฐานเศรษฐกิจที่ดี ความมั่นใจใน ภาคธุรกิจต่างๆ ที่เพิ่มขึ้น รวมถึงความคืบหน้าของโครงการลงทุนรถไฟความเร็วสูง ที่จะ
เป็นตัวแปรในการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ เพราะจะทำให้เกิดการก่อสร้างทางรถไฟทั่วประเทศ และทำให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เติบโตตามมา และการมีรถไฟความเร็วสูงเกิดขึ้น จะทำให้การท่องเที่ยว การค้าขาย และ การเชื่อมต่อระหว่างไทยกับเอเชีย มีประสิทธิภาพมากขึ้นในอนาคต ทั้งนี้ ยังมีหุ้นที่สามารถเห็นการเติบโตของกำไรได้ในระดับ 20-30% ต่อปี ในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นกลุ่มที่น่าสนใจเข้าลงทุน

***** "เสี่ยปู่"เชื่อได้เห็นพันจุด แต่เตือนราคาหุ้นแพงแล้ว
นายสมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล หรือเสี่ยปู่ นักลงทุนรายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยกับ eFinanceThai.com ว่า หลังจากที่ SET Index ปรับขึ้นแรง
เกือบแตะ 1,000 จุด โดยส่วนตัวต้องการเตือนให้นักลงทุนระวังระมัด เนื่องจากมีความเสี่ยงสูง เพราะราคาหุ้นในกระดานสูงกว่าปัจจัยพื้นฐานมากแล้ว ซึ่งไม่เหมาะสำหรับการเข้าไปลงทุน โดยส่วนตัวในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมาจึงลดพอร์ตการลงทุนมูลค่าหลายพันล้านบาทลง
"ราคาหุ้นแพงเกินไปแล้ว ผมจึงลดพอร์ตการลงทุน โดยที่ผ่านมาขายหุ้น CPF แต่หุ้นที่ยังถูก พื้นฐานดีผมยังถือไว้ ส่วนหุ้นที่ขายออกมาแล้วถ้าราคาถูกลงคงกลับเข้าไปซื้อเพิ่ม สำหรับดัชนีฯ ในปีนี้มีโอกาสถึง 1,000 จุด ไหม ส่วนตัวคาดว่าน่าจะมีโอกาสถึง เพราะเหลือไม่กี่จุด ต่างชาติยังคงเข้ามาลงทุนในไทย เพราะมองว่าหุ้นในภูมิภาคนี้ยังถูก ได้รับผลดีจากอัตราแลกเปลี่ยน ดีกว่าการลงทุนในยุโรปและอเมริกา' นายสมพงษ์ กล่าว
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาหลังจากดัชนีฯ ปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนไปแล้วประมาณ 30-40% โดยหุ้นที่เลือกลงทุนส่วนใหญ่จะเน้นปัจจัยพื้นฐานที่ดี จ่ายเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งราคาไม่สูงมากเกินไป

***** ASPคาดฝรั่งขนเงินซื้ออีกอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์
บทวิเคราะห์ บล.เอเซียพลัส(ASP) ระบุว่า Fund Flow ไหลเข้าตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง โดยรอบแรกของปีนี้เข้ามาแล้วเกือบ 6 หมื่นล้านบาท ขณะที่ในรอบนี้นับจากวันที่ 23 ก.ค. 53 เป็นต้นมา มียอดซื้อสุทธิเข้ามาแล้ว 4.1 หมื่นล้านบาท ซึ่งแรงซื้อที่เพิ่มขึ้นในช่วงนี้เป็นไปในลักษณะเดียวกับประเทศเพื่อนบ้าน ที่เข้ามาซื้อสุทธิในตลาดหุ้นภูมิภาคเอเชียเกือบทุกแห่ง ด้วยมูลค่าราว 290 ล้านเหรียญฯ และเป็นการเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นวันที่ 3
ปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้ค่าเงินในภูมิภาคเอเชียตั้งแต่ต้นสัปดาห์ถึงปัจจุบันแข็งค่าขึ้นเฉลี่ยราว 0.37% ขณะที่ค่าเงินบาทยังคงทรงตัวใกล้ระดับแข็งค่าสุดในรอบ 13 ปี ที่ 30.74 บาทต่อเหรียญฯ เนื่องจาก Fund Flow ยังคงไหลเข้าในตลาดตราสารหนี้อีก 3.7 พันล้านบาททำให้ยอดซื้อสุทธิในตลาดตราสารหนี้ จากต้นปีจนปัจจุบันสูงราว 1.74 แสนล้านบาท
ด้วยปัจจัยดังกล่าวข้างต้นฝ่ายวิจัยจึงคาดหมายว่าFund Flow น่าจะยังคงไหลเข้าต่ออีกอย่างน้อยราว 1-2 สัปดาห์ และเป็นปัจจัยสำคัญหนุนให้ SET ผ่านแนวต้าน 944 จุด และสร้างจุดสูงสุดใหม่ในรอบปีนี้ได้อีกครั้ง ก่อนที่ Fund Flow จะเริ่มไหลออกในช่วงเดือน ต.ค. ตามผลของฤดูกาล

***** KGIชี้บาทแข็งค่าต่อเนื่องหนุนทุนไหลเข้า
บทวิเคราะห์ บล.เคจีไอ(KGI) ระบุว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยมีแรงหนุนจากความชัดเจนที่มากขึ้นใน 2 ประเด็นหลักๆ เรื่องแรกคือมาตรการคุมเงินทุนไหลเข้าในตลาดพันธบัตร หลังจากผู้ว่า ธปท. ชี้ว่าทุนต่างชาติที่เข้าตลาดพันธบัตรเป็นเรื่องปกติในระดับภูมิภาค และจะยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายในระยะนี้ ซึ่งเรามองว่าจนกว่าดร. ธาริษาจะเกษียณอายุในสิ้นเดือน ก.ย. คงยังไม่มีอะไรน่ากลัวประกาศออกมา เรื่องที่สองคือการประชุม ธ.กลางสหรัฐฯ (เฟด)ตรึงดอกเบี้ยไว้ที่ 0-0.25% แต่เตือนถึงการว่างงานสหรัฐฯ ที่อยู่ในระดับสูงและที่สำคัญกว่านั้นและเป็นการเตือนครั้งแรกคือความเสี่ยงของเงินฝืด (Deflation) เราจึงมองว่ามีโอกาสสูงที่เฟดจะมีมาตรการเพิ่มสภาพคล่องในระบบอีกในอนาคตอันใกล้
จากปัจจัยต่างๆ ที่กล่าวมา KGI คาดว่าค่าเงินเอเชียและเงินบาทจะแข็งค่าต่อ เนื่องจากสัญญาณอ่อนแรงของสหรัฐฯ ผนวกกับมาตรการที่อาจออกเพิ่มในอนาคต น่าจะกลับมากดดันสกุลเงินดอลล่าร์ฯ อีกครั้ง ซึ่งจะทำให้เงินทุนไหลเข้ามาในเอเชียต่อเนื่อง


----------------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ตปท.
ข่าวต่างประเทศ

สหรัฐอเมริกา: สหรัฐเผยสต็อกน้ำมันดิบสัปดาห์ที่แล้วเพิ่มขึ้นเหนือความคาดหมาย 970,000 บาร์เรล สำนักงานสารสนเทศด้าน
การพลังงานของรัฐบาลสหรัฐเปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุด ณ วันที่ 17 ก.ย.เพิ่มขึ้น 970,000 บาร์เรล สู่ระดับ 358.34 ล้านบาร์เรล สวนทางกับที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะลดลง 1.9 ล้านบาร์เรล ขณะที่สต็อกน้ำมันกลั่นเพิ่มขึ้น 347,000 บาร์เรล มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 300,000 บาร์เรล และสต็อกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 1.59 ล้านบาร์เรล แตะที่ระดับ 226.06 ล้านบาร์เรล สวนทางกับที่คาดว่าจะลดลง 100,000 บาร์เรล ส่วนอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันเพิ่มขึ้น 0.2% สู่ระดับ 87.8% สวนทางกับที่คาดว่าจะลดลง 0.6%(ที่มา: อินโฟเควสท์ 23-09-2010)
เอเชีย: อินโดนีเซียปรับเพิ่มคาดการณ์จีดีพีปีหน้าเป็น 6.4% หลังแนวโน้มการลงทุนสดใส อินโดนีเซียปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจปี 2554 เป็น 6.4% จากเดิมซึ่งคาดการณ์ไว้ที่ 6.3% เนื่องจากรัฐบาลมีมุมมองที่เป็นบวกต่อแนวโน้มการลงทุน อันเนื่องมาจากการคาดการณ์ที่ว่าอันดับความน่าเชื่อถือตราสารหนี้ของประเทศจะได้รับการปรับปรับทบทวนขึ้นในปีหน้า (ที่มา: อินโฟเควสท์ 22-09-2010)
เอเชีย: ขุนคลังอินโดนีเซียประกาศแผนขึ้นสัดส่วนภาษีจากเดิมที่ระดับ 12% นายอากุส มาร์โตวาร์โดโจ รัฐมนตรีคลังอินโดนีเซียประกาศแผนขึ้นสัดส่วนภาษีจากระดับ 12% ในปัจจุบัน ระบุสัดส่วนภาษีของอินโดนีเซียอยู่ในระดับที่ต่ำมากเมื่อเทียบกับสัดส่วนภาษีที่ 30% ในกลุ่มประเทศสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ อินโดนีเซียถูกมองว่าเป็นประเทศที่มีสัดส่วนภาษีน้อยที่สุดในกลุ่มประเทศอาเซียน เมื่อเทียบระหว่างรายได้ภาษีกับตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) (ที่มา:อินโฟเควสท์ 22-09-2010)
เอเชีย: บอร์ดแบงค์ชาติญี่ปุ่นแย้มบีโอเจอาจผ่อนคลายนโยบายการเงินอีกหลังแนวโน้มศก.สหรัฐยังผันผวน ริวโสะ มิยาโอะ หนึ่งในสมาชิกคณะกรรมการธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) กล่าวว่า บีโอเจอาจจะผ่อนคลายการดำเนินการด้านการเงินเพิ่มเติมอีก ขณะที่บีโอเจยังคงระมัดระวังและเตรียมความพร้อมอยู่ตลอด หลังจากที่แนวโน้มของเศรษฐกิจสหรัฐมีความผันผวนมากยิ่งขึ้น สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า บอร์ดของบีโอเจรายนี้ กล่าวปราศรัยที่เมืองโตคูชิม่าวันนี้ว่า บีโอเจจะยังคงคิดตามสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและราคาต่อไป และจะดำเนินการและใช้วิธีการที่เหมาะสมอย่างทันท่วงที หากพิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นเรื่องที่จำเป็น ตอนนี้แนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐมีความผันผวนสูง ญี่ปุ่นจึงต้องระวังปัจจัยเสี่ยงที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศ (ที่มา: อินโฟเควสท์ 22-09-2010)
เอเชีย: ธนาคารกลางมาเลเซียเผยสำรองเงินตราต่างประเทศสูงขึ้นแตะ 9.59 หมื่นล้านดอลล์ ธนาคารกลางมาเลเซียเปิดเผยว่า ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของมาเลเซีย ณ วันที่ 15 ก.ย. 2553 อยู่ที่ 3.133 แสนล้านริงกิต (9.59 หมื่นล้านดอลลาร์) ซึ่งสูงขึ้นจากระดับ 3.113 แสนล้านริงกิต (9.52 หมื่นล้านดอลลาร์) เมื่อวันที่ 30 ส.ค. สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สำรองเงินตราต่างประเทศของมาเลเซียนั้น สูงกว่าหนี้ต่างประเทศระยะสั้นอยู่ 4.3 เท่า (ที่มา: อินโฟเควสท์ 22-09-2010)

----------------------------------------------------------------------------------

Code 161 : ผ่าน 945 ได้ ก็สวยและดูดี

วันพุธที่ 22 กันยายน 2553

ATT Code : ผ่าน 945 ได้ ก็สวยและดูดี
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อครับ SET วันนี้ ปิดได้ตรงเป๊ะพอดีครับที่ 945 จุด ไม่ขาดไม่เกิน อะไรจะขนานนั้น บวกไป 7.79 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 4.2 หมื่นล้านบาท โดยกลุ่ม PTT ก็เป็นตัวนำตลาด พร้อมกับกลุ่มแบงค์ก็ช่วยกันดันตลาดขึ้นมาบวกได้ในวันนี้ โดยมีจุดเปลี่ยนที่สำคัญตรง 945 จุด โดยถ้าผ่านตรงนี้ได้ก็มีโอกาสที่จะไปต่อได้ ซึ่งตลาดก็ปิดตรง 945 นี้พอดี ถือว่ายืนได้พอดี ดังนั้น พรุ่งนี้ก็ต้องลุ้นว่าจะฝ่านแนวต้านที่ BB Top ได้หรือไม่ แต่ถ้าไม่ผ่านแล้วย่อลงมา ก็มีแนวรับที่ 937 จุด แต่ดูจากการที่หุ้นตัวใหญ่ๆ มีการปรับตัวขึ้นไปนั้น ก็ถือว่าโอกาสที่จะลงนั้นค่อนข้างยากส์ อาจจะเป็นแค่ย่อลงมานิดหน่อย ที่ 940 ก็เป็นไปได้ เพื่อเป็นการสร้างฐานในการไปต่อ

----------------------------------------------------------------------------------
MARKET WAVE Analysis
22 กย. 53 ( +14.15 จุด) โกมล พงศ์วิญญู เลขทะเบียน 18338


เกิน 945 จุด ถือเป็น “สัญญาณซื้อ”
ความเสี่ยงของการปรับฐานใหญ่ เริ่มลดน้อยลงและ ภาพรวมของตลาดน่าจะเป็นการย่ำฐานในกรอบสามเหลี่ยมภาพระยะวัน 902 – 944จุด อีกสักระยะ ( หรือระหว่างจุดต่ำสุดของสัปดาห์ที่แล้ว กับจุดสูงสุดของปีนี้ )

จากนั้นถ้าสามารถปรับตัวขึ้น เกิน 945จุด นอกจากจะเป็นการปรับตัวขึ้นเกินจุดสูงสุดเดิมของปีนี้ที่ 944.64 แล้ว ยังถืเอเป็นการเกิด
“สัญญาณซื้อ” ในเครื่องมือ Point & Figureอีกด้วย และ ดัชนีจะมีเป้าหมายในการปรับตัวขึ้นต่อไป 1045 จุด ประมาณเดือน พย .

หุ้นเด่น
ITD
ปรับตัวทะลุกรอบสามเหลี่ยม ภาพระยะวันขึ้นมาได้ ทยอยซื้อแถว 3.96 – 4.00 หรือซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 4.16 จุดสูงสุดวันอังคารเป้าหมายระยะสัปดาห์ 4.48 – 4.74( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 3.90 )

STEC
กำลังปรับตัวในกรอบสามเหลี่ยม ภาพระยะวัน รอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 13.10 กรอบบนของสามเหลี่ยม เป้าหมายระยะสัปดาห์
15.00 – 17.00( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 12.50 )

10 อันดับซื้อขายสูงสุด
BANPU เกิน 672 ขึ้น 676 – 682
SCC ปรับตัวแถว 318 – 320
KTB เกิน 15.60 ขึ้น 15.80 – 15.90
PTT แกว่งตัว 281 - 287
CPF เกิน 25.75 ขึ้น 26 – 26.50
TMB แกว่งตัว 2.56 – 2.64
SCB แกว่งตัว 92.50 – 94.50
PTTCH ยังไม่น่าเกิน 123.50 – 124.50
ADVANC เกิน 91.50 ขึ้น 93 - 94
TRUE แกว่งตัว 4.80 – 5.30

----------------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย
FSS :หลังจากรับแล้ว..ถัดจากนี้เน้นถือรอ 950 หรือสูงกว่า ส่วนเล่นสั้นระวังแถว 940
แนวโน้ม: เมื่อวานนี้มีแรงซื้อกลับเข้ามาในตลาดหุ้นไทยภาคบ่ายพอสมควร โดยเฉพาะนักลงทุนต่างประเทศกลับมามียอดซื้อสุทธิต่อวันสูงถึงกว่า 3.6 พันล้านบาท ขณะที่มาตรการดูแลค่าเงินของแบงก์ชาติที่ประกาศออกมาวันก่อน ก็ช่วยให้นักลงทุนคลายกังวลเพราะไม่ได้มีผลกระทบต่อตลาดหุ้น รวมทั้งไม่น่าจะทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงรวดเร็วนัก ซึ่งล่าสุดค่าเงินบาทยังแข็งค่ากลับมาที่ระดับใกล้เคียงกับวันก่อนหน้าที่ทางการญี่ปุ่นจะเข้าแทรกแซงค่าเงินเยนอีกครั้งแล้วด้วยนอกจากนี้คาดว่าเม็ดเงินที่ไหลออกจากหุ้นกลุ่มสื่อสารบางส่วน ได้เริ่มย้ายไปลงทุนในหุ้นกลุ่มอื่นๆ ที่นักลงทุนมองว่ายังมีศักยภาพแทน โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มแบงก์และพลังงาน ซึ่ง BANPU ก็มีข่าวดีรองรับพอดี ดังนั้นแม้ว่า SET ยังมีปัจจัยเรื่องการประมูล 3G กดดันอยู่ โดยยังต้องรอดูผลการตัดสินของศาลปกครองสูงสุดว่าจะรับคำอุทธรณ์ของ กทช. ในเช้าวันพรุ่งนี้หรือไม่ แต่ FSSคาดว่าแรงซื้อในหุ้นกลุ่มอื่นๆ จะยังสามารถผลักดันให้ SET แกว่งตัวบวกต่อเนื่องขึ้นไปได้หลังจากที่ดัชนีสามารถขยับผ่านขึ้นมาสูงกว่าระดับดัชนี 927 จุดที่กดดันอยู่ในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมาได้สำเร็จ โดยเป้าหมายถัดไปที่เราคาดว่า SET มีโอกาสที่จะวิ่งขึ้นไปหาจะอยู่ที่บริเวณ 950-960 จุด เพียงแต่ว่าอาจจะต้องระวังการแกว่งตัวระหว่างทางบ้างเท่านั้น
กลยุทธ์: หลังจากทยอยเข้ารับไปแล้วในช่วงที่ผ่านมา ถัดจากนี้แนะนำให้เน้นเป็นถือต่อเนื่องเพื่อลุ้นรอหาจังหวะขายทำกำไรใหม่อีกครั้ง เมื่อดัชนีขึ้นไปแถว 950-960 จุด นอกจากถ้าจะเทรดดิ้งตามรอบ อาจต้องระวังแรงขายจากแนวต้านแรกแถว 940-942 จุดไว้บ้าง โดยหุ้นที่ยังน่าสนใจในช่วงนี้ได้แก่ STEC, CK,TTCL, SEAFCO, SYNTEC, TASCO, DCC, SPALI, LPN, TVO, KCE,SIRI, SITHAI, GFPT, PTTAR, GLOW และ BANPU เป็นต้น
ประเด็นสำคัญวันนี้
• (+) ฝ่ายกลยุทธ์ของเราปรับ GDP ปีนี้ขึ้นเป็น 7.3% ปีหน้าเป็น 4.8% จากเดิม4.5% และ 5.0% ตามลำดับ สำหรับ 3Q10 และ 4Q10 คาดว่าการขยายตัวของ GDPเริ่มชะลอลงเป็น +5.2% Y-Y และ 3.2% Y-Y ตามลำดับ สำหรับค่าเงินบาท คาดการณ์
ที่ 30.25 บาท/ดอลลาร์สิ้นปีนี้ และ 29.13 บาท/ดอลลาร์สิ้นปีหน้า
• (+) ปรับราคาเป้าหมายปีหน้าของ BBL ขึ้นเป็น 180 บาทจากเดิม 170 บาท ความชัดเจนของคดีมาบตาพุดส่งผลดีต่อ BBL ซึ่งมีวงเงินให้สินเชื่อในมาบตาพุดรวมราว 5หมื่นลบ. มากที่สุดในกลุ่มธนาคาร นอกจากนี้ ความจำเป็นในการการตั้งสำรองหนี้สูญปี
หน้าจะลดลงเพราะปัจจุบันตั้งเกิน 100% อยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม ระยะสั้น ผลประกอบการ 3Q10 จะไม่น่าตื่นเต้น ลดลง 15% Q-Q แต่เพิ่ม 15% Y-Y
• (-) BAY สินเชื่อเดือน ส.ค. น่าผิดหวัง สวนทางกลุ่มธนาคารที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นโดยลดลง 0.68% M-M ทำให้สินเชื่อ 8 เดือนแรก -0.15% M-M ซึ่งน่าจะเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ราคาหุ้น BAY ไม่ perform เมื่อเทียบกับกลุ่มธนาคาร เราลองหันมาดูกรณีแย่สุดหากคาดว่าสินเชื่อจะไม่เติบโตเลยในปีนี้และปีหน้า จะทำให้กำไรสุทธิลดลงจากประมาณการเดิมราว 9% และ 20% ในปีนี้และปีหน้า และทำให้ราคาเป้าหมายปีหน้าลดลงมาอยู่ที่ 23.70 บาท จากปัจจุบันที่เราประเมินไว้ 25 บาท แม้ว่าจะยังมี upside
จากราคาปัจจุบัน ซึ่งนักลงทุนที่มีหุ้นอยู่แล้ว ถือได้ แต่ถ้ายังไม่มีหุ้น เราคิดว่ามีตัวเลือกอื่นที่ดีกว่าคือ KTB, TCAP, BBL, KBANK, SCB
• Fund Flow ยังไหลเข้าตลาดหุ้นภูมิภาคต่อเนื่องเป็นวันที่ 7 ติดต่อกัน แม้ปริมาณไม่มากเนื่องจากตลาดหุ้นเกาหลีใต้ปิดทำการ ประกอบกับนักลงทุนส่วนใหญ่รอดูผลการประชุมเฟด ซึ่งผลการประชุมเฟดเมื่อคืนที่ผ่านมาเฟดส่งสัญญาณว่าเศรษฐกิจสหรัฐยัง
น่าเป็นห่วงและพร้อมที่จะใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ หากเศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัวมากกว่าคาด นั่นหมายความว่ามีโอกาส 50-60% ที่เฟดอาจจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบที่ 2 หากจำเป็น ดังนั้นแนวโน้มค่าเงินดอลลาร์ยังมีโอกาสเสื่อมค่าต่อเนื่องเม็ดเงินส่วนใหญ่ก็จะยังไหลเข้าสู่ตลาดภูมิภาคเอเชีย สังเกตจากค่าเงินบาทเช้านี้ก็ทำสถิติแข็งค่าใหม่อีกแล้ว รวมทั้งค่าเงินยูโรกับแข็งค่าด้วยเช่นกัน นอกจากนี้วันนี้ตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียจะปิดทำการได้แก่ ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ฮ่องกง ญี่ปุ่นและจีน ทำให้คาดว่าจะมีเม็ดเงินไหลเข้าตลาดหุ้นไทยมากเป็นพิเศษ เน้นซื้อเก็งกำไรในหุ้น Market Cap.ใหญ่

ข่าวภายในประเทศ
IVL แรลลี่ยาว 30 บาทรับกำไรกระฉูด 150% ราคานิวไฮตั้งแต่เข้าตลาด รายได้ทั้งปีโตกว่า 20% IVL วิ่งยาวเป้าหมาย 30 บาท รับข่าวดีไตรมาส 3 ฟันกำไรกว่า 1,400 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 150% เหตุรับรู้กำไรจากการลงทุนซื้อบริษัทต่างประเทศเพิ่ม แถมโรงงานไม่มีหยุดซ่อมบำรุงโบรกฯเล็งปรับประมาณการพื้นฐานใหม่ เนื่องจากมีฐานแข็งแกร่ง-มุ่งเน้นลดต้นทุน รวมทั้งการผลิตครบวงจร แถมอำนาจต่อรองสั่งซื้อวัตถุดิบสูงเผยอยู่ระหว่างเข้าซื้อกิจการใหม่ ดันอัตราเติบโตในอนาคต (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 22-09-2010)
PLE ฮุบ 3.5 พันล้านงานคอนโดกาตาร์เซ็นสัญญาต.ค.นี้ PLE เซ็นสัญญาก่อสร้างคอนโดมิเนียมกาตาร์ มูลค่า 3,500 ล้านบาท เดือนตุลาคมเตรียมบินเจรจารอบสุดท้ายสัปดาห์หน้า “เสวก” มั่นใจได้งานแน่นอน คาดรับรู้รายได้เต็มที่ปี'54 หลังจากเริ่มรับรู้บางส่วนไตรมาส 4/53 การันตีผลประกอบการปี 53 มีกำไรดีขึ้นจากปีก่อนที่ขาดทุน (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 22-09-2010)
CCET ยอดขายพุ่งรับไฮซีซั่น ไตรมาส 3 ลุ้นกำไรทะลุ 500 ล้าน อัพไซด์หุ้นยังเหลือ CCET ยอดขายไปได้สวยรับไฮซีซั่น ลุ้นก.ย.นี้ฟาดอีก12,000 ล้านบาท ด้านวงการเงินชี้กำไรไตรมาส 3 มีสิทธิทะลุ 500 ล้านบาท เชื่อเดินหน้าลงทุนในสหรัฐฯช่วยหนุนกินออเดอร์ระยะยาว ส่วนกำไรทั้งปีลุ้นโตเกิน 1,900 ล้านบาท ขณะที่ราคาหุ้นยังเหลืออัพไซด (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 22-09-2010)
N-PARK แจงหาเงินลงทุนไม่ได้ยกเลิกโรงละครสยามโอเปร่า "N-PARK" แจงเหตุผลยกเลิกโครงการโรงละครสยามโอเปร่า มูลค่า 960 ล้านบาทของบริษัทย่อย เพราะเจอวิกฤติความเชื่อมั่น หาเงินลงทุนไม่ได้ งบประมาณพัฒนาโครงการมีจำกัด หลังยกเลิกบริษัทย่อยมีกำไรทางบัญชีจากการยกเลิกสัญญาการเช่า 47.71 ล้านบาท ส่วนโรงแรมสยามเคมปินสกี้ มูลค่า 5,000 ล้านบาท เล็งเปิดบริการเต็มรูปแบบภายในเดือนก.ย.นี้ (ที่มา:นสพ.ข่าวหุ้น 22-09-2010)
SPALI อนาคตสดใสโตไม่หยุด ประสิทธิภาพทำกำไรสูงสุด แนะซื้อเป้า 19.06 บาท "ศุภาลัย" น่าลงทุนสุดกลุ่มอสังหาฯ เหตุมีฐานธุรกิจพร้อมเติบโตไม่หยุด หลังสิ้นไตรมาส 2 มี Backlog 1.87 หมื่นล้านบาท และมีมูลค่าโครงการคงเหลือขาย 1.2 หมื่นล้านบาท ขณะที่มีแผนการเปิดตัวโครงการใหม่ในครึ่งหลังปี'53 อีก 1.3 หมื่นล้านบาท แถมมีจุดเด่นประสิทธิภาพการทำกำไรที่สูงโดยมี Profit Margin สูงกว่า 20% แนะซื้อให้ราคาเหมาะสมปี'54 ที่ 19.06 บาท (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 22-09-2010)

EFinance Thai : PTTไม่สะเทือนรัฐเบรกซื้อคาร์ฟูร์
วงการมองอาณาจักร PTT ไม่สะเทือน แม้นายกฯส่งสัญญาณเบรกเข้าประมูลซื้อกิจการคาร์ฟูร์ ชี้ไม่ใช่ธุรกิจหลัก แค่ต่อยอดธุรกิจบริษัทย่อย แถมขนาดธุรกิจเล็กผลกำไรแค่0.30บาทต่อหุ้นของPTT ส่งผลให้หุ้นในกลุ่มครอบครัวPTT บวกยกก๊วน ขณะที่วงในเผยปตท. ยังเดินหน้าประมูลซื้อกิจการห้างคาร์ฟูร์รอบ 2ต่อด้านโบรกฯแนะซื้อ

จากกรณีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะนายกรัฐมนตรีส่งสัญญาณต้องให้ บริษัท ปตท จำกัด(มหาชน)(PTT) ซึ่งทำธุรกิจพลังงาน และมีกระทรวงการคลังถือหุ้นใหญ่ 51.36%ใช้ความระมัดระวังการลงทุนในการเข้าซื้อกิจการห้างคาร์ฟูร์ ขณะที่วานนี้คณะรัฐมนตรี(ครม.)มีการถกเถียงในเรื่องดังกล่าว พร้อมส่งสัญญาณให้ PTT กลับไปทบทวนแผนการร่วมประมูล อย่างไรก็ตามมีรายงานข่าวว่าทาง PTT ยังคงเดินหน้าประมูลรอบสองต่อไป
ขณะที่ราคาหุ้นกลุ่มครอบครัว PTTวานนี้(21 ก.ย.53) ยังปรับตัวเพิ่มขึ้นประกอบด้วย
ราคาหุ้นบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)(PTT)ปิดที่ 287.00 บาท เพิ่มขึ้น 3.00 บาทหรือ 1.06% มูลค่าการซื้อขาย 1,547.58 ล้านบาท
บริษัท ปตท.เคมิคอล จำกัด(มหาชน)(PTTCH)ปิดที่ 123.50บาทเพิ่มขึ้น 5.50 บาทหรือ4.66% มูลค่าการซื้อขาย 1,181.81ล้านบาท
บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน)(PTTEP)ปิดที่ 144.50บาท เพิ่มขึ้น 2.50บาทหรือ1.76% มูลค่าการซื้อขาย 864.44ล้านบาท
บริษัท ปตท.อะโรเมติกส์และการกลั่น จำกัด (มหาชน)(PTTAR )ปิดที่25.75 บาท เพิ่มขึ้น 0.50บาทหรือ 1.98% มูลค่าการซื้อขาย 371.18 ล้านบาท
บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน)(IRPC)ปิดที่4.06 บาท เพิ่มขึ้น 0.02 บาทหรือ 0.50% มูลค่าการซื้อขาย 209.99 ล้านบาท

ขณะที่ SET Index ปิดที่ 937.21 จุด เพิ่มขึ้น 14.15 จุดหรือ 1.53% มูลค่าการซื้อขาย 32,541.02ล้านบาท

**บลโกลเบล็ก มอง PTT ไม่กระทบ ไม่ว่าจะประมูลซื้อคาร์ฟูร์ได้หรือไม่เหตุขนาดธุรกิจเล็ก**
นักวิเคราะห์บล.โกลเบล็ก กล่าวว่า จากกรณีที่ภาครัฐไม่เห็นด้วยในหลักการกรณีที่บมจ.ปตท.(PTT) เข้าร่วมประมูลซื้อกิจการคาร์ฟูร์ถือเป็นสิทธิ์ เนื่องจากเป็นผู้ถือหุ้น ของ PTT พร้อมทั้งประเมินว่าประเด็นดังกล่าวไม่ว่า PTT จะสามารถหรือไม่สามารถซื้อกิจการคาร์ฟูร์ได้ คาดว่าจะไม่มีผลต่อการดำเนินธุรกิจและราคาหุ้นของ PTT อย่างนัยสำคัญ เนื่องจากด้วยขนาดของธุรกิจของ PTT ที่มีขนาดใหญ่ที่มีกำไรราว 60,000-80,000 ล้านบาทต่อปี ขณะที่กิจการคาร์ฟูร์ในปี 2552 ที่มีรายได้ 25,000-30,000 บาทต่อปี ซึ่งด้วยลักษณะธุรกิจที่ซื้อมาขายไปส่งผลมีมมาร์จิ้นในระดับต่ำโดยคาดว่ามีกำไรประมาณ 1,000 ล้านบาทหรือคิดเป็นกำไร 0.30 บาทต่อหุ้นของ PTT ซึ่งต่ำมาก
ขณะที่ในระยะสั้นประเด็นที่ส่งผลต่อจิตวิทยาการลงทุนและสร้างความกังวลมากที่สุดคือกรณีที่กลุ่มเอกชนจะมีการเคลื่อนเรียกร้องในโครงการการในมาบตาพุดว่าเข้าข่ายกิจการรุนแรง แต่ประเมินว่าจะไม่ผลต่อการดำเนินธุรกิจ
โดยเฉพาะโครงการหลักขนาดใหญ่คือโครงการโรงแยกก๊าซ 6 ไม่ได้อยู่ในโครงการรุนแรงฯ ตามการประกาศของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่เดินเครื่องเชิงพาณิชย์ซึ่งส่งผลดีต่อผลประกอบการต่อในปีหน้าที่คาดว่ากำไรจะอยู่ที่ 78,000 ล้านบาทเติบโตจากปีนี้ราว 10-12% เนื่องจากโรงแยกก๊าซ 6 จะป้อนวัตถุดิบให้โรงงานอีเทน แครกเกอร์ 1 ล้านตัน/ปี ของ PTTCH ให้สามารถเดินเครื่องผลิตได้เต็มกำลังในปีหน้าและมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น จากปีนี้ที่ผลิตได้เพียง 50-70%ของกำลังผลิตรวม ส่งผลให้ ส่วนแบ่งกำไรจากการถือหุ้นใน PTTCH มากขึ้นโดยคาดว่าจะอยู่ที่ราว 13,000 ล้านบาท และมีกำไรส่วนแบ่งจากการถือหุ้น PTTEP ในปีหน้าอยู่ที่ราว 7,000 ล้านบาท และยังมี โอกาสที่แหล่งมอนทาราจะสามรถกลับมาผลิตได้ในช่วงครึ่งปีหลังของปีหน้า
ด้านผลประกอบการในปีนี้คาดว่าจะมีกำไรประมาณ 70,800 ล้านบาทหรือเติบโต 9% จากปีก่อน โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากบริษัทลูกทั้ง PTTEP กำลังผลิตเพิ่มขึ้นและ ราคาขายก๊าซที่ปรับตัวสูงขึ้น อีกทั้งราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีเริ่มฟื้นตัวในช่วงปลายไตรมาส 3/53 จากจุดต่ำสุดในช่วงต้นไตรมาส
ประกอบกับยังมีโอกาสที่จะมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเนื่องจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น เนื่องจาก PTT มีหนี้ในสกุลเงินต่างประเทศและหากราคาน้ำมันดิบดูไบปรับตัวสูงกว่า 77 เหรียญ/บาร์เรลก็มีโอกาสที่จะมีกำไรจากสต็อก(Stock Gain) เพิ่มเติม
กลยุทธ์แนะนำทยอยซื้อสะสม ให้ราคาเหมาะปี 2554 ที่ 330 บาท แต่หากราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวเหนือที่ระดับ 80 เหรียญ/บาร์เรลก็มีโอกาสที่จะราคาเหมาะเพิ่ม ขณะที่คาดว่าราคาน้ำมันในตลาดโลกปีนี้จะเคลื่อนไหวอยู่ที่ 70-80 เหรียญ/บาร์เรล

**บล.ยูไนเต็ด ชี้ ค้าปลีกไม่ใช่ธุรกิจหลักPTT แค่ต่อยอดธุรกิจให้บริษัทย่อย**
เจ้าหน้าที่ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ยูไนเต็ด จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าจากกรณีที่ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ออกมาระบุว่าจะไม่มีการเข้าไปซื้อกิจการร้าน ค้าปลีกคาร์ฟูร์ โดยบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT เนื่องจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้ตั้งข้อสังเกต เกี่ยวกับบทบาทของ รัฐวิสาหกิจในประเทศ โดยมองว่าขณะนี้โครงสร้างของประเทศและเศรษฐกิจได้เปลี่ยนแปลงไปมาก ดังนั้นจึงคิดว่าในบางครั้งการสร้างผลประโยชน์ของรัฐวิสาหกิจอาจไม่ตรงตามวัตถุประสงค์
ทั้งนี้ประเมินว่าคงไม่มีผลกระทบต่อแผนการดำเนินงานหรือปัจจัยพื้นฐานของ PTT เนื่องจากวัตถุประสงค์หลักในการซื้อร้านค้าปลีกคาร์ฟูร์ ของ PTT เพื่อต่อยอดธุรกิจของบริษัทย่อยเท่านั้น ไม่ใช่ธุรกิจหลักที่ก่อให้เกิดรายได้อย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้แม้ PTT จะไม่ได้เข้าซื้อกิจการดังกล่าว แต่ปัจจุบัน PTT ยังมีร้านค้าปลีกเช่น 7-ELEVEN ที่ให้บริการกับลูกค้าตามสถานีบริการน้ำมันอยู่แล้ว
ส่วนในช่วงสั้นๆ ราคาหุ้น PTT อาจได้รับผลกระทบบ้าง ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติไม่น่ากังวลนัก ฉะนั้นจึงแนะนำนักลงทุนซื้อลงทุน เพราะปัจจุบันปัญหามาบตาพุดเริ่มคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีแล้ว คงส่งผลให้แผนการดำเนินงานต่างๆ ของ PTT เดินหน้าได้ต่อไป ในขณะที่ฝ่ายวิเคราะห์ให้ราคาตามปัจจัยพื้นฐานในปี 2554 ไว้ที่ 316 บาทต่อหุ้น
" ข่าวที่ออกมาไม่มีผลกระทบต่อ PTT มาก เพราะธุรกิจที่จะเข้าไปลงทุนไม่ใช่ธุรกิจหลัก แต่เป็นเพียงการต่อยอดทางธุรกิจให้กับบริษัทย่อยของ PTT เท่านั้น ถึงไม่ได้ประมูลก็ไม่เป็นไหร่ กลยุทธ์การลงทุนก็แนะนำซื้อลงทุน เพราะอนาคตของ PTT ยังคงเติบโตไปได้ดีอย่างต่อเนื่อง " แหล่งข่าวรายเดิม กล่าว

**ASP มอง ธุรกิจค้าปลีกเป็นปัจจัยบวกระยะยาวต่อยอดธุรกิจในอนาคต**
บล.อเซียพลัส (ASP)ประเมินว่า PTT มีวัตถุประสงค์ในการเข้าซื้อกิจการคาร์ฟูร์ คือต้องการต่อยอดธุรกิจค้าปลีกออกมานอกสถานีบริการน้ำมันของ PTT ในรูปแบบของมินิมาร์ท และฟู้ดมินิมาร์ทภายใต้แบรนด์ “จิฟฟี่มาร์ท” และ ”จิฟฟี่ฟู้ด” ซึ่งจะทำให้ธุรกิจค้าปลีกของ PTT มีขนาดใหญ่ขึ้น ดังนั้นจึงถือเป็นประเด็นสำคัญที่จะต้องติดตามต่อว่าภาครัฐจะเข้ามาแทรกแซงในการเข้าซื้อกิจการของ PTT ในครั้งนี้หรือไม่ เนื่องจากรัฐไม่ต้องการให้ประชาชนเกิดข้อสงสัยว่ารัฐจะลงไปแข่งขันในธุรกิจค้าปลีก อีกทั้งการลงทุนซื้อคาร์ฟูร์ถือไม่ใช่ภารกิจหลักของ PTT ตั้งแต่ก่อตั้ง
แต่อย่างไรก็ตามในขณะนี้ผู้บริหาร PTT ยังคงยืนยันแผนเดิมที่จะร่วมประมูลในรอบที่ 2 ต่อ โดยเตรียมยื่นเสนอแผนธุรกิจและข้อเสนอด้านราคา ซึ่งถ้าผ่านรอบ 2 ก็ต้องมีการเจรจากันในรอบที่ 3 อีกครั้ง
ทั้งนี้หากPTT ชนะการประมูลจะส่งผลให้ผลการดำเนินงานจากธุรกิจค้าปลีกเติบโตอย่างมีนัยฯเพราะคาร์ฟูร์มีสาขาถึง 40 สาขาในประเทศไทย แต่หากเทียบกับกำไรโดยรวมของ PTTแล้วอาจจะปรับตัวเพิ่มขึ้นไม่มากนัก เนื่องจากปัจจุบันกำไรของ PTT เฉลี่ยอยู่ราว 7-8หมื่นล้านบาท แต่ถือเป็นปัจจัยบวกในระยะยาวสำหรับการต่อยอดธุรกิจในอนาคต ฝ่าย
วิจัยยังคงคำแนะนำซื้อลงทุนสำหรับ PTT โดยมี Fair Value ปี 2554 ที่ 377.36 บาท

**นายกฯ ส่งสัญญาณเบรก PTT ซื้อห้างคาร์ฟูร์ ให้กลับไปทบทวนอีกครั้ง หวั่นแข่งธุรกิจเอกชน **
นายวัชระ กรรณิการ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีวานนี้จะไม่มีการเข้าไปซื้อกิจการร้านค้าปลีกคาร์ฟูร์ โดยบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT เนื่องจากในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วานนี้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้ตั้งข้อสังเกต เกี่ยวกับบทบาทของรัฐวิสาหกิจในประเทศ โดยมองว่าขณะนี้ โครงสร้างของประเทศและเศรษฐกิจได้เปลี่ยนแปลงไปมาก ดังนั้นจึงคิดว่าในบางครั้งการสร้างผลประโยชน์ของรัฐวิสาหกิจอาจไม่ตรงตามวัตถุประสงค์
ทั้งนี้ในที่ประชุมครม. กระทรวงการคลังได้รายงาน กรณีปตท.มีแผนที่จะเข้าซื้อห้างค้าปลีกคาร์ฟูร์ในไทย โดยมองว่าผู้บริหารเองอาจตีความไปเองว่าเป็นภารกิจที่สามารถทำ ได้ แต่อย่างไรก็ตามด้านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้ชี้แจงเพิ่มเติมต่อว่าเรื่องนี้ทางปตท. เป็นการตัดสินใจของผู้บริหารเอง ซึ่งยังไม่ผ่านการพิจารณาจากกระทรวงพลังงาน อย่างไรก็ตามขณะนี้การซื้อกิจการห้างคาร์ฟูร์ของปตท.ถือเป็นอันยุติ ซึ่งปตท.น่าจะทราบเรื่องนี้แล้ว
'เรื่องนี้ทางเอกชนมีความกังวลใจและสับสนว่ารัฐบาลจะเข้าไปประกอบธุรกิจแข่งขัน นายกฯ จึงอยากให้มีการทบทวนบทบาทของรัฐวิสาหกิจ ดังนั้นเรื่องการซื้อกิจการคาร์ฟูร์ของปตท. ก็ถือว่ายุติ' นายวัชระ กล่าว
ด้าน นายแพทย์วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รมว.พลังงาน ไม่เห็นด้วยในหลักการกรณีที่บมจ.ปตท.(PTT) เข้าร่วมประมูลซื้อกิจการคาร์ฟูร์ เนื่องจากไม่ใช่ธุรกิจหลักที่เกี่ยวกับความ มั่นคงด้านพลังงาน และยังไม่ได้มีการรายงานเรื่องดังกล่าวต่อที่ประชุมคณะกรรมการ
ขณะที่นายณอคุณ สิทธิพงศ์ รองปลัดกระทรวงพลังงาน ในฐานประธานคณะกรรมการPTT กล่าวว่า ที่ผ่านมาผู้บริหารเคยมาเสนอเรื่องดังกล่าวให้คณะกรรมการรับทราบ ใน การจัดทำแผนกลยุทธ์ปตท.เท่านั้น โดยยังไม่ได้เสนอให้คณะกรรมการเห็นชอบเข้าร่วมประมูลซื้อกิจการคาร์ฟูร์อย่างเป็นทางการ แต่ขณะนี้ยังไม่ได้รับทราบมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยว กับเรื่องดังกล่าว

**ผู้ร่วมชิง ประมูลซื้อกิจการคาร์ฟูร์ในประเทศไทย**
ทั้งนี้คาร์ฟูร์ ค้าปลีกรายใหญ่อันดับสองของโลกจากฝรั่งเศสมีแผนจะขายกิจการทั้งในไทย มาเลเซีย และสิงคโปร์ ล่าสุดในการประมูลรอบแรก คาร์ฟูร์ได้ตัดคู่แข่งคือ เทสโก้จากอังกฤษ และอิออนจากญี่ปุ่น ออกจากการประมูลเนื่องจากเสนอราคาต่ำ
ซึ่งบริษัทที่ผ่านเข้ารอบต่อไปในการประมูลคาร์ฟูร์ที่จะมีขึ้นในเดือน พ.ย. 2553 ได้แก่ 1) บริษัทคาสิโน จากฝรั่งเศส 2) บริษัทบิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน)หรือ BIGC 3) กลุ่มบริษัทเซ็นทรัล 4) บริษัทปตท.จำกัด (มหาชน) 5) บริษัทเบอร์ลี่ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน)หรือ BJC
ประเด็นการประมูลเข้าซื้อคาร์ฟูร์ยังถือเป็นประเด็นที่ยังต้องติดตามต่อเพราะความสำคัญอยู่ที่รอบที่ 2 และ 3 ที่จะมีการเสนอราคากับคาร์ฟูร์
โดยได้ตั้งแบงก์ออฟอเมริกา เมอร์ริลล์ ลินซ์ เป็นที่ปรึกษาทางการเงินเพิ่ม


----------------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ตปท.
ข่าวต่างประเทศ
FED มีมติคงดอกเบี้ย 0-0.25% ประกาศพร้อมใช้มาตรการเพิ่มเติมเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น (fed funds rate) ไว้ที่ระดับ 0-0.25% ในการประชุมวานนี้ (21 ก.ย.) พร้อมกับกล่าวว่า เฟดพร้อมที่จะใช้มาตรการเพิ่มเติมเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้แข็งแกร่งหากพิจารณาแล้วเห็นว่าจำเป็น และย้ำว่าเฟดจะยังคงรักษาอัตราดอกเบี้ยให้อยู่ในระดับต่ำเป็นพิเศษต่อไปอีกระยะหนึ่ง
คณะกรรมการกำหนดนโยบายของเฟด (เอฟโอเอ็มซี) มีมติด้วยคะแนน 8-1 ให้คงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นในการประชุมครั้งล่าสุดนี้ พร้อมกับออกแถลงการณ์ภายหลังการประชุมว่า "อัตราการฟื้นตัวของผลผลิตและการจ้างงานชะลอตัวลงในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ซึ่งทำให้เฟดต้องจับตาดูแนวโน้มเศรษฐกิจและความคืบหน้าด้านการเงินอย่างใกล้ชิด เฟดมีความพร้อมที่จะใช้มาตรการผ่อนปรนเพิ่มเติมหากจำเป็น เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและทำให้อัตราเงินเฟ้อกลับสู่ระดับเป้าหมายของเฟด และการที่เฟดมีมติคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นไว้ที่ 0-0.25% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ก็เพื่อกระตุ้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในอีกทางหนึ่ง"
สหรัฐเผยตัวเลขการสร้างบ้านเดือนส.ค.พุ่งขึ้นแข็งแกร่งสุดในรอบ 4 เดือน กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านในเดือนส.ค.ของสหรัฐพุ่งขึ้น 10.5% ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นแข็งแกร่งสุดในรอบ 4 เดือน สู่ระดับ 598,000 ยูนิต และมากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 550,000 ยูนิต หลังจากขยายตัวเพียง 0.4% ในเดือนก.ค. ขณะที่ตัวเลขการอนุญาตก่อสร้างบ้านใหม่เดือนส.ค.เพิ่มขึ้น 1.8% สู่ระดับ569,000 ยูนิต หลังจากร่วงลง 4.1% ในเดือนก.ค.
เวียดนามเผยยอดนำเข้าเหล็กและเหล็กกล้าช่วง 8 เดือนแรกปีนี้พุ่งแตะ $3.7 พันล้าน กรมศุลกากรของเวียดนาม เปิดเผยว่า ยอดนำเข้าเหล็กและเหล็กกล้าของเวียดนามทะยานแตะ 3.73 พันล้านดอลลาร์ ในช่วง 8 เดือนแรกของปี เพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว โดยรายงานของกรมศุลกากรระบุว่า การนำเข้าเหล็กและเหล็กกล้าของเวียดนามในช่วงดังกล่าวมีปริมาณทั้งสิ้น 5.4 ล้านตัน ลดลง 11.7% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยมีปริมาณการนำเข้าเหล็กเส้น 1.3 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่า 683 ล้านดอลลาร์
----------------------------------------------------------------------------------