Code 369 : 03/03/54 กังวลการประท้วงและเงินเฟ้อ

วันพฤหัสที่ 3 มีนาคม 2554

ATT Code : 03/03/54 กังวลการประท้วงและเงินเฟ้อ



สรุปสภาวะการซื้อขาย วันพุธที่ 02/02/54 : ลงมาแต่ไม่หลุด 986 นะ
เมื่อเช้าวันพุธ ช่วงเปิดตลาดมีแรงขายออกมาทุกกลุ่ม ยกแว้น PTTEP ตัวเดียว ทำให้ SET ลบไปประมาณ 6 จุด เปิดที่ระดับ 988.59 จุด จากนั้นก็มีแรงซื้อเข้ามานิดหน่อย ทำให้ SET ขึ้นไป High ที่ 992.82 Rebound ขึ้นไป 4 จุด แล้วก้ไหลลงไปอีกตามภูมิภาค ไป Low ที่ 984.55 จุด ดดย Hong Kong ลบไปปรมาณ 350 จุด ก่อนที่จะมาปิดตลาดที่ 987.59 จุด ลบไป 6.89 จุด

SET มีแรงขายออกมา ทำให้หลุดแนวรับทุกเส้น ที่เส้น 75 5 และ 10 วัน ที่ 990, 988, 986 ลงมา low ที่ 984.5 จากนั้นก็ Rebound ขึ้นมาตาม Hong Kong และกลุ่มแบงค์ ทำให้ขึ้นผ่านแนวรับที่ 986 ขึ้นมาได้ แต่ก้ไม่ผ่านเส้น 5 วัน ที่ 988 ไปนิดหน่อย ที่ 987.59 จุด

แนวโน้มในวันพฤหัสที่ 03/03/54 : จะผ่าน 990 หรือ หลุด 986 กันแน่
-แนวรับอยุ่ที่เส้น 10 วัน ที่ระดับ 986 และแนวรับหลักยังอยู่ที่ 977 เหมือนเดิม ถ้าหลุด 986 ก็จะลงมาที่ 980 ซึ่งเป็น low ของวันที่ 28/02/54 ได้อีกครั้ง
-ส่วนแนวต้าน ก็จะอยู่ที่เส้น 75 วัน ที่ระดับ 990 จุด ซึ่งถ้าผ่านก็อาจจะมาปิด Gap ที่ 991 จุด ซึ่งตลาดช่วงนี้ก็อ้างอิงไปตามตลาดภูมิภาคและอเมริกาเป็นหลัก

*** SET วานนี้ ขายทุกกลุ่ม จากความกังวงในเรื่องของการประท้วงและเงินเฟ้ออยู่ ทำให้ Indicators ทั้ง 6 พลิกกลับมาเป็นลบอีกครั้ง

1. (+) MACD ยังคงตัดเส้น Signal ขึ้นมาอยู่ โดย MACD ยังคงยืนเหนือเส้นศูนย์อยู่.... มีสัญญาณที่ดีอยู่
2. (-) OBV ลงมาจาก 742 มาที่ 719.... แสดงให้เห็นว่ามีแรงซื้อขายสะสมลดลง
3. (-) CCI ลดลงมาจาก 69 ลงมาที่ 9 ลดลงมา 60 ... แนวโน้มยังเป็นกลับมาเป็นลบอีกครั้ง
4. (-) เส้น ADX : DI+(27.26) ตัดเส้น DI-(27.45) ลงมาใหม่อีกครั้ง ... แนวโน้มกลับมาเป็นลบอีกครั้ง
5. (-) Williams %R ลบมากขึ้นจาก -17 ลงมาที่ -44 ... แนวโน้มกลับมาเป็นลบอีกครั้ง
6. (-) RSI ลงมาจาก 53% มาอยู่ที่ 50% ลดลงนิดหน่อย... แนวโน้มกลับมาเป็นลบอีกครั้ง
7. (-) Fast Sto : %K(44) ตัด %D(62) ลงมาแล้ว ... แนวโน้มกลับมาเป็นลบอีกครั้ง


-----------------------------------------------------------------------------
MARKET WAVE Analysis
3 มีค. 54 ( -6.89 จุด ) โกมล พงศ์วิญญู เลขทะเบียน 18338

ปรับตัวลง 978 - 981 จุด
ตราบใด ไม่เกิน 994.48 จุดสูงสุดเดิมของวันอังคาร ดัชนีมีโอกาสปรับตัวกลับลงไปบริเวณ 978 – 981 ใกล้บริเวณแนวรับตาม
ธรรมชาติของเส้นค่าเฉลี่ย 25 วัน

ภาพโดยรวมแล้ว ตลาดน่าจะต้องแกว่งตัวอีกหลายวันในกรอบ 977 – 994 หรือระหว่างจุดต่ำสุดของสัปดาห์ที่แล้ว ถึงจุดสูงสุด
ของสัปดาห์นี้ ในรูปแบบที่คาดว่าจะเป็นการปรับตัวของสามเหลี่ยม

ขณะที่การปรับตัวขึ้น เกิน 1000.90จุดสูงสุดเดิมเดือน กพ. จะถือเป็นสัญญาณการปรับตัวขึ้นของดัชนียังเป้าหมาย 1050 – 55 ใกล้จุดสูงสุดเดิมต้นปีนี้

หุ้นเด่น
CEN
กำลังปรับตัวในกรอบสามเหลี่ยม ภาพระยะชั่วโมง รอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 3.76 กรอบบนของสามเหลี่ยม เป้าหมายหนึ่งถึงสองวัน
3.86 – 4.00( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 3.68 )

MDX
กำลังปรับตัวในกรอบสามเหลี่ยม ภาพระยะชั่วโมง รอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 3.38 กรอบบนของสามเหลี่ยม เป้าหมายหนึ่งถึงสองวัน
3.48 – 3.52( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 3.28 )

10 อันดับซื้อขายสูงสุด
KBANK ต่ำกว่า 118 ลง 110 - 112
PTT ไม่เกิน 338 ลง 325 - 328
IRPC ไม่น่าเกิน 5.75 – 5.85
TOP ไม่น่าเกิน 75.25 – 75.75
PTTEP ต่ำกว่า 179.50 ลง 175 - 178
SCB ไม่เกิน 103.50 ลง 98.50 – 99.50
BANPU ต่ำกว่า 714 ลง 680 – 700
PTTAR ไม่เกิน 37.50 ลง 34.50 – 35
CPALL ไม่เกิน 40 ลง 36 - 37
PTTCH ไม่เกิน 145 ลง 138 – 140

-----------------------------------------------------------------------------
เงาหุ้น : น้ำมันขึ้น-หุ้นร่วง!!
ดัชนีหุ้นวันที่ 2 มี.ค.54 ปิดที่ 987.59 จุด ลดลง 6.89 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 25,218.99 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 92.56 ล้านบาท

ฝ่ายวิเคราะห์ บล.ฟาร์อีสท์ มองทิศทางตลาดระยะสั้นต้องติดตาม ราคาน้ำมันดิบโลกว่าจะปรับตัวขึ้นอีกหรือไม่ หากยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นจะเป็นแรงกดดันต่อตลาดหุ้นให้ปรับตัวลดลงได้ เพราะราคาน้ำมันได้เพิ่มขึ้นสูงผิดปกติ แต่หากราคาน้ำมันทรงตัว ไม่น่าส่งผลให้ตลาดตอบรับในเชิงลบ

ด้านเทคนิคให้กรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีไว้ที่ 980-990 จุด โดยยังมีโอกาสขึ้นไปทดสอบแนวต้านถัดไปที่ 995 จุด หากราคาน้ำมันดิบไม่พุ่งต่อ

ฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจและกลยุทธ์ บล.เคจีไอ มองตลาดมีแรงกดดันจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้นสูงเป็นผลจากความกังวลจากเหตุ ตึงเครียดที่ลุกลามขยายออกไปในซาอุดีอาระเบียและอิหร่าน โดยต้องติดตามเหตุการณ์ความรุนแรงในตะวันออกกลาง ว่าจะมีความรุนแรงมากขึ้นหรือไม่ หากสถานการณ์ ตึงเครียดมากขึ้น อาจทำให้มีแรงขายหุ้นออกมาอีก

ขณะที่ยังมองว่าตลาดหุ้นจะผันผวนต่อไปอีกระยะ ขณะที่นักลงทุนต่างชาติยังมีพฤติกรรมการซื้อ-ขายที่ไม่ชัดเจน หรือไม่มีเสถียรภาพ

ด้านเทคนิคให้แนวรับที่ 980 จุด หากไม่มีเหตุรุนแรง ดัชนีมีโอกาสดีดขึ้นไปที่แนวต้าน 992-995 จุด

ปิดท้าย บล.กิมเอ็ง คาดดัชนีจะทะลุระดับ 1,000 จุดขึ้นไปทดสอบ 1,020 จุดในช่วงสั้น แม้ปัจจัยการลงทุนทั้งในและต่างประเทศไม่ชัดเจน รวมทั้งมีความเสี่ยงในตะวันออกกลาง ทำให้นักลงทุนในประเทศระวังการลงทุน แต่ด้วยสภาพคล่องที่ล้นอยู่ในระบบการเงินทั่วโลก ส่งผลให้ต่างชาติทยอยสะสมหุ้นไทยต่อเนื่อง ดังนั้น หุ้นใหญ่จึงเป็นเป้าหมายการลงทุน ทำให้ดัชนีขยับขึ้นทะลุ 1,000 จุดได้

แนะกลยุทธ์การลงทุน ให้ขายทำกำไรราว 10% ของพอร์ต บริเวณ 1,000 จุด หรือสูงกว่า และถือเงินสด พร้อมทยอยสะสมหุ้นหลักที่แนวโน้มผลการดำเนินงานไตรมาส 1 จะโตโดดเด่นต่อเนื่องจากไตรมาส 4 ปี 53 เพื่อเก็งกำไรระยะสั้นจากกระแสเงินทุนต่างชาติเป็นสำคัญ!!

อินเด็กซ์ 51

-----------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย
ตลาดยังแกว่ง..แต่เน้นขายมากกว่าซื้อ แล้วถือเงินสดไว้รอรับต่ำ!!
แนวโน้ม: ราคาน้ำมันในตลาดโลกยังคงพุ่งสูงขึ้นต่อเนื่อง และเริ่มขยับขึ้นมาแกว่งตัวเหนือ 100 ดอลลาร์/บาร์เรลแล้ว คาดว่าจะยังเป็นแรงกดดันต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และส่งผลกระทบต่อภาวะเงินเฟ้อของหลายๆ ประเทศได้ขณะที่สถานการณ์ในลิเบียยังคงทวีความรุนแรง และไม่มีทีท่าว่าจะยุติได้ง่ายๆ FSS จึงคาดว่า SET ยังมีแนวโน้มที่จะปรับตัวลงไปหาเป้าหมายที่จุดต่ำสุดเดิม
บริเวณ 940-937 จุดได้ในเร็วๆ นี้ ดังนั้นจังหวะแกว่งตัวขึ้นๆ ลงๆ ของ SET ในช่วงนี้จึงไม่แนะนำให้เสี่ยงเข้าเทรดดิ้งมากนัก เพราะยังเสี่ยงต่อการปรับตัวลงรุนแรงของตลาดในช่วงถัดไปได้ ซึ่งทั้งนักลงทุนต่างประเทศและสถาบันในประเทศช่วงนี้ก็ยังมียอดขายสลับออกมาให้เห็นเป็นระยะๆ อยู่ด้วย

กลยุทธ์: เราจึงยังแนะนำให้เน้นขายมากกว่าซื้อ โดยเฉพาะถ้าตลาดบวกขึ้น และเน้นถือเงินสดไว้เพื่อรอหาจังหวะกลับเข้ารับใหม่อีกครั้งเมื่อดัชนีไหลลงไปต่ำกว่า950 จุดก่อน

ประเด็นสำคัญวันนี้
• (-) Focus ยังอยู่ที่เงินเฟ้อ แม้ว่าสหรัฐจะรายงานการจ้างงานภาคเอกชนจะเพิ่มขึ้นมากกว่าคาดในเดือน ก.พ. และตลาดมีความหวังมากขึ้นกับตัวเลขอัตราการว่างงานของสหรัฐที่จะประกาศวันศุกร์นี้ แต่ประเด็น ‘เงินเฟ้อ’ มีน้ำหนักกับตลาดมากกว่าในระยะนี้
รวมถึงการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของประเทศต่างๆ และการที่ตลาดคาดว่า ECB และBOE หรืออาจรวมถึง Fed อาจขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าคาด และจีนยังมีมาตรการสกัดเงินเฟ้อออกมาได้อกี ทำให้ตลาดหุ้นโดยเฉพาะในเอเชียยังมีโอกาสปรับฐาน การเก็งกำไรระยะสั้นทำได้ยาก แต่กลุ่มที่ดูดีสุดระยะสั้นคือกลุ่มแบงก์ (คาดกนง.ขึ้นดอกเบี้ย 9 มี.ค. นี้)และกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันและปิโตรเคมี เพียงแต่กลางเดือนให้ระวังการขึ้น XD หุ้นขนาดใหญ่หลายตัว

• (+) LH กำไรใน 4Q10 ทำได้น่าประทับใจ และคาดว่ากำไรปี 2011 โตต่อ 14.7%จากแผนที่จะเปิด 18 โครงการมูลค่ารวม 4.18 หมื่นล้านบาท และส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วม เช่น LH Bank HMPRO และ QH แต่แนวโน้ม 1Q11 จะอ่อนตัว Q-Q เพราะPresales มาจากแนวราบเป็นหลัก คอนโดฯ เหลือโอนน้อยแล้ว ราคาหุ้นปัจจุบันยังมีupside 18% จากเป้าหมาย 6.70 บาท แนะนำซื้อ

• (-) QH ปรับราคาเป้าหมายลงจาก 2.80 บาทเป็น 2.40 บาท จากการปรับลดคาดการณ์รายได้บ้านแนวราบลง 8.2% มาอยู่ที 12,458 ล้านบาท เนื่องจากบ้านแนวราบขายได้ช้ากว่าที่คาด ทำให้คาดว่ากำไรในปี 2011 จะโตเพียง 3.5% แต่ราคาหุ้นที่ปรับลงมามากทำให้ยังมี upside 16% จากราคาเป้าหมายใหม่ จึงยังแนะนำซื้อเพราะถูก แต่ทางเลือกที่ดีกว่าคือ AP และ LH

• (+) SVI ยังมีมุมมองเป็นบวกกับการประชุม Opp day เมื่อวาน ปัจจุบันมี Orderในมือล่วงหน้าสูงกว่ายอดขายทั้งปีของปี 2010 โดยมีเป้าหมายยอดขายปีนี้ที่ 330 ล้านเหรียญ (+28% Y-Y) ยอดขาย 1Q11 จะเติบโตต่อจาก 4Q10 ที่มียอดขายสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และอาจเห็นกำไร 2Q11 เป็นกำไรสูงสุดของปีนี้ เราคาดกำไรปี 2011 จะเติบโต 19% ยังคงเป้าหมาย 5.20 บาทและแนะนำซื้อ

• Fund Flow วานนี้ไหลออกมาก โดยขายสุทธิทุกตลาด แต่ขายหนักในตลาดหุ้นไต้หวัน เนื่องจากความกลัวเหตุลุมลามไปยังประเทศซาอุดิอาระเบียส่งผลให้ราคาน้ำมันWTI ปรับขึ้นเหนือ 100 ดอลลาร์/บาร์เรลอีกครั้ง ดัชนีตลาดหุ้นในประเทศตะวันออก
กลางร่วงแรง สำหรับแนวโน้มวันนี้กระแสเงินทุนต่างชาติน่าจะเบาบาง แม้สถานะการณ์ในลิเบียยังไม่ผ่อนคลาย ราคาน้ำมันดิบ Brent ยังทำสถิติสูงสุดใหม่ แต่ก็ไม่รุนแรงมากกว่าเดิม ค่าเงินภูมิภาคแข็งค่า เช้านี้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นตามภูมิภาค ดังนั้นตลาด
หุ้นมีโอกาสรีบาวด์และแกว่งตัวในกรอบแคบ ส่วนถอยแถลงของเฟดที่ยังต้องในใช้มาตราการทางการเงินแบบผ่อนคลายต่อเนื่องเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้มีอัตราการเติบโตที่สูงกว่าที่คาดไว้ว่าปีนี้เศรษฐกิจสหรัฐจะโต 3.4-4% ซึ่งยังเป็นระดับที่ไม่สามารถดึงอัตราการว่างงานที่สูงถึง 9% ให้ลดลงได้โดยง่าย ล่าสุดตัวเลขจ้างงานภาคเอกชลเพิ่มขึ้นมากกว่าคาดซึ่งถือเป็นข่าวดีที่เข้ามาในตลาดในช่วงนี้ แต่เรายังเป็นห่วงว่าหากเศรษฐกิจสหรัฐดี ตลาดหุ้นสหรัฐก็ดีตาม ดังนั้นเม็ดเงินก็มีโอกาสไหลเข้าลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐมากขึ้นด้วยแต่ไม่น่าจะเร็ววันนี้ หุ้นกลุ่มนำตลาดยังเป็นหุ้นกลุ่มพลังงาน

ข่าวภายในประเทศ
มิตตัลอุ้มจีสตีลพ้นเหวทุ่ม 2.7 หมื่นล้านถือ 40% ล้านหนี้ GSTEEL-GJS เกลี้ยง รายได้ปีนี้ 7 หมื่นล้าน GSTEEL เหล็กติดปีก หลัง “มิลตัล”เพิ่มทุนสัดส่วน 40% ราคา 0.63 บาท เป็นเงิน 7,509 ล้านบาท แถมให้อีก 1.6 หมื่นล้านบาท ใช้เป็นทุนหมุนเวียน-ล้างหนี้ พร้อมเพิ่มทุน GJS ราคา0.24 บาท เป็นเงิน 3,600 ล้านบาท ผู้บริหารมั่นใจกลุ่มใหม่เข้ามา ดันกำลังการผลิตเต็ม 100% ที่ 3.3 ล้านตันต่อปี ภายในไตรมาส 3 ส่งผลยอดขายทั้งปีแตะ 7 หมื่นล้านบาท (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 3-03-2011)

SF บุ๊คกำไร175 ล้านสัญญาเช่าเมกาบางนา SF อนาคตสดใส ปีนี้คาดกำไรนิวไฮ สูงกว่าปี'53 ที่ทำได้ 517.64 ล้านบาท เหตุสิ้นปีนี้บุ๊คกำไรการทำสัญญาเช่าระยะยาวจากผู้เช่าหลัก 5 รายใหญ่ในโครงการ"เมกาบางนา" เข้ามากว่า 175 ล้านบาท ส่วนรายได้ปีนี้ผู้บริหารลั่นโตไม่ต่ำกว่า 5% ทุ่ม 600ล้านเปิดศูนย์การค้าใหม่ 2 แห่ง (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 3-03-2011)

TDRI เย้ยรัฐบาลเร่ขายสัมปทานจัดฉากขู่เอกชน ทีดีอาร์ไอเย้ยไอซีที เร่ขายสัมปทานมือถือต่างประเทศ เพื่อการจัดฉาก หวังขู่ให้เอกชนยอมจ่ายเงิน ฟันธงไม่สามารถไกล่เกลี่ยให้ 3 ค่ายมือถือยอมจ่ายกรณีแปลงสัมปทานมือถือแน่นอน ชี้สุดท้ายแล้วกระบวนการต้องจบที่ศาล และกว่าเรื่องจะจบอายุสัมปทานหมดพอดี (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 3-03-2011)

QLT ลั่นรายได้ปีนี้เติบโต 10% เหตุคว้างานท่อก๊าซ 100 ล้าน - สยายปีกรับงานตปท. QLT โชว์งบปี'53 ฟันกำไร 61 ล้านบาท เหตุบุ๊ครายได้งานตรวจสอบและรองรับเพิ่มขึ้น ส่วนปีนี้ตั้งเป้ารายได้โต 10% หลังเล็งคว้างานท่อก๊าซมูลค่า 100 ล้านบาท และสยายปีกรับงานต่างประเทศมากขึ้น(ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 3-03-2011)

MK ส่งโปรโมชั่น GET 9 ทั้งลด-แจก-แถมเพียบกระตุ้นยอดขายต้นปี มั่นคงฯ เดินหน้าส่งมอบสิ่งดีดี ทั้งลด ทั้งแจก ทั้งแถม ผ่านโปรโมชั่นสุดฮอต “เก็ท ไนน์” (GET 9) เพียงจองบ้านพร้อมโอนพิเศษเพียง 20 แปลงใน 3 ทำเลสุดฮอต รับไปเลยส่วนลดเงินสดสูงสุดถึง 340,000 บาท แถมฟรีiPad และอื่นๆ รวม 9 รายการ ตั้งแต่วันนี้จนถึง 31 มีนาคมศกนี้เท่านั้น (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 3-03-2011)

TNDT หวังรายได้ปีนี้โต10% ธุรกิจสดใส-การลงทุนฟื้นตัว TNDT ตั้งเป้ารายได้ปีนี้โต 10% ขานรับธุรกิจกลับมาสดใส หลังลูกค้าเริ่มเดินหน้าลงทุนรอบใหม่ หนุนงานที่ค้างในมือทยอยรับรู้เป็นรายได้ แถมงานใหม่เริ่มกลับเข้าสู่ตลาดอีกครั้ง งานต่างประเทศเห็นภาพชัดในไตรมาส 2/54 ล่าสุดปันผลครึ่งปีหลังอีก 0.10 บาทต่อหุ้น (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 3-03-2011)

-------------------------------------------------------------------
E Finanve Thai : ตลท. เร่งสปีดดึงเงินเข้าตลาด
ฤกษ์ดีตลอด มี.ค.นี้ ตลท. เร่งเครื่องดึงเงินทุนเสริมสภาพคล่องตลาดหุ้นไทย ด้วยแผนจับมือ 4 บจ.ยักษ์ใหญ่ เดินสายโรดโชว์ต่างประเทศระหว่างวันที่ 7-11 ตบท้ายปลายเดือนช่วงวันที่ 28-30 จัดงาน “Thailand Focus 2011” แสดงศักยภาพธุรกิจไทยและเศรษฐกิจประเทศ สร้างความเชื่อมั่นผู้ลงทุนระดับโลก

* ตลท. เดินสายโรดโชว์ต่างประเทศ หวังดึงเงินทุนเสริมสภาพคล่องตลาดหุ้น
นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ในปี 2554 นี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้กำหนดกลยุทธ์ในการเพิ่มสภาพคล่องให้กับตลาดหุ้นไทย โดยแผนงานหนึ่ง คือ การไปโรดโชว์ให้ข้อมูลแก่ผู้ลงทุนต่างประเทศ เพื่อนำเสนอสภาวะเศรษฐกิจและแนวโน้มโดยรวมเกี่ยวกับการลงทุน พัฒนาการของตลาดหลักทรัพย์ฯ
และนำบริษัทจดทะเบียนชั้นนำไปนำเสนอข้อมูล ทั้งบจ.ใน MSCI Index รวมถึง บจ.ที่มีคุณสมบัติที่จะอยู่ใน MSCI Index ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯกำลังผลักดันให้เข้าไปอยู่ใน Index ดังกล่าว นอกจากนั้นยังมี บจ.ที่มีการดำเนินงานและผลประกอบการดีต่อเนื่อง ที่ต้องการกระตุ้นให้เกิดการซื้อขายเพิ่มขึ้นโดยจะเลือกบจ.ที่ได้รับความสนใจจากผู้ลงทุนในประเทศนั้น ๆ

* เน้นประเทศที่มีการลงทุนในไทยอยู่ก่อนแล้ว
สำหรับประเทศเป้าหมายที่ ตลท. จะไปให้ข้อมูล ได้แก่ กลุ่มผู้ลงทุนต่างประเทศที่มีการลงทุนในไทยอยู่แล้ว เช่น ลอนดอน นิวยอร์ก บอสตัน ญี่ปุ่น และสิงคโปร์ กลุ่มที่ 2 เป็นการขยายไปยังกลุ่มที่เป็นศูนย์กลางทางการเงินใหม่ที่เริ่มเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย เช่น ออสเตรเลีย ไต้หวัน มาเลเซีย และแคนาดา ส่วนกลุ่มที่ 3 ได้แก่ กลุ่มผู้ลงทุนสถาบันในประเทศที่มีแหล่งเงินทุนปริมาณมาก แต่ยังขาดข้อมูลการลงทุนในตลาดหุ้นไทย เช่น จีน ญี่ปุ่น โดยเน้นการพบปะให้ข้อมูลโดยตรง (Door to Door)
“การไปโรดโชว์ในประเทศกลุ่มเป้าหมายเหล่านี้ จะช่วยเพิ่มสภาพคล่องซึ่งถือเป็นสิ่งที่สำคัญของตลาดหุ้น เพราะเมื่อตลาดหุ้นมีสภาพคล่อง ก็จะยิ่งดึงดูดผู้ลงทุนเข้ามามากยิ่งขึ้น และทำให้ตลาดหุ้นไทยได้รับความสนใจเพิ่มมากขึ้นไปอีก ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับผู้ลงทุนและบริษัทจดทะเบียนโดยตรง และยังเป็นการเพิ่มโอกาสทางธุรกิจให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องในตลาดทุนด้วย” นายจรัมพร กล่าว
อย่างไรก็ตาม โรดโชว์ครั้งแรก จะเป็นการไปให้ข้อมูลแก่ผู้ลงทุนที่ประเทศญี่ปุ่น ร่วมกับบริษัท Daiwa Securities Capital Markets ในงาน “Daiwa Conference investment 2011” วันที่ 7-11 มีนาคมนี้ โดยจะมีบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่ที่มีผลประกอบการดี และเป็นที่สนใจของผู้ลงทุน ร่วมเดินทางไปด้วยจำนวน 4 บริษัท ได้แก่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) (TOP), ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BBL), บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (PTT) และ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) (IRPC)

* เตรียมจัด “Thailand Focus 2011” แสดงศักยภาพธุรกิจไทยและเศรษฐกิจประเทศ
นายจรัมพร กล่าวต่อว่า การจัดงาน “Thailand Focus 2011” ระหว่างวันที่ 28-30 มีนาคม 2554 ภายใต้ชื่องาน “Thailand Focus 2011- Enhancing Thailand’s Competitiveness Through the Next Decade” ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างตลาดหลักทรัพย์ฯ บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน) และธนาคารแห่งอเมริกาเมอร์ริลลินช์ (Bank of America Merrill Lynch)
ทั้งนี้ นับเป็นการจัดงานครั้งที่ 5 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้ลงทุนต่างประเทศชั้นนำที่มีพอร์ตการลงทุนมูลค่าสูงและมีการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลก ได้มีโอกาสพบปะและซักถามข้อมูลสำคัญโดยตรงกับผู้บริหารระดับสูงทั้งภาครัฐและภาคเอกชน รวมถึงรับทราบข้อมูลผลประกอบการล่าสุดงวดสิ้นปี 2553 ของบริษัทจดทะเบียนชั้นนำเพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุน
"งาน Thailand Focus เป็นการแสดงให้เห็นศักยภาพของตลาดทุนและประเทศไทยต่อผู้ลงทุนต่างประเทศ เพราะเป็นโอกาสที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะได้นำเสนอให้ผู้ลงทุนทั่วโลกได้ทราบถึงศักยภาพของเศรษฐกิจ กลยุทธ์ และความสามารถในการแข่งขันของประเทศ พร้อมทั้งแสดงให้เห็นความแข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียนไทย ซึ่งส่วนใหญ่มีผลประกอบการดีต่อเนื่อง คาดว่าจะมีบริษัทจดทะเบียนเข้าร่วมให้ข้อมูลทั้งในรูปแบบการสัมมนาและการประชุมแบบ one-on-one จำนวน 66 บริษัท มีมูลค่า market capitalization รวมกว่า 6 ล้านล้านบาท คิดเป็น 75.24% ของมูลค่าตลาดโดยรวมทั้งหมด (ข้อมูล ณ 25 ก.พ. 54)” นายจรัมพร กล่าว

* จับกลุ่มนักลงทุน และนักวิเคราะห์จากอเมริกา-อังกฤษ-ยุโรป-จีน-สิงคโปร์-มาเลย์
“กลุ่มผู้ลงทุนเป้าหมายที่จะเข้าร่วมงาน นอกจากผู้ลงทุนและนักวิเคราะห์ชั้นนำจากอเมริกา อังกฤษ กลุ่มประเทศยุโรป ที่เป็นหลักแล้ว ยังต้องการผู้ลงทุนกลุ่มใหม่ๆ จากแหล่งเงินลงทุนที่มีศักยภาพ เช่น จีน สิงคโปร์ และมาเลเซีย ซึ่งถือเป็นกลุ่มผู้ลงทุนเอเชียที่มีบทบาทสำคัญเพิ่มขึ้นตามลำดับ
นอกจากนี้ Thailand Focus 2011 ยังเป็นการจัดงานครั้งแรกที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้รับเกียรติจากตลาดหลักทรัพย์ลาวเข้าร่วมงานเพื่อพบปะผู้ลงทุน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความร่วมมือระหว่างกันของตลาดทุนในอินโดจีน และศักยภาพของตลาดหลักทรัพย์ในภูมิภาคนี้อีกด้วย” นายจรัมพร กล่าว

* มั่นใจตลาดหุ้นไทยได้รับความสนใจจากทั่วโลก
ด้านนายอภินันท์ เกลียวปฏินนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน) (PHATRA) กล่าวว่า บล. ภัทร รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้รับความไว้วางใจจากตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้เป็นเจ้าภาพร่วมในการจัดงาน Thailand Focus อีกครั้งหนึ่ง ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ตลาดทุนไทยได้เติบโตขึ้นเป็นอย่างมาก จาก market capitalization 3 ล้านล้านบาท เพิ่มเป็นประมาณ 8 ล้านล้านบาทในปัจจุบัน
เมื่อผนวกกับแนวทางการพัฒนาตลาดทุนร่วมกับประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่ม ASEAN ทำให้มั่นใจได้ว่าตลาดทุนไทยจะได้รับความสนใจจากผู้ลงทุนทั่วโลก อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าในประเทศไทยเองก็มีปัญหาการเมืองและเศรษฐกิจภายในประเทศที่มีลักษณะเฉพาะ ยากที่จะเข้าใจ จำเป็นต้องให้มีการอธิบายอย่างลงลึกจากผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรง
การประชุม Thailand Focus ในครั้งนี้ นอกจากมุ่งเน้นให้อธิบายและตอบข้อซักถามในประเด็นดังกล่าว ยังมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่และจุดประกายความคิดการดำเนินการเชิงกลยุทธ์ของประเทศ เพื่อมุ่งเน้นการพัฒนาศักยภาพในการเติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นสิ่งที่หลายฝ่ายต้องการให้เกิดขึ้นในประเทศไทยให้เร็วที่สุด

* เชื่อ ศก.ไทยโตต่อเนื่อง มีศักยภาพในฐานะประเทศชั้นนำในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชีย
นายอัสสเดช คงสิริ ผู้อำนวยการประจำประเทศไทย Bank of America Merrill Lynch กล่าวว่า ผู้ลงทุนต่างชาติยังสนใจลงทุนในประเทศไทยอย่างมาก เพราะการเติบโตด้วยพื้นฐานอันแข็งแกร่งและปัจจัยสนับสนุนต่างๆ ทางเศรษฐกิจ แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยมีพัฒนาการอย่างต่อเนื่องพร้อมจะเป็นแหล่งการลงทุนสำคัญในภูมิภาคที่ได้รับความสนใจเพิ่มขึ้น การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ การปฏิรูปและการลงทุนจะเป็น 3 ปัจจัยหลักที่ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยในระดับภูมิภาคและระดับโลก
ทั้งจะเป็นการแสดงถึงศักยภาพในฐานะประเทศชั้นนำในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชีย Bank of America Merrill Lynch มีความยินดีที่ได้มีส่วนร่วมในการจัดงานในครั้งนี้ ซึ่งแสดงถึงความมั่นใจของเราในศักยภาพของไทยทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

-----------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ตปท.
ดัชนีดาวโจนส์เมื่อคืนนี้ปิดบวก 8.78 จุด หลังจากแกว่งทรงตัวแคบๆ ตลอดทั้งวัน แม้ว่าจะถูกกดดันจากราคาน้ำมันที่ยังขยับสูงขึ้นต่อเนื่อง แต่ตัวเลขเศรษฐกิจที่ดีของสหรัฐยังช่วยหนุนให้ตลาดหุ้นสหรัฐไม่ปรับตัวลงแรงต่อเนื่องได้

ขณะที่ตลาดหุ้นยุโรปยังปรับตัวลงต่อเนื่อง จากความวิตกต่อสถานการณ์รุนแรงในลิเบียที่ยังมีอยู่ ส่วนตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้ส่วนใหญ่เปิดทำการด้วยการรีบาวด์ขึ้น หลังจากการปรับตัวลงพอควรเมื่อวานนี้

ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย โดยมาแกว่งทรงตัวในกรอบ30.4-30.6 บ./ดอลลาร์ ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์ยังแกว่งตัวลงต่อ

ราคาน้ำมันดิบในตลาด NYMEX ปิดที่ 102.23 ดอลลาร์/บาร์เรล ยังพุ่งขึ้นต่ออีก 2.60 ดอลลาร์ หลังสถานการณ์ในลิเบียยังทวีความรุนแรง

ราคาทองคำล่วงหน้าในตลาด COMEX ปิดที่ 1437.70ดอลลาร์/ออนซ์ บวกอีก 6.50 ดอลลาร์ ยังบวกขึ้นต่อเนื่องโดยได้รับแรงกระตุ้นจากสถานการณ์ในลิเบีย การพุ่งขึ้นของราคาน้ำมัน และนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายของสหรัฐ

-----------------------------------------------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น