Code 379 : 17/03/54 MACD ตัดเส้น Signal ลงมาแล้ว

วันพฤหัสที่ 17 มีนาคม 2554

ATT Code : MACD ตัดเส้น Signal ลงมาแล้ว


สรุปสภาวะการซื้อขาย วันพุธที่ 16/03/54 : SET ดีดขึ้นมาเหนือเส้น 5 วัน แต่ต่ำกว่าเส้น 10 วัน = ยังผันผวน โดยที่ MACD ตัด SIGNAL ลงมาแล้ว

เมื่อวานนี้ ยังเกิดแผนดินไหวอยู่ แต่ก็ยังไม่ได้กระทบอะไรมากไปกว่าเดิม ส่วนเตาปฏิกรยังไม่ได้ระเบิดขึ้นมาอีก แต่ก็ต้องอยู่ในความดูแลอย่างใกล้ชิด ก็ทำให้ยังไม่มีข่าวสารที่เลวร้ายไปมากกว่าเดิม โดยในคืนนั้น ทางอเมริกาและยุโรปก็ลบกันทั่วหน้า แต่ก็เป็นการรัข่าวสารจากการติดลบของตลาดที่ญี่ปุ่นและฮ่องกง พอตอนเช้ามาถึงตลาดเอเซีย ซึึ่งยังไม่มีข่าวร้ายอะไรเพิ่มเติม ก็ทำให้ ญี่ปุ่นดีดขึ้นมาได้ 5% ในช่วงเช้า ส่งผลให้ SET บ้านเราก็เปิดโดดบวกไปด้วย แต่ระหว่างวันก็สวิงลงหลุดแนวรับที่ 1,006 แล้วก็ดันขึ้นมาผ่านแนวต้าน 1,010 แต่ในที่สุดก็มาปิดที่ 1,008.13 จุด อยู่ระหว่างเส้น 5 วัน และ 10 วัน พอดี โดยแนวโน้มยังมีความผันผวนอยู่



แนวโน้มในวันพฤหัสที่ 17/03/54 นี้ คาดว่าตลาดยังมีความผันผวนอยู่ โดยจะต้องติดตามข่าว
1.เตาปฏิกรนิวเคลียร์ที่ญี่ปุ่นจะระเบิดอีกหรือไม่
2.การที่รัฐบาลลิเบียจะจัดการกับกลุ่มต่อต้านในอีกไม่กี่วัน
3.ความขัดแย้งตะวันออกกลาง
4.หนี้ยูโรโซน
5.ทิศทางราคาน้ำมัน-ทองคำ-
คาดจากปัจจัยดังกล่าวจะส่งผลให้ SET มีแนวโน้มแกว่งตัวในกรอบ 1,000-1,015 จุดโดยที่ตลาดมีกรอบแนวรับ-แนวต้าน ดังนี้
แนวรับที่ 1,007 /1,004/1,000 จุด และแนวรับหลักที่ BB Average ที่ 998 จุด
แนวต้านที่ 1,010 และ 1,015 จุด


Indicators ต่างๆ ของเมื่อวานนี้ (16/03/54) : Macd ตัดเส้น Signal ลงมาแล้ว

1. (Major = Sell Signal : 1. MACD <. Signal.... แต่ Minor ยังดีอยู่ 2. MACD > 0)
(-) MACD (ลดลงจาก 7.27 เป็น 6.60) ตัดเส้น Signal (ลดลงจาก 7.00 เป็น 6.88) ลงมาแล้ว โดย MACD ทั้ง 2 เส้น ขึ้นมายืนเหนือเส้นศูนย์ แต่เ้ส้น MACD เริ่มย่อลงมาและจนมาตัดเส้น Signal ลงมาแล้ว...ทำให้มีสัญญาณ Sell Signal เกิดขึ้นแล้ว

2. (OBV + : Good)
(+) OBV เพิ่มขึ้นจาก 436 มาที่ 462.... แสดงให้เห็นว่ามีแรงซื้อขายสะสมเพิ่มขึ้น ส่งสัญญาณในทางบวกอีกครั้ง

3. (1.CCI <. 100 : Major = Sell Signal, 2. CCI .> O เล็กน้อย : Minor = Good)
(+) CCI เพิ่มขึ้นจาก -16.50 มาที่ 1.83... Minor มีสัญญาณเป็นบวกขึ้นมานิดหน่อย เพราะ CCI มีค่ามากกว่า ศูนย์ แล้ว

4. (DI+ > DI- : Buy Signal)
(+) เส้น ADX : DI+(28.68 : ลดลงมา) แต่ยังเหนือกว่าเส้น DI-(23.83: ลดลงมา) ทั้ง 2 เส้น เริ่มห่างกันมากขึ้น (จาก 4.65 เป็น 5.85).... ทำให้แนวโน้มกลับมาเป็นบวกได้นิดหน่อย

5. (%R < -10 ลงมาอีกครั้ง เมื่อ 15/03/54 : Major = Sell Signal)
(+) Williams %R ลบน้อยลง จาก -55 ลงมาที่ -43...

6. (RSI > 50% : Major = Strong)
(+) RSI ลงมาจาก 52% มาอยู่ที่ 54%... ยังแข็งแรงอยู่ และมีสัญญาณเริ่มกลับมาดูดีอีกครั้ง

7. (%K < %D = Sell Signal)
(-) Slow Stochastic : %K(70) ตัด %D(77) ตัดลงอยู่



****************
Historical Technics
****************
Buy Signal
1. MACD เปลียนไปเป็น Sell Signal แล้ว
2. (+) SET ผ่านแนวต้านหลัก BB Average = Major เป็น Bullish... ยืนยันความเข็งแรงของตลาด... BB Average เปลี่ยนจากแนวต้านมาเป็นแนวรับหลัก (16/02/54)
3. (+) EMA5 (979.12) ตัด EMA 10 (976.12 )ขึ้นมา... Majorเป็น Golden Cross = Buy Signal (17/02/54)
4. (+) EMA10 (988.34) ตัด EMA25 (987.47) = Golden Cross : Strong (04/03/54)
5. (+) EMA25 (992.96) ตัด EMA75 (991.78) (10/03/54)

Sell Signal

1. (-) SET หลุด BB Top ลงมาแล้ว = SET อ่อนลงมา (09/03/54)
2. (-) 2.1 CCI ตัด 100 ลงมา (44) : Major = Sell Signal (11/03/54)
3. (-) %R < -10 : Sell Signal (15/03/54)
4. (-) Slow Sto : %K < %D = Sell Signal (15/03/54)
5. (-) SET ต่ำกว่าเส้น 10 วัน แล้ว : Weak (15/03/54)
6. New (-) MACD(6.60) ตัดเส้น Signal (6.88) ลงมา = Major:Sell Signal (16/02/54)

-----------------------------------------------------------------------------
MARKET WAVE Analysis
17 มีค. 54 (+5.03 จุด) โกมล พงศ์วิญญู เลขทะเบียน 18338

ยังมีความเสี่ยงที่จะปรับตัวลง 997 -1000 จุด
แนวโน้มในวันพฤหัส ถ้าสามารถปรับตัวขึ้น เกิน 1011.30 จุดสูงสุดของวันพุธระยะสั้นดัชนีพอมีโอกาสกลับขึ้นไปแถว 1015 -
18 จุด

อย่างไรก็ตาม ดัชนียังไม่น่าไปได้เกินจุดสูงสุดของสัปดาห์นี้ และ ยังมีความเสี่ยงที่จะปรับตัวกลับลงมาบริเวณ 997 – 1000 ใกล้จุดต่ำสุดของวันอังคาร อีกครั้ง

จากนั้นถ้ามีการปรับตัวลง ต่ำกว่า996.44 จุดต่ำสุดของวันอังคาร จะถือเป็นสัญญาณการปรับตัวลงของตลาดแถว 970 – 975จุด

หุ้นเด่น
STA
ปรับตัวขึ้นอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ย 25 ชั่วโมงได้อีกครั้ง รอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 26.25จุดสูงสุดวันพุธ เป้าหมายสองสามวัน 28.00 – 28.50 ( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 25.00 )

JAS
ปรับตัวทะลุกรอบสามเหลี่ยม ภาพระยะเดือนขึ้นมาได้ ทยอยซื้อแถว 2.32 – 2.36 หรือรอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 2.42 จุดสูงสุดของวันพุธเป้าหมายระยะสัปดาห์ขึ้นไป 2.80 – 3.60 (ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 2.30)

10 อันดับซื้อขายสูงสุด
BANPU ต่ำกว่า 736 ลง 720 – 730
CPF เกิน 25.25 ขึ้น 26 – 26.50
TOP ต่ำกว่า 80.75 ลง 76 – 78
IVL แกว่งตัว 48.50 – 51.50
PTT ต่ำกว่า 337 ลง 326 - 331
JAS รายละเอียดใน “หุ้นเด่น”
SCB แกว่งตัว 100.50 – 102
SCC ต่ำกว่า 329 ลง 324 – 326
PTTCH แกว่งตัว 144 - 147
PTTEP แกว่งตัว 176 – 179
-----------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย
E FinanceThai : ยางพาราขาลง

ยางพาราเศร้า เจอแผ่นดินไหว-สึนามิ และโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ญี่ปุ่นฉุดราคายางร่วง ระบุ 19 วันราคายางร่วง 33% ด้านโบรกฯแนะหลีกเลี่ยงหุ้นกลุ่มยางจนกว่าราคายางจะเริ่มกลับมามีเสถียรภาพ ชี้ ปีนี้ยากราคายาง แตะ 180-200 บาท ขณะที่ DSF คาด การซื้อขายสินค้ายางพารา (RSS3) ในตลาด AFETมีโอกาสรีบาวน์ต่อ หลังราคาลงมาหลายวันต่อเนื่องแต่เทรนด์หลักเป็นขาลง เพราะนลท.กังวลศก.ญี่ปุ่นทรุด แนะเปิดสถานะขาย
จากเหตุแผ่นดินไหวขนาด 9 ริกเตอร์ ตามมาด้วยคลื่นยักษ์สึนามิถล่มในหลายพื้นที่ของญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 11 มีนาคมที่ผ่านมา หาได้เพียงส่งผลกระทบต่อประเทศและชาวญี่ปุ่นอย่างมหาศาลเท่านั้น แต่แรงสั่นสะเทือนถึงเศรษฐกิจโลกด้วย และอุตสาหกรรมยานยนต์เป็น 1 ในอุตสาหกรรมที่เจอผลกระทบอย่างรุนแรง เนื่องจาก ค่ายรถยนต์ 4 แห่งในญี่ปุ่น ประกอบด้วย โตโยต้า ฮอนด้า นิสสัน และซูบารุ สั่งปิดโรงงานบางแห่งที่ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่อันตรายที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์สึนามิเป็นนการชั่วคราวแบบไม่มีกำหนด เพื่อประเมินผลความเสียหายทั้งหมด
ส่งผลให้ราคายางพาราสัปดาห์นี้ลดลงอย่างรุนแรง จากก่อนหน้านี้ที่ราคายางพาราถือเป็นความหวังของเกษตรกรชาวสวนยาง เนื่องจากราคายางพาราทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2554 ที่ระดับ 198.55 บาท/กิโลกรัม ก่อนที่ราคาจะปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องและรุนแรงมาถึงระดับ 132 บาท/กิโลกรัมในวันที่ 16 มีนาคม 2554 เรียกได้ว่าราคาปรับลดลงมาอย่างรวดเร็วเพียง 19 วันทำการ ถึง 33.51%
ส่งผลให้ราคาหุ้น กลุ่มยางพารา เคลื่อนไหวในแดนลบ 3วันทำการ นับแต่วันที่ 11 มี.ค. จนถึงวันที่ 15 มี.ค.
อาทิ บริษัทศรีตรังแอโกรอินดัสทรี จำกัด(มหาชน)(STA) ปิดตลาดวันที่ 10 มี.ค. อยู่ที่ 28.50บาท แตะระดับต่ำสุดในวันที่ 15 มี.ค. ที่ 23.50 บาท ลดลงต่ำสุด 5 บาท หรือลดลง 17.54 % ก่อนจะปิดตลาดที่ 24.50 บาท
เช่นเดียวกับ บริษัทไทยรับเบอร์ลาเท็คซ์คอร์ปอเรชั่น(ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)(TRUBB)พบว่าราคาหุ้นปรับตัวลดลง 3วันทำการ นับจากปิดตลาดวันที่ 10 มี.ค. อยู่ที่ 6.15 บาท และปิดตลาดวันที่15 มี.ค.ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดที่ 05.75 บาท ลดลง 0.4 บาท หรือลดลง 6.50%
ขณะที่วานนี้(16 มี.ค.) ราคาหุ้นกลุ่มยางรีบาวน์ โดยปิดตลาดราคาหุ้น STA อยู่ที่ 26.25บาท เพิ่มขึ้น 1.75บาทหรือ 7.14% มูลค่าการซื้อขาย 497.93 ล้านบาทและTRUBB อยู่ที่ 5.90บาท เพิ่มขึ้น0.15 บาทหรือ 2.61% มูลค่าการซื้อขาย 5.93 ล้านบาท

***บล.ไทยพาณิชย์ แนะหุ้นกลุ่มยางมีความเสี่ยง ชี้ยากราคาทะยานแตะ 180-200 บาท/ก.ก.***
นายสุกิจ อุดมศิริกุล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนลูกค้าบุคคล บล.ไทยพาณิชย์ กล่าวว่า การลงทุนในหุ้นกลุ่มยางยังคงมีความเสี่ยง ซึ่งหากต้องการลงทุนแนะนำให้เก็งกำไรอย่างระมัดระวัง เนื่องจากราคายางยังมีความผันผวนมากเกินไป แม้ว่าล่าสุดรัฐบาลจะประกันราคายางไม่ให้หลุด 100 บาท /ก.ก. และได้ขอความร่วมมือกับพ่อค้าและผู้ส่งออกยางให้ชะลอการส่งออกยางไปต่างประเทศไว้ก่อน เพื่อติดตามความผิดปกติที่เกิดขึ้น ซึ่งจากการเข้ามาอุ้มของรัฐบาลอาจทำให้ Downside ของราคาหุ้นกลุ่มนี้ลดลง จากที่ผ่านมาราคาปรับลดลงเกือบเท่าตัว
ในแง่ของทิศทางตลาดในระยะนี้ อาจจะเห็นราคาหุ้นกลุ่มยางฟื้นตัวขึ้น หรือรีบาวน์ โดยเชื่อว่าส่วนหนึ่งเป็นการปรับขึ้นในทิศทางเดียวกันกับตลาดฯ และอีกส่วนหนึ่งเกิดจากที่นักลงทุนคาดหวังว่า ราคายางอาจปรับตัวกลับขึ้นสู่ระดับสูงเช่นเดียวกับก่อนหน้านี้ ที่อยู่ประมาณ 180-200 บาท /ก.ก. แต่ในมุมมองของนักวิเคราะห์มองว่า คงเป็นไปได้ยากที่ราคายางจะขึ้นไปสู่ระดับดังกล่าวในช่วงนี้ เนื่องจากจะได้รับผลกระทบจากอุตสาหกรรมรถยนต์ในประเทศญี่ปุ่นที่ชะลอลงจากภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นดังนั้น ในเชิงของผลประกอบการในกลุ่มบริษัทยางจึงไม่มีความชัดเจนนัก และมีแนวโน้มว่าจะไม่สดใสเหมือนปีที่ผ่านมา

*** ASP แนะหลีกเลี่ยง STA จนกว่าราคายางจะเริ่มกลับมามีเสถียรภาพ***
บทวิเคราะห์บล.เอเซียพลัส ประเมินว่า ราคายางพาราปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็วในสัปดาห์นี้ ซึ่งเป็นไปตามราคายางพาราในตลาดล่วงหน้าที่โตเกียวซึ่งปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง ภายหลังเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวในญี่ปุ่น จนทำให้โรงงานผลิตรถยนต์ที่อยู่ในพื้นที่ภัยพิบัติต้องหยุดเดินเครื่องผลิตอย่างไม่มีกำหนดจนกว่าสถานการณ์จะกลับมาเป็นปกติ เนื่องจากเหตุระเบิดที่โรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ ทำให้ไม่สามารถจ่ายกระแสไฟฟ้าได้ตามปกติในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบสถานการณ์ราคายางพาราที่ปรับตัวลดลงส่งผลกระทบต่อราคาหุ้น STA ให้ปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงในช่วง 2 วันที่ผ่านมาเช่นกัน เนื่องจากมีความวิตกกังวลว่าความต้องการใช้สินค้ายางล้อรถยนต์จะปรับตัวลดลงมากเพราะโรงงานรถยนต์หยุดเดินเครื่องผลิตดังกล่าว
โดยฝ่ายวิจัยได้สอบถามไปยังผู้บริหารของ STA และได้รับการยืนยันว่ามียอดส่งออกสินค้ายางแท่งไปยังญี่ปุ่นในสัดส่วนเพียง 2-3% ของปริมาณการส่งออกรวมเท่านั้น ซึ่งผู้บริหารเชื่อว่าผลกระทบจากราคายางพาราที่ตกต่ำน่าจะเป็นไปในช่วงสั้นเท่านั้น โดยฝ่ายวิจัยได้ทำการศึกษาพบว่าทุกๆ 10 บาท/กก. ที่สมมติฐานราคายางพาราปรับตัวลดลง จะส่งผลกระทบต่อประมาณการกำไรสุทธิและFair value ปี 2554 ให้ปรับตัวลดลงราว 6% จากเดิม ทั้งนี้ฝ่ายวิจัยอยู่ระหว่างติดตามความเคลื่อนไหวของราคายางพาราและแนวโน้มราคายางพาราในอนาคต ซึ่งหากราคายางพาราเฉลี่ยใน 2Q54 ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง ก็จะส่งผลให้ฝ่ายวิจัยต้องปรับลดประมาณการปี 2554 และFair value ของ STA ลงเพื่อสะท้อนผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าว สำหรับคำล่าว สำหรับคำแนะนำลงทุนในระยะสั้นให้หลีกเลี่ยงไปก่อนจนกว่าราคายางพาราจะเริ่มกลับมามีเสถียรภาพ ทั้งนี้ประเมินFair Value อยู่ที่ 40.36 บาท

*** CNS มอง STA อ่วม คาดกระทบยอดขายปีนี้ 10%***
บทวิเคราะห์ บล. โนมูระ พัฒนสิน(CNS) ประเมินว่า STA จะได้รับผลกระทบเชิงลบ คาดว่าหากเหตุการณ์แผ่นดินไหวลุกลามจนมีผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจญี่ปุ่น คาดว่า STA จะได้รับผลกระทบมากที่สุด เพราะยอดขายราว 10% ในปี 2011F มาจากอุตสาหกรรมรถยนต์ในญี่ปุ่น ซึ่งอาจมีการชะลอตัวของยอดขาย โดยปัจจุบันบริษัทโตโยต้า นิสสัน และฮอนด้า ประกาศหยุดการผลิตชั่วคราวในวันจันทร์ (14 มีนาคม) นี้

***โบรกฯคาดวันนี้ RSS3 รีบาวน์ต่อ แต่เทรนด์หลักเป็นขาลง เพราะนลท.กังวลศก.ญี่ปุ่นทรุด แนะเปิดสถานะขาย ***
นายชัยวัฒน์ เหมือนมี นักวิเคราะห์ บริษัท ดีเอส ฟิวเจอร์ส จำกัด (DSF) เปิดเผยถึงการซื้อขายสินค้ายางพารา (RSS3) ในตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย (AFET) ว่าราคายางล่วงหน้าของไทยวานนี้รีบาวน์ขึ้นมาแรง โดยปิดที่ระดับสูงสุดของวัน หลังจากนักลงทุนเข้ามาเก็งกำไรระยะสั้นรับข่าวที่รัฐบาลประกาศจะประกันราคายางไม่ให้ต่ำไปกว่า 100 บาท/กิโลกรัม แต่เชื่อว่าปัจจัยดังกล่าวจะส่งผลบวกต่อราคายางในระยะสั้นเท่านั้น เนื่องจากปัจจัยรอบด้านยังเข้ามากดดัน
โดยวานนี้ราคายางในตลาดซื้อขายจริงของไทยปรับตัวขึ้นมาในแดนบวกทุกผลิตภัณฑ์ จากข่าวดังกล่าวส่งผลบวกต่อราคายางล่วงหน้าในระยะสั้น
ทั้งนี้นักลงทุนยังกังวลต่อปัญหาสารกัมมันตภาพรังสีที่รั่วไหลในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจในวงกว้าง และจะทำให้ความต้องการยางจากญี่ปุ่นลดลง
ประกอบกับราคาน้ำมันในตลาดโลกที่เป็นขาลงและค่าเงินบาทที่ยังทรงตัวในกรอบจำกัด ยังกดดันราคายางล่วงหน้าของไทยเช่นเดียวกับในช่วงที่ผ่านมา
สำหรับในวันนี้ คาดว่าราคายาง AFET มีแนวโน้มที่จะเคลื่อนไหวในแดนบวกต่อ เนื่องจากสัญญาณทางเทคนิคชี้ว่าราคากำลังรีบาวน์ขึ้นไปทดสอบแนวต้านสำคัญที่ 140-141 บาท/กิโลกรัม หลังจากก่อนหน้านี้ราคาปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยไม่พักฐาน
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาภาพรวมในระยะกลางถึงระยะยาว ทิศทางราคายังเป็นขาลงจากความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจในญี่ปุ่น และปริมาณสินค้าที่จะออกมาอย่างต่อเนื่องในอนาคต แม้ว่ารัฐบาลจะประกาศรับประกันราคาไม่ให้ต่ำกว่า 100 บาท/กิโลกรัมก็ตาม
สำหรับกลยุทธ์การลงทุน แนะนำเปิดสถานะขายหากราคาไม่สามารถผ่านแนวต้านที่ 140-142 บาท/กิโลกรัมได้ โดยประเมินแนวรับที่ 124 บาท/กิโลกรัม แนวรับถัดไป 120 บาท/กิโลกรัม ในสัญญาส่งมอบเดือนตุลาคม 2554

***รัฐบาล สั่งชะลอส่งออกยาง เตรียมเรียกถก บอร์ดนโยบายยางแห่งชาติ หารือปัญหาราคายางตกต่ำ 21 มี.ค. นี้ ***
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายแห่งชาติ เปิดเผยว่า ราคายางที่ปรับตัวลดลงมากในช่วงนี้ พบว่ามีความผิดปกติเนื่องจากมีการเก็งกำไรการซื้อขายยางล่วงหน้าในตลาดเซี่ยงไฮ้และญี่ปุ่น ทั้งนี้ ไทยจะทำหนังสือไปถึงญี่ปุ่นและจีนเพื่อสอบถามว่ามีความผิดปกติในตลาดซื้อขายล่วงหน้ายางแผ่นหรือไม่อย่างไร
นายสุเทพ กล่าวต่อว่า จากการหารือ กับพ่อค้าและผู้ส่งออกยางวานนี้ ได้ขอความร่วมมือให้ชะลอการส่งออกยางไปต่างประเทศไว้ก่อน พร้อมส่งสัญญาณให้ชาวสวนยางอย่าเพิ่งรีบขายผลผลิตในช่วงนี้ โดยขอให้รอราคายางอยู่ที่ระดับ 120 บาท/กก.ก่อน จึงค่อยขาย รวมถึงขอความร่วมมือจากผู้ส่งออกให้รับซื้อเพื่อตรึงราคาไว้ที่ระดับ 120 บาท/กก.ขึ้นไป
'จะเรียกว่าสั่งห้ามก็ได้ ที่ตกลงกันได้เพราะเคยทำงานร่วมกัน ผมก็เลยบอกว่าถ้าเป็นอย่างนี้อย่าเพิ่งส่งออก เพราะผู้ซื้อถือโอกาสยกเลิกสัญญาหรือขอแก้ไขสัญญา เช่น เคยซื้อ 160 บาท แต่มาขอซื้อ 120-130 บาท ลดลงมาเรื่อยๆ อย่างนี้ก็ขาดทุนกันเยอะ เพราะถ้าพ่อค้าทั้งหมดไม่มีกำลังซื้อยาง ชาวสวนของผมก็จะพลอยเดือดร้อนไปด้วย' นายสุเทพ กล่าว
อย่างไรก็ดี วันที่ 21 มี.ค.จะเรียกประชุมคณะกรรมการนโยบายยางแห่งชาติ เพื่อหารือถึงกรณีการแก้ไขปัญหาราคายางตกต่ำ พร้อมกันนี้ นายสุเทพ ยังขอร้องชาวสวนยางพาราที่จะเดินทางมาเข้าพบนายกรัฐมนตรีเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ปัญหาราคายางว่า อย่าเพิ่งเดินทางเข้ามาในช่วงนี้ โดยต้องการขอเวลาให้รัฐบาลได้แก้ไขปัญหาก่อน

*** สั่งจับตา การประชุมของ 3 ประเทศยักษ์ใหญ่ผู้ปลูกยางของอาเซียนในสัปดาห์นี้***
นาย ประภาส เอื้อนนทัช รองเลขาธิการสภาอุตสาหกรรมไทย ในฐานะผู้ส่งออกยางพารารายใหญ่ของภาคใต้ เปิดเผยว่าเหตุที่ยางราคาตกได้มีการพูดคุยกับหลายฝ่ายแล้วสรุปเห็นตรงกันว่ายางราคาตกลงอย่างผิดปกติ เพราะมีคนไปเล่นกับราคายางโดยเฉพาะในตลาดเซี่ยงไฮ้ และตลาดโตเกียวในประเทศญี่ปุ่น แต่เป็นธรรมดาของพวกนักเก็งกำไร ราคากำลังต่ำสุด แต่สิ่งที่มาซ้ำเมื่อราคายางลงไปสึนามิเข้ามาซ้ำอีกทียิ่งร่วงลงไปใหญ่ ตอนนี้เข้าใจว่าราคาจะทรงตัวอยู่ได้แล้วอยู่ที่ 100 +
“เวลานี้เกษตรกรต้องเก็บยางไว้ดีกว่าราคามันจะตีกลับแน่นอน ประมาณ 120 บาท อย่าตกใจ อย่ารีบเทขาย ที่ผ่านมารีบเทขายผู้ส่งออก ผู้ค้าเร่งเทขายด้วย ทำให้เข้าทางนักเก็งกำไรไปอีก ไม่เฉพาะชาวสวนเท่านั้นผู้ส่งออกต่างๆได้รับผลกระทบกันทั่วหน้าซื้อเข้ามาเก็บราคาวูบอีกค่อนข้างสาหัสหลายรายแต่ได้พูดคุยกันแล้วพยายามที่จะสต๊อกไว้รอขายให้ราคาทรงตัวมากขึ้น อย่างแย่งกันขายอย่าแข่งกันขาย เชื่อว่ายางจะขึ้นแรงและลงแรงต้องระมัดระวัง ”
ด้านนายวิทย์ ประทักษ์ใจ ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง(กสย.) กล่าวว่าสาเหตุหลักที่ทำให้ราคายางมีแนวโน้มต่ำลงเพราะจีนเห็นว่าราคาสูงเกินไป ขณะเดียวกันปริมาณสต๊อคของจีนมีประมาณ 2-4 แสนตันก็น่าจะเพียงพอ จึงหยุดซื้อ ทำให้ราคายางตกเพราะสัดส่วนการขายยางของไทยให้จีนสูงถึง40% ขณะที่ญี่ปุ่นที่หลายฝ่ายมองว่าเป็นสาเหตุให้ราคาตก มองว่าไม่น่าใช่แต่เป็นเชิงจิตวิทยามากกว่า เพราะมีสัดส่วนเพียง 10% ประกอบกับช่วงนี้เริ่มเป็นช่วงผลัดใบ ผลผลิตออกสู่ตลาดน้อยลงปริมาณความต้องการจึงน้อยตาม แต่ทั้งหมดเห็นว่าไม่น่ากระทบต่อเกษตรกร เพราะผลผลิตจะออกสู่ท้องตลาดมากอีกครั้งในช่วงเดือนพฤษภาคมนี้ แต่ผู้ที่ได้รับผลกระทบน่าจะเป็นกลุ่มผู้ส่งออก
"แม้ราคายางเริ่มตก แต่เมื่อเทียบกับต้นทุนยังถือว่าเกษตรกรได้กำไรสูง เพราะต้นทุนยางเพียงแค่ 40 กว่าบาทต่อกิโลกรัม ขายได้กิโลกรัมละ 60 บาทก็อยู่ได้แล้ว อย่างปลายปีที่แล้วราคาสูงขึ้นมา 80 กว่าบาท ก็ยังเป็นที่พอใจ" นายวิทย์กล่าว
ขณะที่นายบุญส่ง นับทอง นายกสมาคมสหพันธ์ชาวสวนยางแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ราคาซื้อขายยางในตลาดท้องถิ่นขณะนี้ลดลงเหลือกก.ละ 68-70 บาท ส่วนราคาตลาดกลางที่หาดใหญ่ จ.สงขลา เหลือ กก.ละ 98 บาท เกิดจากภาวะความไม่เชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีการเทขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้า เกรงจะไม่มีผู้รับซื้อต่อหรือขายไม่ได้ในราคาสูงที่ทำสัญญาซื้อขายกันไว้ก่อนแล้ว ประกอบกับการเกิดเหตุภัยธรรมชาติที่ญี่ปุ่น ส่งผลให้การลงทุนของบริษัทรถยนต์ชะลอการผลิตรถยนต์ออกไป แต่ที่สำคัญเกิดจากจีนชะลอการซื้อยางพาราทั้งหมด เพื่อรอช้อนซื้อในช่วงยางราคาต่ำสุด และกลุ่มพ่อค้ารับซื้อในประเทศรวมทั้งระดับท้องถิ่นต่างกังวลว่าพรุ่งนี้จะรับซื้อยางดีหรือไม่ และจะไปขายต่อได้เท่าไหร่ เพราะราคายางลงทุกวันจนกลัวขาดทุนจึงไม่กล้ารับซื้อ
นายบุญส่งกล่าว และว่า ต้นทุนการผลิตยางของชาวสวนยางอยู่ที่ กก.ละ 55 บาท หากยางราคาต่ำถึงขั้นนี้เชื่อว่าต้องวุ่นวายเกิดขึ้นแน่
โดยในสัปดาห์นี้ต้องติดตาม การประชุมของ 3 ประเทศยักษ์ใหญ่ผู้ปลูกยางของอาเซียน อย่าง ไทย อินโดนีเซีย และมาเลเซีย เพื่อหารือถึงมาตรการรักษาเสถียรภาพราคายางพาราที่ตกต่ำอย่างรวดเร็วในขณะนี้ รวมทั้งอาจจะพิจารณาชะลอการส่งออก หรือใช้มาตรการอื่นๆในการลดผลผลิตยางพารา เพื่อช่วยพยุงราคาซึ่งการประชุม IRCO(บริษัทร่วมทุนยางพาราระหว่างประเทศ) และ ITRC (สภาความร่วมมือด้านยางพาราระหว่างประเทศ)คือความร่วมมือของยางพาราสามประเทศ จะประชุมกันที่เมืองไทย ซึ่งหลายฝ่ายคาดการณ์ว่าที่ประชุมอาจจะพิจารณาชะลอการส่งออก หรือใช้มาตรการอื่นๆ ในการลดผลผลิตยางพาราเพื่อช่วยพยุงราคาเมื่อกลางเดือนก.พ.ที่ผ่านมา ราคายางแผ่นดิบในประเทศ อยู่ที่ 180 บาท/กิโลกรัม(กก.)ขณะที่เช้านี้ ราคายางแผ่นดินในประเทศ อยู่ที่ 90 บาท/กก. ลดลงจาก 95 บาท/กก.เมื่อวานนี้


-----------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ตปท.

-----------------------------------------------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น