Code 371 : 07/03/54 ลุ้น 1000 จุดอีกครั้ง ถ้าผ่าน 997

วันจันทร์ที่ 7 มีนาคม 2554

ATT Code : ลุ้น 1000 จุดอีกครั้ง ถ้าผ่าน 997

สรุปสภาวะการซื้อขาย วันศุกร์ที่ 04/03/54 : ไม่ผ่าน 1000 จุด แต่ยังยืนเหนือแนวรับที่ 994 ได้ แต่โดนทุบตอน Call Market 3 จุด งงสิ

เมื่อคืนวันพฤหัส ดัชนี Dow Jones บวกร้อยกว่าจุด หรือ 1% กว่า ทำให้ไปเช้าวันศุกร์ ช่วงเปิดตลาดมีแรงซื้อเข้ามาทั้งกลุ่มแบงค์และพลังงาน ทำให้ SET เปิดโดขึ้นไปเกิืบ 6 จุด ไปเปิดที่ระดับ 996.29 จุด ผ่านแนวต้านที่ 994 ไปได้ เกือบถึง 997 แหนะ โดยระหว่างวันก็ขึ้นไป High ที่ระดับ 1000.53 จุด แล้วก็มีแรงขายออกมาตามแนวต้านที่ 1000 จุด โดยก่อน Call market ก็เริ่มมีแรงขายออกม าและตอนปิดตลาดก็มีแรงทุบหุ้นตัวใหญ่ๆลงมาทีเดียว 3 จุด ลงมาปิดที่ 995.91 จุด แรงได้ใจจริงๆ

SET ในช่วงเช้ามีแรงซื้อเข้ามา ทำให้ทะลุแนวต้าน 994 มาได้ ภายในวันก็ยังผ่่าน 997 ไปชนที่แนวต้านหลักที่ 1000 จุดได้ แต่หลังจากนั้นก็มีแรงขายออกมา ทำให้หลุดแนวต้าน 997 แต่ก็ยังยืนเหนือ 994 มาปิดที่ 995.91 ได้ แบบฉิวเฉียด

แนวโน้มในวันจันทร์ที่ 07/03/54 : จะผ่าน 1000 หรือ หลุด 994 กันแน่

-แนวรับก็จะอยู่ที่ 994.48 จุด ซึ่งเป็นHighของวันที่ 01/03/54 ซึ่งถ้าหลุด 994 ก็จะลงมาที่แนวรับ เส้น 5 วัน ที่ระดับ 991 และแนวรับหลัก (BB Average) ขยับขึ้นมาจาก 977 มาอยู่ที่ 981จุด

-ส่วนแนวต้าน ก็จะอยู่ที่ 997 จุด ซึ่งเป็น High ของวันที่24/02/54 ซึ่งถ้าทะลุขึ้นมาได้ ก็จะมาชนแนวต้านหลักที่ 1000 จุด

*** SET เมื่อวันศุกร์ก้สามารถยืนในแดนบวกได้ตลอดทั้งวัน แต่ก้ไม่สามารถที่จะทะลุ 1000 จุด ไปได้ แต่ก็ยังยืนเหนือ 994 ได้อยู่ โดย Indicators ต่างๆ เริ่มแข็งแรงขึ้น ดังนี้

1. (+) MACD ยังคงตัดเส้น Signal ขึ้นมาอยู่ โดย MACD(2.24) ยังคงยืนเหนือเส้นศูนย์อยู่.... มีสัญญาณที่ดีอยู่ (Still Good : 1. MACD > Sigmal 2. MACD > 0)
2. (+) OBV เพิ่มขึ้นจาก 764 มาที่ 793.... แสดงให้เห็นว่ามีแรงซื้อขายสะสมเพิ่มขึ้น (OBV+ : Good)
3. (+) CCI เพิ่มขึ้นจาก 17 มาที่ 145 เพิ่มขึ้นมา 128 ... แนวโน้มเป็นบวกมากขึ้น (CCI > 100)
4. (+) เส้น ADX : DI+(28.90) ตัดเส้น DI-(24.72) ขึ้นมา.... แนวโน้มดูดีขึ้น (DI+ > DI- : Buy Signal)
5. (+) Williams %R ลบมากขึ้นจาก -45 ลงมาที่ -21 ลบน้อยลง... แนวโน้มกลับมาดูดีขึ้นอีกครั้ง (%R >-90 : Buy Signal และ >-50 : Strong)
6. (+) RSI ขึ้นมาจาก 51% มาอยู่ที่ 54%... แนวโน้มกลับมดูาดีขึ้นอีกครั้ง (RSI > 50 : Strong)
7. (+) Fast Sto : %K(80) ตัด %D(67) ตัดขึ้นมาแล้ว... แนวโน้มกลับมดูาดีขึ้นอีกครั้ง (%K >%D : Buy Signal)


-----------------------------------------------------------------------------
MARKET WAVE Analysis
7 มีค. 54 ( +5.83 จุด ) โกมล พงศ์วิญญู เลขทะเบียน 18338

เกิน 1000.53 เป้าหมาย 1049 – 54 จุด
ดัชนีในวันศุกร์ เริ่มปรับตัวทะลุกรอบสามเหลี่ยมภาพระยะวันขึ้นมาได้แนวโน้มในวันจันทร์นี้ตราบใด ไม่ต่ำกว่า 991 จุด เส้นค่าเฉลี่ย 25 ชั่วโมง ถือว่าตลาดยังอยู่ในแนวโน้มของการปรับตัวขึ้น

และจากนี้ไปการปรับตัวขึ้น เกิน1000.53 จุดสูงสุดของวันศุกร์ จะถือเป็นสัญญาณการปรับตัวขึ้นของตลาด มีเป้าหมาย
หนึ่งถึงสองสัปดาห์ข้างหน้าบริเวณ 1049 – 54ใกล้จุดสูงสุดเดิมต้นปีนี้

หุ้นเด่น
IVL
กำลังปรับตัวในกรอบสามเหลี่ยม ภาพระยะวัน รอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 44.50 กรอบบนของสามเหลี่ยม เป้าหมายระยะสัปดาห์
49.00 – 50.00( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 43.25 )

TOP
กำลังปรับตัวในกรอบสามเหลี่ยม ภาพระยะวัน รอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 75.25 กรอบบนของสามเหลี่ยม เป้าหมายระยะสัปดาห์
78.00 – 80.50( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 74.25 )

BBL
กำลังปรับตัวในกรอบสามเหลี่ยม ภาพระยะชั่วโมง รอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 164.50กรอบบนของสามเหลี่ยม เป้าหมายหนึ่งถึง
สองวัน 168.00 – 169.00( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 162.00 )

THAI
กำลังปรับตัวในกรอบสามเหลี่ยม ภาพระยะชั่วโมง รอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 41.00จุดสูงสุดวันศุกร์ เป้าหมายหนึ่งถึงสองวัน
43.00 – 44.00( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 40.00 )

10 อันดับซื้อขายสูงสุด
TMB ไม่ต่ำกว่า 2.30 ขึ้น 2.40 – 2.44
BANPU ต่ำกว่า 712 ลง 690 – 700
BBL รายละเอียดใน “หุ้นเด่น”
SCB ไม่ต่ำกว่า 102 ขึ้น 111 - 114
IVL รายละเอียดใน “หุ้นเด่น”
PTTCH แกว่งตัว 141 – 144.50
KTB เกิน 17 ขึ้น 17.50 – 17.70
TOP รายละเอียดใน “หุ้นเด่น”
KBANK ไม่ต่ำกว่า 119.50 ขึ้น 130 – 132
SCC ไม่ต่ำกว่า 316 ขึ้น 320 - 321
-----------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย
คาดตลาดกำลังจะไหลลงจริงจังมากขึ้น ดังนั้นเน้นขายแล้วรอรับต่ำดีกว่า!
แนวโน้ม: หลังจากช่วงท้ายของสัปดาห์ที่แล้ว SET ยังพยายามที่จะแกว่งบวกขึ้นต่อเนื่อง แต่ก็มีกรอบการขึ้นที่ค่อนข้างจำกัด ขณะที่นักลงทุนต่างประเทศก็เริ่มกลับมามียอดขายสุทธิอีกครั้งในตลาดหุ้นเกือบทั้งภูมิภาค จากความวิตกต่อภาวะเงินเฟ้อที่ยังได้รับแรงกดดันจากราคาน้ำมันที่ยังพุ่งสูงขึ้นอีก หลังลิเบียไม่ได้ตอบรับต่อแผนสันติภาพ และทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ FSS คาดว่าหลังการแกว่งตัวขึ้น-ลงของ SET ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา น่าจะทำให้ตั้งแต่สัปดาห์นี้ไปจะเริ่มมีแรงขายที่หนาตามากขึ้น และมีสิทธิที่จะกดดันให้ดัชนีเริ่มเปลี่ยนไปเป็นแกว่งตัวลงแทนแล้ว ซึ่งเป้าหมายการปรับตัวลง เรายังมองว่ามีโอกาสที่จะลงไปทดสอบแรงซื้อจากจุดต่ำเดิมของรอบที่บริเวณ 940-937 จุดหรือใกล้เคียงได้

กลยุทธ์: ดังนั้นควรเน้นหาจังหวะขายก่อน โดยเฉพาะกลุ่มแบงก์ที่ขยับขึ้นมารับข่าวการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุม กนง. วันพุธนี้ไปแล้ว จากนั้นถือเงินสดไว้เพื่อรอจังหวะกลับเข้ารับใหม่อีกครั้งเมื่อดัชนีไหลลงไปต่ำกว่า 950 จุดประเด็นสำคัญวันนี้

• (-) เม็ดเงินยังไม่ไหลเข้าเอเชียอย่างจริงจัง รายงานเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่ดูดีขึ้นอย่างต่อเนื่องทำให้เม็ดเงินยังคงไหลเข้าสหรัฐฯ มากกว่าจะกลับเข้าเอเชียตัวเลขตลาดแรงงานของสหรัฐฯ ทำให้ตลาดคลายความวิตกโดยการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือน ก.พ. เพิ่มขึ้น 192,000 ตำแหน่ง เพิ่มเร็วที่สุดในรอบเกือบ 1 ปี ดีกว่าการจ้างงานในเดือน ม.ค. ที่มีการปรับปรุงตัวเลขเพิ่มขึ้นเป็น 63,000 ตำแหน่ง ใกล้เคียงที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาด 1.8 – 2.0 แสนตำแหน่ง ส่วนอัตราว่างงานเดือน ก.พ. ลดลงมาอยู่ที่ 8.9% ต่ำสุดในรอบเกือบ 2 ปี นอกจากนี้ คำสั่งซื้อของโรงงาน (Factory orders) เพิ่มขึ้นถึง 3.1% ในเดือน ม.ค. เป็นอัตราการเพิ่มมากที่สุดนับตั้งแต่เดือน ก.ย. 2006 และดีกว่าตลาดที่คาดไว้ +2%

• (-) ระวังกลุ่มแบงก์ถูกขายทำกำไรระยะสั้น สัปดาห์ที่ผ่านมากลุ่มแบงก์ปรับตัวขึ้นอย่างโดดเด่น +4.2% W-W ขณะที่ SET ปรับขึ้นเพียง 1.0% W-Wและโดดเด่นกว่ากลุ่มพลังงานที่กลับลดลง 1.5% W-W กลุ่มแบงก์ปรับขึ้นจากคาดการณ์ว่า กนง. จะขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ในวันพุธนี้ ระยะสั้นจึงระวังกลุ่มแบงก์จะถูกขายทำกำไรระยะสั้น (Sell on fact) โดยเฉพาะแบงก์ที่ปรับขึ้นมาแรงซึ่งส่วนใหญ่เป็นแบงก์ใหญ่ BBL, KBANK, SCB

• (+) TUF จากการประชุมนักวิเคราะห์ศุกร์ที่ผ่านมา เรามีมุมมองเป็นบวกต่อการฟื้นตัวของกำไรมากขึ้น เพราะบริษัทปรับนโยบายปรับการขายล่วงหน้าให้สั้นลง และใช้นโยบาย Cost Plus ปรับราคาขายเพิ่มขึ้น เพื่อรักษาอัตรากำไรให้กลับมาอยู่ในระดับปกติ โดยคาดกำไรจะฟื้นตัวตั้งแต่ 1Q11 เป็นต้นไป และอาจเห็นแนวโน้มกำไรปีนี้สูงสุดใน 3Q11 เราคาดว่ากำไรในปีนี้จะโตสูงถึง 41% แม้ราคาหุ้นจะขึ้นมาแล้ว 12% ในช่วง 3 วันที่ผ่านมา แต่ยังมี PE ต่ำเพียง 10 เท่า ต่ำกว่า PE เฉลี่ยของธุรกิจทูน่าทั่วโลกซึ่งเทรดกันที่ 15 – 18 เท่า เราจึงยังคงแนะนำซื้อ โดยมี
ราคาเป้าหมาย 60 บาท
• XD วันนี้ XD CPL 1.75, CSC 1.20, EASON 0.15, IFS 0.085, IT 0.16, JAS0.02, JTS 0.08, MTI 4, PL 0.40, RS 0.15, THANI 0.03, TTA 0.26• XD พรุ่งนี้ (8 มี.ค.) BROCK 0.01, CTARAF 0.4502, GOLDPF 0.4366,JMART 0.18, KGI 0.33, KKC 0.20, MSC 0.20, NKI 3.50, PAP 0.18, PRIN0.12 (10:1), TK 0.52, TKT 0.12, TLUXE 0.23, TNITY 0.22, UV 0.05

• Fund Flow วันศุกร์ เม็ดเงินขายหนักในตลาดหุ้นอินโดนีเซีย แต่ขายเบาบางลงในตลาดหุ้นไทย โดยสลับเข้าซื้อตลาดหุ้นเกาหลีและไต้หวัน สรุปรายสัปดาห์เม็ดเงินต่างชาติยังขายตลาดหุ้นอินโดนีเซียต่อเนื่องจากสัปดาห์ก่อนหน้า ขายทำกำไรในตลาดหุ้นไทย และเข้าซื้อตลาดหุ้นเกาหลีและไต้หวัน โดยโฟกัสตลาดยังอยู่ที่ปัญหาการเมืองในตะวันออกกลางที่ยังไม่จบ

ข่าวภายในประเทศ
คลังเปิดประมูล TMB สินเชื่อไตรมาส 1 ปรี๊ด เม่าหลงกลข่าว ‘ดีบีเอส’ ขายหุ้นทิ้ง กระทรวงการคลังเบื่อรอไอเอ็นจีกรุ๊ป เตรียมเปิดประมูลขายหุ้นแบงก์ทหารไทย 26% ก่อนเลือกตั้ง ขณะที่ไอเอ็นจีพบปลัดคลังยังไม่มีอะไรชัดเจน ระบุมีการกำหนดราคาขั้นต่ำ 3 บาทกว่า หรือประมาณ 3 เท่าของบุ๊ค เผยสินเชื่อรายใหญ่ไตรมาสแรกโต 10% ขณะที่เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา มือดีแอบปล่อยข่าวดีบีเอสขายหุ้น TMB ทิ้งที่ราคา 2.10 บาท ส่งผลแมงเม่าปล่อยหมูเพียบ (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 7-03-2011)

บจ.กำไรท่วม 6.1 แสนล. ‘ปตท.’ ติดอันดับสูงสุด ตลท.เผยบริษัทจดทะเบียน (บจ.)สร้างสถิติกำไรสูงสุดนับตั้งแต่จัดตั้งตลาดหุ้น ทำกำไรงวดปี2553 สูง 6.14 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 32.42% ยอดขายรวม 7.33 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.87% โดยมี PTT, PTTEP, SCC, BANPU และ BBL เป็นบจ.ที่มีกำไรสุทธิสูงสุด 5 อันดับแรก (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 7-03-2011)

จับตา GSTEEL คึกเกิน 1 บ. กำไรปรับหนี้ 1.8 พันล้าน จับตาหุ้น GSTEEL หลังพ้น SP ราคาวิ่งกระจาย วงในเชื่องานนี้วิ่งแรงเกิน 1 บาท หลังได้“อาเซลอร์ มิตตัล”มาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ส่งผลให้มีฐานะการเงินแข็งแกร่ง แถมข่าวดี Q4/53 กำไรปรับโครงสร้างหนี้ 1,800 ล้านบาท บล.บัวหลวง เชื่อหลังเพิ่มทุนเกิดไดลูทชั่นประมาณ 0.75 บาท (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 7-03-2011)

TMI ปีนี้รายได้โตกว่า 20% จัดทัพตะลุย 2 ตลาดตปท. TMI มองไตรมาส 1/54 ทิศทางดี เชื่อผลประกอบการครึ่งปีแรกดีกว่าช่วงเดียวกันปีก่อน“ธีระชัย” มั่นใจรายได้ปีนี้โตไม่ต่ำกว่า 20% หลังได้ใช้สิทธิ์ในส่วนของสินค้าที่ได้รับการส่งเสริมจากสำนักงานส่งเสริมการลงทุนปีแรกและการขยายตลาดอย่างต่อเนื่องทั้งในประเทศและต่างประเทศ คาดปีนี้ได้เพิ่ม 1-2 ประเทศ (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 7-03-2011)

AGE ใจถึงพึ่งได้ปันผลทั้งเงิน - หุ้นรับปีนี้โตกระโดด “พนม” มั่นใจนักลงทุนสนใจหุ้น AGE ต่อเนื่อง ล่าสุดจ่ายปันผลเป็นหุ้นปันผลและเงินสดหุ้นละ 0.1389 บาท ขณะที่ผลประกอบการปีนี้โตก้าวกระโดด เผยเตรียมทุ่มเงิน 300-400 ล้านบาท สร้างคลังสินค้าและท่าเทียบเรือแห่งใหม่ที่อยุธยารองรับสต๊อกถ่านหินได้ 3 แสนตัน (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 7-03-2011)
-----------------------------------------------------------------------------
EFinance Thai : BANPU โชติช่วงชัชวาล
BANPU มั่นใจ ยอดขายถ่านหินปีนี้เพิ่มขึ้น 40% จากปีก่อน เตรียมทุ่ม 140 ล้านเหรียญลงทุนปีนี้ คาด Q1/54 รายได้เพิ่มแตะ 2.2 หมื่นลบ. เล็งออกหุ้นกู้ 1.5 หมื่นลบ. ขาย นลท.ทั่วไป-สถาบัน พร้อมลุยเดินหน้าซื้อเหมืองถ่านหินในอินโดนีเซีย โบรกฯ แนะซื้อ คาดรายได้ปี 54 โต 50.2% จากปีก่อน ให้ราคาเหมาะสม 830 บาท เคจีไอ ชี้ ราคาหุ้น BANPU ยังถูกกว่า เมื่อเทียบกับบริษัทอื่นในภูมิภาค
ธุรกิจถ่านหินได้อานิสงส์จากราคาน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้น หลังลิเบียยังอยู่ในความไม่สงบ อย่างไรก็ตาม ปัจจัยดังกล่าวจะทำให้ธรุกิจถ่านหินได้อานิสงส์เพียงในระยะสั้นเท่านั้น ดังนั้น BANPU หนึ่งในผู้ดำเนินธุรกิจถ่านหินจะเดินหน้าอย่างไรต่อไป

* BANPU คาดยอดขายถ่านหินปีนี้ เพิ่มขึ้น 40% จากปีก่อนหรือแตะ 9 หมื่นลบ.
นายชนินท์ ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) หรือ BANPU กล่าวว่า คาดว่ารายได้จากการขายรวมในปี 2554 จะเพิ่มขึ้นประมาณ 40% หรือมีรายได้รวม เป็นประมาณ 90,000 ล้านบาท จากปี 2553 ที่มีรายได้รวม 6.52 หมื่นล้านบาท เนื่องจากปริมาณการผลิตและขายถ่านหินที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นที่ประมาณ 44-45 ล้านตันจาก 25.9 ล้านตันในปี 2553 หลังการเข้าซื้อกิจการบริษัท Centennial Coal ในออสเตรเลีย ซึ่งจะถูกบันทึกมาเป็นรายได้ของ BANPU เต็มจำนวนในปีนี้
ขณะเดียวกัน คาดว่าราคาขายถ่านหินเฉลี่ยในปีนี้จะสูงกว่า 80 เหรียญสหรัฐต่อตัน เทียบกับปี 2553 ซึ่งอยู่ที่ 74.65 เหรียญสหรัฐต่อตัน เนื่องจากราคาถ่านหินในตลาดภูมิภาคยังอยู่ในสภาวะที่ดีต่อเนื่อง ขณะที่ความต้องการใช้ถ่านหินยังอยู่ในระดับสูงเช่นกัน
'ปริมาณถ่านหินประมาณ 44-45 ล้านตัน ที่คาดว่าจะผลิตและจำหน่ายในปี 54 จะมาแหล่งเหมืองในอินโดนีเซีย ประมาณ 26 ล้านตัน และจากเหมืองในออสเตรเลียประมาณ 18-19 ล้านตัน ขณะที่ราคาขายถ่านหินก็คาดว่าจะปรับตัวสูงขึ้นเช่นกัน จึงน่าจะส่งผลให้รายได้ของบริษัทฯ ปีนี้โตประมาณ 40%'นายชนินท์ กล่าว
ทั้งนี้แม้ว่าปริมาณและราคาขายถ่านหินจะปรับตัวสูงขึ้น แต่ต้นทุนถ่านหินได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นเช่นกัน ตามราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และจากการทำเหมืองในระดับที่ลึกขึ้น รวมไปถึงการปรับเพิ่มขึ้นของต้นทุนการผลิตในส่วนของผู้รับเหมาและเครื่องจักร นอกจากนี้คาดว่าการรับรู้กำไรจากธุรกิจถ่านหินจากออสเตรเลียยังไม่มาก เนื่องจากยังมีต้นทุนทางการเงินและค่าเสื่อม ค่าจัดจำหน่าย เป็นต้น ดังนั้นจึงคาดว่ากำไรจากการดำเนินงานในปีนี้จะเติบโตในระดับที่ไม่สูงมากนักเมื่อเทียบกับยอดขาย แต่จะอยู่ในระดับที่ดีกว่าในปี 2553

* เตรียมทุ่ม 140 ล้านเหรียญ ลงทุนปีนี้ ตั้งเป้าอัตราการเติบโตในช่วง 5 ปี ข้างหน้า (54-58 ) โตเฉลี่ยปีละ 12-13%
นายชนินท์ เปิดเผยด้วยว่า บริษัทฯ ตั้งเป้าอัตราการเติบโตช่วง 5 ปี ข้างหน้า (2554-2558) ว่าจะมีอัตราเฉลี่ยประมาณ 12-13% ต่อปี โดยตามแผนกลยุทธ์ระยะยาวที่จะเน้นธุรกิจถ่านหินมากขึ้นนั้น คาดว่าในปี 2558 สัดส่วนธุรกิจถ่านหินจะอยู่ที่ประมาณ 85-90% ส่วนธุรกิจไฟฟ้ารวมทั้งพลังงานใหม่ จะอยู่ที่ 10-15% ของมูลค่าธุรกิจ
'หากแยกตามแผนธุรกิจ คาดว่าในปี 58 มูลค่าธุรกิจของบริษัทฯ ในออสเตรเลียจะอยู่ที่ 35-36% อินโดนีเซียประมาณ 33-34% ประเทศจีนประมาณ 20% และในประเทศไทย 10-15%'นายชนินท์ กล่าว
ทั้งนี้ในปี 2554 บริษัทฯ ได้เตรียมงบลงทุนประมาณ 140 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งมาจากงบลงทุนในแผนระยะยาวจำนวน 466 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยจะใช้ในการพัฒนาและธุรกิจถ่านหินที่มีอยู่ในปัจจุบัน แบ่งเป็นการลงทุนในอินโดนีเซีย 120 ล้านเหรียซสหรัฐ ซึ่งส่วนใหญ่ใช้ในการพัฒนาหมืองบารินโต และเหมืองทรูบา อินโด และที่เหลืออีก 20 ล้านเหรียญสหรัฐ จะใช้สำหรับลงทุนงวดสุดท้ายของการพัฒนาเหมือง เกาเหอ ในประเทศจีน โดยจะมีกำหนดเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ในช่วงครึ่งหลังปีนี้

* คาด Q1/54 มีรายได้ 2.2 หมื่นลบ. เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้ 1.3 หมื่นลบ.
นอกจากนี้ คาดว่ารายได้ไตรมาส 1/2554 จะอยู่ที่ประมาณ 2.2 หมื่นล้านบาทเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1/2553 ที่อยู่ที่ประมาณ 1.3 หมื่นล้านบาท โดยรายได้ที่เพิ่มขึ้นมาจากการรับรู้รายได้จาก Centennial Coal ในออสเตรเลีย และราคาขายถ่านหินที่เพิ่มขึ้นโดยคาดว่าปริมาณขายถ่านหินไตรมาส 1/2554 จะอยู่ที่ประมาณ 9.5 ล้านตัน แบ่งเป็นปริมาณถ่านหินจากออสเตรเลีย 4 ล้านตัน และปริมาณถ่านหินจากอินโดนีเซีย 5.5 ล้านตัน

*เล็ง ออกหุ้นกู้ มูลค่ารวม 1.5 หมื่นลบ. อายุ 7 -12 ปี เสนอขาย นลท.ทั่วไป-สถาบัน คาดเปิดจองปลายเดือนมี.ค. นี้

นายชนินท์ กล่าวต่อว่า บริษัทฯ ได้ยื่นขออนุญาตต่อ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อขอออกและเสนอขายหุ้นกู้ชุดใหม่ อายุ 7 ปี 10 ปี และ 12 ปี ซึ่งมีมูลค่าการเสนอขายทุกชุดไม่เกิน 15,000 ล้านบาท โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อชำระคืนเงินกู้สถาบันการเงิน และใช้ในการลงทุน รวมทั้งใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ โดยหุ้นกู้ชุดนี้จะเสนอขายให้กับนักลงทุนทั่วไป นักลงทุนสหกรณ์ และสถาบัน
'การออกหุ้นกู้ครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่ 2 ที่บริษัทฯ เสนอให้ขายให้กับนักลงทุนทั่วไป โดยจะนำเงินทุนที่ได้รับไปใช้สำหรับจ่ายชำระคืนเงินกู้ที่มีในปัจจุบัน ซึ่งการชำระคืนเงินกู้ธนาคารโดยการออกหุ้นกู้ จะทำให้เราสามารถลดภาระการชำระคืนเงินต้น ในอีก 5 ปีข้างหน้าและมีหนี้ที่มีต้นทุนคงที่ ในสัดส่วนที่มากขึ้น' นายชนินท์ กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทฯ จะเปิดจองหุ้นกู้มูลค่า 15,000 ล้านบาท ในช่วงปลายเดือนมี.ค. นี้ และกำหนดจ่ายเงินในช่วงเดือนเม.ย. นี้ โดยหุ้นกู้อายุ 7 ปี จะมีวงเงินจำนวน 7,000 ล้านบาท
หุ้นกู้ 10 ปี มีวงเงิน 5,000 ล้านบาท และหุ้นกู้ 12 ปี มีวงเงิน 3,000 ล้านบาท ส่วนอัตราดอกเบี้ยยังไม่สามารถกำหนดได้ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการทำ Book Building ของนักลงทุน
สถาบัน ซึ่งจะชัดเจนช่วงเดือนมี.ค. นี้
ส่วนหนี้สินต่อทุน (B/E) ของบริษัทฯ ภายหลังออกหุ้นกู้จะอยู่ที่ระดับ 1.06 เท่า ซึ่งบริษัทฯ มองว่าเป็นระดับที่สามารถบริหารจัดการได้

* คาดราคาขายถ่านหินปีนี้ เฉลี่ยอยู่ที่ ประมาณ 90 เหรียญต่อตัน พร้อมเดินหน้าซื้อเหมืองถ่านหินในอินโดนีเซีย
นายชนินท์ ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) หรือ BANPU กล่าวว่า คาดราคาขายถ่านหินในส่วนที่ยังไม่ได้กำหนดราคาโดยเฉลี่ยที่ประมาณ 90 เหรียญต่อตัน โดยบริษัทฯ ได้แบ่งราคาขายถ่านหินออกเป็น 3 ส่วน คือส่วนแรกคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 40% จำหน่ายไปแล้วที่ราคา 82 เหรียญต่อตัน ส่วนที่สอง มีสัดส่วนประมาณ 37% จำหน่ายตามราคาตลาด และส่วนที่สาม ประมาณ 23% ยังไม่ได้กำหนดราคาขาย แต่คาดว่าส่วนที่สอง กับส่วนที่สามน่าจะสามารถจำหน่ายได้ราคาประมาณ 90 เหรียญต่อตัน
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาราคาถ่านหินในช่วง 2 เดือนแรก อยู่ที่ประมาณ 120 เหรียญต่อตันและเคยไปแตะสูงสุดที่ 130 เหรียญต่อตันโดยมองว่าแนวโน้มราคาถ่านหินในช่วงครึ่งปีหลังจะลดลงต่ำกว่าระดับ 130 เหรียญต่อตัน เนื่องจากปริมาณการผลิตถ่านหินจะมีออกมามากขึ้น แต่เมื่อเฉลี่ยทั้งปีแล้วยังคงทรงตัวในระดับสูง
'ราคาถ่านหินที่สูงขึ้นเป็นผลมาจากราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่จีน อินเดีย มีความต้องการใช้มากขึ้น'นายชนินท์ กล่าว
สำหรับ นโยบายการเข้าซื้อกิจการเหมืองถ่านหิน บริษัทฯให้ความสำคัญกับประเทศอินโดนีเซีย โดยพิจารณาตามจังหวะและโอกาส ซึ่งยังบอกไม่ได้ว่าธุรกิจถ่านหินที่จะเข้าไปซื้อมีปริมาณสำรองถ่านหินมากน้อยเพียงใด และตอบไม่ได้ว่ามีข้อสรุปในปีนี้กี่แห่ง แต่บริษัทฯ จะพยายามให้มากที่สุด

* BANPU เผยอยู่ระหว่างรอการพิจารณา ต่ออายุใบอนุญาตธุรกิจเหมืองต้าหนิง ในจีน ระบุ หากล่าช้าจะกระทบกำไรไตรมาสละ 600 ลบ.
นายชนินท์ เปิดเผยด้วยว่า ขณะนี้บริษัทฯ อยู่ระหว่างรอการพิจารณาต่อใบอนุญาตประกอบธุรกิจเหมืองต้าหนิง ประเทศจีน ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลจะใช้เวลาพิจารณาประมาณ 3 เดือน อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ได้หยุดผลิตถ่านหินในเหมืองดังกล่าวมาตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2554 หรือหยุดมาแล้วประมาณ 2 เดือนเศษ แต่ก็ยังไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าจะได้รับการต่อใบอนุญาตเมื่อใด
ทั้งนี้ บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายผลิตถ่านหินในเหมืองต้าหนิง ทั้งปีที่ 3.5 ล้านตัน และคาดว่าจะสร้างกำไรให้บริษัทฯ ประมาณ 2.5 พันล้านบาทต่อปี ซึ่งการพิจารณาต่อใบอนุญาตล่าช้า ก็อาจทำให้บริษัทฯ ได้รับผลกระทบคิดเป็นกำไรไตรมาสละประมาณ 600 ล้านบาท

*ซิกโก้ แนะซื้อ BANPU คาดรายได้ปี 54 โต 50.2% จากปีก่อน ให้ราคาเหมาะสม 830 บาท
บทวิเคราะห์ บล.ซิกโก้ คาดการณ์รายได้ BANPU ใน FY11E อยู่ที่ 98,090 ลบ. เพิ่มขึ้น 50.2% YoY บนสมมติฐานยอดขายถ่านหินในเหมืองอินโดนีเซียที่ 25 ล้านตัน และราคาขายเฉลี่ยที่ 85 เหรียญต่อตัน ขณะที่ยอดขายของ Centennial อยู่ที่ 15.7 ล้านตัน ราคาขายเฉลี่ยที่ 58 เหรียญต่อตัน โดยเหมือง Centennial จะยังไม่มีกำไรจนกว่าจะถึงปี 2013 เนื่องจากสัญญาซื้อขายถ่านหิน ระยะยาวจะทยอยหมดอายุลง ขณะที่ BANPU มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจาก Mining Property ประมาณ 1.5 พันลบ.ต่อปี และ ดอกเบี้ยจ่ายที่เพิ่มขึ้นประมาณ 1.6 พันลบต่อปี
ประเมินราคาเหมาะสมของ BANPU อยู่ที่ 830 บาท ด้วยวิธี Sum of the Parts ที่ราคาปัจจุบันเรายังคงคำแนะนำ “ซื้อ” โดยแนวโน้มระยะสั้นราคาหุ้นจะยังได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันดีเซลที่ยังปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องใน 1H11E และผลประกอบการจะยังออกมาไม่ดีนัก แต่เราคาดว่าใน 2H11E กำลังการผลิตจากเหมืองใหม่ และราคาถ่านหินที่ปรับ
ตัวสูงขึ้นจะเข้ามาชดเชยกับต้นทุนได้ ส่วนเหมือง Daning ในประเทศจีน น่าจะมีความคืบหน้าในเรื่องใบอนุญาตใหม่ในช่วงนั้นเช่นกัน
ส่วน ผลประกอบการใน 4Q10A ออกมาอยู่ที่ 4,923 ลบ. (Figure 1) เพิ่มขึ้น 199.8%YoY แต่ลดลง 63% QoQ โดยเป็นกำไรจากการขาย RATCH ออกไปทั้งหมด 15% คิดเป็นกำไรก่อนภาษีที่ 4,085 ลบ. ส่วนผลการดำเนินงานจริง ๆ ออกมาไม่ดีนักแม้ว่าจะรับรู้รายได้เพิ่มขึ้นจากเหมือง Centennial แล้วก็ตาม เนื่องจากต้นทุนราคาน้ำมันดีเซลที่ปรับตัวสูงขึ้น
ขณะที่การปรับราคาขึ้นนั้นทำได้ไม่เต็มที่แม้ว่า BJI จะปรับตัวขึ้นจากสถานการณ์น้ำท่วมในออสเตรเลียก็ตามส่วนเหมือง Centennial จะยังไม่มีกำไรในช่วง 2 ปีแรก
ใน FY11E BANPU ตั้งเป้ายอดขายถ่านหินในอินโดนีเซียอยู่ที่ 25.7 ล้านตัน (ปี2010 อยู่ที่ 22 ล้านตัน) โดยมีการทำสัญญาซื้อขายแล้ว 89% และกำหนดราคาซื้อขายแล้วที่
83 เหรียญต่อตันจำนวน 40%, กำหนดตามราคาตลาดอีก 37% ส่วนที่เหลืออีก 23% ยังไม่ได้กำหนดราคาซื้อขาย ด้านเหมือง Daning ที่หยุดการผลิตไปหลังจากไม่ได้รับการต่อสัญญา เนื่องจากถือหุ้นเกิน 50% ล่าสุดยังคงไม่มีความคืบหน้าว่าจะได้ต่อสัญญาเมื่อใด ขณะที่เหมือง Gaohe กำลังการผลิต 6 ล้านตัน คาดว่าจะเริ่มผลิตได้ในปี 2012 ประมาณ 1 ล้านตัน SSEC
คาดผลประกอบการใน 1Q11E จะยังออกมาไม่ดีนัก เนื่องจากราคาน้ำมันดีเซลที่ยังคงปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่กำลังการผลิตของเหมืองใหม่อย่าง Tandung-Mayang และ Bharinto รวมกัน 1 ล้านตัน จะเข้ามาใน 2H11E

*เคจีไอ ชี้ ราคาหุ้น BANPU ยังถูกกว่า เมื่อเทียบกับบริษัทอื่นในภูมิภาค แนะนำ ‘ซื้อ’
บทวิเคราะห์ บล.เคจีไอ ระบุว่า ตลาดถ่านหินยังมีแนวโน้มเป็นบวกและราคาขายเฉลี่ยของ BANPU ในปี 2554 ควรจะยังอยู่ที่ US$90 ต่อตัน (+20.5%) เป็นอย่างน้อย และน่ามากพอที่จะชดเชยกับต้นทุนน้ำมันดีเซลที่สูงขึ้น อย่างไรก็ดี ปัญหาหยุดงานที่เหมือง Daning และคดีฟ้องร้องในโครงการหงสาจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ฉุดรั้งราคาหุ้นในระยะสั้น จากสมมติฐานว่าเหมือง Daning ต้องหยุดการผลิตเป็นระยะเวลา 6 เดือน เราทำการปรับลดประมาณการกำไรของเรา 7.4% เหลือ 17.3 พันล้านบาทและลดราคาเป้าหมายลงเหลือ 920 บาท อย่างไรก็ดี จากมุมมองเชิงบวกต่อตลาดถ่านหิน เราคาดว่ากำไรของเรามีโอกาสจะสูงกว่าคาดจากราคาขายเฉลี่ยที่สูงเกินคาดและคงแนะนำ ‘ซื้อ’
ผู้บริหารของ BANPU ตอกย้ำมุมมองเชิงบวกต่อตลาดถ่านหินในปี 2554 ของเรา ในด้านอุปสงค์ บริษัทฯ คาดว่าประเทศในเอเชียจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้อุปสงค์เพิ่มในปีนี้ จากคาดการณ์เกี่ยวกับอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ 5.1% เทียบกับ 3.1% ของตัวเลข GDP โลก แม้จะมีการคาดการณ์ว่าตัวเลข GDP ของประเทศจีนจะโตในอัตรา 8.5% ตัวเลขการเติบโตในเขตชายฝั่งจะโตถึง 10% YoY ซึ่งจะทำให้ความต้องการถ่านหินเพิ่ม 12-14% ในพื้นที่ดังกล่าว ความไม่สมดุลของอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นในในแถบตะวันออกและอุปทานในตะวันตกจะทำให้ประเทศจีนต้องนำเข้าถ่านหินอย่างต่อเนื่อง จากข้อมูลถ่านหินของจีนในเดือน ก.พ. คาดการณ์ว่าประเทศจีนจะนำเข้าถ่านหินเพื่อให้ความร้อนเพิ่มเป็น 85-120 ตันในปี 2554 จาก 93 ล้านตันในปี 2553 ทำให้ตัวเลขการนำเข้าสุทธิเพิ่มขึ้น 16.5% YoY นอกจากนี้ความกังวลเกี่ยวกับปัญหาการว่างงาน อาจทำให้แนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยชะลอตัวลงและอาจผลให้ที่ความต้องการถ่านหินจะเพิ่มขึ้นในครึ่งหลังปี 54 ซึ่งจะทำให้ราคาถ่านหินปรับขึ้นอีก
บริษัทฯ เปิดเผยว่าปัจจุบันบริษัทฯ สามารถทำสัญญาขายถ่านหินได้ 89% ของเป้าตัวเลขยอดขายถ่านหินที่ 25 ล้านตัน ซึ่งเป็นตัวเลขสูงเป็นประวัติการณ์ในเดือน ก.พ. ซึ่งหมายถึงความต้องการถ่านในระดับสูงในปีนี้ โดย 40% ของกำลังการผลิตรวมทำสัญญาที่ US$83 ต่อตัน ซึ่งเป็นปริมาณการทำสัญญาล่วงหน้าโดยกำหนดราคา ในสัดส่วนที่ต่ำเป็นประวัติการณ์ในเดือน ก.พ. โดยอีก 37% ทำสัญญาโดยอ้างอิงราคาตลาดและที่เหลืออีก 23% ยังไม่ได้กำหนดราคา การกำหนดราคาในสัดส่วนที่ต่ำมาก แสดงให้เห็นถึงมุมมองเชิงบวกต่อตลาดถ่านหินของบริษัท ที่ระดับราคาถ่านหิน US$120 ต่อตัน BANPU คาดว่าราคาขายเฉลี่ยในปี 2554 จะสูงถึง US$90 ต่อตัน เพิ่มขึ้น 20.5% YoY ซึ่งสอดคล้องกับสมมติฐานของเราที่ US$91.0 ต่อตัน อย่างไรก็ดี จากแนวโน้มตลาดถ่านหินที่ดี เป็นไปได้ว่าราคาขายเฉลี่ยจะสูงกว่าที่คาด
สมมติให้ราคาถ่านหินคงที่ ราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นจะทำให้เหมืองของ BANPU ในอินโดนีเซียมีอัตรากำไรลดลง เนื่องจากต้นทุนน้ำมันดีเซลคิดเป็น 25.0%ของต้นทุนการผลิต
สมมติให้การบริโภคดีเซลในปี 2554 เท่ากับ 2.8 ล้านบาร์เรล ราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นทุก ๆ US$5 ต่อบาร์เรล จะทำให้กำไรสุทธิลดลง 420 ล้านบาทหรือ 2.3% ของประมาณการในปัจจุบัน
ของเรา
สำหรับการหยุดดำเนินงานชั่วคราวที่เหมือง Daning เราตั้งสมมติฐานอย่างระมัดระวังให้เหมืองเริ่มดำเนินงานอีกครั้งในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งทำให้กำไรลดลง 7.4% เหลือ 17.3 พันล้านบาทและราคาเป้าหมายลดลงเหลือ 920.00 (จาก 930.00) บาท ปัจจุบัน BANPU อยู่ระหว่างดำเนินการต่ออายุใบอนุญาตที่เหมือง Daning ซึ่งต้องหยุด เนื่องจากใบอนุญาตหมดอายุตั้งแต่วันที่ 31 ธ.ค.2553 บริษัทฯ เชื่อว่าจะสามารถรักษาเป้าการผลิตที่เหมือง Daning ไว้ได้ที่ 4 ล้านตัน หากบริษัทฯ สามารถต่อใบอนุญาตได้ก่อนสิ้นไตรมาส 1/54 โดยบริษัทฯ อาจพิจารณาขายส่วนการลงทุนบางส่วนในเหมือง ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 56% เนื่องจากรัฐบาลจีนไม่สนับสนุนให้บริษัทต่างชาติถือสินทรัพย์มากกว่า 50% นอกจากนี้ BANPU ยังมีทางเลือกในการขายหุ้นทั้งหมดในเหมือง Daning หากบริษัทฯ เห็นว่าได้ผลตอบแทนที่ดีจากการขายการลงทุน
BANPU ยังมั่นใจเกี่ยวกับคดีฟ้องร้องในโครงการหงสา ซึ่ง Thai Laos Lignite(TLL) ยื่นฟ้อง บริษัทฯ เชื่อว่าโครงการดังกล่าวจะเริ่มได้ตามกำหนดในปี 2558 เนื่องจาก Hongsa Power Co (HPC) เป็นผู้พัฒนาโครงการดังกล่าวไม่ใช่ BANPU ดังนั้นคดีฟ้องร้องของ TLL จะไม่กระทบต่อโครงการดังกล่าวในปี 2550 TLL ยื่นฟ้อง โดยระบุว่า BANPU หลอกลวง TLL ให้เซ็นสัญญาเพื่อได้มาซึ่งข้อมูลเกี่ยวกับสัมปทานถ่านหินและรายงานการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการดังกล่าว และเรียกร้องค่าเสียหายเป็นเงิน 63.5 พันล้านบาท (ไม่รวมดอกเบี้ยอีก 7.5% ต่อปี) อย่างไรก็ดี บริษัทฯ เปิดเผยว่า TLL เชิญให้ BANPU ลงทุนในโครงการไฟฟ้าหงสาในปลายปี 2547 บริษัทฯ ทั้งสองมีข้อขัดแย้งบางประการในระหว่างการพัฒนาโครงการและ TLL ยกเลิกสัญญาในเดือน ก.ค. 2549 อย่างไรก็ดีเราเห็นว่าเรื่องดังกล่าวยังคงจะยืดเยื้อต่อไปและจนกว่าข้อมูลมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น
หุ้นยังคงมีราคาซื้อขายถูกกว่าโดยเปรียบเทียบกับบริษัทอื่นในภูมิภาค (PER ที่ 11.2x กำไรจากการดำเนินงานโต 77.9%, PBV ที่ 2.8x และ ROE ที่ 26.6%) แม้ว่าจะมีปัจจัยลบในระยะสั้น แต่คาดว่าจะสามารถคลี่คลายไปได้ในที่สุด ขณะที่แนวโน้มตลาดถ่านหินที่ดีจะเป็นปัจจัยบวกต่อหุ้นเหมืองถ่านหินในระยะกลาง คงแนะนำ ‘ซื้อ’ โดยปรับราคาเป้าหมายเป็น 920.00 บาท

*บัวหลวง ระบุ BANPU แนวโน้มอัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวขึ้น—ราคาขายเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้นจะชดเชยค่าใช้จ่ายที่เพิ่ม
บทวิเคราะห์ บล.บัวหลวง ระบุว่า เราได้เพิ่มปรับเพิ่มคาดการณ์ต้นทุนเงินสดของ BANPU เนื่องจากราคาน้ำมันดีเซลที่เพิ่มขึ้น โดยปรับขึ้น 2 เหรียญต่อตันเป็น 48 เหรียญต่อตันในปี 2554 และ 55 เหรียญในปี 2555 และ 2556 (จาก 42 เหรียญต่อตันในปี 2553) ดังนั้นเราได้ปรับลดประมาณการกำไรสุทธิต่อหุ้นลง 10% ในปี 2554 และ 5% ในปี 2555 และ 2556 ทำให้เราปรับลดราคาเป้าหมายปี 2554 ซึ่งคำนวณจากวิธี DCF เป็น 954 บาทจาก 1,000 บาท แม้ว่าเราจะปรับลดประมาณการกำไรสุทธิ และความเสี่ยงของแนวโน้มกำไรระยะสั้นจากการเพิ่มขึ้นของต้นทุนค่าน้ำมันดีเซลและการเลื่อนการดำเนินงานในเหมือง Danning แล้วก็ตาม เรายังเชื่อว่าราคาหุ้น BANPU น่าจะสะท้อนการคาดการณ์ดังกล่าวแล้ว และราคาหุ้นในขณะนี้ก็นับว่าถูกที่สุดเมื่อเทียบกับภูมิภาค โดยค่า PER คาดการณ์ 1 ปีอยู่ที่ 10.9 เท่าและ PBV ที่ 2.8 เท่า ซึ่งต่ำว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาคที่ 9% และ 20%.
เนื่องจากราคาน้ำมันปรับตัวขึ้น BANPU มีค่าใช้จ่ายดีเซลเพิ่มขึ้นเป็น 0.92 เหรียญต่อลิตร จาก 0.70 เหรียญต่อลิตรในปี 2553 ซึ่งคิดเป็นต้นทุนเงินสดที่เพิ่มขึ้น 5 เหรียญต่อตัน YoY แต่อย่างไรก็ตาม เรามีมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มอัตรากำไรขั้นต้นในปีนี้ เนื่องจากราคาดีเซลที่เพิ่มขึ้นจะชดเชยด้วยราคาขายเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้น จากประมาณการราคาขายเฉลี่ยของเราที่ 93 เหรียญต่อตันในปี 2554 เราคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นจะดีดขึ้นเป็น 48% จาก 44% ในปี 2553
เปลี่ยนนโยบายการตั้งราคาเพื่อตอบรับช่วงขาขึ้นของราคาถ่านหิน: บริษัทได้เปลี่ยนนโยบายการตั้งราคาเพื่อตอบรับช่วงขาขึ้นของราคาถ่านหิน โดยทำสัญญาราคา index-linked มากขึ้น และสัญญาราคาคงที่ลดลง จนถึงปัจจุบัน สัดส่วนสัญญาราคาคงที่ได้อยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับในอดีต ที่เพียง 40% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อนที่มากกว่า 50% ขณะนี้ BANPU ได้ทำสัญญาราคา index-linked คิดเป็น 37% ของยอดขายที่ตั้งเป้าไว้ในปีนี้ เพิ่มขึ้นจาก 25% ในปลายปีก่อน
บริษัทได้ปรับลดเป้าหมายยอดขายต่อตันในอินโดนีเซียในปี 2554 ลงเป็น 25 ล้านตันจาก 26 ล้านตัน เนื่องจากฝนตกหนักกระทบการผลิตที่เหมือง Jorong ในทางกลับกัน บริษัทได้ปรับเพิ่มปริมาณการผลิตของ CEY (ออสเตรเลีย) มาอยู่ที่ 16 ล้านตัน ซึ่งเพิ่มขึ้น 1.7 ล้านตันจากปี 2553 ทั้งนี้เป็นผลจากการเริ่มดำเนินงานของเหมือง Airly
สำหรับใบอนุญาตชั่วคราวในการดำเนินงานเหมือง Danning ผู้บริหารยังคาดว่าจะมีผลตอบรับเชิงบวก บริษัทพยายามจะเริ่มการผลิตให้ได้เร็วที่สุด ดังนั้นบริษัทยังคงเป้าหมายการผลิตที่ 3.5 ล้านตันเท่าเดิม BANPU คิดว่าจะสามารถชดเชยเวลาการผลิตที่สูญเสียไปได้ ถ้าเหมืองสามารถกลับมาดำเนินงานใน 2-3 สัปดาห์ข้างหน้า

* เกียรตินาคิน ชี้ อุตสาหกรรมถ่านหิน ปัจจัยพื้นฐานแกร่ง คง Overweight ชู BANPU และ AGE เด่น
บทวิเคราะห์ บล.เกียรตินาคิน ระบุว่า ตลาดถ่านหินเริ่มเปิดการเจรจาซื้อขาย หนุนระดับราคาถ่านหิน เป็นการเริ่มต้นสัปดาห์ของการซื้อขายถ่านหิน ระหว่างผู้ผลิตถ่านหิน (Thermal Coal) ในประเทศออสเตรเลีย กับผู้ผลิตไฟฟ้าในประเทศญี่ปุ่น (ข้อมูลจากCoal portal, Energy Publishing) ขณะที่ราคาน้ำมันดิบในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ยังคงเป็นปัจจัยหนุนระดับราคาถ่านหินในตลาดโลก
ราคาถ่านหินอยู่สูงกว่าสมมติฐาน 6.5% สะท้อนความแข็งแกร่งของอุตสาหกรรม จากข้อมูลล่าสุด ราคาถ่านหินในตลาดล่วงหน้า 1 เดือน เริ่มมี Premium จากราคาถ่านหินในตลาดปัจจุบัน สอดคล้องกับข้อมูลปัจจุบันที่ตลาดถ่านหินอยู่ในช่วงของการเจรจาซื้อขายถ่านหินระหว่างออสเตรเลียกับญี่ปุ่น แม้ Premium ที่เกิดขึ้นจะไม่มากแต่เป็นการสะท้อนภาพของอุตสาหกรรมถ่านหินที่ยังมีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ขณะที่ราคาถ่านหินในปัจจุบันอยู่สูงกว่าราคาถ่านหินที่เราประเมินประมาณ 6.5%
ปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่งเพียงพอให้เราคง Overweight ธุรกิจถ่านหิน ราคาถ่านหินเริ่มยืนในระดับ 125 - 130เหรียญต่อตัน สูงกว่ากรอบสมมติฐานที่เราประเมินไว้ที่ 115 - 120 เหรียญต่อตัน สะท้อนปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งขณะที่การเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันดิบ จะยิ่งทำให้ถ่านหินมีบทบาทในอุตสาหกรรมมากขึ้น จากพลังงานทางเลือกที่มีต้นทุนการผลิตต่ำกว่าเมื่อเทียบค่าความร้อนระดับเดียวกัน ขณะที่ Demand ยังคงแข็งแกร่ง โดยเฉพาะการคาดหมายว่าจีนจะมีการนำเข้าถ่านหินเพิ่มขึ้น 10% - 12%yoy ทำให้เรายังคง Overweight ธุรกิจถ่านหิน โดยเลือกBANPU และ AGE เป็นหุ้นเด่นของกลุ่ม

-----------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ตปท.
ดัชนีดาวโจนส์กลับมาปิดปรับตัวลดลง 88.32 จุดอีกครั้งหลังเหตุการณ์รุนแรงในลิเบียยังไม่มีทีท่าที่จะสงบลงได้ ขณะที่ราคาน้ำมันก็ยังตอบสนองด้วยการขยับขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐยังคงออกมาดีอยู่โดยล่าสุดตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มสูงเกินคาด ขณะที่ตัวเลขการว่างงานต่ำสุดในรอบเกือบ 2 ปีด้วย

ขณะที่ตลาดหุ้นยุโรปก็ปิดลบ ส่วนตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้ส่วนใหญ่เปิดทำการด้วยการปรับตัวลดลง

ค่าเงินบาทยังทรงตัวในระดับแข็งค่า โดยยังแกว่งทรงตัวแถว 30.4-30.5 บ./ดอลลาร์ ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์ยังอ่อนตัวลงต่อ

ราคาน้ำมันดิบในตลาด NYMEX ปิดที่ 104.42 ดอลลาร์/บาร์เรล ดีดตัวขึ้นอีก 2.51 ดอลลาร์ หลังแผนสันติภาพยังไม่มีผล ขณะที่ความรุนแรงในลิเบียยังดำเนินต่อไป

ราคาทองคำล่วงหน้าในตลาด COMEX ปิดที่ 1428.60ดอลลาร์/ออนซ์ กลับมาพุ่งขึ้น 12.20 ดอลลาร์ หลังแผนสันติภาพยังไม่ได้รับการตอบรับจากผู้นำลิเบีย

-----------------------------------------------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น