Code 217 : เกาหลีเหนือขู่ซ้อมรบ กดดัน SET ลง

วันศุกร์ที่ 17 ธันวาคม 2553

ATT Code : เกาหลีเหนือขู่ซ้อมรบ กดดัน SET ลง
กรุงเทพฯ--17 ธ.ค.--ASTVผู้จัดการออนไลน์
เอเอฟพี - เกาหลีเหนือประกาศเตือน ว่า สงครามครั้งต่อไปกับเกาหลีใต้จะมีอาวุธนิวเคลียร์เข้ามาเกี่ยวข้อง ขณะเดียวกันก็มีความพยายามทางการทูตที่จะยุติสถานการณ์อันตึงเครียด หลังกรณีการยิงปืนใหญ่สังหารชาวโสมขาวเสียชีวิต 4 ราย และความทะเยอทะยานในการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ของโสมแดง
เว็บไซต์ Uriminzokkiri ของทางการเกาหลีเหนือ ระบุในการแสดงความเห็นวันนี้ (17) ว่า สงครามคาบสมุทรเกาหลีจะเกิดขึ้นสักวันหนึ่งในอนาคต "เนื่องจาก นโยบายการสงครามอันหละหลวมของเกาหลีใต้ ตอนนี้มันไม่ใช่เรื่องสงคราม หรือ สันติภาพ บนคาบสมุทรเกาหลี แต่กลายเป็น ว่า สงครามจะปะทุขึ้นมาเมื่อไร"
"หากสงครามปะทุขึ้นจะมีการใช้อาวุธนิวเคลียร์ และมันจะไม่จำกัดอยู่เฉพาะคาบสมุทรเกาหลีเท่านั้น" เว็บไซต์ของรัฐบาลเกาหลีเหนืออย่างเป็นทางการนี้ ระบุ
ในวันเดียวกันนี้ หนังสือพิมพ์ Rodong Sinmun ของพรรครัฐบาลโสมแดงได้อธิบายถึงภาพรวมของคาบสมุทรเกาหลี ว่า เป็นสถานที่อันตรายที่สุดในโลก รวมทั้งยังได้เรียกร้องให้สหรัฐฯ ยินยอมทำสนธิสัญญาสันติภาพอย่างเป็นทางการ และการถอนทหารจำนวน 28,500 คนออกจากเกาหลีใต้
"คาบสมุทรเกาหลียังคงเป็นภูมิภาคที่เต็มไปด้วยปัญหา พร้อมทั้งสงครามที่อันตรายยิ่งกว่าสงครามใดๆ ในโลก" หนังสือพิมพ์ของรัฐบาลโสมแดงฉบับนี้รายงาน "ทั้งหมดนี้เป็นผลพวงมาจาก การดำเนินนโยบายอันแข็งกร้าวของสหรัฐฯ ต่อเกาหลีเหนือ"
ทางเกาหลีเหนือมักกล่าวอ้างอยู่บ่อยครั้ง ว่า สงครามนิวเคลียร์กำลังใกล้เข้ามา ทว่าความตึงเครียดทางการทหารเพิ่งทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น หลังจากเหตุการณ์การยิงปืนใหญ่ถล่มเกาะยอนพยอง เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน
เมื่อเดือนที่แล้ว ทางกรุงเปียงยางเปิดเผยออกมา ว่า กำลังเสริมสมรรถนะยูเรเนียม อันเป็นกลไกสำคัญในการสร้างอาวุธนิวเคลียร์ การกระทำดังกล่าวได้ก่อให้เกิดความกังวลต่อความมั่นคงของคาบสมุทรแห่งนี้มากยิ่งขึ้น
อนึ่ง ขณะนี้ บิล ริชาร์ดสัน นักการเมืองผู้มีบารมีของสหรัฐฯ กำลังอยู่ระหว่างเดินทางเยือนกรุงเปียงยางเป็นการส่วนตัว เพื่อพยายามคลี่คลายปัญหาความขมึงทึงระหว่างทั้งสองเกาหลี--จบ--
----------------------------------------------------------------------------------
MARKET WAVE Analysis
17 ธค. 53 ( -5.87 จุด) โกมล พงศ์วิญญู เลขทะเบียน 18338

ทยอยปรับตัวขึ้น 1037 - 44 จุด
ภาพจากนี้ไป ระยะสองสามวันข้างหน้าดัชนีมีแนวโน้มปรับตัวกลับขึ้นไป 1037 – 44ใกล้จุดสูงสุดเดิมของสัปดาห์นี้อีกครั้ง

ภาพโดยรวมของตลาดในระยะนี้ ยังคงเป็นการแกว่งตัวในกรอบ 1024 – 44 หรือระหว่างจุดต่ำสุดถึงจุดสูงสุดของสัปดาห์นี้

แต่ถ้ามีการปรับตัวลง ต่ำกว่า 1020 จุดเส้นค่าเฉลี่ย 25 วัน ดัชนีมีโอกาสที่จะปรับตัวตัวลงต่อบริเวณ 940 – 980 จุด ช่วงปลายปีนี้ถึงต้นปีหน้า ใกล้เส้นค่าเฉลี่ย 25 สัปดาห์ ในรูปแบบของ wave c flat or c triangle ??

หุ้นเด่น
TRUE
ปรับตัวทะลุกรอบสามเหลี่ยม ภาพระยะวันขึ้นมาได้ ทยอยซื้อแถว 6.70 – 6.80 หรือซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 6.90 จุดสูงสุดวันพฤหัสเป้าหมายหนึ่งถึงสองวัน 7.20 – 7.30( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 6.65 )

KTB
ปรับตัวทะลุกรอบสามเหลี่ยม ภาพระยะวันขึ้นมาได้ ทยอยซื้อแถว 17.30 – 17.40 หรือซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 17.50 จุดสูงสุดวันพฤหัสเป้าหมายหนึ่งถึงสองวัน 17.90 – 18.10( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 17.20 )

10 อันดับซื้อขายสูงสุด
TOP ไม่น่าเกิน 75.75 – 76.50
TRUE รายละเอียดใน “หุ้นเด่น”
PTTAR ไม่น่าเกิน 39.25 – 39.75
PTTCH แกว่งตัว 144.50 – 153
PTT ไม่น่าเกิน 321 - 322
IRPC ไม่น่าเกิน 5.85 – 5.95
KTB รายละเอียดใน “หุ้นเด่น”
PTTEP ไม่น่าเกิน 171.50 - 173
ADVANC ทยอยปรับตัวลง 75 – 80
IVL แกว่งตัว 57 - 60
----------------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย
FSS : ตลาดลงมาพอควร คาดมีลุ้นจังหวะดีดกลับ แต่ยังต้องระวังแกว่งตัวอยู่!!
แนวโน้ม: หลังจากวานนี้ SET ปรับตัวลงต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 โดยดัชนีปรับตัวลงไปพอควรในช่วงระหว่างวัน ก่อนที่จะมีแรงซื้อกลับ ซึ่ง FSS ยังมองว่าตลาดหุ้นไทยจะยังคงแกว่งตัวขึ้น-ลงในกรอบ 1020-1044 จุดต่อเนื่อง ดังนั้นจึงสามารถลุ้นจังหวะรีบาวด์กลับขึ้นใหม่ได้อีกครั้งในระยะสั้น แต่คาดว่าจังหวะการแกว่งตัวดังกล่าวจะยังคงอยู่ต่อเนื่องไปจนถึงสัปดาห์หน้า ดังนั้น SET ขยับขึ้นจึงยังต้องระวังแรงขายกดกลับอยู่เช่นเดิม เนื่องจากความกังวลต่อปัญหาหนี้สินในยูโรโซนยังคงเป็นปัจจัยกดดันความมั่นใจของนักลงทุน รวมทั้งความวิตกต่อมาตรการคุมเข้มของจีนก็ยังมีอยู่ การเลือกหุ้นเข้าซื้อจึงยังแนะนำให้รอช่วงปรับตัวลงของ
ตลาดดีกว่า
กลยุทธ์: ถ้าเล่นสั้นยังน่าแบ่งส่วนทำกำไรเมื่อตลาดขยับขึ้น โดยแนะนำให้รอเลือกหุ้นเข้าซื้อเมื่อตลาดปรับตัวลงมากกว่า โดยหุ้นที่น่าสนใจได้แก่ BANPU,
BIGC, KTB, PTL, SEAFCO, AP, CSL, DELTA, DRT, LPN, PTT, PTTEP, KTB,KBANK, SCB, TASCO, AMATA, PS, SPALI, CK, STEC เป็นต้น
ประเด็นสำคัญวันนี้
• (+) S&P เพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือของจีนด้านความสามารถในการชำระหนี้ระยะยาวทั้งในรูปสกุลเงินท้องถิ่นและสกุลเงินต่างชาติขึ้นจาก A+ เป็น AA- เพราะงบดุลที่แข็งแกร่งและแนวโน้มการเติบโตที่โดดเด่น ส่วน Outlook เป็น Stableและปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือฮ่องกงสู่ระดับ AAA พร้อม Outlook Stable เป็นปัจจัยหนุนการลงทุนวันนี้ แนะนำ KTB, TCAP, SCB
• (+) ครม.ประชุมสัปดาห์หน้าพิจารณาต่ออายุ 5 มาตรการช่วยค่าครองชีพทั้งรถเมล์ รถไฟ ค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า ฟรี และการตรึงราคาแก๊ส ซึ่งจะสิ้นสุดเดือน ธ.ค.
นี้ ว่าจะยืดต่ออีก 1-2 เดือน หรือใช้ถาวร ซึ่งมาตรการที่คาดว่าจะต่ออายุคือค่าไฟฟ้าฟรี ที่ไม่เกิน 90 ยูนิตต่อเดือน รวมถึงการตรึงราคาแก๊สหุงต้มโดยจะแยก
ภาคขนส่งออกมา และวันที่ 7 ม.ค. 2011 นายกฯ จะแถลงมาตรการดูแลค่าครองชีพรอบใหม่ ซึ่งจะครอบคลุมทุกด้าน ทั้งการปรับโครงสร้างราคาสินค้าอาหาร
ราคาพลังงาน การแก้ปัญหาแรงงานนอกระบบ มาตรการของรัฐจะช่วยกระตุ้นการบริโภคภายใน ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 52% ของเศรษฐกิจรวมทั้งประเทศ ดังนั้น กลุ่มที่จะได้ประโยชน์จากการบริโภคในประเทศได้แก่กลุ่มค้าปลีก (CPALL, HMPRO,GLOBAL, BIGC) แบงก์ (KBANK, SCB, KTB) โรงกลั่น (TOP) อื่นๆ (MAJOR,KSL, TVO)
• (+) KTB ผู้บริหารยืนยันไม่เพิ่มทุน หลังออก Hybrid Tier1 9 พันล้านบาทแล้วทำให้เงินกองทุนขั้นที่ 1 แข็งแกร่งและน่าจะเพิ่มขึ้นจากปัจจุบัน 9.7% เพียงพอกับการรองรับสินเชื่อขนาดใหญ่ เราเห็นว่าไม่ว่าจะเพิ่มทุนหรือไม่ KTB เป็นหุ้นที่น่าลงทุนโดยเฉพาะราคาปัจจุบันคิดเป็น PBV เพียง 1.5 เท่าต่ำที่สุดในแบงก์ราคาเป้าหมายอยู่ที่ 19 บาท มี upside 11%
• (+) TOP ราคาหุ้นวานนี้ร่วง 6.6% หลังมีข่าวว่ารัฐจะไม่ปรับขึ้นราคาขาย LPGหน้าโรงกลั่นให้เท่ากับราคาตลาดโลกที่ US$785/ตัน จากปัจจุบันที่รับซื้อจากโรงกลั่นเพียง US$332/ตัน ซึ่งทำให้โรงกลั่นไม่อยากผลิต LPG ขายให้รัฐเพราะทำแล้วขาดทุน อย่างไรก็ตาม แผนนี้อยู่ระหว่างการอนุมัติจากนายกฯ ในอีก 2สัปดาห์ข้างหน้า ถ้าไม่อนุมัติให้ขึ้นราคา LPG จะกระทบราคาเป้าหมายของ TOP 10 บาทจาก 85 จะลดเหลือ 75 บาท ซึ่งราคาปิดวานนี้ก็ต่ำกว่าแล้ว และเป็นราคาที่มี PE 10 เท่า ต่ำกว่า PTTAR ที่ 12.4 เท่าและ IRPC 15.6 เท่า การปรับลงของราคา TOP จึงเป็นโอกาสในการสะสม
• Fund Flow วานนี้ไหลเข้าต่อเนื่องเป็นวันที่ 12 ติดต่อกัน แต่ขายสุทธิในตลาดหุ้นอินโดนีเชียหนักมากตั้งแต่ช่วงต้นสัปดาห์ ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นอินโดนีเชียร่วงหนักเช่นกัน ตรงข้ามกับตลาดหุ้นเกาหลีที่นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิต่อเนื่องทำให้ดัชนีปรับขึ้นต่อเนื่องเช่นกัน ส่วนตลาดหุ้นไทยนักลงทุนต่างชาติซื้อขายสลับกัน
เลยทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยแกว่งอยู่ในช่วงแคบ อย่างไรก็ตามเนื่องจากยังขาดปัจจัยบวกใหม่เข้าสู่ตลาด แต่ราคาน้ำมันดิบปรับขึ้นมารับกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั้งในสหรัฐและยุโรป และจีนยังไม่มีทีท่าที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเร็วนี้ ดังนั้นจึงทำให้ค่าเงินค่อนข้างทรงตัว กลายเป็นว่าช่วงนี้จะเป็นช่วงหัวเลียวหัวต่อของทิศทางตลาดอีกระยะหนึ่ง

ข่าวภายในประเทศ
กทช.กำหนดค่าบริการมือถือสูงสุด 99 สต./นาที บอร์ด กทช. มีการพิจารณาอัตราค่าบริการโทรคมนาคม (ไม่รวมค่าเชื่อมต่อโครงข่าย หรือไอซี)โดยให้บริษัทโทรศัพท์เคลื่อนที่ทุกรายคิดค่าบริการระหว่างกัน ในอัตราขั้นสูง จากเดิม 3 บาท เป็น 99 สต.ต่อนาที และขั้นต่ำ 51 สต.ต่อนาที อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันอัตราเฉลี่ยของผู้ให้บริการแต่ละราย ได้แก่ ADVANC อยู่ที่ 81 สต.DTAC อยู่ที่ 69 สต. และ ทรูมูฟ อยู่ที่ 71 สต (Source - เว็บไซต์แนวหน้า 17 ธ.ค.10) ความเห็น: การปรับค่าบริการดังกล่าวอาจกระทบในส่วนของค่าบริการลูกค้า Post-paid ดังเช่น กรณี ADVANC ปัจจุบันมีรายได้ต่อเลขหมายต่อนาทีต่อเดือน (RPM) เฉลี่ยประมาณ 1.26 บาท อย่างไรก็ตาม สัดส่วนลูกค้าประเภทดังกล่าวไม่มาก เพียงประมาณ 10% จึงกระทบให้RPM ลดลงประมาณ 3% อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการมีความยืดหยุ่นที่จะปรับค่าบริการในส่วนของ Pre-paid (ปัจจุบันเฉลี่ย RPM 0.66 บาทต่อนาที)
เพื่อพยุง RPM เฉลี่ย จึงไม่น่ากระทบต่อผู้ประกอบการมือถืออย่างมีนัยสำคัญนัก
TPOLY เตรียมระดมทุนกลางปีหน้า สยายปีกงานต่างประเทศ การันตีปันผลสูงกว่าปีนี้ ไทยโพลีคอนส์คาดได้ข้อสรุประดุมทุนเพิ่ม เพื่อขยายงานในต่างประเทศกลางปีหน้า เปิดทางรับพันธมิตรร่วมลงทุนสร้างโรงไฟฟ้าชีวมวลใหม่ 3 แห่ง พร้อมยันจ่ายปันผลปีนี้สูงกว่านโยบาย หลังรายได้-กำไรเข้าเป้า (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 17-12-2010)
TSTH ยอดขายพุ่ง Q3 ทะลุ 3 แสนตันเป้าหมาย 2.20 บ. TSTH ไตรมาส 3/54 (ต.ค.-ธ.ค.) ปริมาณขายเหล็กทรงยาวอยู่ที่ 3.1 แสนตัน ราคาขายเฉลี่ยที่ 19.9 บาท/กิโลกรัม ลดลงเล็กน้อย เนื่องจากภาวะน้ำท่วม ทำให้บริษัทไม่สามารถขยับราคาขายเพิ่มขึ้นได้เท่ากับต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นแต่จะฟื้นตัวอีกทีในไตรมาส 4/53 ระดับ 3.5 แสนตัน โบรกฯแนะเก็งกำไร ให้ราคาเป้าหมาย 2.20 บาท (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 17-12-2010)
HMPRO กำไร Q4 พีคลั่นปีหน้าพุ่งกว่า 24% เชียร์ซื้อเป้า 10.90 บ. HMPRO กำไรสุทธิ 4/53 ดีที่สุดรอบปี คาดรับรู้ยอดขายจากงานโฮมโปรเอ็กซ์โป อีกประมาณ 600 ล้านบาท ขณะที่ปี 2554 มีอัตราการเติบโตสูงสุดในกลุ่ม คาดกำไรเพิ่มขึ้น 24.1% เป็น1,885 ล้านบาท โบรกฯ เชียร์ “ซื้อ”ราคาเป้าหมายที่ 10.90 บาท อัพไซด์ 26% (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 17-12-2010)
PRANDA ลั่นปีหน้ารายได้โตกว่า 8% อัตรากำไรขั้นต้น 35% โรงงานโคราชรับรู้ต้นปี'54 PRANDA ตั้งเป้ารายได้ปีหน้าโต 8% จากปีนี้มี
รายได้ 4,000 ล้านบาท มั่นจะรักษาอัตรากำไรขั้นต้นใกล้เคียง 34-35% หลังเน้นพัฒนาสินค้าภายใต้แบรนด์ตัวเองมากขึ้น พร้อมทั้งเดินหน้าหาตลาดใหม่ต่อเนื่อง ขณะที่ตั้งงบลงทุน 300 ล้านบาท สร้างอาคารสำนักงาน-ขยายตลาดต่างประเทศ ส่วนโรงงานใหม่ที่โคราช คาดว่าจะเริ่มผลิตเครื่องประดับอัญมณีได้ภายในเดือน ม.ค. 54 จะทำให้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 9.18 ล้านชิ้น/ปี (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 17-12-2010)
MPIC ฮุบแมงป่องขยายช่องขายหนัง “เผด็จ” ดันหนังแผ่นขาย-ตลท.หนุนบจ.หลุดรีแฮบโก้ MPIC เตรียมเทกโอเวอร์ PSAAP ต่อแขนต่อขาธุรกิจขายหนังแผ่น-ซีดี “เผด็จ” ยันเตรียมส่งสินค้า home entertainment ให้ร้านแมงป่องขาย เทกรอบนี้ได้เพิ่มช่องทางการตลาด พร้อมรับประโยชน์TAX SHIELD ด้าน ตลท. เห็นดีด้วยที่ดึง PSAAP ออกจากหมวดรีแฮบโก้เป็นผลดีทั้งผู้ถือหุ้น และตัวบริษัทให้อยู่รอดไม่ถูกถอนออกจากตลาดหุ้น(ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 17-12-2010)
----------------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ตปท.

ข่าวต่างประเทศ
สหรัฐเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานสัปดาห์ที่แล้วลดลง 3,000 ราย กระทรวงแรงงานสหรัฐ เปิดเผยว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการระหว่างว่างงานสัปดาห์ที่แล้วลดลง 3,000 ราย แตะระดับ 420,000 ราย ซึ่งสอดคล้องกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ ส่วนจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานโดยเฉลี่ย 4 สัปดาห์ ลดลงแตะระดับ 422,750 ราย ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย.2551 และทำสถิติลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 6สัปดาห์ (ที่มา: อินโฟเควสท์ 17-12-2010)
S&P ชี้เศรษฐกิจเยอรมนีฟื้นตัวปีหน้า จากดีมานด์ผู้บริโภค-การลงทุนภาคธุรกิจ สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (S&P)ชี้การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของเยอรมนีจะขยายวงกว้างมากขึ้นในปีหน้า จากอานิสงส์ของความต้องการผู้บริโภค และการลงทุนภาคธุรกิจที่ขยายตัวดีขึ้นS&P ระบุว่า การใช้จ่ายภาคครัวเรือนจะปรับตัวเพิ่มขึ้น 2% ในปี 2554 เมื่อเทียบกับระดับที่ขยายตัว 0.5% ในปี 2553 ขณะที่อัตราการขยายตัวด้านการลงทุนในภาคธุรกิจจะถีบตัวขึ้นแตะ 10.5% ในปีหน้า จากระดับ 10% ในปีนี้ (ที่มา: อินโฟเควสท์ 16-12-2010)
จีนวอนสหรัฐผ่อนปรนมาตรการควบคุมการส่งออกสินค้าไฮเทคมายังจีน เฉิน เต๋อหมิง รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์จีน กล่าวว่า จีนหวังว่าสหรัฐจะผ่อนปรนมาตรการควบคุมการส่งออกสินค้าไฮเทคมายังจีน ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับทั้งสองฝ่าย (ที่มา: อินโฟเควสท์ 16-12-2010)
ธนาคารกลางอินเดียมีมติคงอัตราดอกเบี้ย หลังเกิดภาวะสภาพคล่องตึงตัวในตลาดเงิน ธนาคารกลางอินเดียประกาศคงอัตราดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตร ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยสำหรับการปล่อยกู้แก่ธนาคารพาณิชย์ ที่ระดับ 6.25% และคงอัตราดอกเบี้ย reverse repo rate ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยที่ใช้ดูดซับสภาพคล่องส่วนเกินในตลาด ที่ระดับ 5.25% อัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางอินเดียในปัจจุบันยังอยู่ในระดับต่ำกว่าอัตรา เงินเฟ้อ ซึ่งสอดคล้องกับธนาคารกลางอื่นๆ ในเอเชีย รวมถึงจีน เกาหลีใต้ และอินโดนีเซีย ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวอาจส่งผลให้เกิดภาวะตึงตัวด้านการเงินปีหน้า(ที่มา: อินโฟเควสท์ 16-12-2010)
----------------------------------------------------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น