Code 459 : 26/07/54 ปิดเป็น New High... ขยับ Target ขึ้นไปที่ BBT 1138....

วันอังคารที่ 26 กรกฎาคม 2554
ATT Code : ปิดเป็น New High... ขยับ Target ขึ้นไปที่ BBT 1138....
กรอบเล็ก... Range อยู่ที่ 1115 - 1133...
กรอบใหญ่...
Range อยู่ที่ 1098 - 1138...

* ระยะ Day >>> มีลักษณะเป็น Lower High และ Higher High... มีโอกาสปรับตัวขึ้นเรื่อยๆ...
- ผ่านแนวต้าน ที่ High ก่อน ที่ 1122 จุด... โดยจะมี Target อยู่ทีี 1133 -1138....

* ระยะ Week 18 - 22 ก.ค. 54 >>> เป็น Buy Signal in Bull Market
- SETI อยู่ระหว่าง BBA กับ BBT...
- UpTrend = MacD crossover Signal Line...
- MacD Osc ขึ้นมาเป็นบวกมากขึ้น....
- Main Indicators ทุกตัวเป็น Buy Signal...
- กรอบเล็ก Range อยู่ที่ 1097 - 1128...
- กรอบใหญ่ Range อยู่ที่ 1080 - 1150...

* ระยะ Month 1-31 ก.ค. 54 >>> SETI เป็นลักษณะ Sideway in UpTrend..
- กรอบเล็ก Range อยู่ที่ 1016 - 1133
- กรอบใหญ่ Range อยู่ทีี่ EMA10 - BBT... หรือที่ 998 - 1182...

---------------------------------------------------------------------------
*** แนวโน้มหลัก : ฺBull market... Up Trend in Range 1111 - 1138...***
* SETI ทำ New High ผ่านแนวต้านที่ 1122.. โดยมี Targe ที่ 1133...
* SETI อยู่ใน Trading Range ของ EMA5 กับ BBT...

1. เข้าที่...
วันอังคาร SETI ปิดที่ 1127.57 จุด +6.54จุด... Volume 29,572 MB...
- SETI สามารถผ่านแนวต้าน 1122 ขึ้นไปได้... โดยแรงขายไม่สามารถต้านทานแรงซื้อได้ ทำให้เกิดเป็น New High... หรือเป็น Higher High...
- SETI อยู่แหนือ EMA5 ได้ เป็น Up Trend... และ EMA5 ยังอยู่เหนือกว่า EMA10 อยู่...
โดยถือว่า EMA5 เป็นแนวรับที่สำคัญ...
(ถ้า EMA5 ตัด EMA10 ลงมา... ก็จะเป็น Dead Cross = Down Trend)
- Chart Pattern เป็นลักษณะคล้ายๆ White Candle...Bull
นอกจากนี้ Chart มีลักษณะเป็น Lower High และ Higher high...

- Main Indicators... มีความแข็งแรงขึ้นทุกตัว.... มีแนวโน้มที่ดี ไปในทิศทางเดียวกัน...
MACD Osc.. มีค่าเพิ่มขึ้นเป็นวันที่ 5 แล้ว...
RSI ก็มีความแข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ.... แต่เข้ามาอยู่ในเขต Overbought แล้ว... แต่ยังไม่ใช่จุดขาย ยังสามารถขึ้นไปได้อีกถึง 80 ได้...

- Minor Indicators... มีค่าเพิ่มขึ้นไม่ทุกตัว... มี 2 ตัวที่มีการขัดแย้งกัน...
โดย CCI กับ Volume มีค่าน้อยลงกว่าเดิม... แต่ยังไม่มี Divergence เกิดขึ้น...

----------------------------------------------------------------------------
2. ระวัง...
- ระวังถ้าดัชนีต่ำกว่า 1127... ก็มีโอกาสที่จะลงไปสู่ 1115ได้...

-----------------------------------------------------------------------------

3. ไป...
- แนวโน้มวันนี้ >>> ปิดเป็น New High... ขยับ Target ขึ้นไปที่ BBT 1138....

- สัญญาณบวก >>> ถ้าดัชนีสามารถปรับตัวสูงขึ้น แล้วไม่กลับลงไปต่ำกว่า 1127.28... ก็มีโอกาสที่จะทำ New High และขึ้นไปเทสที่ 1133 - 1138 ได้..
*** ถ้าผ่าน 1138 ไปได้ ก็จะเป็น Buy Signal ขึ้นมา... ตามกฎของ BB โดยดัชนีจะเกาะไปกับ BBT...

- สัญญาณลบ >>> แต่ถ้าดัชนีลงมาต่ำกว่า 1127 ลงมา... ก็มีโอกาสที่จะลงมาที่เป้าหมายที่ 1115 ได้...
*** ถ้าหลุด 1115 ลงมา ก็จะเกิด Sell Signal... โดยมีเป้าหมาย ลงมาปิด Gap ที่ 1111...

----------------------------------------------------------------------------
แนวรับ... 1115 / 1111 / 1098...
แนวต้าน... 1133 / 1138...



-----------------------------------------------------------------------------
MARKET WAVE Analysis
26 กค. 54 (+6.54 จุด) โกมล พงศ์วิญญู เลขทะเบียน 18338

ต่ำกว่า 1115.11 ปรับตัวลง 1100 - 1106จุด
ตลาดยังไม่มีสัญญาณการปรับตัว ที่ชัดเจน แต่จากสัญญาณ Stochastic Overbought ในภาพระยะวัน ตลาดพร้อมปรับฐานได้ทุกเมื่อ โดยเฉพาะถ้า ต่ำกว่า 1115.11 จุดต่ำสุดของวันจันทร์ และเส้นค่าเฉลี่ย 25 ชั่วโมงดัชนีมีโอกาสปรับตัวลง “ชั่วคราว” แถว 1100- 06 ใกล้จุดต่ำสุดของวันพฤหัส

ตลาด “อาจจะ” ใช้ระยะเวลาประมาณหนึ่งสัปดาห์ แกว่งตัวขึ้นลงในกรอบ 1100 – 27หรือ ประมาณจุดต่ำสุดของวันพฤหัสถึงจุดสูงสุดของวันจันทร์

ขณะที่แนวโน้มหลักยังคงเป็น “ขาขึ้น”ดัชนีมีเป้าหมายในการปรับตัวขึ้นต่อแถว 1135– 50 จุด

หุ้นเด่น
SAMART
กำลังปรับตัวในกรอบสามเหลี่ยม ภาพระยะเดือน รอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 9.75 กรอบบนของสามเหลี่ยม เป้าหมายระยะสัปดาห์10.30 – 11.30( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 9.60 )

BANPU
ปรับตัวขึ้นมาอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ย 25 สัปดาห์อีกครั้ง รอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 750จุดสูงสุดวันจันทร์ เป้าหมายระยะสัปดาห์772 - 800( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 740 )

10 อันดับซื้อขายสูงสุด
SCB เกิน 126.50 ขึ้น 127 – 128
PTT ต่ำกว่า 347 ลง 340 – 343
CPF ไม่ต่ำกว่า 29.75 ขึ้น 31 - 32
BBL ต่ำกว่า 170.50 ลง 165 - 168
KBANK ต่ำกว่า 141.50 ลง 133 - 136
BANPU รายละเอียดใน “หุ้นเด่น”
KTB ไม่ต่ำกว่า 20.20 ขึ้น 21 – 21.50
PTTEP ไม่ต่ำกว่า 181 ขึ้น 185 – 186
TOP ต่ำกว่า 77.25 ลง 75 – 76
TRUE ไม่ต่ำกว่า 4.26 ขึ้น 4.32 – 4.40

-----------------------------------------------------------------------------

DJIA:ตลาดหุ้นนิวยอร์ค:ดาวโจนส์ปิดลบ 0.7%

ตลาดหุ้นสหรัฐปิดปรับตัวลงในวันจันทร์ ขณะที่ผู้กำหนดนโยบายยังคงขัดแย้งเกี่ยวกับการเพิ่มเพดานหนี้เพื่อหลีกเลี่ยงการผิดนัดชำระหนี้ แต่นักลงทุนก็เชื่อว่าจะสามารถประนีประนอมกันได้ก่อนกำหนดเส้นตายในสัปดาห์หน้า

ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดลบ 88.36 จุดหรือ 0.70%สู่ 12,592.80, ดัชนี S&P 500 ปิดลดลง 7.59 จุดหรือ 0.56% สู่ 1,337.43และดัชนี Nasdaq ปิดปรับตัวลง 16.03 จุดหรือ 0.56% สู่ 2,842.80

ปริมาณการซื้อขายเบาบางราว 5.94 พันล้านหุ้นในตลาดหุ้นนิวยอร์ค,ตลาดหุ้นอเมริกัน (American Stock Exchange) และตลาดหุ้น Nasdaq ซึ่งต่ำกว่าระดับเฉลี่ยต่อวันที่ 7.49 พันล้านหุ้น

การซื้อขายที่เบาบางบ่งชี้ว่านักลงทุนยังคงรอดูท่าทีอยู่นอกตลาด ขณะที่จำนวนหุ้นลบแซงหน้าหุ้นบวกอย่างมาก โดยจำนวนหุ้นลบมากกว่าหุ้นบวกประมาณ4 ต่อ 1 ในตลาดนิวยอร์ค และ 10 ต่อ 3 ในตลาด Nasdaq

สมาชิกสภานิติบัญญัติของสหรัฐมีกำหนดเส้นตายในวันที่ 2 ส.ค.ที่จะเพิ่มเพดานหนี้ 14.3 ล้านล้านดอลลาร์เพื่อหลีกเลี่ยงการผิดนัดชำระหนี้

ความวิตกของนักลงทุนยังคงอยู่ในระดับสูงซึ่งสะท้อนในดัชนีความผันผวน(VIX) ซึ่งพุ่งขึ้น 10.5% ซึ่งเป็นเปอร์เซนต์การเพิ่มขึ้นมากที่สุดในรอบ 2 สัปดาห์

หุ้นที่อ่อนแอที่สุดได้แก่กลุ่มการดูแลสุขภาพ, สื่อสารโทรคมนาคมและสินค้าสำหรับผู้บริโภค ซึ่งหุ้นกลุ่มดังกล่าวได้ลดช่วงบวกลงหลังจากทะยานขึ้นสัปดาห์ก่อนจากการเปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 2 ที่แข็งแกร่งกว่าคาด

ดัชนี S&P ของหุ้นกลุ่มดังกล่าวปรับตัวลงอย่างน้อย 1%--จบ--

ตลาดน้ำมันนิวยอร์ค:กังวลเพดานหนี้กดน้ำมันดิบปิดร่วง 67 เซนต์

ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า NYMEX ปิดร่วงลงในวันจันทร์ ในขณะที่นักลงทุนใช้ความระมัดระวังในการลงทุนเนื่องจากการเจรจาเรื่องการปรับขึ้นเพดานหนี้ในสหรัฐหยุดชะงักลงก่อนที่จะถึงเส้นตายในวันที่ 2 ส.ค.

ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบส่งมอบเดือนก.ย.ร่วงลง 67 เซนต์ หรือ 0.67 % มาปิดตลาดที่ 99.20 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 98.52-99.87 ดอลลาร์

ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนก.ย.ที่ตลาดกรุงลอนดอนอ่อนลง 73 เซนต์สู่ 117.94 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 116.92-118.45 ดอลลาร์

วอลุ่มการซื้อขายอยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 30 วันราว 41 % ซึ่งบ่งชี้ว่านักลงทุนออกไปรอดูท่าทีอยู่นอกตลาด ในขณะที่ปัญหาเรื่องเพดานหนี้ยังคงดำเนินต่อไป

พรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกันต่างผลักดันแผนงบประมาณของพรรคตนเองและไม่มีแนวโน้มว่าจะมีแผนใดที่ได้รับเสียงสนับสนุนในวงกว้าง ซึ่งส่งผลให้มีความเป็นไปได้มากยิ่งขึ้นที่จะมีการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐหรือการผิดนัดชำระหนี้ของสหรัฐ และเหตุการณ์ดังกล่าวจะสร้างความปั่นป่วนวุ่นวายต่อตลาดโลก

สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) รายงานว่า ราคาน้ำมันเบนซินธรรมดาไร้สารตะกั่วเพิ่มขึ้น 1.7 เซนต์จากสัปดาห์ที่แล้ว สู่ 3.70ดอลลาร์/แกลลอนในวันจันทร์ ซึ่งถือเป็นการปรับขึ้น 4 สัปดาห์ติดต่อกัน

EIA จะเปิดเผยตัวเลขสต็อกน้ำมันประจำสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 22 ก.ค.ในวันพุธโดยโพลล์รอยเตอร์คาดว่า สต็อกน้ำมันดิบอาจลดลง 1.6 ล้านบาร์เรล, สต็อกน้ำมันกลั่นอาจเพิ่มขึ้น 2 ล้านบาร์เรล, สต็อกน้ำมันเบนซินอาจเพิ่มขึ้น 600,000 บาร์เรลและอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันอาจลดลง 0.2 %--จบ--

ตลาดโลหะมีค่านิวยอร์ค:ทองทำสถิติสูงสุดขณะเจรจาหนี้สหรัฐไม่คืบหน้า

ราคาทองสปอตที่ตลาดสหรัฐพุ่งขึ้นสู่สถิติสูงสุดที่ 1,622.49 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในวันจันทร์ ในขณะที่การเจรจาเรื่องงบประมาณรัฐบาลสหรัฐไม่ประสบความก้าวหน้า และปัจจัยนี้ก็กระตุ้นให้นักลงทุนเข้าซื้อทองในฐานะสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยสูง เนื่องจากมีความเป็นไปได้มากยิ่งขึ้นที่จะมีการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐ หรือการผิดนัดชำระหนี้ของสหรัฐ

ราคาสัญญาทองส่งมอบเดือนส.ค.เคลื่อนตัวในช่วง 1,603.80-1,624.30 ดอลลาร์โดยมีวอลุ่มการซื้อขายอยู่ใกล้ 240,000 สัญญา ซึ่งถือเป็นหนึ่งในวันที่มีการซื้อขายหนาแน่นที่สุดในเดือนก.ค.

ผู้จัดการกองทุนคนหนึ่งกล่าวว่า ราคาทองอาจดิ่งลงอย่างรุนแรง ถ้าหากตลาดมองว่าข้อตกลงในการปรับลดยอดขาดดุลงบประมาณระยะยาวของสหรัฐเป็นข้อตกลงที่กระตุ้นให้เกิดภาวะเงินฝืดอย่างมาก

ทางด้านนายเจฟฟรีย์ เชอร์แมน ผู้จัดการพอร์ทลงทุนสินค้าโภคภัณฑ์ของบริษัทดับเบิลไลน์ แคปิตัลกล่าวว่า "ราคาทองอาจทะยานขึ้นราว 200 ดอลลาร์ สู่ 1,800ดอลลาร์ก่อนสิ้นปีนี้ โดยได้รับแรงหนุนจากความกังวลเรื่องการปรับลดค่าเงิน"

สำหรับราคาโลหะมีค่าที่ตลาด COMEX ในวันจันทร์มีดังต่อไปนี้

ปิดที่ระดับ (ดอลลาร์/ออนซ์) เปลี่ยนแปลง (ดอลลาร์)

ทองเดือนส.ค. 1,612.20 + 10.70

เงินเดือนก.ย. 40.361 + 23.90 (เซนต์)

ส่วนราคาโลหะมีค่าที่ตลาด NYMEX ในวันจันทร์มีดังต่อไปนี้

ปิดที่ระดับ (ดอลลาร์/ออนซ์) เปลี่ยนแปลง (ดอลลาร์)

พลาตินั่มเดือนต.ค. 1,794.00 - 4.40

พัลลาเดียมเดือนก.ย. 809.00 + 2.60 --จบ--

ตลาดเงินนิวยอร์ค:ดอลล์ร่วงเทียบฟรังก์สวิส,เยนจากวิตกหนี้สหรัฐ

ดอลลาร์ร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส และระดับต่ำสุดในรอบ 4 เดือนเมื่อเทียบกับเยนในวันจันทร์ และมีแนวโน้มร่วงลงอีกหากสมาชิกสภานิติบัญญัติสหรัฐไม่สามารถประนีประนอมเกี่ยวกับแผนการลดยอดขาดดุลงบประมาณ

ทั้งนี้ ดอลลาร์อยู่ที่ 78.310 เยน เทียบกับระดับปิดวันศุกร์ที่ 78.520 เยน ส่วนยูโรอยู่ที่ 1.4378 ดอลลาร์และ 112.61 เยน เทียบกับระดับปิดวันศุกร์ที่ 1.4353 ดอลลาร์และ 112.74 เยน

มีความวิตกเกี่ยวกับการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือและการผิดนัดชำระหนี้ขณะที่ใกล้ถึงกำหนดเส้นตายในวันที่ 2 ส.ค.ในการเพิ่มเพดานหนี้ของรัฐบาลสหรัฐจากระดับ 14.3 ล้านล้านดอลลาร์

ดอลลาร์และยูโรร่วงลงเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิสซึ่งเป็นสกุลเงินที่ปลอดภัย ขณะที่มีการเทขายปอนด์ก่อนอังกฤษเปิดเผยข้อมูลจีดีพีไตรมาส 2 ในวันอังคารนี้ ส่วนยูโรปรับตัวขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์

ฟรังก์สวิสและทองได้แรงหนุน หลังมูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิสปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของกรีซลงอีกในวันจันทร์

ดอลลาร์ร่วงลงเมื่อเทียบกับเยนแตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่กลางเดือนมี.ค.ที่ 78.055 เยน

ส่วนดัชนีดอลลาร์ลดลง 0.1% สู่ 74.108 ใกล้ระดับต่ำสุดในรอบ 6 สัปดาห์ที่เข้าทดสอบในสัปดาห์ที่แล้วที่ 73.889

ตลาดเงิน Emerging Asia:ขายทำกำไรกดดันเงินเอเชียอ่อนค่ารับวิตกหนี้สหรัฐ

วอนนำเงินเอเชียส่วนใหญ่ร่วงลงในวันนี้ ขณะที่นักเก็งกำไรอินเตอร์แบงก์และกองทุนบางส่วนลดสัดส่วนการถือเงินเอเชียจากความวิตกว่า การผิดนัดชำระหนี้ของสหรัฐจะทำให้เกิดการหลีกเลี่ยงสินทรัพย์เสี่ยง

นักลงทุนระยะสั้นยังปรับสถานะการลงทุนในเงินเอเชียบางสกุลด้วย อาทิ บาท เนื่องจากอยู่ในภาวะมีแรงซื้อมากเกินไปทางเทคนิค และพบว่าธนาคารกลางของบางประเทศเข้าซื้อดอลลาร์เพื่อแทรกแซงตลาด

สมาชิกสภานิติบัญญัติของสหรัฐยังไม่บรรลุข้อตกลงเพื่อหลีกเลี่ยงการผิดนัดชำระหนี้ ขณะที่ภาวะชะงักงันดังกล่าวเป็นปัจจัยฉุดสินทรัพย์เสี่ยง อาทิ หุ้น ร่วงลง และทำให้นักลงทุนพากันเข้าซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น ทอง

แต่ภาวะชะงักงันดังกล่าว ซึ่งกดดันดอลลาร์โดยรวม ยังไม่ได้เปลี่ยนมุมมองที่ว่า สกุลเงินเอเชียจะแข็งค่าขึ้นในระยะยาว

อย่างไรก็ดี นักลงทุนระยะสั้นได้ปรับสถานะซื้อสกุลเงินในภูมิภาคจากมุมมองที่ว่า แนวโน้มการลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐอาจลดความต้องการสินทรัพย์เสี่ยง

ดีลเลอร์กล่าวว่า ธนาคารกลางบางแห่ง อาทิ ธนาคารกลางสิงคโปร์และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เข้าซื้อดอลลาร์เพื่อชะลอการแข็งค่าของสกุลเงินในประเทศ

วอนร่วงลง ขณะที่นักลงทุนซื้อคืนดอลลาร์ท่ามกลางความระมัดระวังเกี่ยวกับการแทรกแซง และจากความต้องการดอลลาร์ที่เกี่ยวข้องกับการเทคโอเวอร์บริษัทที่มีการประกาศออกมาในเดือนพ.ค.

บาท/ดอลลาร์ปรับตัวลง ขณะที่กลุ่มนักเก็งกำไรอินเตอร์แบงก์ในประเทศซื้อคืนดอลลาร์จากการแทรกแซงของธปท.

ดัชนี RSI รอบ 14 วันของดอลลาร์/บาทอยู่ที่ระดับ 20 ซึ่งบ่งชี้ว่า ดอลลาร์/บาทอยู่ในภาวะมีแรงขายมากเกินไป

แต่ธนาคารต่างประเทศยังคงเข้าซื้อบาท ซึ่งสะท้อนถึงทิศทางที่แข็งแกร่งจากกระแสเงินทุนไหลเข้าที่เกี่ยวข้องกับทุนและหุ้น ขณะที่ผู้ส่งออกทองเข้าซื้อบาทด้วย

ดีลเลอร์ในกรุงเทพกล่าวว่า นักลงทุนบางรายขายทำกำไร โดยซื้อคืนดอลลาร์ พร้อมเสริมว่า "หลังจากมีปัญหาในยุโรป เราก็กำลังเจอปัญหาของสหรัฐ"

แต่เขาเสริมว่า "ท่ามกลางสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนแบบนี้ ตลาดก็ยังคงต้องการซื้อทอง และเงินเอเชีย ดังนั้น ให้รอขายดอลลาร์/เงินเอเชียในช่วงขาขึ้น"

ส่วนเปโซร่วงลง ขณะที่นักลงทุนซื้อคืนดอลลาร์ เนื่องจากภาวะชะงักงันเรื่องเพดานหนี้ของสหรัฐยังไม่คลี่คลาย

ENGLAND:ดัชนีค่าระวางเรือ(Baltic Dry Index)ปิดลบ 6 จุด สู่ 1317

ดัชนีค่าระวางเรือ (Baltic Dry Index) ปิดวานนี้ (25 ก.ค.) ลบ 6 จุด หรือ 0.45% สู่ระดับ 1317

ระดับสูงสุดตลอดกาลอยู่ที่ 11793 และระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์อยู่ที่ 554

ความเคลื่อนไหวของดัชนีในช่วง 5 วันทำการที่ผ่านมามีดังนี้:-

วันที่ ระดับปิด เปลี่ยนแปลง (จุด)

22 ก.ค. 1323 -2

21 ก.ค. 1325 -3

20 ก.ค. 1328 -2

19 ก.ค. 1330 -10

18 ก.ค. 1340 -13

26-07-54>> แนวโน้มขาขึ้น... SETI ได้ทำจุดสูงสุดใหม่ และปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นประกอบกับปิดเหนือเส้นค่าเฉลี่ยได้ทุกเส้นและ MACD สามารถปิดเหนือเส้น Zero Line ได้ รวมทั้ง Indicatorsทุกตัวให้ค่าสัญญาณบวก จึงทำให้ SETIมีแนวโน้มเป็นขาขึ้นต่อไปดังนั้นในระยะสั้นแนะนำ "ซื้อ


KTB ปิด 20.70 บาท

ทำจุดสูงสุดใหม่พร้อมปริมาณการซื้อขายหนุน รวมทั้งปิดเหนือเส้นค่าเฉลี่ยได้ทุกเส้น แนวโน้มเป็นขาขึ้นชัดเจน
แนะนำ "ซื้อ" แนวต้านที่ 21.50-22.00 บาท แนวรับที่ 20.40-20.20บาท Cut Loss หากราคาปิดต่ำกว่า 20.00 บาท

BLA ปิด 51.00 บาท
แท่งเทียนมีสีขาวเต็มแท่ง และทำจุดสูงสุดใหม่ ประกอบกับ MACDให้ค่าสัญญาณบวกเป็นวันแรก แนวโน้มเป็นขาขึ้น
แนะนำ "ซื้อ" แนวต้านที่ 53.00-55.00 บาท แนวรับที่ 50.25-49.75บาท Cut Loss หากราคาปิดต่ำกว่า 49.25 บาท

CPF ปิด 30.75 บาท
แท่งเทียนมีสีขาวพร้อมปริมาณการ
ซื้อขายหนุน และ Indicatorsทุกตัวให้ค่าสัญญาณบวก แนวโน้มเป็นขาขึ้น
แนะนำ "ซื้อ" แนวต้านที่ 31.50-32.50 แนวรับที่ 30.00-29.50 บาทCut Loss หากราคาปิดต่ำกว่า 29.00 บาท

EARTH ปิด 4.94 บาท
แท่งเทียนมีสีขาว ประกอบกับ Indicators ทุกตัวให้ค่าสัญญาณบวกแนวโน้มแกว่งตัวขึ้นต่อ
แนะนำ "ซื้อเก็งกำไร" แนวต้านที่ 5.05-5.20 บาท แนวรับที่ 4.90-4.86 บาท Cut Loss หากราคาปิดต่ำกว่า 4.82 บาท

-----------------------------------------------------------------------------
4 ปัจจัย ชี้ชะตาหุ้นไทย - Efinance Thai

กูรู ประเมินหุ้นไทยสัปดาห์นี้ยังผันผวน เหตุตลาดยังกังวล 4 ปัจจัยหลัก ทั้งรอลุ้นผลปรับเพดานหนี้สหรัฐฯ 2 ส.ค.นี้ งบ Q2/54 กลุ่มพลังงาน-SCC โฉมหน้าครม.ใหม่ และทิศทางค่าเงินบาท กิมเอ็ง - เอเซียพลัส เชื่อ SET ยังลุ้นแตะ 1,150 จุด หากปัญหาในสหรัฐฯ จบสวย ขณะที่ คันทรี่กรุ๊ป เน้นลงทุนหุ้นพลังงาน - แบงก์ ฝั่งตลาด TFEX ยังสดใส ลุยได้ทั้งขาขึ้น - ขาลง ส่วน เคจีไอ แนะ Long ทั้งใน SET50 Futures และ Gold Futures

ตลาดหุ้นไทยเปิดซึมตั้งแต่ต้นสัปดาห์ หลังจากสัปดาห์ก่อนปรับตัวขึ้นมาอย่างต่อเนื่องจนทำ New High ในรอบ 14 ปีแตะ 1121.99 จุด หลายโบรกฯ เริ่มหวั่นหุ้นพักฐานระยะสั้น เพราะรอความชัดเจนเรื่องปรับเพดานหนี้ของสหรัฐฯ ที่จะได้ข้อสรุปวันที่ 2 สิงหาคมนี้ เช่นเดียวกับผลประกอบการไตรมาส 2/2554 ในกลุ่มพลังงานที่นำมาโดยตระกูล PTT รวมถึงงบของ SCC ที่คาดหวังว่าจะออกมาดี เหมือนหุ้นแบงก์ที่ประกาศไปเมื่อสัปดาห์ก่อน นอกจากนี้ยังต้องรอดูโฉมหน้าครม.ยิ่งลักษณ์ 1 ที่คาดว่าจะเสร็จสิ้นก่อนวันที่ 12 สิงหาคม ในขณะที่เงินบาทยังแข็งค่ารับเงินนอกที่ยังไหลเข้ามาต่อเนื่อง

*** จับตา 4 ประเด็นหลัก
บทวิเคราะห์ บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน ) เปิดเผยว่าบรรยากาศตลาดหุ้นทั่วเอเชีย รวมถึงตลาดหุ้นไทย คาดปรับฐานลงราว 1% หลังสภาคองเกรส และรัฐบาลหารือกันอย่างเข้มข้นในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา และยังไม่สามารถหาข้อสรุปได้ในเช้าวันนี้ ขณะที่เส้นตายวันที่ 2 ส.ค. ทั้งนี้จับตาทิศทางค่าเงินบาท และเงินดอลลาร์อย่างใกล้ชิด ส่วนปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามได้แก่
1. ติดตามกรณีแผนลดการขาดดุลฯ และการขยายเพดานก่อหนี้ของสหรัฐฯ เพราะถือเป็นสัปดาห์สุดท้ายของการเจรจาหารือของระหว่าง 2 พรรคการเมืองทั้งระดับ Senate – Congress เพื่อสรุปกรอบการลดการขาดดุลงบประมาณ เพื่อนำไปสู่การแลกกับการขยายเพดานก่อหนี้สาธารณะ ซึ่ง ณ ปัจจุบัน รัฐบาลภายใต้การนำของประธานาธิบดีโอบามายังคงต้องการแผนระยะยาว ด้วยการลดการขาดดุลฯ ราว US$3 ล้านล้าน แต่ก็ไม่สามารถหาข้อสรุปได้ทันกับที่ตลาดหุ้นเอเชียเช้าวันนี้เปิดทำการได้ กดดันให้ DJIA Futures ปรับฐานลงกว่า 100 จุด ส่งผลลบด้านจิตวิทยาต่อสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก
2.ติดตามทิศทางค่าเงินดอลลาร์-เงินบาท เพื่อประเมินเงินทุนต่างชาติ หลังตลอด 6 วันทำการนักลงทุนกลุ่มนี้ซื้อสุทธิตลาดหุ้นไทยมากถึง 16,670 ล้านบาท และ Long สุทธิใน SET50 Futures ตลอด 4 วันทำการ 4,476 สัญญา นั้นย่อมเป็นการส่งสัญญาณเชิงบวกต่อบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย หลังผลการดำเนินงานในกลุ่มธนาคารไทยออกมาดีกว่าคาดเป็นส่วนใหญ่ อีกทั้งสภาพคล่องทางการเงินที่ล้นอยู่ในระบบการเงินโลก ผลักดันให้ตลาดหุ้นไทยตลอด 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาสร้างผลตอบแทนได้โดดเด่นกว่าค่าเฉลี่ยในภูมิภาค
3.ขณะที่แรงเก็งกำไรต่องบไตรมาส 2/2554 ของกลุ่มไม่ใช่ธนาคารมากขึ้น โดยสัปดาห์นี้จะมีหุ้นขนาดใหญ่อย่าง SCC ,PTTEP, PTTAR , PTTCH , IRPC ประกาศงบ ซึ่งหากออกมาดีกว่าที่ตลาดคาด ย่อมกลายเป็นจุดที่กระตุ้นกระแสเงินทุนต่างชาติ และนักลงทุนภายในประเทศเข้าเร่งเก็งกำไรต่อหุ้นเหล่านี้มากยิ่งขึ้น
4.และประเด็นการรับรองจำนวนส.ส.เพิ่มเติม: จาก ณ ปัจจุบันที่ กกต. รับรองจำนวนส.ส. ไปแล้วทั้งสิ้น 402 ท่าน โดยที่ต้องการขั้นต่ำ 475 ท่าน มีความเป็นไปได้สูงที่ กกต. จะเร่งมือพิจาณา เพื่ออนุมัติให้ได้ทันก่อนวันขีดเส้นตายการเปิดประชุมสภาฯ นัดแรกเพื่อเลือกประธานสภาฯ ในวันที่ 2 ส.ค.นี้
อย่างไรก็ตามแม้ว่าภาพรวมของ SET Index นั้น ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ยังให้มุมมองเป็นเชิงบวก 1,150 จุดในช่วง 1-2 สัปดาห์ยังคงมีความเป็นไปได้ แต่การที่ SET Index ขยับขึ้นอย่างร้อนแรง และโดดเด่นกว่าค่าเฉลี่ยในภูมิภาค น่าจะกลายเป็นจุดที่ต้องพิจารณาให้ ทยอยปิดทำกำไรราว 10% ของพอร์ตที่บริเวณ 1,125+/- และถือสถานะส่วนที่เหลือข้ามวัน หาก SET Index ยังสามารถขยับขึ้นได้สวนทางกับค่าเฉลี่ยในภูมิภาค

*** ASP ชี้หากเพดานหนี้ USA จบสวย เจอกันที่ 1,150 จุด
บทวิเคราะห์ของบล.เอเซียพลัส เปิดเผยว่าแผนการขยายเพดานหนี้ของสหรัฐฯ เพื่อป้องกันความเสี่ยงต่อการผิดนัดชำระหนี้ของสหรัฐฯ ได้กลับมาสร้างความกังวลต่อตลาดหุ้นโลกเพิ่มมากขึ้น หลังเหลือระยะเวลาอีกราว 7 วันทำการ ก่อนถึง Dead Line วันที่ 2 ส.ค. 2554 เพื่อให้รัฐสภาสหรัฐฯ หาข้อสรุปแนวทางในการขยายเพดานหนี้อีกราว 2.4 ล้านล้านเหรียญฯ เพื่อเพิ่มสภาพคล่องแก่สหรัฐฯ ในการที่จะต้องชำระหนี้ระยะสั้นที่จะครบกำหนดใน 1 ปีข้างหน้า ราว 3.2 ล้านล้านเหรียญฯ หรือ 22.3% ของหนี้สาธารณะที่มีอยู่ในปัจจุบัน หลังในปัจจุบันได้มีการกู้ยืมเต็มเพดานเงินกู้ที่ 14.3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐแล้ว หรือคิดเป็น 97% ของ GDP ซึ่งสถาบันจัดอันดับชั้นนำของโลกทั้ง Moody’s และ
S&P พร้อมที่จะมีการปรับลดเครดิตเรตติ้งของสหรัฐลงจากปัจจุบันที่ Investment grade ระดับสูงสุด Aaa และ AAA ลงมากกว่า 1 ขั้น สู่ระดับ Aa และ AA ตามลำดับ หากในท้ายที่สุดสหรัฐฯ ไม่สามารถขยายเพดานหนี้ได้ทันกำหนด ซึ่งจะกดดันตลาดหุ้นโลกตลอดสัปดาห์นี้จนกว่าจะมีข้อสรุปที่ชัดเจนออกมา อย่างไรก็ตามหากพิจารณาจากจุดยืนของทั้ง 2 ฝ่าย ซึ่งฝ่ายหนึ่งต้องการให้ปรับลดงบประมาณรายจ่าย ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งต้องการปรับเพิ่มภาษีเงินได้สำหรับผู้มีรายได้สูง แล้วฝ่ายวิจัยคาดว่าในท้ายที่สุดรัฐสภาสหรัฐฯ น่าจะสามารถขยายเพดานหนี้ได้ทันกำหนดเวลา และจะส่งผลให้ภาพตลาดสัปดาห์นี้ยังคงมีทิศทางแกว่งตัวขึ้นทดสอบ 1,130-1,150 จุด แม้จะมีความผันผวนบ้างระหว่างทางตามความเสี่ยงดังกล่าว
ทั้งนี้ประเมินหุ้นที่น่าจับตามองเช่น กลุ่มธนาคารพาณิชย์ ซึ่งใน 2H54 ผลประกอบการจะโดดเด่นจากการเติบโตของสินเชื่อ และค่าธรรมเนียม หุ้น Top Picks ได้แก่ BBL และ SCB , กลุ่มพัฒนาที่อยู่อาศัย ซึ่งผลประกอบการหลายบริษัทจะสามารถสร้าง New High และสามารถจ่ายเงินปันผลระดับสูง โดยหุ้นที่โดดเด่นได้แก่ SPALI และ PS นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัยพ์เพื่อเช่าอย่าง CPN ซึ่งมีปัจจัยบวกในเรื่องของ การกลับมาเปิดให้บริการ เซ็นทรัลพลาซ่า ลาดพร้าว ในเดือน ส.ค.2554 และศูนย์ใหม่หลายศูนย์ เฉพาะอย่างยิ่งที่พระราม 9 นอกจากนี้ยังมีกลุ่มขนส่ง ที่หลายบริษัทมีปัจจัยบวกสนับสนุน ไม่ว่าจะเป็น BTS ซึ่งกำลังเปิดให้บริการส่วนต่อขยาย อ่อนนุช-แบริ่ง ในเดือน ส.ค.2554, BECL ซึ่งน่าจะชนะการประมูลโครงการส่วนต่อขยายทางด่วน และ BMCL ซึ่งมีเรื่องของการเปิดประมูลการเดินรถสายสีม่วง

***คันทรี่กรุ๊ป แนะเน้นหุ้นพลังงาน -แบงก์
ทางด้านบล.คันทรี่กรุ๊ป เปิดเผยว่า แม้กลุ่มอียูจะผ่านความเห็นชอบวงเงินช่วยเหลือประเทศกรีซ $2.2 แสนล้านเหรียญ รวมไปถึงวงเงินพิเศษเพื่อแก้ปัญหาให้กับประเทศอื่นๆในกลุ่มไปแล้วก็ตาม แต่ตลาดยังมีความกังวลอยู่บ้างต่อการขอเพิ่มเพดานหนี้ของที่สหรัฐฯ ที่ช่วงวันหยุดที่ผ่านมามีข่าวว่า ทางพรรครีพับรีกันยังไม่ยอมในเรื่องนี้ เราประเมินว่าน่าจะมีผลกับตลาดอยู่บ้าง เพราะนักลงทุนจะยังไม่แน่ใจว่าจากนี้ไปจนถึงวันที่ 2 ส.ค. ซึ่งเป็นวันที่สภาฯจะต้องตัดสินใจจะมีอะไรอีก ราคาทองคำกลับสูงขึ้นมาอีกครั้ง (ล่าสุด $1622 เหรียญ) แต่ถึงกระนั้น ราคาน้ำมันและการเก็งกำไรผลประกอบการในตลาดหุ้น จะทำให้เรื่องการเพิ่มเพดานหนี้ของสหรัฐฯ มีน้ำหนัก(ในทางลบ)ต่อตลาดหุ้นน้อยลง
โดยภาพรวมของตลาดหุ้นทั่วโลกในสัปดาห์นี้ จะมีทั้งเรื่องบวกและเรื่องลบของตลาด เรื่องบวกนั้นก็บวกไป แต่เรื่องลบคือการเจรจาเรื่องหนี้ระหว่างประธานาธิบดีสหรัฐฯกับสภาฯ เราเชื่อว่าผลที่ออกมาจะคล้ายกับ การผ่านแผนกู้วิกฤตการเงินของสหรัฐฯ มูลค่า $7 แสนล้านเหรียญ เมื่อปลายปี 2551 ซึ่งมีแต่แรงต้าน เพราะเป็นเรื่องการเมืองเข้ามา
เกี่ยวด้วย แต่ท้ายที่สุดจะจบลงด้วยดี ครั้งนี้ก็น่าจะเป็นในแบบนั้น วันนี้ เราจึงยังมองทิศทางตลาดหลัง 2 ส.ค. ว่าจะเป็นบวก
ส่วนประเด็นการเมืองในสัปดาห์นี้ น่าจะมีการรับรอง รายชื่อ สส.ถึงระดับ 95% เราน่าจะเห็นชื่อรัฐมนตรีกันในสัปดาห์นี้แล้ว โดยเฉพาะตำแหน่งสำคัญๆ ซึ่งจะทำ
ให้นักลงทุนมีความมั่นใจต่อทิศทางการเมืองมากขึ้น นอกจากนี้ ปัจจัยที่จะมีผลต่อหุ้นเป็นรายตัวคือการรายงานผลประกอบการ Q2/54 ในกลุ่มอื่นๆ ที่ไม่ใช่ธนาคาร
ทั้งนี้ตลาดที่ยังมีแนวโน้มดี นักลงทุนควรเน้นหุ้นขนาดใหญ่ของตลาด ไม่ว่าจะเป็นธนาคารหรือพลังงานไว้ก่อน และหุ้นที่เก็งว่าผลประกอบการจะออกมาดี เป็นลำดับถัดมา เรายังมองว่าการถือหุ้นในช่วงนี้อาจต้องทนความผันผวนแต่น่าจะเป็นผลดีมากกว่า

***หุ้นไทย -SET50 Futures ปิดบวก
วานนี้ดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET) ปิดที่ระดับ 1,127.58 จุด เพิ่มขึ้น 6.54 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 29,572.37 ล้านบาท
ส่วนดัชนี SET50 Futures ในตลาดอนุพันธ์แห่งประเทศไทย (TFEX) สัญญา S50U11 เดือนกันยายน 2554 ปิดที่ระดับ 794.80 จุด เพิ่มขึ้น 5.80 จุด ปริมาณการซื้อขาย 14,023 สัญญา ส่วนปริมาณการซื้อขายรวมของ SET50 Futures อยู่ที่ 15,634 สัญญา
ในขณะที่สินค้า Gold Futures สัญญา GFQ11 เดือนสิงหาคม 2554 ปิดที่ระดับ 22,930 บาท ปรับเพิ่มขึ้น 270 บาท มีปริมาณการซื้อขาย 6,317 สัญญา ส่วนปริมาณการซื้อขายรวมของ Gold Futures อยู่ที่ 23,065 สัญญา

***SET50 Futures มีลุ้นทะลุ 800 จุด
ทางด้านตลาดอนุพันธ์แห่งประเทศไทย (TFEX)ในสัปดาห์นี้ โบรกฯเกอร์ได้ประเมินทิศทางไปในเชิงบวก แม้ยังต้องรอติดตามความคืบหน้าเรื่องการเมือง และหนี้สินในสหรัฐฯเช่นเดียวกับในตลาดหุ้น แต่ตลาด TFEX มีข้อได้เปรียบกว่าตลาดหุ้นตรงที่สามารถเข้ามาเก็งกำไรได้ทั้งในช่วงที่เป็นขาขึ้น หรือขาลง รวมถึงตลาดยังมีสินค้าสำคัญอย่าง Gold Futures ที่ไว้เป็นทางเลือกให้กับนักลงทุนในช่วงนี้ตลาดหุ้นเคลื่อนไหวสวนทางกับตลาดโภคภัณฑ์
ทางบล.เคจีไอ ได้ประเมินทิศทางของดัชนี SET50 Futures ในสัปดาห์นี้ว่า จะมี 2 ปัจจัยสำคัญที่เข้ามามีอิทธิพลต่อการลงทุนคือ ปัจจัยภายใน ประเด็นเรื่องการรับรอง ส.ส. ของกกต. อาจจะเป็นการผ่านให้ได้ครบจำนวน95% หรือ 475 คนไปก่อน แล้วอาจจะค่อยกลับมาตามสอบสวนอีกครั้ง โดยประเด็นหลังจากการตั้ง ครม. แล้วนโยบายต่างๆที่ได้เสนอต่อประชาชนจะส่งผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างเศรษฐกิจได้พอควร ซึ่งต้องติดตามกันต่อไปว่ารัฐบาลจะมีงบประมาณได้เพียงพอต่อนโยบายที่เคยเสนอไว้ได้หรือไม่ ซึ่งโดยรวมหากทำได้ น่าจะเป็นประโยชน์ต่อกำลังซื้อของประชาชนที่เพิ่มขึ้น
และปัจจัยภายนอก ประเด็นที่สำคัญที่สุด คือ เรื่องการเพิ่มเพดานหนี้สหรัฐ ซึ่งเราเชื่อว่าหากสภาสามารถผ่านได้ จะส่งผลบวกต่อตลาดหุ้น เนื่องจากจะไม่เกิดการผิดนัดชำระหนี้ ไม่ว่าการเพิ่มเพดานหนี้จะเป็นการผ่านแบบระยะสั้นตามที่รีพับลิกันเสนอ หรือผ่านไปจนถึงปี 2013 ก็ตามในขณะที่ประเด็นทางฝั่งยุโรปคลายความกังวลลงไป และประเด็นที่ตลาดสนใจยังเป็นของฝั่งสหรัฐ
โดยกลยุทธ์การลงทุนแนะนำให้เปิดฐานะ Long เพื่อเก็งกำไรตามโดยมีจุดตัดขาดทุนที่ 768 จุด และรอปิดสถานะเพื่อเล่นรอบตามแนวต้าน ประเมินแนวรับ 784 และ 768 จุด แนวต้าน 810 และ 830 จุด

***ปัจจัยนอกยังไม่นิ่ง ทำราคาทองพุ่ง
จากความกังวลถึงปัญหาการแก้ไขปัญหาหนี้ของสหรัฐฯ ที่จะหารือกันในวันที่ 2 ส.ค.นี้ แม้ว่าจะส่งผลลบต่อตลาดทุนในระยะสั้น แต่ในทางตรงข้าม กลับเป็นปัจจัยสนับสนุนสำคัญที่ทำให้ราคาทองคำในตลาดโลก และราคา Gold Futures ของไทย ทะยานขึ้นอย่างร้อนแรงอีกครั้ง เนื่องจากนักลงทุนยังคงคาดหวังว่าสินค้าทองคำจะเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ หากผลการหารือการปรับเพดานหนี้ของสหรัฐฯออกมามาไม่ดีอย่างที่หลายฝ่ายคาดการณ์
โดยทาง บล.เคจีไอ ได้ประเมินทิศทางราคาทองคำในสัปดาห์นี้ว่า ขึ้นอยู่กับทิศทางค่าเงินบาท และปัญหาในสหรัฐฯ โดยค่าเงินบาทขณะนี้อยู่ในระดับแข็งค่า ส่งผลให้ทองคำในประเทศขึ้นน้อยกว่าทองคำโลก ที่เกิดจากดอลลาร์ที่มีช่วงอ่อนค่า จากประเด็นเรื่องการเพิ่มเพดานหนี้ที่ยังไม่ได้ข้อสรุป หลังจากที่พรรครีพับลิกันเสนอ แผนในระยะสั้นเพื่อให้ผ่านรอดพ้นการผิดนัดชำระหนี้ไปก่อน แต่อย่างไรก็ตามค่าเงินบาทค่อนข้างแข็งมากกว่าภูมิภาค ยิ่งเป็นปัจจัยกดดันราคาทองคำในประเทศ
ส่วนตลาดทองคำโลกที่มีแรงซื้อเข้ามาหนาแน่นขณะนี้ มาจากปัจจัยเรื่องความกังวลในการเพิ่มเพดาหนี้ของสหรัฐที่อาจจะไม่ทันวันที่ 2 ส.ค. นี้ ซึ่งตอนนี้สิ่งที่ต้องติดตาม อยู่ที่หากสามารถเพิ่มเพดานหนี้ได้ อาจจะเป็นเพียงแผนระยะสั้นตามแผนที่รีพับลิกันเสนอ หรือจะผ่านถึงปี 2013แต่ในเบื้องต้นหากสภาสหรัฐสามารถเพิ่มเพดานหนี้ และรอดพ้นจากการผิดนัดชำระหนี้เชื่อว่าในช่วงสั้น ทองคำจะมีช่วงปรับตัวลงจากความกังวลเรื่องการผิดนัดชำระหนี้ที่หมดไป
ทั้งนี้ประเมินทิศทางราคาทองคำโลกไว้ว่าระยะสั้นหากทองคำโลกผ่านแนวต้าน1,620 ดอลลาร์/ออนซ์ ได้ จะมีแนวต้านถัดไปที่รอทดสอบ1,645 ดอลลาร์/ออนซ์ ส่วนกรอบราคา Gold Futures ของไทยจะมีแนวรับ 22,550 และ 22,300 บาท แนวต้าน 23,200 และ 23,350 บาท โดยแนะนำให้เข้าเปิดสถานะซื้อ ( Long) หากมีช่วงปรับตัวลง และรอปิดฐานะ Long ตามแนวต้านที่ 1,645 ดอลลาร์/ออนซ์ ไม่ถือ โดยมีจุดตัดขาดทุนที่ 1600 ดอลลาร์/ออนซ์

-----------------------------------------------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น