Code183:ไม่ต่ำกว่า992มีลุ้นยืนเหนือ1,000จุด

วันพุธที่ 27ตุลาคม 2553
ATT Code :ไม่ต่ำกว่า992มีลุ้นยืนเหนือ1,000จุด
ฮั่งเส็งยังคงลงด้วยเหตุผลเดียวกับเมื่อเช้าคือราคา commodity (Materials) ปรับลง + ตลาดกล้วว่าเม็ดเงิน QE2 จะน้อยกว่าคาด กลุ่มที่ลงหนักยังคงเป็น Basic materials และ Oil&Gas
ฮั่งเส็งลบลงมาอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 2 สัปดาห์ -400 จุด นำลงโดยกลุ่ม Basic Material เพราะ 1. ตลาดกลัวฟองสบู่ในภาคอสังหา 2. ราคา commodity ลดลง 3. China Coal Energy กำไรต่ำกว่าคาด 4. JP Margan ปรับลดคำแนะนำ BYD Co. ผู้ผลิตรถยนต์ จาก Neutral เป็น Underweight
----------------------------------------------------------------------------------

MARKET WAVEAnalysis
27 ตค. 53 ( +3.80 จุด) โกมล พงศ์วิญญู เลขทะเบียน 18338

ต้องไม่ต่ำกว่า 992 จุด
ดัชนีในวันอังคาร สามารถปรับตัวเกินจุดสูงสุดเดิมของปีนี้ที่ 999.51 และถือเป็นการปรับตัวทะลุกรอบสามเหลี่ยม ภาพระยะวันขึ้นมาได้
จากนี้ไปถ้า ไม่ต่ำกว่า 992 จุด เส้นค่าเฉลี่ย 25 ชั่วโมง ถือว่า ตลาดมีแนวโน้มในการปรับตัวขึ้นต่อยังเป้าหมาย 1040 – 1060 จุด
สำหรับภาพสองสามสัปดาห์ข้างหน้า ในรูปแบบของ Double Zigzag wave ประมาณระยะทางนับจากจุดต่ำสุด 20 กย. ถึงจุดสูงสุดของวันที่ 4 ตค.
ณ บริเวณ 1040 – 1060 จุด ตลาดมีโอกาสที่จะปรับฐานใหญ่กลับลงมาบริเวณ 930– 950 จุด ?? ... รอดูโครงสร้างภาพอีกครั้ง

หุ้นเด่น
KTB
กำลังปรับตัวในกรอบสามเหลี่ยม ภาพระยะสัปดาห์ รอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 17.50กรอบบนของสามเหลี่ยม เป้าหมายระยะสัปดาห์ 19.50 – 20.50( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 17.00 )19.50 – 20.50

IVL
ยังสามารถปรับตัวอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ย 25 วันได้ รอซื้อตามมื่อปรับตัวเกิน 34.00 จุดสูงสุดวันอังคาร เป้าหมายหนึ่งถึงสองวัน37.00 – 38.00( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 33.25 )

10 อันดับซื้อขายสูงสุด
IVL เกิน 34 ขึ้น 37 – 38
PTT แกว่งตัว 303 - 309
BANPU ไม่ต่ำกว่า 788 ขึ้น 816 - 836
PTTCH ไม่ต่ำกว่า 148.50 ขึ้น 151 – 155
SCC เกิน 333 ขึ้น 350 – 365
PTTAR แกว่งตัว 28.50 – 31
JAS เกิน 1.45 ขึ้น 1.50 – 1.60
ADVANC แกว่งตัว 92 – 94
PTTEP แกว่งตัว 170 – 173
ITD เกิน 5 ขึ้น 5.10 – 5.20
----------------------------------------------------------------------------------
EFinanceThai:1,000 จุดผ่านได้... หุ้นไทยไปต่อ
วงการมองหุ้นไทยไปต่อ หลังดัชนีฯ ผ่าน 1,000 จุดสำเร็จ พร้อมวอลุ่มเทรดยังหนาแน่น มั่นใจ Fund Flow ยังอยู่ แถมระยะนี้ยังได้งบ บจ.ไตรมาส 3/53 หนุน แต่จะให้ดีต้องเลือกลงทุนหุ้นกลุ่มวัสดุก่อสร้าง เหตุรับผลดีจากเหตุการณ์น้ำท่วมหลายพื้นที่ทั่วประเทศ
ดัชนีตลาดหุ้นไทย ปิดตลาดวันที่ 26 ตุลาคม 2553 ที่ระดับ 996.04 จุด เพิ่มขึ้น 3.80 จุด หรือ 0.38% มูลค่าการซื้อขาย 34,241.78 ล้านบาท โดยระหว่างวัน ดัชนีฯ ไปทำจุดสูงสุดที่ 1,001.06 จุด

* หุ้นไทยไปต่อหลังแตะ 1,000 จุด ต้องเลือกหุ้นวัสดุฯ
นายธวัชชัย อัศวพรไชย ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.โกลเบล็ก เปิดเผยว่า หลังจากที่ SET Index สามารถปรับขึ้นแตะระดับ 1,000 จุดได้เรียบร้อยแล้ว ประเมินว่าหลังจากนี้ดัชนีฯ มีโอกาสปรับขึ้นได้ต่อ เพราะยังคงอยู่ในช่วงขาขึ้น ประกอบกับนักลงทุนยังคงรอดูผลประกอบการในไตรมาส 3/2553 ว่าจะออกมาในทิศทางใด ซึ่งหากออกมาดีคาดว่าจะส่งผลบวกต่อบรรยากาศการลงทุนและสนับสนุนให้ดัชนีฯ ยืนที่ระดับ 1,000 จุดได้อย่างแข็งแกร่ง
"ช่วงนี้ดัชนีฯ อาจจะเคลื่อนไหวแกว่งตัวและวอลุ่มน่าจะยังอยู่ในระดับนี้ แต่ก็ถือว่าดัชนีฯ อยู่ในช่วงขาขึ้น เพราะยังคงรองบในไตรมาส 3 ที่ยังไม่ได้ประกาศ ถ้าออกมาดีก็จะเป็นบวกต่อ SET Index ให้ปรับขึ้นได้ต่อ สำหรับปัจจัยบวกอื่นๆ ตอนนี้ยังไม่มีอะไร ส่วน บล.โกลเบล็ก เองก็ประเมิน SET Index สิ้นปีนี้ไว้ที่ 1,045 จุด" นายธวัชชัย กล่าว
ขณะที่กลยุทธ์การลงทุน สำหรับนักลงทุนที่ซื้อหุ้น เมื่อดัชนีฯ อยู่ในระดับต่ำๆ แนะนำให้ถือต่อ เพราะคาดว่าดัชนีฯ มีโอกาสปรับขึ้นได้ ประกอบกับบรรยากาศการลงทุนยังมีแนวโน้มที่ดี ส่วนนักลงทุนที่ยังไม่หุ้นแนะนำให้ซื้อเล่นรอบ โดยหุ้นที่แนะนำให้ลงทุน ประกอบด้วยหุ้นที่เกี่ยวกับวัสดุก่อสร้าง เพราะจะได้รับปัจจัยบวกหลังจากที่น้ำลด ส่งผลให้ยอดขายสินค้าวัสดุก่อสร้างเพิ่มขึ้นในทิศทางที่ดีด้วย

* ตลาดฯ ไร้ปัจจัยลบ นลท. รอผลประกอบการ บจ. Q3/53
นายชัย จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.พัฒนสิน เปิดเผยว่า ดัชนีฯ สามารถปรับขึ้นไปแตะระดับสูงสุดที่ 1,001.06 จุดได้ เพราะได้รับปัจจัยบวกจากแรงซื้อเข้ามาในหุ้นกลุ่มพลังงาน ปิโตรเคมี และวัสดุก่อสร้าง ส่วนแนวโน้มดัชนีฯ ในช่วงนี้คาดว่ามีโอกาสปรับขึ้นได้ต่อเนื่อง เพราะยังไม่มีปัจจัยลบเข้ามากระทบ
ขณะเดียวกัน นักลงทุนยังรอดูผลประกอบในไตรมาส 3/2553 ของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่จะทยอยประกาศออกมาอย่างต่อเนื่อง แต่ในช่วงนี้อาจจะมีแรงขายทำกำไรออกมาบ้าง ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติไม่มีอะไรน่ากังวลนัก ดังนั้นจึงแนะนำนักลงทุนซื้อหรือรอซื้อเมื่อดัชนีฯ อ่อนตัว โดยหุ้นกลุ่มที่แนะนำได้แก่ กลุ่มวัสดุก่อสร้าง, รับเหมาก่อสร้าง และยานยนต์ เป็นต้น
"หลังจาก SET สามารถแตะระดับ 1,000 จุดได้ ก็ประเมินว่าในระยะนี้ดัชนีฯ มีโอกาสปรับขึ้นได้ต่อ เพราะยังมีเม็ดเงินไหลเข้ามา แต่อาจจะมีแรงขายทำกำไรตามจิตวิทยาออกมาบ้าง ในระยะสั้นๆ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติ ซึ่งนักลงทุนก็เลือกซื้อหุ้นในกลุ่มวัสดุก่อสร้าง รับเหมาก่อสร้าง ยานยนต์ ก็ได้" นายชัย กล่าว

* ประเมิน Fund Flow ยังไหลเข้า ด้านนายสมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTAM เปิดเผยว่า คาดว่าแนวโน้มดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในช่วงสิ้นปีมีโอกาสที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นทะลุระดับ 1,000 จุด เนื่องจากได้รับประโยชน์จากเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศ (Fund Flow) ที่มีโอกาสและพร้อมที่จะเข้ามาลงทุนในตลาดเกิดใหม่ รวมถึงตลาดหุ้นไทย ประกอบกับคาดว่าในช่วง 2 เดือน คือเดือน พ.ย.-ธ.ค. มีโอกาสที่จะมีเม็ดเงินจากกองทุน LTF และ RMF เข้ามาอย่างต่ำประมาณ 3-4 หมื่นล้านบาท พร้อมทั้งคาดว่าในแง่ของเม็ดเงินจากกองทุน LTF และ RMF น่าจะเติบโตจากปีก่อนประมาณ 7-8% ขณะที่มูลค่าสินทรัพย์ (NAV) ก็จะปรับสูงขึ้น ซึ่งขณะนี้เริ่มมีเม็ดเงินดังกล่าวเริ่มทยอยเข้ามาในตลาดหุ้นแล้ว และคาดว่าจะไหลเข้ามาลงทุนต่อเนื่องไปจนถึงปลายปี
อย่างไรก็ดี มองว่าการปรับตัวเพิ่มขึ้นของดัชนีฯยังมีแนวโน้มที่จะปรับตัวขึ้น แต่อาจจะมีการผันผวน แต่เชื่อว่าหากไม่มีปัจจัยลบเข้ามากระทบต่อตลาดหุ้น คาดว่าเม็ดเงินก็มีโอกาสจะไหลเข้ามาลงทุนต่อ
ด้านประเด็นที่มีความกังวลว่ากองทุน LTF และ RMF จะได้รับความสนใจจากนักลงทุนน้อยลง หลังจากที่ตลาดหุ้นปรับตัวดีขึ้น แต่ยังเชื่อว่าประชาชนที่มีฐานเงินเดือนสูงยังคงต้องการถือกองทุน LTF และ RMF เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ด้านภาษี โดยไม่ได้มีการคาดหวังกำไร หรือผลตอบแทนเป็นหลัก

* พบผลสำรวจ ผู้บริหาร บจ. กังวลปัญหาการเมืองมากสุด
นางสาวเพ็ญศรี สุธีรศานต์ ผู้อำนวยการสมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย (สมาคมบจ.) กล่าวถึงผลสำรวจผู้บริหารจำนวน 66 บริษัท ใน 9 อุตสาหกรรมเกี่ยวกับภาพรวมการขยายตัวทางเศรษฐกิจ พบว่าผู้บริหารส่วนใหญ่เห็นว่าจีดีพีปีนี้จะขยายตัวประมาณ 6.5-7.5% และปีหน้าขยายตัว 4-4.5% โดยปัจจัยเสี่ยงที่มีผลกระทบมากที่สุด 3 อันดับแรก คือ ความไม่มั่นคงทางการเมือง ปัญหาเงินบาท และปัญหาการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก
ในส่วนของสัญญาณที่แสดงถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และความเชื่อมั่นในความยั่งยืนของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ พบว่า 97% เห็นสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจแล้ว มีเพียง 3% ที่เห็นว่ายังไม่มีสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
นางสาวเพ็ญศรี กล่าวถึงผลสำรวจผู้บริหารจำนวน 66 บริษัท ใน 9 อุตสาหกรรมเกี่ยวกับประเด็นการลงทุนของบริษัทจดทะเบียนในอีก 12 เดือนข้างหน้า ว่า ผู้ประกอบการกว่า 85% เห็นว่าจะขยายการลงทุนเพิ่มขึ้น ซึ่งเทียบกับปี 2552 ซึ่งมีเพียง 58% ที่จะขยายการลงทุนเพิ่มขึ้น สะท้อนให้เห็นความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นของผู้บริหารบริษัทจดทะเบียน อย่างไรก็ตาม บริษัทจดทะเบียนยังคงมีความกังวลต่อผลกระทบที่เกิดขึ้นจากปัญหาความไม่มั่นคงทางการเมืองเป็นปัจจัยอันดับ 1
สำหรับแผนการระดมทุนเพื่อการลงทุนของบริษัทจดทะเบียน แหล่งเงินทุนหลักที่สำคัญมาจากกำไรสะสม รองลงมาคือ การขอสินเชื่อจากธนาคาร และการออกหุ้นกู้ภายในประเทศ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับปี 2552 พบว่า บริษัทมีความมั่นใจมากขึ้นในเรื่องการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงิน และการระดมทุนจากตลาดทุน
ส่วนผลสำรวจผู้บริหารจำนวน 66 บริษัท ใน 9 อุตสาหกรรมเกี่ยวกับประเด็นมุมมองทางเศรษฐกิจ-การเมืองของรัฐบาลปัจจุบัน ในหัวข้อแนวทางพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศที่มีความจำเป็นเร่งด่วน ว่า 42% ตอบว่าพัฒนาระบบราง รองลงมาขยายถนน/ทางด่วน และขยายศักยภาพของท่าเรือ
นอกจากนี้ในหัวข้อ 3G มีความสำคัญต่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศมากน้อยเพียงใด ส่วนใหญ่ตอบว่ามีความสำคัญมาก และรัฐบาลควรเร่งดำเนินการทันที เนื่องจากระบบ 3G มีความสำคัญต่อการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ
ขณะที่นโยบายในการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล 62% เห็นว่า นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจมีผลในการสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ซึ่งรัฐบาลควรให้ความสำคัญมากที่สุด 3 อันดับแรก คือ 1. การรักษาเสถียรภาพทางการเมือง 2. การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และ 3. การดูแลค่าเงินบาท
นางสาววิวรรณ ธาราหิรัญโชติ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า ศูนย์วิจัยฯ มองว่าแนวโน้มเงินบาทยังแข็งค่าอย่างต่อเนื่อง อาจเพราะประเทศไทยมีการเกินดุลบัญชีสะพัดมาตลอด โดยล่าสุดเงินบาทแข็งค่าขึ้นไป 11.6% ทั้งนี้คาดว่าสิ้นปีนี้เงินบาทจะอยู่ที่ระดับ 29 บาทต่อดอลลาร์ ส่วนปีหน้าอยู่ที่ 28 บาทต่อดอลลาร์

----------------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย
FSS:ยังรอซื้อเมื่อตลาดอ่อนตัวลง...เพื่อลุ้นโอกาสดีดขึ้นเหนือ 1000 จุดต่อได้
แนวโน้ม: FSS ยังคาดว่า SET จะแกว่งตัวผันผวนต่อเนื่องในกรอบ 980-1000จุด และอาจมีหลุดต่ำกว่า 980 จุดลงไปได้บ้าง เนื่องจากนักลงทุนต่างประเทศเริ่มมียอดขายสุทธิต่อเนื่องมากขึ้น เพราะเริ่มเข้าใกล้ช่วงท้ายปีซึ่งจะเป็นช่วงวันหยุดยาวของสถาบันต่างประเทศ จึงทำให้คาดว่านักลงทุนต่างประเทศ
บางส่วนอาจเริ่มลดพอร์ตลงบ้างหลังจาก SET ขยับขึ้นมามากพอควร อย่างไรก็ตามจากกระแสข่าวเรื่องการอัดฉีดเม็ดเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ของสหรัฐ
ซึ่งคาดว่าจะรู้ผลหลังการประชุมเฟดในต้นสัปดาห์หน้า(วันที่ 2-3 พ.ย.) จะยังเป็นปัจจัยบวกให้กับตลาดหุ้นไทยได้อยู่ รวมทั้งในช่วงท้ายปีมักจะมีเม็ดเงินจาก
กองทุน LTF และ RMF เข้ามาเสริมในตลาดหุ้นด้วย ดังนั้นเราจึงยังแนะนำให้ทยอยเลือกหุ้นเข้ารับได้ เพื่อลุ้นดัชนีขยับขึ้นเหนือ 1000 จุดได้ในที่สุดต่อไป
กลยุทธ์: ยังแนะนำให้เลือกหุ้นเข้าซื้อได้เมื่อตลาดอ่อนตัวลง โดยหุ้นที่น่าสนใจได้แก่ SCB, KBANK, BBL, TCAP, TASCO, TTCL, ITD, STEC, CK, SEFCO,LPN เป็นต้น
Equities Index
ประเด็นสำคัญวันนี้
• (0) ระวังแรงขายปลายสัปดาห์ก่อนการประชุม Fed 2 – 3 พ.ย. ทั้งจากการเตรียมขาย Sell on fact หรือเม็ดเงินที่ Fed จะซื้อตราสารต่างๆ (QE2) อาจน้อยกว่าตลาดคาด หากเป็นเช่นนั้นจะทำให้เกิดการ cover shortค่าเงินดอลลาร์ ซึ่งสอดคล้องกับค่าเงินดอลลาร์ในช่วงนี้ที่เริ่มแข็งค่า ขณะที่
เมื่อวาน CS เริ่มขายหุ้นไทย 1 พันกว่าล้านบาท ขายมากเป็นวันแรกในรอบหลายสัปดาห์ สำหรับการลงทุนกลาง-ยาว ยังแนะนำถือต่อ แต่ระยะสั้น น่าหาจังหวะขายเมื่อปรับขึ้น
• (-) DCC กำไรแย่กว่าคาดเพราะยอดขายชะลอกว่าคาด DCC รายงานกำไรสุทธิ 250.5 ล้านบาท -21.8% Q-Q, +4.5% Y-Y จากยอดขายที่ชะลอตามฤดูกาล แต่พัฒนาการที่ดีคืออัตรากำไรขั้นต้นดีขึ้นต่อเนื่องเป็น 45.7%สูงสุดเป็นประวัติการณ์และสูงที่สุดในอุตสาหกรรมกระเบื้องปูพื้น เรายังแนะนำซื้อจากกำไรที่โตต่อเนื่อง และอัตราปันผลตอบแทนปีละ 6% ราคาเป้าหมาย
65 บาท
• (+) THAI หากไม่รวมผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน คาดกำไรในไตรมาสนี้ 2.92 พันล้านบาท ฟื้นตัวขึ้นจากไตรมาสก่อนที่ขาดทุน 3.17 พันล้านบาทและขาดทุน 1.21 พันล้านบาท จากจำนวนผู้โดยสารที่ฟื้นตัว แนวโน้มของTHAI ที่ดีขึ้นได้สะท้อนไปในราคาหุ้นไปแล้วบางส่วน จึงแนะนำซื้อเก็งกำไร
ผลประกอบการ หรือซื้ออ่อนตัว เราประเมินเป้าหมาย 48 บาท
• (0) SSC บ.เอสเอส เนชั่นแนล โลจิสติกส์ ขอทำ Tender offer หุ้น SSCทั้งหมดในราคา 42 บาท/หุ้น โดยจะยื่นคำเสนอซื้อย่างเป็นทางการ 3 พ.ย. นี้
• (+) วันนี้ PTTEP และ SCC ประกาศผลประกอบการ แนวโน้มกำไรPTTEP ดีมาก ส่วน SCC กำไรชะลอแต่ก็รับรู้ไปในราคาหุ้นแล้ว
• Fund Flow วานนี้ไหลเข้าตลาดหุ้นภูมิภาคต่อเนื่องเป็นวันที่ 4 ติดต่อกันและมีปริมาณที่หนาแน่นมากขึ้น แม้จะไม่มีปัจจัยใหม่เข้าสู่ตลาด แต่ความตึง
เครียดเกี่ยวกับการแข็งค่าของเงินสกุลเอเชียได้ผ่อนคลายลง และตลาดยังคงคาดหวังว่าเฟดจะอัดฉีดเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ทำให้แนวโน้มกระแสเงินทุนจากต่างชาติน่าจะยังคงมีไหลเข้าเอเชียต่อเนื่องเช่นเดิมอย่างไรก็ตามค่าเงินยูโรและค่าเงินในภูมิภาคเอเชียกลับมาอ่อนค่าเล็กน้อยหลังจากที่นักเศรษฐศาสตร์คาดกันว่าเฟดอาจอัดฉีดเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจแบบค่อยเป็นค่อยไปจากเดิมที่คาดว่าเฟดจะใส่เงินเข้ามาครั้งเดียวในปริมาณมาก ส่งผลให้ค่าเงินเอเชียและยูโรเช้านี้อ่อนค่าลงเล็กน้อย แต่เราระยะยาวยังเชื่อว่า Fund Flow ยังไหลเข้าตลาดหุ้นภูมิภาคเช่นเดิม
เมื่อคืนนี้ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวลงกว่า 77 จุดในระหว่างชั่วโมงการซื้อขาย ก่อนจะไต่ระดับกลับขึ้นมาปิดเป็นบวก5.41 จุด ด้วยปริมาณการซื้อขายที่เบาบาง โดยได้รับแรงกดดันจากความกังวลของนักลงทุนที่ว่าการเลือกตั้งของสหรัฐและการประชุมเฟดในสัปดาห์หน้า อาจส่งสัญญาณถึงการเปลี่ยนแปลงทิศทางนโยบายด้านการเงินและกฎหมายของสหรัฐได้ แต่ยังได้รายงานตัวเลขเศรษฐกิจที่ดี และผลประกอบการที่แข็งแกร่งของเอกชนช่วยหนุน
ตลาดหุ้นในยุโรปส่วนใหญ่ปรับตัวลง หลังธนาคารยูบีเอสรายงานว่าแผนกวาณิชธนกิจประสบภาวะขาดทุน นอกจากนี้ราคาบ้านในสหรัฐที่ปรับตัวลง ทำให้นักลงทุนไม่มั่นใจต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ
ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ปิดบวก 0.03 ดอลลาร์ปิดตลาดที่82.55 ดอลลาร์/บาร์เรล จากตัวเลขความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน ต.ค.ที่ดีขึ้น
ราคาทองคำ COMEX เดือน ธ.ค. ปิดลดลง 0.30 ดอลลาร์อยู่ที่ 1,338.60 ดอลลาร์/ออนซ์ หลังจากค่าเงินดอลลาร์ยังคงแข็งค่าขึ้น
ค่าระวางเรือ (BDI) ปิดบวก 30 จุดอยู่ที่ 2778 จุด ดีดตัวขึ้นเป็นวันที่ 3 ติดต่อกัน และสามารถขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ในรอบ 1 เดือนเศษด้วย

ข่าวภายในประเทศ
SAMART กระฉ่อน 30% SAMTEL-SIMตัวทำเงิน ปีนี้โชว์กำไร 600 ล้าน “วัฒน์ชัย”ลั่น 3 จีสู้ไม่ถอย SAMART มั่นใจกำไรครึ่งปีหลังแรงต่อเนื่อง คาดรายได้โตไม่น้อยกว่า 30% รับ SAMTEL–SIM โตต่อเนื่อง พร้อมโดดลุยงานประมูล 3 จีทีโอที 19,000 ล้านบาท โชว์งานในมือสูงกว่า6,000 ล้านบาท โบรกฯเชื่อกำไร Q3 ราว 150 ล้านบาท ส่วนทั้งปีเชื่อจบเฉียด 600 ล้านบาท โต 58% จากปีที่แล้ว (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 27-10-2010)
IVL แพ้ประมูล PET หุ้นรูด 20% IVL รูดกว่า 20% ผู้บริหารรับสภาพแพ้ประมูลซื้อโรงงานทำพลาสติก PET ของ Eastman ที่สหรัฐ นักลงทุนเทขายหนัก โบรกฯเชื่อลั่นไตรมาส 3 กำไรแตะ 1,442 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 152% จากช่วงเดียวกันไตรมาสก่อน เป้ารายได้ทั้งปีเติบโต 20% (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 27-10-2010)
KASET กระหึ่ม! กำไร Q4 รับ 2 เด้งยอดขายไฮซีซั่น KASET รับ 2 เด้ง เนื่องจากไตรมาส 4 เป็นช่วงไฮซีซั่น ประกอบกับรับอานิสงส์จากน้ำท่วมดันยอดขายสินค้าสำเร็จรูป ทั้งโจ๊ก วุ้นเส้นและข้าวปรับตัวสูงขึ้น เป้ารายได้ปีนี้ 2.1 พันล้านบาท เติบโตทั้งในและต่างประเทศ หลังรุกขยายตลาดแถบ
อาเซียน (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 27-10-2010)
SPALI เจ๋งพรีเซลทะลัก แบ็กล็อกพุ่ง 2 หมื่นล้าน "ศุภาลัย" แจ่ม! ยอดขายทะลัก 12,200 ล้านบาท 2 เดือนจ่อเปิด 7 โครงการมูลค่า 8,200 ล้านบาท มั่นใจยอดขายทั้งปีเกินเป้า 15,000 ล้านบาท ล่าสุดแบ็กล็อกพุ่ง 20,000 ล้านบาท บุ๊คปีนี้ 5,000 ล้านบาท "ไตรเตชะ" ลั่นรายได้ปีนี้สูงกว่าเป้า11,000 ล้านบาท (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 27-10-2010)
MAJOR เล็งขึ้นค่าโฆษณาโรงหนัง ลูกค้าแห่ซื้อแน่นทะลัก Q3 กำไรเกิน 140 ล้านบาท MAJOR เล็งขึ้นค่าโฆษณาโรงหนัง ผู้บริหารชี้ความต้องการซื้อแน่นเอี้ยด จ่อคิวปรับเพิ่มต้นปีหน้า ชี้ไตรมาส 3 ไปได้สวย หนังทำเงินเพียบ ชี้ปัญหาน้ำท่วมไม่กระเทือน หลังโรงหนังส่วนใหญ่อยู่ใจกลางเมือง ฟากวงการเงินชี้กำไรปกติไตรมาส 3 โตขั้นต่ำทะลุ 100% เกิน 140 ล้านบาท (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 27-10-2010)
TVO เด้งรับราคาถั่วเหลืองขยับ กำไร Q4 แจ๋วซื้อเป้า 29.03 บาท หุ้น TVO วิ่งขึ้นต่อเนื่อง หลังคาดราคาถั่วเหลืองมีโอกาสขยับจาก 12 เหรียญ
ต่อบุชเชล ไปสูงกว่า 13 เหรียญต่อบุชเชล หนุนประสิทธิภาพการทำกำไร เชื่อไตรมาส 4 ราคาขายในประเทศปรับขึ้น และได้รับประโยชน์จากการเดินเครื่องกำลังการผลิตส่วนเพิ่มเต็มที่ โบรกฯแนะซื้อราคาเป้าหมาย 29.03 บาท รับดิวิเดนด์ยีลด์ 5.2-5.7% (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 27-10-2010)
SENA กำไร Q3 หล่นฮวบ 63% เหตุรายได้ลด-ค่าใช้จ่ายพุ่ง SENA ไตรมาส 3 โชว์ยอดขาย 450 ล้านบาท โต 22% ส่วนกำไรคาดทำได้ 24ล้านบาท หล่นฮวบ 63% เหตุไตรมาส 3 รายได้ลดเหลือ 200 ล้านบาท จาก 300 ล้านบาทในไตรมาส 2 แต่เชื่อกำไรจะกลับมาเติบโตสูงสุดในไตรมาส4 รอบุ๊ครายได้โอนคอนโดฯ 800 ล้านบาท แนะ "ซื้อ" ราคาเหมาะสมปีหน้า 2.95 บาท (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 27-10-2010)
----------------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ตปท.
ข่าวต่างประเทศ ยุโรป: ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเยอรมนีทรงตัวที่ระดับสูงสุดในรอบ 2 ปีครึ่ง สถาบันวิจัย GfK เผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเยอรมนีทรงตัวที่ระดับสูงสุดในรอบสองปีครึ่งในเดือนพ.ย. เนื่องจากผู้บริโภคยังคงมีมุมมองที่เป็นบวกต่อแนวโน้มเศรษฐกิจของประเทศ อันเนื่องมาจากการว่างงานที่ลดลง ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนพ.ย.ไม่เปลี่ยนแปลงจากระดับ 4.9 จุดในเดือนต.ค. ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค. 2551 ทั้งนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเยอรมนีประกอบด้วยมาตรวัด 3 ตัวได้แก่ การคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจ ซึ่งปรับตัวสูงขึ้นแตะ 56 จาก 53.5 อันมีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากตลาดแรงงานที่ฟื้นตัวดีขึ้น โดยอัตราว่างงานของเยอรมนีปรับตัวลดลงเป็นเดือนที่ 15 ในเดือนต.ค. (ที่มา: อินโฟเควสท์ 26-10-2010)
สหรัฐอเมริกา: สหรัฐเผยดัชนีราคาบ้านเดือนส.ค.ลดลง 0.3% หลังนโยบายลดหย่อนภาษีผู้ซื้อบ้านหมดอายุ สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์/เคสชิลเลอร์เปิดเผยว่า ดัชนีราคาบ้านเดือนส.ค.ใน 20 ขตเมืองของสหรัฐ ลดลง 0.3% เมื่อเทียบกับเดือนก.ค. ซึ่งสอดคล้องกับที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้ หลังจากนโยบายลดหย่อนภาษีแก่ผู้ซื้อบ้านหมดอายุลง หากเทียบเป็นรายปีพบว่า ดัชนีราคาบ้านเดือนส.ค.ใน 20 ขตเมืองของสหรัฐเพิ่มขึ้น 1.7% ซึ่งน้อยกว่าเดือนก.ค.ที่พุ่งขึ้นแข็งแกร่งถึง 3.2% (ที่มา: อินโฟเควสท์ 27-10-2010)
สหรัฐอเมริกา: คอนเฟอเรนซ์บอร์ดเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐเดือนต.ค.เพิ่มขึ้นเกินคาด คอนเฟอเรนซ์ บอร์ด ซึ่งเป็นองค์กรวิจัยเอกชนของสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนต.ค.ของสหรัฐปรับตัวเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 50.2 จุด จากเดือนก.ย.ที่ระดับ 48.6 จุด มากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 49.2 จุด อย่างไรก็ตาม ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนต.ค.ยังคงเคลื่อนไหวใกล้กับระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ เนื่องจากผู้บริโภคยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะตึงตัวในตลาดแรงงาน โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐระบุว่า ตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรเดือนก.ย.ร่วงลง 95,000 ตำแหน่ง ซึ่งลดลงเป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกัน ขณะที่อัตราว่างงานยืนอยู่ที่ระดับ 9.6% (ที่มา: อินโฟเควสท์ 27-10-2010)
----------------------------------------------------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น