Code 225 : ต่างชาติยังชี้นำหุ้นไทยเดือน ม.ค.54

วันพุธที่ 29 ธันวาคม 2553

ATT Code : ต่างชาติยังชี้นำหุ้นไทยเดือน ม.ค.54
กิมเอ็งฯ ประเมินหุ้นไทยเดือน ม.ค.54 ยังอยู่ภายใต้อิทธิพลของนักลงทุนต่างชาติ ทั้งมีมุมมอง Neutral ถึง Negative ให้กรอบการเคลื่อนไหวของ SET Index ที่ 950-1,050 จุด พร้อมแนะนำ “Buy & Trade” โดย “ซื้อ” เมื่อดัชนีฯ ปรับตัวใกล้ระดับ 950 จุด และถือเงินสด 40% หุ้น 60% เพิ่ม PTTCH, TOP, BGH และ KSL แต่ Stop loss หุ้น HMPRO และ ถอด KBANK, AIT และ PTL ออกจากพอร์ตชั่วคราว* ส่งท้ายหุ้นไทย ธ.ค.53 คึกคัก แต่มีแรงขายช่วงปลายเดือน
----------------------------------------------------------------------------------
MARKET WAVE Analysis
29 ธค. 53 ( +8.87 จุด) โกมล พงศ์วิญญู เลขทะเบียน 18338

ปรับตัวขึ้น 1035 - 38 จุด
แนวโน้มในวันพุธหรือพฤหัสนี้ ตราบใดไม่ต่ำกว่า 1023 จุด ดัชนีมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อแถว 1035 – 38 ใกล้เส้นแนวโน้มที่ลากกดอยู่ด้านบน
ณ บริเวณ 1035 – 38 จุด คาดว่า ดัชนีมีโอกาสปรับตัวกลับลงมาแถว 1018 – 21 ใกล้เส้นค่าเฉลี่ย 25 วัน อีกครั้ง

ภาพโดยรวมแล้ว ยังถือเป็นการแกว่งตัวออกด้านข้าง ในกรอบสามเหลี่ยมระหว่าง1002 – 40 หรือระหว่างจุดต่ำสุดของสัปดาห์นี้ถึงจุดสูงสุดของสัปดาห์ที่แล้ว ... ก่อนที่จะปรับตัวทะลุ (ขึ้นหรือลง ??) กรอบสามเหลี่ยมในช่วงต้นปีหน้าต่อไป

หุ้นเด่น
TOP
ปรับตัวทะลุกรอบสามเหลี่ยม ภาพระยะวันขึ้นมาได้ รอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 77.50จุดสูงสุดวันอังคาร เป้าหมายหนึ่งถึงสองวัน79.00 – 79.50( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 76.25 )79 – 79.50

PTTCH
ปรับตัวทะลุกรอบสามเหลี่ยม ภาพระยะวันขึ้นมาได้ รอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 148.00จุดสูงสุดวันอังคาร เป้าหมายหนึ่งถึงสองวัน150.00 – 151.00( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 146.50 )

10 อันดับซื้อขายสูงสุด
IRPC เกิน 6.30 ขึ้น 6.40 – 6.50
TRUE เกิน 7 ขึ้น 7.10 – 7.20
TMB เกิน 2.38 ขึ้น 2.40 – 2.44
CPF เกิน 24.90 ขึ้น 25 – 25.25
TOP รายละเอียดใน “หุ้นเด่น”
SCB แกว่งตัว 101.50 – 105.50
PTTAR เกิน 38.50 ขึ้น 39.25 - 40
BANPU แกว่งตัว 766 – 782
IVL เกิน 56.75 ขึ้น 58.50 – 61.50
PTT แกว่งตัว 315 – 324

----------------------------------------------------------------------------------
E Finance : ต่างชาติยังชี้นำหุ้นไทยเดือน ม.ค.54
กิมเอ็งฯ ประเมินหุ้นไทยเดือน ม.ค.54 ยังอยู่ภายใต้อิทธิพลของนักลงทุนต่างชาติ ทั้งมีมุมมอง Neutral ถึง Negative ให้กรอบการเคลื่อนไหวของ SET Index ที่ 950-1,050 จุด พร้อมแนะนำ “Buy & Trade” โดย “ซื้อ” เมื่อดัชนีฯ ปรับตัวใกล้ระดับ 950 จุด และถือเงินสด 40% หุ้น 60% เพิ่ม PTTCH, TOP, BGH และ KSL แต่ Stop loss หุ้น HMPRO และ ถอด KBANK, AIT และ PTL ออกจากพอร์ตชั่วคราว* ส่งท้ายหุ้นไทย ธ.ค.53 คึกคัก แต่มีแรงขายช่วงปลายเดือน

ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ออกบทวิเคราะห์ ประเมินแนวโน้มและการลงทุนในตลาดหุ้นไทยเดือนมกราคม 2554 ดังนี้ ภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้นไทยเดือนธันวาคม 2553 ยังคงคึกคักต่อเนื่องจากเดือนก่อนหน้า โดยดัชนีตลาดฯ ปรับตัวขึ้นไปยืนเหนือระดับ 1,000 จุดได้อีกครั้ง จากแรงซื้อของนักลงทุนต่างประเทศ และสถาบันในประเทศ หลังจากผลการตัดสินไม่ยุบพรรคประชาธิปัตย์ ทำให้ความกังวลต่อความเสี่ยงทางการเมืองลดลง
นอกจากนี้อัตราแลกเปลี่ยนเงิน US$ ที่อ่อนค่าลง ทำให้เงินทุนเคลื่อนย้ายไหลเข้ามาลงทุนในตลาดทุนของภูมิภาคเอเชียและตลาด Commodity เพิ่มขึ้น ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวสูงขึ้นไปถึงระดับสูงสุดของเดือนที่ 1,040.72 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายหนาแน่น

อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งหลังของเดือน ดัชนีตลาดฯ เริ่มปรับลดลง จากแรงขายของนักลงทุนต่างประเทศ หลังจากเกิดความตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลี และความกังวลต่อนโยบายทางการเงินของธนาคารกลางจีนที่คาดว่าจะใช้นโยบายที่เข้มงวดขึ้น โดยการเงินสำรองของสถาบันการเงินและอาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย หลังจากอัตราเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นมาก ประกอบกับในช่วงท้ายของปี นักลงทุนเริ่มชะลอการลงทุนและบางส่วนเริ่มขายทำกำไร เพื่อปิดงบผลการดำเนินงานในช่วงปลายปี (Window Dressing)

โดยสรุปดัชนีตลาดหุ้นไทย ปิดทำการซื้อขาย (24/12/2553) ที่ระดับ 1,021.99 จุด เพิ่มขึ้นจากปลายเดือนที่ผ่านมา 1.68% ด้วยมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ย 34,920.63 ล้านบาทต่อวัน นักลงทุนต่างประเทศและสถาบันในประเทศเป็นผู้ซื้อสุทธิ 29,776.56 ล้านบาท และ 4,615.74 ล้านบาท ตามลำดับ ด้านบัญชีซื้อขายเพื่อบริษัทหลักทรัพย์ และนักลงทุนทั่วไปขายสุทธิ 2,019.43 ล้านบาท และ 32,372.87 ล้านบาท * ม.ค.54 นักลงทุนต่างชาติยังมีอิทธิพลในตลาดหุ้นไทย

สำหรับแนวโน้มการลงทุนในเดือนมกราคม 2554 ซึ่งเป็นเดือนแรกของปี KimEng คาดว่าบรรยากาศการลงทุนโดยรวมจะกลับมาคึกคักขึ้น หลังจากที่ชะลอตัวลงในช่วงปลายปีที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติจะยังคงเป็นกลุ่มนักลงทุนที่มีอิทธิพลต่อการลงทุนในตลาดหุ้นของภูมิภาค และตลาดหุ้นไทยมากที่สุด ทั้งนี้อัตราแลกเปลี่ยนเงิน US$ ที่ยังคงมีแนวโน้มอ่อนค่าลง จากการใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย ขณะที่อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจในเอเชีย

รวมทั้งไทยที่ขยายตัวในระดับสูง ยังสามารถดึงดูดเงินทุนเข้ามาได้อย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามปัญหาเงินเฟ้อทิ่คาดว่าจะสูงขึ้นจากภาวะเศรษฐกิจที่ขยายตัวสูงและปริมาณเงินทุนไหลเข้าจำนวนมาก จะทำให้หลายประเทศในภูมิภาค โดยเฉพาะจีน จะต้องดำเนินนโยบายทางการเงินและการคลังที่เข้มงวดขึ้น รวมทั้งปัญหาความขัดแย้งในคาบสมุทรเกาหลี จะทำให้ความเสี่ยงในการลงทุนในภูมิภาคนี้สูงขึ้น และอาจส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจกลับเข้ามาลงทุน ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่จะมีอิทธิพลต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากที่สุดเช่นกัน* มองกรอบการเคลื่อนไหวดัชนีฯ 950-1,050 จุด

ดังนั้น ทิศทางและบรรยากาศการลงทุนในช่วงเดือนมกราคม 2554 KimEng จึงยังคงมีมุมมอง Neutral ถึง Negative กรอบการเคลื่อนไหวของ SET Index อยู่ที่ 950-1,050 จุด ด้วยปริมาณการซื้อขายสูงขึ้นจากเดือนธันวาคม กลยุทธ์การลงทุนและคำแนะนำ “Buy & Trade” โดย “ซื้อ” เมื่อดัชนีปรับตัวใกล้ระดับ 950 จุด

สำหรับปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการลงทุน ได้แก่
1) แนวโน้มอัตราดอกเบี้ย (+/-) การตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยไทยจาก 1.75% เป็น 2.0% ผิดไปจากที่ KimEng คาดไว้ก่อนหน้าที่เชื่อว่า ธปท. จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้จนถึงกลางปี 2554 การเปลี่ยนแปลงท่าทีดังกล่าวของคณะกรรมการนโยบายทางการเงิน แสดงให้เห็นว่า ธปท. ให้ความสำคัญกับปัญหาเงินเฟ้อ ที่อาจสร้างแรงกดดันต่อระบบเศรษฐกิจในอนาคต และต้องการให้อัตราดอกเบี้ยในตลาดการเงินกลับเข้าสู่ระดับปกติโดยเร็ว

นอกจากนี้ ยังเป็นผลสะท้อนจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้นตามลำดับ ขณะที่นโยบายทางการเงินของสหรัฐฯ มีความชัดเจนมากขึ้น แม้ว่าตลาดการเงินระหว่างประเทศจะยังคงผันผวนจากปัญหาหนี้สาธารณะในยุโรป แต่ก็มีมาตรการรองรับเป็นรูปธรรม นอกจากนี้การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว ยังเป็นตัวสะท้อนว่า ธปท. จะพยายามควบคุมไม่ให้ปริมาณเงินทุนที่ไหลเข้ามาเป็นจำนวนมาก สร้างปัญหาฟองสบู่ให้เกิดขึ้นในเศรษฐกิจไทย

KimEng คาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินในครั้งถัดไป โดยอัตราดอกเบี้ยในปี 2553 จะปรับสูงขึ้นถึง 0.75% ถึง 1.0% โดยมีระดับสูงสุดที่ 2.75% ถึง 3.0% ซึ่งจะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยของสถาบันการเงินปรับสูงขึ้นในทิศทางเดียวกัน

2) การเมือง (+) ภายหลังคำวินิจฉัยคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ได้ข้อสรุปว่า กกต. มีอำนาจในการยื่นคำร้องแต่การยื่นคำร้องที่ล่าช้ากว่ากำหนด ศาลฯมีมติ 4 : 2 ให้คำร้องยุบพรรคตกไป ทำให้ความเสี่ยงจากประเด็นทางการเมืองลดลง นอกจากนี้ความเห็นของนายกอภิสิทธิ์ ต่อกรณีการยุบสภาพเพื่อเลือกตั้งทั่วไปที่ชัดเจนว่าการเลือกตั้งฯ อาจเกิดขึ้นภายในช่วงครึ่งแรกของปี 2554 แสดงให้เห็นว่าความเป็นไปได้และโอกาสที่พรรคร่วมรัฐบาลจะกลับมาเป็นรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง
ทำให้มุมมองทางการเมืองยังมีแนวโน้มที่สดใส เนื่องจากการดำเนินการของภาครัฐจะมีความต่อเนื่องโดยเฉพาะการแก้ไขและฟื้นฟูเศรษฐกิจ การลงทุนของรัฐบาล และนโยบายที่สำคัญอื่นๆ อาทิ ด้านโทรคมนาคม ด้านการเกษตร และการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ เป็นต้น สำหรับการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่พรรคเพื่อไทยจะยื่นขอเปิดอภิปรายในวันที่ 21 มกราคม 2554 คาดว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อรัฐบาล เนื่องจาก การอภิปรายส่วนใหญ่จะเน้นไปในเรื่อง เหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อกลางปีที่ผ่านมา

3) January Effect (+) ผลกระทบเดือนมกราคม (January Effect) ซึ่งเป็นการศึกษาข้อมูลในอดีตของพฤติกรรมการลงทุนของนักลงทุนประเภทสถาบัน (ต่างประเทศ) พบว่า ส่วนใหญ่จะกลับมาลงทุนเพิ่มในเดือนมกราคม หลังจากปรับพอร์ตโดยการขายเพื่อทำกำไรออกไปในช่วงปลายปี ทั้งนี้จากข้อมูลทางสถิติสำหรับตลาดหุ้นไทยพบว่าในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา นักลงทุนต่างประเทศจะขายหุ้นออกไปในเดือนธันวาคมและซื้อกลับเข้ามาในช่วงเดือนมกราคมของปีถัดไป มีสัดส่วนสูงถึง 60% และนักลงทุนประเภทสถาบันในประเทศ มีพฤติกรรมการลงทุนที่ตรงข้าม โดยจะซื้อสุทธิในช่วงเดือนธันวาคม และขายออกในเดือนมกราคม มีสัดส่วนถึง 70% ซึ่งอาจสามารถอธิบายได้ว่า การลงทุนในกองทุนประเภท LTF และ RMF ของผู้ลงทุนไทยจะเข้ามาในช่วงเดือนธันวาคม และขายกองทุนที่ครบกำหนดออกในเดือนมกราคม สำหรับในปี 2554 KimEng คาดว่ามีความเป็นไปได้สูงที่ผลกระทบเดือนมกราคมจะเกิดขึ้นในตลาดหุ้นไทย

4) เศรษฐกิจ (+) KimEng คาดว่าเศรษฐกิจไทยปี 2554 ขยายตัวที่ระดับ 4-4.5% ใกล้เคียงกับประมาณการ โดยเฉลี่ย consensus ที่ระดับ 4.3% ทั้งนี้แม้ว่าเงินบาทที่แข็งค่า ขณะที่เศรษฐกิจของสหรัฐและยุโรปที่ยังคงชะลอตัว จะทำให้ภาคการส่งออกขยายตัวในอัตราที่ลดลงจากปีที่ผ่านมา แต่ดุลการชำระเงินอยู่ในระดับเกินดุลที่ 2.5-3.0% ของ GDP แสดงให้เห็นว่าภาคการค้าระหว่างประเทศ ยังคงเป็นภาคที่มีความสำคัญต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจ

สำหรับการลงทุนจากภาคเอกชน จะเป็นอีกส่วนที่มีความสำคัญต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจ โดยคาดว่าจะขยายตัวในอัตรา 6.5-7.0% ทั้งนี้ แม้ว่าอัตราดอกเบี้ยในประเทศจะกลับมาเป็นทิศทางขาขึ้นก็ตาม แต่การใช้กำลังการผลิตในระดับสูง และเงินบาทที่แข็งค่า จะจูงใจให้ภาคเอกชนเริ่มกลับมาลงทุนรอบใหม่

5) กลุ่มธนาคารพาณิชย์ (+) Kim Eng คาดกำไรไตรมาส 4/53 ของกลุ่มธนาคารมีแนวโน้มลดลงจากไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานจะเพิ่มขึ้นสูงเป็นปกติในไตรมาสที่ 4 ของทุกปี จากการเบิกจ่ายตามงบประมาณ ประกอบกับธนาคารบางแห่งอาทิเช่น KTB SCB BAY และ SCIB ไตรมาสที่ 3 มีการรับรู้เงินปันผลรับจากกองทุนวายุภักษ์เข้ามาในขณะที่ไตรมาส 4 ไม่มีรายได้ดังกล่าว แต่รายได้หลักยังคง เติบโตต่อเนื่อง จากสินเชื่อที่ขยายตัวสูง ส่วนต่างดอกเบี้ยรับที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น และ รายได้ค่าธรรมเนียมที่เติบโตต่อเนื่อง ประกอบกับค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองฯที่มีแนวโน้มลดลงจากคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีขึ้น ดังนี้เราเชื่อว่ากำไรสุทธิไตรมาส 4/53 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน* หวังเม็ดเงินต่างชาติไหลเข้าต่อเนื่อง Key Focus this month

ในเดือนแรกของปี 2554 เราประเมินว่าดัชนีฯ จะยังแกว่งตัวผันผวนในกรอบ 950 –1,050 จุด โดยพิจารณาจากปัจจัยหลายๆ ประการไม่ว่าจะเป็นความกังวลต่อการใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้นเพื่อควบคุมปัญหาเงินเฟ้อของประเทศจีน, การรับมือเงินทุนไหลเข้าของประเทศในเอเชีย, ความกังวลปัญหาความขัดแย้งในคาบสมุทรเกาหลี, ความกังวลปัญหาหนี้สินในยุโรปและมาตรการในการควบคุมอัตราเงินเฟ้อในประเทศ หลังจากที่ราคาพลังงานและอาหารปรับตัวสูงขึ้นมาจากปีก่อนมาก

สำหรับปัจจัยบวกที่อาจผลักดันราคาหุ้นจะมาจากค่าเงินดอลลาร์ซึ่งหากยังอ่อนค่าลงก็จะส่งผลให้กระแสเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติยังคงเข้ามาในตลาดฯ ได้ในปีนี้ เราประเมินการปรับราคา LPG และการประมูลโรงไฟฟ้าที่จะประกาศผลในเดือนนี้จะยังทำให้หุ้นกลุ่มโรงกลั่นและกลุ่มไฟฟ้ามีความคึกคักต่อเนื่องในเดือนนี้ ในขณะที่หุ้นกลุ่มอสังหาฯ จะได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยที่เริ่มกลับมาเป็นขาขึ้น เราคงสัดส่วนการลงทุนในหุ้น 60% และ KECASH 40% เช่นเดิม

เรายังคงใช้กลยุทธ์เน้นลงทุนรายตัว หรือ Selective Buy ในเดือนนี้ โดยเลือกหุ้นที่ผลประกอบการในปีนี้มีแนวโน้มเติบโตแข็งแกร่งและยังมีราคาต่ำกว่าราคาตามปัจจัยพื้นฐานอยู่ ได้แก่ BANPU, SCC, PTTCH, SCB, TOP, BGH, KSL, และ SGP

อย่างไรก็ตาม สำหรับ พอร์ตการลงทุน KECASH 40%, หุ้น 60%, แบ่งพอร์ตหุ้น (60%) ออกเป็น Buy and Hold 90%, Speculative Buy 10%, เพิ่ม: PTTCH, TOP, BGH และ KSL; Stop loss HMPRO; ถอด KBANK, AIT และPTL ออกจากพอร์ตชั่วคราว* เพิ่ม PTTCH-TOP-BGH-KSL Stock and Portfolio Idea

เพิ่ม PTTCH เน้นถือลงทุน การเดินเครื่องเต็มกำลังการผลิตของโครงการ PTTPE (cracker กำลังการผลิต 1 ล้านตัน/ปี) หลังโรงแยกก๊าซ 6 เดินเครื่องได้เต็มที่ในปีหน้า จะทำให้ปริมาณการจำหน่ายโอเลฟินส์เติบโต 23% เป็น 2.7 ล้านตัน/ปี

คาดผลการดำเนินงานในปีหน้าจะมีการเติบโตสูงที่สุดในกลุ่มปิโตรเคมีถึง 76% yoy เป็น 19,018 ล้านบาท หรือ 12.67 บาท/หุ้น

การใช้ก๊าซเป็นวัตถุดิบหลักถึง 85% ทำให้บริษัทได้เปรียบเรื่องต้นทุนเมื่อราคาน้ำมันดิบเป็นขาขึ้นเช่นปัจจุบัน ซึ่งส่งผลให้ margin ของบริษัทดีกว่าบริษัทที่ใช้แนฟทาเป็นวัตถุดิบ

ราคาหุ้นที่ยังถูกอยู่ซื้อขายอยู่ที่ PER 11.2 เท่าของปีหน้า เมื่อเทียบกับบริษัทปิโตรเคมีในภูมิภาคที่ซื้อขายที่ PER 14 เท่า

เพิ่ม TOP เน้นถือลงทุน คาดการณ์ว่าคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติที่จะมีการประชุมกันในวันที่ 30 ธันวาคมจะมีการสรุปแนวทางการปรับโครงสร้างราคา LPG หน้าโรงกลั่น ก็เป็นปัจจัยบวกหนุนราคาหุ้น TOP ซึ่งเป็นบริษัทซึ่งมีการผลิต LPG มากที่สุดในบรรดาโรงกลั่นได้ประโยชน์

เราประเมินผลกำไรส่วนเพิ่มประมาณ 938-1,406 ล้านบาทหรือ 0.46-0.69 บาท/หุ้น และราคาเป้าหมายเพิ่มขึ้น 9 บาทหากมีการปรับราคาจริงค่าการกลั่นและ spread margin ของปิโตรเคมีที่ฟื้นตัวขึ้นมาอย่างมากในไตรมาสนี้ และราคาน้ำมันดิบที่ปรับเพิ่มขึ้นมาในระดับ 90 เหรียญ/บาร์เรล (จากไตรมาส 3/53 ที่ราคาน้ำมันดิบปิดที่ 78 เหรียญ/บาร์เรล) ก็จะส่งผลบวกกับธุรกิจโรงกลั่นในแง่ของกำไรจากสต็อกน้ำมันด้วย

เพิ่ม BGH เน้นถือลงทุน ภายหลังการเข้าซื้อกิจการของ HNC ส่งผลให้จำนวนเตียงของ BGH เพิ่มขึ้นจากเดิม 57% เป็น 4,579 เตียง ซึ่งกลายเป็นโรงพยาบาลขนาดใหญ่อันดับ 2 ในเอเชียแปซิฟิก การเข้าซื้อ HNC ในครั้งนี้ จะส่งผลให้ BGH มี ร.พ. ในเครือเพิ่มอีก 8 แห่ง รวมกับเดิมที่มีอยู่ 19 แห่ง เป็น 27 แห่ง และจะมีจำนวนแพทย์,พยาบาล มากสุดในอุตสาหกรรม รวมทั้งจะทำให้มีฐานลูกค้าครอบคลุมทุกระดับตั้งแต่ระดับล่าง-บน จากเดิมที่เน้นเฉพาะระดับกลาง-บน จากข้อมูลในปี 2552 หากรวมรายได้ของกลุ่มพญาไทและเปาโล เข้าในงบการเงินของ BGH พบว่าจะทำให้รายได้ของ BGH เพิ่มขึ้น 46% เป็น 3.3 หมื่นล้านบาท และมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 49% เป็น 3.3 พันล้านบาท ภายใต้ประมาณการใหม่ จะทำให้มูลค่าเหมาะสมของหุ้น BGH ที่ประเมินด้วยวิธี DCF (WACC 10.8%) ปรับเพิ่มขึ้นจาก 48.66 บาท เป็น 56.50 บาท

เพิ่ม KSL เน้นเก็งกำไร ปรับคาดการณ์อ้อยเข้าหีบปี 53/54 ขึ้น 18.5% เป็น 5.2 ล้านตัน จากความพร้อมของโรงงานบ่อพลอยจะทำให้สามารถหีบอ้อยได้เพิ่มขึ้น ปรับกำไรสุทธิปี 53/54 ขึ้น 13% เป็น 904 ล้านบาท โต 398% จากปีก่อน ราคาน้ำตาลที่ปรับขึ้นมาต่อเนื่องอยู่ที่ 33.98 เซนต์/ปอนด์ ในช่วงปลายเดือนธันวาคม สูงสุดในรอบ 30 ปีจะเป็นประโยชน์กับผลกำไรของบริษัทในปีนี้

Stop loss HMPRO HMPRO ถูกขายออกจากพอร์ตทันที เพื่อรักษาวินัยการลงทุน หลังราคาหุ้นปรับตัวลงเกินระดับ Stop Loss ที่ 5% ในเดือนที่ผ่านมา
ถอด KBANK, AIT และ PTL ออกจากพอร์ตชั่วคราว เราตัดสินใจถอด KBANK, AIT และ PTL ออกจากพอร์ตชั่วคราว
----------------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย
FSS : เริ่มมองหาจังหวะขายทำกำไรบ้างเมื่อตลาดดีดขึ้น ส่วนจะซื้อเพิ่มให้รอลง
แนวโน้ม: แรงซื้อจากเม็ดเงิน LTF และ RMF ชุดใหม่เริ่มเข้ามาตามคาด หลังเข้าสู่ช่วงท้ายก่อนสิ้นปี โดยเมื่อวานนี้แรงซื้อหลักเป็นของกองทุนในประเทศ
ขณะที่นักลงทุนต่างประเทศมียอดซื้อเพียงเล็กน้อย ทำให้ FSS ยังคาดว่า SET จะสามารถดีดกลับขึ้นมาเคลื่อนไหวเป็นบวกให้เห็นได้เป็นระยะๆ แต่ดัชนีคงขยับ ขึ้นได้ไม่ไกลมากนัก และยังมีสิทธิแกว่งตัวผันผวนย้อนกลับเป็นลบให้เห็นได้อยู่ ดังนั้นเราจึงยังแนะนำให้เน้นเป็นเทรดดิ้งสั้นๆ ตามรอบ โดยควรแบ่งส่วนขายทำ กำไรเมื่อตลาดขยับขึ้นอยู่ ขณะที่จังหวะเลือกหุ้นเข้าซื้อยังแนะนำให้รอช่วงตลาด ปรับตัวลงไปเคลื่อนไหวในด้านลบเป็นหลัก
กลยุทธ์: หลังทยอยเข้าซื้อเมื่อตลาดปรับตัวลงไปแล้ว ช่วงนี้ถ้าดัชนีดีดขึ้นควร แบ่งส่วนขายทำกำไรบ้าง และยังไม่แนะนำให้ซื้อไล่ราคา โดยเน้นรอซื้อเมื่ออ่อน
ตัวลงดีกว่า สำหรับหุ้นที่น่าสนใจได้แก่ BANPU, BIGC, KTB, PTL, SEAFCO, AP, CSL, DELTA, DRT, LPN, KBANK, SCB, TASCO, AMATA, PS, SPALI, CK, STEC และ TTW เป็นต้น
ประเด็นสำคัญวันนี้
• (+) โค้งสุดท้ายของ LTF&RMF วานนี้กองทุนในประเทศกลับมาซื้อถึง 1.89 พันล้านบาท ทำให้ยอดสะสมของเดือน ธ.ค. เป็นซื้อ 6.50 พันล้านบาท น้อยกว่า เดือน ธ.ค. ของทุกปีที่ซื้อเฉลี่ย 1.3 หมื่นล้านบาท ในขณะที่ต่างชาติยังคงซื้อ ต่อเนื่องทั้งที่เดือน ธ.ค. มักขาย แต่ล่าสุดต่างชาติมียอดซื้อสะสมในเดือนนี้ 3 หมื่นล้านบาท
(-) เราคาดว่า January effect จะเกิดในระยะเวลาอันสั้นมาก โดยภาพน่าจะ ใกล้ในช่วงต้นปีนี้คือดัชนียังปรับขึ้นไปต่อได้ภายในระยะเวลาไม่ถึงสัปดาห์
หลังจากนั้นคาดว่ามีแรงเทขายจาก LTF & RMF ที่ทยอยครบกำหนดขายคืนได้ ซึ่งมีกำไรทุกกอง โดยเฉพาะ LTF ล็อตสุดท้ายที่จะขายได้ มีมูลค่า 4.9 หมื่นล้าน บาท (แต่คงไม่ได้ขายทุกคน) และจากสถิติพบว่ากองทุนในประเทศขายหนักสุด ในเดือน ม.ค. และ มี.ค. อย่างไรก็ตาม เรายังมองการปรับลงของตลาดเป็นโอกาส ในการซื้อจากเป้าหมายดัชนีที่ 1,300 จุดในปีหน้า กลุ่มที่น่าสนใจเป็นกลุ่มแบงก์ โภคภัณฑ์ (Hard&Soft) รับเหมา ค้าปลีก
• (+) กลุ่มรับเหมา ครม.ไฟเขียวโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินช่วง"หัวลำโพง- บางแค"และ"บางซื่อ-ท่าพระ" ระบุรัฐลงทุนค่างานโยธา ส่วนเอกชนลงทุนค่างาน ระบบไฟฟ้า-ขบวนรถรวมทั้งการบริหารการเดินรถและซ่อมบำรุงตามมาตรฐานการ ให้บริการ และ ครม.ยังเพิ่มกรอบวงเงินค่าจ้างที่ปรึกษา 448 ล้านบาท
• (+) TRUE: ครม.เห็นชอบให้กสท. ยกเลิกซื้อ Hutch การไม่ซื้อหุ้น Hutch (จาก Hutchison ฮ่องกง) อย่างเป็นทางการของ กสท. เนื่องจากฮัทชิสันฯ ไม่ลด ราคาลงให้ตามที่ กสท. ต่อรองที่ประมาณ 4 พันล้านบาท ทำให้เป็นประเด็นในการ เก็งกำไร TRUE เพราะไม่มีคู่แข่งแล้ว หากซื้อได้ TRUE จะยืดอายุการดำเนินงาน ออกไปได้อีก 2 - 12 ปี อย่างไรก็ตาม ยังมีประเด็นทางกฎหมาย ว่าอาจขัดกับ พ.ร.บ. ร่วมทุน และยังไม่มีรายละเอียดแน่ชัด (เช่นเงินลงทุนที่ใช้ซื้อและพัฒนาเครือข่าย รวมทั้งการรับภาระหนี้จาก Hutch เป็นต้น) เรื่องจึงอาจไม่ง่ายนักนักวิเคราะห์ของเรายังให้คำแนะนำตามพื้นฐานเป็น ‘ขาย’ แต่ในแง่ Technical ในระยะสั้นนี้ราคายังปรับขึ้นต่อได้ มีโอกาสไปทดสอบบริเวณ 7.20 – 7.40 บาท ส่วนแนวรับอยู่ที่ 6.80 บาท นักลงทุนที่เก็งกำไรต้องใช้ความระมัดระวังด้วย
• Fund Flow วานนี้ยังไหลเข้าตลาดหุ้นภูมิภาคต่อเนื่องเป็นวันที่ 20 ติดต่อกันปริมาณการซื้อขายทรงตัวเมื่อเทียบกับวันก่อนหน้านี้ กระแสเงินทุนต่างชาติช่วงนี้ไหลเข้าตลาดหุ้นเกาหลีและไต้หวันต่อเนื่องในปริมาณที่เท่าๆ กันตลอดช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา แม้ค่าเงินเอเชียจะทรงตัว แสดงให้เห็นว่าแนวโน้มอัตราดอกเบี้ย
และอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจในเอเชียยังเป็นเสน่ห์ดึงดูใจกระแสเงินทุนจากต่างชาติต่อเนื่องในปีหน้า หุ้นกลุ่มสินค้าโภณฑ์ยังได้รับความสนใจในการลงทุน
มากที่สุดในช่วงนี้ เรายังแนะนำสะสมหุ้นกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีต่อเนื่อง


ข่าวภายในประเทศ
สื่อสาร-TRUE: ครม.เห็นชอบให้กสท. ยกเลิกซื้อ Hutch ที่ประชุมครม.อนุมัติให้บมจ. กสท โทรคมนาคม ยกเลิกโครงการเข้าซื้อกิจการ CDMA
ในส่วนกลาง โดยการเข้าซื้อทรัพย์สิน จากบริษัท Hutchinson Telecom. Inter. (บริษัทฮัทชิสัน) หลังจากที่ประชุม ครม. เมื่อวันที่ 7 เม.ย. 2010 ได้ อนุมัติให้ กสท (CAT) เข้าซื้อกิจการฮัทช์ ในราคา 7.5 พันล้านบาท กระทรวงไอซีที ในฐานะต้นสังกัดของ CAT จึงนำเสนอเรื่องดังกล่าวให้ ครม. มีมติ รับรอง ส่วนข้อเสนออื่นๆ เกี่ยวกับการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ CDMA ของ กสท ที่เสนอไปให้พิจารณาพร้อมกันนี้ ยังไม่ได้รับอนุมัติ ได้แก่การขออนุมัติให้ดำเนินการยกเลิกสัญญาที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจ CDMA ในส่วนกลาง ได้แก่ สัญญาทำการตลาดฯ กับ บริษัท ฮัทชิสัน ซีเอที ไวร์
เลส มัลติมีเดีย (บ.ร่วมทุนระหว่าง Hutchison กับ กสท. ในสัดส่วน 74: 26) และสัญญาเช่าและว่าจ้างให้ปรับปรุง เปลี่ยน ซ่อมแซม บำรุงรักษา และ
ดูแลจัดการเครื่อง และอุปกรณ์วิทยุคมนาคมระบบเซลลูล่า Digital AMPS 800 Band A กับบริษัท บีเอฟเคที (Hutchison ถือหุ้นทั้งหมด) รวมถึงรูปแบบในการดำเนินธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่รูปแบบใหม่ ของกสท. (Source: มติชน 28 ธ.ค.10) ความเห็น: แสดงการไม่ซื้อหุ้น Hutch (จาก
Hutchison ฮ่องกง) อย่างเป็นทางการของ CAT เนื่องจากฮัทชิสันฯ ไม่ลดราคาลงให้ตามที่กสท. (ตามความเห็นของรมว.ICT) ต่อรองที่ประมาณ 4
พันล้านบาท โดย TRUE มีแผนฯ เข้าซื้อ Hutch แทน และเป็นประเด็นเก็งกำไรต่อ TRUE จากความคาดหวัง หากซื้อได้ จะทำให้บริษัทยืดอายุการ
ดำเนินงานออกไปได้อีก 2-12 ปี หากกสท.ยืดอายุสัญญา Marketing contract ของ Hutch ออกไปอีก 5-10 จากเดิมที่จะหมดอายุปี 2015 และสัมปทานเดิมของ TRUE จะหมดอายุปี 2013 อย่างไรก้ตาม ยังมีประเด็นทางกฎหมาย ว่าอาจขัดกับพ.ร.บ.ร่วมทุน และยังไม่มีรายละเอียดแน่ชัด (เช่น เงินลงทุนที่ใช้ซื้อและพัฒนาเครือข่าย รวมทั้งการรับภาระหนี้จาก Hutch เป็นต้น) จึงยังอยู่ใน Rating “ขาย
คลังเบรกบอนไซปตท.หวั่นผล”ได้ไม่คุ้มเสีย” หนุนควบ PTTAR-PTTCH ขยายลงทุนถ่านหิน คลังลั่นแผนแก้ กม. แข่งขันทางการค้าเพื่อคุม
ปตท. ขอศึกษาผลดีและผลเสียดูก่อนหากรัฐทำต้องระวังได้ไมคุ้มเสีย ประธานบอร์ดหนุนแผนควบรวมบริษัทลูก PTTAR-PTTCH ประกาศดัน ปตท. ขึ้น
บริษัทชั้นนำโลก ขยายการลงทุนต่างประเทศมากขึ้น ล่าสุด ปตท. ดอดเจรจาร่วมทุนโรงไฟฟ้าพลังน้ำต่างประเทศ มั่นใจได้ข้อสรุปภายในไตรมาสแรกปีหน้า พร้อมเดินหน้าแผนขยายการลงทุนเหมืองถ่านหินเพิ่ม (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 29-12-2010)
HTECH แจ่มใสปีนี้ทะลุ 350 ล้านยานยนต์ขยายตัว HTECH การันตีรายได้ปีนี้เกิน 350 ล้านบาท หลังอุตสาหกรรมยานยนต์เติบโตต่อเนื่อง ส่วนปี
หน้าตั้งเป้ากวาดรายได้ 450 ล้านบาท พร้อมเพิ่มสัดส่วนต่างประเทศเป็น 25% จาก 10% ประกอบกับกำลังการผลิตใหม่จากโรงงานฟิลิปปินส์หนุนเชื่อเริ่มเดินเครื่องได้วันที่ 15 ม.ค.54 (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 29-12-2010)
RS สัญญาณดีปันผลรอบ 4 ปี เฮียฮ้อเสือซุ่มเก็บ RS ไม่หยุด ปี'53 ทยอยซื้อหุ้นทะลุ 70 ล้านบาท ราคาหุ้นยังถูกแถมปัจจัยบวกรอหนุนเพียบ วงการชี้กำไรปีนี้ทะลุ 300 ล้านบาท ทุบสถิติตั้งแต่เข้าเทรดในตลาดรอบ 8 ปี แถมหวนคืนปันผลครั้งแรกรอบ 4 ปี เชื่อจ่ายขั้นต่ำ 16 สตางค์ สูงร่วม 6% (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 29-12-2010)
----------------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ตปท.
ข่าวต่างประเทศ
จีน: กระทรวงพาณิชย์จีนลดโควต้าส่งออกแร่ธาตุหายากลง 11% ในปีหน้า กระทรวงพาณิชย์จีน ประกาศลดปริมาณการส่งออกแร่ธาตุหายากรอบแรกของปี 2554 ลง 11% มาอยู่ที่ 14,446 ตัน เมื่อเปรียบเทียบกับยอดการส่งออกในรอบแรกของปีนี้ที่ 16,304 ตัน ทั้งนี้ จีนเป็นแหล่งผลิตแร่ธาตุหายากในสัดส่วนถึง 97% ของการผลิตแร่ธาตุหายากทั่วโลก สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า บริษัท 31 แห่งได้รับการอนุมัติให้เป็นผู้ส่งออกแร่ธาตุหายากในปี 2554 ซึ่งมีทั้งบริษัทของจีนและบริษัทที่ได้รับเงินทุนจากต่างประเทศ (ที่มา: อินโฟเควสท์ 28-12-2010)
จีน: จีนเผยมูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกและไอทีเพิ่มขึ้น 26.7% ในเดือนพ.ย. กระทรวงอุตสาหกรรมและ เทคโนโลยีสารสนเทศของจีน (MIIT) เปิดเผยว่า ยอดส่งออกของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกและไอทีขยายตัว 26.7% ในเดือนพฤศจิกายน มากกว่าเดือนตุลาคมอยู่ 11.8%ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน มูลค่าการส่งออกและนำเข้ารวมของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกและไอทีอยู่ที่ 9.118 แสนล้านหยวน เพิ่มขึ้น 32.8% เมื่อเทียบรายปี หรือมีสัดส่วน 34.1% ของมูลค่าการนำเข้าและส่งออกรวมทั้งหมดของประเทศ (ที่มา: อินโฟเควสท์ 28-12-2010)
เอเชีย: เวียดนามตั้งเป้าภาคการเกษตรขยายตัว 3.5-3.8% ภายในช่วง 5 ปีหน้า เหงียน ซิน ฮัง รองนายกรัฐมนตรีเวียดนามกล่าวในการประชุมงานของกระทรวงเกษตรและการพัฒนาชนบท ว่า เวียดนามจะพยายามผลักดันให้ภาคการเกษตรขยายตัวได้ในอัตราเฉลี่ย 3.5-3.8% ต่อปี ภายในช่วงปี 2554-2558 นายฮังกล่าวเสริมว่า เขามีความพอใจต่อการขยายตัวของภาคการเกษตรในช่วงปี 2549-2553 ซึ่งมีส่วนช่วยผลักดันให้ประเทศบรรลุเป้าหมายการพัฒนาชนบท การกำจัดความหิวโหย การลดปัญหาความยากจน และการส่งเสริมคุณภาพชีวิต (ที่มา: อินโฟเควสท์ 28-12-2010)
เอเชีย: กระทรวงแรงงานญี่ปุ่นเผยค่าแรงรายเดือนโดยเฉลี่ยลดลงครั้งแรกในรอบ 9 เดือนในเดือนพ.ย. กระทรวงแรงงานญี่ปุ่น เปิดเผยว่าค่าแรงรายเดือนโดยเฉลี่ยของบริษัทญี่ปุ่นที่มีพนักงานอย่างน้อย 5 คนปรับตัวลดลง 0.2% แตะที่ 277,585 เยน/คนในเดือนพฤศจิกายนปีนี้เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ซึ่งลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 9 เดือน อันเนื่องมาจากเงินโบนัสฤดูหนาวที่ร่วงลงอย่างหนัก (ที่มา: อินโฟเควสท์ 28-12-2010)
เอเชีย: ญี่ปุ่นเผยอัตราการว่างงานทรงตัวที่ 5.1% ในเดือนพฤศจิกายน กระทรวงกิจการภายในและการสื่อสารของญี่ปุ่นเปิดเผยว่า อัตราการว่างงานของญี่ปุ่นยังคงทรงตัวอยู่ที่ระดับ 5.1% ในเดือนพฤศจิกายน โดยมียอดผู้ว่างงานเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ในขณะที่จำนวนผู้หางานทำปรับตัวสูงขึ้นรายงานกระทรวงฯ ระบุว่า ถึงแม้ว่าอัตราการว่างงานจะยังคงไม่เปลี่ยนแปลง แต่ก็เป็นตัวเลขที่สูงสำหรับประเทศญี่ปุ่นและจำเป็นที่ทางการญี่ปุ่นจะต้องจับตาดูสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยอัตราการว่างงานได้เพิ่มขึ้นจาก 5.0% เป็น 5.1% ตั้งแต่เดือนตุลาคม (ที่มา: อินโฟเควสท์ 28-12-2010)
เอเชีย: ญี่ปุ่นเผยดัชนี CPI เดือนพ.ย.ลดลง 0.5% บ่งชี้ญี่ปุ่นยังเผชิญปัญหาเงินฝืด กระทรวงฝ่ายกิจการภายในประเทศและการสื่อสารของญี่ปุ่นเปิดเผยในวันนี้ว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) พื้นฐานเดือนพ.ย. ซึ่งไม่นับรวมราคาในหมวดอาหาร ลดลง 0.5% จากปีที่แล้ว ทำสถิติลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 21 ซึ่งย้ำให้เห็นว่าแรงกดดันที่เกิดจากภาวะเงินฝืดยังคงส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ภายในประเทศ อย่างไรก็ตาม จังหวะการลดลงของดัชนี CPI พื้นฐานเดือนพ.ย.ชะลอตัวลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับเดือนต.ค.ที่ร่วงลง 0.6% และลดลงน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ที่สำนักข่าวเกียวโดสำรวจความคิด เห็นคาดการณ์ว่า จะร่วงลง 0.6% (ที่มา: อินโฟเควสท์ 28-12-2010)
เอเชีย: เกาหลีใต้เตรียมเก็บภาษีผลิตภัณฑ์เกษตร 23 รายการในปี 2554 กระทรวงยุทธศาสตร์และการคลังเกาหลีใต้เปิดเผยว่า เกาหลีใต้จะใช้มาตรการเก็บภาษีผลิตภัณฑ์ด้านการเกษตร 23 รายการในปีหน้า เพื่อปกป้องกลุ่มผู้ผลิตในระดับท้องถิ่นจากการนำเข้าสินค้าราคาถูกจำนวนมาก สำนักข่าวยอนฮัพรายงานว่า จะมีการใช้มาตรการดังกล่าวกับผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น โสม ถั่วแดง ถั่วลิสง ถั่วเขียว บัควีต และธัญพืชหลายชนิด เช่น ข้าวบาร์เลย์ ข้าวโพด ข้าวสาลี และข้าวโอ๊ต (ที่มา: อินโฟเควสท์ 28-12-2010)
----------------------------------------------------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น