Code 223 : ไร้เงา January Effect ในปี 2011

วันจันทร์ที่ 27 ธันวาคม 2553

ATT Code : ไร้เงา January Effect ในปี 2011
โบรกฯ ฟันธง January Effect จะไม่เกิดขึ้นในปี 2011 เหตุหุ้นเกิดใหม่ในเอเชีย ราคาแพง แถมหนี้ยุโรป-จีนคุมปล่อยสินเชื่อ กดดัน ชี้ 70% ไร้เงา January Effect แนะกระจายการลงทุนในกลุ่มแบงก์-ประกัน-อสังหาฯ -บันเทิงและกลุ่มรับเหมาฯ คาดดัชนีเดือน ม.ค. 54 อยู่ที่ 1,100 จุด ก่อนย่อลงในช่วงปลายเดือน ฟากโกลเบล็ก มองต่างมุม เชื่อเป็นไปได้ที่จะเกิดปรากฏการณ์ January Effect ในช่วงต้นปีหน้า อัตราดอกเบี้ยในภูมิภาคนี้สูงกว่า สหรัฐและยุโรป
----------------------------------------------------------------------------------
MARKET WAVE Analysis
27 ธค. 53 ( +0.72 จุด) โกมล พงศ์วิญญู เลขทะเบียน 18338

ต่ำกว่า 1017.93 ปรับตัวลง 1003 – 13 จุด
ดัชนีในวันศุกร์ปรับตัวลงมาแถว เส้นค่าเฉลี่ย 25 ชั่วโมงและ 25 วันพอดี ถ้าในวันจันทร์นี้มีการปรับตัวลง ต่ำกว่า 1017.93 จุด ต่ำสุดของวันศุกร์ และเส้นค่าเฉลี่ยดังกล่าวทั้งสองเส้น ดัชนีมีโอกาสปรับตัวลงต่อแถว1003 – 13 ใกล้จุดต่ำสุดเดิมของสัปดาหที่แล้ว

และถ้ามีการปรับตัวลง ต่ำกว่า 1000 จุด จะถือเป็นการเกิด “สัญญาณขาย” อีกครั้ง ในเครื่องมือ Point & Figure ดัชนีจะมีแนวโน้มในการปรับตัวลงแถว 950 – 970 จุดซึ่งเป็นบริเวณเป้าหมายตามเครื่องมือ Point &Figure และแนวรับตามธรรมชาติของเส้นค่าเฉลี่ย 25 สัปดาห์

ในกรณีปรับตัวขึ้น เกิน 1025.11จุดสูงสุดของสัปดาห์ที่แล้ว ดัชนีสามารถขึ้นต่อเล็กน้อยแถว 1030 - 35 จุด ใกล้เส้นแนวโน้มที่ลากกดอยู่ด้านบน ... ก่อนที่จะปรับตัวลงต่อไป

หุ้นเด่น
IVL
กำลังปรับตัวในกรอบสามเหลี่ยม ภาพระยะชั่วโมง รอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 56.75 กรอบบนของสามเหลี่ยม เป้าหมายระยะสัปดาห์58.50 – 61.50( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 55.25 )

10 อันดับซื้อขายสูงสุด
TRUE ปรับตัวลง 6.50 - 6.60
PTT ต่ำกว่า 315 ลง 305 – 310
PTTEP ต่ำกว่า 163.50 ลง 157 – 160
CPF แกว่งตัว 24.30 – 24.70
BANPU แกว่งตัว 766 – 780
IVL รายละเอียดใน “หุ้นเด่น”
IRPC เกิน 5.70 ขึ้น 5.80 – 5.90
ADVANC แกว่งตัว 85 – 88
PTL แกว่งตัว 37 – 39
DTAC เกิน 44.25 ขึ้น 44.75 – 45.50
----------------------------------------------------------------------------------
E-Finance : ไร้เงา January Effect ในปี 2011
โบรกฯ ฟันธง January Effect จะไม่เกิดขึ้นในปี 2011 เหตุหุ้นเกิดใหม่ในเอเชีย ราคาแพง แถมหนี้ยุโรป-จีนคุมปล่อยสินเชื่อ กดดัน ชี้ 70% ไร้เงา January Effect แนะกระจายการลงทุนในกลุ่มแบงก์-ประกัน-อสังหาฯ -บันเทิงและกลุ่มรับเหมาฯ คาดดัชนีเดือน ม.ค. 54 อยู่ที่ 1,100 จุด ก่อนย่อลงในช่วงปลายเดือน ฟากโกลเบล็ก มองต่างมุม เชื่อเป็นไปได้ที่จะเกิดปรากฏการณ์ January Effect ในช่วงต้นปีหน้า อัตราดอกเบี้ยในภูมิภาคนี้สูงกว่า สหรัฐและยุโรป

ปรากฏการณ์ January effect นักลงทุนต่างชาติทุ่มทุนลุยหุ้นไทย ช่วงปลายปี -ต้นปีในเดือนมกราคม ดูเหมือนจะไม่ค่อยเกิดขึ้นและในปีนี้ ปรากฏการณ์ January effect จะเกิดได้หรือไม่ * พัฒสิน ฟันธง January Effect จะไม่เกิดขึ้นในปี 2011 เพราะหุ้นเกิดใหม่ในเอเชียราคาแพง แนะเลือกหุ้นปันผลสูง

บล.พัฒสิน บทวิเคราะห์ บล.พัฒนสิน ระบุว่า January Effect (ต่างชาติจะกลับมาซื้อหุ้นเดือน มค)จะไม่เกิดขึ้นในปี 2011 เช่นเดียวกันกับ 3 ปีที่ผ่านมา หลังจากเชื่อว่า เม็ดเงินใหม่จะไม่ไหลเข้าตลาดหุ้นเกิดใหม่ในเอเชีย เพราะระดับราคาหุ้นแพง แนวโน้มกำไรชะลอตัวจากมาร์จิ้นแคบลง(ต้นทุนปรับสูงขึ้น) และมีความเสี่ยงจากดอกเบี้ยขาขึ้นเร่งตัว นำโดยจีน ซึ่งความไม่แน่นอนดังกล่าว ประกอบกับแรงขายกองทุน LTF RMFช่วงต้นปี(ครบกำหนด5ปี) จะทำให้นักลงทุนรายใหญ่ สถาบันในประเทศ หันมาขายล็อคกำไร(ถือเงินสดเพิ่ม)

เราคงคำแนะนำ เลือกลงทุน หุ้นปันผลสูง ซึ่งคาดว่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีสุดเดือนพย.ที่ผ่านมา และคาดว่าจะรวมถึงเดือนธค-มค. สวนหุ้นเก็งกำไร แนะนำ ขายบริเวณแนวต้านหลัก 1025/1040 จุด เพื่อรอซื้อคืนที่ระดับต่ำกว่า ปัจจัยบวก คือ 1.เม็ดเงินใหม่จากแรงซื้อกองทุน LTF-RMF (ตลาดฯ จัดงานกองทุนรวมสุดสัปดาห์นี้อีก) ช่วยทำให้ความเสี่ยงขาลงจำกัด 2.USA GDP3Q10 เติบโต+2.6%q-q ดีกว่าประเมินครั้งก่อนที่ +2.5%q-q แต่ต่ำกว่าคาดที่ +2.8%q-q ปัจจัยลบ คือ 1.รายงานเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ดีขึ้นต่อเนื่อง อาจส่งผลให้ต่างชาติย้ายลงทุนไปยังตลาดหุ้นพัฒนาแล้ว แทนตลาดหุ้นเกิดใหม่ 2.ต่างชาติอาจเพิ่มแรงขายก่อนเทศกาลหยุดยาว ความไม่แน่นอนของประเด็นคาบสมุทรเกาหลี นโยบายการเงินคุมเข้มของจีน และเครดิตที่แย่ลงของกลุ่ม PIIGS* เซียนหุ้น ระบุ หนี้ยุโรป-จีนคุมปล่อยสินเชื่อ กดดัน นลท.ต่างชาติลุยหุ้นไทย ชี้ 70% ไร้เงา January Effect

นายชัย จิรเสนีนุประพันธ์ ผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.พัฒนสิน กล่าวว่า ปรากฏการณ์ January Effect ที่ส่วนมากแล้วจะเกิดขึ้นในช่วงเดือนมกราคมในทุกๆปี แต่ 2 ปีที่ผ่านมาไม่เกิดปรากฏการณ์ดังกล่าว เนื่องจากในช่วงปลายปี 2552 มีปัจจัยหลายอย่างที่ส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจในการลงทุนของนักลงทุน ทั้งปัญหาในประเทศกรีช จีน และบางประเทศในยุโรป

สำหรับปลายปี 2553 นี้ ในประเทศยุโรปยังคงมีปัญหาเหมือนกับปีที่ผ่านมา โดยในปีนี้มีปัญหาในเรื่องหนี้สาธารณะในประเทศ รวมถึงปัญหาในประเทศจีน ในเรื่องของการควบคุมการปล่อยสินเชื่อ เพื่อป้องกันปัญหาเงินเฟ้อภายในประเทศ ส่งผลให้ในช่วงต้นปี 2554 ปรากฏการณ์ January Effect มีโอกาสเกิดเพียง 30% เท่านั้น ที่เหลืออีก 70% มีแนวโน้มที่นักลงทุนคงไม่ได้เห็น

" ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ไม่เกิดปรากฏการณ์ดังกล่าว เพราะเมื่อมองย้อนหลังไป 2 ปี นักลงทุนส่วนใหญ่ยังคงได้รับผลตอบแทนที่เป็นบวก โดยดัชนีฯมีการปรับเพิ่มขึ้นถึงประมาณ 400 จุด จากบริเวณ 600 จุด เพิ่มขึ้นไปกว่า 1000 จุด ส่งผลให้ในปี 2554 ดัชนีฯมีลักษณะปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ในแดนบวกเหมือนกับปีนี้ แต่ผลตอบแทนอาจไม่มากเหมือนกับปีนี้"นายชัยกล่าว

สำหรับกลยุทธ์ในการลงทุน แนะนำกระจายการลงทุนในหุ้นกลุ่มต่างๆ อาทิ หุ้นกลุ่มแบงก์ BBL- SCB-TUF- CPF-TVO-กลุ่มประกัน BLA กลุ่มอสังหาฯ AP- PS กลุ่มบันเทิง MAJOR กลุ่มรับเหมาฯ CK * ฟากโกลเบล็ก เชื่อ เป็นไปได้ที่จะเกิดปรากฏการณ์ January Effect ในช่วงต้นปีหน้า อัตราดอกเบี้ยในภูมิภาคนี้สูงกว่า สหรัฐและยุโรป

นายธวัชชัย อัศวพรไชย ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.โกลเบล็ก กล่าวว่า มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดปรากฏการณ์ January Effect ในช่วงต้นปีหน้า เนื่องจากยังมีความคลุมเคลือในแนวทางของสถาบันคุ้มครองเงินฝาก ซึ่งทำให้ผู้ที่ต้องการออมอาจนำเงินในส่วนนี้มาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน หากประเมินจากการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติในระยะนี้ แม้ว่าเป็นผู้ขายสุทธิเพื่อนำเงินกลับเข้าสู่สกุลเงินเดิมในช่วงวันหยุดยาว แต่จากนั้นในช่วงปีหน้านักลงทุนในกลุ่มนี้ยังมีท่าทีที่จะกลับมาลงทุนเพื่อหาผลตอบแทนในภูมิภาคเอเชียอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยในภูมิภาคนี้สูงกว่าภูมิภาคหลัก ได้แก่ สหรัฐและยุโรป รวมถึงญี่ปุ่น ดังนั้นเงินลงทุนที่เข้ามาจะทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นอีก และยิ่งเป็นการตอกย้ำผลตอบแทนที่อาจจะได้เพิ่มขึ้น

" อย่างไรก็ตาม ต้องอยู่บนพื้นฐานการเมืองที่ไม่รุนแรง ซึ่งประเด็นที่น่ากังวลคือ การยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉินและปิดศอฉ.ซึ่งอาจเป็นช่องโหว่ทางการเมือง แต่ก็ถือเป็นผลดีที่ส่งสัญญาณให้ต่างชาติรู้ว่าเราเริ่มกลับสู่ปกติมากขึ้น" นายธวัชชัย

ทั้งนี้ แนวโน้มดีชนีฯในเดือนมกราคม 2554 อาจมีความผันผวนตามการเคลื่อนไหวของเงินทุน โดยประเมินกรอบแนวรับอยู่ที่ 1008-980 จุด ซึ่งหากดัชนีฯปรับลดลงต่ำกว่า 1008 จุด ให้นักลงทุนปรับพอร์ตการลงทุนในระยะกลางอยู่ที่ 30% และเน้นการลงทุนระยะสั้นมากขึ้น ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1055-1100 จุด โดยกลุ่มธนาคารและพลังงาน ยังอยู่ในระดับที่น่าสนใจ ซึ่งนักลงทุนต้องติดตามการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) และการรายงานตัวเลขกรอบเงินเฟ้อในช่วงกลางเดือนหน้าประกอบด้วย*เอเซีย พลัส คาดดัชนีเดือน ม.ค. 54 อยู่ที่ 1,100 จุด ก่อนย่อลงในช่วงปลายเดือน บทวิเคราะห์บล.เอเซีย พลัส ระบุว่า สำหรับแนวโน้มดัชนีในช่วงต้นปี 2554 ใน Invest+ ฉบับ 1Q54 นี้ SET น่าจะจบคลื่นย่อย 2) ในปลายเดือน ธ.ค.53 ที่ระดับไม่ต่ำกว่า 999 จุด หลังจากนั้นในช่วง ม.ค.54 SET จะเดินหน้าเพื่อทำคลื่นย่อย (Sub Minor) 3), 4), 5) เพื่อเป็นการจบคลื่นรอง(Minor) 1 อันเป็น 1 ในชุดของคลื่นหลักใหญ่ (Major) 5 ที่คาดว่าจะเกิดในปี 2554 แนวทางตามทฤษฎี Elliott Wave ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นประมาณออกมาเป็นระดับดัชนีจะได้ว่า หลังจาก SET จบคลื่นย่อย 2 ในระดับไม่ต่ำกว่า 999 จุด ดัชนีจะเริ่มปรับเพิ่มทำคลื่นย่อย 3) ที่ 1,100 จุด ในเดือน ม.ค. ก่อนย่อลงในช่วงปลายเดือน ม.ค. เพื่อมาทำคลื่นย่อย 4) ที่ 1,061 จุด และในช่วงเดือน ก.พ. SET น่าจะปรับเพิ่มขึ้นเพื่อทำคลื่นย่อย 5) ซึ่งจะเป็นการจบคลื่นรอง 1 ที่ 1,122 จุด (อาจยาวถึง 1,147) จากนั้นในช่วง มี.ค. SET น่าจะปรับฐานเล็กๆด้วยคลื่นย่อย a), b), c) จนมาถึง 1,068 จุด* เอเซีย พลัส คาด LTF- Window Dressing- Santa Rally ดันดัชนีปีนี้ปิดเหนือ 1020 จุด

บทวิเคราะห์บล.เอเซีย พลัส ระบุว่า LTF, Window Dressing , Santa Rally ล้วนหนุนตลาดยืนเหนือ 1,020 จุด อย่างมั่นคง โดยบทบาทของ LTF ในตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ประเมินจากการขยายตัวของเม็ดเงินที่ไหลเข้ากองทุน LTF ซึ่งพบว่าเพิ่มขึ้นจากปี 2547 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 5.43 พันล้านบาทต่อปี มาอยู่ที่ 25.82 พันล้านบาทต่อปี ในช่วงปี 2552 คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ย 36.6% ต่อปี ในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา สำหรับปี 2553 ช่วง 9M53 พบว่ามีเงินไหลเข้ามาแล้วจำนวน 10.83 พันล้านบาท ซึ่งในเดือน ธันวาคม 2553 คาดหมายว่าน่าจะเห็นเม็ดเงินไหลเข้ามาอย่างมีนัยสำคัญ

ทั้งนี้ ประเมินจากสถิติในอดีตพบว่ายอดซื้อ LTF ในเดือน ธันวาคมของทุกปี พบว่ามักจะอยู่ในช่วงประมาณ 47–51% ของยอดซื้อ LTF ทั้งปี ซึ่งพฤติกรรมการซื้อ LTF ดังกล่าว ประกอบกับข้อบังคับการลงทุนที่กำหนดให้กองทุน LTF ที่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี ต้องถือหุ้นไม่น้อยกว่า 65% ของมูลค่า NAV (ในข้อเท็จจริงเชื่อว่าถือหุ้นมากกว่า 70%) จึงเห็นว่ามีความเป็นไปได้มากที่จะเห็นเม็ดเงินที่เกิดจากการซื้อ LTF ช่วงปลายปี เข้ามามีส่วนขับเคลื่อน SET Index ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของปี

นอกจากนี้ ยังมีแรงขับเคลื่อนจากผลของเทศกาลอีกส่วนหนึ่งที่อาจมีส่วนช่วยขับเคลื่อนตลาด ไม่ว่าจะเป็น Window Dressing ของนักลงทุนสถาบันประเภทต่างๆ หรือ Santa Rally ตามความเชื่อของนักลงทุนทั่วไป องค์ประกอบดังกล่าว ประกอบกับการที่ตลาดยังอยู่ในช่วงเวลาที่ปลอดข่าวร้าย น่าจะทำให้ SET Index สามารถยืนอยู่เหนือ 1,020 ได้อย่างมีเสถียรภาพ และมีความเป็นไปได้ที่จะปิดตามเป้าหมายของฝ่ายวิจัยที่กำหนดไว้ที่ PER 15 เท่า หรือ 1,038 จุด ณ สิ้นปี 2553*บีฟิท ชี้ ช่วงก่อนสิ้นปีหุ้นโลก ยังแกว่งผันผวนแคบ / รอดูสถานการณ์เกาหลี

บทวิเคราะห์ บล.บีฟิท ระบุว่า ภาพรวมของตลาดหุ้นส่วนใหญ่ทั่วโลกก็ยังเหมือนเดิม ยังแกว่งตัวไม่มาก ก่อนช่วงใกล้วันหยุด ขณะที่ปัจจัยก็ยังเป็นเรื่องเดิมๆ ความวิตกกังวลเกี่ยวกับปัญหาหนี้ยุโรป ตลาดก็ซึมซับกันมาอย่างต่อเนื่องแล้ว ประเด็นความตึงเครียดของคาบสมุทรเกาหลี ที่ล่าสุดเกาหลีใต้ก็จะมีการซ้อมรบโดยใช้กระสุนจริงครั้งใหญ่สุดเท่าที่เคยมีมา ใกล้พรมแดนเกาหลีเหนือ ประเด็นอยู่ที่ท่าทีของเกาหลีเหนือ ว่าจะอย่างไร ตอบโต้หรือไม่ แต่ขณะนี้ก็ยังเงียบอยู่
----------------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย
FSS : รอเลือกหุ้นเข้าทยอยรับเมื่อตลาดปรับตัวลง โดยดีดขึ้นยังน่าทำกำไรบ้าง!
แนวโน้ม: FSS คาดว่าสัปดาห์นี้ SET จะยังคงเคลื่อนไหวผันผวนต่อเนื่อง ด้วยปริมาณการซื้อขายที่เบาบาง เนื่องจากเป็นสัปดาห์สุดท้ายของปี 53 ซึ่งนักลงทุนบางส่วนทั้งในและต่างประเทศเริ่มหยุดยาว หรือ ชะลอการลงทุนเพื่อรอดูปัจจัยต่างๆ อีกครั้งหลังเทศกาลปีใหม่ ขณะที่นักลงทุนต่างประเทศช่วงนี้ก็ยังเน้นขาย
เพื่อรับรู้กำไรก่อนปิดสิ้นปีด้วย อย่างไรก็ตามถ้าตลาดปรับตัวลงยังมองเป็นจังหวะเลือกหุ้นเข้าซื้อเพื่อลุ้นดีดในช่วงก่อนปิดสิ้นปีได้ เพราะคาดว่าก่อนวันหยุดช่วงปี
ใหม่ จะมีแรงซื้อบางส่วนกลับเข้ามาเลือกหุ้นเข้ารับ เพื่อลุ้น January Effectรวมทั้งยังคาดว่าจะมีเม็ดเงินจากกองทุน LTF และ RMF ล็อตสุดท้ายเข้ามาช่วยพยุงตลาดในสัปดาห์นี้ด้วย แต่ยังเน้นเป็นเล่นเก็งกำไรสั้นๆ ตามรอบไว้ก่อน
กลยุทธ์: เลือกหุ้นทยอยเข้าซื้อเมื่อตลาดปรับตัวลงได้ โดยหุ้นที่น่าสนใจได้แก่BANPU, BIGC, KTB, PTL, SEAFCO, AP, CSL, DELTA, DRT, LPN, KBANK,SCB, TASCO, AMATA, PS, SPALI, CK, STEC เป็นต้น
ประเด็นสำคัญวันนี้
• (+) จีน surprise ตลาดด้วยการขึ้นดอกเบี้ย 0.25% ทำให้ดอกเบี้ยเงินกู้1 ปีเป็น 5.81% จากเดิม 5.56% มีผลวันที่ 26 ธ.ค. การขึ้นดอกเบี้ยครั้งนี้เป็นการขึ้นครั้งที่ 2 ในรอบปี และขึ้นเร็วกว่าคาดว่าจะปรับขึ้นในปีหน้า ดังนั้นตลาดอาจตอบรับในด้านลบในช่วงแรกแต่เรามองเป็นข่าวบวกเพราะถือว่ามี
ความชัดเจน ทำให้ตลาดคลายความกังวลและประเมินความเสี่ยงได้ดีขึ้นนอกจากนี้ก็เป็นปรับลดการคาดการณ์ของตลาด (Expectation management) ว่าอัตราเงินเฟ้อในอนาคตจะไม่พุ่งแรงเพราะดอกเบี้ยได้ขึ้นแล้ว
• (+) KTB ปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 19.50 บาท จากการประมาณการกำไรสุทธิปี 2011 ขึ้นเป็น 1.77 หมื่นลบ. (+18%Y-Y) เนื่องจากคาดการขยายตัวของสินเชื่อปี 2011 เป็น +10% จากเดิม 7% และลดคาดการณ์การตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สูญลงเป็น 6 พันลบ. (จากเดิม 6.5 พันลบ.) และยังมี
upside เพิ่มจากกำไรสุทธิราว 2-3% จากรายได้ค่าธรรมเนียมซึ่งเป้าหมายของธนาคารสูงกว่าเป้าหมายของเรา 5% ราคาพื้นฐานปี 2011 ของเราอิง
2011 PBV 1.6 เท่า (Ke 11%, ROE 13.3%) และคาด Dividend yield อีกราว 3% (0.50 บาท) คงคำแนะนำ ซื้อ
• (+) KSL จับตาประกาศผลประกอบการ 4Q10 วันนี้ เราคาดขาดทุน 81ล้านบาท ขาดทุนเพิ่มขึ้นจาก 3Q10 จากการปิดโรงงานที่ขอนแก่นเพื่อซ่อม
บำรุงประมาณ 45 วัน และมีค่าใช้จ่ายในการขนย้ายเครื่องจักรไปยังโรงงานที่บ่อพลอยราว 30 ล้านบาท หากราคาหุ้นปรับลงเพราะตกใจกับการขาดทุน เรา
ถือเป็นโอกาสในการซื้อเพราะกำไรจะกลับมา Turnaround เติบโตอย่างแข็งแกร่ง +423% ในปี 2011 (พ.ย. 2010 – ต.ค. 2011) จากราคาน้ำตาลในตลาดโลกที่มีโอกาสทำ New high บริษัทขายล่วงหน้าไปแล้วที่ราคา 24-25 เซนต์/ปอนด์ซึ่งเป็นราคาที่สูง และเชื่อว่าจะไม่มีปัญหาแย่งชิงอ้อยเหมือนในปีนี้ ขณะที่โรงงานที่ลาวและกัมพูชาจะขาดทุนลดลง เราประเมินราคาพื้นฐานปี 2011 เท่ากับ 18 บาท
• Fund Flow สัปดาห์ที่ผ่านมายังไหลเข้าต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ 2 ติดต่อกันแต่ปริมาณการซื้อขายเบาบาง เนื่องจากเข้าสู่ช่วงหยุดพักผ่อนยาวของนักลงทุนและผู้จัดการกองทุนต่างชาติ ขณะที่ปัจจัยบวกส่วนใหญ่หนุนนำราคาสินค้าโภคภัณฑ์เกือบทุกชนิดให้ปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่ออกมาดีต่อเนื่อง สำหรับสัปดาห์นี้เชื่อว่าภายหลังจีนประกาศขึ้นดอกเบี้ยอย่างไม่คาดฝัน แต่เนื่องจากปรับขึ้นในอัตราต่ำดังนั้นผลกระทบที่จะมีต่อตลาดหุ้นและราคาสินค้าโภคภัณฑ์มีน้อย ซึ่งหากตลาดปรับตัวลงด้วยเหตุผลนี้เราแนะนำเข้าซื้อสะสมหุ้นเพิ่ม

ข่าวภายในประเทศ
Q4 กรุงไทยกำไรปลิ้นฟาดนิ่มอีก 3.72 พันล. ดันทั้งปีพุ่ง 1.5 หมื่นล.-สินเชื่อ 11 เดือนโต 11.5% “กรุงไทย” (KTB) ได้ชี้แจงตัวเลขสำคัญทางการเงินและแผนงานในปี 2554 ต่อนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ โดยช่วง 11 เดือนแรก สินเชื่อเติบโต 11.5% หลังเหมาเข่งสินเชื่อภาครัฐ วางเป้าปี’54โตอย่างต่ำ 7% ด้านโบรกฯ คาดกำไรไตรมาส 4 ของ KTB จะอยู่ที่ 3.72 พันล้านบาท พุ่ง 42.6% ดันตัวเลขกำไรทั้งปี 1.5 หมื่นล้านบาท คิดเป็น34.8% คาดปันผลอีก 0.54 บาทต่อหุ้น ส่วนปีหน้ากำไรจะเพิ่มเป็น 1.6 หมื่นล้านบาท ขยับราคาอีกรอบ 20.30 บาท ด้าน “อภิศักดิ์” เผยปีหน้าค่าฟีจะ
โตอีก 20% (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 27-12-2010)
CCP รายได้นิวไฮรอบ 3 ปี โชว์ตัวเลขปีนี้ 2.8 พันล้าน CCP ลั่นงานในมือปีหน้าไม่ต่ำกว่า 2,300 ล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ตั้งเป้ารายได้ไม่ต่ำกว่า 2,800 ล้านบาท จากปีนี้ที่คาดว่าจะมีรายได้ 2,100-2,200 ล้านบาท ส่วนไตรมาส 4/53 ดีกว่าไตรมาส 3 แถมกำไรจากการปรับโครงสร้างหนี้บริษัทย่อยประมาณกว่า 300 ล้านบาท (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 27-12-2010)
QLT ลุ้นอีก100 ล้านงานท่อส่งก๊าซปตท.ดึงพันธมิตรลุยตปท. QLT จับมือพันธมิตรต่างชาติสยายปีกต่างประเทศ เล็งเวียดนาม-ลาว-พม่านำร่องเหตุความต้องการงานตรวจสอบและทำลายเพิ่ม ดันสัดส่วนรายได้ต่างประเทศ ลั่นงานท่อก๊าซเส้น 4 ปตท. มั่นใจชนะการประมูลรู้ผลไตรมาส 1/54ส่วนปีหน้าตั้งเป้ารายได้โต 20% (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 27-12-2010)
GRAMMYระส่ำโละพนักงาน100 คน ตัดทิ้งหน่วยงานไม่ทำเงินสังเวยตัวเลขกำไรแพ้อาร์เอสGRAMMY ตัดเนื้อร้าย ลดพนักงาน 100 คน ปรับขนาดองค์กร ด้านผู้บริหารออกตัวชี้แจง หั่นเฉพาะหน่วยงานไม่สร้างรายได้ แต่ถ้าธุรกิจไหนโตพร้อมเสริมทีมแน่ ฟากวงการเงินชี้ ต้นทุนสูง กำไรไม่เข้าเป้า “อากู๋” แถมโตแพ้ค่าย RS เลยเป็นเหตุโดนปรับโครงสร้าง (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 27-12-2010)
CPALL ผนึกโทลล์เวย์รับชำระค่าผ่านทางผ่านเซเว่นอีเลฟเว่นโทลล์เวย์ร่วมเครือซีพีออลล์ ศึกษาการชำระค่าผ่านทางด้วยบัตรสมาร์ทเพิร์ส ใช้7-11 เป็นช่องทางชำระค่าผ่านทาง เริ่มทดลองด่านดินแดงกับดอนเมือง รวม 6 เดือน สิ้นสุดเดือนเม.ย. 54 หากมีเสียงตอบรับดี เล็งทำเพิ่มจุดอื่นผู้บริหาร DMT เชื่อผู้ใช้ทางสะดวกขึ้น (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 27-12-2010)
CPALL ปักธงปีหน้าต้องโตไม่ต่ำ15% เร่งปั๊มสาขาใหม่ไม่หยุด แนะซื้อเป้าหมาย 55 บาท CPALL ปีนี้โตเกินเป้า 9 เดือนกว่า 10% จากยอดขายสาขาเดิมและการขยายสาขา คาดปีนี้ทะลุ 5,700 สาขา ปีหน้าตั้งเป้ายอดขายโตกว่า 10-15% โบรกฯ มองกำไรเติบโต 12-15% ต่อปี จากอัตรากำไรที่ดีขึ้นต่อเนื่องจากการพัฒนานวัตกรรมสินค้า จึงแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย ใหม่ 55 บาท (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 27-12-2010)

----------------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ตปท.

ข่าวต่างประเทศ
จีน: ธนาคารกลางจีนประกาศขึ้นดอกเบี้ย 0.25% มุ่งควบคุมแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ ธนาคารกลางจีนประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และดอกเบี้ยเงินฝากอีก 0.25% มีผลตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป สำนักข่าวซินหัวรายงานอ้างแถลงการณ์ที่เผยแพร่บนเว็บไซต์ของธนาคารกลางจีนเมื่อวานนี้ว่าธนาคารกลางจีนจะ ปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.25% ซึ่งจะเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 26 ธันวาคมนี้ ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระยะ 1 ปีอยู่ที่ระดับ 5.81% และอัตราดอกเบี้ยเงินฝากระยะ 1 ปีอยู่ที่ 2.75% (ที่มา: อินโฟเควสท์ 26-12-2010)
จีน: จีนเล็งกระตุ้นการนำเข้ายานยนต์ 5 ปีหน้า หนุนปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจ เจ้าหน้าที่กระทรวงพาณิชย์จีนเผย รัฐบาลเตรียมใช้มาตรการนำเข้าสินค้าประเภทยานยนต์ในเชิงรุกในอีก 5 ปีข้างหน้าตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับที่ 12 (ปี 2554-2558) เพื่อรองรับการปรับโครงสร้างและยกระดับภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ภายในประเทศ โดยจีนจะสนับสนุนการนำเข้าชิ้นส่วนประกอบรถยนต์ที่ทันสมัยและประหยัดพลังงาน รวมถึงเทคโนโลยีสำคัญๆ สำหรับการผลิตยานยนต์ ด้านสมาคมผู้ผลิตยานยนต์ของจีน (CAAM) เปิดเผยว่า ยอดขายรถในจีนช่วง 11เดือนแรกของปีนี้พุ่งแตะที่ 16.4 ล้านคัน และคาดว่าจะพุ่งแตะ 18 ล้านคันในปีนี้ (ที่มา: อินโฟเควสท์ 26-12-2010)
เอเชีย: เงินเยนพุ่งเทียบยูโรที่ตลาดโตเกียวเช้านี้ เหตุวิตกศก.โลกชะลอตัวหากจีนขึ้นดอกเบี้ย ค่าเงินเยนพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบเกือบ 3สัปดาห์เมื่อเทียบกับยูโร ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตราโตเกียวช่วงเช้าวันนี้ (27 ธ.ค.) เนื่องจากความกังวลที่ว่าเศรษฐกิจโลกอาจจะชะลอตัวลงหากจีนตัดสินใจประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งความกังวลในเรื่องดังกล่าวทำให้นักลงทุนเข้าถือครองสกุลเงินเยนเพื่อ หลีกเลี่ยงความเสี่ยง (ที่มา: อินโฟเควสท์ 27-12-2010)
เอเชีย: ญี่ปุ่นเผยยอดขายรถใหม่เดือนธ.ค.ร่วง 26.4% หลังมาตรการจ่ายเงินอุดหนุนสิ้นสุดลง ยอดขายรถใหม่ในญี่ปุ่นยังคงซบเซาในเดือนธันวาคม จากผลกระทบของมาตรการจ่ายเงินอุดหนุนให้กับผู้ซื้อรถประหยัดพลังงานของ รัฐบาลที่หมดอายุลงเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา สำนักข่าวข่าวเกียวโดรายงานว่า ยอดขายรถใหม่ของญี่ปุ่นในเดือนธ.ค.ปรับตัวลดลง 26.4% หลังจากที่มาตรการจ่ายเงินอุดหนุนผู้ซื้อรถประหยัดพลังงานสิ้นสุดลงเมื่อ ช่วงต้นเดือนก.ย. ส่งผลให้ยอดขายรถในญี่ปุ่นเดือนต.ค.ปรับตัวลดลง 26.7% และยอดขายรถในเดือนพ.ย.ร่วงลง 30.7% (ที่มา: อินโฟเควสท์26-12-2010)
เอเชีย: เวียดนามเผยอัตราเงินเฟ้อเดือนธ.ค.พุ่ง 11.75% หลังรัฐบาลลดค่าเงินดอง สำนักงานสถิติแห่งชาติเวียดนาม เปิดเผยว่า อัตราเงินเฟ้อเดือนธ.ค.พุ่งขึ้น 11.75% จากปีที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 22 เดือน หลังจากการประกาศลดค่าเงินดองของรัฐบาลเวียดนามส่งผลให้ต้นทุนการนำเข้าสูง ขึ้น นอกจากนี้ มาตรการขยายการปล่อยสินเชื่อยังกระตุ้นให้อุปสงค์ภายในประเทศเพิ่มขึ้นด้วย รัฐบาลเวียดนามกำลังเผชิญปัญหาในการควบคุมแรงกดดันของเงินเฟ้อที่เกิดขึ้น เนื่องจากเศรษฐกิจขยายตัวอย่างรวดเร็ว รวมทั้งต้นทุนอาหารที่สูงขึ้น และสกุลเงินดองที่อ่อนค่าลง โดยรัฐบาลเวียดนามได้ประกาศลดค่าเงินดอง 3 ครั้งนับตั้งแต่เดือนพ.ย.ปีที่แล้ว ขณะที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) เตือนว่า การอ่อนค่าของเงินดองเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้อัตราเงินเฟ้อพุ่งขึ้นอย่างรวด เร็ว (ที่มา: อินโฟเควสท์ 24-12-2010)
----------------------------------------------------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น