Code 368 : 02/03/54 มองไปที่ 1,000 จุด อีกครั้ง ถ้าผ่าน 997

วันพุธที่ 2 มีนาคม 2554

ATT Code : 02/03/54 มองไปที่ 1,000 จุด อีกครั้ง ถ้าผ่าน 997



สรุปสภาวะการซื้อขาย วันอังคารที่ 01/02/54
เมื่อเช้าวันอังคาร ช่วงเปิดตลาดมีแรงซื้อเข้ามาในกลุ่มแบงค์ ทำให้ SET เปิดบวกไปประมาณ 3 จุด เปิดที่ระดับ 991.20 โดยในภาคเช้ายังมีแรงซื้อขายสลับกัน แต่ก็ยังสามารถยืนอยู่ในแดนบวกได้ แต่พอเปิดมาในช่วงบ่าย ก็มีแรงขายทำกำไรออกมา ทำให้ SET ลงไปลบ 2 จุด ไป Low ที่ 985.98 จุด ก่อนที่จะมีแรงซื้อกลับเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ขึ้นไปปิดเป็น High ที่ 994.48 จุด บวกไป 6.57 จุด

SET มีแรงขายออกมา ทำให้หลุดแนวรับเส้น 75 และ 5 วัน ที่ 990 ลงมา ที่ 988 มาชนแนวรับที่เส้น 10 วัน ที่ 985 จากนั้นก้มีแรงซื้อในกลุ่มแบงค์ที่ได้ดีในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้น ทำให้ดันผ่านแนวต้านที่ 990 จุด ได้อีกครั้ง แล้วก็ขึ้นมาปิด High ที่ 994 ได้

แนวโน้มในวันพุธที่ 02/03/54 : จะผ่าน 997 หรือ หลุด 990 กันแน่
-แนวต้านก้กลับไปเป็นแนวรับ คือที่เส้น 75 และ 5 วัน ที่ระดับ 990 และ 985 แนวรับหลักยังอยู่ที่ 977 เหมือนเดิม ถ้าหลุด 990 ก็จะลงมาที่ 985 ได้อีกครั้ง
-ส่วนแนวต้านที่ High ของวันที่ 24/02/54 ที่ระดับ 997 จุด ซึ่งถ้าผ่านก็อาจจขึ้นไปหา 1,000 จุด ได้เหมือนกัน ซึ่งตลาดช่วงนี้ก็อ้างอิงไปตามตลาดภูมิภาคและอเมริกาเป็นหลัก

*** SET มีการซื้อเข้ามาใหนกลุ่มแบงค์เป็นหลัก ตามด้วยพลังงาน ทำให้ Indicators ทั้ง 7 กลับมาเป็นบวกได้อีกครั้ง

1. (+) MACD ยังคงตัดเส้น Signal ขึ้นมาอยู่ โดย MACD ตัดผ่านเส้นศูนย์ขึ้นมาแล้ว.... มีสัญญาณที่ดีอยู่
2. (+) OBV ขึ้นจาก 594 ไปที่ 691.... แสดงให้เห็นว่ามีแรงซื้อขายสะสมเพิ่มขึ้น
3. (+) CCI เพิ่มขึ้นมาจาก 21 ลงมาที่ 69 บวกขึ้นมา 58 ... แนวโน้มยังเป็นกลับมาเป็นบวกอีกครั้ง
4. (+) เส้น ADX : DI+(28.81) ตัดเส้น DI-(28.19) ขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ... แนวโน้มกลับมาเป็นบวกอีกครั้ง
5. (+) Williams %R เพิ่มขึ้นมาจาก -30 ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ -17 ลบน้อยลง... แนวโน้มกลับมาเป็นบวกอีกครั้ง
6. (+) RSI ขึ้นมาจาก 50% มาอยู่ที่ 53% เพิ่มขึ้นนิดหน่อย... แนวโน้มยังบวกเหมือนเดิม
7. (+) Fast Sto : %K(78) ตัด %D(72) ขึ้นมาแล้ว ... แนวโน้มกลับมาเป็นบวกอีกครั้ง

-----------------------------------------------------------------------------
MARKET WAVE Analysis
2 มีค. 54 ( +6.57 จุด ) โกมล พงศ์วิญญู เลขทะเบียน 18338

ไม่เกิน 1000.90 ปรับตัวลง 978 – 983จุด
แนวโน้มจากนี้ไปตราบใด ไม่เกิน1000.90 จุดสูงสุดเดิมของเดือน กพ. ดัชนีมีโอกาสปรับตัวกลับลงไปแถว 978 – 983 ใกล้
บริเวณแนวรับตามธรรมชาติของเส้นค่าเฉลี่ย 25วัน

ณ บริเวณ 978 – 983 ดังกล่าว ดัชนีน่าจะดีดตัวกลับขึ้นมาแถว 988 – 993 ใกล้จุดสูงสุดของวันอังคาร อีกครั้ง

ภาพโดยรวมแล้ว ตลาดมีโอกาสที่จะแกว่งตัวในกรอบ 977 – 994 หรือระหว่างจุดต่ำสุดของสัปดาห์ที่แล้ว ถึงจุดสูงสุดของสัปดาห์
นี้อีกหลายวัน ในรูปแบบที่คาดว่าจะเป็นการปรับตัวของสามเหลี่ยม

หุ้นเด่น
MAJOR
ปรับตัวขึ้นมาแถวเส้นค่าเฉลี่ย 25 สัปดาห์พอดีรอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 13.20 จุดสูงสุดวันอังคาร และเส้นค่าเฉลี่ยดังกล่าว เป้าหมายระยะสัปดาห์ 13.80 – 14.40( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 12.80 )

IVL
กำลังปรับตัวในกรอบสามเหลี่ยม ภาพระยะวัน รอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 43.75 จุดสูงสุดวันอังคาร เป้าหมายระยะสัปดาห์ 46.50
– 49.00( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 42.75 )

10 อันดับซื้อขายสูงสุด
TMB ต่ำกว่า 2.34 ลง 2.28 – 2.30
BANPU แกว่งตัว 718 – 732
KBANK ต่ำกว่า 118 ลง 110 - 112
SCB ต่ำกว่า 102 ลง 99 - 100
CPF เกิน 23.70 ขึ้น 23.90 – 24.00
PTT ต่ำกว่า 336 ลง 327 - 330
IVL รายละเอียดใน “หุ้นเด่น”
TOP ไม่ต่ำกว่า 74.25 ขึ้น 75.50 - 76
PTL ต่ำกว่า 22.60 ลง 21.60 - 22
BBL ต่ำกว่า 159 ลง 150 - 152

-----------------------------------------------------------------------------
เงาหุ้น : ฝรั่งยังอยู่!!
ดัชนีหุ้นวันที่ 1 มี.ค.54 ปิดที่ 994.48 จุด เพิ่มขึ้น 6.57 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 25,925.61 ล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิ 1,251.83 ล้านบาท

หุ้นที่มีการซื้อขายสูงสุด นำโดย TMB ปิดที่ 2.38 บาท เพิ่มขึ้น 0.10 บาท, BANPU ปิดที่ 726 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง, KBANK ปิดที่ 119.50 บาท เพิ่มขึ้น 2 บาท, SCB ปิดที่ 103 บาท เพิ่มขึ้น 1 บาท และ CPF ปิดที่ 23.60 บาท ลดลง 0.20 บาท

ฝ่ายวิเคราะห์ บล.ฟินันเซียไซรัส มองแนวโน้มตลาดระยะสั้น คาดว่าจะยังแกว่งตัวในกรอบแคบ บริเวณ 975-995 จุด โดยนักลงทุนยังกังวลปัจจัยเดิมๆ ขณะที่ยังขาดปัจจัยใหม่ๆที่จะเข้ามากระตุ้นตลาด ดังนั้น นักลงทุนต้องระวังแรงขายหากดัชนีเข้าใกล้ระดับ 995 จุด ขณะเดียวกัน แนะให้ขายทำกำไรในบริเวณดังกล่าว ส่วนนักลงทุนที่ต้องการซื้อ ให้อดใจรอเข้าทยอยซื้อหุ้นพื้นฐานดีในช่วงที่ดัชนีปรับตัวลง ขณะที่ยังประเมินว่าดัชนีมีโอกาสปรับตัวลงมาต่ำกว่าแนวรับที่ 975 จุด

บทวิเคราะห์ บล.เอเซียพลัส ระบุว่า นักลงทุนต่างชาติได้เริ่มขายสลับซื้อบางๆมาตั้งแต่ 22 ก.พ. จุดที่น่าคิดคือ การชะลอตัวตรงนี้ไม่ใช่สัญญาณแรกของการไหลออกของเงินทุน แต่น่าจะเป็นสัญญาณการพัก หรือดูเชิง

ก่อนที่จะเริ่มกลับเข้ามาอีกรอบของนักลงทุนต่างชาติ

เพราะมีความเป็นไปได้ที่แนวโน้มการไหลเข้าหนักในช่วง 14-21 ก.พ.54 กว่า 1.79 หมื่นล้านบาทจะยังอยู่ ดูได้จากสัญญาณเบื้องต้นใน NVDR ที่ต่างชาติได้กลับมาเป็นผู้ซื้อสุทธิ

อีกทั้งยังมีจุดที่น่าสังเกตก็คือ ตั้งแต่ 5 ม.ค.-11 ก.พ.54 ตลาดหุ้นไทยถูกต่างชาติขายออกค่อนข้างหนักกว่า 39% จากที่ซื้อสุทธิของทั้งปี 53 ซึ่งเป็นปริมาณที่หนักที่สุดในภูมิภาค

โดยอินโดนีเซียถูกขายออกไปเพียง 2% ฟิลิปปินส์ถูกขายออก 10% เกาหลีใต้ขายออก 13% จะเห็นได้ว่าพื้นที่การขายในประเทศอื่นในภูมิภาคยังเหลืออีกค่อนข้างมาก ขณะที่ไทยถูกขายออกไปหนักแล้ว ซึ่งหากต่างชาติจะขายอีก ก็เป็นไปได้ว่าไม่น่าจะขายออกในไทยมากไปกว่าขายในประเทศอื่นๆในภูมิภาค

แนะกลยุทธ์การลงทุน ให้ถือหุ้นไม่เกิน 30% โดยเน้นไปที่ ESSO, LANNA, CPF, GFPT, KK และ BLA!!

อินเด็กซ์ 51

-----------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย
ยังเน้นขายมากกว่าซื้อ แล้วถือเงินสดไว้รอรับต่ำกว่า 950 จุด!!
แนวโน้ม: แม้ว่าเมื่อวานนี้นักลงทุนต่างประเทศจะกลับมามียอดซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง และทำให้ SET ยังสามารถแกว่งบวกต่อเนื่องได้ แต่ความกังวลต่อผลกระทบจากราคาน้ำมันที่ยังพุ่งสูงขึ้น กดดันให้ตลาดหุ้นทั่วโลกเช้านี้อยู่ในSentiment ที่ไม่ดีนัก ขณะที่ปัจจัยบวกจากการประกาศผลประกอบการของ บจ.ในบ้านเราก็ผ่านพ้นไปแล้ว เหลือเพียงการรอการจ่ายปันผลของ บจ. ต่างๆ
เท่านั้น ขณะที่ปัจจัยหนุนราคาน้ำมันให้ยังคงแกว่งตัวสูงขึ้นต่อเนื่องยังมีอยู่ หลังสถานการณ์ในตะวันออกกลางยังบานปลาย ดังนั้น FSS จึงยังคงคาดหมายว่าSET ใกล้ที่จะเริ่มปรับตัวลงไปหาเป้าหมายที่จุดต่ำสุดเดิมบริเวณ 940-937 จุดได้ในเร็วๆ นี้

กลยุทธ์: เราจึงยังแนะนำให้เน้นขายมากกว่าซื้อ โดยเฉพาะถ้าตลาดบวกขึ้น และเน้นถือเงินสดไว้เพื่อรอหาจังหวะกลับเข้ารับใหม่อีกครั้งเมื่อดัชนีไหลลงไปต่ำกว่า950 จุดต่อไป

ประเด็นสำคัญวันนี้
• (-) Focus ยังอยู่ที่เงินเฟ้อ...ราคาน้ำมันเหมือนเดิม การที่นักลงทุนกลับมาวิตกกับสถานการณ์ในลิเบียว่าจะลุกลามส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบ Brent ปิด US$115 สูงสุดในรอบกว่า 2 ปีครึ่ง เช่นเดียวกับ WTC ที่ปิด US$99.63 สูงสุดในรอบกว่า 2 ปีเช่นกัน
Credit Suisse ประเมินว่าน้ำมันที่เพิ่มขึ้นทุก 10% จะกระทบกับ World GDP เพียง0.1% และกระทบ GDP ของสหรัฐ 0.2% เนื่องจากอัตราการพึ่งพาน้ำมันในการพัฒนาเศรษฐกิจโลกวันนี้ลดลงจากในอดีต 40% ในช่วงกว่า 40 ปีที่ผ่านมา เรายังคงมอง SETเดือนมี.ค. มีความเสี่ยงในการปรับลงเพราะ 1. หมดเทศกาลผลประกอบการ 2. ผลจากการขึ้น XD 3. เงินเฟ้อและดอกเบี้ยยังไม่ถึงจุดสูงสุด 4. การเมืองในประเทศ ดัชนีที่เข้าใกล้ 1000 จุดจึงเป็นโอกาสดีในการลดพอร์ต

• (0) เงินเฟ้อเดือน ม.ค. ลดลงจากเดือนก่อน แต่เงินเฟ้อพื้นฐานยังคงเพิ่มอย่างต่อเนื่อง +1.45% กนง.จะประชุมครั้งถัดไป 9 มี.ค. เราคาดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก0.25% จากปัจจุบันที่อยู่ที่ 2.25% และมีแนวโน้มปรับขึ้นอีกในครั้งต่อไปเพื่อสกัดเงินเฟ้อ และรักษาส่วนต่างกับประเทศอื่นในเอเชียที่ได้ขยับขึ้นดอกเบี้ยไปก่อนหน้านี้แล้ว

• (+) กำไรปกติใน 4Q10 ของบจ.ที่รายงานแล้ว (91% ของบริษัทที่อยู่ใน FSS Coverage) +12% Q-Q, +22%Y-Y ส่วนกำไรสุทธิ +6%Q-Q, +33%Y-Y โดยกลุ่มที่มีกำไรปกติเพิ่มขึ้นทั้ง Q-Q, Y-Y มากที่สุดได้แก่กลุ่มพลังงาน (+62%Q-Q,
+57%Y-Y) ปิโตรเคมี (+46%Q-Q, 101%Y-Y) นิคมฯ (+70%Q-Q, +199%Y-Y)หลักทรัพย์ (+10%Q-Q, +92%Y-Y) ค้าปลีก (+20%Q-Q, +24%Y-Y) กลุ่มที่อยู่อาศัย (+281%Q-Q, +5%Y-Y

• (-) กลุ่มที่มีกำไรลดลงทั้ง Q-Q, Y-Y ได้แก่กลุ่มโรงไฟฟ้า (-31%Q-Q, -37%Y-Y)กลุ่มรับเหมา (-73%Q-Q, -131%Y-Y) กลุ่มอิเล็คทรอนิคส์ (-53%Q-Q, -33%Y-Y)ซึ่งเป็นเพราะ KCE กลุ่มขนส่ง (-54%Q-Q, -74%Y-Y) วัสดุก่อสร้าง (-2%Q-Q, -5%Y-Y) สวนกลุ่มที่มีกำไรลดลง Q-Q เพราะ seasonal และเพราะค่าใช้จ่ายที่มากเป็นพิเศษในไตรมาสสุดท้าย แต่เพิ่ม Y-Y ได้แก่กลุ่มแบงก์ (-9%Q-Q, +22%Y-Y บันเทิง(-6%Q-Q, 10%Y-Y) กลุ่มโรงพยาบาล (-23%Q-Q, +15%Y-Y)

• (+) TVO กำไรดีกว่าคาด หากไม่รวมรายการพิเศษ กำไรปกติใน 4Q10 +141%QQ,+138%Y-Y เป็นกำไรที่สูงที่สุดของปี จากราคาถั่วเหลืองที่สูงขึ้น คาดกำไรปี 2011โตต่อ 20% จากการทยอยขยายกำลังการผลิตและราคาถั่วเหลืองยังมีทิศทางขาขึ้น
และคาดว่าจะจ่ายเงินปันผลอีก 0.75 บาท/หุ้นสำหรับ 2H10 ยังคงแนะนำซื้อโดยมีเป้าหมาย 36 บาท

• Fund Flow วานนี้กลับมาไหลเข้าเป็นครั้งแรกในรอบ 3 สัปดาห์ โดยแป็นการเข้าซื้อสุทธิในตลาดในภูมิภาคเอเชีย แต่แนวโน้มวันนี้โอกาสที่เม็ดเงินจะไหลเข้าตลาดหุ้นมีน้อยลงและอาจจะหันไปลงทุนในสินทรัพย์ไม่เสี่ยงมากขึ้น เนื่องจากความกลัววิกฤติน้ำมันจากปัญหาความตรึงเครียดในตะวันออกกลางอาจลุกลามไปยังประเทศใกล้เคียงที่เริ่มจะนัดชุมนุมประท้วงในสัปดาห์หน้า เช่น ซาอุดิอลาเบีย ซึ่งเป็นประเทศส่งออกน้ำมันรายใหญ่ของโลกอาจส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบปรับขึ้นต่อเนื่อง ดัชนีตลาดหุ้นซาอุดิอาราเบียเมื่อคืนร่วงกว่า 6.92% เหมือนเป็นสัญญาณว่าจะเกิดเหตุการณ์ร้ายแรง ตลาดหุ้นสหรัฐปรับลงแรงแม้ตัวเลขดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมออกมาดีกว่าคาด สำหรับตลาดหุ้นภูมิภาคเช้านี้ปรับตัวลงทุกตลาด แม้กระทั่งหุ้นกลุ่มน้ำมันหรือกลุ่มพลังงานที่จะได้อนิสงค์จากราคาน้ำมันดิบที่ปรับขึ้นแต่ก็ปรับตัวลงด้วยเช่นกัน ค่าเงินเอเชียทรงตัวหรืออ่อนค่าเล็กน้อย สำหรับเช้านี้ค่าเงินบาทอ่อนค่าเล็กน้อย ในวิกฤติยอมมีโอกาสเสมอและติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด

ตลาดหุ้นสหรัฐปิดปรับตัวลดลงถึง 168.32 จุด ด้วยปริมาณการซื้อขายที่หนาตาขึ้น จากราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นมาปิดเกือบ 100 ดอลลาร์/บาร์เรล ทำให้นักลงทุนกังวลต่อผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจ รวมทั้งวิตกว่าความปั่นป่วนในตะวันออกกลางอาจส่งผลกระทบต่อซาอุฯ ด้วย หลังมีข่าวว่ากองกำลังรักษาความมั่นคงของอิหร่านปะทะกับกลุ่มผู้สนับสนุนฝ่ายค้านในกรุงเตหะราน

ส่วนตลาดหุ้นยุโรปก็ปรับตัวลงตาม ขณะที่ตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้เปิดทำการด้วยการปรับตัวลดลงเป็นส่วนใหญ่ด้วยเช่นกัน

ค่าเงินบาทยังแกว่งทรงตัวในกรอบ 30.5-30.7 บ./ดอลลาร์ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์เริ่มชะลอการไหลลงบ้างแล้ว

ข่าวภายในประเทศ
ซีไอเอ็มบีเส้นใหญ่ทาบขอซื้อหุ้น TMB นายกฯมาเลย์จับเข่าคุย ‘อภิสิทธิ์’ กลุ่มซีไอเอ็มบีเข้าพบ “กรณ์” รมว.คลัง ขอเจรจาซื้อหุ้นแบงก์ทหารไทย (TMB) ทั้งหมด 26% จากกระทรวงการคลัง หลังนายกฯมาเลเซียเคยคุยกับ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ที่ดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ขอโอกาสเข้าประมูลด้วย ขณะที่ซีไอเอ็มบีกรุ๊ปพีค กำไรปี'53 พุ่ง 3.52 หมื่นล้าน หรือเพิ่มขึ้น 25% ส่วนวานนี้ ครม. อนุมัติขายหุ้นแบงก์ TMB (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 2-03-2011

AGE ฮุบเหมืองอิเหนาเชื่อ Q1รายได้กระโดด “เอเชียกรีน” เร่งสรุปดีลเหมืองถ่านหินเกาะกาลิมันตันภายในไตรมาส 2 มั่นใจรองรับยอดคำสั่งซื้อถ่านหินที่เติบโตแบบก้าวกระโดด “พนม” โชว์รายได้ไตรมาส 1/54 ดีเกินคาด หลังออเดอร์จากจีนเพียบ ล่าสุดเซ็นสัญญาซื้อถ่านหินเพิ่มอีก 6 แสนตันเพื่อป้อนลูกค้าจีน (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 2-03-2011

IRPC ฟุ้งอีบิทด้าปีนี้เด้ง! IRPC แย้มอีบิทด้าปีนี้สูงกว่า 8.3 พันล้านบาท อานิสงส์โรงไฟฟ้าขนาด 220 เมกะวัตต์เสร็จเดือน มิ.ย.นี้ ลดต้นทุนค่าไฟฟ้าวันละ 5 ล้านบาท ไม่หวั่นแม้วอลุ่มปีนี้หด เหตุปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่น 30 วัน มั่นใจรายได้ปีนี้ไม่ต่ำกว่า 2.2 แสนล้านบาท (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 2-03-2011

PYLON ฟุ้งปีนี้กำไรดีกว่าปีก่อน รับงานค่าแรงเพิ่มมาร์จิ้นสูง 20-30% แย้ม Q1 สดใส "ไพลอน" เบนเข็มรับงานค่าแรงเพิ่มเป็น 60% หลังมีมาร์จิ้นสูง 20-30% เชื่อดันกำไรปีนี้ดีกว่าปีก่อน ส่วนรายได้ตั้งไว้ที่ 1,000 ล้านบาท รับรู้จากงานในมือที่มีอยู่ 1,000 ล้านบาท แถมมีงานยื่นประมูลใหม่กว่า 800 ล้านบาท แนวโน้มไตรมาส 1/54 แจ่ม! หวังได้งานรถไฟฟ้าสายสีแดง1.3 หมื่นล้านบาท เล็งย้ายเข้า SET หากรายได้แตะ 1,500 ล้านบาท(ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 2-03-2011

PLE นำเงินสำรองส่วนเกินมูลค่าหุ้นล้างขาดทุนสะสม บอร์ด "เพาเวอร์ไลน์ฯ" ไฟเขียวนำเงินนำเงินสำรอง 60.80 ล้านบาท บวกส่วนเกินมูลค่าหุ้น341.60 ล้านบาท ล้างขาดทุนสะสมงบปี'53 ในส่วนเฉพาะบริษัท 402.40 ล้านบาท เตรียมเสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้นอนุมัติ 29 เม.ย.นี้ หลังงบปี'53 พลิกขาดทุนเป็นกำไร 231.35 ล้านบาท (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 2-03-2011

SEAFCO ขาดทุนอ่วม 58 ล้านส่งมอบงานน้อย-ต้นทุนพุ่ง SEAFCO แจงผลงานปี'53 ทรุดฮวบ ขาดทุนสุทธิ 58 ล้านบาท หลังส่งมอบงานได้น้อย-ต้นทุนงานโครงสร้างเพิ่ม แถมค่าใช้จ่ายการขาย-บริหารพุ่ง ส่วนปีนี้ลั่นผลประกอบการฟื้น เหตุแบ็กล็อกสูงถึง 1.3 พันล้านบาท รอประมูงานอีกหลายโครงการ (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 2-03-2011)

-----------------------------------------------------------------------------
ข่าวต่างประเทศ
ยุโรป: เยอรมนีเผยจำนวนคนว่างงานเดือนก.พ.ร่วงแตะ 3.07 ล้านราย สำนักงานสถิติของเยอรมนีเปิดเผยว่า จำนวนคนว่างงานในประเทศลดลงแตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนกันยายน 2535 เนื่องจากสภาพอากาศที่รุนแรงในช่วงฤดูหนาวได้คลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น รวมทั้งการขยายตัวที่แข็งแกร่งของเศรษฐกิจประเทศ จำนวนคนว่างงานที่ปรับตามฤดูกาล (seasonally adjusted) ลดลง 52,000 คนจากเดือนมกราคม มาอยู่ที่ 3.07 ล้านคนในเดือนกุมภาพันธ์ ขณะที่อัตราว่างงานปรับตัวลงมาอยู่ที่ 7.3% จากระดับ 7.4% ในเดือนมกราคม โดยอัตราว่างงานเดือนก.พ.ถือเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2534 (ที่มา: อินโฟเควสท์ 01-03-2011)

ยุโรป: EU ปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจยุโรปปี 2554 คณะกรรมาธิการยุโรปได้ปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจทั้งในกลุ่มประเทศที่ใช้สกุลเงินยูโรและสหภาพยุโรป (อียู)ในปี 2554 แต่ระบุว่า อัตราเงินเฟ้อของทั้งสองกลุ่มนี้จะสูงกว่าที่ได้มีการคาดการณ์ไว้เมื่อเดือนพ.ย. คณะกรรมการธิการยุโรปคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจของกลุ่มยูโรโซนจะขยายตัว 1.6% ขณะที่เศรษฐกิจของอียูจะขยายตัว 1.8% ในปี 2554ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงขึ้นจากการคาดการณ์ก่อนหน้านี้อยู่ 0.1% (ที่มา: อินโฟเควสท์ 01-03-2011)

สหรัฐอเมริกา: สหรัฐเผยดัชนีภาคการผลิตเดือนก.พ.ขยายตัวรวดเร็วที่สุดในรอบเกือบ 7 ปี สถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM)เปิดเผยว่า ดัชนีภาคการผลิตเดือนก.พ. ขยายตัวที่ระดับ 61.4 จุด เพิ่มขึ้นจากเดือนม.ค.ที่ระดับ 60.8 จุด ซึ่งเป็นการขยายตัวที่รวดเร็วที่สุดในรอบเกือบ7 ปี และยังทำสถิติขยายตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 19 ดัชนี PMI ที่เคลื่อนตัวอยู่เหนือระดับ 50 จุดบ่งชี้ว่าภาคการผลิตมีการขยายตัว (ที่มา: อินโฟเควสท์ 02-03-2011)

เอเชีย: ญี่ปุ่นเผยยอดขายรถยนต์ใหม่เดือนก.พ.ร่วง 14.3% สมาคมผู้ค้ายานยนต์ของญี่ปุ่น (JADA) เปิดเผยในวันนี้ว่า ยอดขายรถยนต์ใหม่ของญี่ปุ่นในเดือนก.พ. ซึ่งไม่รวมรถยนต์เล็กที่มีขนาดเครื่องยนต์น้อยกว่า 660 ซีซี ร่วงลง 14.3% จากปีที่แล้ว แตะที่ 252,634 คัน ทำสถิติปรับตัวลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 6 หลังจากที่ยอดขายร่วงลง 21.5% ในเดือนม.ค.และดิ่งลง 28.3% ในเดือนธ.ค.ปี 2553 รายงานของสมาคมฯระบุว่า ยอดขายรถยนต์นั่งส่วนบุคคลร่วงลง 16.2% แตะที่ 226,691 คัน ขณะที่ยอดขายรถบัสร่วงลง 27.5% แตะที่ 1,090 คัน อย่างไรก็ตาม ยอดขายรถบรรทุก ดีดตัวขึ้น 8.1% แตะที่ 24,853 คันในเดือนก.พ. (ที่มา: อินโฟเควสท์ 01-03-2011)

เอเชีย: เกาหลีใต้เผยการส่งออกขยายตัวช้าสุดในรอบ 5 เดือน เหตุอุปสงค์ชะลอตัว เกาหลีใต้เผยยอดส่งออกขยายตัวช้าสุดในรอบ 5 เดือนซึ่งจุดกระแสวิตกว่าเศรษฐกิจกำลังขาดปัจจัยหนุน และเป็นการปิดกั้นช่องทางการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลาง กระทรวงเศรษฐกิจฐานความรู้ของเกาหลีใต้เปิดเผยว่า ยอดส่งออกของเกาหลีใต้เดือนก.พ.เพิ่มขึ้น 17.9% จากปีก่อนหน้า หลังจากที่ทะยานขึ้น 45.4% ในเดือนม.ค. เทียบกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 17.4% ขณะที่ยอดนำเข้าไต่ระดับขึ้น 16.3% ส่งผลให้เกาหลีใต้มียอดเกินดุลการค้าที่ 2.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ที่มา:อินโฟเควสท์ 01-03-2011)

เอเชีย: ยอดเกินดุลการค้าเกาหลีใต้เดือนก.พ.ลดลงแตะ 2.84 พันล้านดอลลาร์ กระทรวงเศรษฐกิจฐานความรู้ของเกาหลีใต้ เปิดเผยว่า เกาหลีใต้มียอดเกินดุลการค้า 2.84 พันล้านดอลลาร์ในเดือนก.พ. ซึ่งนับเป็นการเกินดุลการค้าเป็นเดือนที่ 13 ติดต่อกัน แต่ตัวเลขดังกล่าวลดลง 80 ล้านดอลลาร์ เมื่อเปรียบเทียบกับยอดเดือนม.ค.ที่ 2.92 พันล้านดอลลาร์

เอเชีย: สนง.สถิติอินโดนีเซียเผยอัตราเงินเฟ้อเดือนก.พ.ลดลงแตะ 6.84% สำนักงานสถิติแห่งชาติอินโดนีเซียเปิดเผยว่า อัตราเงินเฟ้อของอินโดนีเซียในเดือนก.พ. 2554 อ่อนตัวลงมาอยู่ที่ระดับ 6.84% เมื่อเทียบเป็นรายปีจากระดับเดือนม.ค.ที่ 7.02% เนื่องจากราคาอาหารที่พุ่งสูงขึ้น(ที่มา: อินโฟเควสท์ 01-03-2011)

ราคาน้ำมันดิบในตลาด NYMEX ปิดที่ 99.63 ดอลลาร์/บาร์เรล พุ่งขึ้น 2.66 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดในรอบ 2 ปีครึ่ง หลังสถานการณ์ในลิเบียยังไม่ดีขึ้น ขณะที่เริ่มมีความกังวลว่าประเทศผู้ผลิตน้ำมันแห่งอื่นๆ ในตะวันออกกลางอาจจะเผชิญกับเหตุจลาจลเช่นเดียวกันได้

ราคาทองคำล่วงหน้าในตลาด COMEX ปิดที่ 1431.20ดอลลาร์/ออนซ์ พุ่งขึ้นอีก 21.30 ดอลลาร์ หลังราคาน้ำมันขยับขึ้นมาใกล้ 100 ดอลลาร์อีกครั้ง ทำให้ความวิตกต่อภาวะเงินเฟ้อกลับมาหนุนราคาทองอีกรอบ

-----------------------------------------------------------------------------
EFinance Thai ; อสังหาฯฟันกำไร2.2หมื่นลบ.
- NOBLEแชมป์โตสูงสุด MJD-PS เศร้า!!กำไรหด
งบอสังหาฯปี 53 สุดแจ่ม!! กำไรเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด รับเละรวมกัน 2.28 หมื่นล้านบาท เผย NOBLE มีการเติบโตของอัตรากำไร 259% สูงสุดในกลุ่ม ตามมาด้วย RAIMON ที่โต 136% ส่วน PS - MJD สุดเซ็งเป็นสองบริษัทที่กำไรลดลงจากปี 52 ด้านโบรกเกอร์มองปีนี้อสังหาฯยังโตต่อเนื่อง แต่ชะลอตัวลง แนะซื้อลงทุน AP-QH-SPALI-LPN เหตุเป็นหุ้นที่มีแนวโน้มผลประกอบการดีสุด
ภาพรวมผลประกอบการของบริษัทในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยประจำปี 53 ประกาศออกมาหมดแล้ว โดยส่วนใหญ่รายได้และกำไรปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่นเมื่อเทียบกับปี 52 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผลมาจากการที่รัฐออกมาตรการภาษีอสังหาฯเพื่อกระตุ้นการบริโภคของประชาชนในช่วงต้นปี 53 ขณะที่อัตราดอกเบี้ยปีก่อนอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งจูงใจให้ประชาชนเร่งซื้อที่อยู่อาศัยมากขึ้น โดยคอนโดมิเนียมเป็นที่อยู่อาศัยที่จำหน่ายได้มากสุด โดยเฉพาะคอนโดฯที่ผุดขึ้นตามแนวรถไฟฟ้า
ทั้งนี้ กลุ่มอสังหาฯมีกำไรรวมกัน 2.28 หมื่นล้านบาท บริษัทที่ทำกำไรได้สูงสุดในกลุ่ม คือ บริษัทแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด(มหาชน)หรือ LH ที่ทำกำไรได้ 3.97 พันล้านบาท ตามมาด้วยบริษัทพฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด(มหาชน)หรือ PS ทำกำไรได้ 3.48 พันล้านบาท รองลงมาเป็นบริษัทศุภาลัย จำกัด(มหาชน)หรือ SPALI ที่ทำกำไรได้ 2.56 พันล้านบาท และบริษัทเอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด(มหาชน)หรือ AP ที่ทำกำไรได้จำนวน 2.22 พันล้านบาท
ส่วนบริษัทที่มีอัตราการเติบโตของกำไรมากสุดเมื่อเทียบกับปี 52 คือ บริษัทโนเบิล จำกัด(มหาชน)หรือ NOBLE ที่ทำกำไรได้ 998.27 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 52 ที่ทำกำไรได้ 278.15 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 259% รองลงมาเป็น บริษัทไรมอนด์ แลนด์ จำกัด(มหาชน)หรือ RAIMON ที่ทำกำไรได้ 97.50 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 52 ที่มีผลขาดทุน 270.82 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 136 %
สำหรับบริษัทที่มีอัตรากำไรลดลงเมื่อเทียบกับปี 52 คือ บริษัทเมเจอร์ ดีเวลล็อปเม้นท์ จำกัด(มหาชน)หรือ MJD ที่มีกำไร 189.49 ล้านบาท ลดลงจากปี 52 ที่มีกำไร 406.60 ล้านบาท หรือลดลง 53% ตามมาด้วย PS ที่มีกำไร 3.48 พันล้านบาท ลดลงจากปี 52 ที่มีกำไร 3.62 พันล้านบาท หรือลดลงประมาณ 3.67%
ด้านนักวิเคราะห์หลักทรัพย์มองว่าแนวโน้มผลประกอบการปี 54 ของกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยยังคงเติบโตต่อเนื่อง แต่อยู่ในอัตราที่ลดลง โดย AP- QH- SPALI และ LPN เป็นบริษัทที่น่าสนใจลงทุนมากสุด เนื่องจากบางบริษัทคาดว่าจะมีกำไรดีเกินคาด ขณะที่บางบริษัทมียอดรับรู้รายได้เข้ามาในปีนี้ค่อนข้างมาก

***** QH มั่นใจกำไรทุบสถิติสูงสุด
นางสุวรรณา พุทธประสาท รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทควอลิตี้ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ QH เปิดเผยกับ eFinancethai.com ว่า บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายรายได้ปีนี้โต 20% จากปีก่อน และมั่นใจว่ามีโอกาสที่บริษัทฯ จะทำกำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์ต่อเนื่องจากปี 2553 จากการเปิดตัวโครงการทั้งหมด22 โครงการ นอกจากนี้ จะพยายามรักษาระดับของอัตราการทำกำไรขั้นต้นและอัตรากำไรสุทธิให้อยู่ในระดับใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา
' แม้ว่าต้นทุนวัสดุก่อสร้างจะเพิ่มขึ้น แต่บริษัทฯ จะพยายามแบกรับต้นทุนไว้ให้ได้นานที่สุด แม้ในที่สุดแล้วต้องปรับขึ้นราคาขายบ้าน แต่ก็จะพิจารณาให้สอดคล้องกับอำนาจการซื้อของผู้บริโภคด้วย' นางสุวรรณา กล่าว
ในไตรมาสแรกปีนี้บริษัทฯ จะเปิดตัว 3 โครงการใหม่ เป็นโครงการแนวราบทั้งหมด มูลค่าโครงการ 5,600 ล้านบาท จากโครงการที่จะเปิดใหม่ทั้งหมดปีนี้ 22 โครงการ แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 18 โครงการ และอีก 4 โครงการเป็นคอนโดมิเนียม
' โครงการที่จะเปิดในไตรมาสแรกปีนี้ จะทยอยอรับรู้รายได้ตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป เพราะเป็นแนวราบ และจะรับรู้รายได้ต่อเนื่องไปได้ประมาณ 3 ปี ส่วนคอนโดฯ เราจะเปิดช่วงปลายปี' นางสุวรรณา กล่าว
สำหรับ ปัจจัยเสี่ยงที่น่ากังวลมากที่สุดในปีนี้ มีทั้งปัญหานอกประเทศและในประเทศ ซึ่งในส่วนของปัญหาจลาจลในตะวันออกกลางและแอฟริกา บริษัทฯ ก็ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ว่าจะมีผลกระทบต่อมายังประเทศไทยอย่างไรบ้าง ขณะที่ปัจจัยในประเทศเป็นเรื่องของแนวโน้มดอกเบี้ยและเงินเฟ้อที่อยู่ในช่วงขาขึ้น ซึ่งอาจจะกระทบกับกำลังซื้อของผู้บริโภคได้
' บริษัทเตรียมรับมือกับปัญหาดังกล่าว ด้วยการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และพยายามปรับปรุงธุรกิจให้สอดคล้องกับสภาพตลาดที่เปลี่ยนไป'นางสุวรรณา กล่าว

***** SIRI ลุยโรดโชว์ดึงสถาบันถือหุ้น
นายวันจักร์ บุรณศิริ ประธานผู้บริหารฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI เปิดเผยกับ eFinanceThai.com ว่า คาดว่ารายได้และกำไรปีนี้จะเติบโต 10% จากปีก่อนหน้าที่บริษัทฯ มีรายได้สุทธิ 18,755 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 1,898 ล้านบาทสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยการเปิดขายโครงการใหม่ปีนี้ 23 โครงการ แม้ว่าจะมีปัจจัยเสี่ยงจากนอกประเทศจากเหตุการณ์ความไม่สงบในตะวันออกกลาง และในประเทศคือเงินเฟ้อและดอกเบี้ยขาขึ้น แต่เชื่อว่าดีมานด์ในการซื้อบ้านของลูกค้ายังดีอยู่
สำหรับแนวโน้มยอดขายในไตรมาสแรกปีนี้ น่าจะใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันปีก่อน ซึ่งมียอดขายอยู่ที่ 4,500 ล้านบาท โดยล่าสุด 2 เดือนที่ผ่านมา บริษัทฯ มียอดขายแล้ว 2,500 ล้านบาท และจะทยอยรับรู้รายได้เป็นบางส่วน ซึ่งในไตรมาสแรกบริษัทฯ จะเปิดตัวประมาณ 5-6 โครงการ จากเดิมที่คาดว่าจะเปิดขาย 8 โครงการ โดยอีก 2-3 โครงการจะเลื่อนไปเปิดในไตรมาส 2
' ไตรมาสแรกปีนี้ยังดูดี พรีเซลตอนนี้กว่า 2,500 ล้านบาทแล้ว ดังนั้นปิดไตรมาสแรกปีนี้ก็น่าจะใกล้เคียงไตรมาสแรกปี53' นายวันจักร์ กล่าว
นายวันจักร์ กล่าวต่อว่า สัปดาห์หน้าบริษัทฯ จะเดินทางไปโรดโชว์ที่สิงคโปร์และฮ่องกง 3 วัน เพื่อชี้แจงข้อมูลบริษัทฯ ต่อนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งที่ผ่านมาได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ในทุกครั้งที่ไปจะมีนักลงทุนสถบันมาเข้ารับฟังข้อมูลวันละประมาณ 5-6 รายในครั้งนี้ บริษัทฯ ก็จะถือโอกาสชี้แจงเกี่ยวกับวิธีการบันทึกบัญชีแบบใหม่ให้นักลงทุนได้เข้าใจ เพราะการบันทึกแบบใหม่จะต้องบันทึกการรับรู้รายได้เมื่อโอน

***** โบรกฯชี้ AP-QH-SPALI-LPN เด่นสุด

นายชาตรี ศรีสมัยเจริญ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า ผลประกอบการของกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่ออกมางวดปี 2553 เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้มีเพียง AP ที่ผลกำไรออกมาเกินคาด ทั้งนี้ บริษัทแนะนำ " ซื้อ"AP ราคาเป้าหมาย 8.2 บาท และ QH ราคาเป้าหมาย 3.3 บาท
ส่วนนางสาววิชชุดา ปลั่งมณี รองผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เกียรตินาคิน กล่าวว่า บริษัทฯ ในกลุ่มอสังหาฯที่มีความโดดเด่น แนะนำ SPALI และ LPN เนื่องจากปีนี้จะมีการรับรู้รายได้จากคอนโดมิเนียมในสัดส่วนที่แน่นอน โดยมีราคาเป้าหมายปีนี้ 12.50 บาท และ 12.10 บาท ตามลำดับ นอกจากนี้ทั้ง 2 บริษัทยังมีอัตราการจ่ายเงินปันผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีที่ประมาณ 6.5% ถือว่าอยู่ในระดับที่ดี
ด้านนายชัย จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.โนมูระพัฒนสิน กล่าวว่า หุ้นที่บริษัทแนะนำ ได้แก่ QH และ AP แนะนำ "ซื้อ" ราคาเป้าหมาย 3.12 และ 8.30 บาทตามลำดับ ส่วน LPN และ SPALI แนะนำ "ซื้อ" เช่นเดียวกันซึ่งทั้ง 2 บริษัทนี้โดดเด่นในเรื่องการจ่ายปันผล


สรุปผลประกอบการกลุ่มอสังหาริมทรัพย์งวดปี 2553

บริษัท กำไรสุทธิปี53(ลบ.) กำไรสุทธิปี52(ลบ.) เพิ่มขึ้น/(ลดลง)

1.NOBLE 998.27 278.15 +259%
2.RAIMON 97.50 (270.82) +136 %
3.METRO 61.52 (207.23) +129.69%
4.ESTAR 46.62 21.64 +115.43%
5.SIRI 1,897.73 969 +95%
6.NCH 91.81 56.08 +62%
7.RASA 114.21 73.73 +56.16%
8.SC 1,152.32 764 +50%
9.PF 550.43 403.62 +36.47%
10.LALIN 326.53 248.97 +31.45%
11.PRIN 572.50 483.89 +18.42%
12.QH 2,000 1,715 +16.61%
13.AP 2,227 1,927 +15.56%
14.SENA 316.69 284.10 +11.26%
15.LPN 1,636 1,501 +9%
16.SPALI 2,564 2,476 +3.55%
17.MK 549.18 539.77 +1.85%
18.LH 3,971.16 3,908.46 +1.60%
19.MJD 189.49 406.60 -53%
20.PS 3,488 3,621 -3.67%
รวม 22,850.96 19,199.95 +19%

รวบรวมโดย: ทีมงาน eFinanceThai.com



-----------------------------------------------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น