Code 158 : กลุ่มอื่นมีปัญหา มาเล่นอสังหาดีกว่า

วันศุกร์ที่ 17 กันยายน 2553

ATT Code : กลุ่มอื่นมีปัญหา มาเล่นอสังหาดีกว่า
เมื่อวานกลุ่มอื่นๆต่างก้ยังกล้าๆกลัวอยู่ทำให้บวกและลบไปนิดหน่อยต่างกันไป แต่สำหรับกลุ่มอสังหาแล้ว บวกขึ้นมาอย่างโดดเด่น โดยรับกระแส กนง.ไม่ขึ้นดอกเบี้ย นอกจากนี้เอกชนเสนอขยายเวลาต่างชาติถือครองสิทธิ์อสังหาฯ เป็น 50 ปี เพื่อดึงเม็ดเงินเข้าประเทศ ทำให้วันนี้ยังคงต้องติดตามกลุ่มนี้อยู่ ซึ่งมีโอกาสที่ยังไต่ระดับขึ้นไปได้อยู่ โดยมีบทสรุปจาก E Finance ตามรายละเอียดด้านล่าง

นอกจากนี้แล้วกลุ่มสื่อสาร เป็นกลุ่มที่น่าจะได้รับผลกระทบจากที่เมื่อคืนนี้ศารปกครองกลางได้มีคำสังคุ้มครอชั่วคราว ระงับ กทช. เปิดประมูลใบอนุญาต 3 จี ตามที่ กสท ยื่นฟ้อง กทชว่าไม่มีอำนาจในการออกใบอนุญาตดังกล่าว ก็คาดว่าวันนี้หุ้นกลุ่มสื่อสารก็อาจจะมีแรงฃายออกมา

สรุปวันนี้ SET ปิดที่ 923.57จุด -1.24 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 4.2 หมื่นล้านบาท โดยกลุ่มที่กดดันตลาดก็จะเป็นกลุ่มไหนไปไม่ได้ มันก็คือกลุ่มสื่อสารที่เกี่ยวข้องกับ 3 จี นั่นเอง ส่วนกลุ่มที่สามารถยกให้ตลาดปรับขึ้นมาในแดนบวกได้บางช่วงก็จะเป็นกลุ่มพลังงานและกลุ่มอสังหา แต่โดยรวมแล้ว SET กยังไม่สามารถยืนอยู่เหนือ 925 ได้ แต่ก็ยังดีที่สามารถยืนเหนือ 920 ได้
ทำให้ในวันจันทร์หน้าต้องดูผลการสรุปของยื่นอุทรณ์ว่าจะเป็นอย่างไร ถ้าไม่มีคำสั่งเป็นอย่างอื่นทันภายใน 9.00น.ของวันที่ 20 ก.ย. การประมูลจะเลื่อนไปไม่มีกำหนด ถ้าต้องรอ กสทช. -> 3G จะเกิดประมาณปี 2012 และแนวโน้มตลาดในวันจันทร์มีแนวรับอยู่ที่ 915 และแนวต้านอยู่ที่ 927 จุด

----------------------------------------------------------------------------------
MARKET WAVE Analysis
17 กย. 53 ( +3.71 จุด) โกมล พงศ์วิญญู เลขทะเบียน 18338

ต่ำกว่า 927.54 ปรับตัวลง 905 – 908 จุด
ดัชนีในวันพฤหัส ปรับตัวขึ้นสูงสุดประจำวันที่ 927.54 บริเวณแนวต้านตามธรรมชาติของเส้นค่าเฉลี่ย 25 ชั่วโมงพอดี

แนวโน้มวันศุกร์นี้ ถ้าไม่สามารถปรับตัวผ่าน 927.54 จุดได้ ดัชนีมีความเสี่ยงที่จะปรับตัวกลับลงไปแถว 905 – 910 บริเวณแนวรับตามธรรมชาติของเส้นค่าเฉลี่ย 25 วัน อีกครั้ง

ขณะเดียวกันถ้าสามารถปรับตัวขึ้น เกิน927.54 จุดสูงสุดของวันศุกร์และเส้นค่าเฉลี่ยดังกล่าวได้ ดัชนีสามารถขึ้นต่อแถว 933 – 938 ใกล้จุดสูงสุดของสัปดาห์นี้อีกครั้ง

หุ้นเด่น
LH
กำลังปรับตัวในคลื่น 4 เพื่อรอขึ้นต่อคลื่น 5ภาพระยะวัน ทยอยซื้อแถว 6.90 – 7.00 หรือซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 7.10 จุดสูงสุดวันพฤหัส เป้าหมายหนึ่งถึงสองวัน 7.25 – 7.35( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 6.85 )

CPALL
ยังปรับตัวอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ย 25 วันได้ทยอยซื้อแถว 38.50 – 39.00 หรือซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 39.25 จุดสูงสุดวันพฤหัส
เป้าหมายหนึ่งถึงสองวัน 40.00 – 40.75( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 38.25 )

10 อันดับซื้อขายสูงสุด
LH รายละเอียดใน “หุ้นเด่น”
SCB แกว่งตัว 91 – 93
PTT ไม่เกิน 285 ลง 276 - 278
CPALL รายละเอียดใน “หุ้นเด่น”
BANPU เกิน 646 ขึ้น 656 - 660
TOP ต่ำกว่า 50.50 ลง 49 - 50
KBANK ไม่น่าเกิน 107.50 - 108
CPF ไม่เกิน 25.25 ลง 23.20 – 23.50
TCAP แกว่งตัว 37 – 38.50
TYM ต่ำกว่า 0.55 ลง 0.50 – 0.52

----------------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย


FSS: ตลาดยังมีสิทธิแกว่งผันผวน ดังนั้นยังรอเลือกทยอยซื้อในจังหวะปรับตัวลงได้
แนวโน้ม: เมื่อวานนี้ SET ดีดตัวขึ้นได้หลังนักลงทุนคลายความวิตกเกี่ยวกับเรื่องมาตรการดูแลเงินบาทจากทาง ธปท. แต่ก็ยังมีแรงขายกดดันที่บริเวณระดับดัชนี 927 จุดโดยประมาณ ทำให้SET อยู่ในลักษณะแกว่งแคบๆ และเนื่องจากดัชนียังไม่สามารถขยับผ่านแนวต้านทางเทคนิคดังกล่าวขึ้นไปได้ ทำให้ FSS ยังคาดว่ากรอบแกว่งของตลาดในช่วงนี้ยังอยู่ที่บริเวณ 910-927 จุด ซึ่งแสดงว่าโอกาสที่ดัชนีจะปรับพักตัวลงหา 910-900 จุดอีกครั้งยังเป็นไปได้ ประกอบกับเช้านี้ในบ้านเรามีข่าวเรื่องการเลื่อนประมูล 3G ออกไปก่อน หลังศาลปกครองกลางตัดสินให้รอการจัดตั้งกสทช. ก่อนค่อยเปิดประมูลใหม่ หรือจนกว่าศาล รธน. จะตีความให้ กทช. มีอำนาจในการดำเนินการแทนได้ ซึ่งคงต้องใช้เวลาพอสมควร น่าจะส่งผลให้หุ้นในกลุ่มสื่อสารได้รับผลกระทบ
ทางลบเชิงจิตวิทยา และอาจส่งผลต่อภาพตลาดโดยรวมด้วย ดังนั้นเราจึงยังแนะนำให้รอหาจังหวะทยอยเลือกหุ้นเข้าซื้อเมื่อตลาดปรับตัวลงอยู่ เพราะเชื่อว่าแม้ว่าช่วงสั้น SET ยังมีโอกาสพักตัวลง แต่จากภาพรวมเศรษฐกิจของไทยที่ยังมีแนวโน้มที่ดี รวมถึงแนวโน้มผลประกอบการที่ยังดีต่อเนื่องของ บจ.ในไตรมาส 3/53 และกระแสเงินไหลเข้าของนักลงทุนต่างประเทศ จะยังเป็นปัจจัยบวกให้กับการขยับขึ้นของตลาดในรอบถัดไปได้ ซึ่งเป้าหมายตลาดรอบถัดไปยังมี
โอกาสกลับขึ้นไปแถว 950 จุด(+/-) ได้อยู่

กลยุทธ์: ยังเน้นรอเลือกหุ้นเข้ารับเมื่อตลาดปรับตัวลง โดยมีหุ้นที่น่าสนใจในช่วงนี้ได้แก่ กลุ่มรับเหมา (STEC, CK, TTCL, SEAFCO, SYNTEC) ที่คาดว่าจะยังคึกคักและเป็นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากบาทแข็งด้วย และหุ้นที่จะได้ประโยชน์จากบาทแข็งค่าตัวอื่นๆ เช่น วัสดุก่อสร้าง
(TSTH, TASCO, DCC) ที่อยู่อาศัย (SPALI, LPN) และอาหาร (TVO) เป็นต้น ส่วนกลุ่มสื่อสารในระยะสั้น เราปรับคำแนะนำเป็น “Underweight” จากเดิม “Overweight” ไปก่อน อย่างไรก็ตามสำหรับ ADVANC แม้ว่าราคาหุ้นระยะสั้นน่าจะมีการปรับฐานเช่นกัน แต่มีโอกาสปรับลงน้อยกว่าและน่าจะ Safe มากสุด เนื่องจากหากไม่ต้องลงทุน 3G บริษัทมีโอกาสจ่ายปันผลพิเศษ อย่างน้อยหุ้นละ 3 บาทจากคาดเดิมที่ 6.30 บาท รวมกันเป็นอย่างน้อย 9.30 บาท ที่ราคาหุ้นปัจจุบันจะคิดเป็น Dividend yield ระดับ 9.6% ปรับคำแนะนำลง เป็น “HOLD”

ประเด็นสำคัญวันนี้
• (-) 3G ผิดคาด!!! จะเป็นกลุ่มที่นำตลาดลงวันนี้ ศาลปกครองกลางมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวให้ระงับการประมูล 3G ทั้งนี้ กทช. จะยื่นอุทธรณ์ศาลปกครองสูงสุดเช้าวันนี้หากไม่มีคำสั่งเป็นอย่างอื่นให้ทันเช้าวันที่ 20 ก.ย. การประมูลก็จะไม่เกิดขึ้น ข่าวนี้เป็นข่าวร้ายไม่ลำพังเฉพาะกับ ADVANC, DTAC, TRUE แต่ทำให้ความน่าเชื่อถือในสายตาของต่างชาติแย่ลงอีกครั้ง วันนี้ระวังกลุ่ม 3G จะพากลุ่ม Big cap. อื่นๆ ลงตามไปด้วย
รวมถึงหุ้นที่เก็งกำไรว่าจะได้วางโครงข่าย 3G ให้ TOT อย่างเช่น JAS, SAMART,SAMTEL, LOXLEY, AIT น่าจะมีแรงขายเช่นกัน
• (+) Downgrade กลุ่มสื่อสาร ขาย DTAC, TRUE แต่ถือ ADVANC เก็งปันผลพิเศษ หากต้องรอ กสทช. เป็นผู้จัดประมูล 3G อย่างเร็วอาจเป็นกลางปี 2012 ซึ่งก็จะใกล้เวลาหมดอายุสัมปทานของ TRUE (ต.ค. 2013) ขณะที่ DTAC แม้มีอายสัมปทานยาวสุด (หมด 2018) แต่ราคาถูกเก็งกำไรเรื่อง 3G มากสุด ในขณะที่ ADVANC ถ้าไม่ลงทุน 3G น่าจะจ่ายปันผลพิเศษใกล้เคียงปีก่อนคือ 8 บาท นอกเหนือจากปันผลปกติ 6.30 บาท ท้ายที่สุดต้องหันมาดู Valuation 2G ก็คือ ADVANC 102 บาท DTAC 47 บาท TRUE 3.24 บาท หุ้นทั้ง 3 ตัวนี้มี ADVANC ที่ดูดีสุด
• Fund Flow วานนี้ยังไหลเข้าตลาดหุ้นภูมิภาคต่อเนื่องเป็นวันที่ 6 ติดต่อกัน แต่ปริมาณเบาบาง ทั้งนี้เนื่องจากยังไม่มีปัจจัยใหม่เข้าสู่ตลาด นักลงทุนส่วนใหญ่ยังเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของค่าเงิน หลังญี่ปุ่นเข้าแทรกแซงค่าเงินเยนว่าจะมีประเทศอื่นหรือปฏิกิริยาหรือท่าทีของประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอย่างสหรัฐ จีนและญี่ปุ่น เนื่องจากสาเหตุที่มีเม็ดเงินไหลเข้ามาลงทุนในตลาดพันธบัตรเป็นจำนวนมากหลังจีนขายพันธบัตรสหรัฐและเข้ามาซื้อพันธบัตรในประเทศเอเชีย สังเกตได้จากค่าเงินหยวนที่อ่อนค่าสวนทางกับภูมิภาค อย่างไรก็ตามเช้านี้ค่าเงินเอเชียค่อนข้างทรงตัวและยังมีแนวโน้มที่จะแข็งค่าได้อีก ดังนั้นแนวโน้มกระแสเงินทุนจากต่างชาติจะยังคงไหลเข้าตลาดภูมิภาคต่อเนื่องเช่นเคย

ข่าวภายในประเทศ
ศาลล้มประมูล 3G หุ้นสื่อสารพินาศ! วันนี้หาแนวรับไม่เจอ!! กทช.ยื่นอุทธรณ์ทันที อึ้ง!!ประมูลไลเซ่นส์ 3G ล่ม ศาลปกครองกลาง สั่ง
คุ้มครองชั่วคราวระงับประมูลไปก่อน โดยให้รอการสรรหากสทช.ก่อน หุ้นสื่อสารวันนี้พังพินาศ..เจอแรงเทขายอย่างหนัก จนไม่สามารถประเมินแนว
รับกันได้ เหตุถึงตอนนี้ ทั้ง ADVANC-DTAC-TRUE เต็มมูลค่าหมดแล้ว กทช.มึนตึบยื่นอุทธรณ์วันนี้ (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 17-09-2010)
TRT เงินไหลเข้า 1.2 พันล.ออเดอร์หม้อแปลงทะลัก TRT แย้มครึ่งหลังรายได้ไหลเข้าไม่ต่ำกว่า 1,200 ล้านบาท ส่งผลให้รายได้ทั้งปีเป็นไป
ตามเป้าตั้งไว้ 1,900 ล้านบาท เล็งเข้าประมูลงานกว่า 6,400 ล้านบาท หวังอานิสงส์จากโครงการมาบตาพุด ช่วยกระตุ้นความต้องการใช้หม้อแปลง
เพิ่มขึ้น (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 17-09-2010)
"ธาริษา" ดอดพบ "กรณ์" เสนอขายหุ้นกรุงไทย ผู้ว่าการแบงก์ชาติเสนอคลังขายแบงก์กรุงไทย คาดลดส่วนการถือครองไม่ต่ำกว่า 25% เพื่อ
รักษาสิทธิวีโต้ไว้ ขณะที่กรณ์จุดยืนชัดเจนขายหุ้นแบงก์ที่ไม่ใช่ธนาคารเฉพาะกิจของรัฐออก สั่งสำนักงานเศรษฐกิจการคลังไปศึกษาผลดีและ
ผลเสียก่อนอนุมัติ ด้านโบรกฯมั่นใจราคาพื้นฐาน 17 บาท กำไรปีนี้โต 1.4 หมื่นล้านบาท (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 17-09-2010)
TTCL ปัดไม่เคยปฏิเสธให้ข้อมูลกองทุน “สุวิทย์” อ้างติดงานต่างประเทศ ลั่นยินดีต้อนรับทุกแห่ง TTCL ปัดไม่เคยปฏิเสธกองทุน อ้างที่
ผ่านมาเดินทางไปหางานต่างประเทศเลยไม่ค่อยมีเวลา “สุวิทย์” ประกาศยินดีต้อนรับ พร้อมให้ข้อมูลทุกราย ฟากโบรกฯแห่เชียร์ซื้อหุ้น เชื่อกลับมา
สดใสหลังปัญหามาบตาพุดชัดเจน และแนวโน้มได้งานใหม่เข้ามาประมาณ 1 หมื่นล้านบาทขึ้นไป เพิ่มงานในมือหนุนให้รายได้และกำไรปี'54
เติบโตอย่างชัดเจน จากปี'53 ที่ลดลงไป ขณะเดียวกันเป็นบริษัทที่ปลอดหนี้ (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 17-09-2010)
CPN เปิดเซ็นทรัลเวิลด์ 28 ก.ย. อัดงบการตลาด 100 ล้านบาท CPN พร้อมเปิดเซ็นทรัลเวิลด์ 80% วันที่ 28 ก.ย.นี้ และจะเปิดให้บริการเต็ม
100% ภายในสิ้นปีนี้ คาดมีผู้เข้ามาใช้บริการเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า100,000 คนต่อวัน ส่วนห้างสรรพสินค้าจะเปิดในเดือนส.ค. 54 “กอบชัย” ตั้งงบลงทุน
ไว้ 200 ล้านบาท สำหรับดูแลรักษาความปลอดภัยศูนย์การค้าทุกแห่ง รวมถึงทุ่มงบจัดกิจกรรมทางการตลาดอีก 100 ล้านบาท (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น
17-09-2010)
DRT หรูคอนกรีตโตสุดรอบ 5 ปี ขานรับโครงการเกิดใหม่เพียบ “กระเบื้องหลังคาตราเพชร” ตีปีกรับตลาดกระเบื้องคอนกรีตเติบโตสูงสุดรอบ
5 ปี หลังกลุ่มลูกค้าดีเวลลอปเปอร์ผุดโครงการใหม่ รับเศรษฐกิจขยายตัว งัดแผนเสนอสินค้าพร้อมบริการติดตั้ง ช่วยลูกค้าบริหารต้นทุนการก่อสร้าง
หวังบุกกลุ่มดีเวลลอปเปอร์เพิ่ม มั่นใจสิ้นปีขอเพิ่มส่วนแบ่งตลาดกระเบื้องคอนกรีตเป็น 20% (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 17-09-2010)
LHKบันทึกกำไรพิเศษขายหุ้น AMT ดันรายได้ทั้งปีโต 20% รับยานยนต์-เครื่องใช้ไฟฟ้าฟื้น LHK บันทึกกำไรพิเศษขายหุ้น AMT ซึ่งเป็น
บริษัทย่อย ให้บริษัท Mory Industies Inc., Japan ไตรมาส 3/54 หนุนรายได้ทั้งปีโต 20% ประมาณ 2,400 ล้านบาท ตามอุตสาหกรรมยานยนต์-
เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ปรับตัวดีขึ้น ส่วนกำไรสุทธิใกล้เคียงปีก่อนที่ทำได้ 99 ล้านบาท เตรียมจับมือพันธมิตรขยายธุรกิจเวียดนาม-จีน (ที่มา: นสพ.ข่าว
หุ้น 17-09-2010)

E Finance Thai : รอบนี้ SPALI-LPN-PS
SPALI-LH นำหุ้นอสังหาฯคึกคัก ดัน SET Index วานนี้ ปิดบวก 0.40% หลังวงการมองรับอานิงส์เงินบาทแข็งหวังธปท.ชะลอขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย แถมมีข่าวดีและผลงานของบริษัทแต่ละแห่งหนุนโบรกฯเชียร์ SPALI LPN PS

หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ กลับมาคึกคักอีกรอบ วงการมองเงินบาทแข็งเกินไป ส่งผลให้มีความเป็นไปได้ว่า ทางการอาจต้องเริ่ม ด้วยมาตรการไม่ขึ้นดอกเบี้ย เพื่อไม่ได้มีส่วนต่างมากเกินไปกับเพื่อนบ้าน ดังนั้น จะทำให้กลุ่มอสังหาฯได้รับประโยชน์ ขณะที่ค่าPE รวม ของกลุ่มนี้ยังต่ำกว่า 8 เท่า ขณะที่ SET มี PE ไปใกล้ 14 เท่าแล้ว ดังนั้นการกลับมาเก็งกำไรอสังหาจึงยังน่าเล่น ประกอบกับราคาหุ้นกลุ่มอสังหาฯ เข้าสู่ช่วงการปรับฐานราคามานานกว่า 1 เดือน ซึ่งเมื่อพิจารณาจากปัจจัยขับเคลื่อนราคาหุ้นที่กำลังเข้ามาไม่ว่า ผลประกอบการที่กลับมา เติบโต, Backlog ที่สร้าง New High เพราะณ สิ้น Q2/53 ปรับเพิ่มขึ้น ทะลุ 1 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ , Presale ในงวด ครึ่งหลังปี53 ที่น่าจะสูงกว่า ครึ่งปีแรกและ Sentiment ที่ดีจากการเปิดตัวโครงการใหม่ เชื่อว่าน่าจะทำให้ราคาหุ้นตอบสนองในเชิงบวก ส่งผลให้การซื้อขายหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์วานนี้ ปรับตัวเพิ่มขึ้นยกแผงประกอบด้วย
บริษัท แลนด์แอนด์เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LH ปิดที่6.95 บาท เพิ่มขึ้น 0.40บาทหรือ 6.11% มูลค่าการซื้อขาย 1742.43 ล้านบาท
บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ SPALI ปิดที่ 12.30บาท เพิ่มขึ้น 0.70 บาทหรือ 6.03% มูลค่าการซื้อขาย 416.13 ล้านบาท
บริษัท ปริญสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ PRIN ปิดที่2.82 บาท เพิ่มขึ้น 0.12บาทหรือ 4.44% มูลค่าการซื้อขาย37.78 ล้านบาท
บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน)หรือ PF ปิดที่ 4.60บาท เพิ่มขึ้น 0.12บาทหรือ2.68 % มูลค่าการซื้อขาย 47.83ล้านบาท
บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ PS ปิดที่ 24.00บาท เพิ่มขึ้น 0.50บาทหรือ2.13 % มูลค่าการซื้อขาย 267.87 ล้านบาท
บริษัทเอเชี่ยนพร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ AP ปิดที่ 7.65 บาท เพิ่มขึ้น0.15 บาทหรือ2.00% มูลค่าการซื้อขาย 469.72ล้านบาท
บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (NOBLE)ปิดที่ 6.50บาท เพิ่มขึ้น 0.10บาทหรือ 1.56% มูลค่าการซื้อขาย 63.88ล้านบาท
บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน)หรือLPN ปิดที่ 9.90บาท เพิ่มขึ้น0.10บาทหรือ1.02% มูลค่าการซื้อขาย132.56 ล้านบาท
และบริษัท ควอลิตี้ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ QHปิดที่ 2.60บาท เพิ่มขึ้น 0.02บาทหรือ 0.78% มูลค่าการซื้อขาย 478.51ล้านบาท
และเป็นแรงผลักดันให้ SET Index ปิดตลาดที่ 924.81 จุด เพิ่มขึ้น 3.71จุดหรือ0.40 % มูลค่าการซื้อขาย 27,271.05ล้านบาท

** ดีบีเอสฯ มองข่าวดีของแต่ละบริษัท-ลุ้นคงดอกเบี้ยหนุนกลุ่มอสังหาฯ*
ด้านนักวิเคราะห์จาก บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส กล่าวว่า หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่ปรับเพิ่มขึ้นแต่ละตัววานนี้ ล้วนมีข่าวดีเป็นองค์ประกอบรายบริษัท ไม่ว่าจะเป็น บริษัทแลนด์แอนด์เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LH รับข่าวดีจากการที่บริษัทหันมาจับตลาดบ้านระดับล่างและได้รับผลตอบรับจากลูกค้าค่อนข้างดีในช่วงครึ่งปีหลัง จากเดิมที่จับเฉพาะกลุ่มลูกค้า ระดับกลางและระดับบน และผู้บริหารออกมาให้ข่าวว่ากำไรในปีนี้น่าจะดีกว่าปีที่แล้ว
บริษัทเอเชี่ยนพร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ AP รับข่าวดีจากการเข้าไปซื้อหุ้นเพิ่มในบริษัท เอพี แปซิฟิก สตาร์ (รัชดา) จำกัด (APPS รัชดา) จำนวน 49% จากเออาร์อีพีดี และซื้อหุ้นเพิ่มในบริษัทเอพี แปซิฟิก สตาร์(สาทร) จำกัด (APPS สาทร) จำนวน 49% จากเออาร์อีพีดีเอฟ เอเวอร์กรีน สาทร ส่งผลให้ APถือหุ้นใน 2 บริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 99.99% และ 99.99% ตามลำดับ ซึ่งทั้ง 2 บริษัทดังกล่าวทำโครงการคอนโดมิเนียม ดังนั้น จะส่งผลให้ AP มีการรับรู้รายได้เพิ่มขึ้นอีก
บริษัท ควอลิตี้เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ QH มีข่าวดีจากการที่คอนโดหลังสวนเริ่มเปิดขาย ซึ่งก็มีผลตอบรับค่อนข้างดีเช่นเดียวกัน
สำหรับกลยุทธ์การลงทุน บริษัทให้น้ำหนักการลงทุน "ปานกลาง"สำหรับหุ้นกลุ่มดังกล่าว เพราะยังมีความกังวลประเด็นดอกเบี้ย แม้ว่าธนาคารกลางแห่งประเทศไทยจะส่งสัญญาณว่าไม่ขึ้นดอกเบี้ยอีกเพราะต้องการพยุงเงินบาทไว้ แต่คงต้องติดตามเป็นระยะ เพราะเงินเฟ้อมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ดอกเบี้ยก็อาจปรับขึ้นได้เช่นเดียวกัน
สำหรับหุ้นเด่นที่บริษัทแนะนำมี 3 ตัว คือ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ LPN บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ SPALI และบริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ PS โดยมีราคาเป้าหมายปี 2554 อยู่ที่ 12.25 บาท ,14.30 บาท และ 27 บาท ตามลำดับ
ในขณะที่ บริษัทเอเชี่ยนพร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ AP ก็น่าสนใจ โดยล่าสุดทางดีบีเอส ได้ปรับเพิ่มน้ำหนักการลงทุนเป็น "ซื้อ"ราคาเป้าหมายปี 2553 ที่ 8.72 บาท

**CGS มอง แรงหนุนจากขอแก้พ.ร.บ.การเช่าอสังหาฯให้ต่างชาติเช่าเพิ่มเป็น 50ปี **
นักวิเคราะห์จาก บล.คันทรี่กรุ๊ป (CGS)กล่าวว่า หุ้นในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ปรับตัวเพิ่มขึ้นวานนี้ น่าจะมีสาเหตุหลักมาจากการที่ผู้ประกอบการบริษัทอสังหาริมทรัพย์รวมตัว กันยื่นหนังสือถึงรัฐบาลเพื่อขอแก้ไข พ.ร.บ.การเช่าอสังหาริมทรัพย์เพื่อพาณิชย์และอุตสาหกรรม จากเดิมสูงสุด 30 ปี ขอขยายระยะเวลาเป็นสูงสุด 50 ปี หากมีการแก้ไข พ.ร.บ.ดังกล่าวตามข้อเรียกร้องก็น่าจะเป็นแรงดึงดูดให้ผู้ประกอบการต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น
สำหรับกลยุทธ์การลงทุน มองว่า บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน)หรือ SPALI น่าสนใจ เพราะยังมีโอกาสที่ผลประกอบการจะออกมาดีและมีการจ่ายปันผลให้กับสมาชิก ประกอบกับราคาที่ยังไม่สูงมากนัก บริษัทให้ราคาเป้าหมายปีนี้ที่ 13.50 บาท

**บล.พัฒนสิน ให้ราคาเป้าหมาย SPALI ที่ 15.20 บาท**
ขณะที่ บล.พัฒนสิน แนะนำ ซื้อ SPALI ราคาเป้าหมาย 15.20 บาท ทั้งนี้ประเมินว่าช่วงปี 2548 ถึงปัจจุบัน ทั้งนี้ เชื่อว่า SPALI ยัง undervalued เนื่องจากมีการประเมิน มูลค่า PER ในระดับที่น่าดึงดูดใจลงทุน, มีแนวโน้มการเติบโตที่แข็งแกร่ง และ มีแนวโน้มการเติบโตกำไรที่เห็นได้ชัดเจน จากอัตรากำไรที่อยู่ในระดับสูง รวมทั้งมีมูลค่า backlog ในมือในระดับสูง ซึ่งเพียงพอสำหรับ secure ประมาณเกือบ 89% ของประมาณการรายได้ปี 2553F ที่ทำไว้ และ secure 46.5% ของประมาณการรายได้ปี 2011F ทั้งนี้ ปัจจัยผลักดันราคาหุ้นSPALI ในระยะสั้น มาจาก momentum presales ที่อยู่ในระดับที่น่าพอใจ รวมทั้งผลประกอบการช่วง Q4/53F ที่มีแนวโน้มเติบโตสูงสุดในปีนี้ จากการโอนกรรมสิทธิ์โครงการคอนโด “City Home ท่าพระ”, “Supalai Park @ Kaset”,และ “Supalai Premier รัชดา-สาธร-นราธิวาส” ที่มีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 6,398 ล้านบาท
ปัจจุบัน SPALI มีการซื้อขายอยู่ที่ระดับ 2554F PER ที่น่าดึงดูดใจคือที่ 5.9 เท่า เท่ากับระดับ PER เฉลี่ยในอดีต เชื่อว่า SPALI สมควรที่จะมีการ re-rate เนื่องจากมีแนวโน้ม กำไรที่แข็งแกร่ง จาก backlog ในมือที่อยู่ในระดับสูง และ อัตรากำไรที่อยู่ในระดับแข็งแกร่งเช่นเดียวกัน นอกจากนี้ เราเห็นว่านักลงทุนต่างชาติกำลังมีความสนใจลงทุนใน SPALI มากขึ้น และประเด็นสุดท้าย ราคาเป้าหมายปี 2554F สะท้อนแนวโน้ม upside 31% จากราคาหุ้น SPALI ในปัจจุบัน ประกอบกับ ให้การอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลในระดับสูงถึง 6.1%

**บล.ฟิลลิป มองราคาพื้นฐาน LPN อยู่ที่ 11.60 บาท แนะนำ “ซื้อ” **
ด้านบทวิเคราะห์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย)ระบุว่า ยอดจอง 2 เดือนใน Q3/53 ได้มากกว่า 2.8 พันล้านบาท ซึ่งมาจากยอดจอง 90% ในการเปิดขายโครงการใหม่ Place พระราม 9 เฟส 2 มูลค่า 2.5 พันล้านบาทช่วงเดือน ก.ค. 53 ดังนั้น Backlog ล่าสุดอยู่ที่ 17.8 พันล้านบาท ซึ่งประมาณ 4.5 พันล้านบาทจะรับรู้ใน H2/53 และอีก 11.5 พันล้านบาท จะรับรู้ในปี 54 โดยกำหนดการรับรู้รายได้นี้คิดเป็น 85% และ 95%ของประมาณการรายได้ H2/53 และ 2554 ดังนั้น ทางฝ่ายจึงคาดหมายกำไรปี 53 และ 54เติบโต 15% และ 19% ทั้งนี้ ผลกำไร Q3/53 จะค่อนข้างต่ำเพียง 236 ล้านบาท (ลดลง 52%QoQ และ 41% YoY) เนื่องจากยอดรับรู้ H2/53 ทั้งหมดที่ 5.1 พันล้านบาท จะเข้าหนักในQ4/53 ที่ 3.3 พันล้านบาท เทียบกับ 1.7 พันล้านบาทสำหรับงวด Q3/53 แนวโน้มการทำกำไรยังเติบโตอย่างดีและต่อเนื่องไปถึงปี 54 อนึ่ง ทางฝ่ายปรับเพิ่มประมาณการกำไรใหม่ปี 53 และ 54 ขึ้นจากเดิม 4% และ 10% โดยมาจากการโอนที่เร็วขึ้น และปรับเพิ่มการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วม Grand Unity ที่ LPN ถือหุ้น 20% จำนวน 60 ล้านบาท ซึ่งล่าสุด มีBacklog รอรับรู้ปีหน้าที่ 2.5 พันล้านบาท (ณ Net Margin 12% และสัดส่วนถือหุ้น 20%:2,500*0.12*0.20 = 60)
ทั้งนี้มอง Growth ที่แน่นอนไปถึงปี 54 และการคาดหมายการขายโครงการใหม่ที่ดีจะนำ ไปสู่ความต่อเนื่อง ของ Growth ไปถึงปี 55 อีกด้วย ราคาหุ้นที่อ่อนลงในช่วงนี้น่า จะเป็นโอกาสในการลงทุน ทั้งนี้ P/E-2554 ของ LPN อยู่ระดับเพียง 8 เท่า ซึ่งต่ำโดยเปรียบเทียบกับ 10-11 เท่าของ AP, QH, PS, SPALI และ 15 เท่าของ LH อีกทั้ง EPS-2554 Growth ของ LPN ยังสูงกว่า 19% เทียบกับ AP (-5%), QH (7%), PS (13%), SPALI (-8%) และ LH (7%) ราคาหุ้น LPN น่าจะซื้อขาย P/E ใกล้เคียง 10-11 เท่า ซึ่งใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยสูงสุดของ P/E ใน 8 ปีย้อนหลัง ที่ 9.50 เท่า หรือคิดเป็นราคาพื้นฐาน 11.60 บาท แนะนำซื้อ

**บล.โกลเบล็ก แนะ ซื้อ AP หลังปรับเพิ่มประมาณกำไรปี 53-54 **
บทวิเคราะห์ บล.โกลเบล็ก ประเมิน AP โดยปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 53-54 เพิ่มขึ้น 14% และ 16% ตามลำดับ ณ สิ้นเดือนส.ค. 53 บริษัทมียอดขายรอโอน (backlog) ที่แข็งแกร่งจากยอดขาย presale บ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์ที่เพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่าตัวในช่วง 2Q53 และยังดีต่อเนื่องใน 3Q53 ส่งผลให้ backlog อยู่ที่ 1.9 หมื่นล้านบาทแบ่งเป็นยอดขายบ้านเดี่ยวทาวน์เฮาส์ 3 พันล้านบาทและยอดขายคอนโดมิเนียม 1.6 หมื่นล้านบาท ประกอบกับโครงการ Rhythm รัชดาจะเริ่มโอน ในช่วง Q4/53 ทำให้เราปรับประมาณการยอดรับรู้รายได้ทั้งปี 53 เพิ่มขึ้น 6% เป็น 1.43 หมื่นล้านบาทซึ่งเพิ่มขึ้น 16%YoY ส่งผลให้ประมาณการกำไรสุทธิปี 53 เพิ่มขึ้น 14% เป็น 2,345 ล้านบาทซึ่งเติบโต 20%YoY และปรับเพิ่มประมาณการยอดขายปี 54 เพิ่มขึ้น 14% เป็น 1.69 หมื่นล้านบาทส่งผลให้ประมาณการกำไรสุทธิปี 54 เพิ่มขึ้น เป็น 2.6 พันล้านบาทซึ่งเติบโต16%YoY
เตรียมเปิดขายคอนโดมิเนียมพร้อมกัน 3 โครงการ : วันที่ 26 ก.ย.บริษัทเตรียมเปิดขายคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ 'Rhythm' พร้อมกัน 3 ทำเลที่ซ.สุขุมวิท 50 ซ.พหลฯ-อารีย์ และสาธร มูลค่ารวม 9,600 ล้านบาท กำหนดโอนช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 56 และในช่วง Q4/53 จะเปิดขายคอนโดมิเนียม 2 โครงการมูลค่ารวม 4.2 พันล้านบาทในทำเลถ.พระราม 4 และงามวงศ์วานที่จะเจาะกลุ่มเป้าหมายใหม่ในระดับกลาง-ล่าง และโครงการบ้านเดี่ยวที่ถ.กัลปพฤกษ์มูลค่ารวม 1.15 พันล้านบาทอีกด้วย ตามประมาณการกำไรสุทธิใหม่สำหรับปี 53 ทำให้ราคาเหมาะสมซึ่งคำนวณด้วยวิธี DCF โดยใช้ WACC 8.3% เพิ่มขึ้นเป็น 9.40 บาท(เดิม 8.50 บาท) สำหรับปี 53 ทั้งนี้ยังมีมุมมองเชิงบวกต่อปัจจัยพื้นฐานของAPจากการความเป็นมืออาชีพในการพัฒนาโครงการและสามารถบริหารกระแสเงินสดได้เป็นอย่างดี และคงคำแนะนำ 'ซื้อ' สำหรับการลงทุนระยะยาว

**แบงก์ชาติ เผยกนง.ครั้งต่อไป จะนำค่าบาทแข็งมากำหนดทิศทางดอกเบี้ย**
นายสุชาติ สักการโกศล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจในประเทศ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ใน ครั้งหน้า จะนำปัจจัยเรื่องเงินบาท ที่แข็งค่าในขณะนี้ มาร่วมพิจารณาด้วย
ทั้งนี้ กนง.จะประชุมครั้งต่อไปในวันที่ 20 ต.ค.นี้ หลังเมื่อเดือนส.ค.ที่ผ่านมา กนง.มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย อีก 0.25% มาที่ 1.75% ซึ่งเป็นครั้งที่ 2 ในปีนี้ หลังจากที่ปรับขึ้นครั้งแรก 0.25% เมื่อ เดือน ก.ค.ที่ผ่านมา ขณะที่ บาท/ดอลลาร์ ช่วงเที่ยงวันนี้ อ่อนค่าจากเมื่อวาน มาอยู่ที่ 30.91/96 แต่ยังอยู่ใกล้ระดับแข็งค่ามากสุด ในรอบ 13 ปี

----------------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ตปท.
ข่าวต่างประเทศ

สหรัฐอเมริกา: สหรัฐเผยยอดขาดดุลการค้าไตรมาส 2 ปีนี้พุ่งแตะ 1.233 แสนล้านดอลลาร์ กระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐเปิดเผยว่า สหรัฐมียอดขาดดุลการค้ากับต่างประเทศในไตรมาสที่ 2 ปีนี้ พุ่งขึ้นแตะระดับ 1.233 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นการขาดดุลติดต่อกัน 4 ไตรมาส และยังสะท้อนให้เห็นถึงภาวะขาดดุลบัญชีเดินสะพัด ซึ่งคำนวณจากยอดการค้าและบริการ รายได้ และธุรกรรมการโอนเงิน สถิติล่าสุดของกระทรวงพาณิชย์ระบุว่า มูลค่าการส่งออกสินค้าของสหรัฐขยายตัว 3.4% สู่ระดับ 3.161 แสนล้านดอลลาร์ในไตรมาสที่ 2 ปีนี้ ในขณะที่มูลค่าการนำเข้าสินค้าในไตรมาส 2 ขยายตัวมากถึง 6.3% คิดเป็นมูลค่า 4.857 แสนล้านดอลลาร์ ส่วนรายการสินค้านำเข้าที่เพิ่มขึ้นได้แก่ ราคาในหมวดรถยนต์และหมวดสินค้าอุปโภคบริโภค สำนักข่าวซินหัวรายงาน (ที่มา: อินโฟเควสท์ 17-09-2010)
สหรัฐอเมริกา: สหรัฐเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานสัปดาห์ที่แล้วลดลง 3,000 ราย กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการระหว่างว่างงานในรอบสัปดาห์ที่แล้ว ลดลง 3,000 ราย มาอยู่ที่ระดับ 450,000 ราย ซึงเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 2 เดือน ส่วนจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานโดยเฉลี่ย 4 สัปดาห์ปรับตัวลดลง 13,500 ราย สู่ระดับ 464,750 ราย จำนวนคนว่างงานรายสัปดาห์ปรับตัวลดลงไปแล้วประมาณ11% นับตั้งแต่ช่วงกลางเดือนส.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าการเลย์ออฟพนักงานของภาคเอกชนในสหรัฐเริ่มลดน้อยลง แม้เศรษฐกิจขยายตัวในอัตราที่ช้าลงนับตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมาก็ตาม (ที่มา: อินโฟเควสท์ 17-09-2010)
จีน: รัฐบาลจีนชี้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหนุนการจ้างงาน 22 ล้านตำแหน่ง ทางการจีนชี้อานิสงส์จากใช้มาตรการอัดฉีดเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 4 ล้านล้านหยวน (5.954 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ) ช่วยหนุนให้จีนมียอดการจ้างงานราว 22 ล้านตำแหน่ง นับตั้งแต่เกิดวิกฤตการเงินโลก หยิน เว่ยหมิน รัฐมนตรีกระทรวงทรัพยากรมนุษย์และความมั่นคงของจีนกล่าวในการประชุมรัฐมนตรีด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของกลุ่มประเทศความร่วมมือทางเศรษฐกิจภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (เอเปค) ครั้งที่ 5 ว่า รัฐบาลจีนมองว่าการขยายตัวด้านการจ้างงานเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง เพราะจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนและกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาด้านสังคมและเศรษฐกิจ (ที่มา: อินโฟเควสท์ 16-09-2010)
เอเชีย: แบงค์ชาติอินเดียประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ 0.25% ธนาคารกลางอินเดียตัดสินใจขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ repo rate อีก 0.25%และขึ้นอัตราดอกเบี้ย reverse repo rate อีก 0.50% ซึ่งถือเป็นการขึ้นดอกเบี้ยครั้งที่ 5 แล้วในปีนี้ หลังจากที่เศรษฐกิจขยายตัวขึ้นจนสร้างแรงกดดันด้านเงินเฟ้อสูงขึ้นตามไปด้วย ทั้งนี้ แบงค์ชาติอินเดียได้ขึ้นดอกเบี้ย repo rate จาก 5.75% เป็น 6% และอัตราดอกเบี้ย reverse repo rateเป็น 5% จากระดับ 4.5% (ที่มา: อินโฟเควสท์ 16-09-2010)
----------------------------------------------------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น