Code 226 : ปีหน้าหุ้น1200จุด!พลังงาน-แบงก์เด่นสุด

วันพฤหัสที่ 30 ธันวาคม 2553

ATT Code : ปีหน้าหุ้น1200จุด!พลังงาน-แบงก์เด่นสุด
"โกลเบล็ก"ประเมินดัชนีตลาดหุ้นไทยครึ่งแรกปี 54 มีลุ้นแตะ 1,200 จุด รับอานิสงส์เศรษฐกิจในประเทศฟื้นตัว กำไรบจ.โต 20% แถมบาทแข็ง หนุนเม็ดเงินต่างชาติทะลักเข้าตลาดหุ้นไทยต่อเนื่อง แต่หวั่นปัจจัยเสี่ยงการเมือง–วิกฤติหนี้ยุโรปไม่คลี่คลาย กดดันราคาหุ้นรูดลงแตะระดับ 980 จุด พร้อมให้น้ำหนักหุ้นพลังงาน–แบงก์ ยังเป็นดาวเด่นดันดัชนี ส่วน ASP แนะเก็บหุ้นปันผลสูงและกลุ่มสินค่าโภคภัณฑ์ - E Finance
----------------------------------------------------------------------------------
Short News
TRUE:แจ้งตลาดฯการเข้าซื้อหุ้น Hutch
TRUE แจ้งบ.ย่อย "Real Move" และ "Real Future" เข้าซื้อหุ้นของ (1) บริษัทHutchchison Wireless Multimedia Holding (HWMH) (2) บริษัท BFKT (3) หุ้นของ Rosy Legend (RL) และ (4) หุ้นของ Prospect Gain Ltd (PG) เพื่อขยายธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่
มูลค่าของรายการ : ประมาณ 6.3 พันล้านบาท (เงินค่าซื้อหุ้น 4 บริษัท 4.35 ล้านบาท + เงินกู้ไม่เกิน 6.3 พันล้านบาท โดย Real Future ให้กู้แก่ BFKT เพื่อนำไปชำระหนี้ของ BFKT บางส่วน (Real Future จะใช้เงินทุนจากการกู้ SCB)

ความเห็น: มูลค่าการซือ Hucth ดังกล่าว ใกล้เคียงกับที่มีการคาดการณ์กันก่อนหน้านี้ ที่ระดับ 6-7 พันล้านบาท แม้มองเชิงบวกในด้านการลดความเสี่ยงทางธุรกิจของ TRUE เนื่องจากสัมปทานเดิมจะหมดอายุในปี 2013 และความร่วมมือทางธุรกิจกับกสท.ในอนาคต แต่มีการเล่นเก็งกำไรรับ Deal การซื้อหุ้น Hutch มาแล้วระดับหนึ่ง รวมทั้งอาจยังมีประเด็นด้านกฎหมาย และการใช้เงินลงทุนเพื่อพัฒนาโครงข่าย CDMA เป็น HSPA (GSM) ระยะสั้น อาจมี Sell on Fact

(+) CK: ที่ประชุมกพช.ยังให้ความเห็นชอบร่างสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโครงการไซยะบุรี ราคาเป้าหมายปี 2011 ที่ 12.70 บาท
· เป็นปัจจัยบวกต่อ CK เพราะรอการเซ็นสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโครงการไซยะบุรีมานาน ซึ่งหลังจากเซ็นสัญญา PPA กับ EGAT ได้ประมาณเดือนม.ค.-ก.พ. บริษัทก็จะดำเนินการก่อสร้าง และรับรู้รายได้จากการก่อสร้างได้ในปีหน้า
· ส่วนการจัดโครงสร้างทางเงิน บริษัทจะถือหุ้นโครงการนี้ไม่ต่ำกว่า 30% จากปัจจุบันถือหุ้น 95% โดยจะหาผู้ร่วมทุนรายใหญ่เข้าถือหุ้นส่วนที่เหลือ โดยโครงสร้างลงทุนเป็นเงินกู้ 8 หมื่นล้านบาท และเงินลงทุนจากผู้ถือหุ้น 3 หมื่นล้านบาท (D/E 3:1) คิดเป็นเงินลงทุนตามสัดส่วนถือหุ้น 8-9 พันล้านบาท ซึ่งจะทยอยลงทุนไป 7-8 ปี โดย 2 ปีแรกลงทุนไม่มากประมาณ 700 ล้านบาทต่อปี
· แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายปี 2011 ที่ 12.70 บาท

----------------------------------------------------------------------------------
MARKET WAVE Analysis
30 ธค. 53 ( +6.26 จุด) โกมล พงศ์วิญญู เลขทะเบียน 18338.

รอปรับตัวลง 1020 จุด
ดัชนีกำลังปรับตัว ในกรอบสามเหลี่ยมภาพระยะวัน สำหรับภาพระยะสั้นหนึ่งถึงสองวันข้างหน้านี้ ดัชนีมีโอกาสปรับตัวกลับลงมาแถว 1020 จุด ใกล้เส้นค่าเฉลี่ย 25 วันอีกครั้ง

จากนั้น มีความเป็นไปได้สองแนวทางด้วยกัน คือ
1 ปรับตัวทะลุกรอบสามเหลี่ยม และเกิน 1055.25 จุดสูงสุดเดิมของปี 2553 ดัชนีในเดือน มค. ปี 54 จะสามารถปรับตัวขึ้นต่อได้ บริเวณ 1100 – 20 จุด ... ก่อนที่จะปรับฐานแถว940 – 980 จุดในไตรมาสแรกของปีหน้า

2 ปรับตัวลงต่ำกว่ากรอบสามเหลี่ยมและ ต่ำกว่า 1000 จุด ดัชนีมีโอกาสปรับฐานแถว 900 – 940 จุด สำหรับภาพไตรมาสแรกของปีหน้า

หุ้นเด่น
SCB
ปรับตัวขึ้นมาแถวเส้นค่าเฉลี่ย 25 วันพอดี รอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 105.50 จุดสูงสุดวันพุธและเส้นค่าเฉลี่ยดังกล่าว เป้าหมายสองสามวัน 108.00 – 109.00( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 104.50 )

10 อันดับซื้อขายสูงสุด
TRUE แกว่งตัว 7.15 – 7.35
IRPC แกว่งตัว 6.10 – 6.35
SCB รายละเอียดใน “หุ้นเด่น”
BANPU แกว่งตัว 770 – 810
TOP ต่ำกว่า 77.50 ลง 76 – 76.50
PTTEP ต่ำกว่า 166.50 ลง 163.50 – 164.50
PTTCH แกว่งตัว 147.50 – 149.50
TMB เกิน 2.40 ขึ้น 2.42 – 2.44
PTT ต่ำกว่า 319 ลง 315 - 317
IVL แกว่งตัว 56.50 – 57.75

----------------------------------------------------------------------------------
E Finance : ปีหน้าหุ้น1200จุด!พลังงาน-แบงก์เด่นสุด
"โกลเบล็ก"ประเมินดัชนีตลาดหุ้นไทยครึ่งแรกปี 54 มีลุ้นแตะ 1,200 จุด รับอานิสงส์เศรษฐกิจในประเทศฟื้นตัว กำไรบจ.โต 20% แถมบาทแข็ง หนุนเม็ดเงินต่างชาติทะลักเข้าตลาดหุ้นไทยต่อเนื่อง แต่หวั่นปัจจัยเสี่ยงการเมือง–วิกฤติหนี้ยุโรปไม่คลี่คลาย กดดันราคาหุ้นรูดลงแตะระดับ 980 จุด พร้อมให้น้ำหนักหุ้นพลังงาน–แบงก์ ยังเป็นดาวเด่นดันดัชนี ส่วน ASP แนะเก็บหุ้นปันผลสูงและกลุ่มสินค่าโภคภัณฑ์

ในช่วงนี้นักวิเคราะห์หลายสำนักออกมาคาดการณ์ถึงภาวะการลงทุนในปีหน้า เพื่อเป็นเข็มทิศชี้ทางให้กับนักลงทุน ล่าสุดบริษัทหลักทรัพย์(บล.) โกลเบล็ก จำกัด ออกมาฟันธงว่าดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นแตะ 1200 จุดในช่วงครึ่งปีแรก บนพื้นฐานกำไรบริษัทจดทะเบียน(บจ.)โต 20% เศรษฐกิจฟื้นตัวต่อเนื่อง และอ้างอิงพีอีที่ระดับ 15.15 เท่า

นอกจากนี้ยังมองว่าหุ้นกลุ่มพลังงานและธนาคารพาณิชย์ยังเป็นกลุ่มที่โดดเด่นสุดในปีหน้า ขณะที่กลุ่มรับเหมาก่อสร้างมีน้ำหนักการลงทุนปานกลาง ส่วนบล.เอเซีย พลัส แนะนำให้นักลงทุนเก็บสะสมหุ้นที่เข้า SET50, หุ้น High Dividend Yield และหุ้น Commodity โดยสามารถถือข้ามไปปี 54 ได้

***** ฟันธงได้เห็นดัชนี 1200 จุด-กำไรบจ.โต20%
นายธวัชชัย อัศวพรไชย ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. โกลเบล็ก เปิดเผยถึง ทิศทางตลาดหุ้นไทยในปี54 ว่า ดัชนีมีโอกาสที่จะแตะจุดสูงสุดที่ระดับ 1,200 จุดในครึ่งปีแรก ซึ่งอิงค่าพี/อีเรโช 15.15 เท่า โดยคาดว่าจะมีปริมาณการซื้อขาย(วอลุ่ม)เฉลี่ยต่อวันประมาณ 29,457 ล้านบาท เนื่องจากยังได้รับแรงหนุนจากภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่ฟื้นตัวดีขึ้นต่อเนื่อง และคาดว่าเศรษฐกิจปีหน้าจะขยายตัวเพิ่มขึ้น รวมทั้งรัฐบาลยังสามารถจัดเก็บรายได้ตามเป้าหมาย และตัวเลขหนี้สาธารณะไม่สูงมากนัก

ส่วนผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน(บจ.)ในตลาดหุ้นไทยมีอัตราการเติบโตต่อเนื่องเมื่อเทียบกับบริษัทจดทะเบียนอื่นๆ ในตลาดหุ้นภูมิภาค และคาดว่ากำไรบจ.ปี54 จะเติบโต 20% จากปี53 ที่เติบโต 11.5% นอกจากนี้ การที่ค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าอย่างต่อเนื่อง เชื่อว่าจะเป็นปัจจัยบวกที่สนับสนุนให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง

“มองว่าในช่วงครึ่งปีแรก ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีโอกาสแตะ1,200 จุดเนื่องจากมองว่ายังคงมีเม็ดเงินจากต่างประเทศไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับค่า P/E ในตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ระดับ 15.15 เท่า ซึ่งงบล.โกลเบล็กมองว่ายังมีศักยภาพ ประกอบกับบริษัทจดทะเบียนในประเทศไทยยังสามารถขยายตัว และทำกำไรเพิ่มขึ้นได้” นายธวัชชัย กล่าว

อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นไทยยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องเพิ่มความระมัดระวังลงทุนมากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้ดัชนีปรับลดลงมาที่แตะระดับ 980 จุดได้ อาทิ สถานการณ์การเมืองภายในประเทศ ถึงแม้ในปี 54 จะมีการเลือกตั้งใหม่ก็ตาม แต่สถานการณ์ทางการเมืองก็ยังคงต้องเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิด ส่วนกรณีการออกพันธบัตรของกลุ่มประเทศแถบยุโรปที่ทำได้ยากขึ้น ซึ่งก็จะส่งผลกระทบต่อการจัดลดอันดับเครดิต และกระทบต่อจิตวิทยาการลงทุนเช่นเดียวกัน

นอกจากนี้ ยังต้องเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงจากปัญหาเศรษฐกิจในหลายประเทศที่อาจกระทบตลาดหุ้นไทย อาทิ วิกฤตหนี้ในประเทศแถบยุโรป ถึงแม้ว่าจะไม่เห็นการฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว แต่เชื่อว่าสถานการณ์จะเริ่มคลี่คลายลงตามลำดับ นอกจากนี้ อัตราการว่างงานของสหรัฐฯ ซึ่งคาดว่าจะทรงตัวอยู่ที่กว่า 9% หรือปรับลดลงบ้าง จะแสดงให้เห็นสัญญาณการฟื้นตัวที่ดี

“ทิศทางตลาดหุ้นที่ยังเป็นสัญญาณบวก แต่ดัชนีอาจผันผวนตามสถานการณ์ทางการเมือง และคาดว่าจะมีการเทรดดิ้งมากกว่าปี2553 ส่วนเรื่องการเมืองเชื่อว่าแม้มีการเปลี่ยนแปลงแต่รัฐบาลยังคงต้องลงทุนสาธารณูปโภค และกระตุ้นการใช้จ่ายอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหากนโยบายต่างๆ ที่ออกมามีเสถียรภาพ เชื่อว่าจะทำให้ภาคเอกชนเกิดความมั่นใจ และลงทุนเพิ่มขึ้น” นายธวัชชัย กล่าว

***** เน้นหนักหุ้นพลังงาน-แบงก์
นายธวัชชัย กล่าวต่อว่า สำหรับกลยุทธ์การลงทุนหุ้นนั้นฝ่ายวิเคราะห์ให้น้ำหนักการลงทุนในกลุ่มพลังงาน กลุ่มธนาคาร ค่อนข้างมาก เนื่องจากเป็นหุ้นที่มีการเติบโตสูง และมีมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่ และสามารถผลักดันดัชนีให้ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ โดยกลุ่มพลังงานได้รับผลดีจากราคาน้ำมันที่คาดว่าจะปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง แต่ยังต้องติดกรณีบริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP ในประเด็นความเสียหายของปัญหาโครงการมอนทารา ซึ่งหากคลี่คลายไปในทางที่ดีจะส่งผลให้ปัจจัยที่กดดันราคาหุ้นหมดไป

โดยหุ้นที่น่าสนใจ อาทิ PTTCH โดยราคาเป้าหมายที่ 200 บาท PTT ราคาเป้าหมาย 375 บาท BANPU ราคาเป้าหมาย 860 บาท ส่วนหุ้นกลุ่มธนาคารจะได้รับผลดีจากสินเชื่อปีหน้าที่เติบโตต่อเนื่อง อาทิ KTB ราคาเป้าหมาย 21.4 บาท และ BAY ราคารเป้าหมายที่ 32.7 บาท

นอกจากนี้ ยังมีหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมที่น่าสนใจ เนื่องจากราคาหุ้นทั้งกลุ่มยังสามารถปรับตัวขึ้นได้อีก 22% โดยหุ้นที่น่าสนใจ ได้แก่ SEAFCO ราคาเป้าหมาย 8.70 บาท SYNTEC ราคาเป้าหมาย 2 บาท และ ITD ราคาเป้าหมายที่ 5.60 บาท

ส่วนกลุ่มหุ้นที่ฝ่ายวิเคราะห์ให้น้ำหนักการลงทุน ”ปานกลาง” ได้แก่ กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากหมดมาตรการกระตุ้นภาษีการโอนฯ และทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น ล้วนเป็นปัจจัยที่กดดันการลงทุน ด้านกลุ่มเดินเรือ ยังมีปัญหาของซัพพลาย (เรือ) ที่มีจำนวนสูงกว่าความต้องการใช้เรือ แต่เชื่อว่าซัพพลายจะเริ่มลดลง หลังจากที่ภาวะเศรษฐกิจโลกกลับมาฟื้นตัวในครึ่งปีหลัง2554 ขณะที่กลุ่มวัสดุก่อสร้าง ถ้าอัตราเงินเฟ้อไม่สูง เชื่อว่าจะไม่กระทบมากนัก

*****เอเซีย พลัสสั่งลุยหุ้นปันผลสูง-กลุ่มโภคภัณฑ์
บทวิเคราะห์บล.เอเซีย พลัส(ASP) ระบุว่า แนะนำซื้อหุ้นที่เข้า SET50, หุ้น High Dividend Yield และหุ้น Commodity โดยถือข้ามไปปี 2554 ได้ ทั้งนี้นับจากปี 2551 เป็นต้นมา ช่วงต้นปีราคาหุ้นมักจะถูกกดดันจากแรงขายอันเป็นผลมาจากการไถ่ถอนหน่วยลงทุนในกองทุน LTF ซึ่งในช่วงต้นปี 2554 ก็เชื่อว่าจะยังมีผลกระทบจากกรณีดังกล่าวเช่นกัน โดยจากการรวบรวมตัวเลขของฝ่ายวิจัยประเมินว่าจะมีเงินลงทุนใน LTF ที่ครบกำหนด 5 ปี ปฏิทินในช่วงปี 2554 ประมาณ 1.7 หมื่นล้าน

โดยที่เงินลงทุนก้อนดังกล่าวมีต้นทุนเฉลี่ยที่ SET Index 817 จุด แต่อย่างไรก็ตามคาดว่าแรงกดดันดังกล่าวจะเกิดขึ้นเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ ช่วง 2 สัปดาห์แรกของสัปดาห์ หลังจากนั้นก็จะเข้าสู่ภาวะปกติ ผลจากการประเมินสถานการณ์ดังกล่าวพอกำหนดกลยุทธ์การลงทุนได้ดังนี้คือ ในส่วนของนักลงทุนที่ต้องการเก็งกำไรระยะสั้น(ระยะเวลาการถือหุ้นไม่เกิน 1 เดือน) อาจถือโอกาสช่วงที่ราคาหุ้นอ่อนตัวในช่วง 2 สัปดาห์แรกของปี สะสมหุ้น

ขณะที่นักลงทุนระยะกลาง (ระยะเวลาการถือหุ้น 2-6 เดือน) ที่ต้องการถือหุ้นข้ามปี 2553 ไป ปี 2554 หุ้นที่ฝ่ายวิจัยเห็นว่าน่าจะมีอยู่ในพอร์ตมีอยู่ 3 ลักษณะคือ 1) หุ้นที่เข้า SET50 ซึ่งจะเริ่มใช้คำนวณต้นปี 2554 โดยหุ้นเด่นได้แก่ KK และ ROBINS 2) หุ้นที่ให้ Dividend Yield สูง โดยเน้นหุ้นที่จ่ายเงินปันผลปีละ 1 ครั้ง เช่น DELTA, SIRI, TMT, HANA เป็นต้น และ 3) หุ้น Commodity ที่ป้องกันเงินเฟ้อ เช่น PTTEP, BANPU, AGE, LANNA, KSL, และ SGP

----------------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย
FSS : เริ่มมองหาจังหวะขายทำกำไรบ้างเมื่อตลาดดีดขึ้น ส่วนจะซื้อเพิ่มให้รอลง
แนวโน้ม: แรงซื้อจากเม็ดเงิน LTF และ RMF วันสุดท้ายของปีนี ประกอบกับการทำ Window dressing ทำให้การปรับลงของตลาดมีจำกัด อย่างไรก็ตาม หลังปีใหม่มีตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญจากหลายประเทศที่ทดสอบตลาด ประกอบกับน่จะมีแรงขายจาก LTF & RMF ที่ครบกำหนดขายได้ และมีกำไรทุกกองแล้วที่ระดับดัชนีกว่า 1 พันจุด จึงเชื่อว่าตลาดจะผันผวนอย่างน้อยในครึ่งเดือนแรกของเดือนม.ค. เรายังแนะนำให้เน้นเป็นเทรดดิ้งสั้นๆ ตามรอบ โดยควรแบ่งส่วนขายทำกำไรเมื่อตลาดขยับขึ้นอยู่ ขณะที่จังหวะเลือกหุ้นเข้าซื้อยังแนะนำให้รอช่วงตลาดปรับตัวลงไปเคลื่อนไหวในด้านลบเป็นหลัก

กลยุทธ์: สำหรับการลงทุนระยะสั้นกว่า 1 เดือน แนะนำขายทำกำไรเมื่อตลาดปรับขึ้น เน้นรอซื้อเมื่ออ่อนตัวลง กลุ่มที่น่าสนใจคือแบงก์ และ Commodity(Hard&Soft) เช่น KTB, KBANK, PTL, PTTCH, TOP, SEAFCO, AP, TASCO,AMATA, KSL, CK, STEC และ TTW เป็นต้น

ประเด็นสำคัญวันนี้
• (+) วันสุดท้ายก่อนเปลี่ยนหุ้นที่คำนวณ SET50 Index ใหม่ (เริ่มใช้ 1ม.ค. – 30 มิ.ย. 2011) – เข้า BTS, DCC, KK, ROBINS, SSI, STA ออก –KSL, QH, BCP, PSL, TTA, HANA // ส่วนหุ้นที่คาดว่าเข้าคำนวณ SET100 –เข้า GLOBAL, KKC, SMT ออก BMCL, GJS, SC(0) ธปท. รายงานเศรษฐกิจเดือน พ.ย. วันนี้ ติดตามผลกระทบจากน้ำท่วม
• (+) Window dressing สถิติของตลาด 15 ปีที่ผ่านมา SET Index วันสุดท้ายของปีมักบวกเพิ่มประมาณ 3% M-M ซึ่งหมายถึงดัชนีที่ระดับประมาณ1,035 จุดในวันนี้แต่เชื่อว่าน่าจะบวกได้มากกว่านั้นเพราะ Window dressingและแรงซื้อจาก LTF&RMF อย่างไรก็ตาม ต้นปีมีรายงานเศรษฐกิจที่สำคัญทั้งของจีน ยุโรป และไทย ประกอบกับน่าจะมีแรงขายจาก LTF&RMF ที่ครบกำหนดขายได้และมีกำไรทุกกองแล้ว อาจทำให้ตลาดผันผวนได้ สอดคล้องกับแนวต้านทางเทคนิคที่มองไว้ 1,038 – 1,042 จุด
• (+) KSL รายงานผลประกอบการ 4Q10 (สิ้นสุด ต.ค. 2010) ขาดทุนมากกว่าคาด โดยขาดทุน 91 ล้านบาท (เราคาดขาดทุน 81 ล้านบาท) จากต้นทุนที่แพงขึ้นจากการแย่งซื้อน้ำตาลของผู้ผลิตในอุตสาหกรรม (ไม่มีDerivative loss หรือค่าปรับ) ส่งผลให้ทั้งปี 2010 มีกำไรเหลือเพียง 159ล้านบาท ลดลง 83% ต่ำสุดในรอบ 8 ปี หุ้น KSL เป็นเพียงตัวเดียวในกลุ่มSoft commodity ที่ underperform ที่สุด (-14%YTD) สอดคล้องกับผลประกอบการที่แย่ แต่เชื่อว่า KSL ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วและจะเริ่มมีกำไรตั้งแต่1Q11 (สิ้นสุด ม.ค. 2011) จากกำลังการผลิตส่วนขยายของโรงงานใหม่ที่บ่อพลอย ขณะที่ราคาขายทำสัญญาล่วงหน้าแล้ว80% ของโควต้าส่งออก ซึ่งเป็นราคาที่สูงกว่าปีนี้ถึง 44% - 47% ส่วนโรงงานที่ลาวและกัมพูชา คาดว่าจะขาดทุนน้อยลง เราคาดว่า KSL จะมีกำไรเติบโตถึง 457% ในปี 2011 จึงแนะนำซื้อ KSL โดยมีราคาเป้าหมาย 18 บาท

ข่าวภายในประเทศ
LOXLEY พ้นบ่วงมาร DSI เมินรับคดีพิเศษ ล็อกซเล่ย์รับข่าวดี วงในรายงานฯบอร์ดดีเอสไอไม่รับฮั้วประมูลหวยเป็นคดีพิเศษ ยันหลักฐานไม่เพียงพอ ขณะที่สลากฯมั่นใจได้ขายสลากกินแบ่ง 6 ตัวผ่านเครื่องเร็วๆ นี้ แก้ไขปัญหาสลากเกินราคา ตามโครงการประชาวิวัฒน์ ลดค่าครองชีพประชาชน (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 30-12-2010)
ดีล TRUE ซื้อฮัทช์ฉลุยกสทฝันปีแรก 2 พันล้าน กสทฯ มั่นใจ TRUE ซื้อ HUTCH ชัวร์ ระบุบิ๊ก TRUE รับอยู่ระหว่างเจรจาขั้นสุดท้าย จ่อยกเลิกสัญญา HUTCH ทันที เผยอีก 2 ปีเลิกทำมือถือ CDMA หันทำ HSPA วาดฝันปีแรกฟัน 2 พันล้านบาททันที หลังขาดทุนยับปีละกว่า 2 พันล้านบาทติดต่อกันมากกว่า 3 ปี (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 30-12-2010)
CPN เด้งไตรมาส 4ไฮซีซั่น เป้าปี'54 รายได้โต 10% น่าซื้อเป้าเกิน 32 บาท CPN รับไตรมาส 4 ไฮซีซั่น การจับจ่ายพุ่งกว่า 10-15% เชื่อปีนี้โตตามเป้าหมื่นล้านบาท ส่วนปี 2554 คาดรายได้โตมากกว่า 10% จากการรับรู้เซ็นทรัลเวิลด์เต็มปี การเปิดศูนย์การค้าใหม่ 3 แห่ง รวมถึงความชัดเจนในการลงทุนในต่างประเทศ ระบุจีนมีความคืบหน้า โบรกฯ เชียร์ซื้อ ราคาเป้าหมาย 32.12 บาท (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 30-12-2010)
DIMET ลงนามต่อสัญญาพีพีจี 3 ปี เร่งขยายช่องทางเพิ่มรายได้ใหม่ DIMET ลงนามสัญญาสั่งผลิตสีป้องกันสนิม-สัญญาให้เป็นผู้แทนจำหน่ายสีป้องกันสนิมในไทยกับ PPG ระยะเวลา 3 ปี เผยหารายได้เพิ่มขึ้นอีกช่องทางเน้นสินค้าที่มีคุณภาพและผลิตภัณฑ์ใหม่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในปัจจุบันบริษัทได้มีลูกค้าทางด้านอุตสาหกรรมยานยนต์เพิ่ม (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 30-12-2010)

----------------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ตปท.
ข่าวต่างประเทศ สหรัฐอเมริกา: สหรัฐเผยความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนธ.ค.ลดลง เหตุผู้บริโภควิตกภาวะตลาดแรงงาน คอนเฟอเรนซ์ บอร์ด ซึ่งเป็นองค์กรวิจัยเอกชนของสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนธ.ค.ร่วงลงมาอยู่ที่ระดับ 52.5 จุด จากเดือนพ.ย.ที่ระดับ 54.3 จุด ซึ่งลดลงมากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 55.8 จุด เนื่องจากผู้บริโภคยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะตึงตัวในตลาดแรงงานของสหรัฐ (ที่มา: อินโฟเควสท์ 29-12-2010)

จีน: ธนาคารกลางจีนขึ้นดอกเบี้ย rediscount และ re-loan เป็นครั้งแรกในรอบ 2 ปี ธนาคารกลางจีนประกาศผ่านทางเว็บไซต์ในวันนี้ว่าธนาคารกลางได้ขึ้นอัตราดอกเบี้ย rediscount และดอกเบี้ย re-loan เป็นครั้งแรกในรอบ 2 ปี เมื่อวันที่ 26 ธ.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นอีกมาตรการในการคุมเข้มนโยบายการเงิน หลังจากที่ธนาคารกลางจีนได้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้ไปแล้วในวันเดียวกัน โดยธนาคารกลางจีนได้ขึ้นดอกเบี้ย reloanระยะ 1 ปี อีก 0.52% เป็น 3.85% ตั้งแต่วันที่ 26 ธ.ค.ที่ผ่านมา และได้ขึ้นดอกเบี้ย rediscount อีก 0.45% เป็น 2.25% (ที่มา: อินโฟเควสท์29-12-2010)

เอเชีย: เกาหลีใต้เผยยอด FDI ปี 2553 ทำสถิติสูงสุดในรอบ 10 ปี กระทรวงความรู้เศรษฐกิจของเกาหลีใต้ เปิดเผยว่า เกาหลีใต้มียอดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) สูงสุดในรอบ 10 ปีในปี 2553 เนื่องจากได้รับแรงหนุนจากพื้นฐานเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของประเทศ โดยรายงานของกระทรวงฯ ระบุว่า เม็ดเงิน FDI ของเกาหลีใต้พุ่งขึ้น 12.1% เมื่อเทียบกับปีก่อน แตะ 1.287 หมื่นล้านดอลลาร์ในปีนี้ ซึ่งเป็นยอดสูงสุดนับตั้งแต่ช่วงวิกฤติทางการเงินของเอเชีย เนื่องจากมีเม็ดเงินลงทุนไหลเข้าประเทศเป็นจำนวนมากและทำสถิติยอด FDI สูงกว่า 1.2 หมื่นล้านดอลลาร์เป็นปีที่ 6ติดต่อกัน (ที่มา: อินโฟเควสท์ 29-12-2010)

เอเชีย: เวียดนามคาดมูลค่าการผลิตภาคอุตสาหกรรมโต 14% ช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้ สำนักงานสถิติเวียดนามคาดการณ์ว่า มูลค่าการผลิตภาคอุตสาหกรรมของประเทศจะขยายตัว 14% เมื่อเทียบรายปี แตะที่ 794.2 ล้านล้านดอง (3.78 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้ รายงานระบุว่าเฉพาะเดือนธันวาคมเดือนเดียวมูลค่าการผลิตภาคอุตสาหกรรมของเวียดนามอยู่ที่ 72.2 ล้านล้านดอง (3.67 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ)(ที่มา: อินโฟเควสท์ 29-12-2010)
----------------------------------------------------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น