Code 149 : คลายความกังวล เรื่องมาบตาพุด

วันศุกร์ที่ 3 กันยายน 2553

ATT Code : คลายความกังวล เรื่องมาบตาพุด
หลังจากที่เมื่อวานมีอาการตกใจของรายใหญ่ ขายออกมาแล้วก็ลงไปรับใหม่ ทำให้เด้งขึ้นมาบวกได้ ก็เนื่องจากว่าผลของมาบตาพุดออกมาดี ทำให้วันนี้ SET เปิดโดดขึ้นมา 8 จุด เปิดที่ 928.77 จุด โดยหุ้นพลังงานและตัวที่เกี่ยวข้องกับมาบตาพุดก็เปิดลอยกันท่วนหน้า โดยช่วงเช้า SET ปิดที่ 929.67 จุด +9.13 จุด ด้วยมูลค้าการซื้อขายขายมากถึง 2.5 หมื่นล้านบาท

ช่วงบ่ายยังมีการขายกลุ่มแบงค์ออกกันมาอย่างต่อเนื่อง แล้วเปลี่ยไปซื้อกลุ่มพลังงานแทน โดยหุ้นที่เด่นที่สุดก้คือ PTT โดยบวกไปถึง 22 บาท ทำให้ SET ปิดบวกไป 9.36 จุด ปิดที่ 929.90 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่ทะลุ 5หมื่นล้านมาได้ คือ 5.2 หมื่นล้านบาท ถือว่ายืนใกล้เคียงกับแนวต้านที่ BB Top ที่ 930 จุด โดยในวันจันทร์หน้านี้ มีแนวรับอยู่ที่ 920 จุด และแนวต้านอยู่ที่ 935 จุด

----------------------------------------------------------------------------------
MARKET WAVE Analysis
3 กย. 53 ( +1.20 จุด) โกมล พงศ์วิญญู เลขทะเบียน 18338

ไม่ต่ำกว่า 912.45 ดีดตัวขึ้น 925 – 928 จุด
แนวโน้มในวันศุกร์นี้ ตราบใดไม่ต่ำกว่า 912.45 จุดต่ำสุดของวันพฤหัส ดัชนีมีโอกาสดีดตัวกลับขึ้นไปแถว 925 – 928 ใกล้จุดสูงสุดของวันพฤหัสอีกครั้ง
จากนั้น ตลาด “อาจจะ” แกว่งตัวขึ้นลง ในกรอบ 912 – 928 หรือระหว่างจุดต่ำสุดถึงจุดสูงสุดของวันพฤหัสอีกสักระยะ จนกว่าจะมีการปรับตัวขึ้น เกิน 928.51 จุดสูงสุดของวันพฤหัส จะทำให้ดัชนีมีแนวโน้มในการปรับตัวขึ้นต่อ เป้าหมายระยะสัปดาห์ 950 - 970 จุดและ มีเป้าหมายต่อไปประมาณเดือน ตค. แถว 1020 – 1030 จุด ในรูปแบบของ Zigzag wave
ขณะที่การปรับตัวลง ต่ำกว่า 912.45 จุด ต่ำสุดของวันพฤหัส จะทำให้ดัชนีมีโอกาสปรับตัวลงแถว 900 - 905 ใกล้จุดต่ำสุดวันที่ 31 สค. อีกครั้ง ( แต่ตราบใดไม่ต่ำกว่า 880 จุด เส้นค่าเฉลี่ย 25 วัน .... ถือว่าตลาดยังคงอยู่ในแนวโน้มหลัก “ขาขึ้น” )

----------------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย
ไทยรัฐ - By...อินเด็กซ์ 51 : เงาหุ้น-เงินท่วมตลาด!!

ดัชนีหุ้นวันที่ 2 ก.ย.53 ปิดที่ 920.54 จุด เพิ่มขึ้น 1.20 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 47,813.06 ล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิ 3,282.72 ล้านบาท
หุ้นที่มีการซื้อขายสูงสุด BANPU ปิดที่ 626 บาท เพิ่มขึ้น 8 บาท, PTT ปิดที่ 269 บาท ลดลง 2 บาท, KTB ปิดที่ 14.90 บาท เพิ่มขึ้น 0.30 บาท, BBL ปิดที่ 150.50 บาท เพิ่มขึ้น 1.50 บาท และ SCC ปิดที่ 303 บาท ลดลง 2 บาท

ฝ่ายวิเคราะห์ บล.ฟิลลิป มองตลาดหุ้นยังได้แรงหนุนจากตลาดหุ้นต่างประเทศที่ยังมีทิศทางที่ดี ขณะที่ค่าเงินบาทยังคงแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง สะท้อนการไหลเข้าของเงินทุน แต่ยังต้องติดตามดูว่าทางการจะมีมาตรการสกัดกั้นการแข็งค่าของเงินบาทอย่างไร เพราะอาจมีผลต่อการตัดสินใจของนักลงทุน

อย่างไรก็ตาม ตลาดยังคงมีการซื้อขายรายกลุ่มรายตัวตามปัจจัย หรือข่าวที่เข้ามากระทบ เช่น หุ้นในกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับมาบตาพุด หลังศาลตัดสินปลดแอก 74 โครงการ ออกมาดำเนินโครงการได้ตามปกติ แต่อีก 2 โครงการที่ถูกเพิกถอนเพราะเข้าข่ายกิจการรุนแรงเป็นของ PTTCH และ TPC ต้องกลับ ไปทำ EIA และ HIA ต้องรอดูการประเมินผลกระทบจากนักวิเคราะห์อีกรอบ

ขณะที่หุ้นกลุ่มแบงก์ยังเฮได้อีก เพราะสามารถปล่อยสินเชื่อให้กับโครงการที่เดินหน้าต่อได้ ขณะที่จะทำให้ความมั่นใจของนักลงทุนเพิ่มขึ้นด้วย หลังกรณีมาบตาพุดคลี่คลายได้ด้วยดี

ส่วนกลุ่มสื่อสารเริ่มคลายความร้อนแรง ซึ่งรอบหมุนคงจะกลับมาอีกครั้ง ในช่วงกลางเดือน หรือช่วงการเปิดประมูล 3 จี

มองแนวโน้มตลาดระยะสั้นว่ามีแนวโน้มผันผวน แต่ยังไปในเชิงบวก จากเม็ดเงินต่างชาติที่คาดว่าจะยังคงไหลเข้าต่อเนื่อง ด้านเทคนิคให้แนวต้านที่ 929 จุด ส่วนแนวรับอยู่ที่ 912 จุด

ฝ่ายวิจัย บล.ฟินันเซีย ไซรัส ชี้ว่า Fund Flow ยังคงไหลเข้าตลาดหุ้นไทยต่อเนื่อง ในหุ้นกลุ่มแบงก์และพลังงาน แต่ดัชนีอาจปรับตัวขึ้นได้ไม่ไกล เพราะมีแรงขายของนักลงทุนรายย่อยตั้งรอไว้อยู่ในช่วงที่ตลาดเด้งขึ้น ดังนั้น ตลาดจึงยังมีโอกาสปรับตัวลงได้จากแรงขายทำกำไร แต่ขึ้นอยู่กับเม็ดเงินต่างชาติ หากยังไหลเข้ามาหนาแน่นก็ดันตลาดขึ้นได้ฉลุย

ทั้งนี้ ให้กรอบการแกว่งตัวของดัชนีไว้ที่ 920-928 จุด!!

FSS:ลุ้นตลาดขึ้นต่อได้ แต่ควรเริ่มแบ่งส่วนขายทำกำไร และจังหวะซื้อน่ารอตอนพัก
แนวโน้ม: ตลาดหุ้นไทยเมื่อวานนี้แกว่งตัวผันผวนรุนแรงพอควรในช่วงบ่าย จากความไม่ชัดเจนของข่าวการพิจารณาคดีโครงการในมาบตาพุดของศาลปกครองกลาง แต่สุดท้ายแล้วเมื่อมีความชัดเจน (รายละเอียดดูได้จากรายงานวันนี้) ก็ทำให้ SET ขยับกลับขึ้นมาได้ใหม่อีกครั้ง ขณะที่เช้านี้ตลาดต่างประเทศก็ยังสามารถเคลื่อนไหวในด้านบวกเป็นหลัก จากความมั่นใจต่อภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐมากขึ้น หลังตัวเลขเศรษฐกิจด้านตลาดอสังหาริมทรัพย์และตลาดแรงงานของสหรัฐที่ประกาศเมื่อคืนนี้ดีขึ้นกว่าคาด โดยต้องติดตามดูตัวเลขการจ้างงานในคืนวันนี้อีกครั้งแต่ก็ถือว่าเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ SET วันนี้มีโอกาสที่จะกลับมาขยับบวกขึ้นต่อเนื่องได้อีก อย่างไรก็ตามการที่ตลาดขยับขึ้นมาค่อนข้างเร็วและแรงพอควร ทำให้ยังคาดว่ายังมีโอกาสที่ SETจะอยู่ในลักษณะขยับขึ้นแต่มีการแกว่งตัวผันผวนในระหว่างวัน และมีสิทธิที่จะมีการปรับพักตัวลงไปเคลื่อนไหวในด้านลบมากขึ้น หรือปิดวันเป็นลบได้ด้วย ดังนั้นช่วงถัดจากนี้จึงควรหาจังหวะขายทำกำไรเมื่อตลาดขยับขึ้นบ้าง ส่วนจังหวะซื้อใหม่ให้รอช่วงพักตัวลงของตลาด
กลยุทธ์: หาจังหวะขายทำกำไรเมื่อตลาดขยับขึ้นบ้าง ส่วนจังหวะซื้อรอช่วงตลาดแกว่งตัวย้อนลงโดยเน้นเลือกหุ้นที่ราคาตลาดต่ำกว่าราคาตามปัจจัยพื้นฐานมากๆ เป็นหลัก ได้แก่ SCB, KBANK,BAY, TCAP, KCE, HANA, DELTA, LPN, QH, SIRI, SPALI , DCC, GFPT, TTW และ BTSเป็นต้น นอกจากนี้วันนี้ยังน่าสนใจหุ้นที่ได้ประโยชน์จากความคืบหน้าของโครงการมาบตาพุด เช่นPTT, SCC และ GLOW ส่วน PTTCH แม้มี 1 โครงการที่ยังไม่ปลดล๊อก แต่ผลกระทบต่อกำไรเล็กน้อย โดยจะได้ประโยชน์จากโครงการแยกก๊าซหน่วยที่ 6 ที่จะเปิดดำเนินการได้มากกว่า
ประเด็นสำคัญวันนี้
• (+) มาบตาพุดเป็นบวก เราเห็นว่าคำพิพากษาเป็นบวกต่อความเชื่อมั่นในการลงทุนและโครงการที่ถูกระงับโครงการชั่วคราวที่ส่วนใหญ่ได้ถูกปลดล๊อกเป็นอย่างมาก มีเพียง2 โครงการที่อาจถูกเพิกถอนใบอนุญาต คือโครงการ MEG ของ PTTCH และโครงการ
ขยายกำลังการผลิตของ TPC (SCC ถือหุ้น TPC 45.64%) ทั้ง 2 โครงการนี้มีผลเพียงเล็กน้อยต่อ PTTCH และ TPC ซึ่งทั้ง 2 โรงการจะต้องกลับเริ่มจัดทำ EIA และ HIAจนกว่าจะผ่านความเห็นชอบ อาจใช้เวลา 6 – 8 เดือน ส่วนโครงการที่ไม่ได้ถูกระงับ จะไปยื่นขอใบอนุญาตในการเปิดกิจการจากหน่วยงานภาครัฐ และอาจใช้เวลาทดลองเดินเครื่องอีก 1 – 2 เดือน ก็จะสามารถผลิตเชิงพาณิชย์ได้lสิ้นปีนี้หรือต้นปีหน้า ความเสี่ยงคือผู้ฟ้องยังสามารถยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลปกครองได้ภายใน 1 เดือน เรายังคงแนะนำซื้อ SCC (เป้าหมาย 330 บาท) PTTCH (เป้าหมาย 135 บาท) PTT (เป้าหมาย325 บาท) GLOW (เป้าหมาย 52 บาท)
• (+) เป็น Sentiment บวกกับอีกหลายกลุ่ม ประเด็นมาบตาพุดที่ชัดเจนยังส่งผลบวกชัดเจนที่สุดกับกลุ่มแบงก์ใหญ่หลังจากการลงทุนได้ชะงักงันไปช่วงหนึ่ง (KTB, SCB,BBL, KBANK) กลุ่มนิคม (HEMRAJ ส่วน ROJNA และ AMATA ได้ทางอ้อมในแง่ความเชื่อมั่น) กลุ่มรับเหมาและอื่นๆ (TRC, TTCL, TNDT, QLT)
• (-) ติดตามตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐฯ คืนนี้ ตลาดคาดว่าการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐจะลดลง 100,000 ตำแหน่งในเดือน ส.ค. หากแย่กว่าคาด จะกดดันDow Jones และตอกย้ำการคงอัตราดอกเบี้ยต่ำไปอีกยาวนาน รวมทั้งการเพิ่มมาตรการ
อัดฉีดสภาพคล่องในระบบ ซึ่งจะกลายเป็นผลดีกับสินทรัพย์เสี่ยง และตลาดหุ้นในเอเชียอีกครั้ง
• Fund Flow วานนี้มีเม็ดเงินไหลเข้ามากขึ้นในตลาดหุ้นภูมิภาค โดยเฉพาะแรงซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยที่มากกว่าตลาดหุ้นอื่น ซึ่งน่าจะเป็นผลมาจากการปลดล๊อกคดีมาบตาพุดเป็นปัจจัยบวกสำคัญต่อความเชื่อมั่นในการลงทุนของไทย หลังตัวเลขเศรษฐกิจหลายประเทศออกมาดีทำให้ความกังวลเกี่ยวกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกผ่อนคลายลง ดังนั้นเรายังมองแนวโน้มกระแสเงินทุนยังไหลเข้าต่อเนื่อง และยังเชื่อว่าส่วนหนึ่งเป็นเม็ดเงินโยกย้ายมาจากตลาดพันธบัตร เพราะแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยกำลังเป็นขาขึ้น ค่าเงินบาทยังคงแข็งแกร่งต่อเนื่องยิ่งทำให้มั่นใจว่าไม่น่าจะมี Fund Flow ไหลออกในช่วงนี้

ข่าวภายในประเทศ
ศาลปลดล็อกมาบตาพุด สั่งเดินเครื่อง 74 โครงการ ปตท.ลุยโรงแยกก๊าซ 6 ทันที PTTCH-TPC กระทบเล็กน้อย “มาบตาพุด” ฟ้าเปิด 74โครงการเดินหน้าได้ทันที หลังศาลยกเลิกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ปตท. ลั่นพร้อมเดินเครื่องโรงแยกก๊าซฯ 6 ปลายปีนี้ ส่วนหุ้น PTT-PTTCH-SCC-TTCLแค่สะดุ้งตกใจท้ายตลาดวันนี้ลุ้นเปิดรีบาวด์ทันที ส่วน 2 โครงการที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาตมูลค่าแค่ 2,000 ล้านบาท (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 3-09-2010)
LPN ขายกระฉูด 1.15 หมื่นล้าน โอนคอนโด 4.2 พันล้านบาท ดันกำไร Q4 นิวไฮ "แอลพีเอ็น" 8 เดือนยอดขายทะลัก 1.15 หมื่นล้านบาทโบรกฯคาดทั้งปีทำได้ถึงเป้า 1.3 หมื่นล้านบาท หนุนรายได้เติบโตต่อเนื่องในอนาคต พร้อมคาดไตรมาสที่ 4/53 กำไรสุทธิทำสถิติสูงสุดรอบ 21 ปีหลัง 4 คอนโดฯก่อสร้างเสร็จและเริ่มโอน มูลค่ากว่า 4.2 พันล้านบาท และโครงการอื่นที่สร้างเสร็จพร้อมขายอีกกว่า 2.3 พันล้านบาท ปีนี้คาดกำไรสุทธิพุ่ง 1.57 พันล้านบาท โต 16% เชียร์ "ซื้อ" เป้าหมาย 12 บาท (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 3-09-2010)
ผู้ถือหุ้น TUF ไฟเขียวซื้อ MWB มั่นใจปีหน้ายอดขายพุ่งแตะ 3 พันล้านเหรียญ ผู้ถือหุ้น "TUF" อนุมัติเข้าซื้อกิจการ MW Brands “ธีรพงศ์”มั่นใจปี 54 ยอดขาย 3,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เร็วกว่าเป้าเดิมที่ตั้งไว้ปี 55 พร้อมตั้งเป้าใหม่ 4,000 ล้านเหรียญภายในปี 58 ขณะที่โรดโชว์มีการตอบรับดีทั้งในประเทศและต่างประเทศ ดันราคาหุ้นปรับเพิ่มสูงขึ้นเกือบ 50% การันตีนักลงทุนเชื่อมั่น (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 3-09-2010)
ILINKย้ำปีนี้กำไร 130 ล้านบาท ครึ่งหลังฟื้น-แบ็กล็อก 433 ล้าน ILINK คงเป้าหมายรายได้ในปี 53 ไว้ที่ 1.5 พันล้านบาท และกำไร 130ล้านบาท แม้ว่าในช่วงครึ่งปีแรกรายได้และกำไรต่ำกว่าคาด แต่มั่นใจครึ่งปีหลังเชื่อว่าธุรกิจของบริษัทจะฟื้นตัวขึ้น เผยปัจจุบันมี Backlog 433 ล้านบาท ส่วนใหญ่จะรับรู้รายได้ภายในปีนี้ และยังเข้ายื่นประมูลงานใหม่อีก 400 ล้านบาท เชื่อว่ามีโอกาสได้งานทั้งหมด เพราะเป็นงานที่บริษัทมีความถนัดโดยตรง (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 3-09-2010)
TSTH กำไรพันล.แนะน่าซื้อลงทุนเป้าใหม่ 2.48 บาท เชียร์ซื้อ TSTH เป้าหมายใหม่ 2.48 บาท คาดปริมาณขายเหล็กเพิ่มขึ้นเป็น 105,000ตันต่อเดือน แนวโน้มไตรมาส 2/54 เสมอตัว เนื่องจากได้รับแรงกดดันจากต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น แต่จะกระเตื้องขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง 54 อัตรากำไรขั้นต้นดีขึ้น หลังจากปรับราคาขาย และประโยชน์จากโรงถลุงขนาดเล็กดันกำไรทั้งปีโต 56% เป็น 1.14 พันล้านบาท (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 3-09-2010)
SAMART การันตีครึ่งหลังกำไรเด้งโชว์ลูก SIM-SAMTEL รายได้เติบโต SAMART ฟันธงรายได้-กำไรครึ่งปีหลังดีกว่าครึ่งปีแรก ทั้งปี 53 จะดีกว่าปีก่อน เหตุบริษัทลูก SIM-SAMTEL โตต่อเนื่อง ด้าน SIM คาดกำไร-รายได้ครึ่งปีหลังดีกว่าครึ่งแรก เหตุเตรียมออกมือถือรุ่นใหม่ 15 รุ่น มั่นใจยอดขายมือถือปีนี้เข้าเป้าแตะ 3.5 ล้านเครื่อง เผยหั่นเป้ารายได้ปีนี้ จาก 1.2 หมื่นล้านบาท เหลือประมาณ 1 หมื่นล้านบาท เหตุราคาขายมือถือลดลง (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 3-09-2010)

----------------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ตปท.
ข่าวต่างประเทศ

ยุโรป: ธนาคารกลางยุโรปมีมติตรึงดอกเบี้ยที่ 1% ตามคาด ธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยที่ 1% ในการประชุมวันนี้ซึ่งนับเป็นเดือนที่ 16 ติดต่อกัน และเป็นไปตามความคาดหมายของนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ ทั้งนี้ ธนาคารกลางยุโรปคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์มาตั้งแต่เดือนพ.ค. 2552 เนื่องจากอีซีบียังไม่มั่นใจว่าเศรษฐกิจยูโรโซน หรือ 16 ประเทศที่ใช้เงินสกุลยูโร จะฟื้นตัวจากภาวะถดถอยได้อย่างยั่งยืนและแข็งแกร่ง ซึ่งปัจจัยลบต่อเศรษฐกิจในภูมิภาคได้แก่ การว่างงานที่ยังอยู่ในระดับสูงในหลายประเทศ อาทิ สเปน และ กรีซรวมถึงความพยายามของรัฐบาลประเทศต่างๆที่จะลดหนี้สาธารณะและยอดขาดดุลงบประมาณ นอกจากนี้ แนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่แน่นอนก็อาจบั่นทอนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยูโรโซนด้วยเช่นกัน (ที่มา: อินโฟเควสท์ 02-09-2010)
จีน: ยอดขายรถในจีนพุ่งเกือบ 56% ในเดือนส.ค. ส่วนยอดขายรถในสหรัฐย่ำแย่ จีนซึ่งเป็นตลาดยานยนต์รายใหญ่ที่สุดในโลกเปิดเผยว่ายอดขายรถในจีนดีดตัวขึ้นในเดือนสิงหาคมโดยได้รับแรงหนุนจากเงินหยวนที่แข็งค่ารวมถึงมาตรการให้เงินช่วยเหลือผู้ซื้อรถประหยัดพลังงานขณะที่ยอดขายรถในสหรัฐอยู่ในภาวะย่ำแย่ ศูนย์วิจัยและเทคโนโลยียานยนต์แห่งประเทศจีนของคณะรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ยอดขายรถในจีนขยายตัว 55.7% เมื่อเทียบรายปี แตะที่ 1.21 ล้านคันในเดือนสิงหาคม หลังจากที่ขยายตัว 17% และ 19.4% เมื่อเทียบรายปีในเดือนกรกฎาคมและมิถุนายนตามลำดับ (ที่มา: อินโฟเควสท์ 02-09-2010)
เอเชีย: เกาหลีใต้เผย GDP ไตรมาส 2 ขยายตัว 1.4% หลังยอดส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกพุ่ง ธนาคารกลางเกาหลีใต้เปิดเผยการประเมินตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาส 2 ขั้นต้นว่า จีดีพีไตรมาส 2 ของเกาหลีใต้ขยายตัว 1.4% ซึ่งใกล้เคียงกับไตรมาสแรกที่ขยายตัว 1.5% เพราะได้แรงหนุนจากยอดส่งออกสินค้าจำพวกเซมิคอนดัคเตอร์และสินค้าอิเล็กทรอนิกที่พุ่งขึ้นแข็งแกร่ง ทั้งนี้ ยอดส่งออกของเกาหลีใต้ในไตรมาส 2 ขยายตัว 7% ขณะที่อัตราการอุปโภคบริโภคในภาคเอกชนดีดตัวขึ้น 0.8% และตัวเลขการใช้จ่ายในภาครัฐ เพิ่มขึ้น 0.1%(ที่มา: อินโฟเควสท์ 03-09-2010)
เอเชีย: IMF ปรับเพิ่มคาดการณ์เศรษฐกิจเกาหลีใต้ปีนี้ จากเดิม 5.75% เป็น 6.1% กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ปรับเพิ่มคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจเกาหลีใต้ปีนี้จากเดิมที่ระดับ 5.75% เป็น 6.1% เนื่องจากมองว่าเศรษฐกิจของเกาหลีใต้ได้รับอานิสงส์จากการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล รวมถึงสถานการณ์การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจโดยรวม กระทรวงคลังของเกาหลีใต้เปิดเผยว่า รายงานฉบับล่าสุดของไอเอ็มเอฟระบุถึงมุมมองทางเศรษฐกิจเกาหลีใต้ในแง่บวก โดยชี้ถึงนโยบายเศรษฐกิจมหภาคที่เกาหลีใต้ใช้มาตั้งแต่ปี 2551 ว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนการขยายตัวทางเศรษฐกิจในประเทศ (ที่มา: อินโฟเควสท์ 02-09-2010)

----------------------------------------------------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น