Code 356 : ลงมาใกล้เขต Oversold แล้ว

วันศุกร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2554

ATT Code : ลงมาใกล้เขต Oversold แล้ว



วันนี้ ถ้า SET ยังมีแรงขายออกมาอย่างต่อเนื่อง ก็จะมีแนวรับที่ BB Bottom อยู่ที่ระดับ 937 จุด และที่เส้น MA 200 วัน อยู่ที่ระดับ 922 จุด.... แต่ถ้าแรงขายเริ่มหมด เริ่มมีแรงซื้อเข้ามา ก็ต้องให้ SET กลับขึ้นมายืนเหนือ 950 จุด โดยมีแนวต้านที่ 960 จุด ซึ่งเป็น Low ของวันที่ 1 ก.พ. 54

SET หลุด MA 10 วัน 978 จุด ตั้งแต่วันที่ 09/02/54 ก็เริ่มดูไม่ดีแล้ว และเมื่อวานก็ยิ่ง Confirm ชัดว่าลงต่อไปอีก โดยดูจากค่าต่างๆ ของกราฟวันพฤหัสที่ 09/02/54

1. MACD ตัดเส้น Signal ลงมาแล้ว.... ยังลงต่อได้อีก
2. OBV ลดลง จาก 549 เหลือ 509.... แสดงให้เห็นว่ายังไม่มีแรงซื้อกลับเข้ามา

3. CCI มีการแกว่งของราคาลงมาต่ำกว่าระดับ -100 มาอยู่ที่ระดับ -170... เคยต่ำสุดที่ระดับ -247 ของวันที่ 21/01/54
4. เส้น ADX : DI+ กับ DI- ยังห่างออกจากกันอยู่... ยังมีแรงขายอยู่
5. Williams %R อยู่ในระดับขายมากเกินไปแล้ว โดยอยู่ในระดับ -100... ถ้า %R ขึ้นมาตัดระดับ -90 ได้ ก็จะเกิดสัญญาณซื้อขึ้นมา
6. RSI อยู่ที่ 33.73% ก็เริ่มเข้าใกล้ระดับที่มีการขายมากเกินไป ที่ 30%.... ยังลงต่อได้อีก

-------------------------------------------------------------
MARKET WAVE Analysis
Intraday - rebound ?
เกิน 949.19 จุดสูงสุดเช้านี้ พอมีโอกาสดีดตัวขึ้น 960 และไม่น่าเกินเส้น 25 ชม. ระยะหนึ่งถึงสองสัปดาห์ข้างหน้ามีโอกาสลงต่อ 908

KBANK เกิน 105 ขึ้น 107 - 108 หนึ่งถึงสองวัน ต่ำกว่า 104 ขาย

Intraday - short-term rebound
RSI Bullish Divergence ภาพระยะชั่วโมง
พอมีโอกาสดีดตัวขึ้น "ชั่วคราว" แต่ไม่น่าเกิน 951 - 956 จากนั้นตลาดน่าจะแกว่งตัวในกรอบ 937 - 956 อีกหนึ่งสัปดาห์ เพื่อรอลงต่อแถว 898 - 900 ปลายเดือน กพ.

ณ บริเวณ 895 - 900 ตลาดน่าจะปรับตัวขึ้นได้อีกครั้ง

-------------------------------------------------------------
E Finance Thai : ฝรั่งหนีหุ้นเอเชีย
** รอลุ้นใหม่Q2/54
ฝรั่งขายหุ้นเอเชียโยกเงินกลับ หลังศก.สหรัฐ มีสัญญาณฟื้นตัว ฉุด SET Index (10ก.พ.)รูด 20.80 จุดหรือ2.14% ขณะที่ต่างชาติขายสุทธิตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมารวม 3.5หมื่นลบ.วงการ แนะ รอลุ้น SET ฟื้นตัวQ2/54 เหตุมีปัจจัยลบรุมเร้าทั้ง เงินเฟ้อเพิ่ม – ดอกเบี้ยขึ้น การเมืองภายในยังระอุ กลยุทธ์ช่วงตลาดหุ้นปรับฐาน แนะนำซื้อกลุ่มปันผลแจ่ม ให้แนวรับสำคัญ 930 จุด แนวต้าน 960 จุด วงการมองว่า Fund Flow ไหลกลับไปประเทศพัฒนาแล้วที่เศรษฐกิจได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วและมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้น เช่น สหรัฐ สะท้อนจากการปรับเพิ่มคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจในสหรัฐฯ เยอรมัน และญี่ปุ่น ในปี 2554 ของ IMF เป็น 3.0%, 2.2% และ 1.6% ตามลำดับ ขณะเดียวกันเริ่มเห็นสัญญาณการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ย เพื่อควบคุมปัญหาเรื่องเงินเฟ้อที่กำลังเป็นปัญหาทั่วโลกล่าสุด จีน ปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% ประกอบกับส่วนต่างอัตราผลตอบแทนระหว่างประเทศพัฒนาแล้วและกำลังพัฒนาแคบลง ส่งผลให้ตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียร่วงกันระนาว

โดยความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นในภูมิภาคสำคัญวานนี้( 10 ก.พ.54)อาทิดัชนี PHCOMP: ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ ปิดตลาดที่ระดับ 3,738.31 จุด ลดลง 105.06 จุด หรือ -2.73 % ดัชนี ฮั่งเส็ง: ตลาดหุ้นฮ่องกง ปิดตลาดที่ระดับ 22,708.62 จุด ลดลง 455.41 จุด หรือ -1.97 %ดัชนี เวทเต็ด: ตลาดหุ้นไต้หวัน ปิดตลาดที่ระดับ 8,836.56 จุด ลดลง 170.26 จุด หรือ -1.89 % ดัชนี คอมโพสิต: ตลาดหุ้นโซล ปิดตลาดที่ระดับ 2,008.50 จุด ลดลง 37.08 จุด หรือ -1.81 % ดัชนี สเตรทไทม์: ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ปิดตลาดที่ระดับ 3,103.39 จุด ลดลง 47.17 จุด หรือ -1.50 %ดัชนี ,ดัชนี คอมโพสิต: ตลาดหุ้นอินโดนีเซีย ปิดตลาดที่ระดับ 3,373.64 จุด ลดลง 43.83 จุด หรือ -1.28 % และ ดัชนี นิกเกอิ: ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ปิดตลาดที่ระดับ 10,605.65 จุด ลดลง 12.18 จุด หรือ -0.11 % ขณะที่ตลาดหุ้นไทยยังต้องเผชิญกับปัญหาภายในประเทศ ทั้งสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา และปัญหาความไม่แน่นอนของการเมืองในประเทศ ซึ่งทั้งกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติหรือ นปช.และพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยมีนัดชุมนุมใหญ่หลายครั้งในเดือนก.พ.นี้

ส่งผลให้วานนี้(10 ก.พ.54)SET Index ปรับตัวลดลงตั้งแต่เปิดการซื้อขาย โดยเปิดที่ระดับ 962.75 จุด ลดลงจากปิดตลาดวันที่ 9 ก.พ. ที่ 969.89 จุด โดยดัชนีปรับตัวลดลงแรงจนหลุดระดับ 950 จุดในการซื้อขายช่วงบ่าย ก่อนจะปิดตลาดที่ 949.09 จุดซึ่งเป็นจุดต่ำสุดของวัน ลดลง 20.80 จุดหรือคิดเป็น 2.14% มูลค่าการซื้อขาย 32,609.63 ล้านบาท

ทั้งนี้พบว่านักลงทุนต่างชาติ เทขายทำกำไร ตลอด 4 วันที่ผ่านมา โดยวานนี้นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 2,800.75 ล้านบาท ทั้งนี้นับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมานักลงทุนกลุ่มนี้ขายสุทธิ 35,143.46 ล้านบาท เทียบกับปี 2553 ที่ซื้อสุทธิ 81,415 ล้านบาท ***บล.ไทยพาณิชย์ มอง ต่างชาติขายทำกำไรเพื่อปรับพอร์ตคาด SET ฟื้นตัวQ2/54 หากไม่มีปัจจัยลบ

*** นายเกียรติศักดิ์ เจนวิภากุล กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บล.ไทยพาณิชย์ มองว่า สำหรับเม็ดเงินต่างชาติที่ขายหุ้นไทยขณะนี้ เป็นการนำเงินออกนอกประเทศ โดยมีสาเหตุเพื่อทำกำไร และปรับสมดุลของพอร์ตการลงทุน จากช่วงก่อนหน้านี้ที่เม็ดเงินลงทุนของต่างชาติส่วนใหญ่ จะไหลเข้ามาเอเชียเป็นจำนวนมาก เมื่อเทียบกับยุโรปและสหรัฐ เป็นผลให้ตลาดหุ้นเอเชียปรับขึ้นไปแรงทั้งนี้ คาดว่าเม็ดเงินที่ไหลไปยังสหรัฐฯในขณะนี้ เมื่อถึงระดับหนึ่ง นักลงทุนจะเริ่มพิจารณาภาวะเศรษฐกิจที่แท้จริงว่ามีการฟื้นตัวจริงหรือไม่โดยมองว่าการฟื้นตัวของสหรัฐฯ ยังอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับภูมิภาคเอเชีย ดังนั้นภูมิภาคนี้จึงยังเป็นแหล่งลงทุนที่น่าสนใจอยู่ยังคงไม่ปรับมุมมอง เป้าหมายดัชนีหุ้นไทยปีนี้ จะปรับขึ้นสู่ระดับ 1,200 จุด มาจากกำไรของบริษัทจดทะเบียน(บจ.) ที่คาดว่าจะเติบโตราว 15% ในปีนี้ และค่าพี/อี ที่ระดับ14 เท่า ซึ่งสามารถลงทุนได้ และทำให้ตลาดหุ้นไทยยังน่าสนใจอยู่ ส่วนระดับต่ำสุดอาจลงไปถึง 900 จุดแต่หากไม่มีปัจจัยลบหรือเหตุการณ์ร้ายแรง จนทำให้นักลงทุนเกิดอาการตื่นตระหนก(panic)ซึ่งการเมืองก็ถือเป็นปัจจัยหนึ่ง ก็มองว่าภายในไตรมาส 2/54 ตลาดหุ้นไทยน่าจะเริ่มฟื้นตัวกลับมาได้อีกครั้ง" การปรับตัวลดลงของตลาดหุ้นไทยหากเกินระดับ10-15% แล้วราคาหุ้นจะอยู่ในระดับที่ถูกลง หรือการปรับตัวลดลงของดัชนีตลาดเป็นระยะนาน3 เดือน นักลงทุนจะเริ่มหันกลับมาพิจารณาการลงทุนในตลาดหุ้นอีกครั้ง

"***บลจ.ธนชาต มองเงินทุนต่างชาติไหลออกตามตลาดเอเชีย คาดตลาดหุ้นแกว่งตัวในกรอบ 900-1000 จุด***
ด้านนายตระกูลจิตร จิตตไสยะพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.)ธนชาต จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯประเมินว่าเม็ดเงินลงทุนต่างชาติที่ไหลออกจากตลาดหุ้นไทยเป็นการเคลื่อนไหวตามปกติในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นเอเชีย หลังจากที่ตลาดหุ้นได้มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นค่อนข้างมากก่อนหน้านี้ ส่งผลให้ได้ผลตอบแทนจากการลงทุนค่อนข้างสูง จึงมีการโยกเงินกลับไปลงทุนในสหรัฐฯ และยุโรป ทั้งนี้ประเมินว่าดัชนีฯ น่าจะสามารถยืนที่ระดับ 900- 1,000 จุด

พร้อมทั้งประเมินว่าในช่วงครึ่งปีหลังกระแสเงินลงทุนจากต่างชาติจะไหลกลับเข้ามาลงทุน โดยประเมินว่าในระยะยาวเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียถือว่ายังมีความแข็งแกร่ง ทั้งนี้ในช่วงที่ตลาดฯปรับตัวลดลง ถือเป็นจังหวะทยอยเข้าซื้อสะสม โดยเน้นในหุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์เป็นหลัก โดยพิจารณาจากผลประกอบการและความแข็งแกร่งของบริษัทฯ และได้รับประโยชน์จากแนวโน้มของเงินเฟ้อที่ขยับตัวสูงขึ้น รวมทั้งหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากการบริโภคภายในประเทศ และหลีกเลี่ยงการลงทุนในหุ้นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากเงินเฟ้อ

ขณะที่ก่อนหน้านี้นักลงทุนต่างชาติได้ Overweight ในตลาดหุ้น ทั้งนี้กระแสเงินลงทุนได้ชะลอการลงทุนไปค่อนข้างมาก หลังจากที่สัญญาณทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯเริ่มปรับตัวดีขึ้น ทั้งตัวเลขการว่างงาน และการบริโภค ขณะที่ธุรกิจภาคเอกชนยังอยู่ในทิศทางที่ดี

ด้านความขัดแย้งบริเวณชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา เชื่อว่ากลุ่มนักลงทุนชาติจะไม่ได้ให้น้ำหนักกับประเด็นดังกล่าว แต่จะให้ความสำคัญกับการปรับน้ำหนักการลงทุน รวมถึงยังมีความกังวลจากกรณีปัญหาเงินเฟ้อส่งผลให้ทิศทางดอกเบี้ยยังมีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้น หลังจากจีนได้มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายไปก่อนหน้านี้ ***ASP มองหุ้นไทยร่วงตามตลาดหุ้นเอเชีย หลังต่างชาติกระหน่ำขาย ให้แนวรับสำคัญ 930 จุด

*** นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.เอเชียพลัส (ASP)กล่าวว่า สาเหตุที่ดัชนีฯปรับตัวลดลงต่อเนื่องในช่วงหลายวันที่ผ่านมา กระแสหลักเป็นเรื่องของการขายทำกำไรของนักลงทุนต่างชาติ รวมถึงได้รับแรงชี้นำจากการที่ดัชนีฯในภูมิภาคเอเชียปรับตัวลดลงแรงมาก ทั้งตลาดหุ้นฮ่องกง ไต้หวัน และตลาดเกาหลี เป็นต้น ขณะเดียวกัน ตลาดหุ้นไทยยังมีแรงกดดันจากสถานการณ์ทางการเมืองภายในประเทศด้วย ซึ่งระยะเริ่มเข้าใกล้จุดเปลี่ยนในการยุบสภาและเลือกตั้ง และในระยะนี้จะมีการนัดชุมนุมใหญ่ทางการเมืองอีกหลายครั้ง

ขณะที่ ยังไม่พบปัจจัยบวกที่จะมาหนุนดัชนีฯแต่อย่างใด ซึ่งแม้ว่าจะมีประเด็นการจ่ายปันผลของบริษัทจดทะเบียน แต่อาจไม่มีแรงหนุนให้ดัชนีฯปรับตัวเพิ่มขึ้นเพียงพอ เนื่องจากแนวโน้มหุ้นที่จะมีการจ่ายเงินฝันผลอยู่ในระดับสูงนั้น ส่วนใหญ่เป็นหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก

ทั้งนี้ คาดว่าตลาดหุ้นจะยังต้องเผชิญกับแรงกดดันไปอีกระยะห นึ่ง ซึ่งมีแนวรับสำคัญอยู่ที่บริเวณ 930 จุด และหากดัชนีฯปรับตัวลดลงไปในระดับดังกล่าว อาจเริ่มมีแรงรีบาวน์ในช่วงสั้นขึ้นมาได้ โดยประเมินแนวต้านอยู่ที่ 960 จุด***โกลเบล็ก แนะช่วงหุ้นร่วง เป็นจังหวะซื้อ หุ้นกลุ่มพลังงาน

*** นายธวัชชัย อัศวพรไชย ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.โกลเบล็ก กล่าวว่า ปัจจัยที่ส่งผลให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยในวันนี้ปรับตัวลดลงแรง ต่อเนื่องจากช่วงที่ผ่านมา เป็นผลจากที่นักลงทุนภายในประเทศมีความกังวลว่านักลงทุนต่างชาติกำลังอยู่ระหว่างการขายทำกำไรจำนวนมาก จึงทำให้มีการขายออกมาในลักษณะเดียวกัน เห็นได้จากตัวเลขสุทธิในช่วงตลาดปิดของแต่ละวัน

รวมทั้งนักลงทุนมีความวิตกต่อปัญหาทางการเมืองระหว่างประเทศของไทยและกัมพูชา ที่เดิมคาดว่าจะใช้ระยะเวลาในการควบคุมสถานการณ์ไม่นานนัก แต่ในความเป็นจริงพบว่า เป็นเวลากว่า 1 สัปดาห์แล้วสถานการณ์ยังคงไม่ชัดเจน และมีโอกาสที่จะปะทะกันได้ตลอดเวลา จึงทำให้นักลงทุนขายหุ้นเพื่อลดความเสี่ยง ขณะที่ในช่วงบ่ายของวันนี้ ดัชนีฯปรับตัวลดลงมากขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นกระแสจากตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียประกอบด้วย

ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ จึงถือเป็นจังหวะซื้อ โดยเฉพ าะหุ้นในกลุ่มพลังงาน ที่ราคาปรับตัวลดลงมาก เช่น PTTCH, BANPU เป็นต้น ขณะเดียวกันนักลงทุนต้องพยายามปรับพอร์ตการลงทุนโดยเพิ่มสัดส่วนของการลงทุนระยะกลางมากขึ้น เนื่องจากมองว่า แม้จะมีปัญหาต่างๆแต่พื้นฐานของหุ้นแต่ละตัวยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง พร้อมทั้งแนวโน้มผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในปีนี้ยังจะสามารถขยายตัวได้ต่อเนื่อง แม้จะมีขนาดที่ชะลอลงบ้างจากปีก่อน

ส่วนในเชิงสัญญาณทางเทคนิค พบว่า หากราคาหุ้นปรับตัวลดลงไปที่บริเวณ 950 จุด จะมีโอกาสรีบาวน์ตามเทคนิค ซึ่งจะมีแนวต้านที่ 960 จุด และ 970 จุด ได้

***บล.ทิสโก้ คาด SET เดือนนี้ หมดโอกาสดีดกลับที่ 995 จุด ชี้ เดือนมี.ค. ลงทดสอบแนวรับ 900-920 จุด***
บล. ทิสโก้ ประเมินว่าแนวโน้มเดือน ก.พ. 54 คาดว่า SET จบการดีดกลับไปแล้วที่ 995 จุด แนวโน้มเดือนนี้ SET ลงสลับดีดกลับขึ้นได้ที่แนวรับ 958 , 950 จุด มีแนวต้าน 990 , 995 จุด ปัจจัยบวกคือ 1. SET ยังอยู่ในคลื่น Rebound ขนาดใหญ่จากภาวะ Over Sold หลังจากในเดือน ม.ค. 54 ดิ่งลงกรอบ 950.61 – 1,056.44 จุด ลง 106 จุด (-10.0%) 2. การประกาศผลประกอบการปี 53 ตามด้วยการประกาศจ่ายปันผล หุ้นปันผล Dividend Yield มากกว่า 4.0% อาทิ TASCO , DCC , TICON , DTAC , SPALI , LPN , QH , AP , PS , HANA , DELTA , KEST , ASP , KGI , TLUXE , PAP

ส่วนแนวโน้มเดือน มี.ค. คาด SET ลงต่อทดสอบแนวรับ 900 - 920 จุด ปัจจัยลบคือ 1.จบการ Rebound 2. เงินเฟ้อเพิ่ม – ดอกเบี้ยขึ้นคาด 9 มี.ค. ธนาคารแห่งประเทศไทย จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25 % เป็น 2.50 % 3. ผลกระทบ XD- Effect และ 4. ข่าวยุบสภา ฯ (คาดยุบปลายเม.ย.) **ASP แนะซื้อกลุ่ม Div Yield สูงกว่า 7% อาทิ TK, PRIN, SC ช่วงตลาดปรับฐาน

** ด้านฝ่ายวิจัยบล.เอเซียพลัส (ASP)ประเมินว่าในภาวะที่ตลาดหุ้นยังคงอยู่ในช่วงของการปรับฐานและผันผวนสูง จากแรงกดดันทั้งภายในและภายนอก ขณะเดียวกันกำลังอยู่ในช่วงของการรายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนงวด Q4/53 ของกลุ่มภาคการผลิต (Real Sector) หลังจากนั้นจะเข้าสู่ฤดูกาลจ่ายเงินปันผลประจำปี 2553 ในช่วงเดือน มี.ค. – เม.ย. ของทุกปี

ฝ่ายวิจัยแนะนำกลยุทธ์การลงทุนในหุ้นปันผล เนื่องจากคาดหมายว่ากลุ่มหุ้นปันผลสูง จะสามารถให้ผลตอบแทนชนะตลาดได้ โดยปีนี้ฝ่ายวิจัยได้ส่องกล้องมองหุ้นปันผลเด่นที่อยู่ในการศึกษาของฝ่ายวิจัย(Coverage) ที่มีDividend Yield สูงกว่า 5% ต่อปี และราคาหุ้นยังต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐานปี 2554 อย่างน้อย 15% (Upside) พบว่า มีหุ้นที่น่าสนใจแยกเป็นรายกลุ่มดังนี้1) กลุ่มที่จ่ายปันผลปีละครั้ง ซึ่งฝ่ายวิจัยถือว่าเป็นกลุ่มที่น่าสนใจมากที่สุด แนะนำกลุ่ม Dividend Yield สูงกว่า 7% ได้แก่TK, PRIN, SC2) กลุ่มที่จ่ายปันผลปีละ 2 ครั้ง แนะนำ DTAC, KK, TCAP, ADVANC, CPF คาดจะให้ปันผลรอบ 2H53 ราว 7.69%,4.44%, 4.22%, 4.1%, 2.46% ตามลำดับ และ 3) หุ้นที่จ่ายเงินปันผลเป็นรายไตรมาส โดยในงวด Q4/53 คาดว่าจะจ่าย 2% เท่ากัน คือCPNRF, TFUND, QHPF, SPF โดยสรุป การลงทุน Dividend Plays นักลงทุนควรทยอยสะสมได้ ณ ตอนนี้ เพราะสถิติในอดีตชี้ว่าราคาหุ้นจะเริ่มแกว่งตัวในทิศทางขาขึ้นนับจากช่วงเวลานี้เป็นต้นไปจนถึงช่วงก่อนวัน XD**CNS แนะหุ้น Low beta มีปันผลสูง สำหรับการลงทุนในระยะ 1 เดือน

** เช่นเดียวกัน บล.โนมูระ พัฒนสิน (CNS) แนะนำ หุ้น Low beta มีปันผลสูง สำหรับการลงทุนในระยะ 1 เดือน(มองตลาดหุ้นไทย ยังคงมีโอกาสปรับฐาน) โดยพบว่า ในรอบ 1 เดือนที่ผ่านมา นักลงทุนเปลี่ยนเป็น การลงทุนที่หลีกเลี่ยงความเสี่ยง โดย Low Volatility, Low estimate dispersion, low default probabilitystocks ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าเครื่องมือที่มีความเสี่ยงสูง / หุ้น Low beta ที่มีปันผลสูง ได้แก่ HANA BECLBEC MCOT DCC และสำหรับปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเติบโต (Growth Factors) จะพบว่า Sales Growth ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า EPS Growth และปัจจัยที่แสดงถึงความแข็งแกร่งทางการเงิน ต่างให้ผลตอบแทนที่เป็นบวก โดยเครื่องมือ RoE ให้ผลตอบแทนสูงสุด / คงแนะนำ สะสม หุ้น Global play ได้แก่PTTAR PTTCH TOP BANPU จากเป็นกลุ่มที่มี EMI สูง และมี High growth/ High ROEแนะนำ หุ้น Earnings play 1. ซื้อสะสมหุ้น Global play ที่กำไรฟื้นตัวตามเศรษฐกิจโลก และมีโอกาสรายงานกำไรสูงกว่าที่ตลาดคาด แนะนำ TOP PTTAR PTTCH BANPU 2. ซื้อเก็งกำไรหุ้นที่คาดรายงานกำไรเติบโตสูงโดดเด่น/ดีกว่าตลาดคาด STEC BEC CK SAT HEMRAJ

-----------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย
FSS : เน้นถือเพื่อรอขาย...โดยคาดตลาดใกล้รีบาวด์ เป้าหมาย 970 หรือสูงกว่า!แนวโน้ม: นักลงทุนต่างประเทศยังคงขายสุทธิต่อเนื่องในตลาดหุ้นภูมิภาคเอเชียรวมทั้งไทยด้วย อย่างไรก็ตามการที่ SET ปรับลงแรง และความผันผวนของตลาดหุ้นสหรัฐที่เริ่มมีมากขึ้นหลังจากขยับขึ้นมาค่อนข้างร้อนแรงในช่วงที่ผ่านมามีโอกาสที่จะทำให้มีเม็ดเงินจากนักลงทุนต่างประเทศบางส่วนย้ายกลับมาซื้อบ้างทำให้ FSS คาดว่าเร็วๆ นี้ SET มีโอกาสที่จะดีดตัวกลับขึ้นไปเคลื่อนไหวเป็นบวกให้เห็นได้บ้าง แต่ยังเป็นเพียงการรีบาวด์ช่วงสั้นๆ และยังมีแนวโน้มที่จะปรับตัวลงได้ใหม่อยู่ โดยปัจจัยที่ต้องติดตามในวันนี้ ต้องรอดูสถานการณ์ในอียิปต์หลังปธน. ประกาศพร้อมถ่ายโอนอำนาจให้กับ รอง ปธน. แต่จะไม่ลาออกจากตำแหน่ง ขณะที่ในบ้านเราจะมีการโหวตวาระ 3 ร่างแก้ไข รธน.ด้วย

กลยุทธ์: แนะนำให้ถือเพื่อรอขายเมื่อตลาดรีบาวด์ โดยเฉพาะเมื่อตลาดดีดขึ้นไปถึง 970 จุดหรือสูงกว่า เพราะต้องระวังการปรับตัวลงแรงในรอบถัดไปอีกเนื่องจากยังมีปัจจัยลบที่กดดันตลาดอยู่อีกหลายด้าน

ประเด็นสำคัญวันนี้
• (-) เช้านี้ธนาคารกลางเกาหลีประกาศคงดอกเบี้ย ที่ 2.75% ผิดไปจากที่ตลาดคาดว่าจะขึ้นดอกเบี้ย 0.25% เป็น 3% ขณะที่ตัวเลขเงินเฟ้อของผู้ผลิต (PPI) เดือนล่าสุด ม.ค. ยังพุ่งต่อจาก 5.3% เป็น 6.2% ก่อนหน้านี้เงินเฟ้อของผู้บริโภค (CPI) ก้เพิ่มนอัตราเร่งอยู่แล้ว ประเด็นนี้อาจทำให้ตลาดกลับมากังวลเรื่องการขึ้นดอกเบี้ยไม่ทันเงินเฟ้ออีกระลอก ส่วน กนง. ของไทยจะประชุมกันวันที่ 9 มี.ค. ตลาเริ่มคาดกันมากขึ้นว่าจะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งหน้า 0.25%

• (-) โหวต แก้ รธน.วาระ 3 วันนี้ คาดว่าผ่านเพราะพรรคร่วมสนับสนุน เพราะความเห็นตรงกันเรื่องรูปแบการเลือกตั้งแบบเขตเดียวเบอร์เดียว

• (+) MSCI Quarterly ในครั้งนี้ไม่มีการปรับเข้า-ออกหุ้นไทย (มีเพิ่มหุ้นในไต้หวันมากสุด 3 ตัว เพิ่มหุ้นจีน 1 ตัว เพิ่มหุ้นอินเดีย 1 ตัว เพิ่มหุ้นฟิลิปปินส์1 ตัว และลดหุ้นฮ่องกงออก 1 ตัว) มีผล 28 ก.พ. นี้

• (+) STA คาดกำไร 4Q10 เพิ่มขึ้น 84% Q-Q ซึ่งมาจากราคายางแพงขึ้นเป็นหลัก ทำให้กำไรทั้งปี 2010 จะสูงสุดเป็นประวัติการณ์อยู่ที่ราว 3.8พันล้านบาท (+80%) และคาดจะทำ New High อีกครั้งในปีนี้โดยเติบโตต่อเนื่องอีก 15% จากราคายางที่ยังแพงต่อเนื่อง ขณะที่บริษัทขยายกำลังการผลิตอีก 18% เป็น 1 ล้านตัน เราคาดว่าจะจ่ายปันผลงวดปี 2010 เท่ากับ1.16 บาท/หุ้น (Yield 3%) แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 42 บาท (อิง PE 12เท่า)

• (+) MAJOR คาดกำไรสุทธิ +14% Q-Q, +43% Y-Y จากกำไรจากการขายโครงการ Major Avenue รัชโยธิน เข้า Property Fund ประมาณ 134ล้านบาท แต่กำไรปกติ -49% Q-Q, -29% Y-Y เพราะถูกกระทบจากน้ำท่วมและมีหนังทำเงินไม่มากนัก เราคาดว่าบริษัทจะจ่ายปันผล 0.48 บาท/หุ้นในงวด 2H10 yield 4% กำไรปีนี้คาดโตต่อ 14% แนะนำซื้อ เป้าหมาย 17.20บาท

• Fund Flow วานนี้เม็ดเงินยังไหลออกจากตลาดหุ้นภูมิภาคต่อเนื่องเป็นวันที่6 และเพิ่มปริมาณขึ้นมาก โดย 2 วันนี้ยังคงขายหนักในไต้หวันและเกาหลี(ซึ่งเคยซื้อมากเมื่อต้นปี) กดดันให้ค่าเงินสกุลเอเชียอ่อนค่าลงเป็นส่วนใหญ่การเคลื่อนย้ายเงินทุนในระยะนี้ยังคงไหลกลับเข้าสู่ประเทศหลักอย่างสหรัฐฯซึ่งมีรายงานตัวเศรษฐกิจที่ดีขึ้นต่อเนื่อง

ข่าวภายในประเทศ
STEC เซ็นบิ๊กโปรเจ็กต์โรงไฟฟ้ากัลฟ์ 1.6 หมื่นล. นัดลงนามสัปดาห์หน้า ดันแบ็กล็อก 4 หมื่นล้าน STEC เซ็นสัญญางานก่อสร้างโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ (IPP) ของกัลฟ์เจพี มูลค่า 1.6 หมื่นล้านบาทสัปดาห์หน้า ส่งผลให้งานในมือพุ่งทะลุ 4 หมื่นล้านบาท ขณะที่มีงานที่อยู่ระหว่างรอเซ็นสัญญากว่า 3,200 ล้านบาท และมีงานที่อยู่ระหว่างยื่นประมูลอีก 6,100 ล้านบาท สิ้นปีคว้าเพิ่มไม่ต่ำกว่า 1.2-1.4 หมื่นล้านบาท (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น11-02-2011)

SSI-GSTEELรับเนื้อๆไทยรีด ADจีน-มาเลย์ SSI-GSTEEL เฮ! รับข่าวดี พาณิชย์เรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาด (AD) ชั่วคราว ในอัตรา30.91-42.51% สำหรับเหล็กแผ่นรีดร้อนนำเข้าจากจีนและมาเลเซีย วงการคาดส่งผลให้ราคาเหล็กแผ่นรีดร้อนปรับตัวเพิ่มขึ้น จากปัจจุบันที่ 680-702 เหรียญสหรัฐ/ตัน (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 11-02-2011)

TRUEท้าสอบสัญญาโปร่งใสสตง.สั่งกสทแจง “ทรู” ลั่นพร้อมเปิดให้ตรวจสอบสัญญาดีลซื้อฮัทช์ ยันทุกอย่างโปร่งใสมั่นใจคลี่คลายโดยเร็ว ฟากสตง. ร่อนหนังสือถึง “บอร์ด กสทฯ” ขอสำเนาสัญญา “กสทฯ-ทรู” เพื่อบริการ 3 จี เหตุเร่งรีบลงนามเกินไป เข้าข่ายเลี่ยงพ.ร.บ.ร่วมทุนและพ.ร.บ.กสทช. (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 11-02-2011) PS เจอพิษรัฐสภาแห่งใหม่ทำคอนโดเกียกกายสะดุด PS นัดคืนเงินลูกค้า 1,000 ราย มูลค่ารวม 45 ล้านบาทในวันที่ 12-13 ก.พ.นี้ หลังคอนโด"เดอะทรี เกียกกาย สเตชั่น" เจอปัญหาก่อสร้างไม่ได้ เหตุส่งผลกระทบต่ออาคารรัฐสภาแห่งใหม่ ขณะที่มี.ค.นี้ เล็งโอนที่ดินที่ "THANE" ของมุมไบ จ่อเปิดขายโครงการต้น Q3 ปีนี้ คงเป้ารายได้ต่างประเทศ 2.4 พันล้านบาท (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 11-02-2011)

AGE กำไรทะลัก 1,000% UMSพลิกกำไร AGE โชว์กำไรปี'53 กระฉูด 127.18 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,137% ขณะที่ Q4/53 กำไรสุทธิ 35.83 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 332% พร้อมตั้งเป้าปี 2554 ยอดขายเติบโต 40% กำไรเติบโต 50-60% ดีมานด์ลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศทะลัก ขณะที่ UMSพลิกมีกำไร (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 11-02-2011)

IVL เริ่มบุ๊ครายได้ซื้อกิจการ Q2 หนุนกำลังผลิตครึ่งปีแรกเพิ่ม 46% ดันรายได้ปีนี้โต 20% IVL เผยการตระเวนซื้อกิจการทั่วมุมโลก เริ่มส่งผลในไตรมาส 2/54 หนุนกำลังการผลิตในครึ่งปีแรกเติบโต 46% ตั้งเป้ารายได้ปีนี้โตไม่ต่ำกว่า 20% ส่วนกำไร Q4/53 เติบโต 159% แตะ 3,570ล้านบาท รับปัจจัยบวกดีมานด์ Cotton ที่เพิ่มขึ้น ทำให้ Spread margin ยังแข็งแกร่ง (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 11-02-2011)

-----------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ตปท.
เมื่อวานนี้ตลาดหุ้นสหรัฐยังคงแกว่งตัวผันผวนในด้านลบต่อเนื่องอีกกว่า 80 จุดในระหว่างวัน ก่อนที่จะดีดกลับมาปิดเป็นลบ 10.60 จุด หลัง ปธน.ของอียิปต์กล่าวว่าจะมอบอำนาจให้แก่รอง ปธน. แต่ไม่ลาออก โดยเตรียมแถลงต่อปชช. ในวันนี้ ซึ่งต้องติดตามว่าจะสามารถทำให้การชุมนุมกว่าครึ่งเดือนที่ผ่านมาสงบลงได้หรือไม่ ค่าเงินดอลลาร์เริ่มแข็งค่าขึ้นอีกครั้ง หลังตัวเลขจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกรายสัปดาห์ของสหรัฐลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปีครึ่ง บ่งชี้ถึงตลาดแรงงานสหรัฐว่าอาจจะกำลังเริ่มฟื้นตัว

ตลาดหุ้นในเอเชียเช้านี้ยังคงเปิดลดลงต่อเนื่อง จากแรงขายของนักลงทุนต่างชาติ แต่ถือว่าปรับตัวลงน้อยกว่าในช่วงหลายวันที่ผ่านมาพอควร ค่าเงินบาทยังอ่อนค่าลงต่อ โดยมาเริ่มเคลื่อนไหวสูงกว่า30.80 บาท/ดอลลาร์เล็กน้อย

ราคาน้ำมันดิบในตลาด NYMEX ปิดที่ 86.73 ดอลลาร์/บาร์เรล บวก 0.02 ดอลลาร์ โดยยังได้รับแรงกดดันจากการแข็งค่าของเงินดอลลาร์ หลังตัวเลขด้านแรงงานดูดีขึ้น ราคาทองคำล่วงหน้าในตลาด COMEX ปิดที่ 1362.50ดอลลาร์/ออนซ์ ปรับตัวลง 3.0 ดอลลาร์ หลังตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐออกมาดี ยังเป็นปัจจัยบวกให้กับสินทรัพย์เสี่ยง
-----------------------------------------------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น