Code 161 : ผ่าน 945 ได้ ก็สวยและดูดี

วันพุธที่ 22 กันยายน 2553

ATT Code : ผ่าน 945 ได้ ก็สวยและดูดี
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อครับ SET วันนี้ ปิดได้ตรงเป๊ะพอดีครับที่ 945 จุด ไม่ขาดไม่เกิน อะไรจะขนานนั้น บวกไป 7.79 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 4.2 หมื่นล้านบาท โดยกลุ่ม PTT ก็เป็นตัวนำตลาด พร้อมกับกลุ่มแบงค์ก็ช่วยกันดันตลาดขึ้นมาบวกได้ในวันนี้ โดยมีจุดเปลี่ยนที่สำคัญตรง 945 จุด โดยถ้าผ่านตรงนี้ได้ก็มีโอกาสที่จะไปต่อได้ ซึ่งตลาดก็ปิดตรง 945 นี้พอดี ถือว่ายืนได้พอดี ดังนั้น พรุ่งนี้ก็ต้องลุ้นว่าจะฝ่านแนวต้านที่ BB Top ได้หรือไม่ แต่ถ้าไม่ผ่านแล้วย่อลงมา ก็มีแนวรับที่ 937 จุด แต่ดูจากการที่หุ้นตัวใหญ่ๆ มีการปรับตัวขึ้นไปนั้น ก็ถือว่าโอกาสที่จะลงนั้นค่อนข้างยากส์ อาจจะเป็นแค่ย่อลงมานิดหน่อย ที่ 940 ก็เป็นไปได้ เพื่อเป็นการสร้างฐานในการไปต่อ

----------------------------------------------------------------------------------
MARKET WAVE Analysis
22 กย. 53 ( +14.15 จุด) โกมล พงศ์วิญญู เลขทะเบียน 18338


เกิน 945 จุด ถือเป็น “สัญญาณซื้อ”
ความเสี่ยงของการปรับฐานใหญ่ เริ่มลดน้อยลงและ ภาพรวมของตลาดน่าจะเป็นการย่ำฐานในกรอบสามเหลี่ยมภาพระยะวัน 902 – 944จุด อีกสักระยะ ( หรือระหว่างจุดต่ำสุดของสัปดาห์ที่แล้ว กับจุดสูงสุดของปีนี้ )

จากนั้นถ้าสามารถปรับตัวขึ้น เกิน 945จุด นอกจากจะเป็นการปรับตัวขึ้นเกินจุดสูงสุดเดิมของปีนี้ที่ 944.64 แล้ว ยังถืเอเป็นการเกิด
“สัญญาณซื้อ” ในเครื่องมือ Point & Figureอีกด้วย และ ดัชนีจะมีเป้าหมายในการปรับตัวขึ้นต่อไป 1045 จุด ประมาณเดือน พย .

หุ้นเด่น
ITD
ปรับตัวทะลุกรอบสามเหลี่ยม ภาพระยะวันขึ้นมาได้ ทยอยซื้อแถว 3.96 – 4.00 หรือซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 4.16 จุดสูงสุดวันอังคารเป้าหมายระยะสัปดาห์ 4.48 – 4.74( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 3.90 )

STEC
กำลังปรับตัวในกรอบสามเหลี่ยม ภาพระยะวัน รอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 13.10 กรอบบนของสามเหลี่ยม เป้าหมายระยะสัปดาห์
15.00 – 17.00( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 12.50 )

10 อันดับซื้อขายสูงสุด
BANPU เกิน 672 ขึ้น 676 – 682
SCC ปรับตัวแถว 318 – 320
KTB เกิน 15.60 ขึ้น 15.80 – 15.90
PTT แกว่งตัว 281 - 287
CPF เกิน 25.75 ขึ้น 26 – 26.50
TMB แกว่งตัว 2.56 – 2.64
SCB แกว่งตัว 92.50 – 94.50
PTTCH ยังไม่น่าเกิน 123.50 – 124.50
ADVANC เกิน 91.50 ขึ้น 93 - 94
TRUE แกว่งตัว 4.80 – 5.30

----------------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย
FSS :หลังจากรับแล้ว..ถัดจากนี้เน้นถือรอ 950 หรือสูงกว่า ส่วนเล่นสั้นระวังแถว 940
แนวโน้ม: เมื่อวานนี้มีแรงซื้อกลับเข้ามาในตลาดหุ้นไทยภาคบ่ายพอสมควร โดยเฉพาะนักลงทุนต่างประเทศกลับมามียอดซื้อสุทธิต่อวันสูงถึงกว่า 3.6 พันล้านบาท ขณะที่มาตรการดูแลค่าเงินของแบงก์ชาติที่ประกาศออกมาวันก่อน ก็ช่วยให้นักลงทุนคลายกังวลเพราะไม่ได้มีผลกระทบต่อตลาดหุ้น รวมทั้งไม่น่าจะทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงรวดเร็วนัก ซึ่งล่าสุดค่าเงินบาทยังแข็งค่ากลับมาที่ระดับใกล้เคียงกับวันก่อนหน้าที่ทางการญี่ปุ่นจะเข้าแทรกแซงค่าเงินเยนอีกครั้งแล้วด้วยนอกจากนี้คาดว่าเม็ดเงินที่ไหลออกจากหุ้นกลุ่มสื่อสารบางส่วน ได้เริ่มย้ายไปลงทุนในหุ้นกลุ่มอื่นๆ ที่นักลงทุนมองว่ายังมีศักยภาพแทน โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มแบงก์และพลังงาน ซึ่ง BANPU ก็มีข่าวดีรองรับพอดี ดังนั้นแม้ว่า SET ยังมีปัจจัยเรื่องการประมูล 3G กดดันอยู่ โดยยังต้องรอดูผลการตัดสินของศาลปกครองสูงสุดว่าจะรับคำอุทธรณ์ของ กทช. ในเช้าวันพรุ่งนี้หรือไม่ แต่ FSSคาดว่าแรงซื้อในหุ้นกลุ่มอื่นๆ จะยังสามารถผลักดันให้ SET แกว่งตัวบวกต่อเนื่องขึ้นไปได้หลังจากที่ดัชนีสามารถขยับผ่านขึ้นมาสูงกว่าระดับดัชนี 927 จุดที่กดดันอยู่ในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมาได้สำเร็จ โดยเป้าหมายถัดไปที่เราคาดว่า SET มีโอกาสที่จะวิ่งขึ้นไปหาจะอยู่ที่บริเวณ 950-960 จุด เพียงแต่ว่าอาจจะต้องระวังการแกว่งตัวระหว่างทางบ้างเท่านั้น
กลยุทธ์: หลังจากทยอยเข้ารับไปแล้วในช่วงที่ผ่านมา ถัดจากนี้แนะนำให้เน้นเป็นถือต่อเนื่องเพื่อลุ้นรอหาจังหวะขายทำกำไรใหม่อีกครั้ง เมื่อดัชนีขึ้นไปแถว 950-960 จุด นอกจากถ้าจะเทรดดิ้งตามรอบ อาจต้องระวังแรงขายจากแนวต้านแรกแถว 940-942 จุดไว้บ้าง โดยหุ้นที่ยังน่าสนใจในช่วงนี้ได้แก่ STEC, CK,TTCL, SEAFCO, SYNTEC, TASCO, DCC, SPALI, LPN, TVO, KCE,SIRI, SITHAI, GFPT, PTTAR, GLOW และ BANPU เป็นต้น
ประเด็นสำคัญวันนี้
• (+) ฝ่ายกลยุทธ์ของเราปรับ GDP ปีนี้ขึ้นเป็น 7.3% ปีหน้าเป็น 4.8% จากเดิม4.5% และ 5.0% ตามลำดับ สำหรับ 3Q10 และ 4Q10 คาดว่าการขยายตัวของ GDPเริ่มชะลอลงเป็น +5.2% Y-Y และ 3.2% Y-Y ตามลำดับ สำหรับค่าเงินบาท คาดการณ์
ที่ 30.25 บาท/ดอลลาร์สิ้นปีนี้ และ 29.13 บาท/ดอลลาร์สิ้นปีหน้า
• (+) ปรับราคาเป้าหมายปีหน้าของ BBL ขึ้นเป็น 180 บาทจากเดิม 170 บาท ความชัดเจนของคดีมาบตาพุดส่งผลดีต่อ BBL ซึ่งมีวงเงินให้สินเชื่อในมาบตาพุดรวมราว 5หมื่นลบ. มากที่สุดในกลุ่มธนาคาร นอกจากนี้ ความจำเป็นในการการตั้งสำรองหนี้สูญปี
หน้าจะลดลงเพราะปัจจุบันตั้งเกิน 100% อยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม ระยะสั้น ผลประกอบการ 3Q10 จะไม่น่าตื่นเต้น ลดลง 15% Q-Q แต่เพิ่ม 15% Y-Y
• (-) BAY สินเชื่อเดือน ส.ค. น่าผิดหวัง สวนทางกลุ่มธนาคารที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นโดยลดลง 0.68% M-M ทำให้สินเชื่อ 8 เดือนแรก -0.15% M-M ซึ่งน่าจะเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ราคาหุ้น BAY ไม่ perform เมื่อเทียบกับกลุ่มธนาคาร เราลองหันมาดูกรณีแย่สุดหากคาดว่าสินเชื่อจะไม่เติบโตเลยในปีนี้และปีหน้า จะทำให้กำไรสุทธิลดลงจากประมาณการเดิมราว 9% และ 20% ในปีนี้และปีหน้า และทำให้ราคาเป้าหมายปีหน้าลดลงมาอยู่ที่ 23.70 บาท จากปัจจุบันที่เราประเมินไว้ 25 บาท แม้ว่าจะยังมี upside
จากราคาปัจจุบัน ซึ่งนักลงทุนที่มีหุ้นอยู่แล้ว ถือได้ แต่ถ้ายังไม่มีหุ้น เราคิดว่ามีตัวเลือกอื่นที่ดีกว่าคือ KTB, TCAP, BBL, KBANK, SCB
• Fund Flow ยังไหลเข้าตลาดหุ้นภูมิภาคต่อเนื่องเป็นวันที่ 7 ติดต่อกัน แม้ปริมาณไม่มากเนื่องจากตลาดหุ้นเกาหลีใต้ปิดทำการ ประกอบกับนักลงทุนส่วนใหญ่รอดูผลการประชุมเฟด ซึ่งผลการประชุมเฟดเมื่อคืนที่ผ่านมาเฟดส่งสัญญาณว่าเศรษฐกิจสหรัฐยัง
น่าเป็นห่วงและพร้อมที่จะใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ หากเศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัวมากกว่าคาด นั่นหมายความว่ามีโอกาส 50-60% ที่เฟดอาจจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบที่ 2 หากจำเป็น ดังนั้นแนวโน้มค่าเงินดอลลาร์ยังมีโอกาสเสื่อมค่าต่อเนื่องเม็ดเงินส่วนใหญ่ก็จะยังไหลเข้าสู่ตลาดภูมิภาคเอเชีย สังเกตจากค่าเงินบาทเช้านี้ก็ทำสถิติแข็งค่าใหม่อีกแล้ว รวมทั้งค่าเงินยูโรกับแข็งค่าด้วยเช่นกัน นอกจากนี้วันนี้ตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียจะปิดทำการได้แก่ ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ฮ่องกง ญี่ปุ่นและจีน ทำให้คาดว่าจะมีเม็ดเงินไหลเข้าตลาดหุ้นไทยมากเป็นพิเศษ เน้นซื้อเก็งกำไรในหุ้น Market Cap.ใหญ่

ข่าวภายในประเทศ
IVL แรลลี่ยาว 30 บาทรับกำไรกระฉูด 150% ราคานิวไฮตั้งแต่เข้าตลาด รายได้ทั้งปีโตกว่า 20% IVL วิ่งยาวเป้าหมาย 30 บาท รับข่าวดีไตรมาส 3 ฟันกำไรกว่า 1,400 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 150% เหตุรับรู้กำไรจากการลงทุนซื้อบริษัทต่างประเทศเพิ่ม แถมโรงงานไม่มีหยุดซ่อมบำรุงโบรกฯเล็งปรับประมาณการพื้นฐานใหม่ เนื่องจากมีฐานแข็งแกร่ง-มุ่งเน้นลดต้นทุน รวมทั้งการผลิตครบวงจร แถมอำนาจต่อรองสั่งซื้อวัตถุดิบสูงเผยอยู่ระหว่างเข้าซื้อกิจการใหม่ ดันอัตราเติบโตในอนาคต (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 22-09-2010)
PLE ฮุบ 3.5 พันล้านงานคอนโดกาตาร์เซ็นสัญญาต.ค.นี้ PLE เซ็นสัญญาก่อสร้างคอนโดมิเนียมกาตาร์ มูลค่า 3,500 ล้านบาท เดือนตุลาคมเตรียมบินเจรจารอบสุดท้ายสัปดาห์หน้า “เสวก” มั่นใจได้งานแน่นอน คาดรับรู้รายได้เต็มที่ปี'54 หลังจากเริ่มรับรู้บางส่วนไตรมาส 4/53 การันตีผลประกอบการปี 53 มีกำไรดีขึ้นจากปีก่อนที่ขาดทุน (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 22-09-2010)
CCET ยอดขายพุ่งรับไฮซีซั่น ไตรมาส 3 ลุ้นกำไรทะลุ 500 ล้าน อัพไซด์หุ้นยังเหลือ CCET ยอดขายไปได้สวยรับไฮซีซั่น ลุ้นก.ย.นี้ฟาดอีก12,000 ล้านบาท ด้านวงการเงินชี้กำไรไตรมาส 3 มีสิทธิทะลุ 500 ล้านบาท เชื่อเดินหน้าลงทุนในสหรัฐฯช่วยหนุนกินออเดอร์ระยะยาว ส่วนกำไรทั้งปีลุ้นโตเกิน 1,900 ล้านบาท ขณะที่ราคาหุ้นยังเหลืออัพไซด (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 22-09-2010)
N-PARK แจงหาเงินลงทุนไม่ได้ยกเลิกโรงละครสยามโอเปร่า "N-PARK" แจงเหตุผลยกเลิกโครงการโรงละครสยามโอเปร่า มูลค่า 960 ล้านบาทของบริษัทย่อย เพราะเจอวิกฤติความเชื่อมั่น หาเงินลงทุนไม่ได้ งบประมาณพัฒนาโครงการมีจำกัด หลังยกเลิกบริษัทย่อยมีกำไรทางบัญชีจากการยกเลิกสัญญาการเช่า 47.71 ล้านบาท ส่วนโรงแรมสยามเคมปินสกี้ มูลค่า 5,000 ล้านบาท เล็งเปิดบริการเต็มรูปแบบภายในเดือนก.ย.นี้ (ที่มา:นสพ.ข่าวหุ้น 22-09-2010)
SPALI อนาคตสดใสโตไม่หยุด ประสิทธิภาพทำกำไรสูงสุด แนะซื้อเป้า 19.06 บาท "ศุภาลัย" น่าลงทุนสุดกลุ่มอสังหาฯ เหตุมีฐานธุรกิจพร้อมเติบโตไม่หยุด หลังสิ้นไตรมาส 2 มี Backlog 1.87 หมื่นล้านบาท และมีมูลค่าโครงการคงเหลือขาย 1.2 หมื่นล้านบาท ขณะที่มีแผนการเปิดตัวโครงการใหม่ในครึ่งหลังปี'53 อีก 1.3 หมื่นล้านบาท แถมมีจุดเด่นประสิทธิภาพการทำกำไรที่สูงโดยมี Profit Margin สูงกว่า 20% แนะซื้อให้ราคาเหมาะสมปี'54 ที่ 19.06 บาท (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 22-09-2010)

EFinance Thai : PTTไม่สะเทือนรัฐเบรกซื้อคาร์ฟูร์
วงการมองอาณาจักร PTT ไม่สะเทือน แม้นายกฯส่งสัญญาณเบรกเข้าประมูลซื้อกิจการคาร์ฟูร์ ชี้ไม่ใช่ธุรกิจหลัก แค่ต่อยอดธุรกิจบริษัทย่อย แถมขนาดธุรกิจเล็กผลกำไรแค่0.30บาทต่อหุ้นของPTT ส่งผลให้หุ้นในกลุ่มครอบครัวPTT บวกยกก๊วน ขณะที่วงในเผยปตท. ยังเดินหน้าประมูลซื้อกิจการห้างคาร์ฟูร์รอบ 2ต่อด้านโบรกฯแนะซื้อ

จากกรณีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะนายกรัฐมนตรีส่งสัญญาณต้องให้ บริษัท ปตท จำกัด(มหาชน)(PTT) ซึ่งทำธุรกิจพลังงาน และมีกระทรวงการคลังถือหุ้นใหญ่ 51.36%ใช้ความระมัดระวังการลงทุนในการเข้าซื้อกิจการห้างคาร์ฟูร์ ขณะที่วานนี้คณะรัฐมนตรี(ครม.)มีการถกเถียงในเรื่องดังกล่าว พร้อมส่งสัญญาณให้ PTT กลับไปทบทวนแผนการร่วมประมูล อย่างไรก็ตามมีรายงานข่าวว่าทาง PTT ยังคงเดินหน้าประมูลรอบสองต่อไป
ขณะที่ราคาหุ้นกลุ่มครอบครัว PTTวานนี้(21 ก.ย.53) ยังปรับตัวเพิ่มขึ้นประกอบด้วย
ราคาหุ้นบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)(PTT)ปิดที่ 287.00 บาท เพิ่มขึ้น 3.00 บาทหรือ 1.06% มูลค่าการซื้อขาย 1,547.58 ล้านบาท
บริษัท ปตท.เคมิคอล จำกัด(มหาชน)(PTTCH)ปิดที่ 123.50บาทเพิ่มขึ้น 5.50 บาทหรือ4.66% มูลค่าการซื้อขาย 1,181.81ล้านบาท
บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน)(PTTEP)ปิดที่ 144.50บาท เพิ่มขึ้น 2.50บาทหรือ1.76% มูลค่าการซื้อขาย 864.44ล้านบาท
บริษัท ปตท.อะโรเมติกส์และการกลั่น จำกัด (มหาชน)(PTTAR )ปิดที่25.75 บาท เพิ่มขึ้น 0.50บาทหรือ 1.98% มูลค่าการซื้อขาย 371.18 ล้านบาท
บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน)(IRPC)ปิดที่4.06 บาท เพิ่มขึ้น 0.02 บาทหรือ 0.50% มูลค่าการซื้อขาย 209.99 ล้านบาท

ขณะที่ SET Index ปิดที่ 937.21 จุด เพิ่มขึ้น 14.15 จุดหรือ 1.53% มูลค่าการซื้อขาย 32,541.02ล้านบาท

**บลโกลเบล็ก มอง PTT ไม่กระทบ ไม่ว่าจะประมูลซื้อคาร์ฟูร์ได้หรือไม่เหตุขนาดธุรกิจเล็ก**
นักวิเคราะห์บล.โกลเบล็ก กล่าวว่า จากกรณีที่ภาครัฐไม่เห็นด้วยในหลักการกรณีที่บมจ.ปตท.(PTT) เข้าร่วมประมูลซื้อกิจการคาร์ฟูร์ถือเป็นสิทธิ์ เนื่องจากเป็นผู้ถือหุ้น ของ PTT พร้อมทั้งประเมินว่าประเด็นดังกล่าวไม่ว่า PTT จะสามารถหรือไม่สามารถซื้อกิจการคาร์ฟูร์ได้ คาดว่าจะไม่มีผลต่อการดำเนินธุรกิจและราคาหุ้นของ PTT อย่างนัยสำคัญ เนื่องจากด้วยขนาดของธุรกิจของ PTT ที่มีขนาดใหญ่ที่มีกำไรราว 60,000-80,000 ล้านบาทต่อปี ขณะที่กิจการคาร์ฟูร์ในปี 2552 ที่มีรายได้ 25,000-30,000 บาทต่อปี ซึ่งด้วยลักษณะธุรกิจที่ซื้อมาขายไปส่งผลมีมมาร์จิ้นในระดับต่ำโดยคาดว่ามีกำไรประมาณ 1,000 ล้านบาทหรือคิดเป็นกำไร 0.30 บาทต่อหุ้นของ PTT ซึ่งต่ำมาก
ขณะที่ในระยะสั้นประเด็นที่ส่งผลต่อจิตวิทยาการลงทุนและสร้างความกังวลมากที่สุดคือกรณีที่กลุ่มเอกชนจะมีการเคลื่อนเรียกร้องในโครงการการในมาบตาพุดว่าเข้าข่ายกิจการรุนแรง แต่ประเมินว่าจะไม่ผลต่อการดำเนินธุรกิจ
โดยเฉพาะโครงการหลักขนาดใหญ่คือโครงการโรงแยกก๊าซ 6 ไม่ได้อยู่ในโครงการรุนแรงฯ ตามการประกาศของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่เดินเครื่องเชิงพาณิชย์ซึ่งส่งผลดีต่อผลประกอบการต่อในปีหน้าที่คาดว่ากำไรจะอยู่ที่ 78,000 ล้านบาทเติบโตจากปีนี้ราว 10-12% เนื่องจากโรงแยกก๊าซ 6 จะป้อนวัตถุดิบให้โรงงานอีเทน แครกเกอร์ 1 ล้านตัน/ปี ของ PTTCH ให้สามารถเดินเครื่องผลิตได้เต็มกำลังในปีหน้าและมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น จากปีนี้ที่ผลิตได้เพียง 50-70%ของกำลังผลิตรวม ส่งผลให้ ส่วนแบ่งกำไรจากการถือหุ้นใน PTTCH มากขึ้นโดยคาดว่าจะอยู่ที่ราว 13,000 ล้านบาท และมีกำไรส่วนแบ่งจากการถือหุ้น PTTEP ในปีหน้าอยู่ที่ราว 7,000 ล้านบาท และยังมี โอกาสที่แหล่งมอนทาราจะสามรถกลับมาผลิตได้ในช่วงครึ่งปีหลังของปีหน้า
ด้านผลประกอบการในปีนี้คาดว่าจะมีกำไรประมาณ 70,800 ล้านบาทหรือเติบโต 9% จากปีก่อน โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากบริษัทลูกทั้ง PTTEP กำลังผลิตเพิ่มขึ้นและ ราคาขายก๊าซที่ปรับตัวสูงขึ้น อีกทั้งราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีเริ่มฟื้นตัวในช่วงปลายไตรมาส 3/53 จากจุดต่ำสุดในช่วงต้นไตรมาส
ประกอบกับยังมีโอกาสที่จะมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเนื่องจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น เนื่องจาก PTT มีหนี้ในสกุลเงินต่างประเทศและหากราคาน้ำมันดิบดูไบปรับตัวสูงกว่า 77 เหรียญ/บาร์เรลก็มีโอกาสที่จะมีกำไรจากสต็อก(Stock Gain) เพิ่มเติม
กลยุทธ์แนะนำทยอยซื้อสะสม ให้ราคาเหมาะปี 2554 ที่ 330 บาท แต่หากราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวเหนือที่ระดับ 80 เหรียญ/บาร์เรลก็มีโอกาสที่จะราคาเหมาะเพิ่ม ขณะที่คาดว่าราคาน้ำมันในตลาดโลกปีนี้จะเคลื่อนไหวอยู่ที่ 70-80 เหรียญ/บาร์เรล

**บล.ยูไนเต็ด ชี้ ค้าปลีกไม่ใช่ธุรกิจหลักPTT แค่ต่อยอดธุรกิจให้บริษัทย่อย**
เจ้าหน้าที่ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ยูไนเต็ด จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าจากกรณีที่ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ออกมาระบุว่าจะไม่มีการเข้าไปซื้อกิจการร้าน ค้าปลีกคาร์ฟูร์ โดยบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT เนื่องจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้ตั้งข้อสังเกต เกี่ยวกับบทบาทของ รัฐวิสาหกิจในประเทศ โดยมองว่าขณะนี้โครงสร้างของประเทศและเศรษฐกิจได้เปลี่ยนแปลงไปมาก ดังนั้นจึงคิดว่าในบางครั้งการสร้างผลประโยชน์ของรัฐวิสาหกิจอาจไม่ตรงตามวัตถุประสงค์
ทั้งนี้ประเมินว่าคงไม่มีผลกระทบต่อแผนการดำเนินงานหรือปัจจัยพื้นฐานของ PTT เนื่องจากวัตถุประสงค์หลักในการซื้อร้านค้าปลีกคาร์ฟูร์ ของ PTT เพื่อต่อยอดธุรกิจของบริษัทย่อยเท่านั้น ไม่ใช่ธุรกิจหลักที่ก่อให้เกิดรายได้อย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้แม้ PTT จะไม่ได้เข้าซื้อกิจการดังกล่าว แต่ปัจจุบัน PTT ยังมีร้านค้าปลีกเช่น 7-ELEVEN ที่ให้บริการกับลูกค้าตามสถานีบริการน้ำมันอยู่แล้ว
ส่วนในช่วงสั้นๆ ราคาหุ้น PTT อาจได้รับผลกระทบบ้าง ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติไม่น่ากังวลนัก ฉะนั้นจึงแนะนำนักลงทุนซื้อลงทุน เพราะปัจจุบันปัญหามาบตาพุดเริ่มคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีแล้ว คงส่งผลให้แผนการดำเนินงานต่างๆ ของ PTT เดินหน้าได้ต่อไป ในขณะที่ฝ่ายวิเคราะห์ให้ราคาตามปัจจัยพื้นฐานในปี 2554 ไว้ที่ 316 บาทต่อหุ้น
" ข่าวที่ออกมาไม่มีผลกระทบต่อ PTT มาก เพราะธุรกิจที่จะเข้าไปลงทุนไม่ใช่ธุรกิจหลัก แต่เป็นเพียงการต่อยอดทางธุรกิจให้กับบริษัทย่อยของ PTT เท่านั้น ถึงไม่ได้ประมูลก็ไม่เป็นไหร่ กลยุทธ์การลงทุนก็แนะนำซื้อลงทุน เพราะอนาคตของ PTT ยังคงเติบโตไปได้ดีอย่างต่อเนื่อง " แหล่งข่าวรายเดิม กล่าว

**ASP มอง ธุรกิจค้าปลีกเป็นปัจจัยบวกระยะยาวต่อยอดธุรกิจในอนาคต**
บล.อเซียพลัส (ASP)ประเมินว่า PTT มีวัตถุประสงค์ในการเข้าซื้อกิจการคาร์ฟูร์ คือต้องการต่อยอดธุรกิจค้าปลีกออกมานอกสถานีบริการน้ำมันของ PTT ในรูปแบบของมินิมาร์ท และฟู้ดมินิมาร์ทภายใต้แบรนด์ “จิฟฟี่มาร์ท” และ ”จิฟฟี่ฟู้ด” ซึ่งจะทำให้ธุรกิจค้าปลีกของ PTT มีขนาดใหญ่ขึ้น ดังนั้นจึงถือเป็นประเด็นสำคัญที่จะต้องติดตามต่อว่าภาครัฐจะเข้ามาแทรกแซงในการเข้าซื้อกิจการของ PTT ในครั้งนี้หรือไม่ เนื่องจากรัฐไม่ต้องการให้ประชาชนเกิดข้อสงสัยว่ารัฐจะลงไปแข่งขันในธุรกิจค้าปลีก อีกทั้งการลงทุนซื้อคาร์ฟูร์ถือไม่ใช่ภารกิจหลักของ PTT ตั้งแต่ก่อตั้ง
แต่อย่างไรก็ตามในขณะนี้ผู้บริหาร PTT ยังคงยืนยันแผนเดิมที่จะร่วมประมูลในรอบที่ 2 ต่อ โดยเตรียมยื่นเสนอแผนธุรกิจและข้อเสนอด้านราคา ซึ่งถ้าผ่านรอบ 2 ก็ต้องมีการเจรจากันในรอบที่ 3 อีกครั้ง
ทั้งนี้หากPTT ชนะการประมูลจะส่งผลให้ผลการดำเนินงานจากธุรกิจค้าปลีกเติบโตอย่างมีนัยฯเพราะคาร์ฟูร์มีสาขาถึง 40 สาขาในประเทศไทย แต่หากเทียบกับกำไรโดยรวมของ PTTแล้วอาจจะปรับตัวเพิ่มขึ้นไม่มากนัก เนื่องจากปัจจุบันกำไรของ PTT เฉลี่ยอยู่ราว 7-8หมื่นล้านบาท แต่ถือเป็นปัจจัยบวกในระยะยาวสำหรับการต่อยอดธุรกิจในอนาคต ฝ่าย
วิจัยยังคงคำแนะนำซื้อลงทุนสำหรับ PTT โดยมี Fair Value ปี 2554 ที่ 377.36 บาท

**นายกฯ ส่งสัญญาณเบรก PTT ซื้อห้างคาร์ฟูร์ ให้กลับไปทบทวนอีกครั้ง หวั่นแข่งธุรกิจเอกชน **
นายวัชระ กรรณิการ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีวานนี้จะไม่มีการเข้าไปซื้อกิจการร้านค้าปลีกคาร์ฟูร์ โดยบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT เนื่องจากในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วานนี้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้ตั้งข้อสังเกต เกี่ยวกับบทบาทของรัฐวิสาหกิจในประเทศ โดยมองว่าขณะนี้ โครงสร้างของประเทศและเศรษฐกิจได้เปลี่ยนแปลงไปมาก ดังนั้นจึงคิดว่าในบางครั้งการสร้างผลประโยชน์ของรัฐวิสาหกิจอาจไม่ตรงตามวัตถุประสงค์
ทั้งนี้ในที่ประชุมครม. กระทรวงการคลังได้รายงาน กรณีปตท.มีแผนที่จะเข้าซื้อห้างค้าปลีกคาร์ฟูร์ในไทย โดยมองว่าผู้บริหารเองอาจตีความไปเองว่าเป็นภารกิจที่สามารถทำ ได้ แต่อย่างไรก็ตามด้านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้ชี้แจงเพิ่มเติมต่อว่าเรื่องนี้ทางปตท. เป็นการตัดสินใจของผู้บริหารเอง ซึ่งยังไม่ผ่านการพิจารณาจากกระทรวงพลังงาน อย่างไรก็ตามขณะนี้การซื้อกิจการห้างคาร์ฟูร์ของปตท.ถือเป็นอันยุติ ซึ่งปตท.น่าจะทราบเรื่องนี้แล้ว
'เรื่องนี้ทางเอกชนมีความกังวลใจและสับสนว่ารัฐบาลจะเข้าไปประกอบธุรกิจแข่งขัน นายกฯ จึงอยากให้มีการทบทวนบทบาทของรัฐวิสาหกิจ ดังนั้นเรื่องการซื้อกิจการคาร์ฟูร์ของปตท. ก็ถือว่ายุติ' นายวัชระ กล่าว
ด้าน นายแพทย์วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รมว.พลังงาน ไม่เห็นด้วยในหลักการกรณีที่บมจ.ปตท.(PTT) เข้าร่วมประมูลซื้อกิจการคาร์ฟูร์ เนื่องจากไม่ใช่ธุรกิจหลักที่เกี่ยวกับความ มั่นคงด้านพลังงาน และยังไม่ได้มีการรายงานเรื่องดังกล่าวต่อที่ประชุมคณะกรรมการ
ขณะที่นายณอคุณ สิทธิพงศ์ รองปลัดกระทรวงพลังงาน ในฐานประธานคณะกรรมการPTT กล่าวว่า ที่ผ่านมาผู้บริหารเคยมาเสนอเรื่องดังกล่าวให้คณะกรรมการรับทราบ ใน การจัดทำแผนกลยุทธ์ปตท.เท่านั้น โดยยังไม่ได้เสนอให้คณะกรรมการเห็นชอบเข้าร่วมประมูลซื้อกิจการคาร์ฟูร์อย่างเป็นทางการ แต่ขณะนี้ยังไม่ได้รับทราบมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยว กับเรื่องดังกล่าว

**ผู้ร่วมชิง ประมูลซื้อกิจการคาร์ฟูร์ในประเทศไทย**
ทั้งนี้คาร์ฟูร์ ค้าปลีกรายใหญ่อันดับสองของโลกจากฝรั่งเศสมีแผนจะขายกิจการทั้งในไทย มาเลเซีย และสิงคโปร์ ล่าสุดในการประมูลรอบแรก คาร์ฟูร์ได้ตัดคู่แข่งคือ เทสโก้จากอังกฤษ และอิออนจากญี่ปุ่น ออกจากการประมูลเนื่องจากเสนอราคาต่ำ
ซึ่งบริษัทที่ผ่านเข้ารอบต่อไปในการประมูลคาร์ฟูร์ที่จะมีขึ้นในเดือน พ.ย. 2553 ได้แก่ 1) บริษัทคาสิโน จากฝรั่งเศส 2) บริษัทบิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน)หรือ BIGC 3) กลุ่มบริษัทเซ็นทรัล 4) บริษัทปตท.จำกัด (มหาชน) 5) บริษัทเบอร์ลี่ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน)หรือ BJC
ประเด็นการประมูลเข้าซื้อคาร์ฟูร์ยังถือเป็นประเด็นที่ยังต้องติดตามต่อเพราะความสำคัญอยู่ที่รอบที่ 2 และ 3 ที่จะมีการเสนอราคากับคาร์ฟูร์
โดยได้ตั้งแบงก์ออฟอเมริกา เมอร์ริลล์ ลินซ์ เป็นที่ปรึกษาทางการเงินเพิ่ม


----------------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ตปท.
ข่าวต่างประเทศ
FED มีมติคงดอกเบี้ย 0-0.25% ประกาศพร้อมใช้มาตรการเพิ่มเติมเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น (fed funds rate) ไว้ที่ระดับ 0-0.25% ในการประชุมวานนี้ (21 ก.ย.) พร้อมกับกล่าวว่า เฟดพร้อมที่จะใช้มาตรการเพิ่มเติมเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้แข็งแกร่งหากพิจารณาแล้วเห็นว่าจำเป็น และย้ำว่าเฟดจะยังคงรักษาอัตราดอกเบี้ยให้อยู่ในระดับต่ำเป็นพิเศษต่อไปอีกระยะหนึ่ง
คณะกรรมการกำหนดนโยบายของเฟด (เอฟโอเอ็มซี) มีมติด้วยคะแนน 8-1 ให้คงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นในการประชุมครั้งล่าสุดนี้ พร้อมกับออกแถลงการณ์ภายหลังการประชุมว่า "อัตราการฟื้นตัวของผลผลิตและการจ้างงานชะลอตัวลงในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ซึ่งทำให้เฟดต้องจับตาดูแนวโน้มเศรษฐกิจและความคืบหน้าด้านการเงินอย่างใกล้ชิด เฟดมีความพร้อมที่จะใช้มาตรการผ่อนปรนเพิ่มเติมหากจำเป็น เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและทำให้อัตราเงินเฟ้อกลับสู่ระดับเป้าหมายของเฟด และการที่เฟดมีมติคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นไว้ที่ 0-0.25% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ก็เพื่อกระตุ้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในอีกทางหนึ่ง"
สหรัฐเผยตัวเลขการสร้างบ้านเดือนส.ค.พุ่งขึ้นแข็งแกร่งสุดในรอบ 4 เดือน กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านในเดือนส.ค.ของสหรัฐพุ่งขึ้น 10.5% ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นแข็งแกร่งสุดในรอบ 4 เดือน สู่ระดับ 598,000 ยูนิต และมากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 550,000 ยูนิต หลังจากขยายตัวเพียง 0.4% ในเดือนก.ค. ขณะที่ตัวเลขการอนุญาตก่อสร้างบ้านใหม่เดือนส.ค.เพิ่มขึ้น 1.8% สู่ระดับ569,000 ยูนิต หลังจากร่วงลง 4.1% ในเดือนก.ค.
เวียดนามเผยยอดนำเข้าเหล็กและเหล็กกล้าช่วง 8 เดือนแรกปีนี้พุ่งแตะ $3.7 พันล้าน กรมศุลกากรของเวียดนาม เปิดเผยว่า ยอดนำเข้าเหล็กและเหล็กกล้าของเวียดนามทะยานแตะ 3.73 พันล้านดอลลาร์ ในช่วง 8 เดือนแรกของปี เพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว โดยรายงานของกรมศุลกากรระบุว่า การนำเข้าเหล็กและเหล็กกล้าของเวียดนามในช่วงดังกล่าวมีปริมาณทั้งสิ้น 5.4 ล้านตัน ลดลง 11.7% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยมีปริมาณการนำเข้าเหล็กเส้น 1.3 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่า 683 ล้านดอลลาร์
----------------------------------------------------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น