Code 361 : 21/02/54 มีสัญญาณ 2 ตัว บอกถึงเขต Overbought

วันจันทร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2554

ATT Code : มีสัญญาณ 2 ตัว บอกถึงเขต Overbought


เมื่อวันพฤหัส SET มีแรงซื้อเข้าพอๆ กับเมื่อวันพุธ โดยปิดบวกไป 13.50 จุด ปิดที่ 995.57 จุด โดยตอนเช้าเปิดบวกขึ้นไป 5.81 จุด ที่ระดับ 987.88 แล้วก้มีแรงซื้อในกลุ่มแบงค์และพลังงานเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ SET ผ่านแนวต้านที่ 990 จุดไปปิดที่ 995.57 จุด โดยไป High ที่ 995.93 จุด

แนวโน้มในวันจันทร์ที่ 21/02/54 มีแนวรับที่ 990 จุด และถ้ายังมีแรงซื้อเข้ามาก็สามารถที่จะไปตามแนวต้านที่ระดับ 1,003 จุด โดยมี Indicator ทั้ง 7 ตัว ส่งสัญญาณเป็น + ทั้งหมด ดั้งนี้

แต่ให้สังเกตุ Indicator 2 ตัว ที่เริ่มแสดงให้เห็นว่าเข้าสู่เขตการซื้อมาเกินไปแล้วคือ CCI และ Williams %R

1. (+) MACD ยังคงตัดเส้น Signal ขึ้นมาอยู่.... มีสัญญาณบวกที่ดีอยู่
2. (+) OBV เพิ่มขึ้นจาก 537 ขึ้นไปที่ 566.... แสดงให้เห็นว่ายังมีแรงซื้อสะสมเพิ่มขึ้น +29
3. (-) CCI มีแรงรับกลับขึ้นมา จาก +39 ขึ้นไปที่ +109 บวกมา 70 ... เกิน 100 ขึ้นมาแล้ว ต้องระมัดระวังเพราะ SET เริ่มมีการปรับตัวขึ้นมาสูงแล้ว แต่ก็ยังมีสิทธ์ที่จะขึ้นไปต่อได้ถึง High เดิมที่ 184... แต่ถ้าเริ่มจะตัด 100 ลงมา ต้องให้ระมัดระวังแรงขาย
4. (+) เส้น ADX : DI+ กับ DI- เริ่มห่างกันน้อยลงอีก จากห่าง 9.21 เป็น 2... มีแนวโน้มที่ดีอย่างต่อเนื่อง
5. (-) Williams %R ขึ้นมาจาก -22 ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ -0.61.... เริ่มเข้าเขต Overbought แล้ว ให้ระมัดระวังตอนที่ %R ขยับขึ้นมาเป็นศูนย์ แสดงว่า SET อาจจะไม่ได้วิ่งไปไกลมากว่านี้แล้ว
6. (+) RSI ขึ้มาจาก 48% มาอยู่ที่ 53%... มีแนวโน้มที่ดีขึ้น
7. (+) Fast Sto : %K ตัด %D อยุ่เหมือนเดิม โดย %K=99 %D=69... มีแนวโน้มที่ดีอย่างต่อเนื่อง

-----------------------------------------------------------------------------
MARKET WAVE Analysis

Intraday - ลง 976 - 979
ปรับตัวลง 976 - 979 หนึ่งถึงสองวันข้างหน้า จากนั้น เกิน 1000.90 จุดสูงสุดเดิมเช้านี้ ขึ้นต่อ 1050 - 55 หนึ่งถึงสองสัปดาห์

-----------------------------------------------------------------------------
เงาหุ้น : สะสมบุญ
ทำบุญ เวียนเทียน วันมาฆบูชากันเสร็จแล้ว ถือเป็นฤกษ์งามยามดี มีมงคล ได้สะสมบุญกันถ้วนหน้า ก็ขอให้ร่ำให้รวย ให้เฮง เฮง เฮง...!!

มาศึกษาข้อมูลดูหุ้นดีหุ้นรายตัวกันต่อ เริ่มด้วยหุ้น LPN ที่หลายโบรกเกอร์เชียร์ให้เป็นหุ้น Top pick ในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ก่อนหน้านี้ ซึ่งก็ไม่ผิดหวัง หลังบริษัทรายงานผลประกอบการงวดปี 53 มีกำไรสุทธิ 1.64

พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดปี 52 ที่มีกำไรสุทธิ 1.50 พันล้านบาท เนื่องจาก

มีการบริหารต้นทุนค่าก่อสร้างได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นจากการขายในปี 53 เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 34.30% จาก 31.25% ในงวดปี 52

และบริหารค่าใช้จ่ายในการขายลดลง อีกทั้งมีการจัดการค่าใช้จ่ายในการบริหารได้เป็นอย่างดี แม้ว่ามาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ของรัฐบาลได้สิ้นสุดลง และกลับมาใช้ในอัตราปกติ รวมถึงบริษัทสามารถบริหารต้นทุนการเงินลดลง เนื่องจากปี 52 ได้เพิ่มสภาพคล่องทางการเงินเพื่อรองรับความเสี่ยงจากความผันผวนทางธุรกิจ สำหรับปี 54 LPN เตรียมเปิด 10 โครงการใหม่ มูลค่า 1.6 หมื่นล้านบาท เพื่อสร้างการรับรู้รายได้ต่อเนื่องไปจนถึงปี 56

ขณะที่ LPN ยังระบุว่า คณะกรรมการบริษัทได้อนุมัติการจ่ายเงินปันผลงวดครึ่งหลังปี 53 จำนวนหุ้นละ 0.38 บาท โดยจะจ่ายในวันที่ 11 เม.ย.54 หลังจากได้จ่ายปันผลระหว่างกาลไปก่อนหน้านี้แล้วที่หุ้นละ 0.18 บาท รวมจ่ายทั้งปี 53 ที่ 0.56 บาท

ส่วนหุ้นใหญ่ BANPU ราคาพลิกฟื้นกลับขึ้นมาได้ในช่วงนี้ ขณะที่โบรกเกอร์ยังคงแนะนำ "ซื้อ" โดย บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุว่า BANPU มีปัจจัยบวกคือราคาถ่านหินที่มีทิศทางขาขึ้น BANPU ได้ทำสัญญาไปแล้ว 40% ของปริมาณขายในปี 53 และธุรกิจในจีนจะเพิ่มกำลังการผลิต ส่วนปัจจัยลบคือดอกเบี้ยจ่าย และค่าตัดจำหน่ายจากการซื้อเหมือง Centennial อาจมากกว่าคาด และนโยบายจีนที่ไม่ให้ต่างชาติถือหุ้นในเหมืองเกิน 50% ทำให้อาจต้องลดสัดส่วนในเหมือง Daning ลง 6% ส่วนแบ่งกำไรจะหายไป 600-800 ล้านบาท หรือ 3.2% ของกำไร จึงยังคงแนะ "ซื้อ" ให้ราคาเป้าหมายเดิม ที่ 1,100 บาท เพราะค่าตัดจำหน่ายไม่กระทบกระแสเงินสด

ส่วน บล.เกียรตินาคิน แนะ "ซื้อ" เช่นกัน ปรับประมาณการกำไรสุทธิของปี 54 ลงมาเหลือ 1.73 หมื่นล้านบาท และปรับราคาเหมาะสมเป็น 980 บาท จากเดิมที่ 1,000 บาท.

อินเด็กซ์ 51

-----------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย
EFinanace Thai : กลับมายืนที่เดิม!
กระทิงเริ่มเข้าสิงหุ้นไทย ดัชนีฯ จ่อทะลุ 1,000 จุดอีกครั้ง หลังตลาดคลายกังวลหลากหลายปัจจัยลบ ทั้งด้านเศรษฐกิจ และการเมืองใน-นอกประเทศ บวกกับแรงหนุนจากผลประกอบการปี 53 ของบรรดาบริษัทจดทะเบียนที่ออกมาหรู พร้อมจ่ายปันผลเอาใจผู้ถือหุ้นถ้วนหน้า โบรกฯ แนะอยากลดความเสี่ยงควรหาจังหวะขายทำกำไรช่วงดัชนีฯ พุ่งแรง และรอซื้อเก็บหุ้นพลังงาน ปิโตรฯ และธนาคารพาณิชย์ ช่วงดัชนีฯ อ่อนตัว

ในที่สุดดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทย ก็ปิดตลาดส่งท้ายก่อนวันหยุดยาว 3 วัน ที่ระดับ 995.57 จุด เพิ่มขึ้น 13.50 จุด หรือ 1.37% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย ล้านบาท ซึ่งถือว่าผ่านแนวต้านสำคัญที่ 990 จุดได้สำเร็จ หลังนักลงทุนต่างชาติมียอดซื้อสุทธิต่อเนื่อง 4 วันทำการรวม 14,579.61 ล้านบาท ซึ่งนั่นย่อมทำให้หลายคนต่างหวังว่าดัชนีฯ น่าจะไปทดสอบจุดสูงสุดเดิมของปีนี้ที่ 1,056.44 จุด ที่เคยเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2554 และน่าจะเดินทางสู่เป้าหมาย 1,200 และ 1,300 จุดได้ไม่ยาก

* บล.ฟาร์อีสท์ ชี้สัญญาณเทคนิคแจ่มหลังผ่าน 990 จุด
นายปริญทร์ กิจจาทรพิทักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟาร์อีสท์ เปิดเผยว่า การเคลื่อนไหวของ SET Index ในสัปดาห์ที่ 18-22 กุมภาพันธ์ 2554 มีโอกาสปรับขึ้นต่อเนื่องจากช่วงที่ผ่านมาได้ หลังจากที่ดัชนีฯ สามารถผ่านบริเวณ 990 จุดขึ้นมาได้ ซึ่งตามสัญญาณทางเทคนิคเริ่มมีแนวโน้มที่ดี นอกจากนี้ยังได้รับปัจจัยบวกจากการประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ที่คาดจะออกมาในทิศทางที่ดี
ส่วนกรณีที่เกิดเหตุการณ์ความวุ่นวายที่อียิปต์ และเหตุการณ์ที่ทหารไทยปะทะกับทหารกัมพูชาที่บริเวณปราสาทเขาพระวิหาร จังหวัดศรีสะเกษ ยังไม่มีนัยสำคัญต่อการตัดสินใจเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยของนักลงทุนอีกด้วย แต่นักลงทุนควรระมัดระวังหากดัชนีฯ ปรับขึ้นใกล้ถึงระดับ 1,000 จุด ควรทยอยขายทำกำไรในระยะสั้นออกมาบ้าง เพื่อป้องกันความเสี่ยง
"จากเหตุการณ์ในอดีตที่ผ่านมา เมื่อดัชนีฯ ปรับขึ้นถึงระดับ 1,000 จุด ก็จะมีแรงขายทำกำไรจากนักลงทุนต่างชาติออกมา ซึ่งนักลงทุนอาจจะกลัว กังวลไม่กล้าเข้ามาลงทุน เมื่อถึงจุดนี้ควรระมัดระวังด้วย ส่วนเหตุการณ์ที่อียิปต์และกัมพูชาก็ไม่ได้ส่งผลต่อเศรษฐกิจหรือผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน เพราะที่ผ่านมา บจ. ที่ประกาศงบก็ออกมาดีทุกบริษัท" นายปริญทร์ กล่าว
สำหรับในช่วงวันที่ 18-22 กุมภาพันธ์ 2554 ประเมินแนวรับของ SET Index ไว้ที่ 980 จุด ส่วนแนวต้านให้ไว้ที่ 998 จุด และให้แนวต้านถัดไปไว้ที่ 1,000 จุด ในขณะที่กลยุทธ์การลงทุนเลือกลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงาน ปิโตรเคมี และธนาคารพาณิชย์ เพราะมีปัจจัยพื้นฐานที่ดี ทั้งนี้นักลงทุนระยะสั้นควรขายทำกำไรออกมาบ้าง เพื่อลดความเสี่ยง ส่วนนักลงทุนระยะกลางและยาวควรรอซื้อเมื่อดัชนีฯ อ่อนตัวลงมา

* บล.โนมูระ พัฒนสิน แนะทยอยขายทำกำไรเมื่อดัชนีฯ แตะแนวต้าน 1,002-1,008 จุด
ด้านนายชัย จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.โนมูระ พัฒนสิน เปิดเผยว่า การเคลื่อนไหวของ SET Idex ในสัปดาห์หน้ายังคงมีโอกาสปรับขึ้นได้ แต่ไม่มากเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งดัชนีฯ ปรับขึ้นไปแล้วประมาณ 30 กว่าจุด เพราะยังไม่มีปัจจัยลบใหม่เข้ามากระทบ ประกอบกับบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ได้ประกาศผลประกอบการในปี 2553 ออกมาในทิศทางที่ดี
สำหรับปัจจัยที่ต้องติดตามประกอบด้วย การประกาศตัวเลขทางเศรษฐกิจของหน่วยงานต่างๆ ในช่วงสิ้นเดือน ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนและตัวเลขการซื้อขายหุ้นของนักลงทุนต่างชาติ ส่วนกลยุทธ์การลงทุนแนะนำรอขายเมื่อดัชนีฯ ปรับขึ้นไปที่แนวต้าน 1,002 จุด และแนวต้านถัดไปที่ 1,008 จุด และรอซื้อหุ้นในกลุ่มพลังงานและธนาคารพาณิชย์ เมื่อดัชนีฯ อ่อนตัวลงมาที่แนวรับ 975 จุด และแนวรับถัดไปที่ 970 จุด

* บล.ฟินันเซีย ไซรัส มองหุ้นไทยเข้าสู่ช่วงตลาดกระทิง ดึงต่างชาติกลับเข้าตลาด
นายทวีรัชต์ มัททวีวงศ์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า แนวโน้มการเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยในสัปดาห์ที่ 18-22 กุมภาพันธ์ ที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ โดยมองกรอบการเคลื่อนไหวแนวต้านอยู่ที่ 1,000-1,020 จุด ส่วนแนวรับอยู่ที่ 980 จุด ซึ่งหากดัชนีฯ เพิ่มขึ้นต่อเนื่องไปยืนที่ระดับ 1,000 จุดได้ อาจยิ่งมีแรงดึงดูดนักลงทุนต่างชาติกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากยิ่งขึ้น
ประกอบกับปัจจัยที่อาจมีผลบวกต่อการลงทุน ทั้งในแง่ของภายในจากปัญหาการชุมนุมทางการเมือง หรือแม้กระทั่งปัญหาทางเศรษฐกิจและการเมืองในต่างประเทศ ขณะนี้ปัจจัยเสี่ยงทั้งหลายชะลอความกังวลลงมาก ซึ่งอาจเหลือเพียงต้องติดตามความคืบหน้าในกรณีการเลือกตั้งภายในประเทศไทย และการเคลื่อนไหวของดัชนีฯ ดาวโจนส์ ของตลาดสหรัฐ ว่าจะมีทิศทางเป็นอย่างไรเท่านั้น
ขณะเดียวกัน หากประเมินสัญญาณทางเทคนิคในระยะนี้จะพบว่า ตลาดหุ้นไทยเข้าสู่ช่วงตลาดกระทิง (Bull market) ได้ ดังนั้นนักลงทุนที่ประเมินการลงทุนตามสัญญาณเทคนิค ก็จะอยู่ในช่วงซื้อลงทุน ซึ่งที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติส่วนใหญ่จะให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงาน และธนาคาร ฉะนั้นนักลงทุนไทยจึงยังสามารถลงทุนในหุ้นกลุ่มดังกล่าวได้เช่นกัน

-----------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ตปท.



-----------------------------------------------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น