Code 89 : มาสร้างฐานกันใหม่ 756-760

วันอังคารที่ 8 มิถุนายน 2553

ATT Code : มาสร้างฐานกันใหม่ 756-760
เช้านี้ SET เปิดที่ 762.17 จุด +2.32 จุด เปิดเหนือเส้น 5 วัน ที่ 760 ได้ ก็ rebound ตามเพื่อนบ้านในภูมิภาค โดยคาดว่าวันนี้ น่าจะวิ่งอยู่ในกรอบแนวรับที่ 756-760 และต้านที่ 766 ก่อน ส่วน TFEX เปิดที่ 530.50จุด +2.60 จุด แนวรับอยู่ที่ 526-528 แนวต้านอยู่ที่ 533 ภาคเช้า มีแรงซื้อพยุงให้ SET ยืนในแดนบวกที่ 764 แต่ต่างชาติ Net Sell 690 M.B.

ช่วงบ่าย SET ยังขึ้นไปทำ High ที่แนวต้านที่ 766.36 แล้วก็มีแรงขายที่จุดต้านนี้ พร้อมกับที่ยุโรปเปิดมาแล้วมีแรงขายออกมา ทำให้ SET ลงมาเร็วมากจาก +6.51 จุด ลงมา -1.64 ที่ 758.21 ก่อน Call Market

ภาคบ่าย SET ปิดที่ 757.41 จุด -2.44 จุด V.16,061 MB. โดย SET ช่วงบ่าย 3 เริ่มตื้อแล้ว และหลังจากนั้นก็มีแรงขายมาอย่างต่อเนื่อง กดดันให้ SET ดิ่งลงมาเรื่อยๆ ทำให้ปิดตลาดติดลบไป แต่ก็ยังอยู่ในแนวที่รับได้ ยังไม่หลุด 756 ส่วน TFEX ปิดที่ 522.50 จุด -5.40 จุด ดูแนวโน้มไม่ค่อยดีเท่าไหร่ หลุดเส้น 10 วันที่ 525 และหลุดเส้น 75 วัน ที่ 523 มาด้วย เป็นไปในทิศทางเดียวกับ Fast STO ที่ %K ตัด %D ลงมาแล้ว

สำหรับแนวโน้มในวันพรุ่งนี้ ก็ต้องติดตามตลาดยุโรปอยู่ จะมีแรงขายออกมาเพิ่มจาก -1.5% อีกหรือไม่ ถ้าผลออกมายังไม่ดี ก็ให้ดู SET ที่แนวรับ 75 วัน ที่ 750 จะรับอยู่มั้ย และ DJIA ก้มีแนวรับที่ BB Bottom 9,680 จุด

HighLight
ดัชนีส่งสัญญาณ ถอยก่อน
หุ้นร่วง11จุดผวาหนี้EUลามฮังการี แนะติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด
หนี้ยุโรปฉุดดาวโจนส์ร่วงกว่า 110 จุด
ราคาน้ำมันดิบไลท์ปิดร่วง 0.07 เซนต์
-ฮังการีไม่หนักอย่างที่คิดแต่สะท้อนว่าตลาดหุ้นเปราะบางมาก
-CFRESH นำทีมกุ้งเต้น! ราคาส่งออกกระฉูด 20% >>> ผล...ไม่วิ่งตามข่าว
-CCET ยอดขายทะลักตัวเลข 2.8 หมื่นล้านเริ่มเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่น >>> ผล...วิ่งผ่านแนวต้านที่ 3.16 ไปทำ New High ที่ 3.36 ก่อนมีแรงขายทำกำไรลงมาที่ 3.24

--------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย
ไทยรัฐ - By...อินเด็กซ์ 51 : เงาหุ้น-ลามฮังการี!!

ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 8 มิ.ย.53 ปิดที่ 759.85 จุด ลดลง 11.63 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 16,027.27 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 874.87 ล้านบาท

หุ้นที่มีการซื้อขายสูงสุดนำโดย BANPU ปิด 592 บาท ลบ 12 บาท, PTT ปิด 246 บาท ลบ 5 บาท, PTTEP ปิด 143.50 บาท ลบ 4 บาท, PTTCH ปิด 95.75 บาท ลบ 3 บาท และ IVL ปิด 17.70 บาท ลบ 0.30 บาท

ฝ่ายวิเคราะห์ บล.ฟินันเซียไซรัส มองตลาดหุ้นมีโอกาสปรับตัวลงต่อได้ แต่คงไม่รุนแรงมาก ยกเว้นกรณีมีประเทศในยุโรปที่ประสบปัญหาการเงินเพิ่มขึ้นอีก โดยด้านเทคนิคมีแนวรับที่ 750 จุด ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 765 จุด

"จรัมพร โชติกเสถียร" ผู้จัดการตลาดหุ้นคนใหม่ล่าสุดคนที่ 11 ของตลาดหุ้นไทย บอกชัดเจนว่า การเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทยช่วงนี้ขึ้นอยู่ กับปัญหาวิกฤติหนี้ยุโรปที่ล่าสุดลากยาวไปถึงฮังการีแล้ว โดยต้องติดตามข่าวอย่างใกล้ชิดว่าจะลุกลามไปที่ไหนอีก เพราะมีผลต่อบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลก ส่วนที่ว่าวิกฤติหนี้ยุโรปจะรุนแรงเท่าคราวเกิดวิกฤติสถาบันการเงินในสหรัฐฯ ที่ทำให้ดัชนีหุ้นไทยร่วงลงจาก 800 จุด เหลือ 400 จุด และทำให้มีเงินทุนต่างชาติไหลออกไปมากถึง 1.6 แสนล้านบาทหรือไม่นั้น

"จรัมพร" บอกว่า ยังไม่สามารถประเมินได้ว่าปัญหาจะลึกและแรงเท่าครั้งนั้นหรือไม่ และต่างชาติจะโยกเงินหนีออกไปจากตลาดหุ้นทั่วโลกรุนแรงหรือไม่ แต่เห็นว่าวิกฤติยุโรปรอบนี้น่าจะใช้เวลาในการฟื้นตัวยาวนานกว่าวิกฤติสถาบันการเงินในสหรัฐ ซึ่งในคราวของสหรัฐฯนั้นกินเวลาประมาณ 1 ปี หลังจบรอบ และค่อยๆกลับมาฟื้นตัวได้ เพราะความเบ็ดเสร็จเด็ดขาดของรัฐบาลสหรัฐฯและการตัดสินใจอัดฉีดเม็ดเงินเข้าไปจำนวนมหาศาล

แต่รอบนี้ เนื่องจากสมาชิกยุโรปมีหลายประเทศ การตัดสินใจในการออกมาตรการช่วยเหลืออาจไม่เบ็ดเสร็จเด็ดขาด และไม่เป็นเอกภาพ ซึ่งจะเป็นปัญหาในการแก้ปัญหาที่มีผลต่อการฟื้นตัว

ดังนั้น นักลงทุนจึงต้องคอยติดตามสถานการณ์ เพื่อประเมินกลยุทธ์ ในการลงทุนให้ถูกต้องและมีความรอบคอบในการตัดสินใจลงทุน!!

FSS : คาด SET จะเริ่มแกว่งตัวขึ้นๆ ลงๆ ให้เห็นได้บ้าง แต่ยังน่ารอจังหวะซื้อที่ 714
แนวโน้ม: ตลาดหุ้นสหรัฐยังปรับตัวลงต่อมาปิดลบกว่า 1% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 7 เดือน จากแรงขายในหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมและเทคโนโลยี โดยยังเกิดจากความไม่มั่นใจในภาวะเศรษฐกิจและปัญหาหนี้สินในยุโรปต่อเนื่อง ขณะที่ดัชนีความผันผวน VIX Index ก็ขยับขึ้นอีกกว่า 3% มาอยู่ที่ระดับ 36.57 แม้ว่าค่าเงินดอลลาร์จะเริ่มทรงตัวแกว่งแคบบ้างแล้วก็ตาม ส่วนตลาดหุ้นยุโรปก็ยังปรับตัวลงกันกว่า 1% ทั้งจากความกังวลต่อสถานะการคลังในยุโรปและการปรับลดอันดับความน่าลงทุนของหุ้น BP Oil อย่างไรก็ตามตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้ไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เนื่องจากช่วงที่ผ่านมาปรับตัวลงกันมาพอควรทำให้เช้านี้ส่วนใหญ่สามารถขยับเปิดเป็นบวกได้ แต่ยังเป็นการบวกในกรอบจำกัดอยู่ ซึ่ง FSS คาดว่า ตลาดหุ้นไทย มีโอกาสที่จะเคลื่อนไหวคล้ายกับตลาดหุ้นในภูมิภาค คือสามารถดีดกลับขึ้นมาเป็นบวกในกรอบแคบได้บ้าง แต่คาดว่ายังมีโอกาสที่ SET จะแกว่งตัวผันผวนในช่วงระหว่างวันได้ ซึ่งเรายังมองระดับดัชนีที่เหมาะสมอยู่ที่บริเวณจุดต่ำเดิมแถว 714 จุดหรือต่ำกว่าได้อยู่
กลยุทธ์: เราจึงยังแนะนำเป็นเพียงเทรดดิ้งสั้นๆ ไปก่อน โดยหุ้นที่แนะนำได้แก่ กลุ่มที่คาดว่าจะได้เข้า SET50 (IVL, TISCO) กลุ่มแบงก์ (KBANK, KTB) กลุ่มส่งออก (CPF, GFPT, STA) และกลุ่มอสังหาฯ (PS, SPALI) และ CPALL รวมถึงหุ้นที่เกี่ยวข้องกับบอลโลก (11 มิ.ย. – 11 ก.ค.) ได้แก่ RS, SPORT, DTAC, BEC นอกจากนี้ TMB เริ่มมีข่าว M&A กลับมาเป็นประเด็นอีกครั้ง ส่วนจังหวะซื้อเพื่อถือลงทุนยังสามารถรอดูจังหวะการแกว่งตัวลงไปแถว 715-710 จุดโดยประมาณก่อนค่อยพิจารณาเข้ารับต่อไป
ประเด็นสำคัญวันนี้
-ฮังการีไม่หนักอย่างที่คิดแต่สะท้อนว่าตลาดหุ้นเปราะบางมาก ฮังการีในวันนี้จัดได้ว่าเป็นประเทศที่แข็งแรงกว่าอีกหลายประเทศในยุโรป แม้ว่า GDP จะหดตัว 6.3% ในปี 2552 หดตัวสูงที่สุดในรอบ 19 ปี แต่เริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัวใน 4Q10 ส่วนยอดขาดดุลงบประมาณ 4% ของ GDP ในปีก่อน ถือว่าดีเป็นลำดับต้นๆ ใน EU แต่จุดอ่อนคือหนี้สูง หนี้สาธารณะอยู่ที่ 83.1% ของ GDP หนี้ต่างประเทศ 114.5% ของ GDP สูงเป็นลำดับ 2 ของประเทศในยุโรปตะวันออก แต่สภาพคล่องระยะสั้นไม่เป็นปัญหา รัฐบาลมีพันธบัตรยูโรที่จะครบกำหนดชำระประมาณ US$2 พันล้านเหรียญใน 3Q10 โดยรัฐบาลมีวงเงินกู้จาก IMF US$3.2 พันล้านเหรียญ ซึ่งจะหมดอายุในเดือน ต.ค. นี้ IMF คาดว่า GDP ของฮังการีในปีนี้จะยังหดตัว 0.2% ก่อนจะขยายตัว 3.2% ในปี 2554 และ 4.5% ในปี 2555 เป็นอัตราการเติบโตที่โดดเด่นในกลุ่มยุโรป การตอบรับของ Dow Jones ตลาดหุ้นยุโรป ราคาน้ำมัน และทองคำแสดงถึงความเปราะบางของสินทรัพย์เสี่ยง และทำให้เรายังไม่เปลี่ยนมุมมองที่ว่าตลาดในช่วงที่ผ่านมาเป็นการรีบาวนด์ในกรอบขาลง จนกว่าจะเห็นค่าเงินยูโรเริ่มมีเสถียรภาพและสถานการณ์ในยุโรปนิ่งกว่านี้ แต่เรายกระดับจุดซื้อลงทุนจาก 680 จุดเป็น 700 – 715 จุด
-มาตรการช่วยเหลือภาคเอกชน ครม. มีมติให้นำใบเสร็จแพคเกจทัวร์มาลดหย่อนภาษีตามความจริงไม่เกิน 12,000 บาทต่อราย (อาศัยข่าวบวก ขายหุ้นกลุ่มโรงแรม ก่อนเพราะราคาหุ้นขึ้นมามากในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่ผลประกอบการ 2Q10 – 3Q10 บางโรมแรมอาจขาดทุน)
-กลุ่มมือถือยังน่าสนใจ การประมูล 3G มีความหวังที่จะเกิดขึ้นในเดือน ก.ย. นี้ ทำให้หุ้นโทรศัพท์มือถือกลับมาน่าสนใจอีกครั้ง นอกเหนือจากการเป็น Defensive stocks อยู่แล้ว เก็งกำไรได้ทั้ง ADVANC (คาดจ่ายปันผล 3 บาทในครึ่งปีแรก), DTAC (Valuation ถูกสุด) รวมถึง TRUE (ประเด็นการหาพันธมิตรใหม่ และมีโอกาสในการประมูล 3G มากขึ้นเมื่อค่า License แบ่งจ่ายได้)
-กลุ่มอสังหาฯ PS และ SPALI ยัง underperform หลังจากแนะนำ LPN ไปสัปดาห์ที่แล้ว ราคาหุ้นปัจจุบัน outperform กลุ่มแล้ว ในขณะที่ PS และ SPALI กลับ underperform ทั้งที่มีพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ปัจจุบัน SPALI มี PE 5.3 เท่า PBV 1.6 เท่า ไม่มี story ที่โดดเด่นแต่ถูกที่สุดในกลุ่ม คาดปันผลครึ่งปีแรก 0.30 บาท/หุ้น Yield 4% ราคาเป้าหมาย 8.65 บาท ส่วน PS มี PE 8.1 เท่า (ต่ำกว่า PE เฉลี่ยของกลุ่มที่ 9.1 เท่า) PBV 2.1 เท่า มี story คือ presales ที่ยังโตดีใน 2Q10 ราคาเป้าหมาย 20.20 บาท จ่ายปันผลปีละ 1 ครั้ง Yield 3.8% ต่อปี

News Comment
• CFRESH นำทีมกุ้งเต้น! ราคาส่งออกกระฉูด 20%
“บราซิล-อินโดฯ” โรคระบาด ครึ่งหลังยืนเหนือ150 บาท CFRESH-CPFTUF เฮลั่นอุตสาหกรรมกุ้งไทยขาขึ้น เชี่อดันยอดขายธุรกิจส่งออกกุ้งไตรมาส 2/53 กระฉูด ราคาปรับขึ้น 20% หลังได้อานิสงส์น้ำมันรั่วในอ่าวเม็กซิโกส่งผลให้การจับกุ้งจากทะเลทั่วโลกลดลง 30% รวมถึงโรคระบาดในอินโดนีเซียและบราซิล คาดราคากุ้งพุ่งต่อเนื่อง มองครึ่งหลังยืนเหนือ 150 บาทต่อกก. ด้านผู้บริหาร CFRESH คงเป้ายอดขายปีนี้โต 10-20% (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 8-06-2010)
• PTTCH รายได้แสนล้าน รับโรงแยก 6 เดินเครื่อง PTTCH ลั่นหากโรงแยกก๊าซหน่วยที่ 6 เปิดเชิงพาณิชย์ มิ.ย.นี้ รายได้แตะ 1 แสนล้านบาท จากปีก่อน 8 ล้านบาท ขานรับโรง Cracker 1 ล้านตัน บวกแนวโน้มราคาปิโตรเคมีดี ความต้องการพุ่ง โบรกฯ มองกำไรปี 53 อยู่ที่ 1.3 หมื่นล้านบาท ให้ราคาพื้นฐาน 126 บาทต่อหุ้น (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 8-06-2010)
• SSI ซื้อโรงเหล็กทาทาสตีลยอดขายไตรมาส 2 พุ่ง 40% SSI จ่อซื้อโรงเหล็กในอังกฤษของ “ทาทาสตีล” ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจา พร้อมโชว์ยอดผลิตและส่งมอบเดือนพ.ค. พุ่งสูงสุด 197,308 ตัน/เดือน และ 247,238 ตัน/เดือน ตามลำดับ สูงกว่าเป้าที่บริษัทตั้งไว้ ขณะที่คำสั่งซื้อเพิ่มสูงขึ้นและยังมีต่อเนื่อง คาดปริมาณขายไตรมาส 2/53 เพิ่ม 35-40% จาก 4.3 แสนตันปีก่อน ราคาเหล็กขยับเป็น 23 บาท/กิโลกรัม (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 8-06-2010)
• CCET ยอดขายทะลักตัวเลข 2.8 หมื่นล้านเริ่มเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่น CCET โชว์ยอดขายไตรมาส 2 พุ่งเกิน 28,000 ล้านบาท ออเดอร์งานเข้าทะลัก ด้านวงการเงินชี้ งวดนี้ส่งมอบสินค้ามาร์จิ้นสูง ดันกำไรหรูก่อนก้าวขาเข้าไฮซีซั่น ออกปากการันตีผลการดำเนินงานพ้นจุดต่ำสุดแล้ว พร้อมถึงเวลาทยอยเก็บหุ้นพอร์ต ขณะที่กำไรทั้งปีมีสิทธิโตเกิน 1,700 ล้านบาท (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 8-06-2010)
• LPN รายได้ Q2 พุ่ง 2.6 พันล้าน ได้ดีบุ๊ค 2 คอนโดใหญ่ เล็งเปิด 2 โครงการปลายมิ.ย.นี้ “แอลพีเอ็น” ฟุ้ง Q2 โกยรายได้ 2,600 ล้านบาท เติบโตสูงกว่า Q1 และ Q2 ปีก่อน เหตุมีบุ๊ครายได้โอนคอนโด 2 โครงการใหญ่ ขณะที่ปลายเดือนมิ.ย.นี้ เตรียมเปิดคอนโดใหม่ 2 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 3,200 ล้านบาท หวังดันยอดขาย Q2 เพิ่มขึ้น ส่วนทั้งปีคงเป้าเดิมโต 20% คาดรายได้ 9,600 ล้านบาท และยอดขาย 13,000 ล้านบาท (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 8-06-2010)
• SIAM ไตรมาส 4 ฟื้นตัวรับรู้งานออสซี่160 ล้านพื้นฐานดีราคา 2.50 บาท SIAM ไตรมาส 4/53 ฟื้น เริ่มรับรู้รายได้งานออสเตรเลีย5 ล้านดอลลาร์/เดือน หรือ 160 ล้านบาท ขณะที่งานก่อสร้างที่จะรับรู้ผลขาดทุนลดลงจากการส่งมอบไปแล้ว ส่วนรายได้ทั้งปีคาดอยู่ที่ 2,168 ล้านบาท เชื่อปี 2554 กำไรโตโดดเด่น มั่นใจยอดขายกระเตื้องเพิ่ม หลังเศรษฐกิจปรับตัวดี (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 8-06-2010)
• HMPRO กระตุ้นยอดขายรับบอลโลกดันงบ Q2 ดี รับรู้เอ็กซ์โปอีก 260 ล้าน HMPRO ยิ้มรับฟุตบอลโลก เชื่อ แคมเปญ “HomePro Super Shock Sale” กระตุ้นยอดขายสินค้าหมวดทีวี ทั้งพลาสมาและ LCD ตั้งเป้ากวาดยอดขาย 1,600 ล้านบาท โบรกฯ เชียร์ “ซื้อสะสม” ราคาเป้าหมาย 6.75 บาท มองแนวโน้มกำไร Q2/53 ดีต่อเนื่อง มีรับรู้รายได้จากงาน HomePro Expo อีก 260 ล้านบาท (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 8-06-2010)
• BANPU รุกขยายระบบโลจิสติกส์ รองรับถ่านหิน 18.5 ล้านตัน ยันจีนเก็บภาษีไม่กระทบ BANPU เร่งพัฒนาโลจิสติกส์ ล่าสุดท่าเทียบเรือบอนตังเสร็จแล้ว มั่นใจรองรับปริมาณส่งออกถ่านหินมากถึง 18.5 ล้านตัน จากเดิม 13-147 ล้านตัน ลดต้นทุนขนส่ง 1-2 เหรียญสหรัฐต่อตัน “ระวิ” ยันรัฐบาลจีนเรียกเก็บภาษีเหมืองถ่านหินในเขตซินเจียงไม่กระทบการดำเนินงาน (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 8-06-2010)
• KIAT น่าเสียวไส้ราคาแรงเกินเหตุ ขาใหญ่แห่ไล่กว้านซื้อรับกำไรงาม ระวังรถค้างยอดดอย KIAT หุ้นแรงเกินเหตุ ด้านผู้บริหารชี้นักลงทุนแห่เก็งกำไรตามผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่เข้ามาเก็บเพิ่ม เปรยยังไม่ถูกตลาดฯซักถามถึงเรื่องราคาหุ้นร้อนแรงรวมถึงฟรีโฟลต ฟากวงการเงินชี้ ราคาตอบรับปัจจัยบวกมากเกินไปแล้ว (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 8-06-2010)
• MK แย้มไตรมาส 2 รายได้ลดลง ผุดคอนโดบีโอไอ-เพิ่มสต๊อกบ้านสร้างเสร็จพร้อมอยู่ “MK” เผยรายได้ไตรมาส 2 ลดลงจากไตรมาสแรก รับผลกระทบปัญหาการเมือง และ Q1 มีการเร่งโอนมาก ส่วนรายได้ปีนี้มั่นใจตามเป้า 3,000 ล้านบาท เหตุมีแบ็กล็อกรอบุ๊คกว่า 1,000 ล้านบาท ขณะที่ 4 เดือนแรกโชว์ยอดขาย 1,050 ล้านบาท ลุยเปิดเพิ่ม 5 โครงการ มูลค่า 3,200 ล้านบาท ผุดคอนโดบีโอไอโครงการแรกย่านประชาชื่น มูลค่า 200 ล้านบาท เจาะลูกค้าตลาดกลางและล่าง พร้อมเพิ่มสัดส่วนรายได้บ้านสร้างเสร็จพร้อมขายเป็น60% จากเดิม 40% (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 8-06-2010)
• DEMCO คว้า 310 ล้านงานสถานีไฟฟ้ากฟภ.คาดรับรู้รายได้ปีนี้ 20% DEMCO รุ่งไม่เลิก เซ็นสัญญา กฟภรับงานก่อสร้างสถานีไฟฟ้าเมืองเอก ล้านบาท ระยะเวลาก่อสร้าง เดือน คาดทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้ 20% พร้อมเผยขณะนี้มีงานในมือ 6,800 ล้านบาท แถมยังเตรียมรับทรัพย์จากงานเสาโครงเหล็กโทรคมนาคมปีละ 600-800 ล้านบาท หาก 3G เกิดเต็มตัว (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 8-06-2010)
• AS มั่นใจปีนี้รายได้โตกว่า 20% สยายปีกตลาดเกมเวียดนาม ราคาเหลืออัพไซด์ 30% AS ครึ่งปีโชว์ผลประกอบการ สวยกว่าครึ่งแรกระบุขอดูลาดเลารายได้ไตรมาส 2 ก่อน แต่เชื่อดีกว่าไตรมาสแรกของปีอยู่แล้ว เปรยหากเป็นไปตามแผนธุรกิจที่ร่ายไว้ตั้งแต่ต้นปีอาจเห็นรายได้โตกว่าคาดการณ์ที่ตั้งไว้ 20% จากปี 2552 ที่ทำเงินไป 1,500 ล้านบาท เตรียมสยายปีกลงทุนในตลาดเกมเวียดนาม ก่อนขยับไปอินโดฯ-ฟิลิปปินส์ โบรกฯมองราคาน่าซื้อ อัพไซด์ทะลุ 30% กำไรปีนี้อยู่ที่ 211 ล้านบาท (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 8-06-2010)
• BAT-3K ชี้ตลาดแบตทั้งปีโตอีก10% เทงบ 60 ล้านบาท อัดกิจกรรมจับกลุ่มเป้าหมาย BAT-3Kมั่นใจตลาดแบตเตอรี่รถยนต์โตต่อเนื่อง ชี้ทั้งปีตลาดรวมโตขึ้นอีก 10% ลุยเดินหน้ารักษาส่วนแบ่งตลาดทดแทน 30% ชูกลยุทธ์ครบวงจรสู้คู่แข่ง เทงบ 60 ล้านบาท เสริมกิจกรรมทางการตลาดจับกลุ่มเป้าหมาย พร้อมเล็งเจาะตลาดต่างประเทศเพิ่มสัดส่วน (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 8-06-2010)

TNN : ผจก.ตลท.คนใหม่ชี้ 4 ปี ตลาดหุ้นไทยโตแรง
ผจก.ตลท.คนใหม่ ประกาศภายใน 4 ปี ตลาดหุ้นไทยต้องเติบโตแบบก้าวกระโดด และเป็นที่ยอมรับนักลงทุนทั่วโลก ขณะเดียวกัน ประเดิม โรดโชว์ ที่อังกฤษ เดือนกรกฎาคมนี้ พร้อมเตือนนักลงทุนไทยจับตาสถานการณ์ยุโรปใกล้ชิด ชี้ เป็นตัวแปรหลักต่อตลาดหุ้นไทยในขณะนี้

7 มิ.ย. 53 : นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย คนใหม่ ซึ่งเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน ที่ผ่านมา และ มีวาระการดำรงตำแหน่ง 4 ปี ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการและแถลงข่าวเป็นครั้งแรกถึงวิสัยทัศน์การบริหารตลาดหลักทรัพย์ โดยนายจรัมพร กล่าวว่า จะมีการทบทวนแผนงานในช่วง 3-5 ปี เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการลงทุนของนักลงทุนทั่วโลกมาก ขณะเดียวกัน การแข่งขันมีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น ดังนั้น ตลาดหลักทรัพย์ต้องปรับแผน เพื่อให้นักลงทุนเห็นภาพของตลาดหุ้นไทยชัดเจน และน่าสนใจมากขึ้น

พร้อมกันนี้ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ เตือนนักลงทุนว่า ปัจจัยที่ต้องติดตามมากที่สุด คือ วิกฤติการเงินยุโรป ซึ่งขณะนี้มีความรุนแรง และขยายวงกว้างมากขึ้นจาก กรีซ ไปสู่ สเปน และ ฮังการี ซึ่งต้องติดตามว่า จะส่งผลกระทบรุนแรงเท่ากับวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์หรือไม่

ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่า ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านตลาดหุ้นไทยผันผวน และปรับลดลงตามตลาดหุ้นภูมิภาคที่เกิดจากความกังวลเรื่องวิกฤติการเงินในยุโรป ขณะที่ ปัจจัยการเมืองในประเทศคลี่คลายมากแล้ว แต่ตลาดหลักทรัพย์ต้องเร่งความเชื่อมั่น เพื่อดึงเม็ดเงินจากต่างชาติ ด้วยการเดินทางไปให้ข้อมูลกับนักลงทุนต่างชาติ ที่ประเทศอังกฤษ ในเดือนกรกฎาคมนี้ เพื่อให้ข้อมูลหุ้นกลุ่มหลัก ที่มีศักยภาพ และผลประกอบการแข็งแกร่ง แม้จะเเผชิญกับวิกฤติหลายครั้ง แต่ยังมีผลกำไร และจ่ายเงินปันผลอย่างดี
นอกจากนี้ กรรมการ และ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ คนใหม่ ยังมีเป้าหมายจะจัดกลุ่มลูกค้าให้ชัดเจน โดยเฉพาะนักลงทุนต่างชาติ ที่มีสัดส่วนการลงทุนร้อยละ 37 หรือ เงินลงทุน 2 ล้าน 3 แสนล้านบาท จากเงินลงทุนทั้งหมด 6 ล้านล้านบาท เพื่อให้ตลาดหุ้นไทยกลับมาโดดเด่น

นอกจากนี้ จะเพิ่มประสิทธิภาพการระดมทุนของบริษัทจดทะเบียนให้มีต้นทุนที่ต่ำลง โดยเพิ่มช่องทางการเข้าถึงสินค้ามากขึ้น เพื่อดึงดูดนักลงทุนไทยและต่างชาติ และจะเพิ่มจำนวนบริษัทขนาดใหญ่ และ การเพิ่มทุนของรัฐวิสาหกิจ เช่น บริษัทการบินไทย รวมทั้งจะให้ความสำคัญกับการสร้างธรรมาภิบาลให้กับบริษัทจดทะเบียน

พร้อมกันนี้ นายจรัมพร ระบุว่า ภายใน 4 ปี จะต้องทำให้เห็นความแตกต่างที่ชัดเจนของตลาดหุ้นไทยในปัจจุบัน และตลาดหุ้นไทยในอนาคต โดยจะทำให้ตลาดหุ้นไทยเติบโตอย่างก้าวกระโดด ทั้งมูลค่าการซื้อขาย มูลค่าตลาดรวม และการเป็นตลาดที่น่าลงทุนหากเทียบกับประเทศที่มีขนาดใกล้เคียงกับไทย รวมถึงการแปรรูปตลาดหุ้นไทยเป็นบริษัท มหาชนในปี 2555

--------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ตปท.
หุ้นมะกันปิดลบ ฉุดน้ำมันร่วง 7เซนต์

ดัชนีหุ้นสหรัฐปรับลดลงต่อเนื่องอีกกว่า 110 จุด ปิดที่ 9,816.49 จุด ด้านราคาน้ำมันดิบตลาดไนเม็กซ์ ลดลง 7 เซนต์ ไปปิดที่ระดับ 71.44 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล.....

สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า ปิดการซื้อขายตลาดหุ้นสหรัฐฯวันที่ 7 มิ.ย. ดัชนีปรับลดลงต่อเนื่องจากความวิตกกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจในยุโรป หลังฮังการีเป็นชาติล่าสุดที่ยอมรับว่ากำลังเผชิญวิกฤติเศรษฐกิจรุนแรง ขณะที่เยอรมนีและโรมาเนียก็ลงมติรับรองแผนรัดเข็มขัดเพื่อลดหนี้ของประเทศ นอกจากนี้ยังมีแรงเทขายหุ้นอย่างหนักในกลุ่มสถาบันการเงิน

ด้านราคาน้ำมันดิบตลาดไนเม็กซ์ ลดลง 7 เซนต์ ไปปิดที่ระดับ 71.44 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ทำให้หลังปิดตลาด ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดที่ 9,816.49 จุด ลดลง 115.48 จุด แนสแดคลงไป 45.27 จุด ไปปิดที่ 2,173.90 ต่ำสุดตั้งแต่วันที่ 10 กุมภาพันธ์ และเอสแอนด์พีปิดที่ 1,050.47 จุด ลดลง 14.41 จุด.

--------------------------------------------------------
Technical View : FSS
“ตลาดยังไม่ผ่านแนวต้าน 773 จุด ก็ยังต้องระวังไหลย้อนลงหาแนวรับต่างๆ ซึ่งถ้าหลุดต่ำกว่า 740 จุดจะทำให้ดูไม่ดี…ถือเป็นสัญญาณการแกว่งลงต่อเนื่อง ดังนั้นช่วงนี้ยังแค่เทรดดิ้งเบาๆ ไปก่อน!!”
แนวรับ : 750-747** , 740-737*** , 724-720
แนวต้าน : 760-764** , 773***

--------------------------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น