Code 150 : Volume New High ที่ 6.3 หมื่นล้าน

วันจันทร์ที่ 6 กันยายน 2553

ATT Code : Volume New High ที่ 6.3 หมื่นล้าน
----------------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย
ไทยรัฐ - By...อินเด็กซ์ 51 : เงาหุ้น-หุ้นมาบตาพุดวิ่งไฟแลบ!!

ดัชนีหุ้นวันที่ 3 ก.ย.53 ปิดที่ 929.90 จุด เพิ่มขึ้น 9.36 จุดยังทำนิวไฮในรอบ 14 ปีได้ต่อ ขณะที่มีมูลค่าการซื้อขาย 52,546.92 ล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิ 583.56 ล้านบาท

ฝ่ายวิเคราะห์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส มองตลาดสัปดาห์หน้าคาดจะแกว่งตัวในกรอบแนวรับที่ 920 จุด ส่วนแนวต้านให้ไว้ที่ 935-940 จุด โดยให้ติดตามการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเฉพาะตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรว่าจะออกมาดีกว่าที่ตลาดคาดไว้หรือไม่ หากตัวเลขออกมาดีจะส่งผลให้ตลาดหุ้นต่างประเทศรวมทั้งไทยไปได้ต่อ แต่หากออกมาแย่กว่าคาด ระวังแรงขายกดดัชนี

อย่างไรก็ตาม สัญญาณทางเทคนิคพบว่า ดัชนีหุ้นไทยเข้าเขต "ซื้อมากเกินไป" จึงต้องระวังแรงขายทำกำไรสลับออกมา

แนะกลยุทธ์การลงทุนให้รอซื้อเมื่อดัชนีอ่อนตัวลง และไม่แนะให้เข้าซื้อหุ้นในจังหวะที่ดัชนีปรับขึ้น โดยให้เลือกลงทุนในหุ้นที่ราคายังปรับขึ้นไม่มาก หรือราคายังต่ำกว่าพื้นฐาน

ส่วนแนวโน้มระยะกลางและยาว หุ้นไทยยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้ต่อจากเม็ดเงินไหลเข้า

ปิดท้าย มีความเห็นจากโบรกเกอร์สำนักต่างๆ หลังมีคำสั่งศาลในคดีมาบตาพุด โดย บล.ทรีนีตี้ ยังคงแนะนำ "ซื้อ" หุ้น PTTCH โดยให้ราคาเป้าหมาย 120 บาท ระบุว่า ผลกระทบกรณีโครงการที่ถูกถอนใบอนุญาต TOC Glycol ซึ่งผลิต MEG 95,000 ตันต่อปี แทบไม่มีผลกระทบต่อ PTTCH ขณะที่คาดว่ากำลังการผลิตใหม่จะเริ่มต้นเดินเครื่องเต็มที่ พร้อมทั้งรับก๊าซเต็มที่จากโรงแยกก๊าซ 6 ประมาณ ม.ค.54 ทำให้กำไรปี 54 โตก้าวกระโดดถึง 104%

ขณะที่ บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุว่า คำพิพากษาเป็นบวกต่อความเชื่อมั่นในการลงทุน จึงยังคงแนะซื้อ SCC ให้ราคาเป้าหมาย 330 บาท, PTTCH ให้ เป้าหมาย 135 บาท, PTT เป้าหมาย 325 บาท และ GLOW ให้เป้าหมาย 52 บาท

บทวิเคราะห์ บล.ธนชาต แนะซื้อทั้ง 3 บริษัท PTT ให้ราคาเป้าหมาย 375 บาท, PTTCH 133 บาท และ SCC 375 บาท ส่วน บล.เอเซียพลัส ให้ มูลค่าพื้นฐาน PTT ที่ 314.31 บาท ส่วน PTTCH ให้เท่ากับ 120.42 บาท

ด้าน บล.เกียรตินาคิน แนะ "ซื้อ" PTT ให้ราคาเหมาะสมที่ 318 บาท ส่วน PTTCH ให้ราคาเหมาะสม 128 บาท.

ไทยรัฐ-ทิศทางหุ้น6/9/53
ภาวะการซื้อขายหุ้น

ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีหุ้นไทยปิดที่ 929.90 จุด สูงสุดในรอบเกือบ 14 ปี สำหรับแนวโน้มในสัปดาห์นี้ (6-10 ก.ย.2553) บริษัทหลักทรัพย์กสิกร-ไทย และบริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนีมีโอกาสปรับขึ้นต่อได้ ตามปัจจัยชี้นำจากในประเทศเป็นหลัก ซึ่งน่าจะทำให้มีแรงเก็งกำไรในหุ้นหลายกลุ่ม โดยปัจจัยในประเทศที่ต้องติดตาม ได้แก่ ความคืบหน้าในการประมูลใบอนุญาต 3G และการยื่นอุทธรณ์คำตัดสินศาลปกครองกรณีคำตัดสินคดีโครงการในพื้นที่มาบตาพุด รวมถึงการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาท ทั้งนี้ บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด คาดว่า ดัชนีจะมีแนวรับที่ 922 และ 908 จุด ขณะที่แนวต้านคาดว่าจะอยู่ที่ 938 และ 960 จุด ตามลำดับ

ภาวะตลาดเงินและตลาดอัตราแลกเปลี่ยน

อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นทรงตัว ท่ามกลางปริมาณสภาพคล่องที่ยังมีอยู่มากในตลาดเงิน โดยอัตราดอกเบี้ยอินเตอร์แบงก์ประเภทกู้ยืมข้ามคืน (Overnight) มีระดับหนาแน่นอยู่ที่ 1.62% เงินบาทในประเทศ (Onshore) แตะระดับแข็งค่าสุดในรอบ 29 เดือนครั้งใหม่ เงินบาทแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องท่ามกลางแรงซื้อสุทธิทั้งในตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตรไทยของนักลงทุนต่างชาติ ส่วนสัปดาห์นี้เงินบาทในประเทศอาจเคลื่อนไหวในกรอบประมาณ 31.00-31.30 บาทต่อดอลลาร์ฯ

FSS:คาดตลาดยังบวกต่อแต่ควรแบ่งส่วนขายทำกำไรบ้าง เพื่อรอรับช่วงพักตัวลง!!
แนวโน้ม: จากความมั่นใจต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของโลก ส่งผลให้ตลาดหุ้นต่างประเทศเริ่ม กลับมาเป็นบวกกันได้อีกครั้ง ขณะที่ตลาดหุ้นไทยก็ถือได้ว่าค่อนข้างแข็งแกร่งกว่าตลาดอื่นๆ ใน ภูมิภาคอยู่แล้ว โดยเฉพาะหลังโครงการในมาบตาพุดมีความชัดเจนมากขึ้น ทำให้หุ้นในกลุ่ม พลังงานที่เป็นกลุ่มหลักกลุ่มใหญ่ของตลาดหุ้นบ้านเราก็เริ่มมีแรงซื้อที่หนาตามากขึ้น และช่วย ผลักดันให้ SET บวกต่อค่อนข้างแรงได้ตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้วด้วย ซึ่ง FSS คาดว่าในสัปดาห์นี้แรง
ซื้อดังกล่าวก็น่าจะยังคงอยู่ และสามารถส่งให้ SET ยังบวกต่อเนื่องได้ในช่วงต้นสัปดาห์นี้ อย่างไร ก็ตามเนื่องจากช่วงที่ผ่านมา SET ขยับขึ้นมาค่อนข้างเร็วและสูงมากแล้ว ขณะที่ในสัปดาห์ที่แล้ว เราก็เริ่มเห็นแรงขายทำกำไรที่มีออกมามากขึ้นในแต่ละวัน ทำให้ SET แม้จะบวกขึ้นอยู่ แต่ก็มี จังหวะแกว่งตัวผันผวนตลาดทั้งสัปดาห์ด้วย ดังนั้นในช่วงกลางถึงท้ายสัปดาห์นี้อาจต้องเริ่มระวัง จังหวะการแกว่งผันผวนและเริ่มเน้นหนักไปทางเคลื่อนไหวในด้านลบของ SET ไว้บ้าง เราจึง แนะนำว่าควรชะลอการเข้าซื้อถ้าตลาดยังบวกแรง และเริ่มแบ่งส่วนขายทำกำไรในหุ้นที่ราคาขยับ ขึ้นสูงบ้าง ส่วนจังหวะเลือกหุ้นเข้าซื้อรอบใหม่น่าจะรอช่วงตลาดปรับพักฐานลงก่อน โดยยังมี แนวโน้มที่ดัชนีจะไหลย้อนลงไปแถว 910 จุด(+/-) ได้อีกครั้ง
กลยุทธ์: แบ่งส่วนขายทำกำไรเมื่อตลาดขยับขึ้น ส่วนจังหวะซื้อรอช่วงตลาดแกว่งตัวย้อนลง โดย เน้นเลือกหุ้นที่ราคาตลาดต่ำกว่าราคาตามปัจจัยพื้นฐานมากๆ เป็นหลัก ได้แก่ SCB, KBANK, BAY, TCAP, KCE, HANA, DELTA, LPN, QH, SIRI, SPALI , DCC, GFPT, TTW และ BTS เป็นต้น
ประเด็นสำคัญวันนี้
• (+) ต่างชาติขับเคลื่อนตลาดต่อไป เห็นได้ชัดว่าทันทีที่คดีมาบตาพุดมีความชัดเจน ต่างชาติซื้อหุ้นไทยเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ต้นทุนดัชนีของต่างชาติหลังจากที่เริ่ม กลับมาซื้อตั้งแต่เดือน มิ.ย. ถึงปัจจุบันเท่ากับ 881 จุด บวกกับเงินบาทที่แข็งค่า รวม เป็นกำไรประมาณ 9% ยังไม่น่าเพียงพอที่จะรีบขาย เพราะการปรับตัวในแต่ละรอบของ ดัชนีที่ผ่านมา ต่างชาติจะขายปรับพอร์ตต่อเมื่อมีกำไร 15% - 20%
• (+) เน้นพลังงาน รับเหมา และวัสดุ เราประเมินกรอบดัชนีในสัปดาห์นี้ 910 – 940 จุด โดยหุ้นกลุ่มที่นำตลาดจะเป็นกลุ่มที่เคย Laggard มาตลอดคือกลุ่มพลังงาน (PTT, PTTCH, PTTAR, IRPC, TOP ยกเว้น PTTEP ที่ยังมีประเด็นมอนทาราเป็นตัวถ่วง) รวมถึงหุ้นที่จะได้ประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อมจากประเด็นมาบตาพุด ซึ่งได้แก่กลุ่ม รับเหมา (STEC, CK, ITD, EMC, UEC, SYNTEC, NWR, SEAFCO, TTCL, TRC) และ กลุ่มวัสดุก่อสร้าง (SCC, TSTH, VNG, STPI)
• (-) กลุ่มอาหาร ค้าปลีก และแบงก์อาจเป็นเป้าในการขาย หุ้นที่เคย Outperform ก่อนหน้านี้ ให้ระวังการขายทำกำไรหรืออาจเป็นเป้าหมายในการถูก short sell เช่นกลุ่ม อาหาร (CPF) ค้าปลีก (CPALL) แบงก์ (KBANK, BBL) รวมทั้งหุ้นขนาดกลาง-เล็กก็อาจ ลดความน่าสนใจลงไปในระยะนี้ไม่ว่าจะเป็น TMB, BTS, JAS, TRUE, LOXLEY เป็นต้น
• (-) TOP เมื่อคืนไฟไหม้ถังเก็บกากนำมันขนาด 3,000 ลิตรของบริษัทลูกที่ผลิต นำมันหล่อลื่น ปัจจุบันไฟดับแล้ว กระทบ TOP เพียงเล็กน้อยและมีประกันคุ้มครอง ทั้งหมด หากราคาหุ้นอ่อนตัว เราถือเป็นโอกาสในการซื้อเพราะปัจจุบันค่าการกลั่น ปรับตัวเพิ่มขึ้น 25% จาก 2Q10 ราคาเป้าหมาย 53 บาท
• Fund Flow วันศุกร์ที่ผ่านมายังไหลเข้าตลาดภูมิภาคต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 ติดต่อกัน ด้วยปริมาณการซื้อที่มากขึ้น และหากเทียบสัปดาห์ต่อสัปดาห์ก็พบว่า Fund Flow กลับมาไหลเข้า ทั้งนี้สาเหตุหลักมาจากความกังวลเกี่ยวกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจผ่อน คลายลง หลังธนาคารกลางสหรัฐไม่มีความจำเป็นต้องใส่เม็ดเงินใหม่เพื่อกระตุ้น เศรษฐกิจ แม้ตัวเลขเศรษฐกิจจะออกมาชะลอตัวก็ตาม แต่ก็ยังไม่มีสัญญาญว่าเศรษฐกิจ จะเข้าสู่ภาวะถอดถอย สำหรับแนวโน้มสัปดาห์นี้คาดว่า Fund Flow จะยังไหลเช้าตลาด หุ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะเรามองว่าเศรษฐกิจเอเชียยังแข็งแกร่งรวมถึงของไทยด้วย แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยยังเป็นขาขึ้น เม็ดเงินที่พักตัวอยู่ในตลาดพันธบัตรจะหันกับมา ลงทุนในตลาดหุ้นมากขึ้น

ข่าวภายในประเทศ
ทีเอสลดพาร์ 64 สต.เงินปันผลมาตามนัด : สั่งลุยรีไฟแนนซ์หนี้เดิม เสนอผู้ถือหุ้นอนุมัติ 1 พ.ย.นี้ ผู้ถือหุ้น BTS เฮสนั่น! รอรับเงินปันผล
ถ้วนหน้า หลังบอร์ดไฟเขียวลดราคาพาร์เหลือ 0.64 บาท จากเดิม 1 บาท เพื่อล้างขาดทุนสะสม 4.6 พันล้านบาท ส่งผลปันผลได้ทันทีไม่ต่ำกว่า
50% ของกำไรสุทธิ พร้อมออกหุ้นกู้หมื่นล้านบาท รีไฟแนนซ์หนี้เก่า โบรกฯเชียร์ซื้อเป้าหมาย 1.26 บาท (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 6-09-2010)
มาบตาพุดปลดล็อกสินเชื่อ 6.97 หมื่นลบ. กลุ่มธนาคารพาณิชย์โล่ง หลังโครงการมาบตาพุดกลับมาเดินหน้า เผยมีสินเชื่อคงค้างที่ยังไม่ได้เบิก
ใช้ในโครงการอยู่กว่า 6.97 หมื่นล้านบาท เร่งระดมปล่อยเต็มที่ BBL มากสุด 4.40 หมื่นล้านบาท ส่วนกรุงไทย (KTB) 1.71 หมื่นล้านบาท เผยช่วย
ดันสินเชื่อทั้งระบบปีนี้โตเพิ่ม 1% โบรกฯเพิ่มน้ำหนักลงทุนอีก (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 6-09-2010)
TTCL รายได้หมื่นล้านเล็งฮุบมาบตาพุดเพิ่ม TTCL ลุ้นงานใหม่มาบตาพุดกว่า 30% จาก 1.75 หมื่นล้านบาท หลังศาลปกครองกลางมีคำสั่ง
ปลดล็อก 76 โครงการ คาดรู้ผลต้นปีหน้าดันผลงานปี 54 โต 40% “สุวิทย์” การันตีรายได้ปีนี้ 1 หมื่นล้านบาท แถมเหลืองานในมือรอรับรู้อีก
8,500 ล้านบาท และยังมีงานประมูลในต่างประเทศ รวมมูลค่ากว่าหมื่นล้านบาทอีกด้วย (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 6-09-2010)
DTAC ปีนี้หรูกำไรพุ่งกระฉูด 33% เชื่อไลเซนส์ 3G เกิน 3 หมื่นล้าน มั่นใจผ่านพีคิวฉลุย! DTAC ปีนี้รวยไม่เกรงใจ คาดกำไรโตทะลุ 33%
จบที่ 8,770 ล้านบาท ราคาหุ้นน่าสนอัพไซด์ถึง 27% เชื่อคว้าไลเซนส์ 3 จีรอบแรกได้พร้อม AIS แนวโน้มราคาปั่นสูงกว่า 30,000 ล้านบาท ส่วน
กระแสข่าวถูกตัดสิทธิ์ประมูล เพราะเทเลนอร์ถือหุ้นเกินไม่มีผล มั่นใจผ่านเกณฑ์พีคิวเข้าประมูลได้ชัวร์ (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 6-09-2010)
STEC นิวไฮรอบ 4 ปีเชื่อไปได้ถึง 1.50 บาทฐานะการเงินแกร่งสุด STEC แรงได้อีก ทำนิวไฮในรอบกว่า 4 ปี โบรกฯ ยังแนะเก็งกำไร ให้ราคา
เป้าหมายที่ 15.50 บาท คาดได้รับผลดีจากโครงการของภาครัฐที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ส่งผลให้ผลประกอบการ-อัตรากำไรขั้นต้นดีต่อเนื่อง ขณะที่
รถไฟฟ้าสายสีม่วงเริ่มรับรู้ได้แล้ว ส่วนฐานะการเงินที่แข็งแกร่งเหนือคู่แข่ง ประกอบกับบริษัทยังมีโอกาสรับงานก่อสร้างเพิ่มได้อีกกว่า 2-3 หมื่นล้าน
บาท (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 6-09-2010)
TNDT เซ็นสัญญาลาว - พม่าร่วมทุนตั้งบริษัทรับงานตปท. TNDT เดือนหน้าจ่อเซ็นสัญญาร่วมทุนธุรกิจลาวและพม่า เผยถือหุ้นสัดส่วน
มากกว่า 50% ด้านเวียดนามชะลอแผนก่อน หลังติดปัญหาความเห็นกับพันธมิตรไม่ตรงกัน แต่ยืนยันสรุปปลายปี ย้ำเป้ารายได้ปีนี้เติบโต 360 ล้าน
บาท แม้ครึ่งปีแรกรายได้ไม่สวย มั่นใจครึ่งปีหลังธุรกิจฟื้น ขานรับเศรษฐกิจเติบโต (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 6-09-2010)
TPC เป้า 2.6 หมื่นล้านมาบตาพุดไม่กระทบ PVC ทะลุ1พันเหรียญ TPC เดินหน้ามาบตาพุดต่อ หลังศาลปกครองกลางตัดสินแล้ว ยืนยันไม่มี
ผลกระทบต่อเป้าหมาย 2.6 หมื่นล้านบาท เผยไตรมาส 3 ปีนี้ได้รับอานิสงส์จากโครงการภาครัฐ และการฟื้นตัวของธุรกิจทำให้ Spread margin
ของ PVC ดีขึ้นโดยมาอยู่ที่ประมาณ 500 เหรียญต่อตัน สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้ว มองปลายปีราคาแตะ 1,000 เหรียญต่อตัน (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น
6-09-2010)


----------------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ตปท.
ข่าวต่างประเทศ
ยุโรป: ยูโรสแตทเผยยอดค้าปลีกยูโรโซนเดือนก.ค.ขยับขึ้น 0.1% สำนักงานสถิติแห่งสหภาพยุโรป หรือ ยูโรสแตท เปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกในกลุ่มประเทศที่ใช้สกุลเงินยูโรเดือนก.ค.ขยับขึ้น 0.1% เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนมิ.ย. และปรับตัวขึ้น 1.1% เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งเป็นผลมาจากยอดขายอาหาร เครื่องดื่ม และบุหรี่ที่เพิ่มสูงขึ้น 0.3% เมื่อเทียบเป็นรายเดือน ขณะที่ยอดค้าปลีกนอกกลุ่มอาหารเพิ่มขึ้น 0.1% สำหรับยอดค้าปลีกเดือนก.ค. ในกลุ่มประเทศสมาชิกอียู 27 ประเทศ เพิ่มขึ้น 0.1% จากเดือนมิ.ย. และขยายตัวขึ้น 1.0% จากปีที่แล้ว (ที่มา: อินโฟเควสท์ 03-09-2010)
สหรัฐอเมริกา: มูดีส์คาดอัตราว่างงานในสหรัฐจะเพิ่มขึ้นอีกใน 2-3 ปีข้างหน้าแม้เศรษฐกิจฟื้นตัว หนังสือพิมพ์ลอสแองเจลิส ไทม์สรายงานโดยอ้างความคิดเห็นของ มาร์ค แซนดี หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของมูดีส์ อนาไลติกส์ ว่า อัตราว่างงานของสหรัฐซึ่งยืนอยู่ที่ระดับ 9.6% ในเดือนส.ค.นั้น มีแนวโน้มที่จะพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องในอีก 2-3 ปีข้างหน้า แม้เศรษฐกิจสหรัฐเริ่มฟื้นตัวขึ้นจากภาวะถดถอยครั้งใหญ่แล้วก็ตาม แซนดีกล่าวว่า ตลาดแรงงานของสหรัฐตกอยู่ในภาวะตึงตัวมาก และคาดว่าบริษัทเอกชนจะไม่เพิ่มการจ้างงานมากนัก ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวจะเป็นปัจจัย
ลบที่ขัดขวางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ (ที่มา: อินโฟเควสท์ 06-09-2010)
สหรัฐอเมริกา: สหรัฐเผยภาคบริการขยายตัวช้าลงแตะ 51.5 จุดในเดือนส.ค. ภาคบริการของสหรัฐขยายตัวเป็นเดือนที่ 8 ติดต่อกันในเดือน
สิงหาคม แต่อัตราการขยายตัวช้าลง โดยสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยว่า ดัชนีชี้วัดกิจกรรมทางธุรกิจนอกภาคการผลิต
(NMI) ซึ่งเป็นตัววัดการทำกิจกรรมในภาคบริการ ขยายตัวช้าลงแตะ 51.5 จุดในเดือนสิงหาคม จากระดับ 54.3 จุดในเดือนกรกฎาคม ซึ่งตัวเลข
เหนือระดับ 50 จุดยังถือว่ามีการขยายตัว (ที่มา: อินโฟเควสท์ 04-09-2010)
จีน: จีนเผยยอดเงินลงทุนในต่างประเทศปี 52 พุ่งแตะ 5.653 หมื่นล้านดอลลาร์ สำนักงานสถิติแห่งชาติของจีน ร่วมกับสำนักปริวรรตเงินตรา
แห่งรัฐของจีน (SAFE) เปิดเผยว่า ยอดการลงทุนโดยตรงในต่างประเทศ (ODI) ของจีนเพิ่มขึ้น 1.1% ในปี 2552 เมื่อเทียบเป็นรายปี แตะระดับ
5.653 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยรายงานระบุว่า จีนมีเม็ดเงินลงทุน ODI นอกภาคการเงินในปี 2552 เท่ากับ 47.8 พันล้านดอลลาร์ คิดเป็นสัดส่วน
84.5% ของเม็ดเงินลงทุนทั้งหมด และเพิ่มขึ้น 14.2% เมื่อเทียบกับปีก่อน ในขณะที่การลงทุนของภาคการเงินในต่างประเทศของจีนลดลง 37.9%
ในปี 2552 เหลือเพียง 8.7 พันล้านดอลลาร์ (ที่มา: อินโฟเควสท์ 06-09-2010)
จีน: จีนเผยดัชนี PMI นอกภาคการผลิตเดือนส.ค.ทรงตัวที่ระดับ 60.1% สมาพันธ์โลจิสติกและการจัดซื้อแห่งชาติของจีนเปิดเผยว่า ดัชนี
ผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) นอกภาคการผลิตของจีนในเดือนส.ค.ทรงตัวอยู่ที่ระดับ 60.1% จากเดือนก.ค. ทั้งนี้ ดัชนีที่เคลื่อนไหวเหนือระดับ 50%
บ่งชี้ว่าภาคการผลิตมีการขยายตัว ส่วนดัชนีที่อยู่ต่ำกว่าระดับ 50 บ่งชี้ถึงการหดตัวในภาคการผลิต (ที่มา: อินโฟเควสท์ 03-09-2010)
----------------------------------------------------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น