Code 365 : 25/02/54 น้ำมันยันอยู่ แต่ SET ต้านแรงขายไม่ไหว... จุดสำคัญอยู่ที่ 977 จุด

วันศุกร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ 2554

ATT Code : น้ำมันยันอยู่ แต่ SET ต้านแรงขายไม่ไหว... จุดสำคัญอยู่ที่ 977 จุด


เมื่อเช้าวันพฤหัสที่ 24/02/54 ยังมีแรงซื้อเข้ามาใหกลุ่มน้ำมัน ทำให้ SET โดดบวกประมาณ 5 จุด ไปเปิดที่ระดับ 996.25 จุด แต่ก็ขึ้นไปได้อีกนิดหน่อยก็เริ่มตื้อๆ โดยขึ้นไป High แค่ที่ 997.28 ขึ้นไปแค่ 1 จุดเอง และพอ SET ไหลหลุด 990 ที่เส้น 75 วัน ลงมา ก็ไหลลงมาตลอดเลย ในช่วงบ่ายพอมีข่าวเรื่องควบรวม PTTCH กับ PTTAR ออกมา ก้มีการ Sell on fact ทั้ง 2 ตัวออกมา ก็ยิ่งกดดันให้ SET ไหลลง หลุดเส้น 25 วัน และ 10 วัน ที่ 985 และ 982 ตามลำดับ จนกดดันให้ SET ลงมาให้แนวรับที่สำคัญ คือเส้น BB Avg อยู่ที่ 976.87 โดยลงมาปิดที่ 977.22 ลบไป 13.69 จุด ตามภูมิภาค แต่ PTT กับ PTTEP ยังยันราคาไว้ได้อยู่ ส่วนนอกนั้นร่วงกราวเลย

วันนี้หลุดแนวรับทั้ง 3 เส้นเลย ทำให้แนวโน้มดูไม่ดี แต่แนวรับหลักก็ยังสามารถรับได้อยู่อย่างฉิวเฉียด ที่ 977 จุด

แนวโน้มในวันศุกร์ที่ 25/02/54 มีแนวรับที่สำคัญยัญอยู่ที่เส้น BB Avg อยู่ที่ 977 และ 969 ที่เป็น high ของวันที่ 14/02/54 ส่วนแนวต้านก็จะมาอยู่ที่เส้น 10และ 25 วัน ที่ระดับ 982 และ 985 ตามลำดับ แต่ก็ยากส์ที่จะขึ้นไปถึง 990 อีกครั้ง

***ถ้าหลุด 977... SET ก็จะพลิกกลับมาเป็นขาลงอีกครั้ง พร้อมกับมี Indicators ต่างๆ พลิกกลับมาเป็นลบใหม่ ทั้ง 7 ตัว

1. (+/-) MACD ยังคงตัดเส้น Signal ขึ้นมาอยู่ แต่เริ่มลบมากขึ้น.... มีสัญญาณที่ทรงๆ
2. (-) OBV ลงไปที่ 655.... แสดงให้เห็นว่ามีแรงซื้อสะสมลดลง
3. (-) CCI ลดลงมาจาก +77 ขึ้นไปที่ +36 ลดลงมาเกือบ 30 ... แนวโน้มพลิกกลับมาเป็นลบใหม่
4. (-) เส้น ADX : DI+(29) ตัดเส้น DI-(32) โดย DI+ ตัด DI-ลงมาแล้ว ... แนวโน้มพลิกกลับมาเป็นลบใหม่
5. (-) Williams %R ลดลงมาจาก -15 ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ -37 ลบเพิ่มมากขึ้น... แนวโน้มพลิกกลับมาเป็นลบใหม่
6. (-) RSI ขึ้นมาจาก 51% มาอยู่ที่ 46%... แนวโน้มพลิกกลับมาเป็นลบใหม่
7. (-) Fast Sto : %K ตัด %D ลงมาแล้ว โดย %K แต่ลดลงจา84 ลงมาที่ 63... แนวโน้มพลิกกลับมาเป็นลบใหม่
-----------------------------------------------------------------------------
เงาหุ้น : โฟกัส CPALL!!
ดัชนีหุ้นวันที่ 23 ก.พ.54 ปิดที่ 977.22 จุด ลดลง 13.69 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 32,803.35 ล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิ 1,115.55 ล้านบาท

หุ้นที่มีการซื้อขายสูงสุด นำโดย IRPC ปิดที่ 5.50 บาท ลดลง 0.10 บาท, PTT ปิดที่ 340 บาท เพิ่มขึ้น 1 บาท, PTTEP ปิดที่ 184 บาท เพิ่มขึ้น 4 บาท, PTTCH ปิดที่ 145.50 บาท ลดลง 4.50 บาท, TOP ปิดที่ 72.25 บาท ลดลง 2.25 บาท

ฝ่ายวิเคราะห์ บล.ฟิลลิป ชี้หุ้นไทยผันผวนขึ้น-ลงแรง มีแรงซื้อหุ้นพลังงาน รับอานิสงส์ราคาน้ำมันปรับตัวสูง จากผลกระทบจากความวุ่นวายของประเทศต่างๆในตะวันออกกลาง แต่กลับมีแรงขายทำกำไร หุ้น PTTAR และ PTTCH หลังมีข่าวมติการควบรวมของทั้ง 2 บริษัท ซึ่งเป็นประเด็นต้องติดตาม

มองแนวโน้มตลาดระยะสั้น คาดว่าจะยังคงผันผวนและแกว่งตัวในทิศทางขาลง เนื่องจากยังคงมีปัญหาเงินเฟ้อที่นักลงทุนส่วนใหญ่วิตกกังวลว่าจะส่งผลต่อเศรษฐกิจ หลังราคาน้ำมันในตลาดโลกทะยานต่อเนื่องจากความขัดแย้งในประเทศตะวันออกกลาง โดยเฉพาะลิเบียที่ยังไม่มีความคืบหน้าในทิศทางเชิงบวก เป็นประเด็นที่นักลงทุนต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะส่งผลโดยตรงต่อทิศทางราคาน้ำมันและตลาดหุ้นทั่วโลก

แนะกลยุทธ์การลงทุน แนะเก็งกำไร 30% ของพอร์ต โดยเน้นหุ้นรายตัวที่ผลประกอบการดีและมีเงินปันผลสูง ด้านเทคนิคประเมินแนวรับไว้ที่ 970-965 จุด ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 986-990 จุด

โฟกัสหุ้นรายตัวหุ้น CPALL แทบทุกโบรกฯแนะซื้อ ยกเว้น บล.เกียรตินาคิน แนะ "ถือ" ให้ราคาเป้าหมายปี 54 ที่ 39 บาท ขณะที่ ซิกโก้ แนะ "ซื้อ" ให้ราคาเหมาะสมที่ 53 บาท, ยูไนเต็ดให้เป้าหมาย 49.25 บาท, กิมเอ็งให้ 49 บาท, ดีบีเอสวิคเคอร์สให้ 48.50 บาท, ฟินันเซีย ไซรัส ให้ 48 บาท, กรุงศรีอยุธยาให้ 46.58 บาท, ทิสโก้ 46 บาท และทรีนีตี้ ให้ราคาเป้าหมาย 40 บาท

ปิดท้ายมีข่าว "ประสิทธิ์ ศรีสุวรรณ" รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บล.คันทรี่ กรุ๊ป ประเมินตลาดหุ้นไทยปีนี้ยังมีแนวโน้มขยับตัวขึ้นต่อเนื่อง โดยฝ่ายวิจัยยังคงคาดว่าดัชนีหุ้นปีนี้จะไต่ระดับขึ้นไปได้ถึง 1,200 จุด และมีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันประมาณกว่า 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะทำให้รายได้นายหน้าค้าหลักทรัพย์ดีขึ้นตามไปด้วย!!

อินเด็กซ์ 51
-----------------------------------------------------------------------------
MARKET WAVE Analysis
25 กพ. 54 ( -13.69 จุด ) โกมล พงศ์วิญญู เลขทะเบียน 18338

ต่ำกว่า 977.08 มีโอกาสปรับตัวลงต่อ …
ดัชนีในวันพฤหัส ปรับตัวลงมาบริเวณแนวรับตามธรรมชาติของเส้นค่าเฉลี่ย 25 วันพอดี

แนวโน้มในวันศุกร์นี้ตราบใด ไม่ต่ำกว่า
977.08 จุดดต่ำสุดของวันพฤหัส ดัชนีมีโอกาสปรับตัวกลับขึ้นไปแถว 985 - 990 ใกล้บริเวณแนวต้านตามธรรมชาติของเส้นค่าเฉลี่ย 25 ชั่วโมง

อย่างไรก็ตามการปรับตัวลง ต่ำกว่า977.08 จุดต่ำสุดของวันพฤหัส ตลาดมีความเสี่ยงที่จะปรับตัวกลับลงไปแถว 950 – 960 ใกล้
จุดต่ำสุดของสัปดาห์ที่แล้ว สำหรับภาพสัปดาห์หน้า

หุ้นเด่น
PTTEP
ยังสามารถปรับตัวอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ย 25 วันได้ รอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 185.00จุดสูงสุดวันพฤหัส เป้าหมายสองสามวัน190.50 – 194.50( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 182.00 )

10 อันดับซื้อขายสูงสุด
IRPC ต่ำกว่า 5.40 ลง 5.20 – 5.30
PTT ต่ำกว่า 339 ลง 335 - 337
PTTEP รายละเอียดใน “หุ้นเด่น”
PTTCH ต่ำกว่า 145 ลง 142 - 144
TOP ต่ำกว่า 72.25 ลง 70 - 71
BANPU ต่ำกว่า 734 ลง 720 – 730
PTTAR ต่ำกว่า 36.75 ลง 35 - 36
CPF แกว่งตัว 23 - 24
IVL ต่ำกว่า 40.50 ลง 38 - 39
SCB ต่ำกว่า 98.50 ลง 96 - 97

-----------------------------------------------------------------------------
E Finance Thai : เปิดฉาก! PTTCH ควบ PTTAR
PTT เปิดฉากควบรวมกิจการ PTTCH และ PTTAR ด้วยแผน Amalgamation คาดสำเร็จพร้อมหุ้นใหม่เข้าเทรด ส.ค.นี้ กับขนาดมาร์เก็ตแคป 3 แสนล้านบาท ใหญ่ที่สุดอันดับ 4 ในตลาดหลักทรัพย์ฯ โบรกฯ แนะ อยากเก็งกำไรก่อนต้องลุย PTTCH เหตุราคาหุ้นยังมีอัพไซด์

* บอร์ด PTT ไฟเขียวแผนควบรวม PTTCH - PTTAR แบบ Amalgamation
แหล่งข่าวจากคณะกรรมการ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT เปิดเผยภายหลังจากการประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2554 ว่า ที่ประชุมได้มีมิตอนุมัติแผนควบรวมกิจการระหว่าง บริษัท ปตท. เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (PTTCH) และบริษัท ปตท. อะโรเมติกส์และการกลั่น จำกัด (มหาชน) (PTTAR) โดยใช้วิธี Amalgamation โดยจะมีการตั้งบริษัทใหม่แล้วเข้ามาแลกหุ้นกับบริษัทเดิม หลังจากนั้นจะนำเรื่องเสนอต่อผู้ถือหุ้นของบริษัทอนุมัติต่อไป

* ดันมาร์เก็ตแคปแตะ 3 แสนลบ. ติดอันดับ 4 หุ้นใหญ่สุดใน ตลท.
แหล่งข่าวกล่าวต่อว่า ภายหลังจากการควบรวมกิจการระหว่าง PTTAR และ PTTCH เรียบร้อยแล้ว บริษัทใหม่ที่เกิดขึ้นจะมีขนาดมาร์เก็ตแคปเพิ่มเป็นประมาณ 3 แสนล้านบาท โดยมีขนาดมาร์เก็ตแคปใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 4 ในตลาดหลักทรัพย์ฯ
โดยหลังจากนี้จะมีการเสนอต่อผู้ถือหุ้นในเดือนเมษายนนี้ พร้อมทั้งคาดว่าหุ้นของบริษัทใหม่ที่เกิดจากการควบรวมกิจการจะสามารถเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ในช่วงเดือนสิงหาคมปีนี้ ซึ่งหลังจากขั้นตอนที่ผู้ถือหุ้นได้มีการอนุมัติแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็จะมีการดำเนินการตามกฏหมาย โดยจะต้องตั้งบริษัทใหม่ และนำหุ้นมาแลกกับหุ้นของบริษัทเดิม

* ชี้เป็นไปตามเทรนด์ใหม่ของโลก
แหล่งข่าวกล่าวด้วยว่า การควบรวมกิจการดังกล่าว เป็นไปตามแนวโน้มของบริษัทที่ดำเนินธุรกิจปิโตรเคมีขนาดใหญ่ของโลกที่มีการควบรวมกิจการกันมากขึ้น และจากการที่บริษัทมีขนาดใหญ่ขึ้น จะช่วยสร้างความสนใจให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนมากขึ้น
นอกจากนี้ในส่วนของราคาที่จะใช้ในการแลกหุ้นกับหุ้นเดิม ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทของ ปตท. ได้อนุมัติแล้ว โดยยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ ทั้งนี้จะต้องมีการให้คณะกรรมการอีก 2 บริษัท คือ PTTCH และ PTTAR มีการประชุมเพื่ออนุมัติต่อไป

* PTT เผยหลังควบกิจการหนุนกำไรเพิ่มขึ้นอีก 2-4 พันล้านบาท/ปี
แหล่งข่าว กล่าวในตอนท้ายว่า ภายหลังจากที่มีการควบรวมกิจการระหว่าง PTTAR และ PTTCH คาดว่าจะสามารถช่วยสร้างกำไรให้กับบริษัทใหม่ที่เกิดจากการควบรวม 2 บริษัทดังกล่าวได้อีก 2-4 พันล้านบาทต่อปี

* บล.เคจีไอ มองกลุ่มปิโตรเคมีและโรงกลั่น ให้น้ำหนักเท่ากับตลาด
บทวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เคจีไอ ประเมินก่อนหน้านี้ว่า จากความต้องการอย่างแรงกล้าของ PTT ในการเดินหน้าตามแผนควบรวมกิจการโรงกลั่นและโรงงานปิโตรเคมีในเครือของบริษัทฯ เราเชื่อว่าผลสรุปว่าบริษัทใดจะถูกควบรวมกิจการในคราวนี้จะสามารถประกาศได้ในปลายเดือนก.พ. (หรืออย่างช้าในเดือน มี.ค.) และกระบวนการทั้งหมดจะเสร็จสิ้นในไตรมาส 3/54
เราเห็นว่า PTTAR และ PTTCH จะถูกควบรวมกิจการเข้าด้วยกัน เนื่องจาก IRPC* ยังมีปัญหาในด้านกฎหมาย ในขณะที่ TOP* มีข้อจำกัดในด้านสถานที่ การควบรวมกิจการดังกล่าวจะใช้วิธี Amalgamation โดย PTT มีประสบการณ์ในวิธีการดังกล่าว นอกจากนี้วิธีดังกล่าวยังจะทำให้ PTT มีสิทธิออกเสียงในรายการดังกล่าวอีกด้วย

* ระบุ PTTCH น่าสนใจกว่าในฐานะที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นช้ากว่า
ที่ระดับราคาปัจจุบัน อัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 3.7x (3.7 หุ้น PTTAR เท่ากับ 1 หุ้น PTTCH) เนื่องจาก PTTAR มีผลประกอบการที่ดีในระยะหลังนี้จากค่า PX spread ที่ปรับตัวสูงขึ้น อย่างไรก็ดี เราเชื่อว่าค่า PX spread ที่สูงขึ้นในปัจจุบันจะอยู่ได้อีกไม่นาน จากการคำนวณอัตราแลกเปลี่ยนของเราที่ 4.1x PTTCH จึงมีความน่าสนใจมากกว่า PTTAR ในฐานะที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นช้ากว่า
นอกจากนี้ ในกรณีที่ PTT ตัดสินใจยกเลิกแผนการควบรวมกิจ PTTCH ก็ยังคงน่าสนใจ เนื่องจากเราเห็นว่ากำไรของบริษัทฯ จะโตอีกหลายปีติดต่อกัน คงแนะนำ ‘ซื้อ’ PTTCH โดยมีราคาเป้าหมายที่ 190.00 บาทและคงแนะนำ ‘ถือ’ PTTAR โดยมีราคาเป้าหมายที่ 41.50 บาท ปัจจัยเสี่ยงสำคัญประกอบด้วยแนวโน้มธุรกิจและความสามารถในการทำกำไรที่เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญของทั้ง 2 บริษัทฯ
อย่างไรก็ตาม สำหรับประโยชน์ในด้านการดำเนินงานจากการรวมกันเป็นหนึ่งเดียว คาดว่าบริษัทที่จะเกิดขึ้นหลังการควบรวมจะสร้างมูลค่าเพิ่มจากแลกเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ รวมถึงการสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่จากสายการผลิตเดิม ปัจจุบัน PTTAR และ PTTCH มีรายการซื้อขายสินค้าซึ่งกันและกัน อย่างไรก็ดีการควบรวมกิจการจะให้ความยืดหยุ่นและกำไรที่สูงกว่าสำหรับทั้งสองบริษัทฯ รวมถึง PTT ในฐานะที่เป็นบริษัทแม่ หากบริษัททั้งสองรวมเป็นบริษัทเดียว นอกจากนี้ บริษัทใหม่ยังจะได้ประโยชน์จากช่วงที่ดีของรอบธุรกิจ และลดความเสี่ยงในด้านกำไรในช่วงที่ยากลำบาก

* บล.เกียรตินาคิน ชี้ ช่วยเพิ่มความสามารถการแข่งขันกับต่างประเทศ
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เกียรตินาคิน เปิดเผยว่า จากกรณีการควบรวมระหว่างบริษัทในกลุ่ม ปตท. ได้แก่ PTTCH และ PTTAR นั้น เบื้องต้นประเมินว่าการควบรวมทั้ง 2 บริษัทฯดังกล่าวเข้าด้วยกันจะส่งผลให้มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด ( Market Capitalization) ใหญ่ขึ้นติดอยู่อันดับ 1 ใน5 ของมูลค่าหลักทรัพย์ที่มีขนาดใหญ่ในตลาดหุ้น ซึ่งถือเป็นเป็นเรื่องที่ดีต่อการดำเนินงานของทั้ง 2 บริษัทฯ
โดยเฉพาะจะช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันกับต่างประเทศให้สูงขึ้นจากปัจจุบัน อีกทั้งยังสามารถลดต้นทุนการผลิตได้มากพอสมควร จากการแลกผลิตภัณฑ์เพื่อมาดำเนินธุรกิจปิโตเคมี และยังทำให้ได้รับประโยชน์จากการขยายธุรกิจปลายน้ำได้อีกด้วย เช่น การผลิตเม็ดพลาสติก
นอกจากนี้ ยังเป็นการส่งเสริมในการดำเนินงานของบริษัทฯ เพราะ PTTCH ถือว่ามีฐานะกระแสเงินสดแข็งแกร่งพอสมควร ส่วนด้านPTTAR ก็มีแผนงานที่มาก ซึ่งถือว่าเป็นการส่งเสริมเกื้อหนุนการทำธุรกิจกัน อย่างไรก็ตาม ความเป็นไปได้ที่คาดว่าจะควบรวมแล้วเสร็จประมาณ 6-9 เดือนหลังจากที่บอร์ดมีมติอนุมัติ
"หากประเมินราคาหุ้นของบริษัทฯ หลังจากการควบรวมแล้ว ขณะนี้คงประเมินได้ยาก เพราะต้องขึ้นอยู่กับสภาวะตลาดของธุรกิจปิโตรฯ ว่าเป็นอย่างไรในช่วงเวลานั้น" นักวิเคราะห์ กล่าว

* ฟันธง! การควบรวมครั้งใหม่เกิดได้ยาก
นอกจากนี้ จากการประเมินแล้วคาดว่า การควบรวมของบริษัทฯ ในเครือ ปตท. รอบต่อไปคงจะเกิดขึ้นได้ยาก เพราะทั้ง 2 บริษัทฯ ทั้ง IRPC และ TOP ยังมีข้อจำกัดอยู่หลายด้าน โดย IRPC ก็ยังมีปัญหาทางด้านข้อกฎหมายอยู่มาก ส่วน TOP หากนำไปควบรวมกับบริษัทฯ ที่เกิดขึ้นจากการควบรวมระหว่าง PTTAR และ PTTCH แล้ว ก็เชื่อว่าอาจจะต้องเจอกับคำวิพากวิจารณ์เกี่ยวกับการผูกขาดธุรกิจโรงกลั่นได้ ซึ่งถือว่าเป็นความเสี่ยงต่อการดำเนินงานในอนาคต
ทั้งนี้ หากนักลงทุนสนใจเข้าซื้อหุ้นของบริษัทฯ ควบรวมแนะนำ PTTCH เพราะได้เปรียบทั้งด้านราคาหุ้นที่ยังมี Upside และยังมีผลการดำเนินงานที่ดีกว่า PTTAR โดย PTTCH มีราคาพื้นฐานอยู่ที่ 198 บาท และ PTTAR อยู่ที่ 46 บาท

-----------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย

ยังเน้นขายมากกว่าซื้อ จากนั้นถือเงินสดไว้รอหาจังหวะรับใหม่เมื่อลงต่ำ!!
แนวโน้ม: หลังจากการประกาศผลประกอบการ Q4/53 ของ บจ.ในบ้านเราเริ่มเข้าสู่ช่วงสุดท้าย SET ก็เริ่มมีแรงขายในลักษณะ Sell on Fact ออกมากดดันตลาดบ้างแล้ววานนี้ ขณะที่ข่าวการควบรวมของ PTTCH และ PTTAR ก็ออกมาเป็นไปตามคาดด้วย ทำให้ตลาดเริ่มไม่มีปัจจัยบวกเกื้อหนุน ขณะที่ความกังวลต่อสถานการณ์ความรุนแรงในลิเบีย และประเทศต่างๆ ในตะวันออกกลางยังคงมีอยู่รวมทั้งราคาน้ำมันที่ขยับสูงขึ้นมาอย่างรวดเร็วและรุนแรงในระยะนี้น่าจะส่งผลกระทบต่อภาวะเงินเฟ้อของหลายประเทศโดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียที่ตัวเลขเงินเฟ้อค่อนข้างสูงอยู่แล้วเพิ่มขึ้นอีก รวมทั้งในรอบที่ผ่านมา SET ก็ดีดตัวขึ้นมาพอสมควร ดังนั้น FSS มองว่าตั้งแต่สัปดาห์หน้าไปต้องเริ่มระวังแรงขายกดดันให้SET กลับมาแกว่งตัวลงต่อเนื่องอีกครั้งและมีโอกาสไหลลงหาจุดต่ำเดิมแถว 940จุดอีกครั้งได้

กลยุทธ์: ยังเน้นขายมากกว่าซื้อและถือเงินสดไว้รอหาจังหวะรับใหม่อีกครั้งดีกว่า

ประเด็นสำคัญวันนี้
• (+) PTTCH+PTTAR กำไรเป็นไปตามคาด การควบรวมเป็นไปตามนัด ทั้ง2 บริษัทจะควบรวมกิจการแล้วตั้งเป็นบริษัทใหม่ อัตราส่วนแลกหุ้นคือ 1 หุ้นเดิมของ PTTCH ต่อ 1.980122323 หุ้นบริษัทใหม่ และหุ้นเดิมของ PTTAR ต่อ0.501296791 หุ้นในบริษัทใหม่ เปรียบเทียบสัดส่วนที่เหมาะสมของหุ้น PTTCH 1 หุ้น จะได้ 3.95 หุ้นของ PTTAR หรือคำนวณตามราคาปิดของ PTTCH ที่ 145.50 บาท จะได้หุ้น PTTAR เท่ากับ 36.84 บาท/หุ้น หรือ หากเอา PTTAR ตั้ง 37.25 จะได้ราคาหุ้นหุ้น PTTCH ที่ 147.14 บาท/หุ้น Synergy ในระยะสั้นจะยังไม่เกิด ดังนั้นเมื่อไม่มีประเด็นใหม่เข้ามากระทบราคาหุ้นทั้งอาจเกิด Sell on Fact ระยะสั้นแต่ระยะยาวหลังเกิด Synergy แล้ว และราคาหุ้นหลังควบรวมเป็นบริษัทใหม่แล้วมีราคาต่ำกว่า PE ระดับภูมิภาค หากราคาอ่อนตัวจึงน่าสนใจ

• (+) สินเชื่อแบงก์เดือน ม.ค. +1.5%M-M TMB มีสินเชื่อโตมากสุด+6.4%M-M รองลงมา SCB +2.1%M-M, KK +1.8%M-M เรายังคงคาดสินเชื่อทั้งปี +8.1% ชะลอจากฐานสูงปีก่อนที่ +11.5% แนวโน้มกำไร 1Q11 ของกลุ่มแบงก์ คาดเพิ่ม 5%Q-Q และ 9% Y-Y Top Pick ของเรายังคงเป็น KBANKนอกจากนี้ KTB และ SCB น่าสนใจเช่นกัน

• (+) AP กำไรดีเกินคาด โดยกำไรปกติ 4Q10 +579%Q-Q, -24%Y-Y ดีกว่าเราและตลาดคาด จากยอดโอนคอนโดถึง 5 โครงการ และกำไรขั้นต้นเพิ่มสูงขึ้นเราคาดว่า AP จะจ่ายปันผล 0.34 บาทต่อหุ้น คิดเป็น yield 5.7% ราคาเป้าหมาย8.30 บาท มี upside ถึง 41%

• (+) SVI กำไร 4Q10 ตรงตามคาด +8%Q-Q, +25%Y-Y ทำให้กำไรทั้งปี2010 +23% ทำ New High เราคาดว่ากำไรปี 2011 จะโตต่อ 19% สวนทางบริษัทอื่นในกลุ่มที่โตเฉลี่ย 2% - 4% SVI ประกาศจ่ายปันผลอีก 0.105 ยาท/หุ้นyield 2.8% XD 29 เม.ย. จ่ายเงิน 20 พ.ค. เราแนะนำ SVI เป็น Top pick ในกลุ่มนี้ ราคาเป้าหมาย 5.20 บาท

• (+) ROJNA กำไรดีกว่าคาด โดยกำไร 4Q10 +992%Q-Q, +423%Y-Y สูงกว่าคาดมากจากรายได้จากคอนโดในจีนที่ดีกว่าคาด ทำให้กำไรปกติทั้งปี 2010+21% จ่ายปันผล 0.40 บาท/หุ้น yield 3.5% XD 24 มี.ค. จ่ายเงิน 25 พ.ค. เรา
คาดปี 2011 กำไรลดลง 8% จากการเปลี่ยนมาตรฐานการรับรู้รายได้เป็นเมื่อโอนความเสี่ยง ราคาหุ้นปรับขึ้นมาเร็ว รับข่าวดีไปแล้ว แนะนำขาย

ค่าเงินบาทอ่อนค่าเล็กน้อยมาเคลื่อนไหวแถว 30.55-30.65 บ./ดอลลาร์ โดยค่าเงินดอลลาร์ยังอ่อนตัวลงต่อเนื่อง

แผนควบลูกปตท.ฉลุย PTTAR แลก PTTCH 4:1 มาร์เก็ตแคป 3 แสนล้าน บริษัทใหม่เข้าเทรดส.ค.นี้ แผนควบกิจการ PTTCH-PTTAR ผ่านฉลุยรูปแบบ A+B=C หลังบอร์ด ปตท. ไฟเขียว ส่วนบอร์ด 2 บริษัทลูกไม่คัดค้าน เชื่อบริษัทใหม่มาร์เก็ตแคป 3 แสนล้านบาท รายได้เพิ่มปีละ 2,000-4,000 ล้านบาท ย้ำบริษัทใหม่พร้อมเข้าเทรดเดือนส.ค.นี้ วงการเงินเผยสูตรแลกหุ้น PTTAR 4 หุ้นแลก PTTCH 1 หุ้น (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 25-02-2011)

TMB ปันผล 0.015 บ. ครั้งแรกในรอบ 14 ปี บอร์ดทหารไทยไฟเขียว ประกาศจ่ายปันผล 0.015 บาท ในรอบ 14 ปี พร้อมขอความเห็นชอบจากผู้ถือหุ้น 8 เม.ย. นี้ หลังฟาดกำไร 3.2 พันล้านบาท โบรกฯ คาดปีนี้ปั๊มอีก 4 พันล้านบาท ส่วน KBANK ไม่น้อยหน้าจ่ายปันผลงวดสุดท้ายของปี'53 ในอัตรา 2.00 บาท เผยจ่าย 29 เม.ย.นี้ (ทมี่ า: นสพ.ข่าวหุ้น 25-02-2011)

RS จัดหนักกำไรโต 300% จ่ายปันผล 15 สต. รอบ 4 ปี สิ้นสุดการรอคอย RS โชว์รายได้ปี'53 พุ่ง 2,917 ล้านบาท กำไรสวย 316 ล้านบาท โตทะลัก 319% ลุยจ่ายปันผลในรอบ 4 ปี สูงถึง 15 สตางค์ ฟากผู้บริหารลั่น วางเป้ารายได้ปี'54 แตะระดับ 3,100 ล้านบาท จ่อคิวเปิดตัวทีวีดาวเทียมเสริมทัพเพิ่มอีก 1 ช่องเดือนมี.ค.นี้ (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 25-02-2011)

LOXLEY ซวยสองเด้งหวยออนไลน์ - 3จี ส่อวืด ประชุมบอร์ดสลากวันนี้ มีมติให้ทำหนังสือถึงดีเอสไอขอคำยืนยันหวยออนไลน์ไม่ฮั้ว ก่อนถามกฤษฎีกาอีกรอบทำ 6 ตัวได้หรือไม่ “ประดิษฐ์”คาดถ้ายุบสภาฯเร็ว โครงการเดินหน้าไม่ทันรัฐบาลชุดนี้ ขณะที่ประมูล 3 จีส่อวืด บอร์ดทีโอทีตบเท้าลาออก ประชุมวันนี้ล่ม (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 25-02-2011)

TRU งบสุดหรูกำไร 219 ล้านปันผลรอบ 4 ปี TRU หักปากกาเซียน โชว์รายได้ทะลุ 2,000 ล้านบาท กำไรเดือด 219 ล้านบาท “สมพงษ์” มั่นใจปี'54 รายได้โตไม่มีเบรก วางเป้าเพิ่มขึ้น 10-15% ขานรับยอดผลิตรถยนต์บินสูงระดับ 1.8 ล้านคัน หวนจ่ายปันผล 25 สตางค์ เป็นครั้งแรกในรอบ 4 ปี(ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 25-02-2011)

-----------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ตปท.
ดัชนีดาวโจนส์ปิดปรับตัวลง 37.28 จุด แต่เป็นการดีดกลับขึ้นในช่วงท้ายๆ หลังจากปรับตัวลดลงไปกว่า 120 จุดในระหว่างวัน โดยได้รับแรงหนุนจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดระดับลงจากจุดสูงสุด หลังมีข่าวลือเรื่องผู้นำลิเบียถูกยิงอย่างไรก็ตามข่าวดังกล่าวยังไม่ได้เป็นข่าวจริงแต่อย่างใด

ตลาดหุ้นยุโรปดิ่งลงมากที่สุดในรอบเกือบ 8 เดือน หลังความกังวลเรื่องเงินเฟ้อและอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจกดดันความมั่นใจของนักลงทุน

ขณะที่ตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้ยังมีจังหวะรีบาวด์ขึ้นเล็กน้อยอีกครั้ง แต่ก็ยังอยู่ในลักษณะแกว่งผันผวนแคบๆ

ราคาน้ำมันดิบในตลาด NYMEX ปิดที่ 97.28 ดอลลาร์/บาร์เรล ปรับตัวลง 0.82 ดอลลาร์ หลังจากที่ระหว่างวันขยับขึ้นไปถึงระดับ 103.41 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบเกือบ 2 ปีครึ่ง โดยราคาปรับตัวย้อนกลับลงมาหลังมีข่าวว่าซาอุฯ พร้อมที่จะผลิตน้ำมันชดเชยในส่วนของลิเบีย รวมถึงข่าวลือว่าผู้นำลิเบียถูกยิง

ราคาทองคำล่วงหน้าในตลาด COMEX ปิดที่ 1415.80ดอลลาร์/ออนซ์ บวกอีก 1.80 ดอลลาร์ ยังบวกต่อเนื่องในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย แม้ว่าจะลดช่วงบวกลงเล็กน้อย

สหรัฐอเมริกา: สหรัฐเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานสัปดาห์ที่แล้วร่วงลงต่ำสุดในรอบกว่า 2 ปี กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการระหว่างว่างงานในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุด ณ วันที่ 19 ก.พ. ร่วงลงมาอยู่ที่ระดับ 391,000 ราย จากสัปดาห์ก่อนหน้านั้นที่ระดับ 413,000ราย ส่วนจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานโดยเฉลี่ย 4 สัปดาห์ ร่วงลงสู่ระดับ 402,000 ราย ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ช่วงกลางปี 2551 (ที่มา: อินโฟเควสท์ 25-02-2011)

สหรัฐอเมริกา: สหรัฐเผยยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนม.ค.เพิ่มขึ้น 2.7% กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน หรือสินค้าที่มีอายุการใช้งานนานกว่า 3 ปี เพิ่มขึ้น 2.7% ในเดือนม.ค. ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.ย.ปี 2553 หลังจากยอดสั่งซื้อเครื่องบินพาณิชย์ของสหรัฐปรับตัวสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม หากไม่นับรวมยอดสั่งซื้ออุปกรณ์ด้านการขนส่ง ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนม.ค.ร่วงลง 3.6% สวนทางกับที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.4% (ที่มา: อินโฟเควสท์ 25-02-2011)

สหรัฐอเมริกา: สหรัฐเผยสต็อกน้ำมันดิบสัปดาห์ที่แล้วเพิ่มขึ้นน้อยเกินคาด 800,000 บาร์เรล สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) รายงานว่า สต็อกน้ำมันดิบในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุด ณ วันที่ 18 ก.พ.เพิ่มขึ้น 800,000 บาร์เรล แตะที่ 346.7 ล้านบาร์เรล น้อยกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะพุ่งขึ้น 1.3 ล้านบาร์เรล สต็อกน้ำมันกลั่นลดลง 1.3 ล้านบาร์เรล แตะที่ 159.9 ล้านบาร์เรล ใกล้เคียงกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 1.4 ล้านบาร์เรล และสต็อกน้ำมันเบนซินลดลง 2.8 ล้านบาร์เรล แตะที่ 238.3 ล้านบาร์เรล สวนทางกับที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 400,000บาร์เรล ส่วนอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันร่วงลง 1.8% แตะที่ 79.4% สวนทางกับที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.4% (ที่มา: อินโฟเควสท์ 25-02-2011)


-----------------------------------------------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น