Code 389 : 31/03/54 ลุ้นทำ Window ดัน SET เหนือ BB-T

วันพฤหัสที่ 31 มีนาคม 2554

ATT Code : ลุ้นทำ Window ดัน SET เหนือ BB-T



สรุปสภาวะการซื้อขายในวันพุธที่ 30/03/54 นี้ : จัดหนักเกินคาด ยกแบงค์+พลังงาน+ทำ Window ดัน SET เหนือ BB-T
วันนี้เรียนกว่าเปิดเป็นเกือบ Low และปิดเป็น High เลย ด้วยแรงซื้อจากกลุ่มแบงค์เป็นหลักจากการไป Roadshow ร่วมกับตลาด และกลุ่มพลังงานก็ยังช่วยดันขึ้นมาด้วย นอกจากนี้ก็ยังมีการทำ window Dressing ของสิ้นไตรมาสนี้ด้วย ส่งผลห้ SET ขึ้นมาปิดที่ 1050.67 จุด บวกไป 14.31 จุด ปิดเหนือ BB-T ได้อย่างสวยงาม หลังจากลุ้นมาหลายวัน ซึ่งเมื่อ 2 วันก่อนยังมีแรงขายเบาๆ ที่เป็น Sell Signal แต่นั่นก็ไม่ใช่สัญญาณหลัก ซึ่งการปิดเหนือ BB-T ในวันนี้ทำให้ Indicators ทุกตัวกลับมาแข็งแรงใหม่ อีกครั้ง

แนวโน้มในวันพฤหัสที่ 31/03/54 นี้ : ลุ้นผ่านที่ High เดิม 1056.44
เนื่องจากเมื่อวานมีแรงซื้อในกลุ่มแบงค์เข้ามาในช่วง Call Market ทำให้คาดว่า พรุ่งนี้ในตอนเช้า SET น่าจะเปิดกระโดดขึ้นไปเหนือ BB-T ได้อยู่ โดยมี High เดิมที่ 1056 จุด ซึ่งจะทะลุไปได้เลยไหม ก้ต้องดูตลาดเพื่อนบ้านเป็นหลักด้วย แต่หลังจากตลาดยุโรปเปิดมาแล้ว ก้บวกขึ้นไปที่ 0.8% และ 1.48% ทำให้แนวโน้มยุโรปดูดีมาก ก้อาจจะส่งผลให้ตลาดหุ้นเอเซียรวมถึงไทยปรับตัวขึ้นได้อีก

โดยที่ตลาดมีกรอบแนวรับ-แนวต้าน ดังนี้
แนวรับที่ 1,041 จุด, EMA 5D ที่ 1,039 จุด และ EMA 10D ที่ 1,030 จุด
แนวต้านที่ 1,056.44 จุด ที่เป็น High เดิมในวันที่ 6/1/54

Indicators ต่างๆ ของวันก่อนหน้านี้ :
Main Buy Signal = MACD + Slow Stochastic + RSI
6 Indicators = Buy Signal
3 Indicators = Overbought
0 Indicators = Bearish Divergence
0 Indicators = Sell Signal

1. Alert MACD (B)+(Stronger)
Major = Buy Signal : 1. MACD >. Signal.... และ Minor =Uptrend ยังดีอยู่โดย 2. MACD > 0)
(+) MACD Oscillator มีค่าเพิ่มขึ้นมา จาก 1.14 เป็น 1.79 แต่ MACD ยังมีค่ามากขึ้นอยู่

2. Alert Slow Sto (B)+(Stronger)+(OverBought)
(+) Slow Stochastic : %K(93) > %D(88)...

3. Alert RSI (B)+(Stronger)
(+) RSI(68) > MAV9(61) : RSI สูงกว่าเส้นค่าเฉลี่ย และมีค่าเพิ่มขึ้น...

4. Alert William %R (B)+ Overbought
%R ตัดเส้น -10 ขึ้นมาอีกครั้ง : กลับมาอยู่ในเขต Overbought อีกครั้ง
(+) Williams %R เริ่มมีค่าอ่อนลงมา จาก (-7) เป็น (0)

5. Alert CCI (B เบาๆ)+ (Overbought)
CCI ตัดเส้น 100 ขึ้นมาอีกครั้ง: กลับมาอยู่ในเขต Overbought ใหม่ และเปลี่ยนจาก Sell Signal เป็น Buy Signal เบาๆ)
(+) CCI กลับมามีค่าเพิ่มขึ้นอีกครั้ง ลงมาจาก 82 มาที่ 123

6. Alert ADX (B)+(Stronger)
(+) เส้น ADX : DI+(38) > DI-(16)...

7. OBV + : Stronger
(+) OBV มีค่าเพิ่มขึ้น

****************
Historical Technics
****************
Buy Signal:
1. (+)MACD กลับมาเป็น Buy Signal อีกครั้ง(22/03/54)
2. (+) SET ผ่านแนวต้านหลัก BB Average = Major เป็น Bullish + Uptrend... ยืนยันความเข็งแรงของตลาด... BB Average เปลี่ยนจากแนวต้านมาเป็นแนวรับหลัก (16/02/54)
3. (+) EMA5 (979.12) ตัด EMA10 (976.12 )ขึ้นมา... Major เป็น Golden Cross = Buy Signal (17/02/54)
4. (+) EMA10 (988.34) ตัด EMA25 (987.47) = Golden Cross : Strong (04/03/54)
5. (+) EMA25 (992.96) ตัด EMA75 (991.78) : Stronger (09/03/54)
6. (+) SET สูงกว่าเส้น 10 วัน และ 5 วัน แล้ว : Stronger (21/03/54)
7. (+) Slow Sto : %K(72) > %D(69) = Buy Signal (22/03/54)

Overbought:
1. (+/-) Slow Sto : %K(81) > %D(73) = Overbought (23/03/54)
2. (+/-) Alert William %R > -10 = Overbought (30/03/54)
3. (+/-) Alert CCI > 100 =(Overbought) (30/03/54)

Bearish Divergence

Sell Signal :

Oversold: None



-----------------------------------------------------------------------------
MARKET WAVE Analysis

-----------------------------------------------------------------------------
EFinance Thai :
ลุ้นหุ้นไทยเดือนเม.ย.แตะ1080จุด
โบรกเกอร์ทำนายหุ้นไทยเดือนเมษายนมีแนวโน้มเป็นบวก เหตุได้รับปัจจัยหนุนจากแรงเก็งกำไรงบ Q1/54 ขณะที่การเมืองเดินหน้าสู่การเลือกตั้ง แต่คาดดัชนีผันผวนหนัก เพราะเข้าใกล้จุดสูงสุดเดิมที่ 1056 จุด ทำให้มีโอกาสถูกเทขายทำกำไร ให้กรอบการเคลื่อนไหว 980-1080 จุด แนะซื้อหุ้นผลประกอบการดี-ปันผลสูง-downside risk จำกัด
การลงทุนในตลาดหุ้นไทยเดือนมีนาคมนี้กำลังจะจบสิ้นลง ทำให้หลายฝ่ายคาดการณ์ไปถึงการลงทุนในเดือนเมษายนว่าจะมีแนวโน้มออกมาอย่างไร ซึ่งส่วนใหญ่มองว่าในเดือนเมษายนดัชนีหุ้นไทยยังสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยกระตุ้นจากการเก็งกำไรผลประกอบการไตรมาส 1/54 และการเก็งกำไรในช่วงที่ประเทศเดินหน้าเข้าสู่การเลือกตั้ง อย่างไรก็ตามเชื่อว่าดัชนีจะมีความผันผวนหนัก เพราะปรับตัวเพิ่มขึ้นมามากแล้ว จนใกล้เข้าสู่จุดสูงสุดเดิมที่ 1056 จุด ขณะที่ยังมีปัจจัยลบภายนอกกดดันเป็นระยะๆ
ทั้งนี้ โบรกเกอร์ให้กรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีในเดือนเมษายนที่ 980 -1080 จุด โดยแนะนำให้เลือกลงทุนในหุ้นที่ผลประกอบการมีแนวโน้มเติบโตแข็งแกร่งหรือฟื้นตัว (turnaround)ในปีนี้ หรือหุ้นที่จ่ายเงินปันผลในเกณฑ์ดีและมี downside risk จำกัด

*****กิมเอ็งให้กรอบหุ้นไทยเดือนเม.ย. 980-1080 จุด
บทวิเคราะห์บล.กิมเอ็ง ระบุว่า มุมมองต่อการลงทุนในเดือนเม.ย.นี้ KimEng ขยับขึ้นเป็น “Positive” จากเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา “Neutral to Positive”
เพราะเชื่อว่าเดือนเม.ย.ปีนี้จะไม่เกิดเหตุการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองเหมือนเช่นที่เกิดขึ้นใน 3 ปีที่ผ่านมาหลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี 9 ท่านผ่านพ้นไปได้ด้วยดี พร้อมกับการปักธงยุบสภาฯในสัปดาห์แรกของเดือนพ.ค. และการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นหลังจากนั้น 45-60 วัน น่าจะทำให้ทุกอย่างกลับเข้าสู่ระบบกันอีกครั้ง แม้ว่าจะมีการออกมาเดินขบวน เพื่อแสดงความเห็นทางการเมืองก็ตาม แต่เชื่อว่าจะอยู่ในกรอบที่กฎหมายกำหนดไว้
ขณะที่ปัจจัยภายในประเทศ อย่างการเก็งกำไรต่องบการเงิน 1Q54 ต่อกลุ่มธนาคาร คาดว่าจะเห็นการเติบโตอย่างโดดเด่นทั้ง qoq และ yoy พร้อมการประชุมกนง.ในเดือนเม.ย. เชื่อว่าจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 25bps เป็นครั้งที่ 3 ซึ่งจะเสริมประเด็นเชิงบวกให้แก่กลุ่มธนาคารมากยิ่งขึ้น รวมไปถึงการเก็งกำไรในกลุ่มที่ไม่ใช่ธนาคารในช่วงปลายเดือนเม.ย. ซึ่งในหลายๆ กลุ่มอุตฯ คาดว่าจะมีกำไรจากการดำเนินงานที่โดดเด่นเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มโรงกลั่น และกลุ่มปิโตรเคมี
ด้านปัจจัยต่างประเทศ เชื่อว่ากรณีลิเบียน่าจะได้ข้อยุติลงไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง หลังจากยูเอ็นมีมติให้กำหนดเขตห้ามบินวันที่ 18 มี.ค. พร้อมมอบอำนาจให้สหรัฐฯ เป็นผู้นำในการปฎิบัติการทางอากาศตามมา ซึ่งหากคลี่คลายลงได้เร็วเท่าไร เงินทุนที่ไหลเข้าเก็งกำไรในน้ำมันดิบล่วงหน้า NYMEX และทองคำ Comex น่าจะไหลเข้าตลาดหุ้นทั่วโลกเช่นกัน เพราะแรงกดดันด้านเงินเฟ้อสูงจากราคาน้ำมันดิบจะผ่อนคลายลง
อย่างไรก็ตาม การประชุมธนาคารกลาง ECB – FOMC เป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม แน่นอนว่า ECBจะพิจารณาขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อควบคุมเงินเฟ้อ ขณะที่ FOMC นั้นประเด็นสำคัญอยู่ที่มุมมองต่อ QE#2นั้นจะมีความจำเป็นในการคงต่อไปจนถึงเดือนมิ.ย. ตามแผนเดิมหรือไม่ เพราะจะมีผลต่อนโยบายการเงินระยะกลางถึงยาว
จากภาพรวมของตลาดเดือนเม.ย. KimEng ขยับกรอบการเคลื่อนไหวของ SET INDEX ขึ้นจากเดือนมี.ค.ที่ (930) 950 - 1,030 (1,050) จุด เป็น (950) 980 – 1080 (1100) จุด เพราะน่าจะมีโมเมนตัมเชิงบวกต่อเนื่องจากกลางเดือนมี.ค. ซึ่งมีการทำ Roadshow ทั้งในและต่างประเทศ พร้อมกับกระแสเงินทุนต่างชาติที่ไหลเข้าตลาดหุ้นทั่วเอเชีย รวมถึงตลาดหุ้นไทย

***** เชียร์ซื้อ PTTEP-DCC-CPALL-BEC
บทวิเคราะห์บล.กิมเอ็ง ระบุว่า สำหรับหุ้นที่แนะนำให้ลงทุนในเดือนเม.ย.นี้ ให้เลือกหุ้นที่ผลประกอบการมีแนวโน้มเติบโตแข็งแกร่งหรือฟื้นตัว (turnaround) ในปีนี้ หรือหุ้นที่จ่ายเงินปันผลในเกณฑ์ดีและมี downside risk จำกัด ได้แก่ BBL, KBANK, BANPU, PTTEP, SGP, CPALL,DCC, และ BEC
ทั้งนี้ ในส่วนของ PTTEP เน้นถือลงทุน เพราะได้ประโยชน์โดยตรงจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวสูงขึ้นจากความกังวลสถานการณ์ความไม่สงบในลิเบียและตะวันออกกลาง เราประเมินผลกำไรในปีนี้จะมีการเติบโตต่อเนื่องอีก 24% เป็นกำไรสุทธิ 51,955 ล้านบาท หรือ 15.71 บาท/หุ้น จากการเติบโตของปริมาณการจำหน่ายปิโตรเลียมและราคาจำหน่ายที่คาดว่าจะปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเช่นกัน ราคาหุ้นปัจจุบันมี upside น่าสนใจกว่า 24.7% จากราคาเป้าหมายของเราที่ 227 บาท
สำหรับ DCC เน้นถือลงทุน แนวโน้มผลประกอบการในไตรมาสแรกปี 2554 เบื้องต้นเราประเมินจะทำจุดสูงสุดใหม่ หรือ มากกว่า 360 ล้านบาท โดยจะได้แรงหนุนจากเป็นช่วงไฮซีซั่น และ การบูรณะซ่อมแซมหลังน้ำท่วม ส่วนแนวโน้มปี 2554 คาดจะยังเติบโตโดดเด่น จาก 1.) การขยายกำลังการผลิตใหม่ ในปี 2553-2554 จาก 48 ล้านตรม./ปี เป็น 64 ล้านตรม./ปี ทำให้เกิดการประหยัดจากขนาดมากขึ้นส่งผลทำให้อัตรากำไรขั้นต้นพุ่งขึ้นต่อเนื่อง 2.) จุดเด่นของ DCC คือ มีตลาดนัดกระเบื้องถึง 200 สาขา ในปัจจุบัน กระจายทั่วประเทศ ได้เพิ่มช่องทางจำหน่าย และ ปีนี้จะเปิดเพิ่มอีก 15-20 สาขา 3.) ราคาพืชผลทางการเกษตรได้พุ่งขึ้นอย่างมาก จะส่งผลบวกต่อ DCC เนื่องจากยอดขายของ DCCประมาณ 80% จะขายไปยังต่างจังหวัด
ขณะเดียวกันเราประเมิน ปี 2554 ยอดขายจะเติบโตต่ออีก 15-17% เป็นเท่ากับ 7,611 ล้านบาท และ มีกำไรสุทธิ1,476 ล้านบาท (กำไรต่อหุ้น 3.62 บาท) เพิ่มขึ้น 26% ราคาหุ้นปัจจุบันให้เงินปันผลตอบแทนสูง 7.4% และมี upside 22% จากราคาเป้าหมายของเราที่ 60 บาท
ด้าน CPALL เน้นถือลงทุน ประเมินว่ากำไรของ CPALL ปีนี้จะเพิ่มขึ้น 15% เป็น 7,637 ล้านบาท (1.70 บาท/หุ้น) จากการที่ยอดขายต่อสาขาเติบโตกว่า 5% และมีการเปิดสาขาใหม่ 500 สาขา ฐานะการเงินของ CPALL ยังคงแข็งแกร่ง ไม่มีภาระหนี้สิน ทำให้คาดว่าบริษัทจะจ่ายเงินปันผลในปีนี้ได้ 1.1 บาท หรือคิดเป็นอัตราผลตอบแทน 3% ราคาหุ้นปัจจุบันยังมี upside สูงถึง 26% จากราคาเป้าหมายของเราที่ 49 บาท
ส่วน BEC เน้นถือลงทุน ราคาหุ้นปัจจุบันมี upside 21.20% จากราคาเป้าหมายของเราที่ 40 บาท มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องจากอัตราการใช้เวลาโฆษณาหนาแน่นและการขึ้นค่าโฆษณา คาดกำไรปกติในปี 2553 เพิ่มขึ้น 24% เป็น 3,255 ล้านบาท (1.63 บาท/หุ้น) และเป็นกลุ่มที่คาดจะมีแรงเก็งกำไรก่อนการเลือกตั้ง จากอัตราการใช้เวลาโฆษณาที่หนาแน่นขึ้น
นอกจากนี้แนะนำขายทำกำไร IVL, SCC, และ CPF หลังราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรงในเดือนที่ผ่านมา รอซื้อคืนเมื่ออ่อนตัว และถอด THAI ออกจากพอร์ตชั่วคราว เนื่องจากในระยะสั้นราคาหุ้นขาดปัจจัยกระตุ้น

***** ฟาร์อีสท์ มองเดือนเม.ย.ดัชนีผันผวนหนัก
นายปริญทร์ กิจจาทรพิทักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟาร์อีสท์ กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นช่วงเดือนเม.ย. น่าจะมีความผันผวนมากขึ้น เนื่องจากเป็นช่วงที่ดัชนีฯ เริ่มเข้าใกล้ 1056 จุด ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเดิมที่ทำไว้เมื่อเดือนม.ค. ที่ผ่านมา เพราะช่วงที่เข้าใกล้เป้าหมายดังกล่าวจะมีนักลงทุนบางส่วนขายทำกำไร แต่เชื่อว่าการปรับตัวลดลงของดัชนีฯ ไม่น่าหลุด 1000 จุด
สำหรับปัจจัยที่หนุนดัชนีฯ ในเดือนดังกล่าว คือการประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 1/54 เนื่องจากตลาดส่วนใหญ่คาดว่าแนวโน้มน่าจะออกมาดี ส่วนปัจจัยที่จะทำให้นักลงทุนขายหุ้นน่าจะเป็นเรื่องปัญหาการเมือง เพราะช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงเวลาของการเตรียมประกาศยุบสภาและมีการเลือกตั้งใหม่ อาจจะทำให้นักลงทุนอาศัยจังหวะดังกล่าวขายทำกำไรออกมา ซึ่งจะทำให้ดัชนีฯ ผันผวนมากขึ้น
"มองว่าในเดือนเม.ย. เป็นช่วงเวลาของคนที่ชอบเล่นเก็งกำไร และคนที่รอเข้าซื้อเก็บช่วงที่ดัชนีฯ ปรับตัวลดลง ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีที่จะทยอยซื้อหุ้นในพอร์ตช่วงนี้"นายปริญทร์ กล่าว
สำหรับกลุ่มที่น่าสนใจได้แก่ กลุ่มพลังงาน PTTCH - PTTEP- BANPU- TOP- IVL กลุ่มปิโตรเคมี กลุ่มโรงกลั่น และกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ได้แก่ KTB- BAY- KBANK -SCB โดยเฉพาะกลุ่มพลังงานที่แนวโน้มผลประกอบการครึ่งแรกปีนี้จะโดดเด่นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน
อย่างไรก็ตาม ข้อจำกัดที่ควรระวังในเดือนนี้คือ Upside ที่จะเหลือน้อยลง ในช่วงที่ดัชนีฯ ทะลุ 1056 จุด และวิ่งเข้าหา 1200 จุด ซึ่งเป็นเป้าหมายของดัชนีฯ ทั้งปีที่บริษัทฯมอง อาจจะทำให้นักลงทุนมองว่ามีส่วนต่างในการทำกำไรเหลือน้อยลงแค่ 100 กว่าจุด อาจจะตัดสินใจขายในช่วงนี้



-----------------------------------------------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น