Code 350 : 7 เทคนิค ฟันกำไร หุ้นเดย์เทรด... โดยพีร์ Wizard Kid

วันพฤหัสที่ 3 มกราคม 2554

ATT Code : เป็นกำลังใจให้น้องพีร์ครับ
วันนี้ขอแนะนำหนังสือ "7 เทคนิค ฟันกำไร หุ้นเดย์เทรด"... ที่เขียนโดยพีร์ แห่ง Wizard Kid โดยถ่ายทอดจากประสบการณ์จริง... ที่อัดเรื่องราวของเทคนิคในการเอาตัวรอด และการพลิกจากมือใหม่ มาเป็นมืออาชีพ ที่สามารถทำกำไรในการเป็นเทรดเดอร์ หรือ Prop Trade... ด้วยความมีวินัย, ความมั่นใจในการเทรดของตนอง, การ Cut loss ให้เป็น, และสุดท้าย การเป็นผู้ให้ คือความสุขที่แท้จริง....

-----------------------------------------------------------------------------

เงาหุ้น - แนะหุ้น PTTAR!!
ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 2 ก.พ.54 ปิดที่ 977.84 จุด เพิ่มขึ้น 18.15 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 17,524.88 ล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิ 889.55 ล้านบาท

หุ้นที่มีการซื้อขายสูงสุด นำโดย PTT ปิดที่ 344.00 บาท เพิ่มขึ้น 6.00 บาท, IVL ปิดที่ 39.50 บาท เพิ่มขึ้น 3.00 บาท, PTTCH ปิดที่ 146.00 บาท เพิ่มขึ้น 6.00 บาท, BANPU ปิดที่ 746.00 บาท เพิ่มขึ้น 18.00 บาท และ TOP ปิดที่ 68.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.50 บาท

ฝ่ายวิเคราะห์ บล.ฟิลลิป มองแนวโน้มตลาดระยะสั้นว่าจะแกว่งตัวในกรอบจำกัด เนื่องจากตลาดหุ้นต่างประเทศปิดทำการในวันตรุษจีน ส่วนปัจจัยที่นักลงทุนต้องติดตามช่วงนี้คือ การเคลื่อนไหวของกลุ่มการเมืองในประเทศ และตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ รวมถึงปัญหาการจลาจลในอียิปต์แนะกลยุทธ์การลงทุน

แนะเทรดดิ้งไม่เกิน 30% ของพอร์ตการลงทุน โดยเลือกเทรดหุ้นที่มีการจ่ายเงินปันผลดี รวมถึงหุ้นกลุ่มพลังงาน PTT ที่คาดการณ์ว่าผลประกอบการจะออกมาในทิศทางที่ดีด้านเทคนิคประเมินแนวรับไว้ที่ 970-965 จุด และแนวต้านที่ 980-987 จุด

ฝ่ายวิจัย บล.เอเซียพลัส แนะกลยุทธ์การลงทุน ให้ซื้อเก็งกำไรหุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น PTTEP และ PTTCH

ปิดท้ายมีบทวิเคราะห์ บล.เกียรตินาคิน แนะนำซื้อหุ้น PTTAR โดยปรับราคาที่เหมาะสม เพิ่มขึ้นจาก 44 บาท เป็น 46 บาท จากกรณี LPG ที่ได้มากกว่าคาด (กำไรก่อนภาษีเพิ่มขึ้นปีละ 1,000 ล้านบาท)รวมทั้งประมาณการกำไรปี 54 ใหม่ที่ระดับ 7,823 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 8.6% จากประมาณการเดิม) ด้านผลประกอบการคาดมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 3,032 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 103% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สะท้อนค่าการกลั่นและส่วนต่างราคาพาราไซลีนที่แข็งแกร่ง

และมีประเด็นที่ต้องติดตาม ได้แก่ การควบรวมกิจการระหว่าง PTTAR กับ PTTCH คาดจะได้ข้อสรุปในไตรมาส 1 ปีนี้ ก่อนจะมีการควบรวมแล้วเสร็จในไตรมาส 4!!

อินเด็กซ์ 51
-----------------------------------------------------------------------------
MARKET WAVE Analysis
3 กพ. 54 ( + 18.15 จุด ) โกมล พงศ์วิญญู เลขทะเบียน 18338

ไม่ต่ำกว่า 968.91 ปรับตัวขึ้น 979 - 984จุด
ตราบใด ไม่ต่ำกว่า 968.91 จุดต่ำสุดเวลา15.00 น. วันพุธ และแนวรับตามธรรมชาติของเส้นค่าเฉลี่ย 25 ชั่วโมง ดัชนีมีโอกาสปรับตัว
กลับขึ้นไปแถว 979 – 984 ใกล้จุดสูงสุดเดิมของวันที่ 27 มค. อีกครั้ง

ณ บริเวณ 979 – 984 จุด ดัชนีมีความเสี่ยงที่จะปรับตัวกลับลงมาบริเวณ 960 – 965ใกล้จุดต่ำสุดของวันอังคาร อีกครั้ง

ภาพโดยรวมแล้ว ตลาดน่าจะแกว่งตัวอีกนาน “หลายสัปดาห์” ในกรอบ 950 - 987หรือ ระหว่างจุดต่ำสุดของสัปดาห์ที่แล้วถึงจุดสูงสุดของวันที่ 27 มค. ในรูปแบบที่คาดว่าจะเป็น Triangle wave X

หุ้นเด่น
PTTAR
ปรับตัวขึ้นมาอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ย 25 วันได้อีกครั้ง รอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 38.25จุดสูงสุดเดิมของสัปดาห์นี้ เป้าหมายสองสามวัน 40.50 – 41.50( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 37.25 )40.50 – 41.50

LANNA
ปรับตัวขึ้นมาอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ย 25 ชั่วโมงได้อีกครั้ง ทยอยซื้อแถว 23.20 – 23.40 หรือรอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 23.50 จุดสูงสุดวันพุธ เป้าหมายหนึ่งถึงสองวัน 23.80 – 24.10( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 23.20 )

10 อันดับซื้อขายสูงสุด
PTT ไม่น่าเกิน 345 – 346
IVL ไม่น่าเกิน 40 – 40.50
PTTCH ไม่น่าเกิน 146 – 146.50
BANPU แกว่งตัว 728 - 768
TOP ไม่น่าเกิน 68 – 69
KTB ไม่น่าเกิน 16.10 – 16.20
PTTAR รายละเอียดใน “หุ้นเด่น”
PTL แกว่งตัว 27 – 29
BBL ต่ำกว่า 154.50 ลง 149 – 151
PTTEP ต่ำกว่า165 ลง 160 – 163

-----------------------------------------------------------------------------
หุ้นสื่อสารหมดเสน่ห์

ADVANC-DTAC-TRUE หมดเสน่ห์ หลังถูกกดดันจากกรณี ทศท.เตรียมเรียกความเสียหายรวมกันกว่า 2.15 แสนล้านบาท ตรึงราคาหุ้นในกระดานไม่ให้ไปไหน แนวโน้มมีโอกาสดิ่งลงอีก ด้านโบรกเกอร์แนะชะลอการลงทุน ระบุให้รอดูความชัดเจนของนโยบายรัฐก่อน ขณะที่โบรกฯบางแห่งลดน้ำหนักการลงทุนทั้งกลุ่ม

ในช่วงที่ผ่านมาหุ้นกลุ่มสื่อสารถือว่าเป็นกลุ่มที่เคลื่อนไหวผันผวนที่สุดกลุ่มหนึ่งในตลาดหุ้นไทย โดยเฉพาะตั้งแต่ช่วงที่มีกระแสข่าวว่าทางการจะเดินหน้าประมูลระบบ 3G แต่แล้วก็ต้องถอยกราวรูดไม่เป็นท่าจากคำสั่งของศาลปกครอง ในช่วงนั้นราคาหุ้นสื่อสารปรับตัวลดลงแรงก่อนที่จะรีบาวน์ขึ้นเล็กน้อยหลังกระแสประมูล 3G จางหายไป

อย่างไรก็ตามหุ้นกลุ่มสื่อสารกลับมาถูกกดดันอีกครั้งจากกรณีที่ ทศท.เตรียมฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากผู้ประกอบการทั้งระบบรวมเป็นเงิน 2.15 แสนล้านบาท ซึ่งแบ่งเป็น 2 กรณี คือ

1. ความเสียหายจากกรณีแก้ไขสัญญาสัมปทานสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โดย ADVANC ถูกเรียกค่าเสียหาย 7.4 หมื่นล้านบาท , TRUE 1.4 พันล้านบาท และ TT&T 700 ล้านบาท

2.ความเสียหายจาก Access charge ซึ่งเป็นคดีกับ CATtelecom ในอดีต ซึ่ง DTAC ถูกเรียกค่าเสียหาย 9.7 หมื่นล้านบาท , TRUE 3.5 หมื่นล้านบาท, DPC ของ ADVANC จำนวน 2.4 พันล้านบาท และ CAT telecom จำนวน 4.2 พันล้านบาท

ทั้งนี้ แม้การเรียกร้องความเสียหายดังกล่าวจะยังไม่มีความชัดเจน และในทางปฏิบัติจะทำได้ค่อนข้างยาก เนื่องจากต้องผ่านกระบวนการต่อสู้ในชั้นศาลซึ่งต้องใช้เวลาหลายปี แต่ก็ถือเป็นปัจจัยกดดันหุ้นกลุ่มสื่อสารไม่ให้ปรับตัวเพิ่มขึ้นในทิศทางเดียวกับตลาดหรือหุ้นกลุ่มอื่น ส่วนโบรกเกอร์ให้มุมมองว่าควรชะลอการลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้ออกไปก่อน เพื่อรอดูท่าทีของรัฐบาลที่มีต่อเรื่องดังกล่าว ขณะที่บางแห่งลดน้ำหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่มสื่อสารลงไปก่อนเพื่อรอดูความชัดเจนอีกครั้ง

***** ADVANC มั่นใจไม่ต้องจ่ายค่าปรับสัมปทาน

นายวิเชียร เมฆตระการ หัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC เปิดเผยกับ eFinanceThai.com ว่า แม้ช่วงนี้จะยังมีข่าวเกี่ยวกับปัญหาค่าปรับสัมปทานจำนวน 7.5 หมื่นล้านบาท แต่เชื่อว่าจะไม่มีผลกระทบต่อการทำธุรกิจของบริษัทฯ ในปีนี้ เนื่องจาก ในส่วนของธุรกิจหลักก็ยังคงเดินหน้าต่อไป และเชื่อว่าในที่สุดแล้วเมื่อการเจรจาระหว่าง TOT กับคู่สัญญาทั้งหมดจบลง แนวทางออกไม่น่าจะเป็นการจ่ายเงินค่าความเสียหายหรือค่าปรับ และที่ผ่านมาในรายงานประจำปีบริษัทฯ ก็จะหมายเหตุประกอบงบการเงินไว้อยู่แล้ว และไม่มีการกันเงินไว้จ่ายค่าปรับอะไรทั้งสิ้น จึงเชื่อว่าผู้ถือหุ้นจะเข้าใจ

อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่า ข่าวที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับสัญญาสัมปทาน อาจจะกระทบต่อจิตวิทยาการลงทุนบ้าง ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ และที่สำคัญการทำธุรกิจยังคงเดินหน้าต่อ และในครึ่งหลังปี 53 บริษัทฯ มีแนวโน้มจ่ายปันผลค่อนข้างดี ส่วนผลงานทั้งปีจะแจ้งไปยังตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยภายในสัปดาห์หน้า

ส่วนกรณีที่คณะรัฐมนตรีได้มอบหมายให้กระทรวงไอซีทีไปจัดตั้งสำนักงานขึ้นมาเพื่อไปเจรจากับภาคเอกชนในการแก้ไขสัญญาสัมปทานกับภาคเอกชนคู่สัญญา 3 แห่ง ได้แก่ AIS -DTAC และ TRUE ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีที่ทั้งภาครัฐและเอกชนมาร่วมเจรจาเพื่อหาทางออกร่วมกันไม่ใช่ว่าหารือเพื่อหาทางออกแต่เพียงฝ่ายเดียว หรือทุกเรื่องจะต้องจบลงที่การตัดสินของศาลเท่านั้น

ทั้งนี้ เชื่อว่าในที่สุดแล้ว ADVANC จะไม่ต้องจ่ายค่าปรับหรือค่าเสียหายอะไรทั้งสิ้น เพราะที่ผ่านมาทั้ง ADVANC และคู่สัญญารายอื่นก็ทำตามสัญญาสัมปทาน และขณะนี้สัญญาที่แก้ไขก็ยังปกครองคู่สัญญาอยู่ ขณะเดียวกันความเสียหายดังที่กล่าวเป็นตัวเลขมาทั้งหมดต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าเกิดขึ้นจริง

'เราเชื่อว่าไม่น่าจะจ่ายอะไร เพราะสัญญาที่แก้ไขยังปกครองอยู่และทุกคนก็ทำตามสัญญา ส่วนประเด็นความเสียหายก็ต้องพิสูจน์ให้ได้ และที่ผ่านมาเราก็ทำหมายเหตุไว้ในรายงานประจำปีให้ผู้ถือหุ้นทราบอยู่แล้ว' นายวิเชียร กล่าว ***** โบรกฯมองข่าวร้ายรุมกดดันหุ้นกลุ่มสื่อสาร

บทวิเคราะห์บล.เคจีไอ ระบุว่า ที่ประชุม ครม. สั่งให้ ก.ไอซีทีใช้เวลา 15 วันในการเจรจากับผู้ประกอบการทุกรายที่เกี่ยวข้อง (ไม่เฉพาะ ADVANC*) ในกรณีความเสียหายจากสัมปทานในอดีต ขณะที่ ทศท.เตรียมแผนเรียกค่าเสียหายทั้งระบบ 2.15 แสนล้านบาทจาก 7 บริษัทแบ่งเป็น 2 กรณีคือ i) นโยบายสัมปทานช่วงอดีตนายกฯ ทักษิณ (ADVANC 7.4 หมื่นล้าน, TRUE* 1.4 พันล้าน, TT&T 700 ล้าน) และ ii) กรณีความเสียหายจาก Access charge ซึ่งเป็นคดีกับ CATtelecom ในอดีต (DTAC* 9.7 หมื่นล้าน, TRUE* 3.5 หมื่นล้าน, DPC ของ ADVANC 2.4 พันล้าน และ CAT telecom 4.2 พันล้าน) ข่าวนี้น่าจะสร้างจิตวิทยาเชิงลบในกลุ่มสื่อสารต่อไปในระยะนี้

บทวิเคราะห์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุว่า ครม.ตีกลับสัมปทานมือถือ ให้ ICT ตั้งคณะทำงานเจรจากับเอกชนภายใน 15 วัน มาเสนอใหม่ เรายังมองว่าท้ายสุดต้องเข้ากระบวนการศาลซึ่งต้องใช้เวลาเป็นหลายปีกว่าจะมีข้อสรุป ราคาหุ้นจึงยังถูกกดันได้อีก อย่างไรก็ตาม กรณี Worst case หาก ADVANC ต้องจ่าย 7.5 หมื่นล้านบาท จะคิดเป็น 25 บาท/หุ้น เป้าหมายจาก 104 บาทจะเหลือ 79 บาท ส่วนเป้าหมาย DTAC ถูกกระทบ 3.80 บาท เหลือ 44 บาท

นักวิเคราะห์จาก บล.เกียรตินาคิน กล่าวว่า แม้ ADVANC จะมีประเด็นเรื่องสัญญาสัมปทานแต่จากการที่รัฐบาลมอบหมายให้กระทรวงไอซีทีจัดตั้งคณะทำงานขึ้นมาเพื่อไปเจรจากับภาคเอกชนในการแก้ไขสัญญาสัมปทานให้เป็นไปตามคำวินิจฉัยของศาลถือว่าเป็นแนวโน้มที่ดี ที่แสดงให้เห็นว่ารัฐและเอกชนร่วมมือกันหาทางออก หลังจากที่ก่อนหน้านั้นท่าทีของรัฐบาล ต้องการให้เอกชนเป็นผู้รับผิดชอบ

ดังนั้น ความกังวลในประเด็นดังกล่าวจึงลดน้อยลง และหากมองด้านพื้นฐาน ADVANC ยังมีความน่าสนใจในประเด็นการจ่ายปันผล คาดว่าครึ่งหลังปี 53 ADVANC จะจ่ายปันผล 2.50 บาทต่อหุ้นแม้ว่าจะต่ำกว่าที่ ADVANC เคยจ่ายที่ระดับ 3.30 บาทต่อหุ้น แต่เนื่องจากระหว่างปี ADVANC ได้จ่ายปันผลพิเศษไปแล้วถึง 6 บาท ทำให้กำไรสะสมลดลงไปมาก ดังนั้น จึงประเมินไว้ที่ 2.50 บาท

ทั้งนี้ แนะนำ 'ซื้อ' ราคาเป้าหมาย 108 บาท แต่หากรวมความเสี่ยงจากค่าสัมปทาน ซึ่งจะกระทบราคาเป้าหมายลดลงไปอีก 27 บาท ราคาเป้าหมายจะอยู่ที่ 80 บาท***** นักวิเคราะห์ลดน้ำหนักลงทุน ADVANC-TRUE-DTAC

นักวิเคราะห์จาก บล.โนมูระ พัฒนสิน กล่าวว่า บริษัทยังมีมุมมองต่อหุ้นกลุ่มสื่อสารไม่เปลี่ยนแปลงจากเดิมคือให้น้ำหนัก "เท่ากับตลาด" แม้ว่าจะมีปัจจัยลบเกี่ยวกับการกรณีจ่ายค่าเสียหายจากสัญญาสัมปทานระหว่าง TOT กับบริษํทคู่สัญญาทั้ง ADVANC DTAC และ TRUE เพราะประะด็นดังกล่าวยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจน สุดท้ายต้องรอศาลตัดสิน แต่ยอมรับว่าข่าวดังกล่าวอาจกระทบต่อราคาหุ้นบ้าง แต่ก็ไม่น่าจะกดดันให้ราคาหุ้นร่วงลงไปมากกว่านี้ เพราะก่อนหน้านี้ราคาหุ้นได้รับข่าวล่วงหน้าไแล้ว

ดังนั้น ช่วงนี้แนะนำให้รอดูจังหวะที่คราคาหุ้นปรับลดลงมา ก่อนที่จะเข้าซื้อ ซึ่งช่วงนี้มีประเด็นข่าวให้เล่นได้คือ การจ่ายเงินปันผล โดยเฉพาะ ADVANC กับ DTAC บริษัทฯ แนะนำ "ซื้อ" ราคาเป้าหมาย 108 บาท และ 52 บาทตามลำดับ ส่วน TRUE แนะนำ " ขาย" และเร็วๆ นี้จะปรับเพิ่มราคาเป้าหมายของ TRUE อีกครั้งหนึ่ง จากเดิมซึ่งอยู่ที่ 4.10 บาท

" เรายังให้น้ำหนักเท่าเดิม เพราะมองว่าข่าวที่ออกมาอาจจะส่งผลลบต่อบรรยากาศการลงทุนหุ้นกลุ่มสื่อสารอยู่พักใหญ่ แต่พื้นฐานก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง และไม่เชื่อว่าผลการเจรจาหาทางออกจะจบที่ต้องปิดบริษัท ดังนั้น รออีกสักพักบรรยากาศการลงทุนก็จะเข้าสู่ระดับปกติ" นักวิเคราะห์ กล่าว

ด้านนักวิเคราะห์จาก บล.กรุงศรีอยุธยา จำกัด กล่าวว่า แนวโน้มการลงทุนในระยะสั้นสำหรับกลุ่มสื่อสาร แนะนำ "ลดน้ำหนักการลงทุน" เนื่องจากข่าวยังไม่ชัดเจนทำให้ส่งผลลบต่อราคาหุ้น ซึ่งล่าสุดทางคณะรัฐมนตรีได้ให้กระทรวง ICT ตั้งคณะทำงานขึ้นมาเพื่อเจรจาเรื่องดังกล่าวระหว่างเอกชนและ TOT เพื่อหาทางออกภายใน 15 วัน

ส่วนในระยะยาวยังให้น้ำหนักการลงทุน "เท่ากับตลาด" เพียงแต่ช่วงนี้ต้องรอความชัดเจนก่อนทั้งนี้แนะนำให้หาจังหวะซื้อ ADVANC และ DTAC ในช่วงที่ราคาปรับตัวลดลงแรง มีราคาเป้าหมายที่ 115 บาท และ 48.50 บาท ตามลำดับ ส่วน TRUE ราคาเป้าหมาย 6.30 บาท

ขณะที่บทวิเคราะห์บล.กรุงศรีอยุธยา ระบุว่า แนะนำขายหุ้น TRUE เพราะในระยะสั้นมีปัจจัยเสี่ยงจาก 1) ประเด็นการตรวจสอบจากกระทรวง ICT ถึงประเด็นความไม่โปร่งใสในการเซ็นสัญญาของ TRUE และ กสท เกี่ยวกับกรณีซื้อ HUTCH ซึ่งจะมีการเรียกทางบอร์ดของทางกสท เข้ามาชี้แจงในวันที่ 2 ก.พ. นี้ 2) กรณีการเรียกร้องค่าเสียหายจากภาครัฐกรณีการแก้ไขสัญญาสัมปทานในอดีต ซึ่งทางกระทรวง ICT มีการเลื่อนพิจารณาออกไปอีก 15 วัน ซึ่งเป็นประเด็นที่เราต้องติดตามต่อไป

ขณะที่มูลค่าพื้นฐานของ TRUE หลังจากซื้อ HUTCH ปรับเพิ่มจากเดิมที่ 3.50 บาท เป็น 6.30 บาท โดยวิธี DCF ที่ส่วนลด 13% (ในขณะที่รายละเอียดในสัญญาแตกต่างจากประมาณการเดิมของเราเล็กน้อย ในเรืองอายุสัญญาที่ Real Move เซ็นกับ CAT เป็น 15 ปี เดิมเราคาดที่ 14.5 ปี ส่วนอัตราการทำกำไรในธุรกิจใหม่บริษัทยังคงไม่ได้ให้รายละเอียดที่ชัดเจน ซึ่งเดิมเราอิงสมมติฐานส่วนแบ่งรายได้ที่ HUTCH เคยจ่ายให้ CAT ที่ 20%

ในขณะที่การเซ็นสัญญาใหม่กับทาง CAT ไม่ได้อยู่ในรูปแบบของสัญญาสัมปทาน แต่อยู่ในรูปของผู้ค้าส่ง ซึ่งมูลค่าพื้นฐานมีโอกาสเปลี่ยนแปลงหากต้นทุนต่างจากสมมติฐานของเรา) ในทางพื้นฐานเรายังคงแนะนำ ”ขาย” โดยมองว่าราคาหุ้นได้ตอบรับข่าวเชิงบวกจากประเด็นดังกล่าวไปแล้ว หากนับรวมมูลค่าส่วนเพิ่มจาก HUTCH ราคายังคงเกินมูลค่าพื้นฐานของเรา

-----------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย

FSS : SET เริ่มดีดขึ้นให้ได้หาจังหวะทำกำไรแล้ว โดยเฉพาะแถว 1000 จุด...
แนวโน้ม: ในช่วงท้ายสัปดาห์นี้จะเป็นช่วงที่ตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียส่วนใหญ่ปิดทำการ เนื่องในเทศกาลตรุษจีน ทำให้ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสที่จะแกว่งบวกขึ้นต่อได้ เพราะอิงกับตลาดหุ้นสหรัฐและยุโรป ซึ่งช่วงหลังทั้งผลประกอบการของบริษัทเอกชน และตัวเลขเศรษฐกิจยังออกมาดีต่อเนื่อง ขณะที่ยอดซื้อขายของทั้งนักลงทุนต่างประเทศและสถาบันในประเทศที่เริ่มกลับมามียอดซื้อสุทธิสลับให้เห็นเป็นระยะๆ ซึ่งคาดว่ามาจากการเลือกหุ้นเข้าซื้อเป็นรายตัว ทั้งจากการที่ราคาปรับตัวลงมาแรง และการคาดการณ์ผลการดำเนินงานที่ดีช่วยสนับสนุน โดยมีเป้าหมายของรอบรีบาวด์ที่บริเวณ 1000 จุดหรือใกล้เคียง อย่างไรก็ตามความกังวลเรื่องเงินเฟ้อในภูมิภาคที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข น่าจะยังเป็นแรงกดดันต่อSET ในช่วงถัดไปได้ ดังนั้นตลาดขยับขึ้นจึงควรมองหาจังหวะทำกำไรด้วย

กลยุทธ์: ตลาดเริ่มรีบาวด์กลับขึ้นมาให้หาจังหวะทำกำไรแล้ว โดยเฉพาะถ้าดัชนีขยับเข้าใกล้ 1000 จุดหรือสูงกว่า และควรเริ่มชะลอการเข้าซื้อเมื่อตลาดบวก

ประเด็นสำคัญวันนี้

• (+) Risk Appetite กลับเข้าในตลาดใหม่...น้ำมัน+Soft commodity นำตลาด อารมณ์ที่กล้าซื้อสินทรัพย์เสี่ยงมีเพิ่มขึ้นเมื่อภาคเอกชนในสหรัฐฯ รายงานการจ้างงานเพิ่ม 1.87 แสนตำแหน่งในเดือน ม.ค. (สูงกว่าคาดที่ 1.45 แสนตำแหน่ง) แม้จะต่ำกว่าเดือน ธ.ค. ที่มีการปรับตัวเลขลงจากเดิม 2.97 แสนตำแหน่งเหลือ 2.47 แสนตำแหน่ง แต่การจ้างงานเฉลี่ย 2 เดือนนี้ที่ 2.17 แสนตำแหน่งก็ถือเป็น Sentiment ที่ดีและทำให้ตลาดคาดว่าการจ้างงานนอกภาคเกษตรที่จะประกาศคืนวันศุกร์น่าจะดีไปด้วย ส่งผลให้หุ้นขึ้น ราคาทองลง ส่วนสถานการณ์ในอียิปต์หนุนให้น้ำมันบวกต่อ นอกจากนี้ พายุไซโคลนที่รุนแรงในออสเตรเลียส่งผลให้ราคาน้ำตาล ถั่วเหลืองปรับขึ้น

• (-) เงินเฟ้อยังเป็นประเด็น จับตาการประชุม ECB วันนี้ว่าจะพูดถึงเงินเฟ้อ-ดอกเบี้ยอย่างไร เพราะระยะหลัง ECB เริ่มส่งสัญญาณการปรับขึ้นดอกเบี้ยอาจเกิดขึ้นเร็วกว่าที่ตลาดคาด และพรุ่งนี้ จับตาการประชุมธนาคารกลางอินโดนีเซียว่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ยหรือไม่หลังจากเงินเฟ้อเดือน ม.ค. พุ่งขึ้นเป็น 7.02% เพิ่มจากเดือนก่อนที่ 6.96% ขณะที่ดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 6.5%

• (+) PTL พื้นฐานไม่เปลี่ยน ยังแนะนำซื้อ ปัจจุบันราคา PET Film ยังอยู่ระดับเดียวกับช่วง 4Q10 ที่ประมาณ 4,000 ดอลลาร์/ตัน แม้ราคาวัตถุดิบ PX และ MEGเพิ่มขึ้น 200 ดอลลาร์/ตัน ทำให้ Margin แคบลงเล็กน้อยเป็น 2,400 ดอลลาร์/ตัน จากที่เคยสูงสุด 2,600 ดอลลาร์/ตัน แต่ก็ถือว่าอยู่ในระดับสูงกว่าปกติอยู่ที่300-400 ดอลลาร์/ตัน ที่สำคัญแนวโน้มราคา PX และ MEG ในช่วง 2Q11 จะอ่อนตัวจากกำลังผลิตใหม่เข้าสู่ตลาด รวมถึงโรงงาน MEG ในตะวันออกกลางที่หยุดซ่อมบำรุงจะกลับมาเดินเครื่องใหม่ อย่างไรก็ตาม เราปรับเป้าหมายลงเล็กน้อยเป็น65 บาทเพราะ Reference Target PE ของกลุ่มปิโตรที่ลดจาก 13 เป็น 12 เท่า

• (+) TTW กำไร 4Q10 ดีกว่าคาด และประกาศจ่ายเงินปันผลงวด 2H10 อีก 0.20บาท/หุ้น (Yield 3.2%) XD 11 ก.พ. จ่ายเงิน 21 มี.ค. TTW เป็นหุ้น Defensiveที่กำไรโตต่อเนื่องทุกปี เราคาดปีนี้โตต่ออีก 9.7% และให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลปีละ ~6% ราคาหุ้นพักฐานจนมี upside กว่า 10% จากเป้าหมาย 7 บาท จึงแนะนำซื้อ

• Fund Flow เบาบางเพราะช่วงหยุดตรุษจีน หลายตลาดหยุดทำการและยังไม่มีปัจจัยใหม่เข้าสู่ตลาด แต่ก็ซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยนำโดยหุ้นกลุ่มพลังงานแนวโน้มวันนี้ปริมาณการซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติน่าจะชะลอหรือเบาบางต่อเนื่องเพราะหลายตลาดหยุดทำการโดยเฉพาะตลาดที่เป็นศูนย์กลางทางการเงินอย่างสิงคโปร์และฮ่องกง สำหรับค่าเงิบบาทเช้านี้แข็งค่าเล็กน้อยมาอยู่ที่30.81 บาท/ดอลลาร์ เรายังเน้นเก็งกำไรผลประกอบการในหุ้นกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี


ข่าวภายในประเทศ

KTB สวยไปหมดรับปันวายุภักษ์พันล. จับตาดันกำไร Q1 ปลิ้น-ราคาอัพไซด์ 34% จับตา “กรุงไทย” (KTB) เตรียมรับเงินปันผลจากวายุภักษ์ในไตรมาส 1/2553 นี้กว่าพันล้านบาท คาดดันกำไรสุทธิพุงกางต่อจากปี’52 เตือนนักลงทุนอย่าลืมได้ปล่อยสินเชื่อให้กลุ่มบิ๊กซีในปีนี้อีก ขณะที่ราคาหุ้นปรับลงมาค่อนข้างมาก ส่งผลอัพไซด์กว่า 33.77% พ่วงด้วยเงินปันผล คิดเป็นผลตอบแทน 3.31% ราคาเป้าหมาย 20.20 บาท (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 3-02-2011)

CPF ลุ้นยีลด์กว่า 5% เชียร์ซื้อเป้า 26 บาท CPF ลุ้นปี'53 กำไรแตะ 13,819 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36% จากปีก่อน คาดจ่ายปันผลครึ่งปีหลัง คิดเป็นดิวิเดนด์ ยีลด์มากกว่า 5% หรือกว่า 0.55 บาท สำหรับปี'54 ต่างประเทศหนุน โบรกฯเชียร์ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 26 บาท (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 3-02-2011)

TTW กำไรปีนี้จี๊ดโตตัวเลข 2 หลักราคาขายน้ำพุ่ง TTW ฟันธงปีนี้กำไรโตเลข 2 หลัก จากปีก่อนทำได้ราว 2.06 พันล้านบาท เหตุภาระดอกเบี้ยจ่ายลดลง-ราคาขายน้ำประปาสูงขึ้นตามเงินเฟ้อพุ่ง ส่วนรายได้ปีนี้คาดโต 7% สรุปลงทุนธุรกิจพลังงานทางเลือกครึ่งปีแรก เล็งปรับแผนลงทุนต่างประเทศ เน้นเข้าซื้อกิจการ (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 3-02-2011)

TTA หุ้นต่ำบุ๊ค100% พ้นตรุษจีนวิ่งระเบิด ซื้อ TTA วันนี้ยังไม่ตกเรือปันผล 26 สตางค์ ยืดเวลา XD เดือนหน้า วงการเงินชี้ดักซื้อได้แล้ว ก่อนหุ้นปรี๊ดขาขึ้นตาม BDI หลังพ้นตรุษจีน ราคาไม่แพงแถมต่ำกว่าบุ๊คแวลู 36 บาท ถึง 100% กำไรไตรมาสแรกทะลุ 170 ล้านบาท ได้ UMS รับอานิสงส์ราคาถ่านหินพุ่ง (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 3-02-2011)

DCC เนื้อหอมกองทุนนอกรุมจีบ เดินสายโรดโชว์ฮ่องกง-สิงคโปร์ DCC เนื้อหอมกองทุนต่างชาติกว่า 17 รายสนใจเข้าลงทุน เตรียมเดินสายโรดโชว์ "ฮ่องกง-สิงคโปร์" ปลายเดือนก.พ. และต้นเดือนมี.ค.นี้ คาดยอดขายไตรมาส 1/54 ไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านบาท การันตีรายได้ทั้งปีโต 10% จากปีก่อนที่ทำได้ 6,500 ล้านบาท รักษาอัตรากำไรขั้นต้นที่ 44-45% มีแผนเพิ่มกำลังการผลิตอีก 2 เตา ใช้เงิน 280 ล้านบาท ผุดเพิ่ม 15 แห่ง (ที่มา:นสพ.ข่าวหุ้น 3-02-2011)

-----------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ตปท.

ตลาดหุ้นสหรัฐชะลอตัวลงเล็กน้อย ก่อนจะมาปิดเป็นบวกเพียง 1.81 จุด แม้ว่าการจ้างงานภาคเอกชนจะเพิ่มขึ้นมากกว่าคาดในเดือน ม.ค. โดยนักลงทุนยังจับตาดูการประท้วงในอียิปต์ หลังความรุนแรงกลับมาปะทุขึ้นอีกครั้ง

แต่ดัชนี VIX ยังคงลดระดับลงอย่างต่อเนื่องอีก 1.87% มาอยู่ที่ระดับ 17.30

ขณะที่ตลาดหุ้นยุโรปปิดด้วยการมีทั้งบวกและลบ อย่างไร้ทิศทาง หลังผลประกอบการของบริษัทวิศวกรรมของสวีเดนออกมาไม่ดีนัก ตลาดหุ้นในเอเชียเช้านี้ ส่วนใหญ่ปิดทำการ

ค่าเงินบาทแข็งค่าค่อนข้างเร็วในระหว่างวันเมื่อวานนี้ แต่ช่วงท้ายเริ่มกลับอ่อนค่าอีกครั้ง โดยกลับมาแกว่งแคบๆ ในกรอบ 30.8-30.9 บ./ดอลลาร์เหมือนเดิม

ราคาน้ำมันดิบในตลาด NYMEX ปิดที่ 90.86 ดอลลาร์/บาร์เรล ดีดกลับขึ้นเพียง 0.09 ดอลลาร์ โดยได้รับแรงหนุนจากเหตุการณ์ความไม่สงบในอียิปต์ แต่มีปัจจัยกดดันจากการเพิ่มขึ้นของสต็อกน้ำมันดิบรายสัปดาห์ของสหรัฐ

ราคาทองคำล่วงหน้าในตลาด COMEX ปิดที่ 1332.10ดอลลาร์/ออนซ์ ปรับตัวลง 8.20 ดอลลาร์ เนื่องจากนักลงทุนเริ่มหันไปซื้อสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น

ข่าวต่างประเทศ

สหรัฐอเมริกา: ADP เผยภาคเอกชนในสหรัฐเพิ่มการจ้างงาน 187,000 ตำแหน่งในเดือนม.ค. ADP Employer Services ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยด้านตลาดแรงงานในสหรัฐเปิดเผยว่า ภาคเอกชนทั่วประเทศสหรัฐมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 187,000 ตำแหน่งในเดือนม.ค. มากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 145,000 ตำแหน่ง หลังจากที่ภาคเอกชนได้เพิ่มการจ้างงาน 247,000 ตำแหน่งในเดือนธ.ค.ปี 2553 การเปิดเผยตัวเลขจ้างงานของ ADP มีขึ้นก่อนที่กระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร (nonfarm payroll) ประจำเดือนม.ค.ในวันศุกร์นี้โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าตัวเลขจ้างงานจะเพิ่มขึ้น 145,000 ตำแหน่งในเดือนม.ค. และคาดว่าอัตราว่างงานจะอยู่ที่ 9.5% ในเดือนม.ค. เพิ่มขึ้นจาก9.4% ในเดือนธ.ค. (ที่มา: อินโฟเควสท์ 3-02-2011) สหรัฐอเมริกา: สหรัฐเผยสต็อกน้ำมันดิบสัปดาห์ที่แล้วเพิ่มขึ้น 2.6 ล้านบาร์เรล สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของสหรัฐ (อีไอเอ)เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบในรอบสัปดาห์ที่แล้วเพิ่มขึ้น 2.6 ล้านบาร์เรล แตะที่ 343.2 ล้านบาร์เรล แต่ยังน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 2.8 ล้านดอลลาร์ สต็อกน้ำมันกลั่นลดลง 1.6 ล้านบาร์เรล แตะที่ 164.1 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะปรับตัวลดลงเพียง 1.2ล้านบาร์เรล และสต็อกน้ำมันเบนซินพุ่งขึ้น 6.2 ล้านบาร์เรล แตะที่ 236.2 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 2.8 ล้านบาร์เรล ส่วนอัตราการใช้กำล้งการกลั่นน้ำมันพุ่งขึ้น 2.7% แตะที่ 84.5 % สวนทางกับที่คาดว่าจะลดลง 0.2% (ที่มา: อินโฟเควสท์ 3-02-2011)

สหรัฐอเมริกา: เหตุประท้วงรุนแรงในอียิปต์ หนุนน้ำมันดิบปิดบวก สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (2 ก.พ.) เนื่องจากนักลงทุนเข้าซื้อสัญญาน้ำมันดิบหลังจากเหตุการณ์ประท้วงที่อียิปต์เริ่มทวีความรุนแรงขึ้น นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากรายงานของ ADP EmployerServices ที่ระบุว่า ภาคเอกชนเพิ่มการจ้างงานมากเกินคาดในเดือนม.ค. สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนมี.ค.เพิ่มขึ้น 9 เซนต์ หรือ 0.1% ปิดที่ 90.86 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 90.10 - 91.78 ดอลลาร์ (ที่มา: อินโฟเควสท์ 3-02-2011)

สหรัฐอเมริกา: แรงขายฉุดทองคำปิดร่วง 8.20 ดอลล์ สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (2 ก.พ.) เนื่องจากข้อมูลที่บ่งชี้ถึงความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจในหลายประเทศ รวมถึงตัวเลขจ้างงานของภาคเอกชนในสหรัฐ ส่งผลให้นักลงทุนเทขายครองทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย นอกจากนี้ การแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ยังเป็นอีกปัจจัยที่ฉุดสัญญาทองคำร่วงลงด้วย สัญญาทองคำตลาด COMEX (CommodityExchange) ส่งมอบเดือนเม.ย.ร่วงลง 8.20 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,332.10 ดอลลาร์/ออนซ์ หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 1,327.30 - 1,345.60 ดอลลาร์(ที่มา: อินโฟเควสท์ 3-02-2011)

จีน: จีนเผยการค้ากับประเทศเศรษฐกิจใหม่ขยายตัวอย่างแข็งแกร่งในปี 2553 กระทรวงพาณิชย์จีนเปิดเผยว่า การค้าระหว่างจีนกับประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ขยายตัวอย่างแข็งแกร่งในปีที่แล้ว โดยมูลค่าการค้ากับประเทศสมาชิกอาเซียนทะยาน 37.5% เมื่อเทียบรายปีในปี 2553 ขณะที่มูลค่าการค้ากับบราซิลทะยาน 47.5% เมื่อเทียบรายปี กับรัสเซียขยายตัว 43.1% กับแอฟริกาใต้พุ่ง 59.5% และกับอินเดียโต 42.4% (ที่มา: อินโฟเควสท์ 2-02-2011)

-----------------------------------------------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น