Code 214 : กลุ่มPTTราศีจับ!!โบรกฯเชียร์ซื้อ

วันอังคารที่ 14 ธันวาคม 2553

ATT Code : กลุ่มPTTราศีจับ!!โบรกฯเชียร์ซื้อ
กลุ่ม PTT งามหยด!! สารพัดปัจจัยบวกรุมเร้า ดันราคาบวกยกก๊วน ชี้ราคาน้ำมัน-ค่าการกลั่นพุ่ง หนุน PTT-PTTEP-TOP ขณะที่ธุรกิจปิโตรเคมีขาขึ้นส่งผลดีต่อ PTTCH-PTTAR แถมยังมีสตอรี่ควบรวมกิจการภายในกลุ่มดันอีกแรง หลังผู้บริหารคาดใช้เวลาดำเนินการ 6 เดือน ด้านโบรกเกอร์แนะนำซื้อยกก๊วน เหตุพื้นฐานแข็งแกร่ง แนวโน้มเติบโตชัดเจน เชื่อปัญหามอนทาร่าได้ข้อสรุปที่ดี
----------------------------------------------------------------------------------
MARKET WAVE Analysis
14 ธค. 53 ( -2.53 จุด) โกมล พงศ์วิญญู เลขทะเบียน 18338

ปรับตัวลง 1024 - 27 จุด
ภาพดัชนีในวันอังคารนี้ มีโอกาสปรับตัวกลับลงไปแถว 1024 – 27 ใกล้จุดต่ำสุดของสัปดาห์ที่แล้วอีกครั้ง

ภาพตลอดทั้งสัปดาห์ ตลาดน่าจะแกว่งตัวขึ้นลงในกรอบ 1024 – 44 หรือระหว่างจุดต่ำสุดของสัปดาห์ที่แล้ว ถึงจุดสูงสุดของสัปดาห์นี้

จากนั้น ช่วงปลายเดือนนี้ ดัชนี“อาจจะ” ปรับตัวกลับขึ้นไปแถว 1055 – 61ใกล้จุดสูงสุดเดิมของปีนี้อีกครั้ง ?? ... ก่อนที่จะปรับตัวลง 940 – 980 จุดช่วงต้นปีหน้า ใกล้เส้นค่าเฉลี่ย 25 สัปดาห์ ในรูปแบบของ wave c flat or c triangle ??

หุ้นเด่น
AMATA
ปรับตัวขึ้นอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ย 25 วันได้อีกครั้ง รอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 14.90 จุดสูงสุดวันจันทร์และเส้นค่าเฉลี่ยดังกล่าว เป้าหมายหนึ่งถึงสองวัน 15.20 – 15.50( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 14.50 )15.20 – 15.50

PTTAR
กำลังปรับตัวในกรอบสามเหลี่ยม ภาพระยะสัปดาห์ รอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 39.75กรอบบนของสามเหลี่ยม เป้าหมายระยะสัปดาห์ 42.25 – 45.25( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 37.50 )

10 อันดับซื้อขายสูงสุด
PTT แกว่งตัว 320 – 330
PTTCH ไม่เกิน 153 ลง 145 – 146
TOP เกิน 74.75 ขึ้น 76 - 79
IRPC ปรับตัวลง 5 – 5.10
SCB ปรับตัวลง 102 - 103
IVL แกว่งตัว 57 – 59
PTTAR รายละเอียดใน “หุ้นเด่น”
BANPU ไม่เกิน 812 ลง 760 – 770
PTTEP ต่ำกว่า 177.50 ลง 170 – 175
BBL ปรับตัวลง 143 – 144
----------------------------------------------------------------------------------
กลุ่มPTTราศีจับ!!โบรกฯเชียร์ซื้อ
กลุ่ม PTT งามหยด!! สารพัดปัจจัยบวกรุมเร้า ดันราคาบวกยกก๊วน ชี้ราคาน้ำมัน-ค่าการกลั่นพุ่ง หนุน PTT-PTTEP-TOP ขณะที่ธุรกิจปิโตรเคมีขาขึ้นส่งผลดีต่อ PTTCH-PTTAR แถมยังมีสตอรี่ควบรวมกิจการภายในกลุ่มดันอีกแรง หลังผู้บริหารคาดใช้เวลาดำเนินการ 6 เดือน ด้านโบรกเกอร์แนะนำซื้อยกก๊วน เหตุพื้นฐานแข็งแกร่ง แนวโน้มเติบโตชัดเจน เชื่อปัญหามอนทาร่าได้ข้อสรุปที่ดี

หุ้นกลุ่มปตท.ซึ่งประกอบด้วย บมจ.ปตท.(PTT) บมจ.ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม(PTTEP) บมจ.ไทยออยล์(TOP) บมจ.ปตท. เคมิคอล( PTTCH ) และบมจ.ปตท. อะโรเมติกส์และการกลั่น(PTTAR ) กลับมาน่าสนใจอีกครั้ง และมีปัจจัยบวกที่สนับสนุนให้ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่น ทั้งราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง ธุรกิจปิโตรเคมีเข้าสู่ช่วงขาขึ้น และข่าวการควบรวมกิจการภายในกลุ่มเพื่อสร้างความแข็งแกร่ง นอกจากนี้กรณีแหล่งขุดเจาะมอนทาร่ารั่วไหลคาดว่าจะมีข้อสรุปที่ดี ซึ่งจะส่งผลบวกต่อ PTTEP

***** ASP แนะเก็บหุ้นกลุ่ม ปตท.ยกก๊วน
บทวิเคราะห์ บล. เอเซียพลัส(ASP) ระบุว่า ผู้บริหารของ PTT ได้ให้ข้อมูลกับกลุ่มลูกค้าสถาบันและลูกค้าทั่วไปของ ASP เมื่อวันที่ 9 ธ.ค.53 ที่ผ่านมา ซึ่งฝ่ายวิจัยได้รวบรวมประเด็นข้อมูลที่สำคัญซึ่งได้รับความสนใจอย่างมากจากนักลงทุน โดยเฉพาะในเรื่องของการขายหุ้น PTTCH โดยกลุ่ม SCG โดย PTT เน้นย้ำว่าเป็นบวกต่อ PTTCH เนื่องจากช่วยลดความกังวลที่มีต่อหุ้น PTTCH ลงไปได้มาก เนื่องจากก่อนหน้านี้ PTT เคยมีแผนที่จะเข้าลงทุนถือหุ้นเพิ่มในสัดส่วนดังกล่าว แต่ยังติดขัดเรื่องสถานภาพการเป็นรัฐวิสาหกิจ ดังนั้นการขายหุ้น PTTCH ออกมาในขณะนี้ จึงถือเป็นโอกาสที่ดีที่กลุ่ม PTT จะสามารถเดินหน้าตามแผนกลยุทธ์ได้อย่างคล่องตัว

อีกทั้งทั้งกลุ่ม PTT และกลุ่ม SCC ต่างมีแนวทางการดำเนินธุรกิจที่จะเติบโตเป็นของตัวเอง และจากการขายหุ้นในครั้งนี้ทำให้แผนการควบรวมในกลุ่ม PTT น่าจะเกิดได้เร็วยิ่งขึ้น คาดจะใช้เวลา 6 เดือน ในการเดินหน้าแผนการควบรวมให้แล้วเสร็จ ซึ่งในเบื้องต้นคาดบริษัทในกลุ่มที่จะเกิดการควบรวมในครั้งนี้มีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็น PTTCH และ PTTAR หลังจาก IRPC ยังติดปัญหาคดีความทางกฎหมาย โดย PTT ยังคงมีมุมองที่เป็นบวกต่อ IRPC ในด้านปัจจัยพื้นฐานที่จะเติบโตด้วยตัวเองตามแผน “Phoenix” ดังที่ฝ่ายวิจัยได้นำเสนอไว้ก่อนหน้านี้ ขณะเดียวกันยังพร้อมที่จะเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นหากมีโอกาสที่เหมาะสม

อย่างไรก็ตามหากเกิดการควบรวมกิจการ ภายใต้สมมติฐานรูปแบบการควบรวม A+B = C หรือ Amalgamation นั้น มูลค่าที่ควรจะเป็นของ PTTCH และ PTTAR จะเท่ากับ 198 บาทต่อหุ้น และ 44 บาทต่อหุ้น ซึ่งใกล้เคียงกับ Fair Value ที่ฝ่ายวิจัยประเมินไว้ นอกจากนี้หากพิจารณาด้านปัจจัยพื้นฐานพบว่าทั้ง PTTCH และ PTTAR ยังมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดย PTTCH จะมาจากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นจากการเดินหน้าเต็มที่ของโรงงาน PTTPE ส่วน PTTAR ได้รับอานิสงส์จากทั้งธุรกิจอะโรเมติกส์ที่สดใสตาม Spread (PX-Naptha) ในปัจจุบันที่ยืนเหนือ 550 เหรียญฯต่อตันได้ และธุรกิจโรงกลั่นที่เข้าสู่ช่วงฤดูกาลทำให้ GRM ปัจจุบันดีดตัวขึ้นไปอยู่ในระดับ 7 เหรียญฯต่อบาร์เรล และมีโอกาสสูงที่จะบันทึกกำไรจากสต็อกน้ำมันในระดับสูง

PTT ค่อนข้างมั่นใจว่ากรณีโครงการมอนทาราน่าจะได้ข้อสรุปจากรัฐบาลออสเตรเลียในทางที่ดี ไม่น่าจะถึงขั้นจะถูกยกเลิกใบอนุญาตประกอบการ เนื่องจากปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นไม่ได้รุนแรงถึงขั้นทำลายสิ่งแวดล้อมเสียหายอย่างมีนัยฯ อีกทั้ง PTTEP ได้ดำเนินการตาม Action Plan ต่างๆที่ทางรัฐบาลออสเตรเลียรับทราบอย่างถูกต้องและครบถ้วน และคาดโครงการมอนทาราน่าจะสามารถเดินหน้าผลิตเชิงพาณิชย์ได้ตามแผนในช่วง 3Q54 กำลังการผิตน้ำมัน 35,000 บาร์เรลต่อวัน ซึ่งจะช่วยผลักดันให้กำไร PTTEP เติบโต

นอกจากนี้ในส่วนของการเข้าลงทุนในแหล่งผลิตน้ำมัน Oil Sands ซึ่งถือเป็น Unconventional นั้น มองว่าจะส่งผลดีในระยะยาว เพราะถือว่า PTTEP เข้าไปตั้งแต่ในช่วงเริ่มต้นของการผลิตน้ำมันในรูปแบบ Unconventional นี้ เนื่องจากในอนาคตคาดน้ำมันในรูปแบบ Conventional ที่ผลิตอยู่ในปัจจุบันจะเริ่มหมดไป และผู้ประกอบการต่างจะหันมาหาสำรองน้ำมันชนิด Unconventional กันมากขึ้น รวมถึง Oil Sands ในประเทศแคนาดาถือว่าใหญ่เป็นอันดับสองรองจากซาอุดิอาระเบีย และมีตลาดซื้อขายรองรับอยู่ในสหรัฐอเมริกา ดังนั้นจึงถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับการเข้าลงทุนในครั้งนี้

จากภาพรวมกลุ่ม PTT ที่เริ่มผ่อนคลายลงไปในหลายประเด็น ส่งผลให้แนวโน้มผลการดำเนินของกลุ่มฯที่จะเกิดขึ้นน่าจะเป็นไปตามปัจจัยพื้นฐานที่เข้ามากระทบ ซึ่งฝ่ายวิจัยคาดแนวโน้มกำไรในปี 2554 น่าจะเติบโตจากปี 2553 ในทุกกลุ่มอุตสาหกรรมทั้งปิโตรเลียม และปิโตรเคมี ตามทิศทางราคาน้ำมัน และราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีที่เริ่มเข้าสู่ช่วงขาขึ้นของวงจรอุตสาหกรรม อีกทั้งในกลุ่ม PTT เอง ก็ได้มีการขยายกำลังการผลิตใหม่ จึงช่วยผลักดันให้ผลการดำเนินงานในปี 2554 โดดเด่น จึงแนะนำซื้อทั้งกลุ่ม ได้แก่ PTT - PTTCH - PTTAR- PTTEP- IRPC

***** ธนชาตเชียร์ซื้อ PTTEP-PTTCH บทวิเคราะห์บล.ธนชาต ระบุว่า แนะนำซื้อ PTTEP ราคาเป้าหมายทางพื้นฐาน 213 บาท ขณะที่ Consensus ให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ยไว้ที่ 220 บาท โดยผู้บริหาร PTTEP ยังคงเชื่อมั่นว่าจะไม่ถูกเพิกถอนใบอนุญาตที่แหล่งมอนทารา เนื่องจากแผนการปรับปรุงแก้ไข (Action Plan) ของบริษัทฯ ที่ส่งไปให้คณะกรรมการนั้นได้รับการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญในเรื่องมาตรการทางด้านเทคนิค และการดำเนินงานเพื่อความปลอดภัยในการปฏิบัติที่ดีที่สุดแล้ว ซึ่งประเด็นความกังวลในมอนทาราได้กดดันราคาหุ้นในช่วงที่ผ่านมา ให้ลงไปแตะ Low ณ ระดับ 164.50 บาท คาดว่าหากประเด็นดังกล่าวมีความชัดเจนในเชิงบวกจะทำให้ราคาหุ้นปรับขึ้นได้แรงในที่สุด ขณะที่ทางเทคนิคที่ยังคงเป้าหมายแนวต้านไว้ที่ 182 บาท และมีเป้าหมายแนวต้านหลักที่ 188 บาท

นอกจากนี้แนะนำซื้อ PTTCH เนื่องจากในปี 2010 petrochemical cycle ได้เข้าสู่จุดต่ำสุด และคาดว่า spreads น่าจะแตะระดับต่ำสุดไปแล้ว ซึ่ง PTTCH เป็นบริษัทดำเนินธุรกิจ ปิโตรเคมีเพียงอย่างเดียว ฉะนั้นจะได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มสูงขึ้น ขณะเดียวกันยังมีประเด็นที่มีความเป็นไปได้ที่จะมีการควบรวมกับ PTTAR ซึ่งปัจจุบันอยู่ในระหว่างการศึกษา คาดว่าดีลนี้น่าจะประกาศในปีหน้า ในทางเทคนิคทะลุผ่าน 160 บาทได้ จะขึ้นมาแกว่งในกรอบขาขึ้นตามแนวโน้มเดิมช่วง 160-180 บาท มีแนวต้านย่อยระหว่างทางที่ 165 บาท และมีเป้าหมายหลัก 180 บาท***** เกียรตินาคินสั่งลุย TOP-PTTAR

บทวิเคราะห์บล.เกียรตินาคิน ระบุว่า ความต้องการใช้น้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้น รวมทั้งแผนหยุดโรงกลั่นใน 1H54 หนุนค่าการกลั่น คาด TOP และ PTTAR ได้ประโยชน์มากที่สุด โดยค่าการกลั่นของน้ำมันดีเซลปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 13.9 เหรียญต่อบาร์เรล ใน 4Q53 (Qtd) เพิ่มขึ้น 12%qoq และเพิ่มขึ้น 90%yoy เป็นผลมาจากความต้องการใช้ที่เพิ่มขึ้นในภูมิภาค โดยเฉพาะจีนที่ยอดนำเข้าน้ำมันดีเซลสุทธิเป็นครั้งแรกนับจาก ก.ย. 2551 โดยล่าสุด ต.ค. 53 จีนมีการนำเข้าน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 350,000 บาร์เรลต่อวัน เพิ่มขึ้นจากระดับ 42,700 บาร์เรลต่อวัน ใน ต.ค. 52 ทำให้ภาพรวมค่าการกลั่นในตลาดสิงคโปร์ปัจจุบันเคลื่อนไหวอยู่ที่ 5.8 – 7.3 เหรียญต่อบาร์เรล ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้ค่าการกลั่นเฉลี่ย (Qtd) ใน 4Q53 อยู่ที่ 4.91 เหรียญต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 16%qoq และเพิ่มขึ้น 151%yoy

ขณะที่ก่อนหน้านี้จีนมีมาตรการประหยัดการใช้ไฟฟ้า ซึ่งใน 9M53 ยังไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่จีนตั้ง ไว้ ทำให้ในเดือน ต.ค. 53 จีนเริ่มมีมาตรการที่เข็มงวดมากขึ้น ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมหันมาผลิตไฟฟ้าจากเครื่องดีเซลแทน ทำให้ความต้องการน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้นในเดือน ต.ค. 53 ที่ผ่านมา และทำให้น้ำมันสำเร็จคงคลังในเดือน ต.ค. 53 ของประเทศจีนลดลง 5% จากเดือน ก.ย. 53 ขณะที่จีนเริ่มมีแผนสำรองความต้องการใช้น้ำมันดีเซลที่เพิ่มขึ้นจากผลของมาตรการดังกล่าว รวมทั้งความต้องการใช้น้ำมันดีเซลที่จะเพิ่มขึ้นจากผลของฤดูหนาว ทำให้คาดว่าจะมีการเพิ่มกำลังการผลิตของโรงกลั่นในประเทศจีน และภูมิภาค จากแนวโน้มของความต้องการใช้ที่เพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ คาดว่าประเด็นดังกล่าวจะเป็นปัจจัยบวกต่อค่าการกลั่นไปได้ถึง 1H54 โดยเฉพาะข้อมูลแผนการหยุดโรงกลั่นในยุโรปและสหรัฐอเมริกา ช่วงต้นปี 2554 ที่คาดว่ากำลังการผลิตจะหายไปกว่า 1 – 1.5 ล้านบาร์เรล จะค่าการกลั่นในกลุ่มน้ำมันดีเซลปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วง 4Q53 – 2Q54 ภาพรวมโรงกลั่นได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของค่าการกลั่น แต่ TOP และ PTTAR จะได้ประโยชน์มากที่สุด นอกจากนี้การฟื้นตัวของ Spread Aromatics เป็นอีกปัจจัยบวกที่หนุนประกอบการ 4Q53 – 2Q54 เป็นอย่างน้อย ทำให้เรายังคงแนะนำ ซื้อ TOP (ราคาที่เหมาะสม 72 บาท) และ PTTAR (ราคาที่เหมาะสม 40 บาท)

***** PTT เล็งซื้อหุ้น IRPC เพิ่ม แต่ยันถือไม่เกิน 50% นายณอคุณ สิทธิพงศ์ ปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวในฐานะประธานกรรมการบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน)หรือ PTT เปิดเผยว่า บริษัทฯ มีความสนใจที่จะซื้อหุ้นบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน)(IRPC) เพิ่ม โดยก่อนหน้านี้ได้มีการพูดคุยเพื่อขอซื้อหุ้นในส่วนที่ธนาคารออมสินและกบข. ถืออยู่ แต่ทั้งสองรายยังไม่มีแผนที่จะขายหุ้นออกมา เนื่องจาก IRPC มีแผนการลงทุนระยะยาวที่ชัดเจน และสามารถให้ผลตอบแทนได้ในระดับที่ดี

อย่างไรก็ดี บริษัทฯ จะเข้าถือหุ้นใน IRPC ไม่เกินสัดส่วน 50% เนื่องจากอาจมีปัญหาในการบริหาร เพราะเข้าข่ายเป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ขณะที่ปัจจุบันสัดส่วนที่ PTT ถือหุ้นใน IRPC ถือเป็นสัดส่วนที่เพียงพอสำหรับอำนาจในการบริหารจัดการ โดยมาจากที่ กบข. ไม่ได้เข้ามาร่วมบริหารใน IRPC
'ที่ผ่านมา PTT ได้พูดคุยเพื่อขอซื้อหุ้น IRPC เพิ่มจากทั้งออมสินและ กบข.แล้ว แต่เขายังไม่อยากขาย เพราะ IRPC มีแผนการลงทุนในระยะยาวที่ชัด และยังให้ผลตอบแทนที่ดี แต่ PTT คงถือไม่เกิน 50% เพราะจะเข้าข่ายเป็นหน่วยงานของรัฐวิสาหกิจที่จะยุ่งยากในการบริหารงาน สำหรับปัจจุบันที่ถืออยู่ก็ถือว่าเพียงพอแล้วในการบริหารงาน เพราะ กบข. ไม่ได้เข้ามาบริหาร แต่ถ้ามีคนขายก็พร้อมจะซื้อ' นายณอคุณ กล่าว

----------------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย
FSS : ตลาดยังแกว่งตัวผันผวนต่อเนื่อง ดังนั้นแนะให้รอทยอยซื้อเมื่อเป็นลบ!!
แนวโน้ม: SET ยังมีแรงขายจากจุดสูงสุดของสัปดาห์ที่แล้วบริเวณ 1044 จุด กดดันให้ย้อนลงปิดต่ำ แสดงถึงแนวโน้มที่ตลาดอาจจะยังแกว่งตัวผันผวนอยู่ใน
กรอบ 1020-1044 จุดต่อเนื่องตามคาดได้ อย่างไรก็ตามเราเริ่มเห็นแรงซื้อของนักลงทุนต่างประเทศกลับเข้ามาอีกครั้งก่อนหยุดยาวในช่วงเทศกาลคริสมาสต์-ปีใหม่ ขณะที่คาดว่าเม็ดเงินจากกองทุน LTF และ RMF ยังมีโอกาสที่จะเข้ามาเป็นแรงซื้อเสริม ดังนั้นตลาดปรับพักตัวลง FSS จึงยังแนะนำเป็นจังหวะเลือกหุ้นเข้าซื้อได้ แต่ยังเป็นลักษณะทยอยรับเมื่อตลาดอ่อนตัวลง และต้องติดตามแนวโน้มการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของจีนไว้ด้วย เพราะอาจส่งผลให้ SET ไหลลงต่ำได้กลยุทธ์: ตลาดขยับขึ้นยังเน้นเล่นสั้นตามรอบ โดยแนะนำให้รอซื้อเมื่อ SETปรับตัวลงดีกว่า โดยหุ้นที่น่าสนใจได้แก่ BANPU, BIGC, KTB, PTL, SEAFCO,ADVANC, AP, CSL, DELTA, DRT, LPN, PTT, PTTEP, KTB, KBANK, SCB,
TASCO, AMATA, PS, SPALI, CK, STEC เป็นต้น
ประเด็นสำคัญวันนี้
• (0) Fed ประชุมวันที่ 14 – 15 นี้ เชื่อว่าจะไม่มีการส่งสัญญาณปรับเปลี่ยนวงเงิน US$6 แสนล้านของ QE2 แต่อาจพูดถึงผลบวกของมาตรการลดหย่อนภาษีที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในปีหน้า ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์ประเมินว่าอาจช่วย GDP ปีหน้าได้ถึง 0.5-1.0%
• (+) ครม. ถกยกเลิกพรก.ฉุกเฉิน วันนี้ ในเขตกทม. สมุทรปราการ ปทุมธานีนนทบุรี หลังจาก ศอฉ.ประเมินสถานการณ์ดีขึ้น เตรียมใช้ พรบ.ความมั่นคงรับมือ
• (+) TOT เปิดขายซองประมูลวันนี้ถึง 27 ธ.ค. สำหรับงานติดตั้งโครงข่าย 3G ทั่วประเทศมูลค่า 19,980 ล้านบาท กำหนดยื่นซอง 10 ม.ค. 2011 และเคาะราคาe-auction 28 ม.ค. ได้ผู้ชนะเร็วสุด 15 ก.พ. หุ้นที่เกี่ยวข้องได้แก่ SAMART,SAMTEL, JAS, JTS, LOXLEY เน้นว่าเก็งกำไรเท่านั้นเพราะราคาหุ้นค่อนข้างแพงแล้วทุกตัว และเผื่อใจสำหรับการเลื่อนด้วย เพราะ TOT เคยเลื่อนมา 2-3 ครั้งแล้ว
• (+) KBANK เราปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 150 บาท จากการปรับอัตราการขยายตัวของรายได้ค่าธรรมเนียมจากเดิมโต 20% เป็นโต 25% ทำให้กำไรปีหน้าเพิ่มขึ้นจากเดิม 2% เท่ากับขยายตัวจากปีก่อน 25%
• (+) MAJOR ขายศูนย์การค้า ซูซูกิ อเวนิว รัชโยธิน เข้า MJLF คาดว่าจะมีกำไรสุทธิประมาณ 100 ล้านบาท (ถือ 50% คนละครึ่งกับ SF) หนุนกำไรใน4Q10 เรายังแนะนำซื้อ MAJOR ราคาเป้าหมาย 17.20 บาท
• (+) ITD ขาย TTCL 33.6 ล้านหุ้น (7% ของทุนชำระแล้วของ TTCL) ในราคา10 บาท (ผ่าน Big lot วานนี้) ได้กำไรประมาณ 300 ล้านบาทหรือ 0.07 บาท/หุ้น(ก่อนภาษี) บันทึกใน 4Q10 และยังเหลือหุ้นอีก 18 ล้านหุ้น (3.8% ของทุนชำระแล้ว) รอขายเช่นกัน ตามข่าวระบุว่าเป็นการขายให้กับกลุ่มชิโยดะผู้รับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ของญี่ปุ่น ซึ่งดีต่อ TTCL ที่จะรับงานเพิ่มได้อีกกว่าเท่าตัวและได้เรียนรู้ความชำนาญจากผู้ถือหุ้นกลุ่มใหม่
• (0) ZMICO แจ้งตั้งแต่พรุ่งนี้ 15 ธ.ค. ผู้ซื้อหุ้นจะไม่ได้รับสิทธิเงินคืนทุน 0.50บ. จากการลดพาร์เป็น 0.5 บาทจากเดิม 1 บ.
• (0) หุ้นที่คาดว่าจะเข้าคำนวณ SET50 (1 ม.ค. – 30 มิ.ย. 2011) – เข้าBTS, PTL, ROBINS, SSI, STA, DCC ออก – BCP, KSL, HANA, PSL, QH, TTA// ส่วนหุ้นที่คาดว่าเข้าคำนวณ SET100 – เข้า AJ, GLOBAL, KKC, PTL, SMT,TTCL ออก – BMCL, CENTEL, GJS, MILL, SAT, SC
• Fund Flow วานนี้ยังไหลเข้าต่อเนื่อง แต่ปริมาณลดลง เนื่องจากแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของจีนยังไม่ชัดเจน แต่อย่างไรก็ตามค่าเงินดอลลาร์เริ่ม
กลับมาอ่อนตัวเล็กน้อยหลังแข็งค่าช่วงก่อนหน้านี้จากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่ออกมาดี เช้านี้ค่าเงินบาทยังทรงตัวอยู่ที่ระดับ 30 บาท/ดอลลาร์ เชื่อว่าแนวโน้ม
กระแสเงินทุนต่างชาติยังไหลเข้าแต่ไม่มาก

ข่าวภายในประเทศ
MAJOR (ซื้อ, ปิด 13.20, เป้าหมาย 17.20) นำสินทรัพย์ศูนย์การค้า ซูซูกิ อเวนิว รัชโยธิน ขายเข้ากองทุน MJLF ภายในสิ้น 4Q10 นี้
KBANKในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดจำหน่ายฯ การเพิ่มทุนของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ ไลฟ์สไตล์ (MJLF) เผยการ
เพิ่มทุนของ กองทุนรวมฯ MJLF สำหรับการลงทุนเพิ่มเติมในศูนย์การค้า ซูซูกิ อเวนิว รัชโยธิน โดยเสนอขายหน่วยลงทุนเพิ่ม จำนวน 100 ล้านหน่วย
โดยมีราคาขายหน่วยละ 10 บาท เป็นจำนวนเงินทั้งหมด 1,000 ล้านบาท ขายให้ผู้ถือหน่วยลงทุนเดิมวันที่ 16-20 ธ.ค.10 นี้ กรณีที่หน่วยลงทุนเหลือ
จะจัดสรรหน่วยลงทุนให้สำหรับบุคคลในวงจำกัดและผู้ลงทุนทั่วไป ตั้งแต่วันที่ 21 – 27 ธ.ค.10 ความเห็น: ผู้บริหาร MAJOR คาดว่าการนำโครงการ
ดังกล่าวขายเข้ากองทุน MJLF ภายใน 4Q10 ดังกล่าว จะทำให้ MAJOR รับรู้กำไร (หลังภาษี) ประมาณ 100 ล้านบาท ตามสัดส่วนการถือหุ้นใน
โครงการดังกล่าวร่วมกับ SF รายละ 50% ซึ่งในประมาณการของเราและตลาดฯ ส่วนใหญ่ ได้รวมกำไรพิเศษดังกล่าวไว้แล้วที่ระดับ 80-100 ล้านบาท
ทั้งนี้ กำไรพิเศษดังกล่าวจะช่วยหนุนผลประกอบการ 4Q10 จากคาดกำไรปกติในไตรมาสดังกล่าวที่จะลดลง Q-Q และ Y-Y ในทิศทางเดียวกับการ
ลดลงของรายได้จากการขายตั๋วและการขายอาหาร และกำไรพิเศษดังกล่าว จะช่วยให้ บริษัทมีกำไรสุทธิทั้งปีระดับ 693 ล้านบาท (+107% Y-Y)
ขณะที่คาดกำไรปกติที่ 613 ล้านบาท (+161% Y-Y)
TOT กำหนดขายซองประมูลติดตั้งโครงข่าย 3G 14-27 ธ.ค. e-Auction 28 ม.ค.11 รองกก.ผจก.ใหญ่ สายงานธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ TOTเผยว่า สำนักงานอัยการสูงสุดได้พิจารณาและส่งร่างหลักเกณฑ์ เงื่อนไขการประมูล (TOR) ให้ TOT แล้ว และ TOT ประกาศขายซองตั้งแต่วันที่ 14-27 ธ.ค. 10 (จากคาดเดิมเริ่ม 13 ธ.ค.) การทำ e-Auction วันที่ 28 ม.ค.11 และคาดทำสัญญาได้ประมาณกลางเดือนก.พ. 11 ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวมีมูลค่า 19,980 ล้านบาท โดยขอบเขตงานจะแบ่งการเปิดบริการเป็น 3 ระยะ โดยเฟส 1 และ 2 คือ ในกรุงเทพ ปริมณฑล 4 จังหวัด และ 13 จังหวัดเศรษฐกิจ จะเปิดให้บริการภายใน 180 วัน และเฟสสุดท้ายจะขยายไปยังจังหวัดอื่นๆ 59 จังหวัดภายใน 360 วัน (Source - อินโฟเควสท์ 13 ธ.ค.10)
ความเห็น: คงมุมมองในเชิงเก็งกำไร หุ้นที่เกี่ยวข้องกับงานประมูลวางโครงข่าย เช่น กลุ่ม SAMART (ผ่านบ.ย่อย SAMTEL) ที่จะร่วมประมูลกับกลุ่ม
LOXLEY, JTS, JAS, AIT ปัจจัยเสี่ยง การดำเนินการประมูลช้ากว่าคาด โดยก่อนหน้านี้ มีการเลื่อนกำหนดขายซองประมูล (TOR) มาแล้ว 2-3 ครั้งประเด็นเรื่อง MVNO จากมาตรา 46 ของพ.ร.บ.คลื่นความถี่ฯ ใหม่ กำหนดให้ผู้รับใบอนุญาตใช้คลื่นความถี่ต้องประกอบกิจการด้วยตนเอง จะมอบหมายให้ผู้อื่นประกอบกิจการแทนไม่ได้ และการแข่งขันสูงกว่าคาด ทั้งนี้ กรณี SAMTEL ราคาเป้าหมายปี 11 เดิมที่ 11.60 บาท (อิง P/E 15 เท่า) และUpside จากโอกาสได้งานติดตั้งโครงข่าย 3G ของ TOT ดังกล่าว คาดเบื้องต้นประมาณหุ้นละ 3 บาท
STEC ฮุบสายสีลม 6 พันล้าน ราคาเป้าหมายเกิน 17 บาท STEC ชนะประมูลโครงการส่วนต่อขยายบีมีเอสสายสีลม ช่วงตากสิน-เพชรเกษมมูลค่า
5,915 ล้านบาท โดยเสนอราคาต่ำสุดที่ 5,799 ล้านบาท คาดเปิดใช้บริการประมาณเดือนธ.ค.55 ขณะที่ได้ยื่นซองประมูลงานรถไฟฟ้าสายสีแดงเพิ่ม
อีก ส่วน Backlog สูงสุดนับจากก่อตั้งบริษัทกว่า 4 หมื่นล้านบาท (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 14-12-2010)
TTA พื้นฐานดีผ่านจุดต่ำสุดแล้ว กำไรปีนี้ขั้นต่ำพันล้านบาท ค่าระวางตื่นธุรกิจฟื้น ถึงเวลามรสุมคลื่นลมสงบ TTA ได้เวลาออกจากท่าเรือวงการชี้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว พื้นฐานดี ราคาถูก เหมาะซื้อเก็บ รับกำไรปีนี้โตขั้นต่ำ 1,000 ล้านบาท ธุรกิจเรือเทกอง ถ่านหิน ปุ๋ย ฟื้นชีพอีกครั้ง อัพไซด์เหลือเพียบ แถมต่ำกว่าบุ๊ค 36 บาทบานทะลัก (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 14-12-2010)
TRT แจ้งใช้สิทธิ TRT-W1 ย้ำปีนี้รายได้ 1.8 พันล้าน จ่ายปันผลไม่ต่ำกว่า 50% "ถิรไทย" ประกาศกำหนดใช้สิทธิ TRT-W1 ครั้งที่ 3 วันที่ 30ธ.ค. 53 แสดงความจำนงได้ตั้งแต่วันที่ 23-29 ธ.ค. 53 นี้ ผู้บริหารย้ำปีนี้รายได้ตามเป้า 1,800 ล้านบาท ส่วนปีหน้าตั้งเป้าทะลุ 2.2 พันล้านบาทแน่เตรียมเดินหน้าประมูลงานรัฐต่อเนื่อง และขยายตลาดส่งออกมากขึ้น พร้อมย้ำปีนี้จ่ายปันผลไม่ต่ำกว่า 50% ของกำไรสุทธิ (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 14-12-2010)
----------------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ตปท.

ข่าวต่างประเทศ
สหรัฐอเมริกา: มูดีส์ขู่ลดอันดับเครดิตสหรัฐ หากโครงการลดหย่อนภาษีมีผลบังคับใช้เป็นกฎหมาย สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ มูดีส์ อินเวสเตอร์ส เซอร์วิส เตือนว่า มูดีส์อาจลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐที่ระดับ Aaa หากข้อตกลงการขยายโครงการลดหย่อนภาษีที่ประธานาธิบดีบารัค โอบามา และแกนนำพรรครีพับลิกันทำร่วมกันนั้น มีผลบังคับใช้เป็นกฎหมาย (ที่มา: อินโฟเควสท์ 14-12-2010)
จีน: จีนขึ้นเพดานสำรองแบงก์พาณิชย์บ่งชี้รัฐบาลหวั่นศก.ถูกกระทบจากการขึ้นดอกเบี้ย ธนาคารกลางจีนประกาศเพิ่มเพดานกันสำรองสภาพคล่องของธนาคารพาณิชย์อีก 0.5% เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 20 ธ.ค. ซึ่งนับเป็นการเพิ่มเพดานสำรองครั้งที่ 3 ในเดือนนี้เพื่อเป้าหมายที่จะควบคุมผลกระทบที่เกิดจากการปล่อยเงินกู้ที่เพิ่มขึ้นจำนวนมาก จนส่งผลให้ตัวเลขเงินเฟ้อพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยการประกาศครั้งล่าสุดจะทำให้สัดส่วนการกันสำรองสภาพคล่องของธนาคารพาณิชย์เพิ่มขึ้นเป็น 18.5% (ที่มา: อินโฟเควสท์ 13-12-2010)
จีน: ผลผลิตสินแร่เหล็กของจีนเดือนพ.ย.พุ่ง 11% ขณะผลผลิตโลหะลดลงจากนโยบายประหยัดพลังงาน สำนักงานสถิติแห่งชาติผลผลิตเหล็กดิบภายในประเทศของจีนในเดือนพ.ย.เพิ่มขึ้น 11% จากปีก่อนหน้านี้ แตะที่ 95.6 ล้านตัน ผลผลิตเหล็กดิบโดยรวมในเดือนม.ค.- พ.ย. พุ่งสูงขึ้น22.9% เมื่อเทียบเป็นรายปี แตะระดับ 972.5 ล้านตัน ขณะเดียวกัน ยอดการผลิตทองแดงในเดือนพ.ย. เพิ่มขึ้น 4.5% เมื่อเทียบเป็นรายปี แตะที่443,000 ตัน ส่วนยอดการผลิตทองแดงในเดือนม.ค.-พ.ย.ทะยานขึ้น 12.6% จากปีก่อนหน้านี้ แตะที่ 4.374 ล้านตัน (ที่มา: อินโฟเควสท์ 13-12-2010)
จีน: คณะกก.พัฒนาและปฏิรูปจีนคาดดัชนี CPI เดือนธ.ค.ชะลอตัวต่ำกว่าระดับ 5% คณะกรรมการเพื่อการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติของจีน(NDRC) คาดการณ์ว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นดัชนีวัดเงินเฟ้อที่สำคัญ จะชะลอตัวลงต่ำกว่าระดับ 5% ในเดือนธ.ค. เนื่องจากรัฐบาลจีนประกาศใช้มาตรการควบคุมราคาสินค้า NDRC กล่าวว่า มาตรการควบคุมราคาสินค้าของรัฐบาลจีนเริ่มเห็นผลแล้ว โดยราคาสินค้าประเภทต่างๆ รวมถึงพืชผัก ธัญพืช และน้ำมันปรุงอาหาร ปรับตัวลงถ้วนหน้า ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวจะช่วยให้ดัชนี CPI เดือนธ.ค.ลดลงราว 1% อย่างไรก็ตาม NDRCเตือนว่า ดัชนี CPI อาจพุ่งขึ้นอีกในช่วงไตรมาสแรกของปีหน้า การคาดการณ์ของ NDRC มีขึ้นหลังจากสำนักงานสถิติแห่งชาติของจีน (NBS) เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นดัชนีวัดเงินเฟ้อที่สำคัญ พุ่งขึ้น 5.1% ในเดือนพ.ย. ทำสถิติพุ่งขึ้นสูงสุดในรอบ 28 เดือน จากเดือนต.ค.ที่ระดับ4.4% ส่วนดัชนี CPI โดยรวมในช่วงเดือนม.ค.-พ.ย. เพิ่มขึ้น 3.2% ต่อปี ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายของรัฐบาลจีนที่กำหนดไว้สำหรับปี 2553 ที่ระดับ 3%(ที่มา: อินโฟเควสท์ 13-12-2010)
----------------------------------------------------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น