Code 352 : ดัชนีแผ่วปลาย!!พันจุดผ่านยาก

วันจันทร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ 2554

ATT Code : ดัชนีแผ่วปลาย!!พันจุดผ่านยาก
E-Finance Thai : หุ้นไทยสัปดาห์หน้ายังผันผวนหนัก คาดยังไม่ผ่านแนวต้านยักษ์ 1000 จุด เหตุถูกกดดันจากปัญหาการเมืองในประเทศและปัญหาข้อพิพาทบริเวณแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ขณะที่การเมืองอียิปต์ยังรุนแรง นักลงทุนต่างชาติส่อขายทำกำไรโยกเงินกลับไปลงทุนในสหรัฐฯ โบรกเกอร์ให้กรอบแนวรับ-ต้านที่ระดับ 950-1000 จุด

-----------------------------------------------------------------------------
MARKET WAVE Analysis

Intraday - ลง 955 - 960
รอปรับตัวลง 955 - 960 ภาพสองสามวันข้างหน้า แต่โดยรวมยังแกว่งตัวในกรอบ 950 - 995 (จากเดิมที่คาด 950 - 987)
อีกนานหลายวันถึงเป็นสัปดาห์ ต่ำกว่า 950 ลงต่อ 865 - 885 ระยะเดือน

-------------------------------------------------------------
เงาหุ้น - ยังเปราะบาง!!
ดัชนีหุ้นวันที่ 4 ก.พ.54 ปิดที่ 984.78 จุด เพิ่มขึ้น 4.18 จุด หลังระหว่างวันขึ้นไปสูงสุดที่ 995.28 จุด บวก 14.68 จุด ขณะที่มีมูลค่าการซื้อขาย 32,716.36 ล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิ 279.10 ล้านบาท

ฝ่ายวิเคราะห์ บล.คันทรี่ กรุ๊ป มองสถานการณ์ความตึงเครียดชายแดนไทย-เขมร จะกระทบต่อตลาดหุ้นด้านจิตวิทยาในระยะสั้นเท่านั้นเนื่องจากตลาดหุ้นไทยยังอยู่ในทิศทางขาขึ้นแนวโน้มตลาดสัปดาห์หน้า ต้องติดตามความคืบหน้าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในหลายๆประเทศ รวมถึงประเทศไทย รวมทั้งความเคลื่อนไหวของปัญหาการเมืองในอียิปต์ และการประกาศผลประกอบการของบริษัทจด ทะเบียนด้านเทคนิค ประเมินแนวรับไว้ที่ 980 จุด และแนวต้านที่ 995 จุด

ปิดท้ายมีข่าว งานสัมมนา "Update เศรษฐกิจโลก...ผลกระทบหุ้นไทย" โดย "วิน อุดมรัชตวนิชย์" รองกรรมการผู้จัดการ บลจ.แอสเทซ พลัส ฟันธงว่าตลาดหุ้นดาวเด่นที่น่าสนใจลงทุนมากที่สุดปีนี้คือตลาดหุ้นอเมริกา มี 2 ปัจจัยหนุน คือ เศรษฐกิจสหรัฐฯฟื้นตัวและมูลค่าหุ้นใหญ่ (บิ๊กแคป) ของสหรัฐฯ เช่น ไมโครซอฟท์, กูเกิ้ลราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง รวมทั้งหุ้นซิตี้แบงก์และเจพีมอร์แกน ราคาต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี (บุ๊กแวลู) 0.6 เท่า เทียบกับธนาคารพาณิชย์ไทย เช่น KBANK และ SCB ราคาเกินกว่าบุ๊ก 2 เท่า หรือแม้แต่ธนาคารในฮ่องกง ราคาสูงกว่าบุ๊ก 2-3 เท่า

"วิน" ยังระบุว่า ปี 52-53 สภาพคล่องส่วนเกินของโลกได้ไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเอเชียมาก จนทำให้ราคาหุ้นดูแพงเกินไป ทำให้ปีนี้เงินน่าจะไหลกลับเข้าไปลงทุนในประเทศพัฒนาแล้ว

ส่วนหุ้นไทยยังมีความน่าสนใจ แต่เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นจีนและเกาหลีใต้แล้วความน่าสนใจน้อยกว่าส่วน "ไพบูลย์ นลินทรางกูร" ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบล.ทิสโก้ ระบุว่า ปีนี้ตลาดประเทศพัฒนาแล้วน่าลงทุน ส่วนเอเชียแม้ว่าจะเป็นดาวเด่นของการลงทุนปี 53 แต่ไม่ใช่ปี 54 เนื่องจากครึ่งแรกของปีนี้ กลุ่มประเทศเอเชียต้องขึ้นดอกเบี้ยเพื่อดูแลเงินเฟ้อ ทำให้ตลาดหุ้นอาจดูไม่ดีนัก.
อินเด็กซ์ 51

-------------------------------------------------------------
E-Finance Thai : ดัชนีแผ่วปลาย!!พันจุดผ่านยาก
หุ้นไทยสัปดาห์หน้ายังผันผวนหนัก คาดยังไม่ผ่านแนวต้านยักษ์ 1000 จุด เหตุถูกกดดันจากปัญหาการเมืองในประเทศและปัญหาข้อพิพาทบริเวณแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ขณะที่การเมืองอียิปต์ยังรุนแรง นักลงทุนต่างชาติส่อขายทำกำไรโยกเงินกลับไปลงทุนในสหรัฐฯ โบรกเกอร์ให้กรอบแนวรับ-ต้านที่ระดับ 950-1000 จุด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลอดทั้งสัปดาห์นี้ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องแตะจุดสูงสุดที่ 995.28 จุด ก่อนอ่อนตัวลงมาปิดที่ระดับ 984.78 จุด ซึ่งถือว่ากลับมายืนเหนือระดับแนวรับที่สำคัญได้อีกครั้ง อย่างไรก็ตามจากการตรวจสอบความเห็นของโบรกเกอร์พบว่าภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทยสัปดาห์หน้ายังคงผันผวนและคงไม่ผ่านแนวต้านยักษ์ที่ 1000 จุด เนื่องจากยังมีความเสี่ยงจากแรงขายทำกำไรของนักลงทุนต่างชาติ เพื่อโยกเงินเข้าไปลงทุนในสหรัฐฯหลังจากที่ในสัปดาห์นี้มีการประกาศข้อมูลตัวเลขเศรษฐกิจภายในประเทศออกมาค่อนข้างดี ซึ่งแสดงถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอเมริกา

นอกจากนี้ตลาดหุ้นไทยยังถูกกดดันจากปัญหาความรุนแรงจากการชุมนุมในอียิปต์ที่ถือเป็นปัจจัยสำคัญต่อการเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันในตลาด ขณะที่ล่าสุดเกิดการปะทะกันบริเวณชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา ซึ่งทำให้ปัญหาการเมืองและปัญหาระหว่างประเทศร้อนแรงขึ้นอีกครั้ง ซึ่งยังคงต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ โบรกเกอร์แนะนำว่าให้ทยอยขายให้ที่บริเวณแนวต้าน 1000-1003 จุด และให้แนวรับไว้ที่บริเวณ 950 จุด

***** โบรกฯคาดสัปดาห์หน้ายังไม่ผ่านแนวต้าน 1000 จุด
นางสาวธีรดา ชาญยิ่งยงค์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) กล่าวว่า แนวโน้มของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในสัปดาห์หน้า คาดว่ามีลักษณะแกว่งตัวผันผวนมากขึ้นกว่าสัปดาห์นี้ เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติกลับเข้ามาลงทุนมากขึ้น หลังจากชะลอการลงทุนในเทศกาลตรุษจีน ส่งผลให้ปริมาณการซื้อขายกลับมาคึกคักมากขึ้น โดยมองว่าสัปดาห์หน้าดัชนีฯมีโอกาสขึ้นไปทดสอบที่ระดับ 1000 จุด แต่ไม่สามารถยืนเหนือที่บริเวณ 1000 จุดได้ง่าย เนื่องจากยังมีปัจจัยหลายๆด้าน ที่ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของดัชนีฯ ทั้งปัจจัยต่างประเทศ เช่น สถานการณ์การเมืองในอียิปต์ ปัญหาหนี้สาธารณะในยุโรป และแนวโน้มการปรับขึ้นดอกเบี้ยในจีนเพื่อป้องกันปัญหาเงินเฟ้อในประเทศ ที่ยังไม่มีทางออกอย่างชัดเจน รวมถึงการเคลื่อนไหวทางการเมืองในประเทศของกลุ่มต่างๆ ซึ่งสอดคล้องกับมุมมองที่ทางฝ่ายวิเคราะห์ มองดัชนีฯอยู่ในแนวโน้มขาลง

โดยมองว่าปัจจัยข้างต้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ ยังเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของดัชนีฯอยู่ สำหรับกลยุทธ์ในการลงทุน แนะนำคงสัดส่วนของพอร์ตเก็งกำไระระยะสั้นไว้ไม่เกิน 30%และเพิ่มความระมัดระวังในการลงทุนมากขึ้น เนื่องจากดัชนีฯอยู่ในช่วงผันผวน โดยเลือกเก็งกำไรหุ้นในกลุ่มที่มีแนวโน้มประกาศผลประกอบการของ 2553 อยู่ในเกณฑ์ที่ดี รวมถึงหุ้นที่มีการจ่ายเงินปันผลในอัตราที่สูง ซึ่งมีความปลอดภัย อาทิ หุ้นในกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์ รวมถึง PTTAR และมองว่านักลงทุนสามารถเพิ่มพอร์ตการลงทุนได้เมื่อดัชนีฯยืนเหนือที่บริเวณ 1000 จุดได้อย่างแข็งแกร่ง ทั้งนี้ได้ประเมินแนวรับของดัชนีฯในสัปดาห์หน้าไว้ที่ 950 จุด และแนวต้านที่ 1020 จุด

นายเจริญ เอี่ยมพัฒนธรรม รองกรรมการผู้จัดการ บล.เคทีซีมิโก้ กล่าวว่า แนวโน้มดัชนีฯในสัปดาห์หน้าอาจมีความผันผวน ในทิศทางที่ปรับตัวขึ้นได้ ซึ่งการปรับขึ้นดังกล่าวยิ่งสะท้อนความเสี่ยงที่สูงขึ้น เป็นผลจากการที่ในสัปดาห์นี้เป็นช่วงวันหยุดยาวในเทศกาลตรุษจีนทำให้มีนักลงทุนบางส่วนพักการลงทุน โดยในช่วงเวลาเดียวกันนี้ดัชนีฯได้ปรับเพิ่มพอสมควร ดังนั้นเมื่อนักลงทุนกลุ่มดังกล่าวกลับเข้าสู่การลงทุนปกติ อาจพบว่าได้รับผลตอบแทนในระดับที่ตนเองพอใจ จึงอาจเลือกที่จะขายทำกำไรออกมา

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนไทยสามารถติดตามตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย ถึงแนวทางของดัชนีฯในตลาดหุ้นต่างๆก่อนนำมาประเมินทิศทางของตลาดหุ้นไทยได้ ขณะเดียวกันต้องมีความระมัดระวังในปัจจัยเสี่ยงในต่างประเทศ อาทิ สถานการณ์การชุมนุมในอียิปต์ ที่จะมีผลตอราคาน้ำมันในตลาดโลก, การรายงานตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐ ที่คาดว่าจะออกมาในเชิงบวก เป็นต้น

ส่วนประเด็นการเมืองภายในประเทศ มองว่า ไม่มีน้ำหนักต่อภาพรวมของตลาดหุ้นไทยมากนัก เนื่องจากที่ผ่านมา แม้จะมีการชุมนุมเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ แต่ก็ไม่พบความรุนแรงจนสร้างความกังวล ทั้งนี้ ประเมินกรอบแนวต้านอยู่ที่ 1000 จุด และ 1016 จุด ด้านแนวรับอยู่ที่ 986 จุด และ 950 จุด ตามลำดับ

นายพงศ์ภัทร สิริพิพัฒน์ ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจและกลยุทธ์ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) กล่าวว่า แนวโน้มดัชนีตลาดหลักไทยในสัปดาห์หน้าคาดว่ามีโอกาสที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นโดยมีแนวต้านอยู่ที่ระดับ 1,003 จุด และที่แนวต้านที่1,020 จุด ถือเป็นระดับที่มีนัยสำคัญ มาจากอิทธิพลบวกตัวเลขเศรษฐกิจจากต่างประเทศและผลประกอบการไตรมาส 4/53ที่ทยอยประกาศออกมาอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ดีประเมินว่าที่ระดับแนวต้านดังกล่าวมีความเสี่ยงที่ดัชนีฯชะลอตัวลงโดยจากถูกกดัน หลังจากวันนี้(4 ก.พ.)เวลาประมาณ 15.00 น. เกิดเหตุยิงปะทะกันตามแนวชายแดนระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชาซึ่งมีผลทันทีต่อตลาดหุ้นให้ปรับตัวลดลง
ทั้งนี้ยังคงต้องติดตามหากกรณีปัญหาดังกล่าวยังคงรุนแรงและยืดเยื้อต่อไปถือเป็นประเด็นลบที่ส่งผลต่อตลาดหุ้น ประกอบกับต้องติดตามสถานการณ์การเมืองในประเทศ แม้ว่าในพรุ่งนี้ซึ่งครบกำหนดที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยมีโอกาสที่ยกระดับการชุมนุมจากปัจจุบันว่าจะมีความคืบหน้าต่อไปอย่างไร กลยุทธ์การลงทุนแนะนำขายหากดัชนีฯไม่ผ่านแนวต้าน ประเมินแนวรับที่ 974 ประเมินแนวต้านที่ 1,003 จุด และ 1,020 จุด ***** สมาคมนักวิเคราะห์ยังคงเป้าดัชนีปีนี้ที่ 1200 จุด

นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ เปิดเผยกับ eFinanceThai.com ว่า สมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ยังคงประมาณการเป้าหมายดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยในปี 2554 ไว้ในกรอบที่ 907-1,200 จุดเช่นเดิม พร้อมทั้งคาดว่าในสิ้นปีดัชนีจะยังคงสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นไปถึง 1,233 จุดได้ แม้ว่าขณะนี้สถานการณ์ของเงินทุนเคลื่อนย้ายและอัตราแลกเปลี่ยนมีความผันผวนอย่างสูง ซึ่งทั้ง 2 ปัจจัยดังกล่าวนับเป็นสิ่งที่นักลงทุนต้องจับตามองมากขึ้น เนื่องจากการเคลื่อนย้ายอย่างรวดเร็วจะมีผลต่อการลักษณะการลงทุนที่เข้ามาเพื่อเก็งกำไรมากขึ้น

'สิ่งที่เป็นห่วงหลักๆมี 2 เรื่อง คือ เงินเคลื่อนย้าย เพราะเราไม่รู้ว่าเขาจะโยกกลับเร็วแค่ไหน และสองเรื่องค่าเงินบาทที่เปลี่ยนแปลง ผันผวนมากขึ้น ซึ่งแม้ว่าอาจมีคนเข้ามาดูแล ไม่ให้เคลื่อนไหวเร็วนัก แต่เมื่อไหร่ที่เขาออก เราจะฉุดไว้ได้ยังไง เวลาเขาออกก็พากันออกไป คนแรกออก คนที่สองเห็นก็ออกตาม แล้วเราไปห้ามเขาออกได้หรือ แล้วเงินพวกนี้เข้าเร็วก็มีผลมาเก็งกำไรมากกว่า เพราะเขาไม่ได้เอาเงินเข้ามาพักไว้นานๆหรือเอาไว้ลงทุนยาว' นายสมบัติ กล่าว

ส่วนสถานการณ์ทางการเมืองภายในประเทศ แม้ว่าขณะนี้จะมีความชัดเจนในด้านการเลือกตั้งมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ยังไม่เป็นสิ่งที่ยืนยันว่าได้ภายหลังการเลือกตั้งแล้วจะเกิดสถานการณ์ในเชิงบวกหรือลบ จึงให้น้ำหนักในปัจจัยนี้ไม่มากนักเมื่อเทียบกับปัจจัยที่กล่าวข้างต้น ดังนั้น แนวโน้มการลงทุนในระยะนี้ควรคำนึงถึงปัจจัยพื้นฐานของหุ้นแต่ละตัวเป็นหลัก โดยส่วนหนึ่งให้ประเมินจากเงินปันผลที่บริษัทจดทะเบียนนั้นสามารถจ่ายได้สม่ำเสมอ และ ธุรกิจไม่มีความผันผวนหรืออ่อนไหวกับปัจจัยเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้มากนัก ***** กูรูมองหุ้นไทยปีนี้ผันผวนในกรอบแคบ

นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ทิสโก้ กล่าวถึงภาพรวมตลาดหุ้นไทยในปีนี้ว่า น่าจะเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ และในช่วงครึ่งปีแรกจะเห็นการไหลออกของเงินทุนจากตลาดเกิดใหม่มายังตลาดที่พัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐฯ และยุโรป เนื่องจากในปีที่ผ่านมาต่างชาติได้กำไรจากการลงทุนในตลาดเกิดใหม่รวมถึงตลาดหุ้นไทยค่อนข้างมาก ดังนั้นในช่วงครึ่งปีแรกต้องจับตาอัตราการไหลออกของเงินทุน อย่างไรก็ตามเชื่อว่าในช่วงครึ่งปีหลังมีโอกาสที่เงินทุนจากต่างชาติจะไหลกลับเข้ามาในไทยอีกครั้งหนึ่ง โดยประเมินดัชนีฯ ปีนี้อยู่ที่ 1180 จุด ส่วนแนวรับอยู่ที่ 900 จุด

ด้านนายสุชีล นารูลา กรรมการผู้จัดการ สายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปีนี้จะยัง Sideway ในกรอบแคบๆ โดยมีประเด็นที่ต้องจับตาคือ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเร็วมากน้อยแค่ไหน หากฟื้นตัวช้ามีโอกาสที่ Fundflow จะไหลเข้ามาอีก แต่จากการดูข้อมูลล่าสุดปัจจุบันพบว่าโอกาสที่สหรัฐฯ จะต่ออายุมาตรการ QE ออกไปในช่วงครึ่งปีหลังมีน้อยนั่นแสดงว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ เริ่มฟื้นตัว ก็มีโอกาสที่เงินทุนจากตลาดหุ้นไทยรวมถึงภูมิภาคเอเชียไหลกลับไปสหรัฐฯ อีกครั้งหนึ่ง แต่เชื่อว่าไม่น่าจะทำให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวมากนัก เนื่องจากกฎเกณฑ์ทางกฎหมายเกี่ยวกับสถาบันประกันเงินฝากจะบังคับใช้ในปีนี้ โดยคุ้มครองเงินฝากไม่เกิน 50 ล้านบาท ดังนั้นผู้ที่มีเงินฝากเกินกว่า 50 ล้านบาทควรมีการกระจายการลงทุนมายังตลาดหุ้นรวมถึงตราสารหนี้ด้วย

สำหรับหุ้นที่น่าสนใจในปีนี้ ว่า กลุ่มธุรกิจบริการน่าสนใจมากที่สุด เนื่องจากปีนี้ประเทศไทยอาจจะต้องเผชิญกับปัญหาเงินเฟ้อ และกลุ่มที่ได้รับผลกระทบน้อยที่สุดคือกลุ่มธุรกิจบริการ เช่น โรงพยาบาล สื่อสาร กลุ่มไอซีที และกลุ่มธนาคารพาณิชย์ โดยในส่วนของกลุ่มสื่อสาร การเติบโตของธุรกิจดาวเทียมถือว่าน่าสนใจและส่งผลกระทบต่อฟรีทีวี อาจจะถูกแย่งเกี่ยวกับอัตราค่าโฆษณา ส่วนกลุ่มธนาคารพาณิชย์จะได้รับผลดีจากดอกเบี้ยขาขึ้น รวมถึงราคาสินค้าเกษตรที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้แบงก์ที่ทำธุรกิจกับผู้ส่งออกสินค้าเกษตร รวมถึงสินค้าโภคภัณฑ์ต่าง ๆได้รับผลดีจากการปล่อยกู้ระยะสั้น

ดร.วิน อุดมรัชตวนิชย์ รองกรรมการผู้จัดการ และหัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บลจ.แอสเซทพลัส กล่าวว่า ภาวะตลาดหุ้นไทยปีนี้จะ Sideway ขาลง เนื่องจากต้นทุนของต่างชาติในการซื้อหุ้นไทยอยู่ที่ 800 จุด ดังนั้นในช่วงที่ดัชนีฯ ขึ้นมาถึง 1000 จุด ต่างชาติจึงขายทำกำไร และเชื่อว่าขายออกต่อเนื่องในปีนี้ โดยบริษัทฯ มองกรอบการเคลื่อนไหวที่ 950-1050 จุด

สำหรับหุ้นที่น่าสนใจในปีนี้มี 3 กลุ่มได้ กลุ่มพลังงาน กลุ่มปิโตรเคมีและกลุ่มธนาคารพาณิชย์ อย่างไรก็ตามการเลือกซื้อนั้นไม่ใช่ซื้อทั้งกลุ่มแต่จะต้องซื้อรายตัว เนื่องจากหุ้นรายตัวราคายังปรับขึ้นช้าเมื่อเทียบกับกลุ่มเดียวกัน

-----------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย
FSS : ตลาดอ่อนลงยังเลือกหุ้นรับ เพื่อรอลุ้นทำกำไรใกล้ๆ 1000 จุดอีกครั้งได้!
แนวโน้ม: ตลาดหุ้นไทยยังมีสิทธิที่จะแกว่งตัวผันผวนต่อเนื่องจากปลายสัปดาห์ที่แล้ว หลังเหตุการณ์บานปลายที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ยังไม่สงบ อย่างไรก็ตามจากการที่ทั้งนักลงทุนสถาบันไทยและนักลงทุนต่างประเทศเริ่มกลับมามียอดซื้อสุทธิสลับให้เห็นบ้างในช่วงหลังนี้ และการเปิดทำการของตลาดหุ้นในเอเชียหลังการหยุดยาวในช่วงสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งมีแนวโน้มที่จะขยับเป็นบวกได้ จากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่ออกมาค่อนข้างดี ช่วยหนุนความมั่นใจต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ รวมทั้งการกลับมาแข็งค่าของเงินบาทอีกครั้งแม้ว่าจะยังมีกรอบค่อนข้างแคบก็ตาม น่าจะช่วยผลักดันให้มีแรงซื้อใน SET ต่อเนื่องจากสัปดาห์ก่อนได้ ดังนั้นจังหวะตลาดปรับตัวลงยังสามารถเลือกหุ้นเข้าซื้อเพื่อลุ้นทำกำไรตอนรีบาวด์กลับขึ้นไปใหม่ได้


กลยุทธ์: เนื่องจากตลาดเริ่มอ่อนตัวลงมาให้หาจังหวะรับเพื่อเทรดดิ้งใหม่ได้โดยหุ้นน่าสนใจได้แก่ BGH, BH, PHATRA, BLS, SVI, PTTCH, PTTAR เป็นต้น

ประเด็นสำคัญวันนี้
• (0) ขายตามแนวต้าน (1,010 จุด) ต่างชาติมีโอกาสกลับมาขายหุ้นหลังตรุษจีนทั้งจากสถานการณ์อียิปต์ที่ยืดเยื้อ และการเมืองในประเทศของเราที่ พธม.ยกระดับกดดันรัฐบาลให้ลาออก 11 ก.พ. นี้ ขณะเดียวกันสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชายังไม่สงบ ยังมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ ขณะที่ประธานอาเซียนจะเดินทางมาไทย 8 ก.พ. เพื่อรับทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับประเด็นนี้

• (-) ดอลลาร์แข็งค่า...กดดันราคาสินค้าโภคภัณฑ์ช่วงสั้น ตลาดหวังว่าตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ ที่ต่ำกว่าคาด จะเป็นเหตุการณ์ชั่วคราวเพราะมีพายุหิมะในหลายพื้นที่ของประเทศ ในขณะที่อัตราการว่างงานลดลงจาก 9.4% เหลือ 9% กลายเป็น ประกอบกับประธาน ECB แสดงความกังวลกับเงินเฟ้อน้อยลง การคาดการณ์เรื่องการปรับขึ้นดอกเบี้ยจึงลดลง ส่งผลให้ดอลลาร์แข็งค่าขึ้น

(+) บจ.ทยอยประกาศผลประกอบการ สัปดาห์นี้บริษัทที่คาดว่าจะประกาศผลประกอบการมี DTAC, ADVANC, SMT ส่วน AJ คาดว่าจะเป็นสัปดาห์นี้เช่นกัน ทั้งADVANC และ DTAC คาดกำไรลดลง Q-Q แต่คาดว่า DTAC จะประกาศจ่ายเงินปันผล 2.20 บาท/หุ้น ส่วน AJ คาดว่าจะมีกำไรโตก้าวกระโดดโดยเฉพาะเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อน คาด +380-400% Y-Y และ +30-34% Q-Q

• (+) TVO ผู้บริหารยืนยันว่าบริษัทไม่ได้ทำความผิด และจะต่อสู้ให้ถึงที่สุด ล่าสุดยื่นจดหมายชี้แจงต่อกรมการค้าภายในแล้ว โดยชี้แจงว่าบริษัทขายน้ำมันบรรจุแท้งค์ (สำหรับโรงงานอุตสหากรรม) ให้กับบจ.สันติภาพอุตสหากรรม ซึ่งเป็นSupplier ให้กับโรงงานทำสี โดยไม่ทราบว่าบจ.สันติภาพอุตสหากรรมจะนำไปบรรจุใส่ถุงแล้วขายต่อให้ผู้บริโภค และที่สำคัญ ราคาขายของ TVO ที่ 48.55
บาท/ลิตร หรือ 53 บาท/กก. ถือเป็นราคาน้ำมันอุตสหากรรมที่สามารถขายได้เพราะไม่มีเพดานควบคุม เรายังคงแนะนำซื้อ เป้าหมาย 36 บาท

• (0) ปัจจัยติดตามสัปดาห์นี้ สัปดาห์นี้ไม่ค่อยมีตัวเลขเศรษฐกิจที่หนักหนามากนักโดยเฉพาะฝั่งสหรัฐฯ แต่ฝั่งเอเชีย มีรายงาน GDP 4Q10 ของอินโดนีเซียวันนี้(7 ก.พ.) ดุลการค้าเดือน ธ.ค. และ ม.ค. ของฟิลิปปินส์และจีน และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของไทยวันพฤหัส (10 ก.พ.)

• Fund Flow สัปดาห์ที่ผ่ามาซบเซา เนื่องจากหลายตลาดหยุดทำการเนื่องในวันตรุษจีน แนวโน้มสัปดาห์นี้กระแสเงินทุนต่างชาติจะมีปริมาณการซื้อขายมากขึ้นแต่ทิศทางยังไม่ชัดเจน เนื่องจากตัวเลขการจ้างงานสหรัฐดีขึ้น ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าเมื่อเทียบกับยูโร แต่อ่อนค่าเมื่อเทียบกับค่าเงินในภูมิภาคเอเชีย รวมถึงค่างเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นมาอยู่ที่ 30.80 บาท/ดอลลาร์ เทียบกับก่อนหน้านี้อ่อนค่าไปถึง 31 บาท/ดอลลาร์ แต่อย่างไรก็ตามเนื่องจากประเทศไทยมีควมเสี่ยงทางด้านการเมืองและความขัดแย้งไทยกับกัมพูชาที่อาจยึดเยื้อจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้นักลงทุนต่างชาติชะลอการลงทุนในตลาดหุ้นไทยช่วงนี้ก็เป็นได้


ข่าวภายในประเทศ
ICBC ดอดเจรจาคลัง: แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลังเผยว่าอยู่ในระหว่างการเจรจาขายหุ้น TMB ที่ถืออยู่ 26% ให้กับ ICBC โดยมีCIMB เป็นคู่แข่งสำคัญ ซึ่งทั้งคู่ต้องการขยายฐานทางธุรกิจ ทั้งนี้ก่อนหน้านี้ไอเอ็นจีกรุ๊ป ผู้ถือหุ้นใหญ่ของธนาคารทหารไทยก็ได้หารือกับคลัง เพื่อถอนตัวออกไปเนื่องจากที่ผ่านมาติดขัดปัญหาหลายด้าน ทั้งกฎเกณฑ์ของอียูที่ไม่อนุญาตให้ลงทุนเพิ่มในหุ้นกลุ่มสถาบันการเงิน รวมทั้งธนาคารทหารไทย ไม่ได้สนองตอบธุรกิจหลักของไอเอ็นจี ในกลุ่มประกันและ บลจ. ทั้งนี้ กระทรวงการคลังมีเป้าหมายในการขายหุ้นธนาคารทหารไทย แถวๆ ราคา 3.80 บาทซึ่งเป็นราคาต้นทุนของคลัง (ที่มา ข่าวหุ้น 7/2/2011) ความเห็น จากข่าวดังกล่าวอาจจุดพลุการเก็งกำไรในหุ้น TMB แต่เราขอให้ระมัดระวังการลงทุนตามข่าวด้วยอย่างที่เราเสนอมาก่อนหน้านี้หลายครั้งแล้วว่าราคาซื้อขายควรเป็นราคายุติธรรมและไม่จำเป็นต้องเท่ากับราคาต้นทุนที่คลังถืออยู่ ดังนั้นหากต้องการเก็งกำไรจากประเด็น M&A เราประเมินราคาซื้อขายน่าจะอยู่ที่ราว 1.6-1.8 เท่าของมูลค่าทางบัญชี โดยหากอิงที่ Prospective 2011 BVSที่ 1.20 บาทจะอยู่ที่ราว 2-2.20 บาท ดังนั้นจากปิดราคาล่าสุดที่ 2.06 จะมี upside ให้เก็งกำไรอีกราว 6% แต่มีความไม่แน่นอนสูง เราจึงแนะนำให้ขาย หรือ switch ไป KTB จะดีกว่า

BTS อัพไซด์พุ่ง 30% รับ Q3 กำไร100 ล้าน ขายหุ้นกู้หมื่นล้านฉลุย ดอกเบี้ยลดวูบกว่า 200 ล้าน หุ้น BTS มองข้ามไม่ได้หลังปรับลงมากเกินไป พบอัพไซด์เหลือกว่า 30% จากราคาเป้าหมาย 0.97 บาท วงในแย้ม Q3/54 พลิกกำไร 100 ล้านบาท เหตุยอดผู้โดยสารพุ่งอีก 5% รายได้ธุรกิจโฆษณาเพิ่มขึ้นกว่า 8% ดอกเบี้ยจ่ายลดฮวบกว่า 200 ล้านบาท ล่าสุดเพิ่มเซ็นสัญญาบริหารพื้นที่กับโลตัส รับเนื้อๆ ปีละ 400 ล้านบาท (ที่มา:นสพ.ข่าวหุ้น 7-02-2011)

CK รายได้ปีนี้ทะลัก ดึง PTT ถือไซยะบุรี CK จ่อขายหุ้น “ไซยะบุรี” ให้ ปตท. จากเป้าหมายจะขายสัดส่วน 45% คาดเซ็นสัญญาก่อสร้างมูลค่า 7.6หมื่นล้านบาทภายใน Q1/54 ตั้งเป้ารายได้ปีนี้ 1.5 หมื่นล้านบาท โตเท่าตัวจากปี'53 ที่คาดทำได้ 8 พันล้านบาท มั่นใจปั๊มแบ็กล็อกปีนี้พุ่ง 1 แสนล้านบาท (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 7-02-2011)

TRT ลุ้นได้งาน1.6 พันล้าน Q1 ซื้อเป้า 8.30 บ. "ถิรไทย" ลุ้นไตรมาส 1/54 ได้ออเดอร์ใหม่ 1,600 ล้านบาท ดันแบ็กล็อกเพิ่มเป็น 2,600 ล้านบาท คาดรับรู้รายได้ในปีนี้และปีหน้า “สัมพันธ์” การันตีรายได้ปีนี้ไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านบาท โบรกฯ คาดปี'53 จ่ายปันผล 0.45 บาทต่อหุ้น ยีลด์สูง 7-8% ต่อปี แนะซื้อเป้าใหม่ 8.30 บาท (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 7-02-2011)

TOG กวาดลูกค้ากบข. ดันรายได้เพิ่ม 100 ล้าน TOG เดินหน้าเพิ่มสัดส่วนรายได้ในประเทศเป็น 10% จากปีก่อน 5% รุกขายเลนส์ให้สมาชิกกบข. 1.2 ล้านคนผ่านร้านหอแว่น “สว่าง” คาดขายได้ 1.2 แสนคู่ มูลค่ากว่า 100 ล้านบาท จากราคาเฉลี่ยประมาณ 1,000 บาทต่อคู่ สำหรับปีนี้ตั้งเป้ารายได้โต 15-20% (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 7-02-2011)

ERAWAN รับอานิสงส์ท่องเที่ยวฟื้นดันกำไรโบรกเชียร์ซื้อเป้า 3 บ. ERAWAN ปีนี้ฟื้นตัว พร้อมพลิกกลับมามีกำไร หลังนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาในไทยมากขึ้น คาดQ2/54 มีกำไรโดดเด่นดันทั้งปีกำไร 689 ล้านบาท โบรกฯเชียร์ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 3 บาท ส่วนไตรมาส 4/53 ฟื้นตัวขาดทุนเหลือ 20 ล้านบาท (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 7-02-2011)

-----------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ตปท.
ตลาดหุ้นสหรัฐยังคงปิดทำจุดสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง โดยปิดบวกอีก 29.89 จุด จากสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและผลประกอบการที่แข็งแกร่งช่วยหนุนความมั่นใจของนักลงทุน โดยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรในสหรัฐเพิ่มขึ้นไม่มากนัก แต่อัตราการว่างงานลดลงสู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน เม.ย.2009

ดัชนี VIX ยังลดลงอีก 4.55% มาอยู่ที่ระดับ 15.93 จากตัวเลขการว่างงานที่ลดลงเกินคาด

ตลาดหุ้นยุโรปขยับบวกตามตัวเลขเศรษฐกิจที่ดูดีของสหรัฐแต่ยังมีกรอบจำกัดหลังตัวเลขการจ้างงานยังไร้ทิศทาง

ค่าเงินบาทยังแกว่งทรงตัวแคบๆ ในระดับแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยในกรอบ 30.70-30.90 บ./ดอลลาร์

ราคาน้ำมันดิบในตลาด NYMEX ปิดที่ 89.03 ดอลลาร์/บาร์เรล ดิ่งลงอีก 1.51 ดอลลาร์ หลังมีข่าวลือว่า ปธน.ของอียิปต์อาจประกาศลาออก ทำให้แรงหนุนจากความกังวลเกี่ยวกับความรุนแรงในตะวันออกกลางหมดไป

ราคาทองคำล่วงหน้าในตลาด COMEX ปิดที่ 1349.00ดอลลาร์/ออนซ์ ปรับตัวลดลง 4.0 ดอลลาร์

ข่าวต่างประเทศ
สหรัฐอเมริกา: สหรัฐเผยตัวเลขจ้างงานเดือนม.ค.เพิ่ม 36,000 ตำแหน่ง, อัตราว่างงานร่วงแตะ 9% กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตร (nonfarm payrolls) ประจำเดือนมกราคม 2554 ปรับตัวเพิ่มขึ้นเพียง 36,000 ตำแหน่ง ขณะที่อัตราว่างงานปรับตัวลดลงสู่ระดับ 9% ตัวเลขจ้างงานเดือนมกราคมนับว่าน้อยที่สุดในรอบสี่เดือน โดยมีสาเหตุมาจากสภาพอากาศที่หนาวเย็น และต่ำกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นถึง 145,000 ตำแหน่ง หลังจากที่เพิ่มขึ้น 121,000 ตำแหน่งในเดือนธันวาคม (ที่มา: อินโฟเควสท์ 5-02-2011)

จีน: จีนรั้งสถานะผู้ผลิตทองคำรายใหญ่สุดของโลกในปี 53 ด้วยกำลังการผลิตสูงขึ้น 8.57% สมาคมทองคำของจีนเปิดเผยว่า จีนยังคงรักษาสถานะการเป็นผู้ผลิตทองคำรายใหญ่สุดของโลกเอาไว้ได้ในปี 2553 ด้วยกำลังการผลิตทองคำสูงถึง 340.88 ตัน พุ่งขึ้น 8.57% เมื่อเทียบเป็นรายปีโดยจีนเป็นผู้ผลิตทองคำรายใหญ่สุดของโลกนับตั้งแต่ปี 2550 (ที่มา: อินโฟเควสท์ 7-02-2011)

เอเชีย: ญี่ปุ่นเผยทุนสำรองเงินตราต่างประเทศเดือนม.ค.ลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3 กระทรวงการคลังญี่ปุ่นเปิดเผยในวันนี้ว่า ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของรัฐบาลญี่ปุ่นยืนอยู่ที่ระดับ 1.09298 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นเดือนม.ค. ลดลง 0.3% จากเดือนธ.ค.ปี 2553 ทำสถิติลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3 ซึ่งเป็นผลมาจากการปรับตัวลงของมูลค่าการถือครองพันธบัตรต่างประเทศของญี่ปุ่นและราคาทองคำ (ที่มา: อินโฟเควสท์ 7-02-2011)

-----------------------------------------------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น