Code 227 : ปี 53 สถิติมีไว้ทำลาย

วันอังคารที่ 4 มกราคม 2554

ATT Code : ปี 53 สถิติมีไว้ทำลาย
EFinance : ปี53ที่ผ่านพ้นไป ถือเป็นปีแห่งการทำลายสถิติ ท่ามกลางความวุ่นวายทางการเมือง-วิกฤตศก.โลก แต่ SET Index กลับทะยานแตะ 1000 จุดครั้งแรกในรอบ 14 ปี แตะระดับสูงสุดที่ 1055.25 จุด ขณะที่ มาร์เก็ตแคปของตลาดยังทำสถิติสูงสุดตั้งแต่ก่อตั้งตลท. มีมูลค่าสูงถึง 8.3 ล้านลบ ส่วนเงินบาททำลายสถิติในรอบ 13 ปีเช่นกัน ขณะที่การส่งออกทะลุเป้า เฉพาะเดือนมิ.ย. ส่งออกขยายตัวสูงสุด ที่ระดับ 46.3% ส่วนเหตุการณ์ช็อควงการหุ้น หนีไม่พ้นดีลยักษ์ควบรวมกิจการ ธุรกิจโรงพยาบาล

----------------------------------------------------------------------------------
MARKET WAVE Analysis
4 มค. 54 (-1.83 จุด) โกมล พงศ์วิญญู เลขทะเบียน 18338

ปรับตัวลง 1020 จุด
ดัชนีกำลังปรับตัว ในกรอบสามเหลี่ยมภาพระยะวัน สำหรับภาพระยะสั้นสองสามวันข้างหน้า ดัชนีมีโอกาสปรับตัวกลับลงมาแถว1020 จุด ใกล้เส้นค่าเฉลี่ย 25 วันอีกครั้ง

จากนั้น มีความเป็นไปได้สองแนวทางด้วยกัน คือ
1 ปรับตัวทะลุกรอบสามเหลี่ยม และเกิน 1055.25 จุดสูงสุดเดิมของปี 2553 ดัชนีในเดือน มค. ปี 54 จะสามารถปรับตัวขึ้นต่อได้บริเวณ 1100 – 20 จุด ... ก่อนที่จะปรับฐานแถว940 – 980 จุดในไตรมาสแรกของปีหน้า

2 ปรับตัวลงต่ำกว่ากรอบสามเหลี่ยมและ ต่ำกว่า 1000 จุด ดัชนีมีโอกาสปรับฐานแถว 900 – 940 จุด สำหรับภาพไตรมาสแรกของปีหน้า

หุ้นเด่น
IVL
กำลังปรับตัวอยู่ในกรอบสามเหลี่ยม ภาพระยะชั่วโมง รอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 57.75 กรอบบนของสามเหลี่ยม เป้าหมายหนึ่งถึงสองวัน 60.00 – 60.50( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 56.75 )

10 อันดับซื้อขายสูงสุด
TRUE ต่ำกว่า 7 ลง 6.60 – 6.80
IRPC ปรับตัวลง 6.10 – 6.30
TOP ปรับตัวลง 75 – 77
CPF แกว่งตัว 24.50 – 25.25
SCB ปรับตัวลง 102 – 103
PTTEP แกว่งตัว 166 – 169
BANPU แกว่งตัว 766 – 812
TMB ต่ำกว่า 2.32 ลง 2.20 – 2.26
PTT ต่ำกว่า 319 ลง 315 – 317
IVL รายละเอียดใน “หุ้นเด่น”

----------------------------------------------------------------------------------
EFinance : ปี 53 สถิติมีไว้ทำลาย
ปี53ที่ผ่านพ้นไป ถือเป็นปีแห่งการทำลายสถิติ ท่ามกลางความวุ่นวายทางการเมือง-วิกฤตศก.โลก แต่ SET Index กลับทะยานแตะ 1000 จุดครั้งแรกในรอบ 14 ปี แตะระดับสูงสุดที่ 1055.25 จุด ขณะที่ มาร์เก็ตแคปของตลาดยังทำสถิติสูงสุดตั้งแต่ก่อตั้งตลท. มีมูลค่าสูงถึง 8.3 ล้านลบ ส่วนเงินบาททำลายสถิติในรอบ 13 ปีเช่นกัน ขณะที่การส่งออกทะลุเป้า เฉพาะเดือนมิ.ย. ส่งออกขยายตัวสูงสุด ที่ระดับ 46.3% ส่วนเหตุการณ์ช็อควงการหุ้น หนีไม่พ้นดีลยักษ์ควบรวมกิจการ ธุรกิจโรงพยาบาล

ในปี 2553 ที่ผ่านพ้นไป ต้องเผชิญทั้งข่าวดีและข่าวร้ายสลับกันไป ทั้งปัญหาความวุ่นวายทางการเมือง ที่มีการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติหรือ นปช.ในช่วงเดือนเม.ย.- พ.ค.และนำไปสู่เหตุการณ์นองเลือดและเผาทำลายศูนย์กลางทางเศรษฐกิจที่มีการเผยแพร่ข่าวและภาพไปทั่วโลก จนทำให้สถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัวจากตัวเลขจีดีพี Q1/53ที่โต 12% สูงสุดในรอบ 15ปี ต้องสะดุดลง อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจไทยกับใช้เวลาในการฟื้นตัวไม่นานจากเหตุความวุ่นวายดังกล่าว แต่ในช่วงท้ายปี กลับต้องเผชิญกับปัญหาน้ำท่วมและภัยธรรมชาติ แต่เศรษฐกิจของไทยยังคงขยายตัวดีต่อเนื่อง จนทำให้กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ต้องประกาศปรับเพิ่มประมาณการจีดีพี ปี 2553ใหม่หลายระลอกจนล่าสุดคาดการณ์ว่า จีดีพีปี 53 จะโต 7-8% จากเริ่มต้นคาดว่าโต 3.5-4.5% ขณะที่ปี 2553 ยังถือว่าเป็นปีของการทำลายสถิติทางเศรษฐกิจหลายด้าน ประกอบด้วย

*****หุ้นไทยแตะ 1000 จุดครั้งแรกในรอบ 14 ปี
ถึงแม้ในปี 53 ที่ผ่านมา ประเทศไทยจะเผชิญกับปัญหาการเมืองอันหนักหน่วงจนฉุดสังคมไทยให้ดิ่งลงสู่จุดต่ำสุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ชาติ แต่ทว่าบรรยากาศการลงทุนกลับตรงกันข้าม นักลงทุนไล่ซื้อหุ้นดันดัชนีทะยานแบบพรวดพราดขึ้นมาแตะระดับ 1000 จุดได้เป็นครั้งแรกในรอบ 14 ปี โดยดัชนีหุ้นไทยพุ่งแตะระดับดังกล่าวในวันที่ 26 ต.ค.53 และขึ้นไปทำจุดสูงสุดของปีที่ 1055.25 จุด ในวันที่ 10 พ.ย.53

นอกจากนี้ในปีเสือที่ผ่านมา มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด(มาร์เก็ตแคป)ของตลาดหุ้นไทยยังทำสถิติสูงสุดนับตั้งแต่ก่อตั้งตลาดหลักทรัพย์ฯขึ้นมาด้วย โดยมีมูลค่าสูงถึง 8.3 ล้านล้านบาท ขณะที่มูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์เฉลี่ยรายวันอยู่ที่ 42,266.40 ล้านบาท สูงที่สุดนับตั้งแต่ตลาดหลักทรัพย์ฯเริ่มเปิดการซื้อขาย

ทั้งนี้SET Index ปิดฉากปี 2553 ( 30 ธ.ค.)ที่ระดับ 1032.76 จุด ลดลง 1.83 จุดหรือ 0.18% มูลค่าการซื้อขาย19,934.34 ล้านบาท*

****เงินบาทแข็งค่าสุดในรอบ 13 ปี
ปี 2553 เป็นปีของการทำลายสถิติ โดยเฉพาะเงินบาทที่แข็งค่าทำสถิติในรอบ 13 ปี นับตั้งแต่การประกาศลอยตัวค่าเงินบาท ในปี 2540 โดยแตะระดับแข็งค่าสุดที่ 29.56 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐช่วงต้นเดือนพ.ย. ที่ผ่านมา อันเป็นผลจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะสหรัฐ ที่มีการประกาศมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE2)อัดฉีดเงิน 6แสนล้านดอลลาร์ ภายในกลางปีหน้า รวมทั้งปัญหาหนี้สาธารณะของยุโรป ส่งผลให้เงินทุนไหลเข้าทะลักเข้าเอเชีย ทำให้สกุลเงินอื่นๆ ในเอเชียรวมทั้งค่าเงินบาทของไทยแข็งค่าขึ้น จนส่งผลกระทบต่อการส่งออกที่เป็นกลไกสำคัญขับเคลื่อนประเทศ ท่ามกลางเสียงโอดครวญของผู้ส่งออก

ขณะที่ ธปท.ยืนยัน จะทำหน้าที่ดูแลเงินบาทให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เพื่อรักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจ พร้อมย้ำให้ภาคเอกชน เน้นหามาตรการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน แถมแย้มมีเครื่องมือที่หลากหลายดูแลเงินทุนไหลเข้าได้ และพร้อมใช้หากจำเป็นแต่ไม่สามารถบอกล่วงหน้าได้

สำหรับแนวโน้มของเงินบาทในปี 2554 มีการคาดการณ์ว่า เงินบาทอาจทยอยแข็งค่าขึ้นทดสอบระดับ 28.30 บาทต่อดอลลาร์ฯ ภายในกลางปี 2554 และอาจแข็งค่าขึ้นแตะระดับ 28.00 บาทต่อดอลลาร์ฯ ภายในช่วงสิ้นปี 2554

ทั้งนี้เงินบาทวันที่ 30 ธ.ค. 53 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของปี 2553 ค่าเงินบาทอยู่ที่ 30.15-30.16 บาท/ดอลลาร์

***** ปี 53 ส่งออกทะลุเป้า สวนกระแสบาทแข็ง เฉพาะเดือนมิ.ย. ส่งออกขยายตัวสูงสุด ที่ระดับ 46.3%
ในปี 2553 ภาคการส่งออกของไทย ภายใต้การผลักดันของกระทรวงพาณิชย์ ถือว่าโดดเด่นสวนทิศทางการแข็งค่าของค่าเงินบาท โดยการส่งออกมีมูลค่าสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ และคาดว่าทั้งปีมูลค่าการส่งออกน่าจะขยายตัวอยู่ที่ 26.5-28.5% หรือคิดเป็นมูลค่า 1.93-1.96 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ทะลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ ซึ่งในช่วง 11 เดือนของปี 2553 (ม.ค.-พ.ย.) การส่งออกมีมูลค่า 1.77 แสนล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 29.15% ส่งผลให้ไทยเกินดุลการค้ามูลค่า 1.18 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ โดยเฉพาะในเดือนมิ.ย.ที่ยอดส่งออกขยายตัวสูงที่สุดที่ระดับ 46.3%

โดยเป็นผลมาจากการเร่งใช้มาตรการขยายตลาดใหม่ และรักษาตลาดเดิม รวมถึงการตั้งเจ้าหน้าที่มาดูแลเป็นรายสินค้า ร่วมกับภาคเอกชนอย่างใกล้ชิด โดยให้ความสำคัญกับการส่งออกในภูมิภาคเอเชีย (อาเซียน จีน ญี่ปุ่น และอินเดีย) มากขึ้น และเน้นให้เกิดการใช้ประโยชน์จากการเปิดเสรีทางการค้า (เอฟทีเอ) ให้เกิดประโยชน์สูงสุด แต่ก็ยังคงรักษาตลาดหลักอย่างสหรัฐอเมริกา และสหรัฐยุโรป (อียู) ไปพร้อมๆ กัน ที่สำคัญ การส่งออกของไทยในปีนี้ ถือหัวหอกสำคัญ ที่สนับสนุนให้ อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ หรือ จีดีพี ในปีนี้จะเติบโตแตะ 8% จากเดิมที่คาดการณ์จะขยายตัว 7.9% ตามที่ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สศช. ประมาณการไว้

***** ดีลยักษ์ควบรวมกิจการแห่งปี
ดีลควบรวมกิจการที่สร้างความฮือฮามากสุดในปีนี้คงหนีไม่พ้นกรณีที่บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด(มหาชน)หรือ BGH เข้าซื้อกิจการของบริษัทเฮลท์ เน็ตเวิร์ค จำกัด ซึ่งเป็นเจ้าของโรงพยาบาลพญาไทและโรงพยาบาลเปาโลเมโมเรียล ด้วยกระบวการแลกหุ้นและตั้งโต๊ะรับซื้อหุ้นจากนักลงทุนรายย่อย ซึ่งกระบวนการดังกล่าวคาดว่าจะเสร็จสิ้นในเดือนก.พ.ปีหน้า

การเข้าซื้อกิจการในครั้งนี้สำเร็จลงได้ด้วยแนวคิดที่แยบยลของ "วิชัย ทองแตง"ผู้บริหาร BGH และอดีตทนายความชื่อดังในคดีซุกหุ้นของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งส่งผลกระทบใหญ่หลวงต่อธุรกิจโรงพยาบาลในประเทศไทย เพราะก่อให้เกิดการควบรวมกิจการของโรงพยาบาลยักษ์ 4 แห่ง ประกอบด้วย โรงพยาบาลกรุงเทพฯ โรงพยาบาลพญาไท โรงพยาบาลเปาโลฯ และโรงพยาบาลสมิติเวช ทำให้ครอบคลุมทุกตลาดสุขภาพของไทย กลายเป็นกลุ่มโรงพยาบาลที่ใหญ่ที่สุดทั้งในแง่ของสินทรัพย์และรายได้เป็นอันดับ 2 ในเอเชียไม่รวมญี่ปุ่น รองจากโรงพยาบาล Ramsay ในออสเตรเลีย

แต่นัยสำคัญที่สุดของการควบรวมกิจการในครั้งนี้คือการส่งสัญญาณให้ผู้ประกอบธุรกิจที่เกี่ยวกับสุขภาพในไทยไหวตัวว่า ถึงเวลาแล้วที่จะต้องรีบปรับตัวเพื่อรองรับการเปิดเสรีในธุรกิจดังกล่าวรวมทั้งตอบสนองต่อนโยบายภาครัฐที่ต้องการยกระดับประเทศไทยให้กลายเป็น"เมดิคัล ฮับ"

...และจากนี้ไปเราคงจะได้เห็นการควบรวมกิจการและการไล่ซื้อกิจการในกลุ่มโรงพยาบาลบ่อยมากขึ้นแน่นอน

----------------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย
FSS : ตลาดขยับขึ้นยังไม่ต้องรีบร้อนไล่ซื้อ หาจังหวะตอนแกว่งย้อนลงก่อนได้!!
แนวโน้ม: คาดว่าหลังจากมีแรงซื้อจากทั้งนักลงทุนสถาบันภายในประเทศ และนักลงทุนต่างประเทศกลับเข้ามาพอควรในช่วงท้ายปี ขณะที่เช้าวันแรกของปีใหม่นี้ ตลาดหุ้นต่างประเทศยังคงเคลื่อนไหวในทิศทางที่สดใสจากตัวเลขเศรษฐกิจที่ดูดีทั้งจากสหรัฐและยุโรป ทำให้ SET ยังมีแนวโน้มที่จะแกว่งตัวในด้านบวกต่อเนื่องจากช่วงปลายเดือนที่แล้วได้ อย่างไรก็ตาม FSS แนะนำว่ายังไม่ต้องรีบร้อนซื้อไล่ราคาหุ้นขึ้นไปมากนัก เพราะเรายังคาดว่า SET มีโอกาสที่จะแกว่งย้อนกลับลงใหม่ได้ เนื่องจากมีแนวโน้มที่จะมีแรงขายของกองทุน LTF ที่จะครบอายุในปีนี้ทยอยขายทำกำไรออกมากดดันตลาดอยู่
กลยุทธ์: ดังนั้นสำหรับการเทรดดิ้งเล่นรอบยังน่าหาจังหวะขายทำกำไรเมื่อตลาดขยับขึ้น ส่วนจังหวะซื้อยังรอเมื่อตลาดอ่อนตัวลงได้ กลุ่มที่น่าสนใจคือแบงก์ และCommodity (Hard&Soft) เช่น KTB, KBANK, PTL, PTTCH, TOP, SEAFCO,AP, TASCO, AMATA, KSL, CK, STEC และ TTW เป็นต้น

ประเด็นสำคัญวันนี้
• (+) วันแรกเริ่มใช้หุ้น SET50 Index ชุดใหม่ (เริ่มใช้ 1 ม.ค. – 30 มิ.ย.2011) – เข้า BTS, DCC, KK, ROBINS, SSI, STA ออก – KSL, QH, BCP, PSL,TTA, HANA // ส่วนหุ้นที่คาดว่าเข้าคำนวณ SET100 – เข้า GLOBAL, KKC, SMTออก BMCL, GJS, SC
• (+) เศรษฐกิจไทยเดือน พ.ย. กลับมาขยายตัวต่อ หลังชะลอตัวในเดือนต.ค. จากน้ำท่วม การบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนเพิ่มขึ้น ภาคการผลิตดีขึ้นโดยเฉพาะการผลิตในกลุ่มยานยนต์ การส่งออกยังขยายตัวในระดับสูง รายได้เกษตรยังขยายตัวได้ดีมาก ภาคการท่องเที่ยวเติบโตเช่นกัน
• (+) FSS ประเมิน SET target 1,300 จุดปลายปีนี้ แม้ว่า SET Index ในปีที่ผ่านมาจะโดดเด่น +40.6% แต่ PE ในปี 2011 ที่ Bloomberg Consensus คาดที่12.4 เท่า ยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาคเอเชียที่ 13.5 เท่า ถูกเกือบที่สุดในเอเชียรองจากเกาหลี และเมื่อยิ่งเปรียบเทียบ PE กับการเติบโตของกำไร ตลาดหุ้นไทย
อยู่ในเกณฑ์ที่น่าสนใจด้วยกำไรที่ Consensus คาดว่าขยายตัว 17.7% ในปี 2011(FSS คาด +16.2%) สูงกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาคที่ 15.6% FSS ประเมินเป้าดัชนีปีนี้ 1,300 จุด (อิง PE 16 เท่า) upside 26% ต่ำกว่าปีก่อน การลงทุนจึงต้องSelective มากขึ้น หุ้นที่น่าสนใจปีนี้เป็นกลุ่มที่จะมีบทบาทขับเคลื่อนเศรษฐกิจปีนี้
เช่น PTTCH, PTL, TOP, SCC, STEC, CK, AMATA, CPALL, BGH, MAJOR,KBANK, SCB, KTB, KSL, TVO, TUF
• (+) SVI เราแนะนำ Underweight กลุ่มอิเล็คทรอนิคส์เพราะมองบาทแข็งค่าในปีนี้ แต่เลือก SVI เป็นหุ้นเด่นในปีนี้ แทน DELTA และ KCE ที่เป็นหุ้นเด่นในปีก่อนเหตุเพราะกำไรโตสูงสุดในกลุ่ม +15% เพราะเป็นบริษัทเดียวในกลุ่มที่ขยายกำลังการผลิตตั้งแต่เดือน ธ.ค. 2010 อีก 25% (HANA ขยายกำลังการผลิตใน 2H11)ปัจจุบันมี PE ค่อนข้างต่ำ 8 เท่า Dividend yield สูง 7% เราประเมินราคาเป้าหมายปีนี้ 4.20 บาท
• (-) TRUE กลุ่ม TRUE ซื้อหุ้นใน 4 บริษัท (HUTCH เป็นหนึ่งในนั้น) 6.3 พันล้านบาท (จ่ายเงินสด 4.35 ล้านบาท + ชำระเงินกู้แทน BFKT ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทที่ซื้อมา) แม้ว่าข้อดีคือทำให้ TRUE ทำธุรกิจต่อไปได้หลังหมดสัมปทานปี 2013 มีลูกค้าเพิ่มขึ้น ~8แสน – 1 ล้านราย สามารถให้บริการ 3G ด้วยเทคโนโลยี HSPA ที่มีทั่วประเทศอยู่แล้ว (เมื่อ กสทช. อนุญาต) แต่ความเสี่ยงยังอยู่ที่ข้อ กม. – การร่วมทุนของ Hutchison กับ กสท. ไม่ได้ผ่าน ครม.แต่แรก และการทำ MVNO ทำได้หรือไม่ เราแนะนำ Sell on fact จากราคาที่รับรู้ข่าวซื้อ HUTCH ไปแล้ว แต่ถ้าราคาลงมาลึก เทรดดิ้งได้โดยต้องติดตามประเด็นข้อ กม. ดังกล่าว
• Fund Flow ยังไหลเข้าต่อเนื่องเป็นวันที่ 23 ติดต่อกัน วานนี้ไหลเข้าเพิ่มขึ้นเล็กน้อยตอนรับปีใหม่หลังหยุดพักผ่อนในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา แนวโน้มตลาดเต็มไปด้วยปัจจัยบวกตลาดหุ้นและตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ปรับขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่กันอย่างทั่วหน้า อย่างไรก็ตามค่าเงินเอเชียและค่าเงินยูโรแกว่งตัวอยู่ในกรอบแคบค่าเงินบาทเช้านี้ยังทรงตัวอยู่ที่ระดับ 30 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ทำให้มองว่าแนวโน้มกระแสเงินทุนต่างชาติยังไหลเข้าแต่ไม่มาก ส่วนหุ้นที่ได้รับความสนใจในการลงทุนมากที่สุดในช่วงนี้ยังเป็นหุ้นในกลุ่มพลังงาน และสินค้าโภคภัณฑ์เช่นเดิม


ข่าวภายในประเทศ
BTS แรงขายสะเด็ดน้ำเจ้าหนี้ฮ่องกงเหลือ 7% ข่าวดีปันผลกลางปีนี้ ราคาพื้นฐานเกิน 1.50 บาท BTS เริ่มสะเด็ดน้ำจากปลายปีที่ผ่านมาเจ้าหนี้ฮ่องกงกระหน่ำขายหุ้นหนักจาก 42% เหลือแค่ 7% ทำให้ราคาหุ้นขึ้นไปไหนไม่ได้ซะที ปีนี้น่าจับตาเป็นพิเศษทั้งเรื่องปันผลและเลื่อนชั้นเข้าSET50 ช่วงกลางปี ทำให้ราคาพื้นฐานเฉลี่ยเกิน 1.50 บาท และอาจสูงถึง 2 บาท หลังตัวเลขกำไรครึ่งหลังปี'54 โตก้าวกระโดดกว่า 970 ล้านบาท(ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 4-01-2011)
AGE ปีนี้ยอดขายทะลักไล่ราคาหวังวอร์แรนต์ฟรี AGE ออเดอร์จากจีนทะลัก 1 ล้านตัน เริ่มต้นส่งเดือนม.ค.นี้ 8 หมื่นตัน ดันยอดขายปีนี้ 2.2 ล้านตัน เทียบปีก่อน 1.2 ล้านตัน กำไรปีนี้พุ่งอีก 70% เหตุต้นทุนคงที่ออเดอร์มาก ยิ่งได้กำไร “พนม”มั่นใจจีนต้องการถ่านหินมาก รัฐบาลประกาศห้ามขุดจับตาไล่หุ้นแม่หวังได้ฟรี 2 วอร์แรนต์ ขึ้น XR สัปดาห์หน้า เป้าหมายเบื้องต้น 16.50 บาท (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 4-01-2011)
TOP-PTTAR แจ่มลอย LPG โรงกลั่นโชว์กำไรกระโดด TOP-PTTAR นำทีมหุ้นกลุ่มโรงกลั่น หลัง กพช. ไฟเขียวลอยตัวแอลพีจีหน้าโรงกลั่นอิงราคาตลาดโลก ผู้บริหารมั่นใจหนุนกำไรปีนี้เพิ่ม “สุรงค์” เชื่อรายได้เพิ่มอีก 5,000 ล้านบาทต่อปี ขณะที่ “บวร” เล็งขยับสัดส่วนขายในตลาดเพิ่ม ส่วนราคาน้ำมันปีนี้ 85-100 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 4-01-2011)
จับตาหุ้นเหล็กครึกครื้น! ขานรับเทรดหมวดใหม่ หุ้นเหล็กเทรดหมวดใหม่วันนี้ ส่งผลช่วยเพิ่มน้ำหนักการลงทุนหุ้นกลุ่มเหล็กได้ เนื่องจากภาพรวมราคาหุ้นเหล็กวิ่งต่อไปได้ ประกอบกับความเสี่ยงลดลงมาก จากราคาเหล็กที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ขณะที่ตัวหุ้นเหล็กจะได้รับอานิสงส์ตามการลงทุน ปี 2554น่าจะฟื้นตัวจากการก่อสร้างเป็นหลัก (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 4-01-2011)
ESTAR ลั่นปีนี้ยอดขายโต 50% ปี 53เ ข้าเป้า 1.68 พันล้าน จ่อเปิด 5 โครงการ 5 พันลบ. ESTAR ย้ำยอดขายปี 2553 ตามเป้า 1,680 ล้านบาท หลังคอนโดฯใหม่ 2 โครงการ "แวนเทจ รัชโยธิน-เดอะบรีซ นราธิวาสฯ" โกยยอดขายดีเกิน 50-60% ตุนแบ็กล็อกในมือกว่า 1,000 ล้านบาทจ่อบุ๊ครายได้ปี 2554-2555 ส่วนปีนี้ตั้งเป้ายอดขาย 2,500 ล้านบาท โตเกือบ 50% จากปีก่อน พร้อมลุยเปิดเพิ่ม 4-5 โครงการใหม่ มูลค่ากว่า 4-5 ล้านบาท หลังคาดตลาดอสังหาฯโต 10-12% (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 4-01-2011)
----------------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ตปท.

ข่าวต่างประเทศ
สหรัฐอเมริกา: สหรัฐเผยดัชนีภาคการผลิตเดือนธ.ค.ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 17 สถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยว่าดัชนีภาคการผลิตเดือนธ.ค.ขยายตัวที่ระดับ 57 จุด เพิ่มขึ้นจากเดือนพ.ย.ที่ระดับ 56.6 จุด และทำสถิติขยายตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 17 ซึ่งบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐยังคงอยู่ในระยะฟื้นตัว ดัชนี PMI ที่เคลื่อนตัวอยู่เหนือระดับ 50 จุดบ่งชี้ว่าภาคการผลิตมีการขยายตัว โดยในเดือนธ.ค.ที่ผ่านมานั้นอุตสาหกรรมการผลิต 11 ประเภทจากทั้งหมด 18 ประเภท มีการขยายตัว รวมถึงอุตสาหกรรมการผลิตเสื้อผ้า เครื่องจักร อุปกรณ์การขนส่ง อุปกรณ์ไฟฟ้า และผลิตภัณฑ์เคมี (ที่มา: อินโฟเควสท์ 4-01-2011)
จีน: จีนเผยดัชนี PMI ภาคบริการเดือนธ.ค.ขยายตัวสอดคล้องกับภาคการผลิต สมาพันธ์โลจิสติกและการจัดซื้อแห่งชาติของจีน (CFLP)เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการของจีนในเดือนธ.ค.ขยายตัวที่ระดับ 56.5 จุด เพิ่มขึ้น 3.3 จุดจากเดือนพ.ย. ดัชนีที่เคลื่อนไหวเหนือระดับ 50 จุดบ่งชี้ว่า ภาคบริการของจีนมีการขยายตัว ส่วนดัชนีที่เคลื่อนไหวต่ำกว่าระดับบ่งชี้ถึงภาวะหดตัวของภาคบริการ ก่อนหน้านี้ CFLPเปิดเผยว่า ดัชนี PMI ภาคการผลิตของจีนในเดือนธ.ค.ขยายตัวที่ระดับ 53.9 จุด ลดลง 1.3 จุด จากเดือนพ.ย.ที่ระดับ 55.2 จุด (ที่มา: อินโฟเควสท์4-01-2011)
เอเชีย: อินโดนีเซียเผยยอดส่งออกพุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในเดือนพ.ย.53 สำนักงานสถิติอินโดนีเซียเปิดเผยว่า ยอดส่งออกเดือนพฤศจิกายน 2553 พุ่ง 42.34% แตะที่ 1.534 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบปีต่อปี ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ทั้งนี้ สินค้าส่งออกของอินโดนีเซียประกอบด้วยผลิตภัณฑ์จากทรัพยากรธรรมชาติและสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ ซึ่งมีสัดส่วนกว่า 32% ของจีดีพีของประเทศ สำนักข่าวซินหัว
รายงาน (ที่มา: อินโฟเควสท์ 3-01-2011)
เอเชีย: อินโดนีเซียคาดผลผลิตถ่านหินทะยาน 23% ในปี 54 อินโดนีเซียคาดการณ์ว่าผลผลิตถ่านหินในประเทศจะขยายตัวราว 23% แตะที่340 ล้านตันในปี 2554 โดยได้รับแรงหนุนจากอุปสงค์ทั้งในและต่างประเทศที่ปรับตัวสูงขึ้น สุปริอัตนา ซูฮาลา กรรมการบริหารสมาคมการทำเหมืองถ่านหินแห่งอินโดนีเซีย เปิดเผยว่า ผลผลิตถ่านหิน 20% จากทั้งหมดจะถูกจัดแบ่งไว้สำหรับตลาดในประเทศ ส่วนที่เหลือจะส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศ โดยญี่ปุ่น อินเดีย จีน และเกาหลีใต้ จะยังคงเป็นผู้นำเข้าถ่านหินจากอินโดนีเซียรายใหญ่สุด (ที่มา: อินโฟเควสท์ 3-01-2011)

ตลาดหุ้นสหรัฐปิดบวกถึง 93.24 จุดต้อนรับปีใหม่เมื่อคืนนี้เนื่องจากมีสัญญาณในเชิงบวกเกี่ยวกับแนวโน้มการผลิตทั่วโลก ช่วยกระตุ้นให้นักลงทุนอัดฉีดเม็ดเงินใหม่เข้าสู่ตลาดอีกครั้ง
ตัวเลขภาคการผลิตในเดือน ธ.ค. ของสหรัฐขยายตัวเป็นเดือนที่ 17 ติดต่อกัน ขณะที่ค่าใช้จ่ายด้านการก่อสร้างในเดือน พ.ย. เพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือน มิ.ย.
ตัวเลขเงินเฟ้อของจีนชะลอลงในเดือน ธ.ค. ขณะที่ภาคการผลิตในยุโรปขยายตัวดีขึ้น
ส่วนตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ เปิดทำการส่วนใหญ่เป็นบวก แต่ยังมีกรอบการขยับขึ้นที่จำกัด ขณะที่เริ่มมีบางประเทศปรับตัวลดลงบ้างแล้ว เช่น ตลาดหุ้นไต้หวัน

ราคาน้ำมันในตลาดล่วงหน้า NYMEX ขยับขึ้น 17 เซนต์มาปิดตลาดที่ 91.55 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 3 ต.ค.2008 โดยได้รับแรงหนุนจากตัวเลขเศรษฐกิจที่ดีจากทั้งยุโรปและสหรัฐ รวมถึงคาดการณ์ที่ว่าอุณหภูมิในสหรัฐจะลดต่ำลงอีก
ราคาทองคำล่วงหน้าในตลาด COMEX ปิดเพิ่มขึ้น 1.50ดอลลาร์ มาอยู่ที่ 1422.90 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยได้รับแรงหนุนจากอุปสงค์ที่สะสมไว้ในวันเปิดทำการวันแรกของปีใหม่
----------------------------------------------------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น