Code 185 : HSKI ยังกดดันตลาดหุ้นไทย

วันศุกร์ที่ 29 ตุลาคม 2553
ATT Code :HSKI ยังกดดันตลาดหุ้นไทย
----------------------------------------------------------------------------------
MARKET WAVE Analysis
29 ตค. 53 (+3.27 จุด) โกมล พงศ์วิญญู เลขทะเบียน 18338

แกว่งตัวในกรอบ 982 – 990 จุด
ดัชนีกำลังแกว่งตัวในกรอบระหว่าง 982– 990 จุด ใต้เส้นค่าเฉลี่ย 25 ชั่วโมงการปรับตัวขึ้น เกิน 992 เส้นค่าเฉลี่ย 25
ชั่วโมง ดัชนีสามารถปรับตัวขึ้นต่อแถว 997 –1000 ใกล้จุดสูงสุดเดิมของปีนี้อีกครั้ง (แต่ยังไม่น่าจะผ่านไปได้)

ขณะเดียวกันเนื่องจากสภาวะ RSI Overbought & Bearish Divergence ในภาพระยะสัปดาห์ ไม่ว่าดัชนีจะขึ้นถึง 1040 –
1060 จุดหรือไม่ ?

ตลาดมีโอกาสปรับฐานใหญ่แถว 900 – 940 จุด ในระยะต่อไป (โดยเฉพาะการปรับตัวลง ต่ำกว่า 970 จุด จะถือเป็นการ
ปรับตัวลงต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ย 25 วัน และถือเป็นการเกิด “สัญญาณขาย” ในเครื่องมือ Point & Figure)

หุ้นเด่น
CKกำลังปรับตัวในกรอบสามเหลี่ยม ภาพระยะชั่วโมง รอซื้อตามมื่อปรับตัวเกิน 10.10 กรอบบนของสามเหลี่ยม เป้าหมายสองสามวัน10.60 – 10.80( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 9.75 )

10 อันดับซื้อขายสูงสุด
ADVANC ปรับตัวลง 88 – 89
PTT ต่ำกว่า 300 ลง 290 - 295
STEC ไม่ต่ำกว่า 13.30 ขึ้น 14.80 – 15.20
BANPU ไม่น่าเกิน 784 - 788
PTTEP แกว่งตัว 170 - 172
PTTCH ไม่น่าเกิน 146 – 147
AJ เกิน 23.60 ขึ้น 24 – 24.50
BBL ต่ำกว่า 150 ลง 147 - 149
BJC ไม่น่าเกิน 22.20 – 22.30
IVL แกว่งตัว 32.50 – 33.50
----------------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย
FSS:
ตลาดปรับลงน่าทยอยเข้ารับ...เพื่อลุ้นโอกาสดีดขึ้นเหนือ 1000 จุดต่อได้
แนวโน้ม: FSS ยังคาดว่า SET จะแกว่งตัวผันผวนและอยู่ในช่วงปรับพักฐานต่อได้หลังนักลงทุนต่างประเทศยังคงมียอดขายสุทธิต่อเนื่อง และนักลงทุนบางส่วนยังรอดูความชัดเจนของ QE2 จากสหรัฐในต้นสัปดาห์หน้าก่อน ขณะที่ตลาดหุ้นในภูมิภาคเช้านี้ก็ยังคงมีแรงขายทำกำไรต่อเนื่องเช่นกัน ดังนั้นโอกาสที่ SET จะแกว่งแถว 980จุดหรือหลุดต่ำกว่ายังมีความเป็นไปได้อยู่ อย่างไรก็ตามหลังการประชุมเฟดผ่านพ้นไป ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไรก็ตาม เรายังมองว่าเม็ดเงินของทั้งนักลงทุนต่างประเทศที่คาดว่าจะกลับเข้ามาอีกครั้ง จากความแข็งแกร่งของภาวะเศรษฐกิจไทย รวมทั้งเม็ดเงินใหม่จากกองทุน RMF และ LTF น่าจะยังช่วยผลักดันให้ SET ขยับขึ้นได้อีกครั้งซึ่งล่าสุดบ้านเรายังมีข่าวดีจากการเพิ่มแนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือจาก มูดี้ส์ เข้ามาช่วยเสริมด้วย โดยเป้าหมายดัชนีเรายังมองสูงกว่า 1000 จุดได้อยู่เช่นเดิม
กลยุทธ์: เลือกหุ้นทยอยเข้าซื้อได้ โดยหุ้นที่น่าสนใจได้แก่ TASCO, GLOBAL,HMPRO, AMATA, SIRI, SPALI, QH, VNG, CK, STEC, MAJOR, IRPC, PTTAR,LANNA, BGH, DTAC, ADVANC, SITHAI เป็นต้น
ประเด็นสำคัญวันนี้
• (+) ธปท. ปรับประมาณการ GDP เพิ่ม ธปท. ปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP ของไทยปี 2553 เป็นเติบโต 7.3% - 8.0% จากเดิมคาดโต 6.5% - 7.5% จากการลงทุนและการส่งออกที่ขยายตัวดีในปีนี้ ส่วนปี 2554 คาด GDP โต 3% - 5%วานนี้ สศค.ได้ประเมิน GDP ปีนี้ว่าโต 7.4% โดยคำนึงผลกระทบของน้ำท่วมและบาทแข็งแล้ว
• (+) Moody’s ปรับ Outlook ไทยสู่ "Stable" จาก "Negative" เพราะเศรษฐกิจฟื้นตัวแข็งแกร่ง ฐานะการคลังมีเสถียรภาพ ส่วน rating ของพันธบัตรรัฐบาลสกุลเงินต่างประเทศและสกุลเงินบาทของรัฐบาลไทย รวมทั้งเงินฝากสกุลเงินต่างประเทศ อยู่ที่เดิม Baa1 แต่เพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือตราสารหนี้สกุลเงินต่างประเทศของไทยขึ้น 1 ขั้นเป็น A2 นอกจากนี้ ยังปรับเพิ่มแนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือตราสารหนี้และเงินฝากสกุลต่างประเทศของธนาคาร 8 แห่งของไทย(BBL, KTB, KBANK, SCB, SCBT, UOBT, GHB, EXIMT) สู่ "มีเสถียรภาพ" จาก
"เชิงลบ"
• (-) SSI ผิดคาด กลายเป็นขาดทุนใน 3Q10 จากต้นทุน Slab ที่ซื้อมาแพงมาก ทำให้ขาดทุน 78 ล้านบาทใน 3Q10 (ไม่รวมกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน) แต่แนวโน้ม 4Q10 จะดีขึ้นเพราะปรับราคาขายขึ้นได้ และต้นทุนใหม่ต่ำลง แต่เรายังไม่แนะนำให้ซื้อเพราะความเสี่ยงในเรื่องการเพิ่มทุนยังมี (เพื่อซื้อโรงถลุง TCP)นอกจาก SSI แล้ว คาดว่า TSTH มีโอกาสขาดทุนเช่นกัน น่าขายก่อนประกาศงบ
• (+) เก็งกำไร PTL กำไรในไตรมาสนี้เพิ่มขึ้นถึง 230% Q-Q และ 280% Y-Yเป็นผลมาจากอัตรากำไรขั้นต้นที่เพิ่มก้าวกระโดดจากระดับ 21% - 24% เป็น40% บริษัทยังประกาศจ่ายปันผล 0.59 บาท/หุ้น (ไม่ต้องเสียภาษี ได้ BOI) คิดเป็น Yield 2% XD 11 พ.ย. จ่ายเงิน 24 พ.ย. ประเมินเบื้องต้น PE ยังต่ำเพียง 10เท่า
• (+) TUF ลูกหุ้นเข้าวันนี้ จำนวน 73.16 ล้านหุ้น เป็นหุ้นที่เกิดจาก XR 20:1 @50และ PP 53 บาท
• วันนี้มี ใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ (DW) ที่เข้าเทรดคือ BANP42CA และPTT42CA
• Fund Flow วานนี้ยังไหลเข้าต่อเนื่องตลาดหุ้นภูมิภาคในปริมาณที่เพิ่มขึ้นแต่ไม่มาก ส่วนใหญ่เป็นซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไตหวันและเกาหลีใต้ แต่ขายสุทธิใน
ตลาดหุ้นไทยและอินโดนีเชีย สาเหตุที่กระแสเงินทุนต่างชาติยังชะลอการลงทุนในช่วงนี้เป็นเพราะนักลงทุนส่วนใหญ่ยังรอผลการประกาศตัวเลขจีดีพีไตรมาสที่ 3
ของสหรัฐอเมริกาและผลการประชุมของเฟดในวันที่ 2-3 พ.ย 2010 ว่าจะออกมาตราการอัดฉีดสภาพคล่องมากน้อยเพียงใด อย่างไรก็ตามเราเชื่อว่าจะมีการอัดฉีดเม็ดเงินใหม่มากหรือน้อยเพียงใดก็ตาม เราก็ยังเชื่อว่าเศรษฐกิจสหรัฐยังต้องใช้เวลาในการฟื้นตัวอีกนาน ฉะนั้นความแตกต่างด้านอัตราดอกเบี้ยระหว่างเอเชียและสหรัฐหรือยุโรปยังมีช่วงว่างอยู่มาก และจะยังเป็นเหตุให้เม็ดเงินไหลเข้าตลาดภูมิภาคเอเชียอย่างหลีกเลี่ยงไม่มาก เพียงแต่ว่าจะมีมากหรือน้อยเท่านั้นเอง ส่วน
ค่าเงินบาทเช้านี้ยังอ่อนค่าต่อเนื่องจากวานนี้ ดังนั้นกระแสเงินทุนต่างชาติในช่วงนี้อาจจะชะลอตัวอีกระยะหนึ่งจนกว่าผลการประชุมเฟดจะออกมาชัดเจนเพื่อกำหนด
ทิศทางตลาดใหม่
----------------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ตปท.
----------------------------------------------------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น