Code 99 : หยวนมาแรง แซง 800

วันอังคารที่ 22 มิถุนายน 2553
ATT Code : หยวนมาแรง แซง 800
FSS : สรุปภาวะตลาด
ตลาดหุ้นสหรัฐขยับบวกขึ้นกว่า 140 จุดในช่วงแรกจากข่าวการประกาศยืดหยุ่นค่าเงินหยวนของจีน แต่สุดท้ายก็เริ่มมีแรงขายทำกำไรออกมากดดันอีกครั้ง หลังเกิดความไม่มั่นใจเกี่ยวกับความเร็วและความตั้งใจจริงของจีน เนื่องจากทางการจีนยังคงค่ากลางของค่าเงินหยวนไว้ที่ระดับเดิมของเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา

ตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ก็เริ่มปรับตัวย้อนลงมาเคลื่อนไหวเป็นลบจากความไม่มั่นใจต่อความรวดเร็วในการยืดหยุ่นค่าเงินหยวนของทางการจีนเช่นกัน แต่ยังเป็นการปรับตัวลดลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

วานนี้ Fund Flow ของนักลงทุนต่างชาติไหลเข้าในปริมาณที่มากกว่าปกติ โดยเฉพาะตลาดหุ้นไต้หวันที่มีเม็ดเงินไหลเข้ากว่า 50% ของ Fund Flow รวม เนื่องจากได้รับปัจจัยบวกจากจีนจะปรับค่าเงินหยวนมีความยืดหยุ่นแบบค่อยเป็นค่อยไป ได้สร้างความเชื่อมั่นในการลงทุนในระยะสั้นนี้

แนวโน้มยังน่าจะไหลเข้าต่อเนื่อง เพราะตลาดไม่มีปัจจัยลบใหม่ ในขณะที่ Momentum จากปัจจัยบวกของนโยบายค่าเงินหยวนของจีนที่จะมีผลต่อเศรษฐกิจโลก

ราคาน้ำมัน NYMEX บวกขึ้นอีก 0.64 ดอลลาร์ ปิดตลาดที่77.82 ดอลลาร์/บาร์เรล โดยได้รับผลบวกจากข่าวนโยบายเงินหยวนของจีน

ราคาทองคำส่งมอบเดือน ส.ค. ที่ตลาด COMEX ปิดปรับตัวลดลง 17.60 ดอลลาร์ มาอยู่ที่ 1,240.70 ดอลลาร์/ออนซ์

BDI ปิดที่ 2601 จุดยังปรับตัวลงต่ออีก 93 จุด

HighLight
****เงินหยวนแข็งค่าขึ้นมากสุดในรอบ 20 เดือน หลังแบงก์ชาติจีนส่งซิกเพิ่มความยืดหยุ่น
****วานนี้ค่าเงินบาท ปิดตลาดที่ระดับ 32.29 บาท/ดอลล์ คาดพรุ่งนี้แข็งค่าอีกเล็กน้อย
****แบงก์ชาติ มองส่งออกไทยรับอานิสงส์จีนปล่อยหยวนยืดหยุ่นมากขึ้น
**** เลขา ส.นักวิเคราะห์ฯ มองตลาดหุ้นพุ่งรับข่าวจีนยืดหยุ่นค่าหยวน เตือน นลท. ระวังแรงขายที่ 800 จุด พร้อแนะลงทุนตราสารอื่นที่ผลตอบแทนดีกว่า
****บล.กสิกรไทย แนะ นลท.ทยอยขายทำกำไรหากดัชนีฯทะลุ 800 จุด ชี้จีนยืดหยุ่นค่าเงินหยวนแค่ข่าวดีระยะสั้น
****เซียนหุ้นชี้หยวนแข็งค่า กลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์รับอานิสงส์เต็มๆ แต่กลุ่มส่งออกกระทบเชิงลบ
****กูรูมองเงินเอเชียมีทิศทางแข็งค่าตามหยวน กดดันประสิทธิภาพการทำกำไรลดลง ลดน้ำหนักหุ้นส่งออก
****โบรกฯ คาด หุ้นไทยวันนี้ทะยานต่อ รับเม็ดเงินไหลเข้า จากเหตุจีนเล็งยืดหยุ่นค่าหยวน แนะ เก็งกำไรหุ้นกลุ่มหลัก
--------------------------------------------------------
ตัวเลขเช้านี้ 22/06/53
ข้อมูลอื่นๆ ......SET ปิดที่ 806.07 จุด +14.22 จุด High 807.69 จุด low 799.10 จุด......แนวรับ 802-798 // 793-790 จุด แนวต้าน 808-812 // 820 จุด......PE SET 12.59 เท่า.........สัดส่วนการซื้อขาย ฝรั่งซื้อ 965.76 ล้าน กองทุนซื้อ 1644.51 ล้าน.....โบรกเกอร์ ที่ net buy CS 563, KSEC 361, CLSA 305, BLS 302 และ UBS 255…...โบรกเกอร์ที่ net sell DBSV -576, TNS -428, TNITY -337, UOB -243 และ FSS -240........TFEX SET50 ปิดที่ 559.87 จุด +11.25 จุด.......S50M10 ปิดที่ 561.30 จุด +13.80 จุด .... high 563.40 จุด low 553.10 จุด OI 16,479..............status futureวานนี้ Foreign net LONG 3075 - Fund net SHORT 1946 - Retail net SHORT 1129............ตลาดหุ้นต่างประเทศ DJ ปิด -8.23 จุด……..….ยุโรปปิด +1 ถึง +1.5%.............ตลาดเอเซียเช้านี้ 9.20 น. NIX -62.70 จุด , HSKI -103.00 จุด , TWSE -14.47 จุด, KOSPI -9.05 จุด และ SHCOMP +1.28 จุด ......ดาวโจนส์ในตลาดล่วงหน้า +15 จุด.......ค่าเงิน---เงินบาท 32.30…..เงินเยน 91.03……..COMODITY.... น้ำมัน NYMEX ส่งมอบ ก.ค. ปิดที่ 77.82 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล +0.64 ดอลล์ .......ค่าการกลั่น 3.50 ดอลล์.......ทองคำ COMEX วานนี้ปิดที่ 1240.70 เหรียญ -17.60 ดอลลาร์......BDI ปิดล่าสุดอยู่ที่ 2601 จุด -93 จุด ….. ราคาสังกะสีในตลาด LME ล่วงหน้า 3 เดือนปิดล่าสุดที่ 1775 ดอลลาร์ต่อตัน +45 ดอลล์
สินค้าเกษตร...ราคาตลาดจริง (หน่วย : บาท/ กก.) ….ข้อมูลจาก WEB Site ของ AFET (www.afet.or.th)
ราคาประมูลยางแผ่นรมควันชั้น 3 (21/06/10) Hatyai A.M. 116.02 บ. -1.81 บ. // FOB.BKK 117.10 บ. -0.50 บ.
ราคาข้าวขาว 5% (21/06/10) 13.12 บ. +0.07 บาท
ราคาข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 2 (21/06/10) 27.68 บ. +0.26 บาท
--------------------------------------------------------
MARKET WAVE Analysis
22 มิย.53 ( +14.22 จุด) โกมล พงศ์วิญญู เลขทะเบียน 18338


ถ้าเกิน 807.69 ขึ้นต่อ 811 – 816 จุด ดัชนีในวันจันทร์ ไม่ได้ปรับตัวลงอย่างที่คาดไว้ แต่กลับปรับตัวขึ้นสูงสุดประจำวันที่ 807.69

แนวโน้มระยะสั้นวันอังคารนี้ ถ้าปรับตัวเกิน 807.69 จุดสงสุดวันจันทร์ได้ ดัชนีสามารถปรับตัวขึ้นต่อเล็กน้อยแถว 811 - 816 ใกล้จุดสูงสุดเดิมของปีนี้ ( แต่ไม่น่าจะผ่านไปได้ )

อย่างไรก็ตามจากภาวะ Stochastic Overbought & Bearish Divergence การปรับตัวลงต่ำกว่า 799.07 จุดต่ำสุดวันจันทร์ ดัชนีมีแนวโน้มหลักที่จะปรับตัวลง 785 – 790 จุด สำหรับภาพสัปดาห์นี้

--------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย
ไทยรัฐ - By...อินเด็กซ์ 51 : เงาหุ้น-สดใสสุดๆ!!
ดัชนีหุ้นวันที่ 21 มิ.ย.53 ปิดที่ 806.07 จุด บวก 14.22 จุด ทำนิวไฮในรอบกว่า 2 เดือน มีมูลค่าการซื้อขายหนาแน่น 29,913.40 ล้านบาท

ฝ่ายวิเคราะห์ บล.ซีไอเอ็มบี ระบุว่า หุ้นไทยปรับตัวขึ้นแรง มีปัจจัยบวกหนุนกรณีจีนประกาศมาตรการยืดหยุ่นค่าเงินหยวน ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่มีใครคาดคิด ซึ่งกรณีดังกล่าวจะเป็นตัวกระตุ้นทำให้มีเม็ดเงินไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นภูมิภาคมากขึ้นรวมทั้งตลาดหุ้นไทย

ทั้งนี้ จากข้อมูลย้อนหลังพบว่า ปี 51 ที่จีนดำเนินนโยบายให้ค่าเงินหยวนแข็งค่า พบว่าดัชนี MSCI เอเชียปรับขึ้นประมาณ 8.5% แต่เมื่อดูการปรับขึ้นของตลาดหุ้นไทยช่วงนั้นจะอยู่ที่ประมาณ 3.4-3.5% ซึ่งเป็นการปรับขึ้นค่อนข้างจำกัดเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอื่นๆ ซึ่งน่าจะเป็นผลจากการที่

ไทยได้ประโยชน์ด้านการค้าการส่งออกกับจีนน้อยกว่าประเทศอื่น ดังนั้นจึงมองว่า หลังจีนยอมยืดหยุ่นค่าเงินหยวน ตลาดหุ้นไทยในระยะสั้นอาจปรับตัวขึ้นได้ต่อ แต่อาจจะติดแนวต้านที่ 810-815 จุด ส่วนแนวรับอยู่ที่ 800 จุด

มีข่าวสมาคมนักวิเคราะห์เล็งปรับเป้าดัชนีหุ้นไทยขึ้นอีกเล็กน้อย จาก เดิมที่มองไว้ที่ 827 จุด จากตัวเลขจีดีพีไตรมาส 1 ยังแข็งแรงและตัวเลขส่งออกไตรมาส 2 ยังโตได้ดี ขณะที่ดีบีเอส วิคเคอร์ส ได้ปรับประมาณการดัชนีหุ้นไทยสิ้นปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น 887 จุด จากเดิม 850 จุด มองกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนปีนี้ยังเติบโตได้ราว 15% ส่วนตลาดหุ้นที่เด้งดีจากแผนการจะปล่อยค่าเงินหยวนของจีนให้ลอยตัวช่วงนี้ ถือว่าสร้างความมั่นใจให้นักลงทุนระยะสั้น แต่ยังมีปัจจัยที่ต้องติดตามคือ วิกฤติหนี้ยุโรปที่ยังกดดันการลงทุน

ส่วน บล.ทิสโก้ ก็เตรียมปรับเป้าดัชนีขึ้นจากเดิมที่ 820 จุดเช่นเดียวกัน หลังมองตลาดหุ้นครึ่งปีหลังยังมีสภาพคล่องที่จะไหลเข้ามาในตลาดหุ้นเอเชียอีกมาก แต่เม็ดเงินที่ไหลเข้ามาอย่างรวดเร็วนั้นก็มีโอกาสไหลออกได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน แนะให้นักลงทุนติดตามการเคลื่อนไหวของกระแสเงินทุนอย่างใกล้ชิด

ปิดท้าย บล.กสิกรไทย มองสดใสสุดๆ บอกดัชนีหุ้นไทยปลายปีมีโอกาสทะยานได้ถึง 910 จุด ขณะที่ระยะสั้นในช่วงไม่เกิน 1 เดือนนี้ ดัชนียังปรับตัวขึ้นได้เช่นกันจากมาตรการยืดหยุ่นค่าหยวน

ขณะที่ "ณัฐรินทร์ ตาลทอง" ประธานกรรมการบริหาร บล.กสิกรไทย เผย บริษัทมีแผนทุ่มงบลงทุน 25 ล้านบาท เพื่อเปิดสาขาใหม่อีก 23 สาขาให้เสร็จภายในเดือน ก.ย.นี้ จากปัจจุบันมีเพียงสาขาเดียว โดยจะเน้นเปิดในสาขาของธนาคารพาณิชย์ด้วยเพื่อให้บริการลูกค้าสามารถทำธุรกรรมได้หลากหลายอย่างครบวงจร พุ่งเป้ากลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่เป็นลูกค้าของธนาคาร โดยตั้งเป้าเพิ่มพอร์ตลูกค้าปีนี้เป็น 2.2 หมื่นบัญชีจากปัจจุบัน 1.3 หมื่นบัญชี.

FSS : SET มีจังหวะแกว่งลบบ้าง แต่ยังมีลุ้นดีดขึ้นได้ใหม่ ดังนั้นหาจังหวะซื้อได้...
แนวโน้ม:
หลังจากเมื่อวานนี้ตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียขยับขึ้นค่อนข้างแรง จากการรับข่าวการยืดหยุ่นนโยบายค่าเงินของจีน แต่ทางการจีนยังยืนยันที่จะปล่อยให้ค่าเงินแข็งค่าอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยประกาศค่ากลางที่ระดับเดิมของสัปดาห์ที่แล้ว ทำให้นักลงทุนเริ่มไม่มั่นใจกับความตั้งใจจริงของจีนต่อมาตรการยืดหยุ่นค่าเงินดังกล่าว ส่งผลให้เริ่มมีแรงขายทำกำไรออกมาทั้งในตลาดหุ้นสหรัฐที่ย้อนกลับมาเป็นลบไปเล็กน้อยเมื่อคืนนี้ และตลาดหุ้นเอเชียก็เริ่มปรับตัวลงมาเคลื่อนไหวเป็นลบในเช้าวันนี้ ทำให้ FSS คาดว่า SET ก็มีแนวโน้มที่จะปรับพักตัวลงมาเคลื่อนไหวเป็นลบด้วยเช่นกัน เพราะช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยก็ขยับบวกขึ้นมาพอสมควรแล้วด้วย อย่างไรก็ตามเรายังคาดว่าหลังจากปรับพักตัวลงบ้างแล้ว SET ก็ยังมีสิทธิที่จะดีดกลับขึ้นได้อีกครั้ง ทั้งจากปัจจัยบวกของการยืดหยุ่นค่าเงินหยวน รวมถึงข่าวความคืบหน้าของโครงการในมาบตาพุดด้วย
กลยุทธ์: ดังนั้นจังหวะตามเข้าเทรดดิ้งช่วงนี้จึงสามารถรอดูแรงซื้อเมื่อตลาดปรับตัวลดลงก่อนได้ โดยหุ้นที่ยังแนะนำให้หาจังหวะเข้ารับเพื่อตามเข้าเทรดดิ้ง ได้แก่ PTT, PTTCH และ SCC จากข่าวความคืบหน้าในมาบตาพุด นอกจากนี้ยังมี KK, BANPU, IVL, PTTAR, IRPC, PDI, STA, TVO, RCL
ประเด็นสำคัญวันนี้
-มาบตาพุดคืบหน้า คณะกรรมการ 4 ฝ่ายได้ข้อสรุปเกี่ยวกับการกำหนดโครงการหรือกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพทั้งสิ้น 18 กิจการ เราเชื่อว่าจะได้ข้อสรุปของประเภทโครงการที่รุนแรงได้ภายในสิ้นเดือน มิ.ย นี้และเข้า ครม. วันที่ 29 มิ.ย. หากเป็นไปตามนี้คาดว่าโรงแยกก๊าซหน่วยที่ 6 น่าจะเดินเครื่องได้ใน 3Q10 นี้ เร็วกว่าที่เราคาด 1 ไตรมาสเพราะไม่ได้อยู่ในประเภทโครงการที่รุนแรง และยังส่งผลดีต่อ PTTCH ที่จะสามารถเดินเครื่องในโครงการต่อขยายได้เต็มกำลังผลิต เพราะต้องใช้วัตถุดิบคือก๊าซอีเทนจากโรงแยกก๊าซหน่วยที่ 6 หุ้นที่ได้รับผลบวกได้แก่ PTTCH, SCC, PTT
-KK ราคาถูก ปันผลสูง ปีนี้ปีทอง ปีนี้เป็นปีทองของ KK คาดกำไรสุทธิปี 2010 สูงสุดในรอบ 9 ปีที่ 2.6 พันลบ. เพิ่ม 19% Y-Y แต่ถึงแม้มีโอกาสลดลงในปีหน้าหลังเข้าสู่วงจรอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น แต่ราคาหุ้นซื้อขายไม่แพงคือ 0.76 เท่าของ 2010 prospective BVS เทียบกับ TISCO และ TCAP ที่ 1.5 เท่า และ 1.1 เท่าตามลำดับ เราคาดว่า KK จะจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล 1 บาท/หุ้น และทั้งปี 2.25 บาท/หุ้น คิดเป็นอัตราผลตอบแทน 8.2% ต่อปี สูงกว่า TISCO และ TCAP ที่อยู่ที่ 7% และ 4% ตามลำดับ เราประเมินราคาพื้นฐานของ KK ที่ 33 บาท มี upside 20% จากราคาปัจจุบัน จึงแนะนำซื้อ
-CPN อิเซตันเปิดวันพฤหัสนี้ เรามีมุมมองเป็นบวกมากขึ้นกับ CPN หลังจากพื้นที่ในส่วนต่างๆ ของห้างจะทยอยเปิดได้เร็วกว่า โดยห้างอิเซตันจะเปิดในวันที่ 24 นี้ ในส่วนของ ZEN ที่ได้รับความเสียหายมากที่สุด ต้องใช้เวลาอีกประมาณ 14 เดือน ขณะที่เซ็นทรัลลาดพร้าวก็เลื่อนการปิดปรับปรุงไปเป็นเดือน ก.พ. ปีหน้า ราคาเป้าหมายเดิมที่เราลดลงเหลือ 21 บาทจากกรณีที่ห้างถูกเผาและอยู่บนสมมติฐานที่แย่ที่สุดคือเปิดห้างปีหน้า แต่การเปิดให้บริการเร็วขึ้นทำให้เราปรับประมาณการและราคาเป้าหมายกลับขึ้นมาเป็น 23 บาท มี upside 15% จากราคาหุ้นปัจจุบัน ปรับคำแนะนำขึ้นจากเดิม ‘ขาย’ เป็น ‘ซื้อ’

FSS : ข่าวภายในประเทศ
กองทุนกว้านซื้อ TCAP ฝรั่งปรับเป้าใหม่ 40 บ. CLSA มองกำไรปีนี้ปรี๊ดเกือบ 2 เท่าตัว สถาบันทั้งในและต่างประเทศแห่ซื้อ TCAP หลังเครดิต ลียองเนส์ (CLSA) โบรกฯยักษ์ใหญ่ของโลก ปรับเป้าหมายหุ้น TCAP ปี 2553 ใหม่เป็น 40 บาท จากเดิม 31 บาท รับอานิสงส์จากการเข้าซื้อกิจการของ SCIB ดันกำไรปีนี้พุ่ง 5.58 พันล้านบาท เติบโตแบบก้าวกระโดดเกือบ 2 เท่าตัว กลายเป็นแบงก์อันดับ 5 ของประเทศ มีความ
สมบูรณ์แบบทุกด้าน ทั้งสินเชื่อเช่าซื้อ รายได้จากค่าธรรมเนียมที่แข็งแกร่ง บริหารคุณภาพสินทรัพย์ได้ดี แถมมีฐานเงินทุนเหมาะสม พร้อมเน้นการขยายธุรกิจผ่านการต่อยอดจากขยายเครือข่ายสาขาของ SCIB ที่เพิ่มขึ้น (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 22-06-2010)
PTT-PTTCH โดดเด่นโรงก๊าซฯ 6 พ้นบัญชีดำ ปตท. โล่งอกโรงแยกก๊าซฯ 6 หลุดจากบัญชีดำ กิจการที่ส่งผลกระทบสิ่งแวดล้อมรุนแรง มั่นใจเดินหน้าผลิตได้ภายในไตรมาส 3/53 ขณะที่ยังเร่งทำเอชไอเอต่อเนื่อง ด้านโบรกฯยันข่าวดีหนุนราคาหุ้นกลุ่ม PTT พร้อมเชียร์ซื้อ PTTCH รับประโยชน์สูงสุดหลังโครงการอีเทนแครกเกอร์เดินเครื่องผลิตเต็มที่ (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 22-06-2010)
KCE งบ Q2 แจ่มออเดอร์ล้น KCE การันตีงบไตรมาส 2 สุดหรู “พิธาน” ลั่นออเดอร์งานเข้าแน่นเอี้ยด ชี้ต้นทุนทองแดงสูงขึ้นแต่ไม่กระเทือน แถมตลาดเอเชียอยู่ช่วงขาขึ้น พร้อมตั้งสำนักงานขายที่ญี่ปุ่นในไตรมาส 3 ช่วยหนุนขยายฐานใหม่ เปรยลูกค้าญี่ปุ่น 2 รายใหญ่จ่อคิวออเดอร์งาน วางเป้ายอดขายทั้งปี 240 ล้านดอลลาร์ ฟากวงการชี้กำไรไตรมาส 2 โตขั้นต่ำ 120 ล้านบาท อัพไซด์หุ้นเหลือเพียบเกิน 40% (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น22-06-2010)
TMI จ่อคว้างาน2โรงแรมมั่นใจรายได้ปีนี้ทะลัก 20% TMI รุกธุรกิจโรงแรม-คอนโดมิเนียม ล่าสุดอยู่ระหว่างการเจรจากับธุรกิจโรงแรม 2 รายพร้อมเตรียมขยายตลาดโมเดิร์นเทรด ลุ้นโฮมโปร-บุญถาวร และเพิ่มตลาดภาคตะวันออก รวมถึงตลาดต่างประเทศ อย่างอินโดนีเซีย อินเดีย “ธีระชัย” เชื่อรีโมทสวิตช์, click-set มาร์จิ้นสูง มั่นใจดันรายได้ปีนี้โต 17-20% (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 22-06-2010)
TOP รับรู้รายได้ธุรกิจเอทานอลเพิ่ม “สุรงค์” ย้ำรีเทิร์นมากกว่า 15% โรงไฟฟ้า IPT เดินเครื่องปีนี้ TOP เตรียมรับรู้รายได้จากบริษัททรัพย์ทิพย์ หลังกว้านซื้อหุ้น 50% ตั้งแต่ไตรมาส 2/53 มั่นใจรีเทิร์นมากกว่า 15% “สุรงค์” แย้มอาจขยับสัดส่วนถือหุ้นเพิ่ม พร้อมขยายกำลังการผลิตเอทานอลเป็น 4 แสนลิตรต่อวันหากดีมานด์เอทานอลเพิ่มสูงขึ้น ส่วนโรงไฟฟ้า IPT จะเดินเครื่องผลิตได้ตามปกติ ภายในไตรมาส 4/53 แต่อุบ
ตัวเลขความเสียหาย (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 22-06-2010)
“พอสโก”ล้มดีลซื้อหุ้นI NOX “ประยุทธ” แห้วเงินหมื่นล้าน พอสโก ล้มดีลซื้อ INOX อ้างเหตุการณ์ทางการเมืองป่วน หมดหนทางเจรจา“มหากิจศิริ” ชวดเงินกว่า 1 หมื่นล้านบาท เชื่อสาเหตุมาจากตกลงเรื่องราคาซื้อขายไม่ได้ สำหรับผลประกอบการยังไปได้สวย มั่นใจทั้งปีมีกำไร 405 ล้านบาท จากยอดขายที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 1.4 แสนตัน ตามการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจ (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 22-06-2010)
DRT จับมือแฮดเลย์ยักษ์เหล็กเมืองผู้ดีหวังบุกตลาดหลังคา “กระเบื้องหลังคาตราเพชร”จับมือแฮดเลย์ ยักษ์ใหญ่ในวงการผลิตเหล็กรีดเย็นสัญชาติอังกฤษ ผลิตอุปกรณ์ติดตั้งโครงสร้างหลังคา (แป) ภายใต้แบรนด์ “อัลตราสตีล ตราเพชร” หนุนทำอุปกรณ์สำหรับโครงสร้างหลังคาบ้าน ป้อนตลาดผ่านช่องทางตัวแทนจำหน่ายและขายตรงสู่ลูกค้าโครงการ ช่วยเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันในตลาด ตั้งเป้ายอดขายปีละ 120ล้านบาท (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 22-06-2010)
พบบิ๊กล็อต SSC รอบสอง11 ล้านหุ้น ลือ“ไทยเอ็นวีดีอาร์”ขายให้“บุลสุข” พบบิ๊กล็อต SSC กว่า 11.07 ล้านหุ้น ราคา 35 บาท เชื่อ “ไทนเอ็นวีดีอาร์” ขายให้ “บุลสุข” เนื่องจากมีหุ้นอยู่กว่า 16 ล้านหุ้น ส่งผลให้สัดส่วนการถือหุ้นของกลุ่มบุลสุขเพิ่มเป็น 20.61% เสริมความมั่นใจอีกระดับ ขณะที่ เชื่อว่านักลงทุนรายย่อยและผู้ถือหุ้นมั่นใจในการบริหารงาน และผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 22-06-2010)

--------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ตปท.

ข่าวต่างประเทศ
สหรัฐอเมริกา:
วิกฤติน้ำมันรั่วในสหรัฐ ทำบีพีสูญเงินแล้ว2พันล. บริติชปิโตรเลียม หรือบีพี บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ของอังกฤษเผย บริษัทใช้จ่ายเงินไปกับการพยายามยุติการรั่วไหลของน้ำมันในอ่าวเม็กซิโกแล้ว 2,000 ล้านดอลลาร์ ขณะเดียวกันประเมินว่าหากสถานการณ์เลวร้ายถึงขีดสุดอาจมีการรั่วไหลลงสู่ทะเลมากถึงวันละ 100,000 บาร์เรล หรือ 15.9 ล้านลิตร (ที่มา: ไทยโพสต์ 22-06-2010)
จีน: เงิน "หยวน" แข็งค่าสุดรอบ 5 ปี ตลาดหุ้นดีดตัวคึกคักทั่วโลกจีนทำตามสัญญา ปล่อยเงินหยวนแข็งค่าสุดรอบ 5 ปี แต่ยังอยู่ในกรอบที่กำหนด นักวิเคราะห์ระบุยังน่าผิดหวังอยู่ดี เชื่อในช่วง 12 เดือนข้างหน้าแข็งค่าไม่เกิน 5% เหตุยังต้องรักษาภาคส่งออก ตลาดหุ้นเอเชีย-ทั่วโลกพุ่งแรง ฮ่องกงทะยานกว่า 600 จุด เอเอฟพีรายงานว่า หลังจากธนาคารกลางจีนได้ประกาศยืดหยุ่นค่าเงินหยวนไปเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน ซึ่งหมายถึงการปล่อยให้เงินแข็งค่าจากระดับปัจจุบันเล็กน้อยเพื่อลดแรงกดดันจากนานาชาติ ก่อนจะมีการประชุมกลุ่มประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ 20 ประเทศ (จี 20)ปรากฏว่าในตลาดซื้อขายเงินตราต่างประเทศ เมื่อวันจันทร์ที่ 21 มิถุนายน เงินหยวนได้แข็งค่ามากที่สุดในรอบ 5 ปีหรือนับจากเดือนกรกฎาคม 2548 ไปอยู่ที่ 6.8089 หยวนต่อดอลลาร์สหรัฐ ส่วนประกาศของธนาคารกลางจีนในวันเดียวกันนี้กำหนดค่ากลางของอัตรา
แลกเปลี่ยนเงินหยวนไว้ที่ 6.8275 หยวนต่อดอลลาร์ ไม่เปลี่ยนแปลงจากวันศุกร์ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม แม้ในวันที่ 21 มิถุนายนเงินหยวนจะแข็งค่าขึ้นแต่ยังอยู่ในกรอบการเคลื่อนไหว(band) ที่ธนาคารกลางจีนได้ประกาศไว้ก่อนหน้านี้ ที่กำหนดให้เคลื่อนไหวขึ้น-ลง ระหว่าง 6.7934-6.8616 หยวนต่อดอลลาร์ (ที่มา: มติชน 22-06-2010)
จีน: จีนเซ็นซื้อพลังงานออสซี่มูลค่า 8.8 พันล้านดอลลาร์ เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน เอเอฟพีรายงานว่า จีนได้เซ็นซื้อทรัพยากรธรรมชาติและพลังงานจากออสเตรเลียมูลค่า 8.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 2.81 แสนล้านบาท) ซึ่งนายเควิน รัดด์ นายกรัฐมนตรีออสเตรเลียระบุว่าสะท้อนให้เห็นถึงความร่วมมือที่แข็งแกร่งและเพิ่มพูนระหว่างออสเตรเลียและจีนในฐานะผู้ซื้อวัตถุดิบรายใหญ่จากออสเตรเลีย อีกทั้งจะช่วยปรับปรุง
สาธารณูปโภคพื้นฐานและนำมาซึ่งงานและการพัฒนาในภูมิภาคเอเชีย (ที่มา: มติชน 22-06-2010)
เอเชีย: มาเลเซียคาดการลงทุนกลับมาขยายตัวปีนี้ เหตุเศรษฐกิจฟื้น กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าระหว่างประเทศของมาเลเซีย ตั้งเป้าจะดึงดูดเงินลงทุนในภาคการผลิตและบริการให้ได้อย่างน้อย 7.33 หมื่นล้านริงกิต (2.3 หมื่นล้านดอลลาร์) ในปีนี้ ซึ่งเพิ่มขึ้น 2.8% จากปี 2552 (ที่มา: อินโฟเควสท์ 21-06-2010)

"หยวน" จุดพลุดันหุ้นพุ่งทั่วโลก ธปท.-คลังประสานเสียงส่งออกไทยรับอานิสงส์
"หยวนจีน" จุดพลุตลาดหุ้นหลังจ่อลอยตัวทำตลาดทองคำปั่นป่วนตาม ด้าน ธปท.ชี้เป็นโอกาสทองของส่งออกไทยไปจีนเพิ่มขึ้นและไม่ทำให้ไทยสูญเสียความสามารถการแข่งขัน ด้านกรณ์ยังพาไปว่ายน้ำหุ้นดีดเพราะแผนปรองดองนายกฯ...

"หยวนจีน" จุดพลุตลาดหุ้นหลังจ่อลอยตัวทำตลาดทองคำปั่นป่วนตาม ด้าน ธปท.ชี้เป็นโอกาสทองของส่งออกไทยไปจีนเพิ่มขึ้นและไม่ทำให้ไทยสูญเสียความสามารถการแข่งขัน ด้านกรณ์ยังพาไปว่ายน้ำหุ้นดีดเพราะแผนปรองดองนายกฯ

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานวานนี้ (21 มิ.ย.) ว่า ธนาคารกลางจีนได้เปิดเผยเมื่อวันที่ 19 มิ.ย.ที่ผ่านมาก่อนการประชุมสุดยอดกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วและกำลังพัฒนา 19 ประเทศ รวมทั้งสหภาพยุโรป หรือ จี-20 จะเริ่มขึ้นราว 1 สัปดาห์ ว่าจีนจะปล่อยให้อัตราแลกเปลี่ยนหยวนมีความยืดหยุ่นมากขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งเป็นการบ่งชี้ว่าทางการจีนพร้อมผ่อนคลายการผูกติดค่าเงินหยวนกับดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งดำเนินการมาเป็นเวลานานถึง 23 เดือน

ทั้งนี้ สัญญาล่วงหน้าที่ไม่มีการส่งมอบ (NDF) ระยะ 3 เดือนสกุลดอลลาร์ฯ/หยวน วานนี้ (21 มิ.ย.) อยู่ที่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน ก.ค.2551 โดยร่วงต่ำถึง 6.72 ซึ่งบ่งชี้ถึงการแข็งค่าขึ้นของหยวน 1.52% ขณะที่ตลาดหุ้นทั่วโลกก็ดีดตัวขึ้นวานนี้ โดยตลาดหุ้นไทยได้ทะยานขึ้นมาปิดที่ระดับ 806.07 จุด เพิ่มขึ้น 14.22 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายกว่า 29,913 ล้านบาท เป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นอื่นๆทั่วโลก

นายบัณฑิต นิจถาวร รองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สายเสถียรภาพการเงิน กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินหยวนเกิดจากพื้นฐานของเศรษฐกิจจีนที่ขยายตัว อย่างรวดเร็วต่อเนื่องและที่ผ่านมาเกินดุลบัญชี เดินสะพัดในระดับที่สูงมาก ดังนั้น การใช้อัตราแลกเปลี่ยนที่ยืดหยุ่นเพิ่มขึ้นจะช่วยลดแรงกดดันการเร่งตัวของเงินเฟ้อและยังจะช่วยการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกในระยะยาวเนื่องจากจะช่วยลดปัญหาความไม่สมดุลของระบบการเงินโลก

"การปรับอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินหยวนเพิ่มขึ้น เท่ากับเปิดโอกาสให้ค่าเงินหยวนแข็งค่าขึ้นและจะส่งผลกระทบให้ค่าเงินในภูมิภาคและค่าเงินบาท แข็งค่าขึ้นตามด้วย อย่างไรก็ตาม ประเทศต่างๆก็จะได้ประโยชน์จากการส่งออกรวมทั้งผู้ส่งออกไทยก็น่าจะได้ประโยชน์ด้วยเช่นกัน เพราะสามารถส่งออกไปยังประเทศจีนได้มากขึ้น โดยปัจจุบัน ประเทศไทยส่งออกไปจีนราว 12% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด"

ขณะที่นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง เปิดเผยว่า มี 3 ปัจจัยที่ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับขึ้นอย่างร้อนแรงคือ นักลงทุนมีความเชื่อมั่นในเสถียรภาพเศรษฐกิจและการเมืองมากขึ้น หลังจากนายกรัฐมนตรีมีแผนปรองดองและปฏิรูปเศรษฐกิจลดความเหลื่อมล้ำทางรายได้ช่วยสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุน และตัวเลขเศรษฐกิจที่อยู่ในเชิงบวก โดยเฉพาะการส่งออกในเดือน พ.ค.ที่สูงมากเป็นประวัติการณ์ และนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนของจีนที่มีต่อเงินหยวนเป็นสัญญาณที่ชี้ให้นักลงทุนได้เห็นว่าความสามารถของผู้ส่งออกไทยน่าจะดีขึ้น

นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ เปิดเผยว่า ราคาทองคำวันที่ 21 มิ.ย.ที่ผ่านมา ผันผวนขึ้นลงตลอดทั้งวันถึง 5 ครั้ง โดยช่วงเช้าปรับลดราคาลงมาบาทละ 50 บาท หลังจากนั้นก็ ปรับเพิ่มขึ้นจนทำให้ราคาทองแท่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ทำนิวไฮอยู่ที่ 19,250 บาท ก่อนปรับตัวลดลงในช่วงท้ายตลาดที่บาทละ 19,050 บาท ทอง รูปพรรณซื้อบาทละ 18,768 บาท ขายบาทละ 19,550 บาท "ความผันผวนของราคาทองคำในตลาดประเทศ ไทยเป็นไปตามราคาในตลาดต่างประเทศที่ผันผวนหนักและทำนิวไฮที่ระดับ 1,264 เหรียญสหรัฐฯต่อ ออนซ์ ซึ่งเป็นผลจากกองทุนต่างชาติเก็งกำไรและใกล้ปรับฐานราคารวมถึงนักลงทุนเกรงว่าเศรษฐกิจยุโรปมีปัญหาจึงป้องกันความเสี่ยงด้วยการซื้อทองคำเก็บ"

ขณะที่นักวิเคราะห์ในตลาดทองคำได้เตือนนักลงทุนให้ระวังการเข้าไปซื้อทองคำในช่วงนี้ เพราะมีการประเมินว่าธนาคารเพื่อการเกษตรของจีน อาจขายหุ้นเพิ่มทุนออกมาจนอาจกระทบต่อตลาดซื้อขายทองคำตามมา.

Investor Station : จีนยืดหยุ่นหยวนจุดพลุตลาดหุ้น-กลุ่มโภคภัณฑ์
จีนประกาศยืดหยุ่นค่าเงินหยวนเล็งเลิกผูกติดกับดอลล่าร์ นักวิเคราะห์ชี้ระยะยาวทำเงินหยวนและเงินสกุลเอเชียแข็งค่า ระยะยาวอาจกระทบกลุ่มส่งออก ฟากกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์รับอานิสงส์เต็มๆ ระยะสั้นหนุนเงินไหลเข้าตลาดหุ้นทั่วภูมิภาคเอเชีย แนะทยอยขายทำกำลัง หลังดัชนีฯทะยานทะลุ 800 จุด
หลังจากเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ธนาคารกลางจีน สร้างความประหลาดใจให้แก่ตลาดด้วยการแถลงว่า จะเพิ่มความยืดหยุ่นของค่าเงินหยวน หลังจากที่ใช้ระบบผูกติดหยวน กับดอลลาร์มานานถึง 23 เดือน การแข็งค่าของเงินหยวน จะช่วยลดความตึงเครียดทางการค้าและจะทำให้จีนมีกำลังซื้อสินค้าต่างชาติมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อการค้าทั่วโลก โดยเฉพาะต่อประเทศผู้ส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น ออสเตรเลีย, บราซิล, แคนาดา และนิวซีแลนด์
ขณะที่ ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ รวมถึงตลาดหุ้นและสกุลเงินเอเชียวานนี้(21 มิ.ย.) ปรับตัวเพิ่มขึ้นแรงเพื่อตอบรับปัจจัยดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม ธนาคารกลางจีน ออกแถลงการณ์ผ่านเว็บไซต์ โดยปฏิเสธความเป็นไปได้ในการขึ้นค่าเงินหยวนครั้งใหญ่ ด้วยการดำเนินการหนึ่งครั้ง และย้ำว่าไม่มีเหตุผลแต่อย่างใด ในการปรับขึ้นค่าเงินหยวนครั้งใหญ่ และค่าเงินหยวน ไม่ได้อยู่ห่างไกลมากนักจากระดับที่เหมาะสม
ธนาคารกลางจีน กำหนดอัตรากลางของเงินหยวนในวานนี้ ไว้ที่ 6.8275 หยวน/ดอลลาร์ ขณะที่อัตราแลกเปลี่ยนหยวนในตลาดสปอตเมื่อช่วงสายวานนี้พุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดรอบ 21 เดือน ที่ 6.8154 หยวน/ดอลลาร์ หรือดีดตัวขึ้น 0.16% จากวันศุกร์
บทวิเคราะห์ บล.เอเซีย พลัส ระบุว่า การที่ จีน ประกาศแผนการที่จะยกเลิกการผูกติดของเงินหยวนกับดอลลาร์ ที่ใช้มานานถึง 2 ปี โดยจะปล่อยให้เงินหยวนลอยตัวเหมือนสกุลอื่นๆ ในเอเซีย (เช่น ประเทศไทย) คาดว่านอกเหนือจากแรงกดดันจากสหรัฐซึ่งเสียดุลการค้าให้กับจีนมาเป็นเวลานานแล้ว ความอ่อนแอของเศรษฐกิจโลก จากวิกฤตการเงินในยุโรปที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ บวกกับต้นทุนค่าแรงงานของจีนที่กำลังเพิ่มสูงขึ้น ทำให้จีนต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ใหม่ โดยพยายามลดการพึ่งพาเศรษฐกิจจากภาคส่งออก ซึ่งปัจจุบันมีบทบาทสำคัญต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติในประเทศ (ราว 70% ของ GDP) แต่จีนน่าจะหันมาให้ความสำคัญกับภาคเศรษฐกิจอื่นๆ เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะการบริโภคในประเทศ

****เงินหยวนแข็งค่าขึ้นมากสุดในรอบ 20 เดือน หลังแบงก์ชาติจีนส่งซิกเพิ่มความยืดหยุ่น
รายงานข่าวบนเว็บไซต์บลูมเบิร์กดอทคอมระบุว่า อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินหยวนแข็งค่าขึ้นมากที่สุดในรอบ 20 เดือน หลังธนาคารกลางจีนส่งสัญญาณจะเพิ่มความยืดหยุ่นของอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินหยวนก่อนการประชุมจี 20 ที่จะมีขึ้นในสัปดาห์นี้
โดย ณ เวลา 13.45 น.(21 มิ.ย.) ตามเวลาในฮ่องกง อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินหยวนแข็งค่าขึ้น 0.36% มาอยู่ที่ 6.802 หยวน/ดอลลาร์ แข็งค่าขึ้นมากที่สุดนับแต่วันที่ 7 ตุลาคมปี 2008 ขณะที่อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินหยวนล่วงหน้า 12 เดือนแข็งค่าขึ้น 1.4% มาอยู่ที่ 6.6209 หยวน/ดอลลาร์
'นักลงทุนซื้อเงินหยวนรับการส่งสัญญาณของธนาคารกลางจีน แต่เมื่อเงินหยวนเริ่มมีความผันผวนมากเกินไป ธนาคารกลางจีนอาจจะเริ่มแทรกแซงในที่สุด' นายหลู่ ตงเหลียงนักวิเคราะห์ไชน่าเมอร์แชนท์สแบงก์กล่าว

****วานนี้ค่าเงินบาท ปิดตลาดที่ระดับ 32.29 บาท/ดอลล์ คาดพรุ่งนี้แข็งค่าอีกเล็กน้อย
นักค้าเงินจาก ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB กล่าวว่า ค่าเงินบาทเย็นวานนี้(21 มิ.ย.)ปิดตลาดที่ระดับ 32.29 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่ามาจากมาตรการของจีนที่เตรียมปล่อยให้ค่าเงินหยวนมีความยืดหยุ่นมากขึ้น โดยระหว่างวันเงินบาทแข็งค่าสุดที่ระดับ 32.285 บาทต่อดอลลาร์ และอ่อนค่าสุดที่ระดับ 32.34 บาทต่อดอลลาร์
ส่วนแนวโน้มการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทในวันนี้ คาดว่าจะแข็งค่าได้อีกเล็กน้อย โดยประเมินกรอบการเคลื่อนไหวที่ 32.25-32.33 บาทต่อดอลลาร์

****แบงก์ชาติ มองส่งออกไทยรับอานิสงส์จีนปล่อยหยวนยืดหยุ่นมากขึ้น
นายบัณฑิต นิจถาวร รองผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) กล่าวว่า มองการส่งออกของไทยจะได้ประโยชน์จากการที่จีนเพิ่มความยืดหยุ่นของเงินหยวนมากขึ้น พร้อมระบุว่า ความเคลื่อนไหวของเงินบาท ยังสอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ และกลไกตลาด
"คิดว่าจีนเป็นตลาดส่งออกของไทย ถ้าค่าเงินหยวนแข็งค่าขึ้น การส่งออกของเรา เทียบกับสินค้าประเทศอื่น ดูแล้วก็ยังแข่งขันได้ เราก็น่าจะได้ประโยชน์"นายบัณฑิต กล่าวนายบัณฑิต กล่าวว่า การที่เงินหยวนแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินสกุลอื่น จะทำให้ประเทศอื่น ได้ประโยชน์จากการที่ประเทศในภูมิภาค และประเทศอุตสาหกรรมหลักสามารถส่งออกสินค้าไปจีนได้มากขึ้น ซึ่งจะช่วยลดความไม่สมดุลทางการค้า ที่จะมีขึ้นในระยะยาว จึงมองการปรับเปลี่ยนครั้งนี้ จะเป็นประโยชน์และสนับสนุนการฟื้นตัวเศรษฐกิจโลกในระยะยาวในแง่ของประเทศไทย เขา กล่าวว่า เท่าที่ดูหากเงินบาทที่แข็งค่า เป็นการแข็งค่าพร้อมกับภูมิภาค ดังนั้น ความได้เปรียบระหว่างประเทศคู่ค้า ก็คงไม่ใช่ประเด็น แต่การส่งออกจากไทยไปจีน น่าจะได้ประโยชน์จากการที่เงินหยวนแข็งค่าขึ้นโดยเมื่อดูตัวเลขส่งออกของไทยที่ส่งไปจีน ก็มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ ขณะที่จีนก็เป็นผู้ส่งออกรายใหญ่เช่นกัน เพราะฉะนั้นการปรับเปลี่ยนครั้งนี้น่าจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศในภูมิภาคและลดความเหลื่อมล้ำต่อเศรษฐกิจโลก และต่อการส่งออกของไทย
ทั้งนี้ ตั้งแต่ต้นปีนี้ เงินบาทแข็งค่าขึ้นมาแล้วประมาณ 3% แต่ก็เป็นไปในทิศทางที่สอดคล้องกับภูมิภาค และการปรับเปลี่ยนยังสอดคล้องไปกับปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจและกลไกตลาด ซึ่งหากเงินบาทมีความผันผวนไม่มาก ก็จะเป็นประโยชน์ต่อการปรับตัวของภาคธุรกิจเอกชน ซึ่งเป็นประเด็นที่ธปท.ให้ความสำคัญ
"การแข็งค่าของค่าเงินบาท คงปรับเปลี่ยนสอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐาน และกลไกตลาด ถ้าเผื่อการปรับเปลี่ยนเหล่านี้ อยู่ในขนาดของการเปลี่ยนแปลงไม่ผันผวนมากนักก็จะเป็นประโยชน์ต่อการปรับตัวของธุรกิจเอกชน" นายบัณฑิต กล่าว
บาท/ดอลลาร์ ช่วงบ่าย แข็งค่าสูงสุดในรอบ 6 สัปดาห์ มาที่ 32.26/31ขณะที่เมื่อสิ้นปีก่อนอยู่ที่ 33.32 ทำให้บาทแข็งค่าแล้ว 3.25% ในปีนี้ ซึ่งแข็งค่ามากเป็นอันดับ 3 ในภูมิภาคเอเชีย รองจากริงกิตมาเลเซีย และรูเปียห์อินโดนีเซีย**** เลขา ส.นักวิเคราะห์ฯ มองตลาดหุ้นพุ่งรับข่าวจีนยืดหยุ่นค่าหยวน เตือน นลท. ระวังแรงขายที่ 800 จุด พร้อแนะลงทุนตราสารอื่นที่ผลตอบแทนดีกว่า
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการ สมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่า จากกรณีที่จีนประกาศยืดหยุ่นสกุลเงินหยวนแบบค่อยเป็นค่อยไปนั้น เป็นปัจจัยบวกช่วยหนุนให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นในระยะสั้นนี้ แต่อย่างไรก็ดี มองว่าการที่จีนประกาศเป็นเพียงการปรับแบบค่อยเป็นค่อยไป จึงจะต้องติดตามเกี่ยวกับค่าเงินต่อไป กลยุทธ์การลงทุน แนะนำให้กระจายการลงทุนให้หลากหลาย เพราะมองระดับดัชนีฯ ที่ 800 จุด Dividend Yield อยู่ที่ 3.8% ซึ่งถือว่าลดลงหากเปรียบเทียบที่ระดับ 750 จุด Dividend Yield จะมากกว่า 4% ซึ่งนักลงทุนควรกระจายความเสี่ยงไปลงทุนประเภทตราสาร อาทิ พันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้เอกชน กองทุน ทองคำแท่ง หรือกองทุนที่ลงทุนเกี่ยวกับทองคำ เพราะผลตอบแทนถือว่าอยู่ในแนวโน้มที่ดี
'ดัชนีฯ ขึ้นมาที่ระดับ 800 จุดก็ควรระมัดระวัง เพราะอาจจะมีการทยอยการขายทำกำไรออกมาบ้าง นักลงทุนก็ควรกระจายความเสี่ยงไปลงทุนตราสารประเภทอื่น' นายสมบัติ กล่าว

****บล.กสิกรไทย แนะ นลท.ทยอยขายทำกำไรหากดัชนีฯทะลุ 800 จุด ชี้จีนยืดหยุ่นค่าเงินหยวนแค่ข่าวดีระยะสั้น
นายเผดิมภพ สงเคราะห์ กรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย เปิดเผยว่า จากกรณีที่ประเทศจีนมีนโยบายยืดหยุ่นค่าเงินหยวนมากขึ้น ประเมินว่าในระยะสั้นประเด็นดังกล่าวน่าจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นไทย โดยในช่วงไม่เกิน 1 เดือนมีโอกาสที่จะเห็นดัชนีฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นไปที่ระดับ 808-820 จุด เนื่องจากจะมีกระแส Fund Flow ไหลเข้ามาในตลาดหุ้น ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นในเอเชีย เห็นได้จากก่อนหน้านี้ที่จีนมีนโยบายในการยืดหยุ่นค่าเงินหยวนก่อนหน้านี้ที่ส่งผลให้ตลาดหุ้นในเอเชียมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 9-10% ในช่วง 1-2 เดือน
ประกอบกับประเมินว่า ก่อนที่จะมีการประกาศผลประกอบการไตรมาส 2/2553 โดยเฉพาะในกลุ่มของธนาคารพาณิชย์ที่จะมีการประกาศงบการเงินในช่วงวันที่ 20-21 ก.ค.นี้ ยังคาดว่าจะมีสภาพคล่องไหลเข้ามาลงทุนจากประเด็นดังกล่าว รวมทั้ง ตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาส 2 อื่นๆ ที่จะออกมา โดยประเมินว่า การเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนในปีนี้จะอยู่ที่ระดับเดิม คือเติบโตจากปีก่อนประมาณ 13%
นอกจากนี้ ยังมีสภาพคล่องจากเงินลงทุนที่เข้าไปลงทุนในกองทุนที่ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลเกาหลีที่มีเม็ดเงินกว่า 1 แสนล้านบาท ที่ครบอายุ โดยประเมินว่า มีโอกาสที่จะไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น เนื่องจากในขณะนี้ประเทศเกาหลีมีความเสี่ยงจากปัญหาภาวะสงคราม
อย่างไรก็ดี ประเมินว่าในช่วงปลายเดือน ก.ค. หลังจากหมดประเด็นข่าวดีมีโอกาสที่ดัชนีฯจะปรับตัวลงไปที่ 700-720 จุด ซึ่งได้มีการปรับจากประมาณการเดิมที่คาดว่าจะอยู่ที่ 680-690 จุด เนื่องจากนักลงทุนยังไม่มีความมั่นใจถึงปัญหาสถานการณ์หนี้ในยุโรป และภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ซึ่งประเด็นดังกล่าวน่าจะกดดันตลาดหุ้นไปจนถึงช่วงปลายปี แต่ทั้งนี้ประเมินว่าในช่วงปลายปีมีโอกาสที่จะเห็นดัชนีฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นไปที่ระดับ 910 จุด เนื่องจากการฟื้นตัวของตลาดหุ้นโดยปกติจะตอบรับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจล่วงหน้าประมาณ 3-6 เดือนที่คาดว่าจะเห็นได้ในช่วงไตรมาส 1/2554
นอกจากนี้ ประเมินว่าเม็ดเงินของนักลงทุนต่างชาติในขณะนี้ยังมีการเคลื่อนไหวและจัดพอร์ตการลงทุนที่ไร้ทิศทาง ทั้งนี้จากข้อมูลเม็ดเงินต่างชาติที่ซื้อสุทธิในปี 2552 อยู่ที่ประมาณ 1 พันกว่าล้านเหรียญสหรัฐ แต่นับจากช่วงต้นปี 2553 ถึงปัจจุบันนักลงทุนต่างชาติได้มีการขายสุทธิไปประมาณ 650 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยปัจจุบันเหลือยอดซื้อสุทธิอยู่ประมาณ 500 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นระดับที่นักลงทุนต่างชาติถืออยู่ในช่วงภาวะเศรษฐกิจปกติในระดับประมาณ 500-600 ล้านเหรียญสหรัฐ จึงประเมินว่าเม็ดเงินดังกล่าวจะไม่ไหลออก แต่จะมีเม็ดเงินลงทุนไหลเข้าหรือไม่ยังคงต้องติดตามภาวะของปัญหาหนี้ในยุโรป
สำหรับคำแนะนำในการลงทุนระยะสั้นแนะนำให้นักลงทุนทยอยขายทำกำไร หากดัชนีฯปรับตัวเพิ่มขึ้นเกินที่ระดับ 800 จุด เนื่องจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นดังกล่าวเป็นการตอบรับข่าวดีในช่วงสั้น กรณีที่ประเทศจีนมีนโยบายที่จะยืดหยุ่นค่าเงินหยวน พร้อมทั้งประเมินว่าหลังจากหมดข่าวดีดังกล่าวในช่วงปลายเดือนก.ค. ถึงเดือนส.ค. มีโอกาสที่ดัชนีฯจะปรับตัวลดลงไปที่ 700-720 จุด พร้อมทั้งประเมินว่าจุดต่ำสุดของดัชนีฯน่าจะเห็นได้ในช่วงเดือนส.ค. ถึงเดือนก.ย. ซึ่งมองว่าเป็นจุดที่น่าซื้อลงทุน
สำหรับคำแนะนำการลงทุนในระยะสั้นช่วงนี้ ให้ซื้อเก็งกำไรในหุ้นกลุ่มโรงพยาบาล ได้แก่ BH BGH เนื่องจากมีค่า P/E ในการซื้อขายต่ำอยู่ที่ประมาณ 16 เท่า รวมทั้งเป็นหุ้นที่มีพื้นฐานดี เนื่องจากมีรายได้คงที่ ประกอบกับเมื่อเทียบกับค่า P/E ของหุ้นกลุ่มโรงพยาบาลในตลาดหุ้นเอเชีย ซึ่งมีค่า P/E สูงกว่าอยู่ที่ประมาณ 26-30 เท่า
นอกจากนี้ หากประเทศจีนมีการยืดหยุ่นค่าเงินหยวน ส่งผลให้หยวนมีการแข็งค่าอีก 3% แนะนำให้ซื้อในหุ้นที่ส่งออกไปยังประเทศจีน ได้แก่ HANA, SVI, ERAWAN และ STA
****เซียนหุ้นชี้หยวนแข็งค่า กลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์รับอานิสงส์เต็มๆ แต่กลุ่มส่งออกกระทบเชิงลบ
บทวิเคราะห์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุว่า ธนาคารกลางจีนได้ประกาศเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (19 มิ.ย.) ว่าจะปรับค่าเงินหยวนให้ยืดหยุ่นขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป ท่ามกลางการกดดันจากนานาชาติว่าเงินหยวนอ่อนค่าต่ำกว่าความเป็นจริง หลายฝ่ายเชื่อว่าเงินหยวนต่ำค่ากว่าความเป็นจริง 25% - 30% หมายความว่าเงินหยวนควรจะอยู่ที่ 4.8 – 5.1 หยวนต่อ 1 ดอลลาร์ซึ่งเป็นไปไม่ได้ในทันที ค่าเงินหยวนที่แข็งค่าขึ้นในครั้งนี้จะส่งผลให้ค่าเงินในเอเชีย รวมถึงเงินบาทไทย มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นตามไปด้วย ระยะสั้นจะเป็นการดึงดูดเงินร้อนเข้ามาในภูมิภาคเอเชียเพื่อเก็งกำไรค่าเงิน ระยะยาว เป็นผลบวกเพราะ 1) ช่วยลดความไม่สมดุลของระบบเศรษฐกิจโลก 2) เป็นผลดีต่อภาคการส่งออกของสหรัฐฯ ลดการขาดดุลการค้า 3) เป็นโอกาสดีของประเทศที่ผลิตสินค้าที่แข่งขันกับจีนโดยตรง 4) ราคาสินค้าโภคภัณฑ์มีแนวโน้มปรับสูงขึ้น
หุ้นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบทางบวก ได้แก่กลุ่มน้ำมัน ถ่านหิน ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี เหล็ก ทองแดง สังกะสี เรือที่ใช้ในการค้าระหว่างประเทศ และสินค้าที่ส่งออกไปเพื่อบริโภคอุปโภคในจีนเอง หุ้นที่เก็งกำไรได้ได้แก่ BANPU, IVL, PTT, PTTCH, PTTAR, IRPC, PDI, STA, TVO, RCL
หุ้นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบทางลบ ได้แก่กลุ่มส่งออกเพราะเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น หุ้นที่หลีกเลี่ยงระยะสั้นได้แก่ กลุ่มอิเล็คทรอนิกส์, GFPT, CPF

****กูรูมองเงินเอเชียมีทิศทางแข็งค่าตามหยวน กดดันประสิทธิภาพการทำกำไรลดลง ลดน้ำหนักหุ้นส่งออก
บทวิเคราะห์ บล.เอเซีย พลัส ระบุว่า ผลจากประเทศจีนยืดหยุ่นค่าเงินหยวน จะกดดันให้ค่าเงินอื่น ๆ ในภูมิภาคเอเชียมีแนวโน้มแข็งค่าตาม ในระยะกลางและยาว สะท้อนได้จากล่าสุดเงินเกือบทุกสกุลในเอเชียอ่อนค่าตามเงินหยวนในสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยเฉพาะเงินบาทได้กลับลงมาทำสถิติแข็งค่าใหม่อยู่ที่ 32.10 บาท แข็งค่าสุดในรอบ 1 เดือน ซึ่งเชื่อว่าแนวโน้มค่าเงินเอเชียที่แข็งค่าขึ้น จะกดดันภาคส่งออกในระยะยาว (โดยเฉพาะในเรื่องของประสิทธิภาพในการทำกำไร หรือ gross margin เพราะรายได้ในรูปเงินบาทจะลดลงตามค่าเงินที่แข็งค่าขึ้น แต่ต้นทุนจะทรงตัว หากมีการใช้วัตถุดิบในประเทศ) แนะนำให้ทยอยปรับพอร์ตการลงทุนหุ้นส่งออก โดยเฉพาะกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ในสัปดาห์ที่ผ่านมานักวิเคราะห์ ASP ได้ลดน้ำหนักการลงทุนน้อยกว่าตลาด และหุ้นส่วนใหญ่ก็ใกล้ Fair Value ปี 2553 คือ CCEL, DELTA, KCE, SMT, SPPT, SVI อย่างไรก็ดี เงินบาทแข็งค่าอาจจะจูงใจให้ต่างชาติขายน้อยลง และอาจจะกลับมาซื้อสุทธิบ้าง
****โบรกฯ คาด หุ้นไทยวันนี้ทะยานต่อ รับเม็ดเงินไหลเข้า จากเหตุจีนเล็งยืดหยุ่นค่าหยวน แนะ เก็งกำไรหุ้นกลุ่มหลัก
นางสาวมยุรี โชวิกรานต์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กิมเอ็ง(ประเทศไทย) กล่าวว่า แนวโน้มการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทยในวันนี้ คาดว่าจะอยู่ในลักษณะ SIDEWAYS และ SIDEWAYS UP เนื่องจากได้รับปัจจัยต่อเนื่องจากวันนี้ โดยเฉพาะกรณีการยืดหยุ่นนโยบายการเงินของประเทศจีน แต่การเคลื่อนไหวของดัชนีฯการฟื้นตัวคงจะไม่ร้อนแรงเท่ากับการซื้อขายวันนี้ เพราะอาจจะเจอแรงขายทำกำไรของนักลงทุนบ้างเป็นระยะ แต่อย่างไรก็ดี ภาพรวมตลาดฯยังได้รับแรงสนับสนุนจากเงินทุนต่างชาติที่ไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นไทยอยู่
กลยุทธ์การลงทุน แนะนำเก็งกำไร โดยรับอานิสงส์จากเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติที่กลับเข้ามาในช่วงนี้ โดยเน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มหลัก อาทิ กลุ่มธนาคาร และหุ้นกลุ่มพลังงาน อาทิ กลุ่มโรงกลั่น เพราะได้รับราคาน้ำมันโลกฟื้นตัวสนับสนุน โดยประเมินแนวรับไว้ที่ 800 จุด และประเมินแนวต้านไว้ที่ 810-815 จุด ด้านนายรักพงศ์ ไชยศุภรากุล ผู้จัดการฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจและกลยุทธ์ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า แนวโน้มในวันนี้ คาดการณ์ว่าดัชนีฯ จะแกว่งตัวในกรอบจำกัดโดยจะชะลอการปรับตัวขึ้น เนื่องจากยังไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามาสนับสนุนตลาด โดยประเมินแนวรับดัชนีฯ ที่ 780 จุด แนวต้าน 810 จุด และแนวต้านถัดไปที่ 812 จุด
ส่วนกลยุทธ์การลงทุน แนะนำซื้อเก็งกำไร ในหุ้นกลุ่มพลังงาน ได้แก่ PTTCH, กลุ่มถ่านหิน โดยเฉพาะ BANPU และหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ เช่น SCB เนื่องจากราคายังคงปรับขึ้นไม่มากเมื่อเทียบกับหุ้นตัวอื่นในกลุ่มเดียวกัน
--------------------------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น