Code 362 : 22/02/54 แรงซื้อน้อยลง และมีแรงขายออกมาให้เห็นบ้างแล้ว

วันอังคารที่ 22 กุมภาพันธ์ 2554

ATT Code :
แรงซื้อน้อยลง และมีแรงขายออกมาให้เห็นบ้างแล้ว



เมื่อเช้าวันจันทร์ SET มีแรงซื้อเข้ามาตอนเปิดโดยเปิดบวกไป +4.77 จุด เปิดที่ 1,000.34 จุด โดยมีแรงซื้อเข้ามาในกลุ่มพลังงานและแบงค์ แต่หลังจากเปิดตลาดมา ก็มีแรงขายออกมาแรงและอย่างต่อเนื่อง ทำให้ SET ลงไป -12 จุด จากตอนเปิดตลาด หลุด 990 จุด ลงไป Low ที่ 998.31 จุด แต่เมื่อตั้งตัวได้ก็กลับมีแรงซื้อกลับเข้าในกลุ่มเดิมบ้าง จนสามารถดีดกลับขึ้นมาเป็นบวกได้เล็กน้อย +0.10 จุด ที่ระดับ 995.67 จุด ต่างชาติซื้อสุทธิ 3.3 พันล้านบาท
.
แนวโน้มในวันอังคารที่ 22/02/54 มีแนวรับที่เส้น 75 วัน อยู่ที่ระดับ 990 จุด และเส้น 5 วัน อยู่ที่ระดับ 985 จุด และแนวต้านสำคัญอยู่ที่ 1,0000 จุด
.
Indicators 5 ตัว ยังดูดีอยู่ แต่มีสัญญาณลบ จาก Indicator 2 ตัว ที่เริ่มพลิกลงมาแล้วคือ Williams %R และ Fast Sto

1. (+) MACD ยังคงตัดเส้น Signal ขึ้นมาอยู่.... มีสัญญาณบวกที่ดีอยู่
2. (+) OBV เพิ่มขึ้นจาก 555 ขึ้นไปที่ 581.... แสดงให้เห็นว่ายังมีแรงซื้อสะสมเพิ่มขึ้น +16
3. (+/-) CCI ยังคงเพิ่มขึ้น จาก +109 ขึ้นไปที่ +111 บวกมา 2 ... เกิน 100 ขึ้นมาแล้ว ต้องระมัดระวังเพราะ SET เริ่มมีการปรับตัวขึ้นมาสูงแล้ว แต่ก็ยังมีสิทธ์ที่จะขึ้นไปต่อได้ถึง High เดิมที่ 184... แต่ถ้าเริ่มจะตัด 100 ลงมา ต้องให้ระมัดระวังแรงขาย
4. (+) เส้น ADX : DI+(32.65) ตัดเส้น DI-(32.23) ขึ้นมาแล้ว... มีแนวโน้มที่ดีขึ้น
5. (-) Williams %R ขึ้นมาจาก -0.61 ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ -8.19.... เข้าเขต Overbought และก็เริ่มที่จะลงมาตัดเส้น -10 ลงมาแล้ว... สัญญาณไม่ค่อยดีนัก
6. (+/-) RSI ขึ้นมาจาก53.68% มาอยู่ที่ 53.72%... ไม่มีผลเท่าไหร่
7. (-) Fast Sto : %K ตัด %D อยู่เหมือนเดิม แต่ %K เริ่มลงมาแล้ว จาก 99.39 ลงมาที่ 91.981... สัญญาณไม่ค่อยดีนัก

-----------------------------------------------------------------------------
MARKET WAVE Analysis
22 กพ. 54 ( +0.10 จุด ) โกมล พงศ์วิญญู เลขทะเบียน 18338

ปรับตัวลง 976 – 986 จุด
แนวโน้มในวันอังคารนี้ ดัชนีมีโอกาสปรับตัวลงมาบริเวณ 976 – 986 จุด ซึ่งเป็นบริเวณแนวรับตามธรรมชาติของเส้นค่าเฉลี่ย 25
ชั่วโมง และบริเวณแนวรับ Fibonacci Ratio38.2% ของการปรับตัวขึ้นมาจากจุดต่ำสุดวันที่11 กพ.

จากนั้นการปรับตัวขึ้น เกิน 1000.90 จุดสูงสุดของวันจันทร์ และแนวต้านตามธรรมชาติของเส้นค่าเฉลี่ย 25 สัปดาห์ ภาพดัชนีระยะสัปดาห์สามารถปรับตัวขึ้นต่อแถว 1050 –55 ใกล้จุดสูงสุดเดิมของปีนี้

อย่างไรก็ตาม ดัชนียังไม่น่าจะปรับตัวผ่าน 1056.44 จุดสูงสุดเดิมของปีนี้ได้ และ ภาพในเดือน มีค. ตลาดน่าจะยังคงมีความเสี่ยงที่จะ
ปรับตัวกลับลงมาบริเวณ 940 – 950 ใกล้จุดต่ำสุดของเดือนกพ. อีกครั้ง
หุ้นเด่น
TTCL
ปรับตัวขึ้นมาอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ย 25 วันได้อีกครั้ง ทยอยซื้อแถว 8.45 – 8.55 หรือรอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 8.70 จุดสูงสุดวันจันทร์เป้าหมายหนึ่งถึงสองวัน 8.90 – 9.40( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 8.40 )
SCB
ปรับตัวขึ้นมาอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ย 25 สัปดาห์ได้อีกครั้ง รอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 104.00จุดสูงสุดวันจันทร์ เป้าหมายระยะสัปดาห์111.00 – 114.00( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 101.00 )

10 อันดับซื้อขายสูงสุด
SCB รายละเดียดใน “หุ้นเด่น”
BANPU ปรับตัวลง 734 – 750
PTTCH เกิน 154 ขึ้น 161 - 164
PTT เกิน 332 ขึ้น 334 - 336
CPF เกิน 23.10 ขึ้น 23.50 - 25
IVL รายละเดียดใน “หุ้นเด่น”
TRUE เกิน 6.35 ขึ้น 6.45 – 6.55
KBANK ปรับตัวลง 112 - 114
CPALL เกิน 39.25 ขึ้น 39.50 – 40
PTTAR ไม่น่าเกิน 40.50 – 40.75

-----------------------------------------------------------------------------
Commodities WoW :
• สัปดาห์ที่ผ่านมาราคาน้ำมันดิบปรับขึ้นต่อเนื่องจากปัญหาการเมืองในตะวันออกกลางรุนแรงขึ้น
• ค่าการกลั่นปรับขึ้น W-W เล็กน้อย (เป็นบวกต่อ TOP, ESSO และ BCP)
• ราคาปิโตรเคมีต้นน้ำสายโอเลฟินส์ปรับขึ้นเล็กน้อย และปรับขึ้นต่อเนื่อง 13 สัปดาห์ติดต่อกัน (เป็นบวกต่อ PTTCH)
• ราคาอะโรเมติกส์ PX ปรับขึ้นเล็กน้อย W-W (เป็นบวกต่อ PTTAR TOP และ ESSO)
• ราคาเม็ดพลาสติก HDPE ทรงตัว (เป็นกลางต่อ PTTCH, SCC) ส่วน PVC ปรับขึ้นเล็กน้อย (เป็นลบต่อ VNT และTPC)
• ราคา PTA ทรงตัวสัปดาห์นี้ หลังปรับขึ้นเป็นสัปดาห์ที่ 11 ติดต่อกัน แต่เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบ(PX)ปรับขึ้นทำให้ Margin แคบ (เป็นกลางต่อ IVL)
• ราคาถ่านหินปรับลง 0.80 USD/ตัน (เป็นกลาง BANPU, LANNA และ AGE)
• ราคาหมูและไก่ยังสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยล่าสุดราคาหมู อยู่ที่ 60.50 บาท/กก. (+17% YTD) และราคาไก่ทำ New High +2% W-W อยู่ที่ 48.50 บาท/กก. (+9% YTD) (เป็นบวกต่อ CPF)
• ราคายางพารายังทำ New high ต่อเนื่อง +2% W-W อยู่ที่ 189.74 บาท/กก. จากการเร่งสต็อกยาง เนื่องจากเข้าใกล้ช่วงปิดหน้ายาง (มี.ค. – เม.ย.) (เป็นบวกต่อ STA)

PS (BUY) : กำไรปกติ 4Q10 และปี 2010 ตามคาด จ่ายปันผลปี 10 ที่ 0.50 บาท
 กำไรปกติ 4Q10 เพิ่มมาก Q-Q จากยอดโอนฟื้นขึ้น มีกำไรปกติที่ 1,059 ล้านบาท (+194.8% Q-Q,-35.6% Y-Y) ตามคาด โดยมียอดโอนประมาณ 6.9 พันล้านบาท โดยยอดโอนทาวน์เฮาส์ 3.9 พันล้านบาท (+78.9% Q-Q,+ 34.6% Y-Y) บ้านเดี่ยว 2 พันล้านบาท (+96.2% Q-Q,+10.7% Y-Y) และคอนโด 934 ล้านบาท (+85.3% Q-Q,-68.1% Y-Y) โดยยอดโอนบ้านแนวราบดีขึ้นมากจาก 3Q10 หลังจากได้ปรับปรุงการก่อสร้างให้เร็วขึ้นโดยใช้ระบบ Prefabrication เข้ามาช่วยทำให้มียอดโอนดีขึ้นมากในเดือนพ.ย.-ธ.ค. และมียอดโอนจากคอนโดฯ 2 โครงการ คือ IVY ปิ่นเกล้าและ The Seed Musee (Sukumvit 26) จะเริ่มโอนได้ในเดือนธ.ค. จำนวน 934 ล้านบาท ส่วนอัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ยอยู่ที่ 38.7% ใกล้เคียงกับ 3Q10

STEC (BUY) : กำไรปกติ 4Q10 และปี 2010 ดีกว่าคาด
 กำไรปกติ 4Q10 เพิ่ม 25.9% Q-Q และ 37.7%Y-Y มีกำไรปกติ 149 ล้านบาท สูงกว่าคาดไว้ 23% โดยมีรายได้การก่อสร้างที่ 3.3 พันล้านบาท (+61.1% Q-Q,+29.2%Y-Y) ดีขึ้นจาก 3Q10 มาก โดยหลักๆ มาจากรายได้จากการก่อสร้างสายสีม่วงที่ก่อสร้างได้เร็วขึ้น คาดว่าคืบหน้า 4% จาก 3Q10 มาอยู่ที่ 12% และมีรายได้จากการก่อสร้างโรงไฟฟ้า SPP 7 โรงประมาณ 300-500 ล้านบาท ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นอ่อนลงเป็น 8.6% จาก 3Q10 ที่ 10.1%

-----------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย

ลุยหุ้นรับเหมาฯ!..กำไรพุ่ง-งานทะลัก
STEC - CK - ITD ราศีจับ!! สารพัดข่าวดีหนุน ผลประกอบการปี 53 พุ่งกระฉูด ขณะที่ปีนี้ยังโตต่อเนื่อง ล่าสุดเดินหน้าเซ็นสัญญารับงานก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน มูลค่ารวมกว่า 2.5 หมื่นล้านบาท พ่วงงานก่อสร้างโรงไฟฟ้าภาคเอกชนหลายแห่ง ด้านโบรกเกอร์เชียร์ซื้อยกกลุ่ม ไม่หวั่นต้นทุนวัสดุฯและดอกเบี้ยเพิ่มสูงขึ้น

หุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ซึ่งประกอบด้วย บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด(มหาชน) หรือ STEC บริษัท ช. การช่าง จำกัด (มหาชน)หรือ CK บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน)หรือ ITD กลับมาฉายแววโดดเด่นอีกครั้ง หลังจากที่ถูกกดดันจากต้นทุนวัสดุก่อสร้างและอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในช่วงขาขึ้นพักใหญ่ แต่ปัจจัยลบดังกล่าวถูกลดทอนลงไปมาก เมื่อหุ้นกลุ่มนี้ทยอยรับงานก่อสร้างภาครัฐอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโครงการรถไฟฟ้าสายต่างๆที่มีการเซ็นสัญญาอย่างเป็นทางการ และโครงการโรงไฟฟ้าของภาคเอกชน ส่งผลให้มูลค่างานในมือของบริษัทเหล่านี้พุ่งสูงสุดในรอบหลายปี
นอกจากนั้น คาดว่าบริษัทเหล่านี้จะประกาศผลการดำเนินงานปี 53 ออกมาโดดเด่น เนื่องจากในปีที่ผ่านมามียอดรับรู้รายได้จากโครงการที่สร้างเสร็จค่อนข้างมาก ขณะที่โบรกเกอร์ยังคงแนะนำซื้อลงทุนทั้ง 3 บริษัท เพราะคาดว่าแนวโน้มผลประกอบการในปี 54 จะยังดีต่อเนื่อง

***** STEC ฟันกำไรพุงกาง
นายวรพันธ์ ช้อนทอง กรรมการ บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด(มหาชน) หรือ STEC เปิดเผยว่า ผลประกอบการปี 53 บริษัทมีผลกำไรสุทธิรวมในส่วนของผู้ถือหุ้นบริษัทใหญ่เป็นจำนวนเงิน 443.76 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2552 ที่มีกำไร 304.82 ล้านบาท หรือกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนเงิน 138.94 ล้านบาท คิดเป็น 45.58% ซึ่งมีสาเหตุดังนี้
1. บริษัทและบริษัทย่อย มีกำไรขั้นต้นรวมปี 2553 เป็นจำนวนเงิน 859.92 ล้านบาท คิดเป็น 9.26% ในขณะที่ปีก่อนบริษัทฯและบริษัทย่อยมีกำไรขั้นต้นรวมเป็นจำนวนเงิน 584.32 ล้านบาท คิดเป็น 4.88% ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อนเป็นจำนวนเงิน 275.61 ล้านบาท คิดเป็น 47.17% อันเนื่องมาจากโครงการที่มีอัตรากำไรขั้นต้นต่ำมากได้ก่อสร้างเสร็จไปแล้วเป็นส่วนใหญ่ในปีที่ผ่านมา 2. บริษัทฯและบริษัทย่อยมีค่าใช้จ่ายทางการเงินลดลงจากปีก่อนเป็นจำนวนเงิน 20.02 ล้านบาท

***** โบรกฯแนะซื้อ STEC ให้เป้าหมาย 15.70-17 บ.
บทวิเคราะห์บล.บัวหลวง ระบุว่า แนะนำซื้อ STEC โดยปรับลดราคาเป้าหมายปี 2554 เป็น 15.70 บาท จากเดิมที่ 18.70 บาท แม้ STEC รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 4/53 ที่ 152 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 10% YoY และ 33% QoQ ผลประกอบการดีกว่าที่เรา
คาดไว้ 45% และสูงกว่าประมาณการของตลาดอยู่ 40% เนื่องจากมีการบันทึกรายได้จากการก่อสร้างมากกว่าคาด

ทั้งนี้ บริษัทมีรายได้รวม 3.3 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 29% YoY และ 61% QoQ เนื่องจากโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ซึ่งมีความคืบหน้าไปได้ดี อย่างไรก็ตามเนื่องจากสัญญาดังกล่าวมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ต่ำกว่างานอื่นๆ จึงทำให้อัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ยลดลง 1.46% QoQ เป็น 8.61% (แต่ยังคงสูงกว่าที่รายงานในไตรมาส 4/52 ที่ 8.15%)ฐานะการเงินยังคงแข็งแกร่ง โดยสถานะเงินสดสุทธิเพิ่มขึ้นจาก 1.19 พันล้านบาท ณ สิ้นเดือนกันยายนปีที่แล้ว มาเป็น 1.89 พันล้านบาท ณ สิ้นปี 53

บล.บัวหลวง คาดว่าบริษัทจะยังคงรายงานกำไรสุทธิขยายตัวแข็งแกร่งหนุนโดยการรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่องจาก Backlog ที่สูงถึง 3.7 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้เมื่อวันพฤหัสบดีที่แล้ว STEC เซ็นสัญญาโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินอีก 2 สัญญา เรายังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2554 เท่าเดิมแต่เพื่อสะท้อนความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากแนวโน้มการปรับขึ้นของราคาวัสดุก่อสร้าง เราจึงได้ปรับลด PBV เป้าหมายลงเป็น +1.5 เท่าของส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (จากเดิม +2 เท่า) ดังนั้นเราจึงปรับลดราคาเป้าหมายปี 2554 เป็น 15.70 บาท จากเดิมที่ 18.70 บาท

บทวิเคราะห์บล.ทิสโก้ ระบุว่า แนะนำซื้อ STEC ให้ราคาเป้าหมาย 17 บาท อิงจาก PBV 4 เท่าปี 2554F โดยผลประกอบการของ STEC ดีกว่าที่เราคาดไว้ แต่เรายังคงประมาณการผลประกอบการสำหรับปี 2554-55F โดยมีปัจจัยเสี่ยง คือ ต้นทุนบานปลายจากราคาวัสดุก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นระลอกใหม่, การชนะโครงการใหม่ที่น้อยกว่าคาด, การแข่งขันที่เพิ่มขึ้น และการก่อสร้างที่ล่าช้า และความไม่มีเสถียรภาพทางการเมือง รวมทั้งงานภาครัฐที่ถูกเลื่อนออกไป

***** ช.การช่าง เซ็นรับงานรวดเดียว 1.6 หมื่นลบ.
รายงานข่าวจากบริษัท ช. การช่าง จำกัด (มหาชน)หรือ CK เปิดเผยว่า บริษัทฯได้ทำการลงนามสัญญาในโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย ช่วงหัวลำโพง-บางแค และบางซื่อ-ท่าพระ กับ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย จำนวน 2 สัญญา ซึ่งเป็นรายการธุรกิจปกติและเป็นไปตามเงื่อนไขทางการค้าโดยทั่วไปที่บริษัทฯ ทำกับบริษัทอื่น

ทั้งนี้ งานดังกล่าวประกอบด้วย รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน สัญญา 2 ซึ่งเป็นงานออกแบบควบคู่การก่อสร้างเส้นทางใต้ดิน ช่วงสนามไชย - ท่าพระซึ่งมีมูลค่าสัญญาทั้งสิ้น 10,687,643,224.84 บาท (หนึ่งหมื่นหกร้อยแปดสิบเจ็ดล้านหกแสนสี่หมื่นสามพันสองร้อยยี่สิบสี่บาทแปดสิบสี่สตางค์) รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม ระยะเวลาแล้วเสร็จ ประมาณ 1,890 วัน และสัญญาที่ 5 ซึ่งเป็นงานออกแบบควบคู่การก่อสร้าง ระบบรางรถไฟฟ้าของทั้งโครงการ มูลค่าสัญญาทั้งสิ้น 4,999,134,909 บาท (สี่พันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าล้านหนึ่งแสนสามหมื่นสี่พันเก้าร้อยเก้าบาทถ้วน) รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม ระยะเวลาแล้วเสร็จ ประมาณ 1,890 วัน

นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้ลงนามในสัญญา Engineering, Procurement and Construction Contract for 6 MW (AC) Solar Photovoltaic Power Park (โครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ในจังหวัดนครราชสีมา) กับ บริษัท นครราชสีมา โซล่าร์ จำกัด มูลค่าโครงการ 740,119,896 บาท ซึ่งเป็นรายการธุรกิจปกติและเป็นไปตามเงื่อนไขทางการค้าโดยทั่วไปที่บริษัทฯ ทำกับบริษัทอื่น

*****เคจีไอ เชียร์ซื้อ CK ให้ราคาเหมาะสม 13.16 บ.
บทวิเคราะห์บล.เคจีไอ ระบุว่า CK เตรียมขายหุ้นบริษัทไซยะบุรี พาวเวอร์ 25% ให้ PTT* และคาดจะได้รับรู้กำไรพิเศษก่อนภาษีไม่ต่ำกว่า 2.2 หมื่นล้านบาทใน Q2/54 โดยภายหลังจากการขายหุ้นให้ PTT คาด CK จะยังคงถือหุ้นในสัดส่วน 30-35% และหุ้นส่วนที่เหลือจะขายให้กับพันธมิตร อาทิ ขายให้รัฐบาลลาวสัดส่วนราว 20%, บริษัทในประเทศลาว 5% เป็นต้น สำหรับเงินที่บริษัทจะได้รับ ส่งผลให้บริษัทมีสภาพคล่องในการดำเนินงานที่ดีและไม่มีความจำเป็นต้องเพิ่มทุนในระยะอันใกล้

นอกจากนี้ การเซ็นสัญญาทั้งจากโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินที่ผ่านมาและจากโครงการไซยะบุรีที่คาดจะเซ็นสัญญาใน 1Q54 คาดจะหนุนให้บริษัทมีกำไรปี 2554 เท่ากับ 920 ล้านบาท เปรียบเทียบกับผลขาดทุน 100 ล้านบาท ดังนั้น เรายังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสม 13.16 บาทต่อหุ้น

***** "อิตาเลียนไทยฯ" ซิวงานรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน 1.14 หมื่นลบ.
นางนิจพร จรณะจิตต์ กรรมการรองประธานบริหารอาวุโส บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน)หรือ ITD เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554บริษัทฯ ได้ร่วมลงนามในสัญญาก่อสร้าง กับ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เพื่อดำเนินการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย สัญญาที่1 ซึ่งเป็นงานโยธาส่วนใต้ดิน ช่วง หัวลำโพง-สนามชัย มูลค่าสัญญา 11,441,075,580.00 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ระยะเวลาก่อสร้าง 1,890 วัน

ด้านนายธวัชชัย สุทธิประภา กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ITD เปิดเผยว่า บริษัทฯคาดว่ามูลค่างานในมือ (Backlog) ในปีนี้จะมีมูลค่าเกิน 1.2 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก Backlog ณ สิ้นเดือนพ.ย. 53 ที่มีอยู่ราว 7 หมื่นล้านบาท พร้อมทั้งในปีนี้คาดว่าจะสามารถได้งานประมูลใหม่ มูลค่า 4-5 หมื่นล้านบาท โดยแบ่งเป็นสัดส่วน 50% มาจากงานในประเทศ และอีก 50% มาจากงานในต่างประเทศ อีกทั้งในปีนี้จะเน้นการเข้าประมูลงานในประเทศมากขึ้นจากในช่วง 14 ปีที่ผ่านมา บริษัทฯหันไปรับงานในต่างประเทศเป็นสัดส่วนสูง โดยในปี 53 ที่ผ่านมาบริษัทฯมีสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศอยู่ที่ 35% ของรายได้รวม และอยู่ในประเทศสัดส่วน 65%
โดยสาเหตุที่เน้นการประมูลในประเทศมากขึ้น เนื่องจากในปีนี้เชื่อว่าการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) จะมีการเปิดประมูลงานโครงการรถไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทฯประเมินว่ายังมีโอกาสที่จะได้งานประมูลโครงการรถไฟฟ้าของรฟม.ในปีนี้มูลค่ามากกว่า 2 หมื่นล้านบาท โดยมาจากโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง และสีเขียว และยังมีโอกาสที่จะมีการเปิดประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มในช่วงปลายปี

ในส่วนของงานในต่างประเทศของบริษัทฯ ปัจจุบันประกอบด้วยโครงการก่อสร้างที่บังคลาเทศ รวมถึงโครงการนิคมอุตสาหกรรมทวายในพม่า ซึ่งได้มีการเซ็น MOU เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยจะมีการว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาให้มีการออกแบบ อย่างไรก็ดีโครงการดังกล่าวยังไม่สามารถระบุได้ว่าจะรับรู้รายได้ในปีนี้ได้หรือไม่ เนื่องจากเป็นโครงการที่มีขนาดใหญ่ นอกจากนี้ยังมีงานในอินเดียที่บริษัทฯยังมีการเข้าประมูลอย่างต่อเนื่อง และงานก่อสร้างบาห์เรน

***** บล.ไอร่า ชี้ ITD เด่นสุดในกลุ่ม ให้เป้า 5.72 บ.
บทวิเคราะห์บล.ไอร่า ระบุว่า แนะนำซื้อ ITD ให้ราคาเป้าหมายปี’54 ที่ 5.72 บาท แม้ผลการดำเนินงานจากธุรกิจปกติยังมีความผันผวนสูง ไม่สามารถ Cover ค่าใช้จ่ายขายและบริหาร และดอกเบี้ย ที่คาดไม่ต่ำกว่า 4,000 ล้านบาท/ปี แต่คาด ITD มีความโดดเด่นจาก Backlog ที่มีอยู่เป็นระดับสูงสุดเมื่อเทียบกับ CK และ STEC สามารถรองรับการเติบโตของรายได้ไม่ต่ำกว่า 5 ปี

นอกจากนี้ ITD ยังมีงานที่เป็นผู้ประมูลราคาต่ำสุดและอยู่ระหว่างเจรจาต่อรอง อีกกว่า 100,000 ล้านบาท (ส่วนใหญ่เป็นงานในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น พม่า ลาว และมาเลเซีย เป็นต้น) รวมถึงโอกาสที่จะได้งานรับเพิ่มในประเทศเวียดนาม เช่น งานทางด่วน (78,000 ล้านบาท) Low Cost Housing (9,000 ล้านบาท) สนามบินโฮจิมินห์ แห่งใหม่ (22,500 ล้านUSD คาด ITD ได้รับบางส่วน) โดยในจำนวนนี้ยังไม่รวมโครงการท่าเรือน้ำลึกทวายมูลค่ารวมอีกกว่า 400,000 ล้านบาท ซึ่งทำให้คาดว่า ITD จะได้รับผลกระทบน้อยสุดหากโครงการต่างๆ มีความล่าช้า- ชะลอ หรือเลื่อนออกไป

-----------------------------------------------------------------------------


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น