Code 162 : ศาลปกครองสูงสุด ระงับการประมูล 3G ต่อไป

วันพฤหัสที่ 23 กันยายน 2553
ATT Code : ศาลปกครองสูงสุด ระงับการประมูล 3G ต่อไป

----------------------------------------------------------------------------------
MARKET WAVE Analysis
23 กย. 53 ( +7.79 จุด) โกมล พงศ์วิญญู เลขทะเบียน 18338


เกิน 948.02 ขึ้นต่อ 951 – 958 จุด
แนวโน้มระยะสั้นในวันพฤหัสนี้ ถ้าเกิน 948.02 จุดสูงสุดวันพุธได้ ดัชนีสามารถปรับตัวขึ้นต่อแถว 951 – 958 จุด

แต่ถ้าไม่สามารถปรับตัวเกิน 948.02 ในวันพฤหัสได้ ดัชนีมีโอกาสที่จะปรับฐาน“ชั่วคราว” แถว 935 – 938 จุด

ขณะที่ภาพโดยรวมแล้ว ตลาดยังอยู่ในแนวโน้มหลัก “ขาขึ้น” มีเป้าหมายประมาณเดือน พย. บริเวณ 1040 – 1050 จุด หรือเท่ากับระยะทางนับจากจุดต่ำสุดวันที่ 9 มิย. ถึงจุดสูงสุดวันที่ 6 สค. ในรูปแบบของ DoubleZigzag wave

หุ้นเด่น
BAY
มีโอกาสปรับตัวในคลื่น 4 เพื่อรอขึ้นต่อคลื่น 5 ภาพระยะวัน ทยอยซื้อแถว 21.70 – 22.00 หรือซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 22.10 จุดสูงสุดวันพุธ เป้าหมายหนึ่งถึงสองวัน 22.50 – 22.80 ( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 21.60 )

PTTCHปรับตัวทะลุกรอบสามเหลี่ยม ภาพระยะวันขึ้นมาได้ ทยอยซื้อแถว 127.00 – 128.00 หรือซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 132.50 จุดสูงสุดวันพุธเป้าหมายสองสามวัน 139.00 – 144.00 ( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 124.50 )

10 อันดับซื้อขายสูงสุด
PTT เกิน 294 ขึ้น 297 - 300
PTTCH รายละเอียดใน “หุ้นเด่น”
BANPU เกิน 682 ขึ้น 688 - 694
SCB เกิน 97 ขึ้น 98 - 99
KTB เกิน 15.80 ขึ้น 16 – 16.20
KBANK เกิน 112.50 ขึ้น 114 - 116
ADVANC ไม่ต่ำกว่า 91.50 ขึ้น 93 - 94
TRUE แกว่งตัว 4.86 – 5.15
PTTEP ไม่ต่ำกว่า 144.50 ขึ้น 148 – 149
BAY รายละเอียดใน “หุ้นเด่น”

----------------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย
FSS : ตลาดอาจมีแกว่งผันผวนบ้าง แต่ยังเน้นถือเพื่อรอจังหวะขายที่ 950 หรือสูงกว่า
แนวโน้ม: FSS คาดว่าเช้านี้นักลงทุนส่วนใหญ่ยังจับตาดูผลการตัดสินของศาลปกครองสูงสุด เกี่ยวกับการยื่นอุทธรณ์ของ กทช. ต่อคำสั่งระงับการประมูล 3G ของศาลปกครองกลาง แต่มองว่า ถ้าศาลฯ ไม่รับคำอุทธรณ์ซึ่งจะทำให้การประมูลต้องระงับไว้ก่อนต่อไปนั้น น่าจะส่งผลกระทบต่อ SET ไม่มากแล้ว เนื่องจากนักลงทุนได้รับข่าวไปเรียบร้อยแล้ว และช่วงที่ผ่านมาได้มีแรงขายในหุ้นกลุ่มสื่อสารออกมาพอสมควรด้วย แต่ถ้าศาลฯ รับคำอุทธรณ์ซึ่งอาจส่งผลให้มีการเปิดประมูลต่อไป จะถือเป็นข่าวดีค่อนข้างมากต่อราคาหุ้นในกลุ่มสื่อสารและ Sentiment โดยรวมของตลาดได้ อย่างไรก็ตามจากแรงขายในตลาดหุ้นบ้านเราช่วงบ่ายวานนี้ที่มีออกมากดดันอยู่ตลอด แม้ว่าจะไม่ทำให้ SET ปรับตัวลดลง แต่ก็ส่งผลให้ดัชนีขยับขึ้นต่อเนื่องจากช่วงเช้าไม่ได้ รวมทั้งภาวะตลาดหุ้นต่างประเทศในเช้าวันนี้ที่หลายแห่งปรับตัวลงเป็นลบ ทำให้เราคาดว่า SET วันนี้จะค่อนข้างแกว่งตัวผันผวน และมีโอกาสที่จะปรับพักตัวลงไปแถว 940 จุดหรือต่ำกว่าก่อนได้ อย่างไรก็ตามจากเม็ดเงินของนักลงทุนต่างประเทศที่ยังคงมีเข้ามาในตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดเมื่อวานนี้มียอดซื้อสุทธิสูงถึงกว่า 4 พันล้านบาทอีกครั้ง ซึ่งเป็นยอดซื้อสุทธิต่อวันสูงสุดในรอบ 7 เดือนด้วย FSS จึงยังมองว่าการแกว่งตัวลงของ SET ช่วงนี้ยังเป็นจังหวะเลือกหุ้นเข้ารับเพื่อรอรอบรีบาวด์กลับขึ้นไปให้ทำกำไรได้อยู่ โดยเป้าหมายรอบนี้เรายังมองไว้ที่บริเวณ 950-960 จุดอยู่เช่นเดิม
กลยุทธ์: ตลาดอ่อนตัวลงยังเลือกหุ้นซื้อได้ แล้วแนะนำให้เน้นเป็นถือต่อเนื่อง เพื่อรอหาจังหวะ ขายทำกำไรใหม่อีกครั้งเมื่อดัชนีขึ้นไปแถว 950-960 จุด โดยหุ้นที่ยังน่าสนใจในช่วงนี้ได้แก่ STEC, CK,TTCL, SEAFCO, SYNTEC, TASCO, DCC, SPALI, LPN, TVO, KCE, SIRI, SITHAI, GFPT, PTTAR, GLOW และ BANPU เป็นต้น
ประเด็นสำคัญวันนี้
• (-) 3G ลุ้นคำตัดสินของศาลปกครองสูงสุดวันนี้ เราเชื่อว่ามีโอกาสสูงที่ศาลปกครอง สูงสุดจะยืนตามศาลปกครองกลาง คือเลื่อนการประมูล 3G ไปไม่มีกำหนด จึงมีความเสี่ยงที่ ราคาหุ้น TRUE, DTAC, ADVANC จะปรับลงอีก โดยเฉพาะ TRUE ที่อายุสัมปทานเหลือเพียง 3 ปี ขณะที่ถ้ารอ กสทช. จัดประมูล 3G อย่างเร็วคือ 2 ปี ขณะที่ทั้ง ADVANC และ DTAC น่าจะจ่ายปันผลพิเศษได้ทั้งคู่ แต่ถ้าศาลปกครองสูงสุดกลับคำตัดสินของศาลปกครองกลาง กทช. จะเดินหน้าประมูล 3G ใน 2 – 3 วันข้างหน้า ราคาหุ้นทั้ง 3 ตัว รวมไปถึงกลุ่มแบงก์ และหุ้นเก็งกำไรขนาดเล็ก JAS, JTS, SAMART, SAMTEL จะถูกเก็งกำไรอีกครั้ง TRUE น่าจะถูกเก็งกำไรมากสุด ซึ่งถ้าชนะประมูล เราจะแนะนำขาย Sell on fact หลังประกาศผลอยู่ดี สำหรับการแปรสัมปทานหรือขยายอายุสัญญาไม่ใช่ทางออกที่ดีกับผู้ประกอบการ
• (+) TTCL ชนะงานประมูลโรงไฟฟ้า SPP ของบริษัทนวนครการไฟฟ้า (ปทุมธานี) กำลัง การผลิต 110 เมกะวัตต์ มูลค่า 3.9 พันล้านบาท ทยอยรับรู้รายได้ 2 ปี (4Q10 – 3Q12) ทำ ให้ Backlog เพิ่มเป็น 1.1 หมื่นล้านบาท โครงการนี้รวมอยู่ในประมาณการของเราอยู่แล้ว บริษัทกำลังเข้าประมูลงานอีก 5.45 หมื่นล้านบาท และมีศักยภาพที่จะได้งานอีกมากในอนาคต เราคงราคาเป้าหมายปีหน้า 12 บาท แนะนำซื้อ
• (0) PTT ถอนเข้าร่วมประมูลซื้อคาร์ฟูร์ ทำให้ผู้ร่วมประมูลเหลือ 3 รายคือ BIGC, BJC, และกลุ่มบริษัทเซ็นทรัล เราเชื่อว่าทั้ง 3 รายนี้มีฐานะการเงินที่พร้อม แต่ทั้งนี้ต้องดูราคาที่ ประมูลได้ว่าจะแพงไปหรือไม่ โดย Carrefour เคยระบุว่าต้องการขายกิจการทั้ง 3 ประทศคือ ไทย มาเลเซีย และสิงคโปร์ รวม US$1,000 ล้านบาท ปี 2009 Carrefour ขาดทุน 314 ล้าน บาท ขณะที่ปี 2007 – 08 กำไรปีละ 430 – 554 ล้านบาท หุ้น BIG, BJC เป็นหุ้นพื้นฐานดีทั้ง คู่ มีศักยภาพในการเติบโตแม้ไม่มี Carrefour ราคาเป้าหมายของ BIGC ปัจจุบันเท่ากับ 68 บาท ส่วน BJC เป้าหมายของ Consensus 24.80 บาท
• Fund Flow ไหลเข้าตลาดหุ้นภูมิภาคต่อเนื่องเป็นวันที่ 8 ติดต่อกัน แม้ปริมาณไม่มาก เนื่องจากตลาดหุ้นเกาหลีใต้และไต้หวันปิดทำการ แต่เข้าซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยมากเป็น พิเศษ แม้ยังไม่มีปัจจัยใหม่เข้าสู่ตลาด แต่อย่างไรก็ตามภาวะเศรษฐกิจสหรัฐที่เฟดบอกว่ายัง น่าเป็นห่วงยิ่งกดดันค่าเงินดอลลาร์ให้เสื่อมค่าลงต่อเนื่อง ในขณะเดียวกันฝั่งปัญหาหนี้ใน ยุโรปน่าจะคลี่คลายมากขึ้นหลังการประมูลพันธบัตรได้รับการตอบสนองอย่างดี ทำให้ค่าเงินยูโรแข็งค่าขึ้นอย่างเห็นได้ชัน ดังนั้นเม็ดกระแสเงินลงทุนต่างชาติก็จะยังไหลเข้าภูมิภาคเอเชียที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงที่สุดในโลกอย่างต่อเนื่องเช่นกัน แม้ค่าเงินบาทเช้านี้ทรงตัวและธนาคารแห่งประเทศไทยอาจออกมาตรการแทรกแซงตามที่กระทรวงการคลังเสนอ แต่เชื่อว่าไม่ใช้ยาแรงและวันนี้ตลาดภูมิภาคยังปิดทำการต่อเนื่อง

ข่าวภายในประเทศ
“มาร์ค”ส่งซิกคำสั่งศาล ยื่นศาลรธน.ตีความกทช. TRUE สยองขวัญ! 3G สะดุด เชื่ออนาคตมืดมนทันที “มาร์ค” ส่งซิกคำสั่งศาลปกครองสูงสุดเช้าวันนี้ อาจส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความอำนาจ กทช. ก่อน แย้มอาจใช้โครงข่ายร่วมกัน สั่งไอซีที-คลังหาทางออกเผื่อเลือกไว้สำรอง ส่วนหุ้นTRUE สยองขวัญแน่ เหตุไลเซนส์ 3G เป็นความหวังเดียวต่อการลงทุนธุรกิจโทรคมนาคมในอนาคต เพราะที่ผ่านมาต้นทุนสูงกว่าเพื่อน แถมอายุสัมปทานระบบ 2G เหลือแค่ 3 ปี เชื่อแห้ว 3G ครั้งนี้หุ้น TRUE ไร้ความน่าสนใจทันที (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 23-09-2010)
TTCL ฮุบอีก4พันล้านงานโรงไฟฟ้านวนคร TTCL คว้างานโรงไฟฟ้ามูลค่า 4,000 ล้านบาท ของค่าย “นวนครการไฟฟ้า” รับรู้รายได้ทันทีไตรมาส 4 และรับรู้ต่อเนื่องประมาณ 1,200 ล้านบาทต่อปี งานในมือทะลุ 1 หมื่นล้านบาท ส่งผลให้ผลประกอบการทั้งปีโตตามเป้าตั้งไว้ 7-8 พันล้านบาท พร้อมเข้าประมูลงานอีก 1.75 หมื่นล้านบาท (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 23-09-2010)
DTAC ไม่สน 3G สะดุดโชว์งบ Q3 กำไร 3 พันล. DTAC แรงไม่หยุดลูกค้าใหม่เพิ่ม 2 แสนราย แม้ 3 จีคลุมเครือ เชื่อ กสทช. เกิดได้อีก 2 ปีข้างหน้า โบรกฯแห่เชียร์ซื้อลงทุนประเมินกำไร Q3 ทะลุ 3,000 ล้านบาท จากรายได้รวม 19,000 ล้านบาท แรงผลักขายสมาร์ทโฟน-นอนวอยซ์และบันทึกค่าไอซีกว่า 700 ล้านบาท (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 23-09-2010)
MK ยอดขายพุ่ง 1.7 พันล้านบาท ปีนี้รายได้ 2.8 พันล้านต่ำกว่าเป้า Q4 เปิด 2 โครงการ MK ยอดขายพุ่ง 1,700 ล้านบาท แต่ทั้งปีคาดทำได้ 2,800 ล้านบาท ต่ำกว่าเป้า 3,000 ล้านบาท เหตุบางโครงการเปิดล่าช้า ขณะที่รายได้ปีนี้หลุดเป้าทำได้แค่ 2,800 ล้านบาท ส่วนไตรมาส 4 ลุยเปิด 2 โครงการ มูลค่า 1,200 ล้านบาท เร่งระบายสต๊อกบ้านสร้างก่อนขาย 100 หลัง มูลค่ารวม 400 ล้านบาทให้หมดภายในปีนี้ ล่าสุดจับมือ BAYจัดแคมเปญจับแจกทองคำแท่งหนัก 25 บาท สำหรับลูกค้าที่ซื้อบ้านสร้างก่อนขายของ “ชวนชื่น” และใช้บริการสินเชื่อของ BAY ตั้งแต่วันนี้ ถึง 31ธ.ค.นี้ (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 23-09-2010)
QH เปิดแบรนด์ใหม่รุกบ้านหรูเสริมทัพบุกตลาด 5.99-14 ล้าน “ควอลิตี้ เฮ้าส์” เปิดแบรนด์ใหม่บ้านหรู “วรารมย์ Premium” เจาะกลุ่มลูกค้าตลาดบ้านระดับ 5.99-14 ล้านบาท นำร่องเปิดโครงการแรก “วรารมย์ Premium วัชรพล-จตุโชติ” มูลค่ากว่า 1,700 ล้านบาท ประเดิมราคาเริ่มต้น5.99 ล้านบาท ขณะที่โบรกฯแนะนำ "ซื้อ" ราคาเป้าหมายปีหน้า 3.30 บาท หลังแนวโน้มการขายคอนโดฯดีขึ้นต่อเนื่อง คงประมาณการกำไรปีนี้โต 22.71% (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 23-09-2010)
TYM จ่อดึงพันธมิตรลุยโรงเหล็ก ลั่นใช้เงินลงทุนพันล้าน ย้ำกำไรปีนี้โตตามนัด 20% TYM จับมือพันธมิตรลงทุนสร้างโรงเหล็ก ใช้เงินลงทุนกว่า 1,000 ล้านบาท คาดได้เห็นปีหน้า ขณะที่อยู่ระหว่างเจรจาพันธมิตร 2-3 ราย เตรียมเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 16 ชม./วัน หลังมีออเดอร์ล่วงหน้ายาวถึงเดือนตุลาคม และรองรับลูกค้าใหม่ที่จะเข้ามาด้วย ย้ำรายได้-กำไรทั้งปีโต 20% ตามเป้า (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 23-09-2010)
MILLเพิ่มทุน 258 ล้านบาทปันผลครึ่งปีแรก 0.03 บาท MILL เพิ่มทุน 258.27 ล้านบาท ออกเป็นหุ้นสามัญและหุ้นบุริมสิทธิรวมกว่า 645.68 ล้านหุ้น เสนอขายนักลงทุนเฉพาะเจาะจง ราคาขายสูงกว่าตลาด ดึงสถาบันการเงินยุโรปร่วมทุน พร้อมปันผลระหว่างกาล 0.03 บาท/หุ้น กำหนดจ่าย 12 พ.ย. 53 นี้ (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 23-09-201

E Finance Thai : ดัชนีทุบสถิติ14ปี-เตือนพันจุดเกินพื้นฐาน
ดัชนีหุ้นไทยทุบสถิติสูงสุดในรอบ 14 ปี!! แตะ 948.02 จุด โบรกเกอร์-ผู้จัดการกองทุน-นักลงทุนรายใหญ่ ประสานเสียงได้เห็น 1000 จุดแน่ ภายในสิ้นเดือนนี้-ต้นเดือนหน้า เหตุฝรั่งยังขนเงินซื้อสุทธิต่อเนื่องอย่างน้อยอีก 1-2 สัปดาห์ ด้านนักวิเคราะห์แนะเลือกซื้อหุ้นพื้นฐานดี ผลประกอบการไตรมาส3/53 แจ่ม กลุ่มธนาคารเด่นสุด ส่วน "เสี่ยปู่"เตือนราคาหุ้นเกินพื้นฐานแล้ว ไล่ซื้อระวังติดยอดดอย
อานิสงส์เงินทุนต่างชาติที่ไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยต่อเนื่องช่วยดันดัชนีหุ้นไทยทำสถิติใหม่อีกครั้ง โดยวันนี้(22 ก.ย.53)ดัชนีพุ่งขึ้นแตะ 948.02 จุด สูงสุดในรอบ 14 ปี นับตั้งแต่ปี 39 ก่อนที่จะย่อตัวลงมาปิดที่ระดับ 945.00 จุด เพิ่มขึ้น 7.79 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 42,363.19 ล้านบาท
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ ผู้จัดการกองทุน และนักลงทุนรายใหญ่ ต่างมองเหมือนกันว่าดัชนีหุ้นไทยจะขึ้นไปแตะ 1000 จุด ค่อนข้างแน่ โดยอาจจะเห็นเร็วกว่าที่คาดไว้คือช่วงสิ้นเดือนนี้-ต้นเดือนหน้า เนื่องจาก Fund Flow ยังมีแนวโน้มไหลเข้าตลาดหุ้นต่อเนื่อง หลังจากซื้อสุทธิไปแล้วกว่า 1 แสนล้านบาท โดยบางแห่งระบุว่าฝรั่งจะยังซื้อสุทธิต่ออีกอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ ก่อนที่จะทยอยขายออกในช่วงเดือนตุลาคม
ส่วนกลยุทธ์การลงทุนมีมุมมองที่แตกต่างกันออกไป โดยผู้จัดการกองทุนเชื่อว่าตลาดหุ้นไทยเข้าสู่ภาวะ"Bull Market"แล้ว ดังนั้นจึงยังสมารถเข้าซื้อหุ้นพื้นฐานดีได้อยู่ ขณะที่นักลงทุยรายใหญ่เตือนว่าดัชนีหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นมามาก ราคาหุ้นบางตัวเกินพื้นฐานแล้ว ดังนั้นจึงต้องใช้ความระมัดระวังในการลงทุน ส่วนนักวิเคราะห์แนะซื้อหุ้นที่กำลังจะประกาศผลประกอบการไตรมาส 3/53 อย่างธนาคารพาณิชย์ และกลุ่มพลังงานที่ได้รับความสนใจจากต่างชาติ

*****กิมเอ็งมั่นใจได้เห็น1000จุด สิ้นเดือนนี้-ต้นเดือนหน้า
นางสาวมยุรี โชวิกรานต์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กิมเอ็ง กล่าวว่า มีโอกาสที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยจะขึ้นไปแตะที่ระดับ 1000 จุดในสิ้นเดือนนี้หรือต้นเดือนหน้า เนื่องจากเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติยังไหลเข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่อง และจะเพิ่มมากขึ้นหลังผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ส่งสัญญาณผ่อนคลายนโยบายทางการเงิน ดังนั้น เม็ดเงินต่างชาติจะไหลมาลงทุนในภูมิภาคเอเชียแน่นอน เพราะนักลงทุนยังไม่มั่นใจที่จะนำเงินลงทุนในยุโรปและสหรัฐ หลังยังกังวลภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของทั้ง 2 ประเทศ
ทั้งนี้ บริษัทจะไม่มีการปรับคาดการณ์ดัชนีตลาดหุ้นไทยใหม่ เพราะเดิมได้คาดการณ์ไว้อยู่แล้วว่าจะปรับขึ้นไปถึง 1000 จุดในปีนี้ และในช่วงนี้หุ้นกลุ่มที่น่าสนใจ บริษัทให้น้ำหนักกับกลุ่มธนาคารพาณิชย์ เพราะเป็นช่วงของการประกาศผลประกอบการไตรมาส 3 ซึ่งเมื่อเทียบ YOY และ QOQ กลุ่มแบงก์น่าจะโดดเด่นที่สุด
ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุน แนะนำซื้อหุ้นบิ๊กแคป โดยเฉพาะกลุ่มแบงก์ แนะนำ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)หรือ KTB และธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK ส่วนกลุ่มพลังงาน แนะนำ บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP แต่คงไม่สามารถให้ราคาเป้าหมายได้ เพราะช่วงนี้ราคาขึ้นเคลื่อนไหวตามแรงซื้อของต่างชาติ
ด้านนายเจริญ เอี่ยมพัฒนธรรม รองกรรมการผู้จัดการ บล.เคที ซีมิโก้ กล่าวว่า คาดว่าภายในปีนี้น่าจะได้เห็นดัชนีที่ 1000 จุดอย่างแน่นอนหากเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติยังไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เพราะตามประมาณการเดิมของบริษัทก็คาดการณ์ไว้อยู่แล้ว และคงไม่ต้องปรับเปลี่ยนเป้าหมายดัชนีใหม่
สำหรับหุ้นที่น่าลงทุนในช่วงนี้ น่าจะเป็นกลุ่มแบงก์และพลังงาน โดยกลยุทธ์การลงทุนช่วงนี้ ควรถือไว้ก่อนเพื่อความปลอดภัย เพราะในช่วงนี้เงินไหลเข้าออกของต่างชาติคาดการณ์ได้ยาก อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรจะเทขายทำกำไรเป็นบางส่วนด้วยหากดัชนีปรับเพิ่มขึ้นไปอีก เพื่อรอจังหวะที่ดัชนีปรับลดลงจะได้มีเงินเข้าไปซื้อได้

***** บลจ.อยุธยาคอนเฟิร์มหุ้นไทยเข้าสู่ภาวะ"Bull Market"
นายประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.)อยุธยา จำกัด กล่าวว่า การเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นในช่วงที่ผ่านมา เป็นการยืนยันว่า หุ้นไทยเข้าสู่ภาวะ "Bull Market" โดยเป็นการเพิ่มในอัตราที่สูง และยังมีโอกาสที่จะปรับขึ้นได้ต่อเนื่อง แม้จะเกิดการปรับฐานบ้างเป็นระยะก็ตาม อย่างไรก็ตามคาดว่า ดัชนีหุ้นไทยในสิ้นปีนี้จะขึ้นไปแตะระดับ 1,000-1,050 จุดได้ เพราะมีปัจจัยบวกจากกระแสเงินลงทุนที่ยังมีแนวโน้มที่จะไหลเข้ามาในเอเชีย รวมถึงไทย ขณะที่กำไรของบริษัทจดทะเบียนยังเติบโตได้ 15-20% และค่าพี/อี ที่เฉลี่ยแล้ว ยังต่ำกว่าภูมิภาค
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นไทยยังได้แรงหนุนจากพื้นฐานเศรษฐกิจที่ดี ความมั่นใจใน ภาคธุรกิจต่างๆ ที่เพิ่มขึ้น รวมถึงความคืบหน้าของโครงการลงทุนรถไฟความเร็วสูง ที่จะ
เป็นตัวแปรในการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ เพราะจะทำให้เกิดการก่อสร้างทางรถไฟทั่วประเทศ และทำให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เติบโตตามมา และการมีรถไฟความเร็วสูงเกิดขึ้น จะทำให้การท่องเที่ยว การค้าขาย และ การเชื่อมต่อระหว่างไทยกับเอเชีย มีประสิทธิภาพมากขึ้นในอนาคต ทั้งนี้ ยังมีหุ้นที่สามารถเห็นการเติบโตของกำไรได้ในระดับ 20-30% ต่อปี ในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นกลุ่มที่น่าสนใจเข้าลงทุน

***** "เสี่ยปู่"เชื่อได้เห็นพันจุด แต่เตือนราคาหุ้นแพงแล้ว
นายสมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล หรือเสี่ยปู่ นักลงทุนรายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยกับ eFinanceThai.com ว่า หลังจากที่ SET Index ปรับขึ้นแรง
เกือบแตะ 1,000 จุด โดยส่วนตัวต้องการเตือนให้นักลงทุนระวังระมัด เนื่องจากมีความเสี่ยงสูง เพราะราคาหุ้นในกระดานสูงกว่าปัจจัยพื้นฐานมากแล้ว ซึ่งไม่เหมาะสำหรับการเข้าไปลงทุน โดยส่วนตัวในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมาจึงลดพอร์ตการลงทุนมูลค่าหลายพันล้านบาทลง
"ราคาหุ้นแพงเกินไปแล้ว ผมจึงลดพอร์ตการลงทุน โดยที่ผ่านมาขายหุ้น CPF แต่หุ้นที่ยังถูก พื้นฐานดีผมยังถือไว้ ส่วนหุ้นที่ขายออกมาแล้วถ้าราคาถูกลงคงกลับเข้าไปซื้อเพิ่ม สำหรับดัชนีฯ ในปีนี้มีโอกาสถึง 1,000 จุด ไหม ส่วนตัวคาดว่าน่าจะมีโอกาสถึง เพราะเหลือไม่กี่จุด ต่างชาติยังคงเข้ามาลงทุนในไทย เพราะมองว่าหุ้นในภูมิภาคนี้ยังถูก ได้รับผลดีจากอัตราแลกเปลี่ยน ดีกว่าการลงทุนในยุโรปและอเมริกา' นายสมพงษ์ กล่าว
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาหลังจากดัชนีฯ ปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนไปแล้วประมาณ 30-40% โดยหุ้นที่เลือกลงทุนส่วนใหญ่จะเน้นปัจจัยพื้นฐานที่ดี จ่ายเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งราคาไม่สูงมากเกินไป

***** ASPคาดฝรั่งขนเงินซื้ออีกอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์
บทวิเคราะห์ บล.เอเซียพลัส(ASP) ระบุว่า Fund Flow ไหลเข้าตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง โดยรอบแรกของปีนี้เข้ามาแล้วเกือบ 6 หมื่นล้านบาท ขณะที่ในรอบนี้นับจากวันที่ 23 ก.ค. 53 เป็นต้นมา มียอดซื้อสุทธิเข้ามาแล้ว 4.1 หมื่นล้านบาท ซึ่งแรงซื้อที่เพิ่มขึ้นในช่วงนี้เป็นไปในลักษณะเดียวกับประเทศเพื่อนบ้าน ที่เข้ามาซื้อสุทธิในตลาดหุ้นภูมิภาคเอเชียเกือบทุกแห่ง ด้วยมูลค่าราว 290 ล้านเหรียญฯ และเป็นการเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นวันที่ 3
ปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้ค่าเงินในภูมิภาคเอเชียตั้งแต่ต้นสัปดาห์ถึงปัจจุบันแข็งค่าขึ้นเฉลี่ยราว 0.37% ขณะที่ค่าเงินบาทยังคงทรงตัวใกล้ระดับแข็งค่าสุดในรอบ 13 ปี ที่ 30.74 บาทต่อเหรียญฯ เนื่องจาก Fund Flow ยังคงไหลเข้าในตลาดตราสารหนี้อีก 3.7 พันล้านบาททำให้ยอดซื้อสุทธิในตลาดตราสารหนี้ จากต้นปีจนปัจจุบันสูงราว 1.74 แสนล้านบาท
ด้วยปัจจัยดังกล่าวข้างต้นฝ่ายวิจัยจึงคาดหมายว่าFund Flow น่าจะยังคงไหลเข้าต่ออีกอย่างน้อยราว 1-2 สัปดาห์ และเป็นปัจจัยสำคัญหนุนให้ SET ผ่านแนวต้าน 944 จุด และสร้างจุดสูงสุดใหม่ในรอบปีนี้ได้อีกครั้ง ก่อนที่ Fund Flow จะเริ่มไหลออกในช่วงเดือน ต.ค. ตามผลของฤดูกาล

***** KGIชี้บาทแข็งค่าต่อเนื่องหนุนทุนไหลเข้า
บทวิเคราะห์ บล.เคจีไอ(KGI) ระบุว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยมีแรงหนุนจากความชัดเจนที่มากขึ้นใน 2 ประเด็นหลักๆ เรื่องแรกคือมาตรการคุมเงินทุนไหลเข้าในตลาดพันธบัตร หลังจากผู้ว่า ธปท. ชี้ว่าทุนต่างชาติที่เข้าตลาดพันธบัตรเป็นเรื่องปกติในระดับภูมิภาค และจะยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายในระยะนี้ ซึ่งเรามองว่าจนกว่าดร. ธาริษาจะเกษียณอายุในสิ้นเดือน ก.ย. คงยังไม่มีอะไรน่ากลัวประกาศออกมา เรื่องที่สองคือการประชุม ธ.กลางสหรัฐฯ (เฟด)ตรึงดอกเบี้ยไว้ที่ 0-0.25% แต่เตือนถึงการว่างงานสหรัฐฯ ที่อยู่ในระดับสูงและที่สำคัญกว่านั้นและเป็นการเตือนครั้งแรกคือความเสี่ยงของเงินฝืด (Deflation) เราจึงมองว่ามีโอกาสสูงที่เฟดจะมีมาตรการเพิ่มสภาพคล่องในระบบอีกในอนาคตอันใกล้
จากปัจจัยต่างๆ ที่กล่าวมา KGI คาดว่าค่าเงินเอเชียและเงินบาทจะแข็งค่าต่อ เนื่องจากสัญญาณอ่อนแรงของสหรัฐฯ ผนวกกับมาตรการที่อาจออกเพิ่มในอนาคต น่าจะกลับมากดดันสกุลเงินดอลล่าร์ฯ อีกครั้ง ซึ่งจะทำให้เงินทุนไหลเข้ามาในเอเชียต่อเนื่อง


----------------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ตปท.
ข่าวต่างประเทศ

สหรัฐอเมริกา: สหรัฐเผยสต็อกน้ำมันดิบสัปดาห์ที่แล้วเพิ่มขึ้นเหนือความคาดหมาย 970,000 บาร์เรล สำนักงานสารสนเทศด้าน
การพลังงานของรัฐบาลสหรัฐเปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุด ณ วันที่ 17 ก.ย.เพิ่มขึ้น 970,000 บาร์เรล สู่ระดับ 358.34 ล้านบาร์เรล สวนทางกับที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะลดลง 1.9 ล้านบาร์เรล ขณะที่สต็อกน้ำมันกลั่นเพิ่มขึ้น 347,000 บาร์เรล มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 300,000 บาร์เรล และสต็อกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 1.59 ล้านบาร์เรล แตะที่ระดับ 226.06 ล้านบาร์เรล สวนทางกับที่คาดว่าจะลดลง 100,000 บาร์เรล ส่วนอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันเพิ่มขึ้น 0.2% สู่ระดับ 87.8% สวนทางกับที่คาดว่าจะลดลง 0.6%(ที่มา: อินโฟเควสท์ 23-09-2010)
เอเชีย: อินโดนีเซียปรับเพิ่มคาดการณ์จีดีพีปีหน้าเป็น 6.4% หลังแนวโน้มการลงทุนสดใส อินโดนีเซียปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจปี 2554 เป็น 6.4% จากเดิมซึ่งคาดการณ์ไว้ที่ 6.3% เนื่องจากรัฐบาลมีมุมมองที่เป็นบวกต่อแนวโน้มการลงทุน อันเนื่องมาจากการคาดการณ์ที่ว่าอันดับความน่าเชื่อถือตราสารหนี้ของประเทศจะได้รับการปรับปรับทบทวนขึ้นในปีหน้า (ที่มา: อินโฟเควสท์ 22-09-2010)
เอเชีย: ขุนคลังอินโดนีเซียประกาศแผนขึ้นสัดส่วนภาษีจากเดิมที่ระดับ 12% นายอากุส มาร์โตวาร์โดโจ รัฐมนตรีคลังอินโดนีเซียประกาศแผนขึ้นสัดส่วนภาษีจากระดับ 12% ในปัจจุบัน ระบุสัดส่วนภาษีของอินโดนีเซียอยู่ในระดับที่ต่ำมากเมื่อเทียบกับสัดส่วนภาษีที่ 30% ในกลุ่มประเทศสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ อินโดนีเซียถูกมองว่าเป็นประเทศที่มีสัดส่วนภาษีน้อยที่สุดในกลุ่มประเทศอาเซียน เมื่อเทียบระหว่างรายได้ภาษีกับตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) (ที่มา:อินโฟเควสท์ 22-09-2010)
เอเชีย: บอร์ดแบงค์ชาติญี่ปุ่นแย้มบีโอเจอาจผ่อนคลายนโยบายการเงินอีกหลังแนวโน้มศก.สหรัฐยังผันผวน ริวโสะ มิยาโอะ หนึ่งในสมาชิกคณะกรรมการธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) กล่าวว่า บีโอเจอาจจะผ่อนคลายการดำเนินการด้านการเงินเพิ่มเติมอีก ขณะที่บีโอเจยังคงระมัดระวังและเตรียมความพร้อมอยู่ตลอด หลังจากที่แนวโน้มของเศรษฐกิจสหรัฐมีความผันผวนมากยิ่งขึ้น สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า บอร์ดของบีโอเจรายนี้ กล่าวปราศรัยที่เมืองโตคูชิม่าวันนี้ว่า บีโอเจจะยังคงคิดตามสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและราคาต่อไป และจะดำเนินการและใช้วิธีการที่เหมาะสมอย่างทันท่วงที หากพิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นเรื่องที่จำเป็น ตอนนี้แนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐมีความผันผวนสูง ญี่ปุ่นจึงต้องระวังปัจจัยเสี่ยงที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศ (ที่มา: อินโฟเควสท์ 22-09-2010)
เอเชีย: ธนาคารกลางมาเลเซียเผยสำรองเงินตราต่างประเทศสูงขึ้นแตะ 9.59 หมื่นล้านดอลล์ ธนาคารกลางมาเลเซียเปิดเผยว่า ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของมาเลเซีย ณ วันที่ 15 ก.ย. 2553 อยู่ที่ 3.133 แสนล้านริงกิต (9.59 หมื่นล้านดอลลาร์) ซึ่งสูงขึ้นจากระดับ 3.113 แสนล้านริงกิต (9.52 หมื่นล้านดอลลาร์) เมื่อวันที่ 30 ส.ค. สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สำรองเงินตราต่างประเทศของมาเลเซียนั้น สูงกว่าหนี้ต่างประเทศระยะสั้นอยู่ 4.3 เท่า (ที่มา: อินโฟเควสท์ 22-09-2010)

----------------------------------------------------------------------------------

1 ความคิดเห็น: