Code 216 : แกว่งตัวต่อไปในกรอบ 1024 - 44

วันพฤหัสที่ 16 ธันวาคม 2553

ATT Code : แกว่งตัวต่อไปในกรอบ 1024 - 44
----------------------------------------------------------------------------------
MARKET WAVE Analysis
16 ธค. 53 ( -1.94 จุด) โกมล พงศ์วิญญู เลขทะเบียน 18338

แกว่งตัวในกรอบ 1031 – 39 จุด
ภาพในวันพุธนี้ ดัชนีมีแนวโน้มแกว่งตัวในกรอบแคบระหว่าง 1031 – 39 หรือระหว่างจุดต่ำสุดของวันจันทร์ ถึงจุดสูงสุดของวันพุธ

ขณะที่ภาพระยะสัปดาห์ ตลาดน่าจะแกว่งตัวขึ้นลงในกรอบ 1024 – 44 หรือระหว่างจุดต่ำสุดของสัปดาห์ที่แล้ว ถึงจุดสูงสุดของสัปดาห์นี้

แต่ถ้ามีการปรับตัวลง ต่ำกว่า 1020 จุดเส้นค่าเฉลี่ย 25 วัน ดัชนีมีโอกาสที่จะปรับตัวตัวลงต่อบริเวณ 940 – 980 จุด ช่วงปลายปีนี้ถึงต้นปีหน้า ใกล้เส้นค่าเฉลี่ย 25 สัปดาห์ ในรูปแบบของ wave c flat or c triangle ??

หุ้นเด่น
BLA
มีโอกาสปรับตัวในคลื่น 4 เพื่อรอขึ้นต่อคลื่น 5ภาพระยะวัน ทยอยซื้อแถว 30.75 – 31.25หรือซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 32.00 จุดสูงสุดวันพุธ เป้าหมายหนึ่งถึงสองวัน 32.75 – 33.25( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 30.50 )

STEC
กำลังปรับตัวในกรอบสามเหลี่ยม ภาพระยะสัปดาห์ รอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 14.60กรอบบนของสามเหลี่ยม เป้าหมายระยะสัปดาห์ 16.00 – 18.00( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 14.00 )

10 อันดับซื้อขายสูงสุด
TOP เกิน 80 ขึ้น 80.50 – 81.50
IRPC เกิน 6.10 ขึ้น 6.20 - 6.30
PTTAR ไม่ต่ำกว่า 40 ขึ้น 42 – 43
PTT ต่ำกว่า 318 ทยอยลง 301 - 305
TRUE แกว่งตัว 5.90 – 6.70
PTTCH แกว่งตัว 145 – 153
IVL ต่ำกว่า 59 ลง 57 – 57.50
BGH ต่ำกว่า 42.75 ลง 37 – 39
STEC รายละเอียดใน “หุ้นเด่น”
KTB แกว่งตัว 16.40 – 17.30

----------------------------------------------------------------------------------
E Finance Thai : BGHกินรวบธุรกิจโรงพยาบาล!!
BGH ทุ่ม 1.2 หมื่นล้านบาท เทกโอเวอร์"เฮลท์ เน็ตเวิร์ค" ส่งผลฮุบ"พญาไท-เปาโลฯ"เบ็ดเสร็จ กินรวบธุรกิจโรงพยาบาล ดันมาร์เก็ตแคปทะลุ 1.5 พันล้านเหรียญ ใหญ่ที่สุดอันดับสองของอาเซียน โบรกเกอร์ประเมินเพิ่มมูลค่าให้ BGH 4 บาทต่อหุ้น แต่สัดส่วนไดลูทลงเกือบ 20% เพราะต้องออกหุ้นเพิ่มทุน 307 ล้านหุ้นไปแลก ด้าน"หมอปราเสริฐ"เผยธุรกิจโรงพยาบาลต้องปรับตัวรองรับเปิดเสรีปี 56 หวั่นธุรกิจขนาดเล็กถูกต่างชาติไล่ฮุบ

เซอร์ไพรส์ไปตามๆกัน!! เมื่อบริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน)หรือ BGH ประกาศเทกโอเวอร์กิจการบริษัทเฮลท์ เน็ตเวิร์ค ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในเครือโรงพยาบาลพญาไทและโรงพยาบาลเปาโล เมโมเรียล ด้วยวงเงินกว่า 1.2 หมื่นล้านบาท ส่งผลให้โรงพยาบาลในเครือ BGH ก้าวขึ้นมาเป็นโรงพยาบาลแถวหน้าในแถบอาเซี่ยนด้วยขนาดมาร์เก็ตแคปไม่ต่ำกว่า 1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ และดันสินทรัพย์ รายได้ กำไรโตขึ้นกว่า 40% โดยรายได้จะเพิ่มขึ้นแตะ 3.4 หมื่นล้านบาท ขณะที่สินทรัพย์จะเพิ่มขึ้นเป็น 4.5 หมื่นล้านบาท

การเทกโอเวอร์ครั้งนี้ BGH จะเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 307,197,070 หุ้น เพื่อแลกกับหุ้น"เฮลท์ เน็ตเวิร์ค" รวมทั้งยังต้องใช้หุ้นและเงินสดบางส่วนในการทำเทนเดอร์ฯหุ้นโรงพยาบาลพญาไท(PYT) ส่งผลให้เกิดไดลูชั่นต่อหุ้น BGH ประมาณ 19.8% อย่างไรก็ตามจากการประเมินเบื้องต้นการรวมกิจการดังกล่าวช่วยเพิ่มมูลค่าหุ้นให้กับ BGH ประมาณ 4 บาทต่อหุ้น

ขณะที่ราคาหุ้นในกระดานวันนี้เปิดตลาดกระโดดขึ้นแรงรับข่าวทันที โดยเปิดตลาดที่ระดับ 44 บาท ก่อนที่จะเพิ่มขึ้นแตะระดับสูงสุดที่ 47 บาท ก่อนที่จะย่อตัวลงมาปิดที่ระดับ 45.50 บาท เพิ่มขึ้น 6.25 บาท หรือ 15.92% ด้วยมูลค่าการซื้อขายหนาแน่น 1.38 พันล้านบาท

***** BGH ควบ "เฮลท์ เน็ตเวิร์ค"ดันสินทรัพย์แตะ 4.5 หมื่นลบ.
นายแพทย์ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ ประธานคณะผู้บริหารและกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน)หรือ BGH กล่าวว่า บริษัทฯจะเทกโอเวอร์กิจการบริษัทเฮลท์ เน็ตเวิร์ค ซึ่งเป็นเจ้าของโรงพยาบาลพญาไท-เปาโลฯ โดยการออกหุ้นเพิ่มทุนและเงินสดเพื่อเป็นมูลค่าสิ่งตอบแทนให้แก่ เฮลท์ เน็ตเวิร์ค รวมทั้งทำคำเสนอหุ้นที่เหลือของบริษัทประสิทธิ์พัฒนา จากผู้ถือหุ้นรายย่อย โดยมีกำหนดขออนุมัติจากที่ประชุมใหญ่วิสามัญผู้ถือหุ้นของกรุงเทพดุสิตเวชการในวันที่ 24 ก.พ.2554 และคาดว่าการทำรายการจะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 2 ปีหน้า

การร่วมกิจการครั้งนี้ทำให้รายได้รวม 12 เดือนย้อนหลังของ BGH รวมถึงไตรมาสนี้เพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 34,000 ล้านบาท สินทรัพย์รวมประมาณ 45,000 ล้านบาท และจะมีจำนวนโรงพยาบาลรวม 27 แห่ง จำนวนเตียงจดทะเบียนรวม 4639 เตียง และปัจจุบันได้ให้การดูแลคนไข้นอกประมาณ 20,000 คนต่อวัน

โดย BGH มีมติออกหุ้นเพิ่มทุนทั้งหมดจำนวนไม่เกิน 307,197,070 หุ้น จากปัจจุบัน 1,246,035,935 หุ้น หากมีการใช้หุ้นทั้งจำนวนในการทำรายการโอนกิจการจาก เฮลท์ เน็ตเวิร์ค และทำคำเสนอซื้อหุ้นของประสิทธิ์พัฒนาจะทำให้เกิดไดลูทชั่นต่อผู้ถือหุ้นปัจจุบันของกรุงเทพดุสิตเวชการไม่เกิน 19.8%
ทั้งนี้รายการดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากกรุงเทพดุสิตเวชการและ เฮลท์ เน็ตเวิร์ค ประกาศร่วมกิจการเพื่อผนึกกำลังทางธุรกิจและให้บริการที่ครบวงจรพร้อมทั้งเป็นผู้นำในเอเชียแปซิฟิก โดย BGH เป็นผู้ประกอบการในเครือโรงพยาบาลกรุงเทพ โรงพยาบาลสมิติเวช โรงพยาบาล BNH ส่วนบริษัท เฮลท์ เน็ตเวิร์ค เป็นผู้ประกอบการเครือโรงพยาบาลพญาไทและโรงพยาบาลเปาโล

การร่วมกิจการครั้งนี้ทำให้รายได้รวม 12 เดือนย้อนหลังของ BGH รวมถึงไตรมาสนี้ประมาณ 34,000 ล้านบาท สินทรัพย์รวมประมาณ 45,000 ล้านบาท และจะมีจำนวนโรงพยาบาลรวม 27 แห่ง จำนวนเตียงจดทะเบียนรวม 4639 เตียง และปัจจุบันได้ให้การดูแลคนไข้นอกประมาณ 20,000 คนต่อวัน
นายแพทย์ปราเสริฐ กล่าวว่า การร่วมกิจการระหว่าง BGH กับเฮลท์ เน็ตเวิร์ค เพื่อรองรับกติกาประชาคมอาเซียนในปี 2015 ซึ่งประชาคมอาเซียนทั้งหมด 11 ประเทศ มีประชากร 600 ล้านคนจะไปมาหาสู่กันสะดวกมากขึ้น โดยเฉพาะการที่ในปี 2012 จะมีนักท่องเที่ยวจากต่างชาติที่เข้ามาท่องเที่ยวทางด้านการแพทย์ในไทยคิดเป็นมูลค่าประมาณ 4.5 แสนล้านบาท

ทั้งนี้ การร่วมกิจการดังกล่าวจะทำให้สามารถรองรับนักท่องเที่ยวกลุ่มดังกล่าวได้ เพราะนโยบายภาครัฐยังไม่มีการสนับสนุนให้ไทยเป็นศูนย์กลางทางด้านการแพทย์ เนื่องจากเกรงว่าแพทย์จากโรงพยาบาลของรัฐบาลจะย้ายมาอยู่กับภาคเอกชน ทั้งที่ในความเป็นจริงมีนักศึกษาแพทย์ที่เรียนจบต่อปีว่างงานถึง 800 คน ส่งผลให้ต้องไปเรียนต่อต่างประเทศและไปทำงานตามโรงพยาบาลชุมชนที่ห่างไกล

'ปี 2015 ประชาคมอาเซียนทำมาหากินระหว่างประเทศไทยได้สะดวกมากขึ้น และในปี 2012 จะมีนักท่องเที่ยวจากต่างชาติที่เข้ามารักษาทางการแพทย์ในไทยประมาณ 4.5 แสนล้านบาท ถ้าเราปิดประตู นักท่องเที่ยวก็จะไหลไปที่สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดฯ ดังนั้นการร่วมกิจการดังกล่าวจะรองรับนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ได้ รวมถึงรองรับกลุ่มคนไทยที่มีรายได้สูงและลงไปรักษาโรคที่ต่างประเทศ' นายแพทย์ปราเสริฐ กล่าว

ทั้งนี้ เชื่อว่าตั้งแต่ปี 2556 เป็นต้นไปธุรกิจโรงพยาบาลขนาดเล็กซึ่งอยู่โดดเดี่ยวมีโอกาสที่จะถูกไล่ซื้อจากต่างชาติ โดยต่างชาติมองว่าโรงพยาบาลเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่น่าสนใจเข้ามาบริหารจัดการ ดังนั้นการรวมกิจการระหว่างโรงพยาบาลด้วยกันจะส่งผลดีทำให้เพิ่มความแข็งแกร่งในการทำธุรกิจ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติ เพียงแต่ในประเทศไทย ด้วยกฏกติกาของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และเรื่องของภาษีมีรายละเอียดมากและต้องใช้เวลา ทำให้ในไทยไม่ค่อยเห็นการรวมกิจการมากนัก

ด้านนางนฤมล น้อยอ่ำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน BGH กล่าวว่า ภายหลังจาก BGH เข้าซื้อกิจการบริษัทเฮลท์ เน็ตเวิร์ค ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของโรงพยาบาลพญาไท และเปาโลฯ จะส่งผลให้ขนาดของมาร์เก็ตแคปเพิ่มขึ้นมากกว่า 25% จากปัจจุบันที่มีมาร์เก็ตแคป อยู่ที่ 1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งอยู่ในอันดับ 2 ของอาเซียน และแม้ว่าลำดับของมาร์เก็ตแคปจะไม่เปลี่ยนแปลง แต่ขนาดของมาร์เก็ตแคปเพิ่มขึ้นมาใกล้เคียงผู้ประกอบการโรงพยาบาลในอันดับ 1 ของอาเซียนมากขึ้น

นอกจากนี้ การซื้อกิจการดังกล่าวจะทำให้ขนาดสินทรัพย์ รายได้ และกำไรโตมากกว่า 40% และมีมาร์เก็ตแชร์จำนวนเตียงผู้ป่วยอยู่ที่ 12% เมื่อเทียบกับโรงพยาบาลเอกชนในประเทศไทย หรือมีจำนวนเตียงจดทะเบียน 4,639 เตียง จากทั้งหมด 35,000 เตียง

สำหรับกำไรของ BGH ปีนี้คาดว่าจะเติบโตมากกว่า 20% เนื่องจากในปีนี้บริษัทฯ มีการขยายโรงพยาบาลในเขตภาคตะวันออกและภาคใต้ ทำให้รองรับผู้ป่วยได้เพิ่มมากขึ้น ประกอบกับการรักษาโรคที่มีความซับซ้อนมากขึ้น รวมถึงการปรับค่าใช้จ่ายต่างๆ จึงน่าจะทำให้ผลกำไรออกมาค่อนข้างดี

***** ทิสโก้มองส่งผลดีต่อบริษัท แนะซื้อให้เป้า53บ.
บทวิเคราะห์บล.ทิสโก้ ระบุว่า แนะนำซื้อ BGH และให้ราคาเป้าหมาย 53 บาท โดย BGH ประกาศเข้าควบรวมกิจการกับ บมจ. Health Network (เครือโรงพยาบาลพญาไท และ เครือโรงพยาบาลเปาโล เมมโมเรียล) โดยจะเป็นการแลกหุ้นกันระหว่าง Health Network และ BGH ที่ราคา BGHหุ้นละ 37.75 บาท หลังจากธุรกรรมนี้เสร็จสิ้น ผู้ถือหุ้นใหญ่ของ Health Network จะถือหุ้นราว 15-16% ของหุ้นใน BGH

ก่อนการเข้าซื้อกิจการ BGH ถือหุ้น 19.47% ในเครือโรงพยาบาลพญาไท (PYT) หลังจากการเข้าซื้อ BGH จะมีสัดส่วนถือหุ้นเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 49.17% BGH ต้องเสนอซื้อ (tender offer) สำหรับหุ้นส่วนที่เหลือ (31.36%) ของ PYT ทั้งนี้ BGH อาจจะพิจารณา 2 ทางเลือกสำหรับผู้ถือหุ้นรายย่อย คือ 1) ให้เงินสด 3.71 บาทสำหรับ 1 หุ้น PYT หรือ 2) ออกหุ้นใหม่ของ BGH ที่ราคา 37.50 บาท ด้วยอัตราส่วน 10.1706 หุ้น PYT ต่อ 1 หุ้น BGH

การเข้าซื้อในครั้งนี้มีต้นทุนราว 1.26 หมื่นล้านบาท ซึ่งเงินที่ใช้สนับสนุนจะมาจาก 1) การเพิ่มทุน 307.2 ล้านหุ้นมาอยู่ที่ 1,553.39 ล้านหุ้น (+25%) ด้วยราคาเสนอขาย 37.75 บาทต่อหุ้น 2) เงินสดภายในองค์กร 680 ล้านบาท และ 3) การรับโอนหนี้เงินกู้ 430 ล้านบาท บริษัทจะมีการประชุมผู้ถือหุ้นในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2554

ด้านผลกระทบ Dilution ต่อ EPS จะอยู่ที่ราว 22% แต่ผลประกอบการน่าจะเพิ่มขึ้น 30% จากการเข้าซื้อกิจการ (ราว 1 พันล้านบาทต่อปี) ซึ่งมากพอที่จะชดเชยผลกระทบข้างต้น เราคาดว่า EPS ใหม่น่าจะอยู่ที่ 2.58 บาทในปี 2554F (เทียบกับ 2.41 บาทในปัจจุบัน) อนึ่ง เรายังไม่รวมการเข้าซื้อในครั้งนี้ไว้ในประมาณการของเรา

เรามีมุมมองที่ดีต่อการเข้าซื้อกิจการ เนื่องจากจะช่วยให้ BGH เพิ่มลูกค้าเป้าหมายและรายได้ ลูกค้าเป้าหมายของ BGH คือกลุ่มตลาดลูกค้าที่มีรายได้สูง ขณะที่กลุ่มเป้าหมายของ PYT และเปาโลคือกลุ่มลูกค้าระดับกลางและกลุ่มประกันสุขภาพ นอกจากนี้ยังช่วยกระตุ้นจำนวนโรงพยาบาลในเครือข่ายของ BGH จาก 19 โรง มาเป็น 27 โรง และจำนวนเตียงเพิ่มจาก 2,992 เตียงมาเป็น 4,639 เตียง เรายังคงแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 53 บาท (DCF)

***** เกียรตินาคินชี้ช่วยเพิ่มมูลค่าหุ้น 4 บาท
บทวิเคราะห์บล.เกียรตินาคิน ระบุว่า BGH เข้าซื้อกิจการทั้งหมดของเครือรพ.พญาไท และ เครือรพ.เปาโล เมโมเรียล ด้วยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุน 230.87 ล้านหุ้น @ ราคาหุ้นละ 37.75 บาท และเงินสด 680 ล้านบาท บอร์ด BGH อนุมัติเข้าซื้อกิจการทั้งหมดของบมจ.เฮลท์ เน็ตเวิร์ค ซึ่งลงทุนในเครือรพ.พญาไท สัดส่วน 49.17% (บริษัทร่วม) และเครือรพ.เปาโล เมโมเรียล สัดส่วน 100% (บริษัทย่อย) เป็นจำนวนรวมไม่เกิน 9,825.36 ล้านบาท ด้วยหุ้นสามัญเพิ่มทุน 230.87 ล้านหุ้น @ ราคาหุ้นละ 37.75 บาท และเงินสด 680 ล้านบาท รวมถึงรับโอนหนี้เงินกู้และดอกเบี้ยค้างจ่ายจาก เฮลท์ เน็ตเวิร์ค จำนวนไม่เกิน 430 ล้านบาท

การซื้อกิจการด้วยการออกหุ้นสามัญ ทำให้ต้องเพิ่มทุนจำนวน 307.197 ล้านหุ้น (พาร์หุ้นละ 1 บาท)BGH ประกาศลดทุนจดทะเบียนจาก 1,312.26 ล้านบาท เป็น 1,246.19 ล้านบาท โดยตัดหุ้นที่ยังมิได้ออกจำหน่ายจำนวน 66.07 ล้านหุ้น (พาร์หุ้นละ 1 บาท) พร้อมประกาศเพิ่มทุนจดทะเบียน ด้วยการออกหุ้นสามัญจำนวน 307.2 ล้านหุ้น (พาร์หุ้นละ 1 บาท) เป็น 1,553.39 ล้านบาท

BGH ต้องทำ Tender offer ผุ้ถือหุ้นรายย่อยของ บมจ.ประสิทธิพัฒนา (เครือ รพ.พญาไท)บริษัทฯ กำหนดไว้ 2 ทางเลือก 1) เป็นเงินสดราคาหุ้นละ 3.71 บาท หรือ 2) หุ้นสามัญเพิ่มทุนที่ราคาหุ้นละ 37.75 บาท โดยบริษัทฯ จะออกหุ้นสามัญ 72.2 ล้านหุ้น คิดเป็น 10.17 หุ้นของ บมจ.ประสิทธิพัฒนา ต่อ 1 หุ้นของบริษัทฯ การเข้าซื้อกิจการดังกล่าว จะต้องขออนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นฯ บริษัทฯ กำหนดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2554 ในวันที่ 24 ก.พ.54 โดยกำหนดวันปิดสมุดทะเบียนฯ เพื่อเข้าร่วมประชุมวันที่ 27 ม.ค.54 จะขึ้นเครื่องหมาย XM วันที่ 24 ม.ค.54

เราประเมินการเพิ่มทุนจดทะเบียน 307.197 ล้านหุ้น (พาร์หุ้นละ 1 บาท) เป็น 1,553.39 ล้านบาท เพื่อเข้าซื้อกิจการครั้งนี้ จะเกิด dilution effect ประมาณ 19.8% (กรณี Tender Offer ในส่วนผู้ถือหุ้นรายย่อยของ บมจ.ประสิทธิพัฒนา) ทั้งนี้กรณี Tender Offer เป็นเงินสด จะเกิด dilution effect ประมาณ 15.7%

การเข้าซื้อกิจการครั้งนี้ จะทำให้กลุ่ม BGH มีโรงพยาบาลในเครือเพิ่มเป็น 27 แห่ง จากปัจจุบัน 19 แห่ง และครองส่วนแบ่งตลาดโรงพยาบาลเอกชนระดับกลาง-บน เป็นอันดับ 1 โดยเบื้องต้นเราประโยชน์ที่ BGH ได้ภายหลังซื้อกิจการครั้งนี้ จะเพิ่มมูลค่าต่อหุ้นประมาณ 4.00 บาท จากมูลค่าเหมาะสมปัจจุบันที่ 38 บาท อิงสมมติฐาน
1)รายได้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นประมาณ 10,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 40% จากรายได้ปัจจุบันของกลุ่ม BGH คิดเป็น 5% ของกำไรกลุ่ม BGH
2) EBITDA มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 15% จากปัจจุบัน EBITDA ของกลุ่ม BGH คิดเป็น 1% ของกำไรกลุ่ม BGH พิจารณาราคาหุ้น BGH ปรับขึ้นปิดตลาดที่ราคาสูดสุดของวัน มองว่าประเด็นบวกดังกล่าวสะท้อนสู่ราคาหุ้นไปบางแล้ว ทำให้เหลือ upside 7% จากมูลค่าเหมาะสมใหม่ที่ 42 บาท (ประเมินเบื้องต้น) แนะนำ “เก็งกำไร”
----------------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย
FSS : ยังรอหาจังหวะทยอยเลือกหุ้นเข้าซื้อเมื่อตลาดปรับตัวลงต่อได้!!
แนวโน้ม: จากความกังวลต่อปัญหาหนี้สินในยุโรปที่กลับมากดดันอีกครั้ง หลังมูดี้ส์ เตรียมปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือตราสารหนี้ของสเปน ทำให้ตลาดหุ้น
ต่างประเทศเช้านี้ส่วนใหญ่อยู่ในแดนลบ ขณะที่ตลาดหุ้นไทยในระยะนี้ก็มักจะมีแรงขายทำกำไรออกมาอยู่เป็นระยะๆ ทำให้ FSS ยังคาดว่า SET ยังมีแนวโน้มแกว่งตัวลงในกรอบแกว่ง 1020-1044 จุดได้อยู่ ดังนั้นจังหวะเลือกหุ้นเข้าซื้อ เราจึงยังแนะนำให้ดูในช่วงที่ตลาดปรับตัวลงไปเคลื่อนไหวเป็นลบ โดยเฉพาะที่ระดับดัชนีใกล้ๆ 1020 จุดจะเหมาะสมกว่า โดยเรายังคาดหมายแรงซื้อจากกองทุน LTF และ RMF ทีมีโอกาสที่จะมีเพิ่มเติมในสัปดาห์หน้า หลังการจัดงานมหกรรมกองทุนของ ตลท. ในช่วง 16-19 ธ.ค.นี้
กลยุทธ์: แนะนำให้รอเลือกหุ้นเข้าซื้อเมื่อตลาดปรับตัวลง โดยหุ้นที่น่าสนใจได้แก่ BANPU, BIGC, KTB, PTL, SEAFCO, AP, CSL, DELTA, DRT, LPN,PTT, PTTEP, KTB, KBANK, SCB, TASCO, AMATA, PS, SPALI, CK, STEC
เป็นต้น
ประเด็นสำคัญวันนี้
• (-) กลุ่มมือถือ แหล่งข่าวเผยคณะกรรมการตามมาตรา 22 ได้ส่งข้อสรุปต่อกระทรวง ICT ข้อสรุปกรณีการแก้ไขสัญญาสัมปทานมือถือระหว่าง ADVANCกับ TOT ว่าให้ ADVANC กลับไปจ่ายส่วนแบ่งรายได้ตามสัญญาสัมปทานก่อนการแก้ไขในอัตรา 30% ข่าวนี้เป็นลบกับ ADVANC และหุ้นมือถืออื่นๆทั้งนี้ ประเด็นการตรวจสอบการแก้ไขสัญญาสัมปทานในอดีตดังกล่าว เป็นPending issue มาตั้งแต่ช่วงเดือนมี.ค. 10 หลังคำตัดสินของศาลในคดีทักษิณ ผลกระทบกับ ADVANC หากต้องจ่ายค่าสัมปทานเพิ่มใน 5 ปีข้างหน้าถึงปี 2015 จะกระทบเป้าหมายประมาณ 9 บาทต่อหุ้น จากเป้าหมายเดิม 104บาท จะเหลือ 95 บาท แต่ถ้าสรุปว่าให้ ADVANC ต้องจ่ายย้อนหลังหลายหมื่นล้านบาท เชื่อว่า ADVANC ไม่ยอมและให้เรื่องไปจบในอนุญาโตตุลาการหรือศาล
• (+) BGH การรวมกิจการของ 4 โรงพยาบาลใหญ่ของไทยครั้งนี้ คือ รพ.กรุงเทพ รพ.พญาไท รพ.เปาโล และรพ.สมิติเวช ทำให้ครอบคลุมทุกตลาดสุขภาพของไทย กลายเป็นกลุ่มโรงพยาบาลที่ใหญ่ที่สุดทั้งในแง่สินทรัพย์และรายได้เป็นอันดับ 2 ในเอเชียไม่รวมญี่ปุ่น รองจาก รพ.Ramsay ในออสเตรเลีย เราปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 65 บาท บริษัทคาดว่าดีลจะแล้วเสร็จ 2Q11 ภายหลังการประชุมผู้ถือหุ้น 24 ก.พ. 2011 เรายังคงแนะนำซื้อ
• (0) ตลาดฯ ประกาศหุ้นที่เข้าคำนวณ SET50 (ใช้ 1 ม.ค. – 30 มิ.ย.2011) – เข้า BTS, DCC, KK, ROBINS, SSI, STA ออก – KSL, QH, BCP,PSL, TTA, HANA // ส่วนหุ้นที่คาดว่าเข้าคำนวณ SET100 – เข้า GLOBAL,KKC, SMT ออก BMCL, GJS, SC
• Fund Flow วานนี้ยังไหลเข้าต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ 11 ติดต่อกัน แม้ตลาดจะมีความกังวลเกี่ยวกับผลการสำรวจความเชื่อมั่นทางธุรกิจของญี่ปุ่นที่ออกมาไม่ดีนัก และตัวเลขเศรษฐกิจอเมริกาออกมาดีทำให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น แต่ก็ไม่ได้กระทบต่อเม็ดเงินไหลเข้าตลาดหุ้นภูมิภาคแต่อย่างใด สำหรับแนวโน้มวันนี้เรายังเชื่อว่ากระแสเงินทุนยังไหลเข้าต่อเนื่อง ตราบใดที่อัตราดอกเบี้ยและแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในภูมิภาคเอเชียยังเป็นขาขึ้น

ข่าวภายในประเทศ
สื่ออิเหนาตีข่าวสะพัด! PTTEP จ่าย 7.6 หมื่นล้าน “อนนต์” ลั่นสมอ้างกันไปเอง ไม่เคยมีข้อตกลงจ่ายเงิน สื่ออินโดนีเซียตีข่าวสะพัดอ้างPTTEP ยอมรับผิดตกลงจ่ายกว่า 76,800 ล้านบาท เพื่อชดเชยค่าเสียหายจากมอนทารา “อนนต์” ปฏิเสธลั่นไม่เคยยอมชดเชยให้อินโดนีเซีย ระบุยังไม่เคยหารือตัวเลขชดเชยค่าเสียหายแต่อย่างใด ที่ผ่านมาประสานงานกันแค่เรื่องข้อมูลเท่านั้น เตรียมงัดหลักฐานสู้เต็มที่ (ทมี่ า: นสพ.ข่าวหุ้น 16-12-2010)
BGH ฮุบ “พญาไท-เปาโล” กำไรพุ่ง 40% ปันผล 80 สต. BGH ทุ่มเงินหมื่นล้านบาท เข้าฮุบกิจการ รพ.พญาไท-เปาโล “หมอเสริฐ” ชี้เร่งเสริม
ศักยภาพท้าชนตลาดเลือด แถมพุงกางรายได้ กำไร สินทรัพย์เพิ่มอีก 40% ลั่นกระบวนการจบต้นปีหน้า “วิชัย” เตือนนักลงทุนซื้อขายระวัง หวั่นราคาหุ้นร้อนเกินเหตุ (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 16-12-2010)
EARTH ส่ง APC เทรด Q1 ปีหน้า ลั่นปีหน้ายอดขายโต 40% รับดีมานด์-กำลังผลิตเพิ่ม EARTH เล็งนำหุ้น APC เข้าเทรดใหม่ มี.ค.-เม.ย. 54ภายใต้ธุรกิจถ่านหิน ลั่นปีหน้ายอดขายเติบโต 40% จากปีนี้อยู่ที่ 1.8 พันล้านบาท และรักษาอัตรากำไรขั้นต้น 15% เนื่องจากมีดีมานด์เพิ่มขึ้น รวมทั้ง
ปีหน้ามีกำลังการผลิตใหม่เพิ่มขึ้นอีก 6-8 หมื่นตันต่อเดือน สยายปีกรุกตลาดจีน หวังเพิ่มฐานลูกค้า เหตุมีความต้องการจำนวนมาก (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น
16-12-2010)
SIRI ยอดขายทะลุเป้า 2.6 หมื่นล้าน Q4 ทำนิวไฮโกยหมื่นล้าน เพิ่มเป้าทั้งปีแตะ 2.7 หมื่นลบ. "แสนสิริ" จี๊ดกวาดยอดขายทะลุเป้าแล้ว26,000 ล้านบาท หลังไตรมาสสุดท้ายทุบสถิติโกยยอดขาย10,000 ล้านบาท สูงที่สุดที่เคยทำได้ในไตรมาสเดียว พร้อมปรับเป้ายอดขายทั้งปีเป็น27,000 ล้านบาท รับกำลังซื้อช่วงที่เหลือของปี เตรียมเปิดขายคอนโด “Via Botani" บนสุขุมวิท 49 มูลค่ารวม 950 ล้านบาท ชูคอนเซ็ปต์รักษาต้นไม้ใหญ่ใจกลางกรุงเทพฯ ราคาเริ่มต้น 4.39 ล้านบาท ปิดการขายไตรมาสสุดท้าย (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 16-12-2010
----------------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ตปท.

ข่าวต่างประเทศ
สหรัฐอเมริกา: สหรัฐเผยดัชนี CPI เดือนพ.ย.เพิ่มขึ้นน้อยเกินคาด 0.1% บ่งชี้ภาวะเงินเฟ้อสหรัฐยังต่ำ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิด เผยว่าดัชนีราคาผู้บริโภค (ซีพีไอ) ซึ่งเป็นดัชนีวัดเงินเฟ้อที่สำคัญ เพิ่มขึ้นเพียง 0.1% ในเดือนพ.ย. น้อยกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.2%ซึ่งบ่งชี้ว่าภาวะเงินเฟ้อในสหรัฐยังคงอยู่ในระดับต่ำ ดัชนีซีพีไอเดือนพ.ย.อยู่ในระดับต่ำกว่าเดือนต.ค.ที่มีการขยายตัว 0.2% ส่วนดัชนีซีพีไอพื้นฐานซึ่งไม่นับรวมราคาในหมวดอาหารและพลังงานในเดือนพ.ย. ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.8% เมื่อเทียบเป็นรายปี (ที่มา: อินโฟเควสท์ 16-12-2010)
สหรัฐอเมริกา: สหรัฐเผยสต็อกน้ำมันดิบสัปดาห์ที่แล้วร่วงเกินคาด 9.9 ล้านบาร์เรล สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของสหรัฐรายงานว่าสต็อกน้ำมันดิบในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุด ณ วันที่ 10 ธ.ค.ร่วงลง 9.9 ล้านบาร์เรล แตะระดับ 346.0 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะลดลงเพียง 2.5 ล้านบาร์เรล ขณะที่สต็อกน้ำมันกลั่นเพิ่มขึ้น 1.1 ล้านบาร์เรล แตะระดับ 161.3 ล้านบาร์เรล สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง500,000 บาร์เรล และสต็อกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 800,000 บาร์เรล แตะระดับ 214.8 ล้านบาร์เรล น้อยกว่าที่คาดว่าจะพุ่งขึ้นถึง 1.7 ล้านบาร์เรล ส่วนอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันพุ่งขึ้น 0.5% แตระดับ 88.0% (ที่มา: อินโฟเควสท์ 16-12-2010)
จีน: สื่อเผยจีนตั้งเป้าเศรษฐกิจโต 8% - CPI โต 4% ในปี 2554 หนังสือพิมพ์ไชน่า ซิเคียวริตี้ส์ เจอร์นัล รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ว่า รัฐบาลจีนได้กำหนดเป้าหมายการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ในปี 2554 ไว้ที่ 8% และการขยายตัวของดัชนีราคาผู้บริโภค(CPI) ที่ประมาณ 4% ทั้งนี้ จีนได้กำหนดเป้าหมายการเติบโตของเศรษฐกิจไว้ที่ 8% ต่อปีมาตั้งแต่ปี 2549 และมีตัวเลขการเติบโตจริงสูงกว่าเป้าหมายมาโดยตลอด ดั้งนั้น ผู้เชี่ยวชาญหลายรายจึงเชื่อว่าอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจจีนในปี 2554 จะสูงกว่าเป้าหมาย 8% เช่นกัน (ที่มา: อินโฟเควสท์ 15-12-2010)
เอเชีย: อัตราว่างงานเกาหลีใต้เดือนพ.ย.ร่วงลงหลังจากเศรษฐกิจฟื้นตัว สำนักงานสถิติเกาหลีใต้เปิดเผยว่า อัตราว่างงานของเกาหลีใต้ในเดือนพ.ย.ร่วงลงจากระดับปีที่แล้ว เนื่องจากภาคเอกชนมีการจ้างงานมากขึ้น หลังจากที่ได้รับปัจจัยหนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ สำนักข่าวยอนฮัพรายงานว่า อัตราว่างงานของเกาหลีใต้อยู่ที่ 3% ในเดือนพ.ย. ลดลงจากระดับปีที่แล้ว 3.3% (ที่มา: อินโฟเควสท์ 15-12-2010)
เอเชีย: เกาหลีใต้เกินดุลการค้าเดือนพ.ย. 2.67 พันล้านดอลลาร์หลังส่งออกแข็งแกร่ง สำนักงานศุลกากรเกาหลีใต้เปิดเผยว่า เกาหลีใต้มียอดเกินดุลการค้าต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 10 ในเดือนพ.ย. เนื่องจากการส่งออกยังคงแข็งแกร่งหลังจากที่เศรษฐกิจโลกฟื้นตัว สำนักข่าวยอนฮัพรายงานว่ายอดเกินดุลการค้าของเกาหลีใต้ในเดือนพ.ย.อยู่ที่ 2.67 พันล้านดอลลาร์ เมื่อเปรียบเทียบกับยอดเดือนต.ค.ที่ 6.41 พันล้านดอลลาร์ (ที่มา: อินโฟเควสท์ 15-12-2010)
เอเชีย: เกาหลีใต้คาดมูลค่าการค้าปีหน้าสูงกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ เกาหลีใต้เผยนโยบายปีหน้าจะพุ่งเป้าไปที่การส่งเสริมระบบสาธารณูปโภคด้าน เศรษฐกิจ และการทำธุรกิจ ขณะที่มูลค่าการค้าในปี 2554 คาดว่าจะสูงกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ สำนักข่าวยอนฮัพรายงานว่า กระทรวงเศรษฐกิจระบุในรายงานที่ส่งมอบให้ประธานาธิลี เมียงบัค ว่า มูลค่าการส่งออกปีหน้าคาดว่าจะอยู่ที่ 5.13 แสนล้านดอลลาร์เพิ่มขึ้นประมาณ 10% จากระดับปีนี้ ส่วนมูลค่านำเข้าอาจจะขยายตัวขึ้นประมาณ 15% แตะ 4.88 แสนล้านดอลลาร์ (ที่มา: อินโฟเควสท์ 15-12-2010)
จีน: สื่อเผยธนาคารกลางจีนยังไม่ขึ้นดอกเบี้ยเร็วๆ นี้ หวั่นอาจเปิดช่องให้เกิดกระแสเงินเก็งกำไร หนังสือพิมพ์ซีเคียวริตี้ ไทม์ รายงานอ้างการเปิดเผยของแหล่งข่าวว่า ธนาคารกลางจีนอาจยังไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยในระยะนี้ เนื่องจากการปรับขึ้นดอกเบี้ยอาจกระตุ้นให้มีกระแสเงินเก็งกำไรไหลเข้าสู่ตลาดจีนมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ แหล่งข่าวเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของจีนอาจปรับตัวลดลงในเดือนธ.ค. ซึ่งนี่เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้จีนชะลอการปรับขึ้นดอกเบี้ยออกไปอีกระยะ หนึ่ง (ที่มา: อินโฟเควสท์ 15-12-2010)
----------------------------------------------------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น