Code 156 : SET เหมือนจะไป 950 แต่ตอนนี้ดู 900 เอาอยู่รึป่าว

วันพุธที่ 15 กันยายน 2553
ATT Code : SET เหมือนจะไป 950 แต่ตอนนี้ดู 900 เอาอยู่รึป่าว
เมื่อวานคาดว่า SET น่าจะอยู่ที่ 930 - 940 ได้ แต่ที่ไหนได้ เจอข่าวลือเรื่อธนาคารแห่งประเทศไทยจะมีมาตรการคุมเข้าค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นมา ก็ทำให้มีแรงขายหุ้นตัวใหญ่ๆ กัน ก็กดดันให้ตลาดลบไป 15 จุด

เช้านี้ก็ยังมีแรงกดดันเรื่องดังกล่าวอยู่เพราะยังไม่มีความชัดเจนเกี่ยวกับมาตรการดังกล่าว ทำให้ SET เปิดลบไป 6 จุด เปิดที่ 915.93 จุด และก็ยังมีแรงขายออกมาอย่างต่อเนื่อง ลงไป -18.93 จุด ที่ระดับ 902.46 จุด

พอเปิดภาคบ่ายก็มีแรงซื้อกลับเข้ามา ทำให้ SET มีการ Rebound ขึ้นมาเหลือ - 4 จุด ที่ 916 สุดท้ายพอปิดตลาด SET ก็ Rebound เกือบมาปิดบวดได้ แต่มาปิดที่ 921.10 จุด -0.29 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 4.1 หมื่นล้านบาท สามารถมายืนเหนือ 920 จุดได้ ทำให้ในวันพรุ่งนี้ก็มีโอกาสที่จะไปต่อไป โดยมีแนวรับอยู่ที่ 920 / 912 และแนวต้านอยู่ที่ 930

----------------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย
FSS:ตลาดยังไม่ผ่าน 940 จุด ก็ยังรอซื้อแถว 910 จุด(+/-) ได้!!!
แนวโน้ม: แม้ว่าตลาดหุ้นสหรัฐจะปิดเป็นลบอีกครั้งเมื่อคืนนี้ แต่ไม่มากนัก และยังไม่มีปัจจัยลบเพิ่มเติมคาดว่าเป็นเพียงแรงขายทำกำไรเพื่อลดความเสี่ยง หลังจากดัชนีดาวโจนส์ขยับขึ้นมาพอสมควรในช่วงที่ผ่านมามากกว่า ขณะที่ตลาดต่างประเทศอื่นๆ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นการแกว่งตัวแคบๆ ซึ่งมีทั้งบวกและลบ ซึ่งคาดว่าคงไม่มีผลต่อ SET ในวันนี้มากนัก โดย FSS คาดว่าตลาดหุ้นไทยวันนี้น่าจะเคลื่อนไหวตามประเด็นข่าวภายในประเทศมากกว่า โดยประเด็นหลักคงจะอยู่ที่เรื่องการแข็งค่าของเงินบาท ซึ่งตลาดกังวลว่าจะเป็นแรงกดดันให้แบงก์ชาติต้องออกมาตรการคุมเข้มการไหลเข้าของเม็ดเงิน และอาจส่งผลให้ SET ปรับตัวลงจากแรงขายของนักลงทุนต่างประเทศได้ ซึ่งจนถึงเช้านี้ยังไม่มีข่าวชัดเจนจากทางแบงก์ชาติหรือกระทรวงการคลัง ดังนั้นคาดว่าจะเป็นประเด็นที่ทำให้ SET วันนี้อาจจะมีกรอบการรีบาวด์ขึ้นที่จำกัด และยังมีสิทธิที่จะปรับตัวลดลงต่อเนื่องได้จนกว่าจะมีความชัดเจนมากขึ้น ขณะเดียวกันในช่วงบ่ายวันนี้ยังต้องติดตามการพิจารณาเรื่องที่ กสท.ยื่นฟ้องให้ กทช. ระงับการประมูล 3G อีกด้วย ดังนั้นเราจึงยังแนะนำให้รอหาจังหวะซื้อในช่วงที่ตลาดปรับตัวลงได้ ไม่ต้องรีบร้อนซื้อไล่ราคา
กลยุทธ์: เตรียมรอดูแรงซื้อจากแนวรับทางเทคนิคที่บริเวณ 915-912 และ 905-900 จุดตามลำดับ เพื่อลุ้นจังหวะรีบาวด์กลับขึ้นไปให้ขายทำกำไรตามรอบได้ โดยหุ้นที่น่าสนใจเนื่องจากราคาตลาดยังต่ำกว่าราคาตามพื้นฐานมากๆ ได้แก่ KCE, GFPT, AMATA, VNG, PTTEP, SCB,GLOBAL, CPALL, IRPC, TTW, BANPU, SITHAI, SEAFCO, DCC และ QH เป็นต้น
ประเด็นสำคัญวันนี้
• (-) ตลาดกังวลมาตรการสกัดกั้นเงินบาท ซึ่งเราเชื่อว่ามาตรการที่จะออกมาจะไม่กระทบการลงทุนในตลาดหุ้นอย่างมีนัยสำคัญ หรือไม่แย่เหมือนมาตรการ 30% ปลายปี2006 แนะนำทยอยสะสมที่บริเวณ 900 จุด +/- ในหุ้นกลุ่มรับเหมา (CK, STEC, TTCL)กลุ่มโรงพยาบาล (BGH) แบงก์ (KBANK, SCB) พลังงาน (PTT, PTTAR, PTTEP) โดยให้ระวังหุ้น Big cap. จากการถูกขายจากต่างชาติหากมาตรการยังไม่มีความชัดเจนดังนั้น ไม่ต้องรีบร้อนซื้อ ทยอยสะสมแบบตั้งรับน่าจะเหมาะกว่า
• (+) 3G ติดตามศาลไต่สวนวันนี้ ศาลปกครองนัดไต่สวน กรณี กสท.ฟ้อง กทช.ไม่มีอำนาจจัดประมูล 3G วันนี้เวลา 13.00 น. เรายังแนะนำให้ถือหุ้นต่อไปเพื่อลุ้นวันประมูลทั้งนี้ ADVANC ปลอดภัยที่สุด ราคาหุ้นปัจจุบันก็ยังต่ำกว่า Fair value ที่ไม่มี 3G และมีโอกาสจ่ายปันผลพิเศษหากไม่ทำ 3G ขณะที่ราคาหุ้น DTAC ใกล้ราคาเป้าหมายบน 2G ที่ 47 บาท (รวม 3G-54 บาท) และราคาหุ้น TRUE เกินราคาเป้าหมายแม้รวม 3G แล้ว
• (+) TTCL เราเริ่ม cover หุ้นด้วยนี้ด้วยการให้ราคาเป้าหมาย 12 บาท อิงจากรายได้ในปี 2011 ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 40% เนื่องจากโครงการลงทุนต่างๆ ในมาบตาพุดกลับมาดำเนินการได้เป็นปกติ และคาดว่ากำไรจะเติบโต 46% การชี้แจงข่าวของบริษัทวานนี้แล้วทำให้ราคาหุ้นพักฐานจึงเป็นโอกาสในการซื้อ
• (-) KSL 3Q10 ขาดทุนตามคาด แนวโน้ม 4Q10 ไม่ขาดทุนแต่ยังไม่ดีขึ้นเท่าใดนัก เราปรับประมาณการปีนี้ลง 60% แต่ปีหน้าคาดว่าผลประกอบการจะกลับมาเป็นเกือบปกติเราประเมินราคาเป้าหมายปีหน้า 12 บาท แนะนำเพียงถือ
• Fund Flow วานนี้ยังไหลเข้าตลาดหุ้นภูมิภาคต่อเนื่องเป็นวันที่ 4 ติดต่อกัน ยกเว้นตลาดหุ้นไทยที่ต่างชาติกลับมาขายสุทธิจากข่าวลือเกี่ยวกับมาตรการควบคุมเงินทุนที่ไหลเข้าจนทำให้ค่าเงินแข็งค่ามากที่สุดในรอบ 13 ปี อย่างไรก็ตามราเชื่อว่ากระแสเงินทุนจากต่างชาติจะยังไหลเข้าตลาดหุ้นภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง ปัจจัยหลักจะมาจากเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐและยุโรปในช่วงวิกฤติการเงินครั้งที่ผ่านมาทำให้มีเงินดอลลาร์ล้นตลาด ซึ่งเม็ดเงินเหล่านี้จะวิ่งไปหาผลตอบแทนที่สูงกว่าและมั่นคงกว่า นั่นก็คือตลาดเอเชียที่มีเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง ดังนั้นตราบใดที่เศรษฐกิจสหรัฐยังไม่ฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในช่วงตลาดพันธบัตรปรับตัวขึ้นก็จะกลายเป็นจังหวะการขายทำกำไรอย่างจีนที่ถือพันธบัตรสหรัฐมากที่สุดในโลกแล้วโยกเงินเข้ามาลงทุนในตลาดพันธบัตรเอเชียแทน แนวโน้มตลาดยังเป็นเช่นนี้อยู่ ค่าเงินเอเชียก็จะยังมีโอกาสแข็งค่าต่อเนื่องไปอีกระยะหนึ่ง

ข่าวภายในประเทศ
ศาลปกครองกลาง นัดไต่สวนคู่ความในคดีที่ กสท.ขอให้ศาลคุ้มครองชั่วคราว คำสั่งการประมูล 3G ของ กทช. วันนี้ (15 ก.ย.) เวลา13.00 น.: นายสถาพร เอียดใหญ่ ผู้จัดการฝ่ายคดี บริษัท กสท. โทรคมนาคม จำกัด ( มหาชน) (กสท.) กล่าวถึงความคืบหน้าในคดีที่กสท. ยื่นฟ้อง กทช. ว่าไม่มีอำนาจเปิดประมูลใบอนุญาต 3G ว่า ล่าสุดศาลฯ มีคำสั่งรับคำฟ้องไว้พิจารณา และนัดไต่สวนคู่ความ ในวันที่ 15 ก.ย.นี้ เพื่อพิจารณาว่าจะกำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราวหรือไม่ต่อไป จากเดิมที่กำหนดวันที่ 16 ก.ย. เนื่องจากกทช.ให้เหตุผลว่าในวันดังกล่าว กทช.จะต้องทดสอบระบบ 3G และจะเปิดประมูลใบอนุญาตให้บริการ 3G ในวันที่ 20 ก.ย.นี้แล้ว << ส่วนการไต่สวนนั้น กสท. เตรียมพยานบุคคลที่จะให้ถ้อยคำต่อศาล 2 ปาก ที่จะชี้ถึงอำนาจ กทช. และผลกระทบที่ กสท. จะได้รับเกี่ยวกับการเชื่อมต่อสัญญาณ หรือ โรมมิ่ง และรายได้ ทั้งนี้ตนเองมั่นใจว่าการไต่สวนนั้น ศาลน่าจะมีคำสั่งทันก่อนที่จะมีการประมูลวันที่ 20 กันยายน (ที่มา: สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์ 14 ก.ย.) ความเห็น:ต้องติดตามว่าศาลฯ จะมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวหรือไม่ หากเป็นดังนั้น กทช.จะต้องชะลอหรือยกเลิกการประมูล 3G ที่มีกำหนดตั้งแต่วันที่ 20ก.ย.นี้ และต่อสู้คดีไป แต่หากเป็นในทางดี ศาลไม่มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว กทช.ก็ไม่ต้องเลื่อนหรือยกเลิกประมูล 3G แต่ก็ต้องเข้าสู้คดีเช่นกัน <<ทั้งนี้ แม้เราเชื่อเกิน 50% ว่าศาลจะไม่มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว โดยกทช.สามารถชี้แจงถึงอำนาจหน้าที่ของตนเองในกิจการโทรคมนาคม ก่อนที่จะเกิดองค์กรใหม่คือ กสทช.ได้ และก่อนหน้านี้ ศาลปกครองได้ชี้แจงเบื้องต้น ไม่สามารถเปิดไต่สวนฉุกเฉิน และคุ้มครองฉุกเฉินได้ เนื่องจากโครงการ 3G ยังไม่เกิด จึงยังไม่มีมูลค่าความเสียหาย อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงมากขึ้นว่าการประมูล 3G จะล่าช้าออกไป หากศาลฯ จะมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว จะยังเป็น Sentiment เชิงลบต่อราคาหุ้นมือถือ (ADVANC, DTAC, TRUE) โดยกรณีเลวร้าย หากต้องกลับไปอิงประเมินราคาหุ้นบนสัมปทานปัจจุบัน (2G) ADVANC จะ Safe มากสุด จากราคาหุ้นปัจจุบันมีส่วนลด 5% จากราคาเป้าหมายบน 2G ที่ 102 บาท (รวม 3G-113บาท) และมีโอกาสจ่ายปันผลพิเศษ ขณะที่ราคาหุ้น DTAC ใกล้ราคาเป้าหมายบน 2G ที่ 47 บาท (แต่รวม 3G-54 บาท) และราคาหุ้น TRUE ยังเกินราคาเป้าหมายแม้รวม 3G แล้ว
AOT ขาดทุน 700 ล้านพิษค่าเงินเยนแข็งปั๋งดิ้นสว็อปหนี้สกุลอื่น AOT เล็งสว็อปหนี้ 7.5 หมื่นล้านบาท ที่เหลืออีก 25% เป็นสกุลดอลลาร์หลังเงินเยนส่อแววแข็งค่าขึ้นอีก ส่งผลไตรมาส 4/53 ขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน 700 ล้านบาท ไม่หวั่นทั้งปีมีกำไรสุทธิ เนื่องจากครึ่งปีแรกมีกำไรตุนในกระเป๋า 2,500-2,600 ล้านบาท เผยปีหน้ายอดผู้โดยสารเติบโต 6-7% หรือ 45 ล้านคน จากปี 53 ที่อัตราผู้โดยสารขยายตัว 20% อยู่ที่ 42-43
ล้านคน (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 15-09-2010)
TMT รับผลดีมาบตาพุดยอดขายพุ่ง 7 หมื่นตัน TMT แย้มปริมาณขายเหล็กไตรมาส 3 เพิ่มขึ้นเป็น 7 หมื่นตัน ส่วนทั้งปีไม่ต่ำกว่า 2.55 แสนตัน รับอานิสงส์ปัญหามาบตาพุดมีทางออกชัดเจน ปรับเป้ารายได้โต 20% จากเดิม 15% โบรกฯเชียร์ซื้อผลตอบแทนสูง 8-9% เป้าหมาย 6.40บาท (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 15-09-2010)
หุ้นกลุ่มโรงพยาบาลวอลุ่มสะพัด BGH ทีเด็ดลุ้น Q3 กำไร 600 ล้าน หุ้นกลุ่มโรงพยาบาลแรงซุ่มเงียบ BGH-BH-KH เริ่งร่ามูลค่าซื้อขายสะพัดวงการชี้ปัจจัยบวกเพียบ หน้าฝนทำคนป่วยหนุนยอดใช้บริการโรงพยาบาลทะลัก ดันกำไรครึ่งปีหลังโต ฟาก BGH ทีเด็ดจ่อคิวโชว์กำไรไตรมาส 3ทะลุ 600 ล้านบาท อัพไซด์หุ้นเหลือเพียบ (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 15-09-2010)
MILLไตรมาส 3 ส่งมอบงาน 6 พันล้าน จับตางบ Q4 ดีสุดของปีเป้า 3.20 บาท MILL ส่งมอบงานไตรมาส 3 ประมาณ 6,000 ล้านบาท ดันรายได้ทั้งปี 53 โตตามเป้าที่ตั้งไว้เติบโต 10% ทำยอดขายไม่น้อยกว่า 1 หมื่นล้านบาท เชื่อกำไรทั้งปีอยู่ที่ 193 ล้านบาท ดีขึ้นจากครึ่งปีแรกขณะที่คาดว่าไตรมาส 4 จะมีกำไรที่ดีที่สุดของปี ตามปัจจัยฤดูกาล ส่วนโครงการ Green MILL ที่จะแล้วเสร็จก่อนกำหนดเดือนต.ค.54 ช่วยหนุนยอดขายโตก้าวกระโดด ด้านโบรกฯแนะให้ซื้อลงทุนระยะยาว เป้าหมาย 3.20 บาท (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 15-09-2010)

----------------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ตปท.
ข่าวต่างประเทศ
ยุโรป: ยูโรสแตทเผยผลผลิตภาคอุตสาหกรรมในกลุ่มยูโรโซนทรงตัวในเดือนก.ค. ยูโรสแตท (Eurostat) ซึ่งเป็นสำนักงานสถิติของสหภาพยุโรป (อียู) เปิดเผยว่า ผลผลิตในภาคอุตสาหกรรมซึ่งเป็นส่วนขับเคลื่อนกิจกรรมทางเศรษฐกิจของ 16 ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปที่ใช้เงินสกุลยูโรยังคงทรงตัวในเดือนกรกฎาคม หลังจากที่ลดลง 0.2% ในเดือนมิถุนายนและพุ่งขึ้นติดต่อกันหลายเดือนก่อนหน้านั้น ทั้งนี้ ตัวเลขไม่เปลี่ยนแปลงถือว่าอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ที่คาดว่าผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนก.ค.จะเพิ่มขึ้น 0.2% (ที่มา:อินโฟเควสท์ 15-09-2010)
สหรัฐอเมริกา: ก.พาณิชย์สหรัฐเผยสต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนก.ค.พุ่งขึ้นเกินคาด 1.0% กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่าสต็อกสินค้าคงคลังในภาคธุรกิจเดือนก.ค.เพิ่มขึ้น 1.0% สู่ระดับ 1.38 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค.2552 และมากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 0.5% เนื่องจากยอดขายในภาคเอกชนขยายตัวแข็งแกร่ง สต็อกสินค้าคงคลังในภาคธุรกิจเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ซึ่งตัวเลขดังกล่าวมีอิทธิพลต่อวงจรทางธุรกิจและการขยายตัวของเศรษฐกิจ (ที่มา: อินโฟเควสท์ 14-09-2010)
เอเชีย: เกียวโดเผยทางการญี่ปุ่นเข้าแทรกแซงตลาดปริวรรตเงินตราวันนี้ หลังเยนพุ่งแรงสุดในรอบ 15 ปี สำนักข่าวเกียวโดรายงานโดยอ้างการเปิดเผยของแหล่งข่าวในตลาดปริวรรตเงินตราว่า เจ้าหน้าที่กำกับดูแลด้านการเงินของญี่ปุ่นได้เข้าแทรกแซงตลาดปริวรรตเงินตราต่างประเทศแล้วในวันนี้ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกตั้งแต่เดือนมี.ค.2547 ที่ทางการญี่ปุ่นเข้าแทรกแซงตลาดเพื่อสกัดกั้นการแข็งค่าของเงินเยนเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ก่อนหน้าที่จะมีข่าวดังกล่าว ค่าเงินเยนยังคงเคลื่อนไหวที่ระดับ 82.57 เยนต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 15 ปี ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตราโตเกียวช่วงเช้าวันนี้ หลังจากนายนาโอโตะ คัง ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งหัวหน้าพรรคประชาธิปไตยญี่ปุ่น (ดีพีเจ)โดยนักลงทุนมองว่ามีความเป็นไปได้น้อยมากที่รัฐบาลญี่ปุ่นภายใต้การนำของนายคังจะไม่มีมาตรการแทรกแซงตลาดเพื่อสกัดกั้นการแข็งค่าของเงินเยน (ที่มา: อินโฟเควสท์ 15-09-2010)
----------------------------------------------------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น