Code 385 : 25/03/54 ลุ้นยืนเหนือ BB Top ที่ 1,036

วันศุกร์ที่ 25 มีนาคม 2554

ATT Code : 25/03/54 ลุ้นยืนเหนือ BB Top ที่ 1,036


สรุปสภาวะการซื้อขาย วันพฤหัสที่ 24/03/54 : ผ่านแนวต้านที่ 1032 จุด มาได้อย่างสวยงาม ตาม Sentiment ที่ Djia สามารถผ่านแนวต้านของ BB Average ขึ้นมาได้ โดยมี Indicators ต่างๆ ก็ให้สัญญาณขึ้นอยู่ และมี Indicator อยู่ 3 ตัว ที่ยังมีสัญญาณ Overbought อยู่

แนวโน้มในวันศุกร์ที่ 25/03/54 นี้ หลังจากตลาดที่ยุโรปและอเมริกายังสามารถยืนใหนแดนบวกและยังสมารถผ่านแนวต้านที่ BB Average ขึ้นมาได้แล้ว ทำให้ตลาดส่งสัญญาณกลับมาเป็นขาขึ้นอีกครั้ง แต่รอตลาดเยอรมันให้ผ่าน BB Avg ขึ้นมาอีกตลาดนึง ก็จะดูดีกว่านี้ ส่วนในเอเซียที่ตลาดฮ่องกงก็เปิดมาอยู่ในแดนบวก 200 กว่าจุด ก็อาจจะส่งผลให้ SET ยังสามารถขึ้นได้อยู่ ถึงแม้ว่ามี Indicators บางตัวเกิดสัญญาณ Overbought ขึ้นมา แต่ตลาดก็ยังมีแนวโน้มที่จะขึ้นต่อไปได้ โดยที่ตลาดมีกรอบแนวรับ-แนวต้าน ดังนี้

แนวรับที่ 1,028 จุด เป็น Gap ของวันที่ 24/03/54 และที่ EMA5D 1,023 จุด
แนวต้านที่ 1,040-1,044 จุด

Indicators ต่างๆ ของวันก่อนหน้านี้ :
Main Buy Signal = MACD + Slow Stochastic
6 Indicators = Buy Signal
3 Indicators = Overbought

1. Alert MACD (B)+(Stronger)
(Major = Buy Signal : 1. MACD >. Signal.... และ Minor =Uptrend ยังดีอยู่โดย 2. MACD > 0)
(+) MACD Oscillator บวกขึ้นมาได้อีก โดยขึ้นมาจาก +0.86 มาเป็น +1.52 ... ทำให้สัญญาณ Buy Signal แข็งแรงขึ้น

2. Alert Slow Sto (B)+(Stronger)+(OverBought)
(+/-) Slow Stochastic : %K(86) > %D(77)ตัดขึ้นแล้ว

3. Alert RSI (B)+(Stronger)
(+) RSI(63) > MAV9(57) : RSI สูงกว่าเส้นค่าเฉลี่ย

4. Alert William %R (B)+(OverBought)
(%R > -10 ขึ้นมาแล้ว : OverBought)
(+/-) Williams %R เริ่มมีค่าอ่อนลง จาก(-1.46) มาที่ (-2.09) เกิน -10 อยู่

5. Alert CCI (B)+(OverBought)
(1.CCI >. 100 : Minor = Buy Signal)
(+/-) CCI เพิ่มขึ้นจาก 120 มาที่ 146 และมีสัญญาณเป็นบวก และ Overbought มากขึ้น

6. Alert ADX (B)+(Stronger)
(+) เส้น ADX : DI+(36) > DI-(19) : และทั้ง 2 เส้น ห่างกันมากขึ้น = Stronger

7. (OBV + : Stronger)
(+) OBV เพิ่มขึ้นมาที่ 489.. แสดงให้เห็นว่ามีแรงซื้อขายสะสมเพิ่มขึ้น ส่งสัญญาณในทางบวกอีกครั้ง



****************
Historical Technics
****************
Buy Signal:
1. (+)MACD กลับมาเป็น Buy Signal อีกครั้ง(22/03/54)
2. (+) SET ผ่านแนวต้านหลัก BB Average = Major เป็น Bullish... ยืนยันความเข็งแรงของตลาด... BB Average เปลี่ยนจากแนวต้านมาเป็นแนวรับหลัก (16/02/54)
3. (+) EMA5 (979.12) ตัด EMA10 (976.12 )ขึ้นมา... Major เป็น Golden Cross = Buy Signal (17/02/54)
4. (+) EMA10 (988.34) ตัด EMA25 (987.47) = Golden Cross : Strong (04/03/54)
5. (+) EMA25 (992.96) ตัด EMA75 (991.78) : Stronger (09/03/54)
6. (+) SET สูงกว่าเส้น 10 วัน และ 5 วัน แล้ว : Stronger (21/03/54)
7. (+) Slow Sto : %K(72) > %D(69) = Buy Signal (22/03/54)

Sell Signal:
None

Overbought:
1. (+) %R > -10 : Overbought (23/03/54)
2. (+) CCI > 100 : Overbought (23/03/54)
3. (+) Slow Sto : %K(81) > %D(73) = Overbought (23/03/54)

Oversold:
None

-----------------------------------------------------------------------------
MARKET WAVE Analysis
25 มีค. 54 ( +6.85 จุด) โกมล พงศ์วิญญู เลขทะเบียน 18338

ยังมีโอกาสขึ้นต่อ ถ้าไม่ต่ำกว่า 1025 จุด
แนวโน้มในวันศุกร์นี้ตราบใด ไม่ต่ำกว่า1025 จุด เส้นค่าเฉลี่ย 25 ชั่วโมง ดัชนียังมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อแถว 1039 – 49 จุด

แต่ดัชนี ยังไม่น่าจะผ่านจุดสูงสุดเดิมของต้นปีนี้ไปได้ง่ายนัก และ ยังคงมีความเสี่ยงที่จะปรับตัวกลับลงมาบริเวณ 1000 – 05 จุด ใกล้เส้นค่าเฉลี่ย 25 วัน อีกครั้ง

ภาพโดยรวมของตลาด ยังน่าจะอยู่ในช่วงเวลาของการย่ำฐาน ในรูปแบบของCorrective Wave ในกรอบ 100 จุด หรือแกว่งตัวระหว่าง 950 – 1050 จุด (โดยประมาณ)Overall sideways สำหรับภาพจนถึงไตรมาสที่สองของปีนี้

หุ้นเด่น
JTS
กำลังปรับตัวในกรอบสามเหลี่ยม ภาพระยะชั่วโมง รอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 2.52 กรอบบนของสามเหลี่ยม เป้าหมายหนึ่งถึงสองวัน
2.70 – 2.80( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 2.38 )

10 อันดับซื้อขายสูงสุด
BANPU เกิน 768 ขึ้น 770 – 772
JAS ไม่ต่ำกว่า 2.62 ขึ้น 3.30 – 3.60
TMB เกิน 2.38 ขึ้น 2.40 – 2.44
IVL ปรับตัวลง 52 – 53.50
KTB ไม่ต่ำกว่า 18.10 ขึ้น 18.50 – 19
CPF เกิน 25.25 ขึ้น 26 – 26.50
BAY แกว่งตัว 24.20 – 24.60
TRUE ต่ำกว่า 6.35 ลง 6.15 – 6.25
SCB ปรับตัวลง 103 – 103.50
PTT ไม่ต่ำกว่า 344 ขึ้น 350 – 351

-----------------------------------------------------------------------------
เงาหุ้น-หุ้นเลือกตั้ง!!
ดัชนีหุ้นวันที่ 24 มี.ค.54 ปิดที่ 1,034.39 จุด เพิ่มขึ้น 6.85 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 36,724.13 ล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิ 693.25 ล้านบาท

ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.โนมูระ พัฒนสิน ชี้ว่า ตลาดหุ้นไทยได้แรงซื้อจากหุ้นพลังงานและธนาคารพาณิชย์หนุน จากการเข้ามาเล่นข่าวการจ่าย

ปันผล ขณะที่ยังมีแรงซื้อหุ้นรายตัวในกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม โดยเฉพาะ HEMRAJ และ AMATA

สำหรับทิศทางตลาดระยะสั้น คาดว่านักลงทุนจะยังคงเข้ามาเล่นหุ้นรายตัวที่มีข่าวมีสตอร์รี่หนุน รวมทั้งหุ้นที่ใกล้จะจ่ายเงินปันผลในอัตราสูง ขณะที่ โนมูระ พัฒนสิน แนะให้เลือกซื้อหุ้นพลังงานและธนาคารพาณิชย์ และแนะซื้อเก็งกำไรหุ้นกลุ่ม
นิคมอุตสาหกรรมและสื่อสาร

ด้านเทคนิคให้กรอบแนวต้านที่ 1,040 จุด ส่วนแนวรับอยู่ที่ 1,025 จุด

ฝ่ายวิเคราะห์ บล.ฟาร์อีสท์ มองกรณีที่รัฐบาลประกาศกรอบเวลาในการยุบสภาสัปดาห์แรกของเดือน พ.ค.ว่า ประเด็นนี้น่าจะส่งผลดีระยะสั้นต่อหุ้นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ที่น่าจะได้ประโยชน์ จากพรรคการเมืองนำไปใช้หาเสียง ถึงนโยบายที่จะมีการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ รวมถึงหุ้นสื่อสารที่น่าจะถูกหยิบมาเป็นประเด็นในการหาเสียง กรณีการเร่งผลักดันให้เกิด 3G โดยเร็ว

นอกจากนี้ หุ้นในกลุ่มมีเดียและบันเทิงจะได้รับประโยชน์จากการโฆษณาหาเสียง รวมทั้งช่วงนี้ประชาชนจะมีกำลังซื้อมากขึ้น เป็นผลดีต่อหุ้นกลุ่มอาหารและพาณิชย์
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนช่วงเลือกตั้ง แนะเก็งกำไรหุ้นรับเหมาฯ ได้แก่ CK, ITD และ STEC, หุ้นสื่อสาร TRUE, ADVANC และ DTAC หุ้นกลุ่ม พาณิชย์และอาหาร BIGC, CPALL, MAKR, ROBINS และ CPF, กลุ่มมีเดีย BEC และ MCOT

ด้าน บล.กสิกรไทย ประเมินว่าหุ้นกลุ่มสื่อและสิ่งพิมพ์จะได้ประโยชน์ เพราะถือเป็นช่องที่พรรคการเมืองจะใช้ในการหาเสียง นอกจากนี้ ในช่วง

ดังกล่าวจะมีเม็ดเงินสะพัดเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจจำนวนมาก ส่งผลดีต่อหุ้นการบริโภคภายในประเทศ

อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์การลงทุนในช่วงก่อนการเลือกตั้ง แนะเก็งกำไรระยะสั้นอย่างระมัดระวัง ในหุ้นมีเดีย ได้แก่ BEC และ MCOT และหุ้นพาณิชย์ ได้แก่ BIGC, CPALL, HMPRO และ GLOBAL.

อินเด็กซ์ 51

-----------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย
EFinanceThai:หุ้นโรงกลั่นแจ่มแจ๋ว
*โบรกฯ ชี้ รับอานิสงส์ วิกฤตญี่ปุ่น ชู TOP เป็น Top Picks ของกลุ่ม
โบรกฯ ชี้ สึนามิถล่ม 5โรงกลั่นในญี่ปุ่นเสียหาย – หยุดการกลั่น ดันหุ้นโรงกลั่นแจ่มแจ๋ว ธนชาต ฟันธง ส่งผลน้ำมันและค่าการกลั่นพุ่ง สั่งให้น้ำหนักการลงทุน หุ้นโรงกลั่น เป็น“OVERWEIGHT” ชู TOP เป็น Top Picks ของกลุ่ม ให้ราคาเป้า 95 บาท ฟากบิ๊ก BCP -TOP ประสานเสียง ผลงานQ1/54 แจ่ม
แนวโน้มค่าการกลั่นและราคาพาราไซลีนที่สดใส เพราะคาดว่าญี่ปุนจะต้องนำเข้าผลิตภัณฑ์การกลั่นเป็นจำนวนมากเพื่อชดเชยปริมาณผลิตในประเทศที่หายไปจากเหตุสึนามิ ดังนั้น หุ้นในกลุ่มโรงกลั่น ณ เวลานี้ จึงมีความน่าสนใจไม่น้อย เพราะ แม้หากโรงกลั่นในญี่ปุ่นเริ่มกลับมาผลิตอีกครั้ง แต่แนวโน้มค่าการกลั่นยังอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องอยู่ดีในระยะสั้น

* กูรู ทำนาย ครึ่งปีแรกผลงานหุ้นกลุ่มโรงกลั่น ขยายตัวดีอย่างต่อเนื่อง
นายมงคล พ่วงเภตรา ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.คันทรี่กรุ๊ป เปิดเผยว่า จากการประเมินผลประกอบการของธุรกิจกลุ่มโรงกลั่นคาดว่าในครึ่งปีแรกผลการดำเนินงานจะขยายตัวได้ดีอย่างต่อเนื่องจากค่าการกลั่นที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น จากความต้องการเพิ่มจากปัญหาแผ่นดินไหวญี่ปุ่น และราคาน้ำมันในตลาดโลกที่อยู่ในระดับสูง จากปัญหาการเมืองในประเทศตะวันออกกลางและลิเบีย ทำให้บริษัทฯมีกำไรจากสต็อกน้ำมัน (Stock Gain)
อย่างไรก็ตาม คาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังผลประกอบการอาจจะเริ่มไม่ค่อยดีนัก เนื่องจากแนวโน้มค่าการกลั่นอาจจะปรับตัวลดลง หากกรณีที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกยังปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นมากไปกว่านี้ เนื่องจากความต้องการจะชะลอลง ทำให้ค่าการกลั่นปรับตัวลดลง รวมไปถึงหากปัญหาประเทศตะวันออกกลางและลิเบียคลี่คลายลง จะทำให้บริษัทฯขาดทุนจากสต็อกน้ำมันที่มีอยู่
"หากประเมินค่าการกลั่นแล้วในระยะจะเพิ่มขึ้นพร้อมกับราคาน้ำมันแต่ระยะต่อไป ค่ากลั่นจะลดลง เพราะความต้องการลดลงจากการควบคุมปัญหาเงินเฟ้อของแต่ละประเทศ ซึ่งผู้ผลิตก็คงไม่อยากให้ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นไปกว่านี้แล้ว เพราะอาจจะเกิดการขาดทุนจากสต็อกน้ำมัน"นายมงคล กล่าว
สำหรับการลงทุนในหุ้นกลุ่มโรงกลั่นประเมินว่าหลังจากนี้คงจะเคลื่อนไหวได้ไม่ไกลนัก หลังจากราคาหุ้นได้ปรับเพิ่มขึ้นสูงมากเนื่องจากก่อนหน้านี้ราคาหุ้นกลุ่มโรงกลั่นได้ตอบรับกับค่าการกลั่นและราคาน้ำมันโลกที่เพิ่มขึ้นแล้ว

*โนมูระ พัฒนสิน ชี้ ภัยพิบัติในญี่ปุ่น กระทบ 5โรงกลั่น ขนาดกำลังการกลั่นรวม 1.16 ล้านบาร์เรล/วัน เสียหาย – หยุดการกลั่น
บทวิเคราะห์ บล. โนมูระ พัฒนสิน ระบุว่า ค่าการกลั่นปรับขึ้นแรง 47% w-w เป็น US$9.3/บาร์เรล : โดย crack spread ของน้ำมันเครื่องบิน และน้ำมันดีเซล ปรับขึ้นราว 16-18% w-w เป็น US$25/บาร์เรล และ US$23.5/บาร์เรล ตามลำดับ เช่นเดียวกับ crack spreadน้ำมันเตา ที่ติดลบลดลง ทั้งนี้สาเหตุหลักมาจากเหตุการณ์ภัยพิบัติในญี่ปุ่น ทำให้โรงกลั่น 5 โรง ขนาดกำลังการกลั่นรวม 1.16 ล้านบาร์เรล/วัน (คิดเป็นสัดส่วน 25% ของกำลังการกลั่นรวมของญี่ปุ่น และคิดเป็นสัดส่วน 1.3% ของกำลังการกลั่นของโลก) เสียหาย – หยุดการกลั่น ซึ่งทำให้เกิดความตึงตัวของอุปทานน้ำมันดีเซลและน้ำมันเครื่องบินในภูมิภาคเอเชีย เนื่องจากญี่ปุ่นต้องลดการส่งออกน้ำมันดังกล่าว เพื่อมาขายในประเทศมากขึ้น
ส่วนผลกระทบที่คาดจะยังไม่จบในระยะเวลาอันสั้น คือ การหยุดเดินเครื่องการผลิตของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในญี่ปุ่นจากผลกระทบของแผ่นดินไหวและสึนามิ ที่คาดจะทำให้มีการใช้เชื้อเพลิงอื่นในการผลิตกระแสไฟฟ้าทดแทนส่วนที่หายไปจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ โดยทีม Oil & Gas ของ NIHK คาดกำลังการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่หายไป 13,470MW คาดจะทำให้ความต้องการใช้น้ำมันเตาเพื่อเป็นเชื้อเพลิงทดแทนในการผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้นราว 170kbd และคาดจะทำให้ญี่ปุ่นเปลี่ยนสถานะจากการเป็นผู้ส่งออกน้ำมันเตาสุทธิราว 87kbd เป็นผู้นำเข้าสุทธิราว 115kbd

* ธนชาต ฟันธง ราคาน้ำมันและค่าการกลั่นพุ่ง ให้น้ำหนักการลงทุน “OVERWEIGHT” หุ้นกลุ่มโรงกลั่น ชู TOP เป็น Top Picks ให้เป้า 95 บาท
บทวิเคราะห์ บล.ธนชาต ระบุว่า กลุ่มโรงกลั่น “จังหวะย่อสลับเป็นโอกาสซื้อต่อเนื่อง” ทางพื้นฐานของธนชาตยังคงให้น้ำหนักการลงทุน “OVERWEIGHT” สำหรับกลุ่มฯ โดยเลือก TOP (T/P 95 บาท) เป็น Top Picks ของเรา เนื่องจากเหตุการณ์น่าสลดใจที่ญี่ปุ่นทำให้ Asian GRM และ aromatics spreads ที่อยู่ในระดับสูงอยู่แล้วขยายตัวขึ้นไปอีกเพียงในช่วงสั้น แต่สร้างกระแสเงินสดให้แก่โรงกลั่นอย่างใหญ่หลวงทันที
นอกจากนี้ยังมีสถานการณ์ทางการเมืองที่รุนแรงในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือสร้างแรงกดดันมากขึ้นต่อราคาน้ำมันที่จะส่งผลกระทบในระยะยาว ในปีนี้ราคาน้ำมันได้แตะระดับมากกว่า US$100/bbl แล้ว และในมุมมองของเราราคาน้ำมันน่าจะสร้างฐานใหม่ ซึ่งทำให้มี upside ต่อสมมติฐานราคาน้ำมันของเราที่ US$97/bbl และ US$100/bbl ในปี 2011-12 ในทางเทคนิคการชะลอของราคาหุ้น TOP ไม่หลุด 78.50 บาท และมีการหดตัวของ Vol.
คาดเป็นการแกว่งออกข้างและขึ้นต่อ โดยเฉพาะทะลุ 82 บาทจะเป็นสัญญาณซื้ออีกรอบ เป้าหมายแนวต้าน 83.50-85 บาท และ PTTEP (T/P 220 บาท) ได้ประโยชน์อย่าง
ชัดเจนจากราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับสูงในระยะยาว ในทางเทคนิค จะมีรอบซื้อมากขึ้นเมื่อทะลุผ่านแนวต้าน 182 บาท มีเป้าหมายแนวต้าน 185 บาท และ 188 บาท

* เกียรตินาคิน ชี้ กำไรกลุ่มธุรกิจโรงกลั่นได้ปัจจัยบวกจากค่าการกลั่น และ Spread PX ที่แข็งแกร่ง
บทวิเคราะห์ บล.เกียรตินาคิน จาก (11 มี.ค. 54) ที่เป็นวันแรกของเหตุแผ่นดินไหวและซึนามิ ส่งผลกระทบต่อธุรกิจโรงกลั่น โรงงานปิโตรเคมี และโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ จำนวนมาก ทำให้ราคาน้ำมันสำเร็จรูปปรับตัวเพิ่มขึ้นในทุกผลิตภัณฑ์ ขณะที่ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงจากการหยุดผลิตของโรงกลั่นในประเทศญี่ปุ่น และความกังวลต่อการขยายตัวทางด้านเศรษฐกิจของญี่ปุ่น และภูมิภาคเอเซีย โดยก่อนหน้านี้ IEA คาดว่าจะเป็นภูมิภาคที่มีการเติบโตของความต้องการใช้น้ำมันดิบมากที่สุดถึง 0.73 ล้านบาร์เรลต่อวัน คิดเป็น 50% ของปริมาณใช้น้ำมันดิบโลกที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นในปี 2554 (IEA คาดความต้องการใช้น้ำมันดิบโลกจะเพิ่ม 1.46 ล้านบาร์เรลต่อวัน ในปี 2554)
จากรายงาน Japan Petroleum Association ระบุว่ามีโรงกลั่นหยุดดำเนินการกว่า 1.4 ล้านบาร์เรล คิดเป็น 50% ของกำลังการผลิตรวม รวมทั้งกลุ่มธุรกิจอะโรเมติกส์ มี
โรงงานพาราไซลีน และโรงงาน Mixed – Xylene ปิดตัวลงคิดเป็น 16% และ 20% ของกำลังการผลิตรวมตามลำดับ ซึ่งที่ผ่านมา (ปี 2010) ญี่ปุ่นเป็นผู้ส่งออกพาราไซลีนกว่า 2.34 ล้านตันต่อปี ส่งออกไป จีน ไต้หวัน และเกาหลีใต้ เกือบทั้งหมด
ข้อมูลจาก IEA ระบุ กำลังการผลิตส่วนใหญ่ในกลุ่มน้ำมันปิโตรเลียมจะเป็น น้ำมันเบนซิน น้ำมันดีเซล Naphtha และน้ำมันเครื่องบิน ในสัดส่วน 22% 19% 18% และ 13%
ตามลำดับ การประกาศปิดโรงกลั่นจะทำให้อุปทานปิโตรเลียมลดลง ขณะที่เรามองว่าความต้องการใช้น้ำมันเตาในประเทศญี่ปุ่นจะเพิ่มขึ้นจากภาคการผลิตไฟฟ้าจากหน่วยผลิตน้ำมันเตา เพื่อทดแทนกำลังการผลิตจากโรงงานนิวเคลียร์ที่ปิดตัวลง ขณะที่กลุ่มผู้ผลิตอะโรเมติกส์ (ซึ่งผู้ผลิตในประเทศไทยส่วนมากดำเนินการผลิตโรงกลั่นเช่น TOP และ PTTAR) ได้ประโยชน์จากอุปทานที่ลดลง
ปัจจัยดังกล่าวจะเป็น Positive กับกลุ่มธุรกิจโรงกลั่น โดยเฉพาะ TOP BCP และ PTTAR มากที่สุด อย่างไรก็ตามหากพิจารณา Upside Gain พบว่าการปรับตัวเพิ่มขึ้นมากของ
กลุ่มโรงกลั่น ทำให้ Upside Gain ในปัจจุบันเริ่มน้อยลง โดยปัจจุบัน PTTAR เป็นหุ้นที่มี Upside Gain 22% มากที่สุดของเรา ขณะที่ TOP และ BCP มี Upside Gain เพียง 9% และ 2% ตามลำดับ ทำให้เราเลือกลงทุนแค่เพียง TOP และ PTTAR เท่านั้น โดยยังคงมูลค่าที่เหมาะสมเชิงพื้นฐานสำหรับ TOP ที่ระดับ 88 บาท และ PTTAR ที่ระดับ 46 บาท

* เคที ซีมิโก้ เลือก TOP, PTTAR และ PTTACH เป็นหุ้นเด่น
บทวิเคราะห์ บล.เคที ซีมิโก้ ระบุว่า เราคาดว่าค่าการกลั่นจะสูงขึ้นและทรงตัวสูงในระยะสั้น-กลาง จากการหยุดผลิตของโรงกลั่นน้ำมันและโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่มีแนวโน้มทำให้ต้องมีการนำเข้าน้ำมันเบนซินและน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้น ล่าสุดกำลังผลิตโรงกลั่น 1 ใน 3 ของกำลังผลิตรวม (4.6 ล้านบาร์เรล/วัน) ต้องหยุดการผลิตลง นอกจากนี้เหตุระเบิดที่โรงกลั่นน้ำมันชิบะ ขนาด 2.2 แสนบาร์เรล/วัน จะต้องใช้เวลามากกว่า 1 ปีในการซ่อมแซม
ด้วยเหตุเหล่านี้ เราเลือก TOP, PTTAR และ PTTCH เป็นหุ้นเด่นของธีมการลงทุนนี้ เราเชื่อว่าค่าการกลั่นที่แข็งแกร่ง ราคาน้ำมันทรงตัวสูง และสเปรดปิโตรเคมีที่แข็งแกร่ง จะเป็นปัจจัยหนุนราคาหุ้นในระยะสั้น-กลาง แนะนำ “ซื้อ” TOP (มูลค่าพื้นฐาน 91 บาท) PTTAR (มูลค่าพื้นฐาน 47 บาท) และPTTCH (มูลค่าพื้นฐาน 189 บาท)

*บิ๊ก BCP ตั้งเป้า EBITDA ปีนี้โตกว่าปีก่อนที่ทำได้กว่า 6 พันลบ. เหตุ หลังความต้องการสูงจากปัญหาญี่ปุ่น-ตะวันออกกลาง มั่นใจผลงานQ1/54ยังเติบโตเป็นที่น่าพอใจ
ดร.อนุสรณ์ แสงนิ่มนวล กรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ BCP เปิดเผย eFinancethai.com ว่า บริษัทฯตั้งเป้ากำไรก่อนหักภาษีดอกเบี้ยจ่ายและค่าเสื่อม (EBITDA) ในปีนี้จะเติบโตกว่าปีก่อนไว้ที่ทำได้ 6 พันล้านบาท เนื่องจากบริษัทฯจะได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากปัญหาเหตุความไม่สงบทางการเมืองในประเทศแถบตะวันออกกลางและลิเบีย รวมไปถึงปัญหาแผ่นดินไหวและสึนามิในประเทศญี่ปุ่นทำให้มีความต้องการเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปทั้งน้ำมันดีเซลและน้ำมันเตา
ทั้งนี้ ปัจจุบันค่าการกลั่นอยู่ที่ 7.8 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่สูงพอสมควร ทำให้เป็นปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของผลประกอบการบริษัทฯ
สำหรับโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ในเฟสแรกที่มีกำลังการผลิตไฟฟ้า 38 เมกะวัตต์ คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จในช่วง ต.ค.ปีนี้ โดยจะทำให้รับรู้รายได้จากโครงการดังกล่าวช่วง ไตรมาส 4/54 (พ.ย.-ธ.ค.)
ดร.อนุสรณ์ กล่าวต่อว่า จากการประเมินผลประกอบการไตรมาส1/54 ยังคงเติบโตเป็นที่น่าพอใจ แม้ว่าบริษัทฯได้ปิดทำการโรงกลั่นไปช่วงเดือน ก.พ.ประมาณ 30 วัน แต่ในช่วงต้นเดือน มี.ค.ได้เดินเครื่องการผลิตเป็นปกติแล้วประมาณ 1-1.2 แสนบาเรล์/วัน โดยแนวโน้มราคาน้ำมันในตลาดโลกก็ได้ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งบริษัทฯได้มีการสต็อกล่วงหน้า ซึ่งเป็นไปตามแผนที่จะมีการปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่น ทำให้ในช่วงไตรมาสนี้บริษัทฯน่าจะมีกำไรจากสต็อกน้ำมัน (Stock Gain)
อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ไตรมาส 2 บริษัทฯจะเดินเครื่องโรงกลั่นเต็มกำลังการผลิตอยู่ที่ 1 แสนบาร์เรลต่อวัน ส่งผลให้กำลังการผลิตเฉลี่ยทั้งปีเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 9.2 หมื่นบาร์เรลต่อวัน เพิ่มขึ้นจากปี 53 ที่มีกำลังการกลั่นเฉลี่ยอยู่ที่ 8.6 หมื่นบาร์เรลต่อวัน

* บิ๊ก TOP คาด Q1/54 รายได้-กำไร ดีกว่า Q1/53 หลังค่าการกลั่นรวมเพิ่มขึ้นเฉลี่ยทั้งไตรมาสราว 8 เหรียญ
นายสุรงค์ บูลกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ไทยออยล์ (TOP) เปิดเผยว่า แนวโน้มของรายได้และกำไรในไตรมาส 1/2554 มีโอกาสออกมาในทิศทางที่ดีกว่างวดเดียวกันของปีก่อนหลังจากในไตรมาสนี้คาดว่าค่าการกลั่นเฉลี่ยทั้งไตรมาสจะอยู่ที่ 8 เหรียญต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่ 6 เหรียญต่อบาร์เรล ส่วนทั้งปีคาดว่าค่าการกลั่นเฉลี่ยมีโอกาสไม่ต่ำกว่า 7 เหรียญต่อบาร์เรล
ส่วนทิศทางราคาน้ำมันในไตรมาสดังกล่าวยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูง แต่ไม่น่าจะเพิ่มขึ้นมากนัก แม้ว่าจะมีเหตุการณ์ความไม่สงบเกิดขึ้นที่ประเทศลิเบีย เพราะประเมินว่าเหตุการณ์ดังกล่าวไม่น่าจะบานปลายมาถึงซาอุดิอาระเบีย ซึ่งเป็นประเทศหลักที่ผลิตน้ำมัน

* บิ๊ก IRPC คาดกำไร-รายได้ปีนี้ดีขึ้นกว่าปีก่อน เหตุส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์สูงขึ้น

ดร.ไพรินทร์ ชูโชติถาวร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC เปิดเผยว่า บริษัทฯคาดว่าแนวโน้มกำไรและรายได้ในปีนี้จะปรับตัวดีขึ้นจากปีก่อน เนื่องจากได้รับปัจจัยสนับสนุนของส่วนต่างผลิตภัณฑ์ราคา (สเปรด) ที่คาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้นตามทิศทางราคาที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากได้รับปัจจัยสนับสนุนจาก 2 ปัจจัยหลัก ประกอบด้วยปัญหาความรุนแรงในตะวันออกกลาง อีกทั้งจากผลกระทบจากเหตุการณ์สึนามิที่ญี่ปุ่น ทั้งนี้จากเหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้โรงไฟฟ้าที่ใช้พลังงานนิวเคลียร์มีสัดส่วนลดลงไปสูง โดยกำลังการผลิตของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่หายไปประมาณ 25% ซึ่งถือเป็นกำลังการผลิตไฟฟ้าที่หายไปที่ค่อนข้างสูงและหาแหล่งทดแทนได้ยาก และโรงไฟฟ้าที่ใช้พลังงานจากโรงกลั่นน้ำมันอีกประมาณ 25% จึงส่งผลให้ญี่ปุ่นจำเป็นต้องมีการนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูป อาทิ น้ำมันเตา ก๊าซ LNG และก๊าซธรรมชาติอื่น เพื่อนำไปใช้เป็นพลังงานทดแทนในการผลิตไฟฟ้า และประเมินว่าจะต้องใช้ระยะเวลาหลายปีกว่ากำลังการผลิตจะกลับมาสู่ระดับปัจจุบัน โดยสถานการณ์ถือว่าค่อนข้างมีความตึงเครียด หลังจากปัจจุบันผู้ใช้ไฟฟ้าในประเทศญี่ปุ่นแบ่งเป็น 5 พื้นที่ โดยจะมีการหมุนเวียนในแต่ละพื้นที่ที่จะต้องหยุดใช้ไฟฟ้าต่อวันวันละ 3 ชั่วโมง ขณะที่กลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ทุกรายในขณะนี้ได้หยุดการผลิตเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพื่อนำไฟฟ้าไปใช้ให้กับภาคอื่น อย่างไรก็ดีจากศักยภาพของญี่ปุ่นเชื่อว่าจะใช้เวลาไม่นานจะสามารถกลับมาสู่ภาวะปกติ
จากประเด็นดังกล่าวที่จะทำให้ญี่ปุ่นมีการนำเข้าน้ำมันมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อการนำเข้าพลังงานความร้อน และในระยะต่อไปจะส่งผลดีต่อผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี เนื่องจากโรงงานปิโตรเคมีขนาดใหญ่ในญี่ปุ่นได้มีการหยุดการผลิตจากผลกระทบที่เกิดขึ้น โดยกำลังการผลิตที่หายไปคิดเป็น 30% ของกำลังการผลิตรวมของประเทศ หรืออยู่ที่ประมาณ 7 ล้านตัน และยังส่งผลต่อราคาอาหารให้มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากญี่ปุ่นถือว่ามีพื้นที่ราบที่ใช้ในการเพาะปลูกน้อย และพื้นที่ดังกล่าวยังได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
'ในระยะสั้นคิดว่าสเปรดของโรงกลั่นน่าจะดีขึ้น เพราะเหตุการณ์ครั้งนี้ญี่ปุ่นจะมีความต้องการใช้พลังงานมากขึ้น โดยในช่วง 6 เดือนถึง 1 ปี และในระยะต่อไปราคาปิโตรเคมีน่าจะสูงขึ้น ความเสียหายที่เกิดขึ้นถือว่าอยู่ในวงกว้าง โชคดีที่เกิดอยู่ทางภาคเหนือของประเทศ ถือเป็นแถบที่มีอุตสาหกรรมน้อยหากเทียบกับทางตอนใต้ของประเทศ' ดร.ไพรินทร์ กล่าว
อย่างไรก็ดีบริษัทฯได้รับผลกระทบเล็กน้อยจากเหตุการณ์สึนามิที่สร้างความเสียหายให้ท่าเรือของญี่ปุ่น ส่งผลให้บริษัทฯไม่สามารถส่งสินค้าเข้าญี่ปุ่นได้ โดยสินค้าที่บริษัทฯส่งออกส่วนใหญ่จะเป็นผลิตภัณฑ์เกรดพิเศษ อาทิ เม็ดพลาสติก และน้ำมันยางที่ไม่มีสารก่อมะเร็ง ทั้งนี้การจะส่งออกสินค้าไปยังประเทศญี่ปุ่นจะต้องรอให้ท่าเรือกลับมาใช้ได้
แต่ทั้งนี้ บริษัทฯมีสัดส่วนการส่งออกสินค้าไปญี่ปุ่นไม่มากนัก โดยการส่งออกหลักจะไปยังจีน และอาเซียน ทั้งนี้มองว่าแม้ราคาผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มสูงขึ้น ขณะที่บริษัทฯมีสัดส่วนการส่งออกไปญี่ปุ่นไม่มาก แต่ประเมินว่าน่าจะส่งผลทางอ้อมในทิศทางบวกแก่บริษัทฯ เนื่องจากการนำเข้าพลังงานและผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีของญี่ปุ่นจะส่งผลให้ราคาผลิตภัณฑ์ดังกล่าวในภูมิภาคเพิ่มสูงขึ้น
'เราส่งออกไปญี่ปุ่นไม่เยอะ ซึ่งส่งออกที่เป็นสินค้าเกรดพิเศษ คือ เม็ดพลาสติกและน้ำมันยางที่ไม่มีสารก่อมะเร็ง ซึ่งต้องรอให้ท่าเรือขนส่งสินค้าได้จึงจะส่งสินค้าได้ เราส่งออกหลักๆไปจีนและอาเซียนมากกว่า แต่คงส่งผลดีต่อเราทางอ้อม เพราะการนำเข้าของญี่ปุ่นน่าจะทำให้ราคาในภูมิภาคเพิ่มสูงขึ้น' ดร.ไพรินทร์ กล่าว
-----------------------------------------------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น