Code 367 : 01/03/54 จะไปทางไหน 990 หรือ 983

วันอังคารที่ 1 มีนาคม 2554

ATT Code : จะไปทางไหน 990 หรือ 983





เมื่อเช้าวันจันทร์ที่ 28/02/54 มีแรงขายในกลุ่มพลังงานออกมา ทำให้ SET เปิดลบไปประมาณ 5 จุด เปิดที่ระดับ 980.61 โดยเปิดเป็น Low ของวันเลย แล้วก้ Sideway อยู่ในกรอบ 7 จุด ทั้งเช้าทั้งบ่าย โดยมีแรงขายออกมาในกลุ่มพลังงาน เน้นไปที่ PTT และ Banpu แล้วก็โยกเข้าไปซื้อในกลุ่มแบงค์ BBL KBANK และ SCB บวกกับช่วงบ่าย HSKI บวกขึ้นไป 300 กว่าจุด ทำให้ช่วงปิดตลาด มีแรงซื้อเข้ามาอีก แล้วมาปิดเป็น High ที่ 987.91 จุด บวกไป 2 จุด

SET มีแรงขายออกมา ทำให้หลุดแนวรับเส้น 5 วัน ที่ 983 ลงมา ที่ 980 แต่ก้มีแรงซื้อในกลุ่มแบงค์ที่ได้ดีในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้น ทำให้ ดันผ่านแนวรับขึ้นมาทั้ง 2 เส้น ผ่าน 983 และ 985 มาปิด High ที่ 987 ได้

แนวโน้มในวันอังคารที่ 01/03/54
-แนวต้านก้กลับไปเป็นแนวรับ คื่อที่ 985 และ 982 แนวรับหลักยังอยู่ที่ 977 เหมือนเดิม ถ้าหลุด 983 ก้จะลงมาที่ 977 ได้อีกครั้ง
-ส่วนแนวต้านที่เส้น 75 วัน ที่ระดับ 990 แต่ถ้าผ่าน 990 ไปได้ ก็อาจจขึ้นไปหา 1000 จุด ได้เหมือนกัน ช่วงนี้ตลาดสวิงค่อนข้างมาก ทำให้ ต้องดูแนวรับและแนวต้านต่างๆ ซึ่งถ้าผ่านก้ตามได้ ถ้าไม่ผ่านก็รอตามแนวรับต่อๆ ไป

*** SET มีการโยก ขายกลุ่มพลังงานมาเข้าแบงค์ ทำให้ Indicators ต่างๆ +/- สลับกันไป

1. (+) MACD ยังคงตัดเส้น Signal ขึ้นมาอยู่ โดย MACD ตัดผ่านเส้นศูนย์มากขึ้นแล้ว.... มีสัญญาณที่ดีอยู่
2. (+) OBV ขึ้นจาก 565 ไปที่ 594.... แสดงให้เห็นว่ามีแรงซื้อขายสะสมเพิ่มขึ้น
3. (-) CCI ลดลงมาจาก 27 ลงมาที่ 21 ลดลงมาเกือบ 6 ... แนวโน้มยังเป็นลบเหมือนเดิม
4. (-) เส้น ADX : DI+(26) ตัดเส้น DI-(29) โดย DI+ ตัด DI-ลงมาเหมือนเดิม ... แนวโน้มยังเป็นลบเหมือนเดิม
5. (-) Williams %R ลดลงมาจาก -23 ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ -30 ลบมากขึ้น... แนวโน้มพลิกกลับมาเป็นลบใหม่

6. (+) RSI ขึ้นมาจาก 49% มาอยู่ที่ 50% เพิ่มขึ้นนิดหน่อย... แนวโน้มยังบวกเหมือนเดิม
7. (+/-) Fast Sto : %K ยังตัด %D ลงมาอยู่ แต่ %K แต่ก็ลดลงจากเดิมจาก 65 ลงมาที่ 64... แนวโน้มยังทรงๆ

-----------------------------------------------------------------------------
MARKET WAVE Analysis
1 มีค. 54 ( +2.00 จุด ) โกมล พงศ์วิญญู เลขทะเบียน 18338

ปรับตัวขึ้น 994 – 999 จุด
แนวโน้มในวันอังคารนี้ ดัชนีมีโอกาสปรับตัวกลับขึ้นไปแถว 994 – 999 ใกล้จุดสูงสุดเดิมของสัปดาห์ที่แล้ว

อย่างไรก็ตามยังไม่ชัดเจนว่า ตลาดจะสามารถปรับตัวขึ้นเกิน 1000.90 จุดสูงสุดของสัปดาห์ที่แล้ว และแนวต้านตามธรรมชาติของ
เส้นค่าเฉลี่ย 25 สัปดาห์ได้หรือไม่ ??

และพอมีความเป็นไปได้ว่า ตลาด“อาจจะ” ยังไม่สามารถผ่าน 1000.90 และต้องแกว่งตัวในกรอบ 977 – 1000 จุด หรือระหว่าง
เส้นค่าเฉลี่ย 25 วัน และ 25 สัปดาห์ อีกนานหลายวัน?

หุ้นเด่น
TOP
ปรับตัวขึ้นมาแถวเส้นค่าเฉลี่ย 25 ชั่วโมงพอดีรอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 74.50 จุดสูงสุดวันศุกร์ และเส้นค่าเฉลี่ยดังกล่าว เป้าหมาย
หนึ่งถึงสองวัน 75.50 – 76.50( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 73.25 )

THAI
ปรับตัวขึ้นมาอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ย 25 ชั่วโมงได้อีกครั้ง รอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 38.50จุดสูงสุดวันจันทร์ เป้าหมายสองสามวัน
39.75 – 40.75( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 37.25 )

10 อันดับซื้อขายสูงสุด
PTT ต่ำกว่า 336 ลง 330 - 334
BANPU แกว่งตัว 724 – 740
KBANK ไม่ต่ำกว่า 116 ขึ้น 119 - 120
TMB เกิน 2.32 ขึ้น 2.34 – 2.36
PTTEP แกว่งตัว 180.50 – 182.50
PTL แกว่งตัว 23.20 – 23.90
IVL แกว่งตัว 41.50 - 43
SCB ไม่ต่ำกว่า 100.50 ขึ้น 103 – 104
PTTAR แกว่งตัว 36.50 – 38
PTTCH ต่ำกว่า 144 ลง 137 – 141

-----------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย
EFinance Thai: หุ้นโรงกลั่นกำไรทรุด..ปี54ขอแก้มือ!!
กลุ่มโรงกลั่นสุดเซ็ง!! กำไรปี 53 ลดลงสวนทางอุตสาหกรรมอื่นที่กำไรเพิ่มขึ้นถ้วนหน้า เผย BCP หนักสุด กำไรลดลงเกิน 100% ตามมาด้วย ESSO ที่ลดลง 62% ชี้สาเหตุหลักมาจากค่าการกลั่นที่ต่ำกว่าปี 52 แม้ช่วงครึ่งหลังปี 53 ราคาน้ำมันจะพุ่งขึ้นต่อเนื่อง ด้านนักวิเคราะห์มองกำไรปี 54 กลับมาโดดเด่น ยังคงให้น้ำหนักลงทุน ยก TOP-PTTAR เป็นหุ้นเด็ดในกลุ่ม
ช่วงนี้บริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ประกาศผลประกอบการปี 53 ออกมาแล้ว และพบว่าเกือบทุกอุตสาหกรรมมีกำไรเพิ่มขึ้น ยกเว้นบริษัทในกลุ่มโรงกลั่นที่มีผลประกอบการลดลงจากปี 52 สวนทางบริษัทในกลุ่มอื่นๆ อาทิเช่น บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน)หรือ TOP บริษัทเอสโซ่ จำกัด(มหาชน)หรือ ESSO บริษัทบางจาก ปิโตรเลียม จำกัด(มหาชน)หรือ BCP และบริษัท ปตท. อะโรเมติกส์และการกลั่น จำกัด (มหาชน)หรือ PTTAR เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าในปี 54 บริษัทในกลุ่มโรงกลั่นจะกลับมาทำกำไรได้โดดเด่นอีกครั้ง เนื่องจากค่าการกลั่นที่เพิ่มขึ้นตามทิศทางราคาน้ำมันในตลาดโลก และยังคงแนะนำให้ลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้ โดยยกให้ TOP-PTTAR เป็นหุ้นเด็ดในกลุ่ม

***** กลุ่มโรงกลั่นเศร้างบปี 53 วูบ!!
บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน)หรือ TOP แจ้งว่า ปี 53 บริษัทมีกำไรสุทธิ 8.99 พันล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 4.41 บาท ลดลงจากปี 52 ที่มีกำไรสุทธิ 1.2 หมื่นล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 5.91 บาท หรือผลประกอบการลดลงประมาณ 25.08%
ทั้งนี้ กำไรที่ลดลงมาจากปริมาณวัตถุดิบที่ป้อนเข้าสู่กระบวนการผลิตของกลุ่มอยู่ที่ 273 พันบาร์เรลต่อวัน และกำไรขั้นต้นรวมจากการผลิต (Gross Integrated Margin - GIM) ที่ 6.5 เหรียญสหรัฐฯ ทำให้ในปี 53 บริษัทฯและบริษัทย่อยมี EBITDA และกำไรสุทธิจำนวน 17,432 ล้านบาท และ 8, 999 ล้านบาท (คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 4.41 บาท) ตามลำดับ
สาเหตุหลักที่ทำให้กำไรสุทธิลดลง 3,063 ล้านบาทจากปีก่อน เนื่องจากในปี 2552 บริษัทฯ และบริษัทย่อยบันทึกกำไรบนสินค้าคงเหลือ (Stock Gain) จากการที่ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นในอัตราที่สูงกว่าปี 53 นอกจากนี้ ในช่วงครึ่งแรกของปี 2553 ราคาผลิตภัณฑ์ของธุรกิจอะโรมาติกส์ถูกกดดันจากอุปทานที่ล้นตลาด จนทำให้ผู้ผลิตในหลายประเทศลดกำลังการผลิตลงและหยุดซ่อมบำรุงในช่วงที่ราคาตกต่ำ
อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งปีหลังราคาอะโรมาติกส์กลับมาฟื้นตัวเนื่องจากมีโรงอะโรมาติกส์หลายแห่งประสบปัญหาทำให้ต้องหยุดการผลิตไป บริษัท IPT ได้รับชดเชยค่าสินไหมทดแทนจากที่ได้หยุดเดินเครื่องจากอุบัติเหตุที่ทำให้เครื่องกำเนิดไฟฟ้ากังหันไอน้ำได้รับความเสียหายจากบริษัทประกันภัยแล้ว ปัจจุบัน บริษัท IPT ได้กลับมาดำเนินการผลิตไฟฟ้าตามปกติแล้วตั้งแต่วันที่ 30 พฤศจิกายน 53 เป็นต้นมา
ด้านบริษัทเอสโซ่ จำกัด(มหาชน)หรือ ESSO แจ้งว่า ปี 53 บริษัทมีกำไรสุทธิ 1.65 พันล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.48 บาท ลดลงจากปี 52 ที่มีกำไร 4.44 พันล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 1.29 บาท หรือผลประกอบการลดลง 62.83%
ทั้งนี้ สาเหตุที่กำไรของบริษัทลดลง เป็นเพราะน้ำมันดิบที่นำเข้ากลั่นมีปริมาณต่ำกว่าช่วงเวลาเดียวกันในปี 52 สาเหตุหลักมาจากความต้องการผลิตภัณฑ์น้ำมันที่ลดลงประกอบกับค่าการกลั่นของอุตสาหกรรมโดยรวมที่คงอยู่ในระดับต่ำในปี 53 ถึงแม้ว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในช่วงครึ่งปีหลังของปี 53
สำหรับบริษัทบางจาก ปิโตรเลียม จำกัด(มหาชน)หรือ BCP แจ้งว่า ผลประกอบการปี 53 มีกำไรสุทธิ 2.81 พันล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 2.40 บาท ลดลงจากปี 52 ที่มีกำไร 7.52 พันล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 6.57 บาท หรือผลประกอบการลดลงเกิน 100%
ทั้งนี้ ในปี2553 ธุรกิจโรงกลั่นมีกำไรจาก Hedging และจากสต๊อกน้ำมันน้อยกว่าในปี2552 ทำให้EBITDAรวมของธุรกิจโรงกลั่นมีจำนวน 4,466 ล้านบาท ต่ำกว่าปีก่อนที่มี EBITDA ที่ 10,839ล้านบาท ขณะที่ธุรกิจโรงกลั่น มีค่าการกลั่นรวมทั้งสิ้น 6.09 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ต่ำกว่าปีก่อนที่มีค่าการกลั่นรวมถึง 12.76 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เนื่องจากปีก่อนมีกำไรจาก GRM Hedging สูงถึง 5.62 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และกำไรจากสต๊อกน้ำมัน 3.16 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล
ส่วนบริษัท ปตท. อะโรเมติกส์และการกลั่น จำกัด (มหาชน)หรือ PTTAR แจ้งว่า ปี 53 บริษัทมีกำไรสุทธิ 6.34 พันล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 2.14 บาท ลดลงจากปี 52 ที่มีกำไร 9.16 พันล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 3.09 บาท หรือผลประกอบการลดลงประมาณ 31% โดยสาเหตุที่กำไรสุทธิลดลงเป็นผลมาจากค่าการกลั่นที่ต่ำกว่าในปี 52 รวมทั้งส่วนต่างปิโตรเคมีที่แคบกว่าในช่วงดังกล่าว

***** BCP คาดรายได้ปีนี้แตะ 1.5-1.6 แสนลบ.
ดร.อนุสรณ์ แสงนิ่มนวล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ BCP กล่าวว่า คาดว่าแนวโน้มรายได้รวมในปีนี้จะเพิ่มขึ้นอยู่ที่เป็น 1.5-1.6 แสนล้านบาท จากปี 2553 ที่มีรายได้อยู่ที่ประมาณ 1.3 แสนล้านบาท ขณะที่ค่าการกลั่น(GRM) ในปีนี้ยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง โดยใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมาที่ประมาณ 6 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล หรือดีกว่า พร้อมทั้งประเมินว่ากำไรก่อนหักภาษี ดอกเบี้ยจ่าย และค่าเสื่อม (EBITDA) ในปีนี้สูงกว่าปี 2553 บนสมมติฐานว่า ราคาน้ำมันในตลาดโลกยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูง
ทั้งนี้บริษัทฯ ได้ปรับประมาณการราคาน้ำมันในตลาดโลกปีนี้เพิ่มขึ้นจากเดิม โดยคาดว่าราคาเฉลี่ยจะอยู่ที่ระดับ 95-100 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ปัจจัยที่จะส่งผลให้อัตรากำไรในปีนี้ปรับตัวดีขึ้น จากการที่บริษัทฯ จะมีกำลังการผลิตก๊าซ LPG เพิ่มขึ้น อีกทั้งยังมีการผลิตน้ำมันอากาศยานเพิ่มขึ้น โดยลดการขายน้ำมันดีเซลที่เคยส่งออกในสัดส่วน 40-50 ล้านลิตรต่อเดือน โดยลดลงเหลือเพียง 20 ล้านลิตรต่อเดือน ซึ่งจะสนับสนุนให้ค่าการกลั่นปรับตัวดีขึ้น
นอกจากนี้ ในส่วนของโรงกลั่นที่เกิดอุบัติเหตุเพลิงไหม้ในวันที่ 14 ม.ค.ที่ผ่านมา คาดว่าจะซ่อมแล้วเสร็จในวันที่ 6 มี.ค. โดยบริษัทฯ ได้มีการเลื่อนปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นเร็วขึ้นจากเดิม โดยลดจำนวนวันปิดซ่อมบำรุงเหลือแค่ 32 วัน ซึ่งลดลงจากเดิมที่ 38 วัน ซึ่งจะปิดซ่อมบำรุงในช่วงปลายเดือนก.พ. ถึงปลายเดือนมี.ค. โดยหากการซ่อมบำรุงแล้วเสร็จจะมีกำลังการกลั่นเพิ่มเป็น 1 แสนบาร์เรลต่อวัน โดยทั้งปีคาดว่าจะมีกำลังการกลั่นเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 92,000 บาร์เรลต่อวัน จากปี 2553 ที่มีกำลังการกลั่นเฉลี่ย 86,000 บาร์เรลต่อวัน ถือเป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยหนุนให้มาร์จิ้นปรับตัวดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม คาดว่าแนวโน้มรายได้ไตรมาส 1/2554 ของบริษัทฯ มีโอกาสลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน เนื่องจากได้รับผลกระทบจากกำลังการกลั่นที่ลดลง เนื่องจากไตรมาสนี้ บริษัทฯ จะมีการปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นจำนวน 32 วัน แต่
อย่างไรก็ดี ประเมินว่าแนวโน้มกำไรไตรมาส 1/2554 มีโอกาสจะดีกว่าช่วงเดียวกันปีก่อน เนื่องจากไตรมาสนี้บริษัทฯ มีโอกาสที่จะมีกำไรจากสต็อกน้ำมัน (Stock Gain) หลังจากแนวโน้มราคาน้ำมันโลกที่เพิ่มสูงขึ้น

***** ฟาร์อีสท์มองค่าการกลั่นปีนี้อยู่ที่ 6-7 เหรียญ/บาร์เรล
นักวิเคราะห์ บล.ฟาร์อีสท์ กล่าวว่า แนวโน้มผลประกอบการของบริษัทที่ทำธุรกิจโรงกลั่นในปีนี้ คาดว่าจะมีทิศทางปรับตัวดีขึ้นจากปี 2553 ที่ผ่านมา พร้อมทั้งประเมินว่าค่าการกลั่น(GRM) จะปรับตัวสูงขึ้นอยู่ที่ประมาณ 6-7 เหรียญต่อบาร์เรล ขณะที่ประเมินว่าแนวโน้มราคาน้ำมันในตลาดโลกเฉลี่ยจะปรับตัวสูงขึ้นอยู่ที่ 90-95 เหรียญต่อบาร์เรล เนื่องจากได้รับปัจจัยสนับสนุนจากความต้องการใช้น้ำมันปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น และแรงขยายตัวของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะประเทศผู้บริโภคหลักของโลก ประกอบด้วยจีนและอินเดียที่เศรษฐกิจมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งสหรัฐฯ ที่เศรษฐกิจมีการฟื้นตัวดีขึ้นในระยะสั้น
นอกจากนี้ ยังประเมินว่าสถานการณ์ของธุรกิจโรงกลั่นน่าจะปรับตัวดีขึ้นจากปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2553 ที่ความต้องการใช้อ่อนตัวลงค่อนข้างมาก จากความอ่อนแอของเศรษฐกิจสหรัฐฯ แต่ทั้งนี้ภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ เริ่มมีแนวโน้มดีขึ้นในช่วงปลายปี
กลยุทธ์การลงทุน แนะนำซื้อลงทุน ได้แก่ TOP ให้ราคาเหมาะสมปี 54 ที่ 84 บาท BCP ให้ราคาเหมาะสมปี 54 ที่ 20 บาท และ PTTAR ให้ราคาเหมาะสมที่ 42.50 บาท

***** โกลเบล็กแนะซื้อ PTTAR
บทวิเคราะห์บล.โกลเบล็ก ระบุว่า แนะนำซื้อ PTTAR ให้ราคาเป้าหมายปี 54 ที่ 47 บาท หลังบริษัทแจ้งกำไรสุทธิ 4Q53 ที่ 3,807 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 448%qoq และ 154%yoy และเมื่อรวมทั้งปีมีกำไรสุทธิในปี 53 ที่ 6,343 ล้านบาทลดลง 31%yoy กำไรสุทธิที่ลดลงเป็นผลจากการหดตัวของธุรกิจปิโตรฯโดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 2 และ 3 ซึ่งราคาและส่วนต่างปรับตัวลดลงอย่างมากเนื่องจากถูกกดดันจาก Supply ใหม่ที่เพิ่มขึ้นจากจีนและตะวันออกกลาง
ส่วนในปีนี้เราคาดว่ากำไรสุทธิของบริษัทจะกลับมาเพิ่มขึ้นโดยมีปัจจัยหนุนจากการเพิ่มขึ้นของค่าการกลั่นและส่วนต่างปิโตรฯซึ่งมีแรงกดดันจาก Supply ใหม่น้อยลง โดยเราคาดกำไรสุทธิในปีนี้ประมาณ 9,637 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 52%yoy และเมื่อวันที่ 24 ก.พ.54 ที่ประชุมคณะกรรมการมีมติให้ควบรวมกิจการระหว่าง PTTAR + PTTCH โดยมีอัตราส่วนการแลกหุ้น คือ 1 PTTAR แลกได้ 0.501296 หุ้นใหม่ และ 1 PTTCH แลกได้ 1.9801223 หุ้นใหม่ ซึ่งการควบรวมและการนำหุ้นใหม่เข้าจดทะเบียนคาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนส.ค. 54 คงคำแนะนำ 'ซื้อ' โดยมีราคาเป้าหมายปี 54 ที่ 47 บาท

***** เคจีไอ ยก TOP เป็นหุ้นเด่นในกลุ่ม
บทวิเคราะห์บล.เคจีไอ ระบุว่า คาดในไตรมาส 1/54 กลุ่มโรงกลั่น TOP จะรายงานกำไรจากการดำเนินงานเพิ่ม QoQ ในขณะที่ PTTAR จะรายงานกำไรด้อยกว่าจากการปิดซ่อมบำรุง เมื่อหักผลกระทบจากสินค้าคงคลัง เราคาดว่า TOP จะรายงานกำไรจากการดำเนินงานใน ไตรมาส 1/54 ดีต่อเนื่องจาก 1) การเปลี่ยนราคา LPG ในประเทศตั้งแต่วันที่ 14 ม.ค. 54 2) ส่วนต่างราคา middle distillate ที่เพิ่มขึ้น และ 3) ค่าส่วนต่างราคา PX และ BZ ที่สูงขึ้นตั้งแต่ต้นไตรมาสเป็นหลัก ในขณะที่ PTTAR จะรายงานกำไรด้อยกว่า เนื่องจากบริษัทฯ มีแผนปิดโรงกลั่น (AR1) เพื่อซ่อมบำรุงเป็นเวลา 39 วัน
ทั้งนี้ เชื่อว่าการปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นในสหรัฐฯ และยุโรปตามฤดูกาลจำนวน 8 ล้านบาร์เรลต่อวัน ที่ใกล้จะมาถึงจะเป็นประโยชน์ต่อค่าการกลั่นในปลายไตรมาส 1/54 ถึงต้น ไตรมาส 2/54 ก่อนความต้องการ น้ำมันเบนซินจะปรับเพิ่มขึ้นตามฤดูกาลขับขี่ในสหรัฐ จะผลักให้ค่าการกลั่นปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง ในระยะยาวเรายังคงมุมมองเชิงบวกต่อธุรกิจการกลั่นในปี 2554 และ 2555 เนื่องจากความต้องการใหม่ ๆ ยังคงสูงกว่ากำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ความต้องการที่สูงขึ้นในเอเชียแปซิฟิคและตะวันออกกลางยังจะสูงกว่า 1.0 ล้านบาร์เรลต่อวัน ต่อปีในช่วงปี 2554-2558 น่าสังเกตุว่าอุปทานที่เพิ่มขึ้นในปี 2539-2553 ที่ 5.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน จะสูงกว่าเป้ากำลังการผลิตใหม่ในช่วงปี 2554-2558 ถึง 2 เท่า
ขณะเดียวกันจากสูตรราคา LPG หน้าโรงงานใหม่ เราปรับเพิ่มสมมติฐานค่าการกลั่นของเราอีก US$0.3-0.5 ต่อบาร์เรลสำหรับ PTTAR และ TOP ทำให้ประมาณการกำไร สำหรับ TOP ของเราเพิ่ม 4.1-5.5% เป็น 12.8 พันล้านบาทในปี 2554 และ 14.4 พันล้านบาทในปี 2555 ในขณะเดียวกันประมาณการกำไรของ PTTAR ในปี 2554-2555 ก็ปรับเพิ่ม 2.6%-4.8% เป็น 9.6 - 11.5 พันล้านบาทด้วย
นอกจากนี้เรายังปรับเพิ่มประมาณการกำไรในปี 2553 ของเราสำหรับ TOP อีก 8.3% และสำหรับ PTTAR อีก 14.3% เพื่อสะท้อนกำไรจากสินค้าคงคลังและส่วนต่างราคา PX ที่สูงเกินคาดใน ไตรมาส4/53 เราปรับเพิ่มราคาเป้าหมายของเราเป็น 91.00 (จาก 86.50) บาทสำหรับ TOP และเป็น 43.00 (จาก 41.50) บาท สำหรับ PTTAR
ทั้งนี้ แม้ว่าการส่งออกน้ำมันดีเซลจากจีนอาจจะลดลง เรายังคงมุมมองที่เป็นบวกต่อแนวโน้มธุรกิจโรงกลั่นในระยะสั้น จากการปิดกำลังการผลิตจำนวนมากในสหรัฐฯ และยุโรป ซึ่งคาดว่าจะทำให้กำลังการผลิตหายไป 8 ล้านบาร์เรลต่อวัน ในทางตรงกันข้าม เราคาดว่าค่า PX ที่ผิดปกติในปัจจุบันจะมีโอกาสปรับลดลงมากกว่าปรับขึ้น ทำให้เราคงให้น้ำหนัก ‘เท่ากับตลาด’ สำหรับธุรกิจโรงกลั่นโดยมี TOP เป็นหุ้นเด่น


-----------------------------------------------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น