Code 363 : 23/02/54 สัญญาณการปรับตัวลงเริ่มชัดขึ้น

วันพุธที่ 23 กุมภาพันธ์ 2554

ATT Code : สัญญาณการปรับตัวลงเริ่มชัดขึ้น


เมื่อเช้าวันอังคารที่ 22/02/54 SET มีแรงขายออกมาตอนเปิดตลาด ลบไปประมาณ 9 จุด มาเปิดที่ระดับ 984.58 จุด หลุดแนวรับที่ 985 จุด จากนั้นในช่วงบ่ายก็มีลงไปทำ Low ที่ 982.42 จุด ก่อนที่จะ Rebound ขึ้นมา 5 จุด ขึ้นมายืนเหนือแนวรับเส้น 5 วัน ที่ระดับ 985 ได้ ก่อนที่จะมาปิดที่ 987.21 จุด -8.46 จุด

แนวโน้มในวันพุธที่ 23/02/54 มีแนวรับที่เส้น 5 วัน อยู่ที่ระดับ 985 จุด และเส้น 10 วัน อยู่ที่ระดับ 981 จุด และแนวต้านที่เส้น 75 วัน อยู่ที่ระดับ 990 จุด

มี Indicator แค่ MACD ตัวเดียว ที่ยังตรงตัวดีอยู่ได้
แต่มี Indicators 6 ตัว พลิกกลับมามีสัญญาณลบ โดยคือ OBV, CCI, ADX, Williams %R และ Fast Sto

1. (+) MACD ยังคงตัดเส้น Signal ขึ้นมาอยู่....
มีสัญญาณที่ดีอยู่
2. (-) OBV ลดลงจาก 581 ขึ้นไปที่ 553....
แสดงให้เห็นว่ายังมีแรงซื้อสะสมลดลง -28
3. (-) CCI ยังคงเพิ่มขึ้น จาก +111 ขึ้นไปที่ +62 ลดลงมา -48 ...ตัด 100 ลงมาแล้ว ให้ระมัดระวังแรงขาย
4. (-) เส้น ADX : DI+(30.51) ตัดเส้น DI-(33) ลงมาแล้ว...
มีสัญญาณขายเกิดขึ้นแล้ว
5. (-) Williams %R ขึ้นมาจาก -8.19 ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ -21.44.... %R ตัดเส้น -10 ลงมาแล้ว...
มีสัญญาณขายเกิดขึ้นแล้ว
6. (-) RSI ขึ้นมาจาก53.72% มาอยู่ที่ 50.17%... มีค่าลดลง SET เกิดสัญญาณลบ
7. (+/-) Fast Sto : %K ตัด %D อยู่เหมือนเดิม แต่ %K เริ่มลงมาอีก จาก 91.81 ลงมาที่ 78.56 (-14)...
สัญญาณไม่ค่อยดีนัก

-----------------------------------------------------------------------------
MARKET WAVE Analysis
23 กพ. 54 ( -8.46 จุด ) โกมล พงศ์วิญญู เลขทะเบียน 18338

เกิน 989.82 ปรับตัวขึ้น 997 - 1000 จุด
แนวโน้มในวันพุธนี้ถ้าปรับตัวขึ้น เกิน989.82 จุดสูงสุดของวันอังคาร และ เกินแนวต้านตามธรรมชาติของเส้นค่าเฉลี่ย 25 ชั่วโมงได้
ดัชนีสามารถปรับตัวกลับขึ้นไปแถว 997 – 1000ใกล้จุดสูงสุดเดิมของวันจันทร์ อีกครั้งและการปรับตัวขึ้น เกิน 1000.90จุดสูงสุดของวันจันทร์

และแนวต้านตามธรรมชาติของเส้นค่าเฉลี่ย 25 สัปดาห์ ภาพหนึ่งถึงสองสัปดาห์ข้างหน้า ดัชนีสามารถปรับตัวขึ้นต่อบริเวณ 1050 – 55 ใกล้จุดสูงสุดเดิมของปีนี้

อย่างไรก็ตาม คาดว่า ตลาดยังไม่น่าปรับตัวขึ้นผ่านจุดสูงสุดเดิมของปีนี้ 1056.44 ไปได้ง่ายนัก และ ยังคงมีความเสี่ยงที่จะปรับตัว
กลับลงมาบริเวณ 940 – 960 จุด อีกครั้งในเดือนมีค.

หุ้นเด่น
KBANK
ปรับตัวขึ้นมาแถวเส้นค่าเฉลี่ย 25 วันอีกครั้งรอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 114.50 จุดสูงสุดวันอังคาร และเส้นค่าเฉลี่ยดังกล่าว เป้าหมายสองสามวัน 118.50 – 120.00( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 112.00 )

IVL
ยังสามารถปรับตัวอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ย 25 วันได้ รอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 44.50 จุดสูงสุดวันอังคาร เป้าหมายสองสามวัน 47.00 –48.25( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 42.75 )

10 อันดับซื้อขายสูงสุด
CPF ต่ำกว่า 23.20 ลง 22.70 – 22.80
IVL รายละเดียดใน “หุ้นเด่น”
PTTEP แกว่งตัว 173 – 177
PTTCH แกว่งตัว 150 - 154
PTT ขึ้น 335 - 336
SCB เกิน 104 ขึ้น 111 - 114
BANPU ไม่ต่ำกว่า 754 ขึ้น 766 - 770
BBL เกิน 157 ขึ้น 160 – 161.50
KBANK รายละเดียดใน “หุ้นเด่น”
JAS ต่ำกว่า 1.87 ลง 1.78 – 1.83

-----------------------------------------------------------------------------
เย็นนี้ BANPU ประกาศผลประกอบการ พรุ่งนี้มี PTTCH, PTTAR ส่วน PTT วันที่ 25 ก.พ.

CPALL (BUY) - กำไร 4Q10 ดีกว่าคาด ทั้งปี โต 33% และจ่ายปันผลเท่ากับคาด
 กำไรสุทธิ 4Q10 ดีกว่าเราและ Consensus คาด จากสัดส่วนค่าใช้จ่ายต่อยอดขายที่น้อยกว่าคาด โดยเป็นกำไรที่ชะลอตัวปกติ 7% Q-Q แต่ถือเป็นระดับกำไรที่ดีมาก +41% Y-Y และจากกำไรที่ดีตลอด 4 ไตรมาส ทำให้กำไรทั้งปี 2010 เติบโตสูงถึง 34% โดยมีจำนวนสาขาใหม่เพิ่มขึ้น 520 สาขา และคาดกำไรปี 2011 จะโตต่อเนื่องอีก 16% จากการบริโภคภายในประเทศที่เพิ่มขึ้น การขยายสาขาต่อเนื่อง และเน้นเพิ่มสัดส่วนสินค้าอาหารที่มีอัตรากำไรสูง จึงคาดมีอัตรากำไรขั้นต้นสุงสุดในกลุ่มต่อไป ราคาเป้าหมายเท่ากับ 48 บาท (DCF) คิดเป็น PE 27 เท่า และ EV/EBITDA ที่ 16 เท่า แม้สูงกว่าค่าเฉลี่ยในกลุ่มค้าปลีกของไทย แต่มี ROE สูงที่สุดในกลุ่มที่ 38% และมี Upside 26% นอกเหนือจากอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลงวดปี 2010 ราว 3% (ไม่รวมปันผลพิเศษระหว่างกาล) จึงยังแนะนำ “ซื้อ”

-----------------------------------------------------------------------------
E Finance Thai : เวลาลุยหุ้น IVL

วงการเชียร์ IVL หลังกำไรปี 53 ดีเกินคาด โตถึง 119% โดยเฉพาะQ4/53ผลงานโต 190%ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ส่วนปีนี้มองผลงานโตไม่น้อยกว่า 32%ตามอุตสาหกรรม Petrochem ที่มีแนวโน้มสดใส แถมยังรับรู้รายได้จาก Invista ใน มี.ค. 54 และจะเริ่มรับรู้กำไรเต็มไตรมาสใน Q2/54เป็น Highlight การเติบโตของกำไรปีนี้ ขณะที่ Spread Margin ยังอยู่ในระดับสูงตามแนวโน้มของ Demand ที่เพิ่มขึ้น ด้านผู้บริหาร คาดยอดขายปีนี้โต 70% หลังราคาผลิตภัณฑ์อยู่ในแนวโน้มขาขึ้น โบรกฯแนะซื้อให้ราคาเป้าหมายตั้งแต่ 46-64บาท

เข้าสู่ฤดูการประกาศผลงานประจำปี 2553 ขณะที่บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน)(IVL) เป็นบริษัทที่มีผลงานเติบโตอย่างโดดเด่น โดยปี 2553 มีกำไรสุทธิ 10,560 ลบ. เพิ่มขึ้น 119% และผลประกอบการ Q4/53 มีกำไรสุทธิ 4,008 ลบ. เพิ่มขึ้น 190%เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากทั้งปริมาณการขายและราคาขายสินค้าที่เพิ่มขึ้นและดีกว่าที่โบรกฯคาดการณ์
เนื่องจากบริษัทร่วมทุนในอิตาลีกลับมามีกำไรหลังปรับปรุงเครื่องจักรใหม่ ทั้งนี้ผลประกอบการทั้งปี 2553 ที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่เป็นผลจากการปรับขึ้นของราคาขายสินค้า โดยเฉพาะ PTA ที่ปรับขึ้นกว่า 17% และปริมาณการการขายรวมก็เพิ่มขึ้น 5% จากโรงงานอัลฟ่าเพ็ทเดินเครื่องเต็มกำลังผลิต ที่สำคัญผลประกอบการ Q4/53 ที่มีกำไรเพิ่มขึ้นมากเพราะราคาขาย PTA เฉลี่ยปรับขึ้น 21%Q-Q และปริมาณการขายรวมเพิ่มขึ้น 2%Q-Q การปรับขึ้นของราคาสินค้า แต่ตันทุนวัตถุดิบปรับขึ้นล่าช้ากว่าส่งผลให้บริษัทมีความสามารถในการทำกำไรเพิ่มขึ้นโดย กำไรขั้นตันหรือ Integrated spreads ของ PTA และ PET ในไตรมาสนี้สูงกว่ากำไรขั้นตันเฉลี่ยใน 8 ไตรมาสที่ผ่านมา
ขณะที่บอร์ดI VL มีมติจ่ายปันผลงวดวันที่ 1 ม.ค.-31 ธ.ค. 2553 เป็นเงินสดอัตรา 0.66บาท/หุ้น กำหนดจ่าย 24 พ.ค. 2554
ส่งผลให้ราคาหุ้น IVL วานนี้ (22 ก.พ.54) เป็นหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นสวนทิศทางตลาด และเป็นหุ้นที่ดันดัชนีฯ มากที่สุด แม้ช่วงเปิดการซื้อขาย ราคาจะปรับตัวลดลงโดยเปิดตลาดที่ 41.50 บาท ก่อนจะรีบาวน์ จนแตะระดับสูงสุดที่ 44.50 บาท และปิดที่ 44.25บาท เพิ่มขึ้น 2.00 บาทหรือ 4.73% มูลค่าการซื้อขาย 2090.86 ล้านบาท โดยราคาหุ้นที่ปรับเพิ่มขึ้นมีผลต่อตลาด 1.0941 จุด
ส่วนSET Index ปิดที่ 987.21จุด ลดลง 8.46จุดหรือ 0.85% มูลค่าการซื้อขาย 28,304.06ล้านบาท

***FSSแนะซื้อเก็งกำไรระยะสั้น ราคาเป้าหมาย 46 บาท หลังผลงานปี 53ดีกว่าคาด***

บล.ฟินันเซีย ไซรัส (FSS)คาดว่า แนวโน้มกำไรปี 2554 ดีต่อเนื่องจากทั้งกำลังผลิตที่เพิ่มขึ้นของโรงงานอัลฟ่าเพ็ทเต็มที่และเต็มปีเป็นปีแรก โรงงาน PTA และ PET ในอิตาลีจากขาดทุนกลับมาเป็นกำไรไตรมาสละประมาณ 1,000 ลบ. นอกจากนี้หากผลการซื้อกิจการจีน อเมริกา เม็กซิโก อินโดนีเชียและโปแลนด์เสร็จภายใน 1H11 จะทำให้กำลังผลิตติดตั้งของทั้งหมดอีก 2.1 ล้านตัน จากปัจจุบัน 3.6 ล้านตัน โดยใช้เงินทุนจากการเพิ่มทุนและกู้ยืนจากธนาคาร ซึ่งเรายังไม่ได้รวมอยู่ในประมาณการ คาดว่ากำไรสุทธิปี 2554 จะโตอีก 34.5% แต่กำไรสุทธิต่อหุ้นหลังเพิ่มขึ้นจะโต 21%
ยังแนะนำ ซื้อเก็งกำไรระยะสั้น ราคาเป้าหมาย 46 บาท (อิง DCF@WACC 8.5%) เนื่องจากผลประกอบการปี 2553 ดีกว่าคาด แต่ราคาหุ้นปัจจุบันมี Upside จำกัดเมื่อเทียบกับราคาเป้าหมาย และเนื่องจากราคาวัตถุดิบ (PX) ปรับขึ้นแรงในช่วงตั้งแต่ต้นปี 2554 อาจจะส่งผลให้ Margin ของบริษัทแคบคง อย่างไรก็ตามเนื่องจากภาวะอุตสาหกรรม Petrochem กำลังมีแนวโน้มสดใสจากความต้องการใช้สินค้าบรรจุภัณฑ์และสิ่งทอซึ่งเป็นทำให้ตลาดมีความต้องการใช้เม็ดพลาสติก PET มากยิ่งขึ้น ทำให้มีแนวโน้มว่าราคา PTA PET และ Polyester ปรับตัวสูงขึ้นได้อีก และคาดว่ากำไรสุทธิปี 2554 จะโตอีก 34.5% แต่กำไรสุทธิต่อหุ้นหลังเพิ่มขึ้นจะโต 21%ดังนั้นจึงแนะนำ ซื้อเก็งกำไร

***KEST ปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 54 เป็น 13,390 ลบ. แนะนำ ซื้อ คงราคาเป้าหมายเดิมที่ 52 บาท ***

บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย )(KEST)ปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 2554 โดยคาดการณ์ว่าผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/54 จะดีกว่าไตรมาส 4/53 จาก spread margin ของ PTA และ Polyester ที่ทรงตัวในระดับสูงราว $350 ต่อตัน รวมถึงกำลังการผลิตใหม่ที่คาดเพิ่มขึ้นถึง 1 ใน 3 ของกำลังการผลิตเดิมในไตรมาส 1/54 ด้วย ดังนั้นกำไรจากการดำเนินงานในงวดไตรมาส 1/54 คาดจะสูงกว่าไตรมาสก่อนหน้า นอกจากนี้ได้ปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 2554 ของ IVL จาก 11,971 ล้านบาท (2.49 บาทต่อหุ้น) เป็น 13,390 ล้านบาท (2.78 บาทต่อหุ้น) โดยปรับเพิ่มสมมติฐาน spread margin ของ PET, เส้นใยโพลีเอสเตอร์ และ PTA เป็น $230, $330, และ $320 ต่อตัน จากแนวโน้ม spread margin ของ PTA และเส้นใยโพลีเอสเตอร์ที่ทรงตัวในระดับสูง ซึ่งได้แรงหนุนจากราคา cotton ที่ปรับตัวสูงขึ้น และปัญหา Supply shortage ในอุตสาหกรรมต้นน้ำ ในเบื้องต้นบริษัทคาดการณ์ว่ากำลังการผลิตรวม จะเพิ่มขึ้นอีก 2.1 ล้านตัน เป็น 5.7 ล้านตันในช่วงครึ่งแรกของปี 2554
ทั้งนี้ยังคงคำแนะนำ ซื้อ สำหรับ IVL โดยอิงราคาเป้าหมายเดิมที่ 52 บาทตามวิธีคิดลดกระแสเงินสดสำหรับกิจการ (DCF) อ้างอิงอัตราส่วนคิดลด (WACC) ที่ 10.27% อ้างอิงค่าเบต้าถัวเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่ 1.3 และค่า terminal growth ที่ 3% จาก 1) ส่วนลดจากราคาเป้าหมายที่ 23% คุ้มค่าที่จะเสี่ยงกับโอกาสในการเติบโตของกิจการในอนาคต, 2) ราคาหุ้นปัจจุบันปรับตัวลงมาซื้อขายบน P/E ปี 2554 ที่ 15.2 เท่า ต่ำกว่า P/E ในอดีตของ IVL ที่เทรดกันสูงกว่า 20 – 35 เท่า ขณะที่ปัจจัยพื้นฐานยังแข็งแกร่งเหมือนเดิม, 3) กำไรในอนาคตของบริษัทจะเติบโตแข็งแกร่งเฉลี่ย (CAGR) 23 - 25% ต่อปีในระยะ 4 ปีข้างหน้า ตามการขยายตัวของอุปสงค์ทั่วโลกต่อ PET และโพลีเอสเตอร์สำหรับผลิตบรรจุภัณฑ์ และเครื่องนุ่งห่ม และจากการขยายกิจการโดยสร้างโรงงานใหม่ หรือเข้าซื้อกิจการของผู้ผลิตที่มีผลการดำเนินงานย่ำแย่, 4) คาดผู้ถือหุ้นใช้สิทธิแปลง IVL-T1 ครบจำนวนในวันที่ 24 กุมภาพันธ์, และ 5) IVL จะถูกเพิ่มน้ำหนักการลงทุนใน MSCI Thailand จาก 2.6129% เป็น 3.1174% ซึ่งจะมีผลตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2554

*** บล.กรุงศรีอยุธยา คาด ผลงานมีแนวโน้มสูงขึ้น ตามกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น แนะซื้อ ให้มูลค่าพื้นฐาน 64.00 บาท ***

ด้านบล. กรุงศรีอยุธยา คงประมาณการกำไรสุทธิปี 54 เท่ากับ 14,598 ล้านบาท (+38.2%YoY) จากแนวโน้มราคาผลิตภัณฑ์ที่ทรงตัวในระดับสูงตามราคาคอนตตอนในตลาดโลก รวมไปถึงกำลังการผลิตติดตั้งรวมของโรงงาน PTA, PET และ Polyester ที่จะเพิ่มขึ้นจาก 3.4 ล้านตัน/ปี ในปี 53 เป็น 5.7 ล้านตัน/ปี ในปี 54 หรือเพิ่มขึ้น 67.6% ตามแผนการซื้อโรงงานที่ประกาศในช่วงปลายปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ คาดว่าความสามารถในการทำกำไรของบริษัทยังอยู่ในระดับสูง โดยอัตรากำไรขั้นต้น (Gross margin) ในปี 54 จะทรงตัวที่ระดับ 15% เช่นเดียวกับปี 53 ตามนโยบายการปรับราคารายเดือนกับลูกค้า
ทั้งนี้ประเมินมูลค่าพื้นฐาน 64.00 บาท (DCF, WACC 9.8%) และแนะนำ ซื้อ โดยผลประกอบการมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องตามกำลังการผลิตที่ทยอยเพิ่มขึ้น บริษัทประกาศจ่ายเงินปันผลสำหรับผลประกอบการปี 53 ในอัตรา 0.66 บาท/หุ้น คิดเป็นผลตอบแทน 1.6% ขึ้น XD วันที่ 6 พ.ค. 54 พร้อมกันนี้ ยังแนะนำ “ใช้สิทธิ” ซื้อหุ้นเพิ่มทุนสำหรับนักลงทุนที่ถือใบแสดงสิทธิในการซื้อหุ้นเพิ่มทุนที่โอนสิทธิได้ หรือ IVL-T1 ในอัตราส่วน 1 ใบแสดงสิทธิ ต่อ 1 หุ้นสามัญ ในราคา 36 บาท/หุ้น ที่จะครบกำหนดภายในวันที่ 24 ก.พ. นี้

*** บล.ทิสโก้ มอง แนวโน้มดีจากการเข้าซื้อกิจการและกำไรของ polyester คาดว่ากำไรปกติปี 54อาจโต 76% แนะซื้อราคาเป้าหมาย 48 บาท ***

บล. ทิสโก้ ยังคงแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 48 บาท (DCF) อิงจากแนวโน้มที่ดีในระยะยาวสำหรับการเข้าซื้อกิจการและอัตรากำไรของ polyester คาดว่ากำไรปกติน่าจะโต 76% YoY ในปี 2554F อิงจากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นจากการเข้าซื้อกิจการ และส่วนต่างผลิตภัณฑ์โดยรวมที่สูงขึ้น

*** บล.เกียรตินาคิน แนะซื้อ ประเมินมูลค่าที่เหมาะสม 60 บาท***

บล.เกียรตินาคิน ประเมินแนวโน้มกำไรปี 2554 ยังเชื่อว่าจะเห็นการเติบโตไม่น้อยกว่า 32%yoy โดยเฉพาะการรับรู้รายได้จาก Invista ใน มี.ค. 54 และจะเริ่มรับรู้กำไรเต็มไตรมาสใน Q2/54 ถือเป็น Highlight ของการเติบโตของกำไรสุทธิในปี 2554 ขณะที่ Spread Margin ยังอยู่ในระดับสูงตามแนวโน้มของ Demand ที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะจากกลุ่ม Polyester ทำให้คาดว่าบริษัทจะมีกำไรสุทธิในปี 54 ไม่น้อยกว่า 13,888 ล้านบาท
บริษัทประกาศจ่ายเงินปันผลปี 2553 ในอัตรา 0.66 บาท ให้ Yield 1.56% บริษัทจะขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 6 พ.ค. 54 และจ่ายเงินปันผล 24 พ.ค. 54 ขณะที่คาดเงินปันผลในปี 2554 จะไม่น้อยกว่า 0.90 บาท ให้ Yield 2.13%ปัจจัยพื้นฐานยังแข็งแกร่งเพียงพอ ยังคงแนะนำ ซื้อ โดยประเมินมูลค่าที่เหมาะสม 60 บาท

*** IVL คาดยอดขายปีนี้โต 70% หลังราคาผลิตภัณฑ์มีแนวโน้มขาขึ้น***

ด้านนายอาลก โลเฮีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน)(IVL) กล่าวว่า คาดว่ายอดขายของบริษัทฯ ในปีนี้จะเติบโตเพิ่มขึ้น 70% จากปีที่ผ่านมา ซึ่งบริษัทฯ ทำยอดขายได้ 3,055 ล้านเหรียญสหรัฐ ทั้งนี้เนื่องจากแนวโน้มราคาผลิตภัณฑ์เป็นขาขึ้น ทั้งจากธุรกิจ PET และ PTA ส่งผลให้ในช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้สเปรดของผลิตภัณฑ์ดีกว่าไตรมาส 4 ปีที่แล้ว
ทั้งนี้จากผลประกอบการของบริษัทเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลัง(2549-2553) บริษัทฯ จะมียอดขายเติบโตโดยเฉลี่ย 44% และมีกำไรสุทธิเติบโตเฉลี่ย 79%
"ส่วนเหตุความไม่สงบที่เกิดขึ้นในตะวันออกกลาง เชื่อว่าจะไม่กระทบผลประกอบการของบริษัทฯ เนื่องจากบริษัทฯ มีการลงทุนในระยะยาว แต่เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นเพียงระยะสั้นเท่านั้น ซึ่งตลาดของบริษัทฯ ที่ใหญ่ที่สุดคือตลาดยุโรปมีสัดส่วน 35% และสหรัฐฯ 30%" นายอาลก กล่าว
สำหรับ แผนการดำเนินธุรกิจในช่วง 4 ปีข้างหน้า (2554-2557)ว่า บริษัทฯ จะใช้เงินลงทุนทั้งหมดจำนวน 3.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ แบ่งเป็น 1 พันล้านเหรียญสหรัฐจะใช้ลงทุนสำหรับรายการที่ได้ลงนามไปแล้วในครึ่งหลังปี 2553 และจะแล้วเสร็จในไตรมาสแรกปี 2554
ส่วนที่เหลืออีก 2.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ จะถูกใช้ในปี 2554-2557 ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในโครงการใหม่ รวมถึงการใช้เพื่อเข้าซื้อกิจการ ซึ่งขณะนี้บริษัทฯ เจรจาอยู่หลายราย โดยในช่วง 4 ปีจากนี้บริษัทฯ ไม่มีความจำเป็นต้องเพิ่มทุนอีกครั้งหลังจากการเพิ่มทุนครั้งล่าสุด เนื่องจากมีเงินทุนที่เพียงพอ โดยแหล่งเงินทุนจะมาจากการเพิ่มทุนครั้งล่าสุด การกู้ยืม และกระแสเงินสดในบริษัทฯ ขณะเดียวกันบริษัทฯ จะรักษาระดับหนี้สินสุทธิต่อส่วนผู้ถือหุ้นที่ประมาณ 1 เท่า ยกเว้นในบางไตรมาส เช่น หลังจากบริษัทฯ ได้มีการเข้าซื้อกิจการอัตราส่วนดังกล่าวอาจสูงกว่าที่คาดไว้เป็นบางช่วงระยะเวลา
ทั้งนี้ บริษัทฯ มีเป้าหมายเพิ่มกำลังการผลิตมาอยู่ที่ 10 ล้านตันต่อปี ภายในปี 2557 แบ่งเป็น PET 4.4 ล้านตัน PTA 4.1 ล้านตัน และเส้นใย 1.5 ล้านตัน โดยได้วางแผนที่จะเข้าซื้อกิจการ 5 แห่ง และโครงการใหม่ 7 แห่ง โดยการเข้าซื้อกิจการ PET ในตะวันออกกลาง 2 แห่ง เข้าซื้อกิจการธุรกิจ PTA ในเอเชีย 1 แห่ง ธุรกิจเส้นใยในเอเชีย 1 แห่ง และยุโรปอีก 1 แห่ง
ส่วนการก่อสร้างโครงการใหม่จะกระจายไปยังอินเดียและตะวันออกกลาง นอกจากนี้บริษัทฯ มีการเจรจาในการเข้าซื้อกิจการอีกประมาณ 6 ราย แต่ขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนจึงยังไม่ขอชี้แจงในรายละเอียด


-----------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ตปท

-----------------------------------------------------------------------------


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น