Code 353 : หุ้นปันผลอีกแล้ว!!

วันอังคารที่ 8 กุมภาพันธ์ 2554

ATT Code : หุ้นปันผลอีกแล้ว!!
เงาหุ้น : หุ้นปันผลที่นักวิเคราะห์ทุกสำนักแนะให้ทยอยซื้อในช่วงตลาดผันผวน ถือเป็นจังหวะการเข้าซื้อหุ้นที่จ่ายปันผลสูง ซึ่งจะช่วยรองรับความผันผวนของตลาดและชดเชยเงินเฟ้อที่จะเพิ่มขึ้นได้ "ทิสโก้มองการปรับฐานของตลาดยังไม่สิ้นสุด น่าจะเป็นโอกาสทองในการทยอยซื้อหุ้นที่มีปันผลสูง"

บล.เอเซียพลัส ระบุว่า ถึงเวลาซื้อหุ้นปันผลแล้ว ซื้อหุ้นที่คาดว่าจะมีผลตอบแทนจากเงินปันผลตั้งแต่ 5% ขึ้นไป เพื่อให้ชนะเงินเฟ้อ ซึ่งมีหลายบริษัท โดยเฉพาะในกลุ่มอสังหาฯ ทั้งนี้ จัด TK, CPF, TCAP และ KK มาให้

ส่วน บล.พัฒนสิน ชี้หุ้นที่มีโอกาสปรับขึ้นจากราคาปัจจุบันอีกไม่ต่ำกว่า 15% เลือกมาให้เบ็ดเสร็จ คือ LST, BECL, BEC, DCC, TISCO, LPN, UVAN และ MCOT

-----------------------------------------------------------------------------
FSS : เราไม่คิดว่าฝรั่งจะขายหุ้นไทยเพราะการประกาศใช้พรบ.ความมั่นคงฯ เป็นเหตุผลหลัก เหตุการณ์ต่างจาก พรก.ฉุกเฉินในปีก่อน แต่การขายหุ้น TIPs จะยังมีต่อไปด้วยเหตุผล asset allocation เป็นหลัก

มีผู้ถามว่าการประกาศใช้ พ.ร.บ.รักษาความมั่นภายในราชอาณาจักรหมวด 2 (กล่าวถึงอำนาจหน้าที่ของ กอรมน.) จะทำให้ฝรั่งขายหนักเหมือนปีที่แล้วที่ประกาศใช้ พรก. หรือไม่ นั้น

เราคิดว่าไม่ เพราะ 1) น้ำหนักของ พรก.ฉุกเฉินที่ประกาศใช้ตั้งแต่ 7 เม.ย. 2010 มีน้ำหนักมากกว่า พรบ.มั่นคงที่ประกาศใช้ในวันที่ 9 - 23 ก.พ. นี้ มาก 2) การประกาศ พรก.ฉุกเฉินในปีที่แล้วเป็นเรื่องใหม่สำหรับตลาดฯ แต่ครั้งนี้ไม่ใช่ 3) พรบ.ความมั่นคงฯ มีการประกาศใช้มาแล้ว สมัยนายกฯสมัคร 2 ก.ย. 2008 และยุคที่ ปชป. เป็นรัฐบาล เดือน ส.ค. และ ธ.ค. 2009 ในช่วงดังกล่าว ต่างชาติขายเพียงวันละเป็นหลักร้อยล้านบาท และเป็นเวลาเพียง 2-3 วัน ไม่มีนัยสำคัญอย่างไรก็ตาม เป็นธรรมดาที่กองทุนต่างชาติบางแห่งที่มีข้อจำกัดเรื่อง political risk ในการลงทุนทำให้ต้องลดสัดส่วนบ้าง แต่เชื่อว่ามีส่วนน้อย เราเชื่อว่าต่างชาติจะยังขายหุ้นไทยรวมทั้งในกลุ่ม TIPs อื่นๆ ต่อไป ด้วยเหตุผลหลักของการปรับ asset allocation ที่ไหลกลับเข้าสู่ประเทศ G3 (สหรัฐ ยุโรป ญี่ปุ่น) เพราะเศรษฐกิจที่เริ่มดูจะฟื้น ขณะที่ตลาด EM กลับมีความเสี่ยงเรื่องขึ้นดอกเบี้ยไม่ทันเงินเฟ้อ

เรามีสถิติให้ดูว่าการประกาศใช้ พรก.ภาวะฉุกเฉินในปีก่อนเป็นเรื่องรุนแรงกว่ามาก รัฐบาลประกาศใช้ พรก.ภาวะฉุกเฉินครั้งแรกเย็นวันที่ 7 เม.ย. วันรุ่งขึ้น (8 เม.ย.) ต่างชาติพลิกเป็นขายทันที จากก่อนหน้านั้นที่ซื้อติดต่อกัน 31 วันเฉลี่ยวันละ 1.9 พันล้านบาท และขายติดต่อกัน 4 วัน หลังจากนั้นสลับเป็นซื้อบ้าง แต่หนักไปทางขายจนกระทั่งมีเหตุการณ์จลาจลปลายเดือน พ.ค. ก็ยังขายอย่างต่อเนื่อง สวนทางกับ 'กองทุนในประเทศ' ที่ซื้อมากกว่าขาย ต่างชาติเพิ่งกลับมาซื้อหุ้นไทยอย่างจริงจังเมื่อมาบตาพุดมีความชัดเจน 2 ก.ย. 2010 ทำให้ทั้งปี 2010 ต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทย 8.17 หมื่นล้านบาท โดย 93% เป็นยอดที่ซื้อหลังคดีมาบตาพุดมีความชัดเจน และซื้อหุ้นกลุ่มพลังงานเป็นหลักหลังจากที่ laggard มาตลอดทั้งปี

-----------------------------------------------------------------------------
Commodities WoW :
· สัปดาห์ที่ผ่านมาราคาน้ำมันดิบผันผวนในกรอบแคบ
· ค่าการกลั่นปรับลง W-W เล็กน้อยแต่ยังอยู่ในระดับสูง (เป็นบวกต่อ TOP, ESSO และ BCP)
· ราคาปิโตรเคมีต้นน้ำสายโอเลฟินส์ปรับขึ้นเล็กน้อย แต่ปรับขึ้นต่อเนื่อง 11 สัปดาห์ติดต่อกัน (เป็นบวกต่อ PTTCH)
· ราคาอะโรเมติกส์ PX ยังปรับขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง และ Margin กว้างมากเป็นพิเศษ (บวกต่อ PTTAR TOP และ ESSO)
· ราคาเม็ดพลาสติก HDPE ขึ้นเล็กน้อย (เป็นบวกต่อ PTTCH, SCC) ส่วน PVC ปรับขึ้นเล็กน้อย (เป็นลบต่อ VNT และTPC)
· ราคา PTA ทำสถิติสูงสุดในรอบหลายปีและปรับขึ้นเป็นสัปดาห์ที่ 9 ติดต่อกัน แต่เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบ(PX) ปรับขึ้นทำให้ Margin แคบ (เป็นกลางต่อ IVL
· ราคาถ่านหินปรับลง 0.30 USD/ตัน (เป็นกลาง BANPU, LANNA และ AGE)
· ราคาหมูยังสูงขึ้น 3% W-W อยู่ที่ 59.50 บาท/กก. เข้าใกล้จุดสูงสุดเดิมในปี 2010 ที่ 62 บาท/กก.
· ราคายางพารายังทำ New high ต่อเนื่อง +6% W-W อยู่ที่ 179.16 บาท/กก. จากการเร่งสต็อกยาง เนื่องจากเข้าใกล้ช่วงปิดหน้ายาง (มี.ค. – เม.ย.)
· ราคาทูน่าเพิ่มขึ้นแรง ล่าสุดอยู่ที่ 1,490 เหรียญฯ/ตัน (+12% M-M)

CK (BUY) : งานรอเซ็นสัญญากว่าแสนล้านบาทคาดเซ็นได้หมดภายใน 1Q11
* แนวโน้มปี 2011 จะมีกำไรจากโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินและไซยะบุรี คาดว่าปี 2011 จะมีกำไรปกติที่ 542 ล้านบาท โดยคาดว่ารายได้หลักจะมาจากโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงและสีน้ำเงิน และจากโครงการโรงไฟฟ้าไซยะบุรี ซึ่งมีการคำนวณต้นทุนการก่อสร้างได้ครอบคลุมแล้ว จึงคาดว่าจะไม่มีปัญหาเรื่องต้นทุนเหมือนปีก่อน
* คงแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายปี 2011 ที่ 12.70 บาท ใช้วิธี Sum of the Parts แม้ปี 2010 จะมีผลขาดทุนมาก แต่แนวโน้มการดำเนินงานของบริษัทจะดีขึ้นมากในปี 2011 ตาม Backlog ที่จะเพิ่มขึ้นอย่างมากจากการเซ็นสัญญาโครงการใหญ่ คือรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน และโครงการโรงไฟฟ้าไซยะบุรี และจากโครงการภาครัฐที่ทยอยประมูลทั้งโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง สายสีเขียว และโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานทีคาดว่าจะมีต่อเนื่องตลอดปี 2011

DELTA (BUY) : คาดกำไร 4Q10 ต่ำสุดของปี ชะลอตัว 67% Q-Q และ 24% Y-Y
* จากการประชุมนักวิเคราะห์วานนี้ เรามีมุมมองต่อกำไร 4Q10 แย่ลงกว่าเดิม โดยคาดกำไร 4Q10 ชะลอตัวค่อนข้างมาก 67% Q-Q จากการลดลงแรงของอัตรากำไรขั้นต้นเป็นหลัก ทำให้แนวโน้มกำไรปี 2010 ต่ำกว่าที่เราเคยคาด 6% แต่ยังถือเป็นการเติบโตจากปี 2009 ที่แข็งแกร่งถึง 91% และแม้ Solar Inverter จะไม่ใช่ตัวผลักดันการเติบโตของยอดขายในปีนี้ แต่บริษัทยังมีกลุ่มสินค้าที่หลากหลายและเป็นสินค้าหลักของบริษัท จึงคาดกำไรปี 2011 จะเติบได้ราว 5% ในขณะที่ถือเป็นบริษัทที่มีฐานะทางการเงินแข็งแกร่งโดยมีสถานะเป็น Net Cash และมีเงินสดในมือสูงราว 7 บาท/หุ้น และให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลราว 6% คาดจ่ายปันผลงวดปี 2010 หุ้นละ 1.75 บาท เราให้ราคาเป้าหมายเท่ากับ 36 บาท (อิง PE 10 เท่า) และจากราคาหุ้นที่ปรับตัวลงมาทำให้มี Upside 26% จึงแนะนำ “ซื้อ”

DTAC (HOLD) : กำไร 4Q10 ดีกว่าคาด ประกาศปันผล @ 3.21 บาท มากกว่าคาด
* แนะนำ “ถือ” จากสภาพคล่องทางการเงินและฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง ประกาศจ่ายปันผลปกติงวดปี 2010 หุ้นละ 3.21 บาท มากกว่าคาดที่ 2.21 บาท (ยังไม่รวมที่จ่ายปันผลพิเศษที่ประกาศเมื่อปลายปีก่อนหุ้นละ 0.56 บาท) คิดเป็น Payout 70% ของกำไร (โดยได้รับความเห็นชอบจากเจ้าหนี้ เนื่องจากมี Debt Covenant ของหนี้ส่วนหนึ่งที่มีกำหนดทยอยคืนหนี้ไปถึง 2015 จำกัดให้จ่ายปันผลไม่เกิน 50%) ราคาหุ้นปัจจุบัน 41 บาท คิดเป็น Div. Yield ค่อนข้างดี 7.8% ซึ่งระยะสั้น อาจหนุนต่อราคาหุ้น แต่คาดปี 11 DPS ลดลงเป็น 2.77 บาท คิดเป็น Div. Yield 6.8% ระยะยาว ยังคงแนะนำ “ถือ” ราคาเป้าหมาย 44 บาท เพื่อ Conservative จากประเด็นยืดเยื้อการแก้ไขสัญญาสัมปทานในอดีต ที่มีการประเมินค่าชดเชยระดับ 9,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 3.80 บาทต่อหุ้น จากราคาเป้าหมายเดิม 48 บาท จึงคงคำแนะนำ “ถือ” โดยคงมองการประมูล 3G บนคลื่นใหม่ 2.1 GHz อย่างเร็วปลายปี 2012 หลังการจัดตั้งกสทช. ภายในปลาย 2Q-ต้น 3Q ปีนี้ ซึ่งกระบวนการต่างๆ หากมีความคืบหน้าเร็วกว่าคาด จะกลับมาเป็นปัจจัยเชิงบวกต่อ DTAC โดยเฉพาะด้านการลดต้นทุน

SAMTEL (BUY) : คาดกำไร 4Q10 +16% Q-Q, +3% Y-Y ราคาหุ้นมีส่วนลดมากขึ้นจากราคาเป้าหมายเมื่อรวม 3G จึงเพิ่มคำแนะนำเป็น ‘ซื้อ’
* ราคาหุ้นปัจจุบันมีส่วนลดมากขึ้นเป็น 14.3% แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมายที่รวม 3G เท่ากับ 13.60 บาท จากสมมุติฐานของเราที่ปรับจากแนวทางที่บริษัทให้ หลักๆ คือ (1) คาดมูลค่างานเซ็นสัญญาลดลงเล็กน้อย เหลือราว 1.6 หมื่นล้านบาท (2) สัดส่วนมูลค่างานที่ SAMTEL ได้รับที่ 65% (3) รับรู้รายได้ในช่วงปี 11-12 ปีละ 50% หรือปีละ 5.2 พันล้านบาท ซึ่ง Conservative กว่าคาดของบริษัท 60% หรือ 6 พันล้านบาทรับรู้ในปี 11 ที่เหลือ 4 พันล้านบาทรับรู้ในปี 12 จากระยะเวลาโครงการทั้งหมด 18 เดือนนับจากวันเซ็นสัญญา) (4) คาด Net margin ที่ระดับ 3% (Conservative กว่าคาดของบริษัทที่ระดับ 6-8%) โดยรวม คาดว่าโครงการดังกล่าว จะหนุนให้รายได้รวมปี 11 เพิ่มขึ้นถึงเกือบเท่าตัว Y-Y เป็นระดับ 1.16 หมื่นล้านบาท และกำไรเพิ่มขึ้น 36% Y-Y (เทียบกับเดิมกรณีไม่รวม 3G คาดที่ 435 ล้านบาท +8% Y-Y) และราคาเป้าหมายปี 11 เพิ่มเป็น 13.60 บาท (จากเดิมกรณีไม่รวม 3G ที่ 10.90 บาท) ราคาหุ้นที่ปรับฐานลงมาจาก Sell on fact ปัจจุบันมีส่วนลดมากขึ้น เป็น 14.3% จึงปรับเพิ่มคำแนะนำเป็น “ซื้อ” จากเดิม ‘ถือ’ และคาดปันผลจ่ายงวด 2H10 หุ้นละ 0.23 บาท คิดเป็น Dividend yield 1.9%

-----------------------------------------------------------------------------
เงาหุ้น - หุ้นปันผลอีกแล้ว!!

ดัชนีหุ้นวันที่ 7 ก.พ.54 ปิดที่ 985.63 จุด บวก 0.85 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 24,267.71 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 2,972.24 ล้านบาท

ฝ่ายวิเคราะห์ บล.ซีไอเอ็มบี มองทิศทางตลาดระยะสั้นว่า ยังมีโอกาสขึ้นได้ต่อตามทิศทางตลาดหุ้นสหรัฐฯ ด้านเทคนิคให้แนวรับไว้ที่ 975 จุด และ 970 จุด ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 990-993 จุดยังย้ำกันไม่เลิก

สำหรับหุ้นปันผลที่นักวิเคราะห์ทุกสำนักแนะให้ทยอยซื้อในช่วงตลาดผันผวน โดย บล.ทิสโก้ ระบุกลยุทธ์การลงทุนประจำเดือน ก.พ.ว่า การปรับฐานของตลาดในช่วงนี้ ถือเป็นจังหวะการเข้าซื้อหุ้นที่จ่ายปันผลสูง ซึ่งจะช่วยรองรับความผันผวนของตลาดและชดเชยเงินเฟ้อที่จะเพิ่มขึ้นได้ "ทิสโก้มองการปรับฐานของตลาดยังไม่สิ้นสุด น่าจะเป็นโอกาสทองในการทยอยซื้อหุ้นที่มีปันผลสูง"

บล.เอเซียพลัส ระบุว่า ถึงเวลาซื้อหุ้นปันผลแล้ว โดยจากสถิติ ถ้าเป็นหุ้นใหญ่ ให้ซื้อก่อนประกาศขึ้น XD 2 สัปดาห์ แต่ถ้าเป็นหุ้นกลางและเล็กควรซื้อก่อน XD 2 เดือน คือ อยู่ในช่วงเวลานี้ ส่วนแนวทางในการเลือกซื้อหุ้นปันผลคือ ซื้อหุ้นที่คาดว่าจะมีผลตอบแทนจากเงินปันผลตั้งแต่ 5% ขึ้นไป เพื่อให้ชนะเงินเฟ้อ ซึ่งมีหลายบริษัท โดยเฉพาะในกลุ่มอสังหาฯ ทั้งนี้ จัด TK, CPF, TCAP และ KK มาให้

ส่วน บล.พัฒนสิน คาดว่าหุ้นปันผลสูงจะเป็นกลุ่มที่ปรับตัวขึ้นได้ดีกว่าตลาด ในช่วง ก.พ.นี้ อีกทั้งหุ้นที่มีอัตราผลตอบแทนเงินปันผลดีกว่าเงินเฟ้อ จะได้ประโยชน์จากกระแสเคลื่อนย้ายเงินทุนจากการฝากเงินในแบงก์และพันธบัตรที่ครบกำหนดไถ่ถอน มายังตลาดหุ้นเพิ่มขึ้น หุ้นที่จัดเป็นกลุ่มที่ "ปันผลดี" และแนะให้ซื้อ พิจารณาจากการคาดการณ์เงินปันผลของปี 53 ที่สูงกว่า 5% โดยมีเงินปันผลระหว่างกาลจากผลดำเนินงานปี 53 คงเหลือที่จะจ่ายสูงกว่า 3% รวมทั้งราคาพื้นฐานปี 54 ยังมีโอกาสปรับขึ้นจากราคาปัจจุบันอีกไม่ต่ำกว่า 15% เลือกมาให้เบ็ดเสร็จ คือ LST, BECL, BEC, DCC, TISCO, LPN, UVAN และ MCOT

ส่วนหุ้น "ปันผลสูง" คือ มีอัตราผลตอบแทนเงินปันผลที่เหลือจากระหว่างกาลปี 53 ยังสูงกว่า 4% กลุ่มนี้แนะเพียงซื้อเก็งกำไร เพื่อไปรอขายเมื่อราคาหุ้นสูงขึ้นสะท้อนเงินปันผลแล้ว เพราะมีความเสี่ยงที่การโตของกำไรผันผวน ทำให้อัตราเงินปันผลไม่แน่นอน และราคาหุ้นจะปรับขึ้นได้อีกไม่เกิน 15% จากราคาพื้นฐานปีนี้ คือ หุ้น MAJOR, QH, KK, SPALI และ HANA.
อินเด็กซ์ 51

-----------------------------------------------------------------------------
ข่าวเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ -- อังคารที่ 8 กุมภาพันธ์ 2554 00:00:54 น.

ธวัชชัย ฐิติวณิชภิวงศ์
ทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์ที่เป็นปัจจัยลบ นักลงทุนต่างชาติมักจะออกอาการหวาดผวาอยู่เสมอ ดังนั้น จะมีการสะท้อนออกในการขายหุ้นเพื่อลดความเสี่ยง กรณีมีทหารไทยและเขมรปะทะกันชายแดน นับเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้นักลงทุนต่างชาติหวาดวิตกมาก เพราะเหตุการณ์ดูจะไม่ยุติลงได้ง่ายๆ อาจจะยืดเยื้อไปอีกนานวัน ดังนั้น คนที่หวาดวิตกก็คงจะคิดเลยเถิดไปไกลว่าอาจจะเกิดสงครามระหว่างประเทศได้ ก็เป็นธรรมดาของคนที่เกิดวิตกจริต ย่อมต้องคิดและมองโลกในแง่ร้ายต่อไป

แต่สำหรับนักลงทุนคนไทยดูจะไม่ค่อยหวั่นกับเหตุการณ์ที่เกิดมากนัก ใครจะคิดหรือมองเป็นเรื่องไกลตัวก็ได้ จะคิดว่าเหตุการณ์ไม่บานปลายก็ได้ เพราะปัญหาที่เกิดอยู่ที่ชายแดนไทยเขมร แม้ทหารทั้ง 2 ฝ่ายจะมีการตอบโต้ด้วยอาวุธหนัก แต่ไม่มีการรุกล้ำเขตแดนต่อกัน จึงเป็นเพียงการยิงตอบโต้กันในระยะไกลเป็นส่วนใหญ่ ความเสียหายเกิดก็จริง แต่ไม่มีการรุกล้ำเขตแดนกัน จึงดูไม่น่ากังวลมากนัก เพราะยังมีทีท่าชัดเจนว่าจะมีการนำเหตุการณ์ไปร้องเรียนในระดับนานาชาติและยูเอ็น กลายเป็นการใช้กลยุทธ์ทางการเมืองระหว่างประเทศมากกว่าจะมีเจตนาที่รบราฆ่าฟันกันจริงจัง

ด้วยความคิดและเหตุผลอย่างนี้ ทำให้นักลงทุนไทยไม่ค่อยหวั่นวิตกกับเหตุการณ์ที่เกิดรายวันมากนัก ก็คงเชื่อว่าในที่สุดก็ต้องมีการเจรจากัน จึงมองว่าเหตุการณ์จะสามารถยุติลงได้ แม้จะยังมีความขุ่นข้องหมองใจกันอยู่ก็ตาม เพราะรู้ๆ กันดีว่าหากทำสงครามกันอย่างจริงจัง ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร ในเมื่อทั้งจำนวนประชากร จำนวนทหาร และกำลังรบมีความแตกต่างกันค่อนข้างมาก จึงไม่มีประโยชน์ที่จะมาทำสงครามใหญ่ต่อกัน

ดูแล้วชัดเจนว่านักลงทุนต่างชาติกลัวมาก จึงขายหุ้นวานนี้ (7 ก.พ.54) ออกอีก 2,972 ล้านบาท ส่วนนักลงทุนไทยทุกกลุ่มคิดเหมือนกันหมด จึงพร้อมใจกันรับเต็มที่ ผลออก มาดัชนีจากลบ 10 จุด ก็ดีดกลับมาเป็นบวกได้ โดยบวก 0.85 จุด นี่คือภาพแสดงออกว่าหากพร้อมใจกันรับตลาดก็ยืนได้ จึงมองว่าตลาดยังลุ้นได้ต่อไป แม้จะมีเหตุรายวันแทรกอยู่ก็ตาม

โดยมองว่าหุ้นกลุ่มธนาคารยังน่าสนใจลงทุนมาก ไม่ว่าจะเป็น SCB, KTB และ BAY ก็ตาม ส่วนกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ยังเด่นที่ SVI, KCE และ HANA ในขณะที่กลุ่มไอซีที มีลุ้นกันที่ ADVANC, SAMART และ TRUE สำหรับกลุ่มอาหาร ยังเน้นกันที่ CPF, LST และ TVO เป็นต้น ส่วนหุ้นรายตัวที่เตะตามี AP, STA และ PTT เป็นตัวอย่าง

การที่ตลาดสามารถยืนต้านในภาวะที่มีข่าวร้ายกระแทกได้ นับเป็นสัญญาณที่ดีกับตลาด และยังเป็นการบอกให้รู้ว่าตลาดต้องการเดินไปในทิศทางใด จึงยังเชื่อว่าพื้นฐานเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งจะยังคงเป็นปัจจัยที่จะผลักดันให้ตลาดปรับตัวสูงขึ้นได้ต่อไป แต่จะค่อยเป็นค่อยไป.

-----------------------------------------------------------------------------
MARKET WAVE Analysis
8 กพ. 54 ( +0.85 จุด ) โกมล พงศ์วิญญู เลขทะเบียน 18338

ยังคงแกว่งตัวในกรอบ 950 – 995 จุด
แนวโน้มในวันอังคารนี้ ในกรณีปรับตัวขึ้น ดัชนีไม่น่าจะขึ้นไปได้เกิน 995.28 จุดสูงสุดของวันศุกร์ได้

ขณะที่การปรับตัวลง ต่ำกว่า 974.78 จุดต่ำสุดของวันจันทร์ ดัชนีสามารถปรับตัวลงต่อแถว 955 – 960 ใกล้จุดต่ำสุดของสัปดาห์ที่แล้ว

และ ณ บริเวณดังกล่าว ดัชนีมีโอกาสที่จะปรับตัวกลับขึ้นไปแถว 985 – 995 ใกล้จุดสูงสุดของสัปดาห์ที่แล้วอีกครั้ง

ภาพโดยรวมแล้ว ตลาดยังจะแกว่งตัวอีกนานหลายวันถึงเป็นสัปดาห์ ในกรอบ 950 -995 หรือระหว่างจุดต่ำสุดของเดือนที่แล้ว ถึง
จุดสูงสุดของเดือนนี้ ในรูปแบบที่คาดว่าจะเป็นTriangle wave X

หุ้นเด่น
PTTAR
ยังสามารถปรับตัวอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ย 25 วันได้ ทยอยซื้อแถว 38.50 – 38.75 หรือรอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 39.25 จุดสูงสุดวันจันทร์เป้าหมายสองสามวัน 40.50 – 41.50( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 38.25 )

TOP
ปรับตัวขึ้นมาใกล้เส้นค่าเฉลี่ย 25 วัน รอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 72.00 จุดสูงสุดวันจันทร์และเส้นค่าเฉลี่ยดังกล่าว เป้าหมายสองสามวัน74.50 – 76.00( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 71.00 )

10 อันดับซื้อขายสูงสุด
PTT ต่ำกว่า 335 ลง 310 – 320
PTTAR รายละเดียดใน “หุ้นเด่น”
TMB เกิน 2.22 ขึ้น 2.26 – 2.36
PTTEP ต่ำกว่า175 ลง 170 – 173
BANPU แกว่งตัว 728 - 764
IVL เกิน 43.50 ขึ้น 48 – 49
TOP รายละเดียดใน “หุ้นเด่น”
KBANK แกว่งตัว 111 – 118
PTTCH ต่ำกว่า 143 ลง 138 – 140
SCB แกว่งตัว 94 - 98

-----------------------------------------------------------------------------
E Finance Thai : ไทยรบเขมรฉุดกำไรบจ.!!
หุ้นไทยโงหัวไม่ขึ้น นักลงทุนยังกังวลเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ด้าน KSL-THCOM-BGH- SCC-SAMART โดนลูกหลง หลังเหตุพิพาทฉุดกำไรลดลงประมาณ 1% ขณะที่โบรกเกอร์ระบุส่งผลกระทบต่อจิตวิทยาลงทุน แต่ไม่สะเทือนพื้นฐานเศรษฐกิจ ส่วน ตลท.แนะนักลงทุนติดตามข้อมูลใกล้ชิด ชี้ตลาดหุ้นไทยปีนี้สุดผันผวน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทยยังคงถูกกดดันจากปัญหาการเมืองภายในประเทศและเหตุปะทะบริเวณแนวชายแดนไทยกับกัมพูชา โดยวันนี้(7 ก.พ.)ดัชนีหุ้นไทยผันผวนหนัก ในช่วงเปิดตลาดปรับตัวลดลงต่ำสุดเกือบ 10 จุด ก่อนที่ในช่วงเย็นจะรีบาวน์ขึ้นมาปิดตลาดในแดนบวกได้เล็กน้อย โดยดัชนีปิดที่ระดับ 985.63 จุด เพิ่มขึ้น 0.85% หรือ 0.09% มีมูลค่าการซื้อขาย 24,267.71 ล้านบาท

ทั้งนี้ เหตุปะทะระหว่างไทยกับกัมพูชายังส่งผลกระทบต่อบริษัทจดทะเบียนไทยที่ประกอบธุรกิจในกัมพูชา โดยบริษัทเหล่านี้ประกอบด้วย บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) (SCC), บริษัทสามารถคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)หรือ SAMART และ บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน)หรือ BGH บริษัทน้ำตาลขอนแก่น จำกัด(มหาชน) หรือ KSL ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB และธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)หรือ SCB เป็นต้น

อย่างไรก็ตามนักวิเคราะห์มองว่าข้อพิพาทบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาจะไม่กระทบพื้นฐานเศรษฐกิจไทย เนื่องจากไทยกับกัมพูชามีมูลค่าค้าขายระหว่างกันไม่มาก แต่อาจกระทบจิตวิทยาลงทุนในตลาดหุ้น ส่วนบริษัทที่ประกอบธุรกิจในกัมพูชาอาจได้รับผลกระทบโดยทำให้กำไรลดลงประมาณ 1% ซึ่งถือว่าไม่มากนัก และยังไม่มีการปรับคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน***** นักวิเคราะห์ชี้ บจ.ไทยได้รับผลกระทบไม่มาก

นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.บัวหลวง กล่าวว่า บริษัทที่ประกอบธุรกิจในกัมพูชามี 3 แห่ง ได้แก่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) (SCC), บ.สามารถคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)หรือ SAMART และ บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน)หรือ BGH เชื่อว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นจากปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ไม่น่าจะรุนแรงจนกระทบต่อการประกอบธุรกิจของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากธุรกรรมที่ทำในกัมพูชาไม่ได้มีมาก เมื่อเทียบกับการทำธุรกิจตามปกติของบริษัท และในส่วนของ SCC มีผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนสถาบัน น่าจะเข้าใจในประเด็นที่เกิดขึ้น มากกว่าตกใจจนเทขายหุ้นโดยไม่ดูผลกระทบที่แท้จริง

ทั้งนี้ SCC มีกำลังการผลิตปูนต์ซิเมนต์ในกัมพูชาประมาณ 1 ล้านตันต่อปี เทียบกับกำลังการผลิตทั้งปีซึ่งอยู่ที่ 30 ล้านตัน หรือคิดเป็น 3% เท่านั้น แต่หากผลกระทบไม่ได้เกิดขึ้นทั้งปี ก็น่าจะกระทบกำลังการผลิตไม่ถึง 3% ส่วน BGH ธุรกิจโรงพยาบาลในกัมพูชาปัจจุบันยังมีผลขาดทุนอยู่ และSAMART มีธุรกิจด้านวิทยุการบิน ซึ่งก็ยังไม่ทราบผลกระทบที่ชัดเจนว่าจะมากน้อยเพียงใด ดังนั้น บริษัทฯ ยังคงไม่ได้ปรับเปลี่ยนคำแนะนำในการลงทุนหุ้นดังกล่าว โดยแนะนำ "ซื้อ" SCC และ BGH ส่วน SAMART แนะนำ "ถือ"

นางสาวอาภาภรณ์ แสวงพรรค ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส กล่าวว่า บริษัทที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบระหว่างชายแดนไทย-กัมพูชา คือ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB มีสาขาในกัมพูชา 2 แห่ง ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)หรือ SCB มีสาขาในกัมพูชา 3 แห่ง นอกจากนี้ก็มีบริษัท SCC- SAMART- BGH และบริษัทน้ำตาลขอนแก่น จำกัด(มหาชน) หรือ KSL

ทั้งนี้ ผลกระทบที่เกิดขึ้นโดยตรงต่อการทำธุรกิจของบริษัทเหล่านี้ ขณะนี้ยังไม่ทราบชัดเจน เพราะทุกบริษัทที่กล่าวมายังคงดำเนินธุรกิจในกัมพูชาได้ตามปกติ หรือหากจะเกิดผลกระทบจริงคาดว่ามีน้อยมาก เนื่องจากธุรกรรมในประเทศดังกล่าวมีไม่มาก เช่น ธนาคารทั้ง 2 แห่ง มีสาขาไม่กี่แห่ง เมื่อเทียบกับสาขาทั้งหมดของธนาคารซึ่งมีหลายร้อยแห่ง

สำหรับผลกระทบต่อราคาหุ้น คาดว่ามีเพียงเล็กน้อยในด้านจิตวิทยา แต่การที่ราคาหุ้นลดลงไม่ใช่ประเด็นชายแดนเรื่องเดียว แต่ไปประจวบกับปัญหาการเมืองภายในประเทศด้วยมากกว่า ทำให้เป็นปัจจัยที่กดดันต่อราคาหุ้นเหล่านี้ โดยเฉพาะในส่วนของหุ้นแบงก์ซึ่งเป้นหุ้นบิ๊กแคป เมื่อนักลงทุนกังวลปัญหาการเมืองราคาจึงปรับลง ก็กดดันให้ภาพรวมตลาดหุ้นปรับลดลงด้วย ดังนั้น บริษัทฯ จึงยังคงคำแนะนำเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนแปลงทั้งราคา และปัจจัยพื้นฐาน แต่การลงทุนเชิงกลยุทธ์จะต้องดูภาพรวมตลาดประกอบด้วย นายกวี ชูกิจเกษม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย เปิดเผยว่า จากกรณีข้อพิพาทและมีเหตุการณ์ปะทะกันระหว่างไทยกับกัมพูชา ประเมินว่าจะกระทบต่อจิตวิทยาการลงทุนในตลาดหุ้น แต่ยังเชื่อว่าจะไม่กระทบต่อพื้นฐานทางเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย เนื่องจากจำนวนบริษัทของไทยที่ทำธุรกิจอยู่ในกัมพูชามีสัดส่วนรายได้จากประเทศกัมพูชาไม่ถึง 1% ทั้งนี้ปัจจุบันมีเพียงบริษัท SAMART-KSL รวมทั้ง SCC ก็มีรายได้จากกัมพูชาในสัดส่วนไม่สูง

อย่างไรก็ดีมองว่าปัญหาดังกล่าวคล้ายกับปัญหาความขัดแย้งระหว่างเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ ซึ่งจะกระทบให้ตลาดหุ้นปรับตัวลดลงในช่วงสั้น และหากมีการหารือจนหาทางออกได้ก็จะเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้น

***** CNS คาดฉุดกำไร KSL-THCOM-BGH- SCC ไม่เกิน 1%
บทวิเคราะห์บล.กิมเอ็ง(ประเทศไทย) ประเมินว่า หลังกลุ่มพันธมิตรฯ ยกระดับการชุมนุม และเตรียมนัดชุมนุมครั้งใหญ่ในวันศุกร์นี้ รวมถึงเหตุการณ์การปะทะระหว่างทหารไทยและกัมพูชานับตั้งแต่วันศุกร์ที่ผ่านมา จนถึง ณ ปัจจุบันยังไม่ยุติลง แม้ว่าจะหาแนวทางการเจรจาตลอด 4 วันที่ผ่านมาแล้วก็ตาม อาจสร้างแรงกดดันต่อบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยได้เช่นกัน แม้ว่าปัจจัยดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบต่อปัจจัยพื้นฐานของตลาดหุ้นไทยก็ตาม ทั้งนี้หุ้นที่มีธุรกิจในกัมพูชาได้แก่ SAMART/ THCOM/ KSL/ SCC/ BGH/ TASCO/ DRT/ SCCC ประเด็นดังกล่าวอาจกดดันจิตวิทยาการลงทุนหุ้นเหล่านี้ช่วงสั้นได้ แต่ในแง่ผลประกอบการไม่มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ

ด้าน บล. โนมูระพัฒนสิน(CNS) ประเมินว่า KSL, THCOM, SAMART และ BGH อาจได้รับผลกระทบเล็กน้อยจากผลกระทบไทย-กัมพูชา: บริษัทจดทะเบียนไทยที่อาจได้รับผลกระทบจากปัญหาความตึงเครียดระหว่างไทยกับกัมพูชาได้แก่ SCC คาดว่าจะกระทบกำไรสุทธิไม่เกิน 1 % ของกำไรสุทธิ KSL คาดว่ากำไรจากโรงงานน้ำตาลในกัมพูชาจะเท่ากับ 1% ของกำไรสุทธิ BGH คาดโรงพยาบาลในกัมพูชาทำกำไรน้อยกว่า 1% ของกำไรสุทธิ THCOM มีธุรกิจบริการโทรศัพท์มือถือในกัมพูชา โดยมีรายได้จากธุรกิจในกัมพูชาประมาณ 10% ของรายได้รวมของบริษัทฯ SAMART มีธุรกิจการควบคุมการจราจรทางอากาศในกัมพูชา

ทั้งนี้มองว่า กรณีไทย-กัมพูชา กระทบการส่งออกซีเมนต์ น้ำตาล และน้ำมันสำเร็จรูป มากที่สุด: การส่งออกของไทยไปยังกัมพูชาในปี 2009 มีมูลค่าประมาณ 1.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นเพียง 1.04% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดของไทย ในขณะที่การนำเข้าจากกัมพูชาอยู่ที่ 43 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเท่ากับ 0.05% ของมูลค่าการนำเข้าทั้งหมดของไทย สินค้าหลักที่ไทยส่งออกไปยังกัมพูชา ได้แก่ น้ำมันสำเร็จรูป (118 ล้านเหรียญสหรัฐหรือ3.12% ของการส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปทั้งหมด), น้ำตาล (116 ล้านเหรียญสหรัฐหรือ 8.72%)

***** ตลท.แนะติดตามข่าวสารใกล้ชิด
ดร. ภากร ปีตธวัชชัย รองผู้จัดการ สายงานการตลาด ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า คาดว่าตลาดหุ้นในปีนี้จะมีการเคลื่อนไหวค่อนข้างมากจากความเสี่ยงที่ยังมีความไม่แน่นอนในหลายเรื่อง ทั้งปัจจัยจากเศรษฐกิจโลก รวมถึงปัญหาสถานการณ์การเมืองภายในประเทศ ทั้งนี้นักลงทุนควรมีการระมัดระวังและติดตามข้อมูลอย่างใกล้ชิด

ด้านกรณีพิพาทที่เกิดขึ้นระหว่างไทยกัมพูชา โดยความขัดแย้งดังกล่าวเป็นเรื่องที่มีการเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ดีควรดูปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจไทย รวมถึงบริษัทที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งเป็นตัวแปรที่สะท้อนเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯได้เตรียมแผนรองรับ โดยการพูดคุยกับทางการอย่างต่อเนื่อง ทั้งกระทรวงการคลัง และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ***** คลังยันไม่กระทบเศรษฐกิจไทย

นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า เหตุการณ์ไม่สงบในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา จะไม่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย เนื่องจากปัญหาดังกล่าวมีความขัดแย้งกันมานานพอสมควรแล้ว แต่อาจจะกระทบเล็กน้อยเกี่ยวกับการค้าชายแดน เนื่องจาก ไทยมีการขายสินค้าไปยังกัมพูชามากกว่า อย่างไรก็ตาม เรื่องดังกล่าต้องมีการประเมินผลกระทบอีกครั้ง

'รัฐบาลมีความเป็นห่วงประชาชนที่อยู่แถวชายแดนไทย-กัมพูชา เพราะมีการพึ่งพาการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งเรามีการขายของมากกว่า ดังนั้นเห็นได้ว่าประชาชนจะได้รับผลกระทบมาก แต่เศรษฐกิจโดยรวมยังไม่ได้รับผลกระทบ'นายกรณ์ กล่าว

ส่วนการชุมนุมในประเทศ ที่หยิบยกประเด็นปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา นั้น อยากให้คำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นว่าจะมีผลเสียอย่างไรต่อประเทศไทยบ้าง

***** พาณิชย์สั่งชะลอการจัดงานที่กัมพูชา
นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้ชะลอการจัดงาน Thailand Trade Exhibition 2110 เพื่อรอดูสถานการณ์ด้านความมั่นคงก่อน โดยงาน Thailand Trade Exhibition 2110เป็นงานแสดงสินค้าที่จัดขึ้นเพื่อเจรจาธุรกิจและจำหน่ายปลีกโดยสินค้าสินค้าที่จัดแสดงจะมีเครื่องใช้ไฟฟ้า เฟอร์นิเจอร์ผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ภายในบ้าน ของขวัญของตกแต่งบ้าน ดอกไม้ประดิษฐ์สินค้าเสื้อผ้าแฟชั่น เครื่องนุ่งห่ม และอาหาร จำนวนทั้งสิ้น 150 คูหา ในระหว่างวันที่ 17- 20 กุมภาพันธ์ ณ กรุงพนมเปญ กัมพูชา โดยคาดว่ามีรายได้เกิดขึ้นภายในงานไม่ต่ำกว่า 15 ล้านบาทหรือผลจากการจัดงานในครั้งนี้มีรายได้ไม่ต่ำกว่าปีละ 250 ล้านบาท

มูลค่าการค้าระหว่างไทย - กัมพูชาในปี 2553 มีมูลค่าประมาณ 50,000ล้านบาท เป็นมูลค่าค้าชายแดนประมาณ 40,000 ล้านบาทโดยการส่งออกทางชายแดนของไทยไปกัมพูชาที่สระแก้ว มีสัดส่วนสูงที่สุดราวร้อยละ 53.8 ของการส่งออกทางชายแดนทั้งหมดของไทยไปกัมพูชา
-----------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย
FSS : แนะนำเทรดดิ้งตามรอบ แต่ที่ 1000 จุดหรือสูงกว่าควรเริ่มหาจังหวะขาย..

แนวโน้ม: แม้ว่าเหตุการณ์ความไม่สงบที่ชายแดนไทย-กัมพูชา จะยังคงเป็นประเด็นกดดันความมั่นใจของนักลงทุนต่อตลาดหุ้นไทยอยู่ แต่ก็ถือว่าลดความสำคัญลงไปบ้าง โดยยังมีแรงซื้อกลับเข้ามาอีกครั้งในช่วงก่อนปิดทำการวานนี้ ส่งผลให้ SET สามารถดีดกลับมาปิดเป็นบวกได้ ขณะที่ค่าเงินบาทก็เริ่มกลับมาแข็งค่าต่อเนื่องอีกครั้งแม้ว่าจะยังขยับตัวแคบๆ ก็ตาม โดยตลาดหุ้นใน
เอเชียที่ทยอยเปิดดำเนินการตามปกติก็ยังขยับขึ้นได้อยู่ แม้จะมีจังหวะผันผวนให้เห็นบ้าง ทำให้ FSS คาดว่า SET จะยังแกว่งตัวขึ้นได้อยู่ในสัปดาห์นี้ โดยมีเป้าหมายที่ 1000 จุดหรือสูงกว่าเล็กน้อย แต่หลังจากนั้นเรายังแนะนำให้ระมัดระวังแรงขายของนักลงทุนต่างชาติที่มีโอกาสกลับมาขายหุ้นอีกครั้ง จากความกังวลในเรื่องต่างๆ โดยเฉพาะภาวะเงินเฟ้อในภูมิภาคกลยุทธ์: ช่วงนี้เน้นเพียงเทรดดิ้งสั้นๆ ตามรอบ โดยควรเริ่มมองหาจังหวะขายทำกำไร โดยเฉพาะเมื่อ SET ขยับเข้าใกล้ 1000 จุดหรือสูงกว่าขึ้นไปด้วย

ประเด็นสำคัญวันนี้
• (-) ต่างชาติขายตลาดหุ้นไทยหนักสุดในกลุ่ม TIPs หลังจากตรุษจีนต่างชาติกลับมาขายหนัก 2.97 พันล้านบาท (เมื่อวานขายทั้ง TIPs และขายไทยหนักสุด) รวมแล้วทั้งปีนี้ขายสุทธิ 2.94 หมื่นล้านบาท หรือ 36% ของที่ซื้อไปในปีก่อน 8.1 หมื่นล้านบาท ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นที่ชายแดนไทย-เขมรและการเมืองในประเทศเป็นข้ออ้างที่ทำให้ต่างชาติขายหุ้นไทยหนักที่สุดในกลุ่ม TIPs ทำให้ SET Index ยังไม่กลับทิศเป็นขาขึ้นในระยะนี้ การรีบาวนด์ตามแนวต้าน 1,000 จุดน่าจะเป็นจังหวะในการปรับพอร์ต

• (+) AJ หากไม่รวมกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนแล้ว ถือว่าไม่ผิดไปจากที่ตลาดคาดกัน คือกำไร 4Q10 +405% Y-Y, +35% Q-Q และประกาศจ่ายเงินปันผล 0.45 บาท/หุ้น XD 20 เม.ย. จ่ายเงิน 4 พ.ค. เห็นผลประกอบการของ AJ ทำให้เรายิ่งมั่นใจกับ PTL ว่ากำไรจะเติบโตในอัตราที่สูงกว่า คาด +439% Y-Y, +84% Q-Q

• (-) DELTA แนวโน้มกำไร 4Q10 แย่กว่าเดิมที่เราเคยคาด จากการลดลงของอัตรากำไรขั้นต้นที่เป็นหลัก ทำให้กำไรใน 4Q10 น่าจะลดลงถึง67% Q-Q และทำให้กำไรปี 2010 ต่ำกว่าที่เราเคยคาด 6% แต่ก็ยังโต 91%อย่างไรก็ตาม คาดกำไรปีนี้โตเพียง 5% เราประเมินเป้าหมาย 36 บาท ราคาหุ้นที่ปรับลง 20% ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาทำให้ upside กว้างขึ้นเป็น 26%ประกอบกับคาดว่าจะจ่ายปันผล 1.75 บาท/หุ้น yield 6% จึงแนะนำซื้อ

• (+) DTAC กำไรมากกว่าคาด ประกาศจ่ายปันผล 3.21 บาท/หุ้น คิดเป็น yield 7.8% อย่างไรก็ตาม เราคาดกำไรปีนี้ลดลง 10% จากภาษีที่ต้องกลับมาจ่ายในอัตราปกติ 30% และส่วนแบ่งรายได้ที่เพิ่มขึ้นอีก 5% ตั้งแต่ก.ย. นี้เป็นต้นไป ขณะที่รายได้เติบโตจำกัดจากบริการปัจจุบัน 2G ที่ตลาดค่อนข้างอิ่มตัว แนะนำเพียงถือเพื่อปันผล

• (+) คาดสายสีน้ำเงินเซ็นสัญญา 17 ก.พ. นี้ ประธาน รฟม.คาดเซ็นสัญญาสายสีน้ำเงินช่วงหัวลำโพง-บางแค บางซื่อ-ท่าพระ ทั้ง 5 สัญญามูลค่า 5.1 หมื่นล้านบาทได้ในวันที่ 17 ก.พ. นี้ โดย ITD ชนะในสัญญาที่ 1CK ชนะสัญญาที่ 2 และ 5 UNIQ ชนะสัญญาที่ 3 และ STEC ชนะสัญญาที่ 4ส่วนปลายเดือน ก.พ. คาดเปิดประมูลสายสีเขียว (แบริ่ง-สมุทรปราการ) 1.7หมื่นล้านบาท เริ่มก่อสร้างสิ้นปีนี้ และเปิดให้บริการ พ.ค. 2016


ข่าวภายในประเทศ
3BB ฟ้องทีทีแอนด์ทีแอบตัดสัญญาณเน็ต ลูกค้าหาย 3 แสนราย เพิ่มเครือข่ายรับลูกค้าล้านราย ทริปเปิลทีเตรียมฟ้อง TT&T หลังถูกตัดสัญญาณเน็ต สูญลูกค้ากว่า 3 แสนราย ส่งผลภาพลักษณ์แบรนด์ 3BB เสียเสนอ กสทช. หาทางออกลูกค้าที่ยังใช้โครงข่าย TT&T ที่เหลืออยู่ประมาณ1.2 หมื่นราย รับอยู่ระหว่างสร้างโครงข่ายเพิ่มหวังดึงลูกค้าเพิ่ม มั่นใจสิ้นปีมีลูกค้ากว่า 1 ล้านราย ปัจจุบันเหลือเพียง 7 แสนราย (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น8-02/2011)

TTCL ลุ้นงานใหญ่อิรัก-บังกลาเทศมูลค่า 1.4 หมื่นล. TTCL ลุ้นได้งานใหญ่ในอิรัก-บังกลาเทศ มูลค่า 1.2-1.4 หมื่นล้านบาท คาดเริ่มบุ๊ครายได้เข้ามาปลายปีนี้ ขณะที่จับมือ “ซิโยดะ” ประมูลงานสร้างโรงงานเคมีในอินโดฯ มูลค่า 2,000 ล้านบาท คาดรู้ผลเดือนมี.ค.นี้ เชื่อหนุนรายได้ปี'55 โตก้าวกระโดดจากปีนี้คาดรายได้โต 40% (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 8-02/2011)

KCE งบปี 53 หรูกำไรโตกว่า 200% พี/อีต่ำเพียงแค่ 6 เท่า เล็งขยายเวลาซื้อหุ้นคืน KCE งบปี 2553 สวยหรู ผู้บริหารการันตีปี 2554 โตไม่หยุดยอดขายเพิ่มขึ้นขั้นต่ำ 15% แถมมีกำไรโตขึ้น 2 หลัก ออเดอร์งานไหลเข้าแน่นทะลัก ชงบอร์ดทบทวนจ่ายปันผลเดือนหน้า ติดใจซื้อหุ้นคืนเล็งต่อระยะเวลาอีกรอบ หุ้นสุดถูก P/E ต่ำแค่ 6 เท่าฟากวงการเงินชี้กำไรปี 2553 ฟาดเละ 563 ล้านบาท โตทะลุ 200% ปันผลครึ่งหลังสุดงาม 30 สตางค (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 8-02/2011)

GBX เพิ่มสินค้าเงินแท่งเปิดตัว Q2/54 บมจ.โกลเบล็ก โฮลดิ้ง แมนเนจเม้นท์ (GBX) ซึ่งมีรายได้หลักจากธุรกรรมค้าทองคำแท่ง และจากการถือหุ้นในธุรกิจหลักทรัพย์ เตรียมจะเพิ่มสินค้าเงินแท่ง (Silver Bar) ซึ่งจะเปิดตัวในช่วงปลายไตรมาส 1/54 หรือไตรมาส 2/54 ด้าน บล.โกลเบล็ก ตั้งเป้ามาร์เก็ตแชร์ธุรกิจหลักทรัพย์ปีนี้ที่ 4.76% เน้นขยายฐานลูกค้าใหม่ และรักษาฐานลูกค้าเดิม (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 8-02/2011)

-----------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ตปท.
ดัชนีดาวโจนส์ยังคงปิดบวกต่อเนื่องอีก 69.48 จุด แม้ว่าปริมาณการซื้อขายจะเบาบางลง โดยกิจกรรมการควบรวมกิจการช่วยหนุนตลาด หลัง Danaher Corp. ตกลงจะซื้อบริษัท Beckham Coulter Inc. และบริษัท EnsCo จะซื้อบริษัท Pride International Inc. รวมทั้งรายงานผลประกอบการของบริษัทเอกชนในสหรัฐโดยรวมยังถือว่าแข็งแกร่งเกินคาด

ดัชนี VIX เริ่มดีดกลับขึ้นมาที่ 16.28 บวก 2.20% หลังตลาดหุ้นขยับขึ้นมาพอควร

ตลาดหุ้นยุโรปยังคงบวกต่อเนื่องเช่นกัน ขณะที่หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ได้รับแรงหนุนจากราคาทองแดงที่ขึ้นทำสถิติสูงสุดครั้งใหม่หลังมีความกังวลต่อปัญหาอุปทาน ค่าเงินบาทเริ่มแข็งค่าอีกครั้ง โดยขยับมาเคลื่อนไหวในกรอบ 30.6-30.8 บ./ดอลลาร์


ราคาน้ำมันดิบในตลาด NYMEX ปิดที่ 87.48 ดอลลาร์/บาร์เรล ยังดิ่งลงต่ออีก 1.55 ดอลลาร์ เป็นการปรับตัวลดลงวันที่ 3 ติดต่อกัน หลังการส่งออกน้ำมันจากตะวันออกกลางยังไม่มีปัญหาใดๆ แม้เหตุการณ์ไม่สงบในอียิปต์จะยังไม่ยุติรวมถึงการคาดการณ์ว่าสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐในสัปดาห์ที่แล้วอาจเพิ่มขึ้น

ราคาทองคำล่วงหน้าในตลาด COMEX ปิดที่ 1348.20ดอลลาร์/ออนซ์ ปรับตัวลงอีก 0.80 ดอลลาร์ หลังกังวลต่อแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย


ข่าวต่างประเทศ
สหรัฐอเมริกา: FED เผยยอดการกู้ยืมเงินของผู้บริโภคสหรัฐเดือนธ.ค.เพิ่มขึ้น 3% ต่อปี ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) รายงานว่า ยอดการกู้ยืมเงินของผู้บริโภคในสหรัฐประจำเดือนธ.ค.ปี 2553 เพิ่มขึ้น 3% ต่อปี แตะระดับ 2.4104 ล้านล้านดอลลาร์ จากเดือนพ.ย.ที่ระดับ 2.4043 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของเศรษฐกิจสหรัฐ (ที่มา: อินโฟเควสท์ 8-02-2011)

จีน: ภาคการผลิตจีนขยายตัวช้าลงในเดือนม.ค.หลังรัฐเพิ่มมาตรการคุมเข้ม การขยายตัวในภาคการผลิตของจีนในเดือนม.ค.ชะลอตัวลงหลังจากที่รัฐบาลได้พยายามลดแรงกดดันด้านราคาลง โดยสมาพันธุ์ลอจิสติคส์และการซื้อของจีน (CFLP) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 1 ม.ค.ว่า ดัชนี PMIภาคการผลิตของจีนขยายตัวที่ระดับ 52.9 จุด ซึ่งเป็นสถิติที่ขยายตัวในระดับต่ำสุดในรอบ 5 เดือน เมื่อเทียบกับเดือนธ.ค.ที่ 53.9 จุด อัตราการขยายตัวของภาคการผลิตจีนในเดือนม.ค.บ่งชี้ว่า ดัชนีชี้วัดการขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีนยังคงอยู่เหนือวัฏจักรเศรษฐกิจสูงสุดและต่ำสุด (boom-bustcycles) หรือเป็นเส้นแบ่งของภาวะแข็งแกร่งและภาวะซบเซาทางเศรษฐกิจ ที่ระดับ 50 จุด เป็นเวลาต่อเนื่องกันมา 23 เดือน (ที่มา: อินโฟเควสท์ 7-02-2011)

เอเชีย: ธนาคารกลางญี่ปุ่นเผยยอดการปล่อยกู้ของแบงก์พาณิชย์เดือนม.ค.ลดลง 1.9% ธนาคารกลางยุโรป (บีโอเจ) เปิดเผยว่า ยอดการปล่อยเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์ในญี่ปุ่นประจำเดือนม.ค.ปรับตัวลดลง 1.9% จากปีที่แล้ว มาอยู่ที่ระดับ 393.86 ล้านล้านเยน ซึ่งเป็นการปรับตัวลงติดต่อกัน 14 เดือน เนื่องจากความต้องการเงินทุนของภาคเอกชนชะลอตัวลง (ที่มา: อินโฟเควสท์ 8-02-2011)

เอเชีย: ญี่ปุ่นเผยยอดเกินดุลบัญชีเดินสะพัดปี 2553 ขยายตัว 28.5% หลังยอดส่งออกพุ่ง กระทรวงการคลังญี่ปุ่นเปิดเผยในวันนี้ว่า ยอดเกินดุลบัญชีเดินสะพัดปี 2553 ของญี่ปุ่น ขยายตัวขึ้น 28.5% ทำสถิติขยายตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี เพราะได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของยอดส่งออกรายงานระบุว่า ดุลการค้าและการบริการปี 2553 ของญี่ปุ่นอยู่ที่ระดับ 6.5201 ล้านล้านเยน ซึ่งเพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่าจากระดับของปี 2552 หลังจากยอดส่งออกสินค้าทะยานึ้น 25.7% (ที่มา: อินโฟเควสท์ 8-02-2011)

เอเชีย: เกาหลีใต้เผยทุนสำรองเงินตราต่างประเทศพุ่งเป็นประวัติการณ์ในเดือนม.ค. ธนาคารกลางเกาหลีใต้เปิดเผยว่า ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศปรับตัวสูงขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในเดือนมกราคม 2554 ทำลายสถิติเดิมที่ทำไว้เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ธนาคารกลางเปิดเผยในแถลงการณ์วันนี้ว่า ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศเพิ่มขึ้นเกือบแตะ 2.96 แสนล้านดอลลาร์ ณ สิ้นเดือนมกราคม หรือเพิ่มขึ้นกว่า 4 พันล้านดอลลาร์จากเดือนธันวาคม ธนาคารกลางระบุว่าปัจจัยที่ทำให้ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศเดือนมกราคมปรับเพิ่มขึ้นคือ กำไรจากการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น รวมถึงสกุลเงินยูโรและปอนด์ที่แข็งค่าเมื่อเทียบเงินดอลลาร์ (ที่มา: อินโฟเควสท์ 7-02-2011)

เอเชีย: อินโดนีเซียเผย GDP Q4/53 โต 6.9% ทำสถิติขยายตัวรวดเร็วสุดในรอบ 3 ปี สำนักงานสถิติแห่งชาติอินโดนีเซียเปิดเผยว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาส 4 ปี 2553 ขยายตัว 6.9% ซึ่งเป็นอัตราขยายตัวที่รวดเร็วสุดนับตั้งแต่ปี 2551 และส่งผลให้จีดีพีตลอดปี 2553 ขยายตัวที่ระดับ 6.1% หลังจากที่ขยายตัวเพียง 4.5% ในปี 2552 (ที่มา: อินโฟเควสท์ 7-02-2011)

-----------------------------------------------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น