Code 190 : เด้งรับ QE2

วันศุกร์ที่ 5 พฤศจิกายน 2553
ATT Code : เด้งรับ QE2

ปิโตรฯ-พลังงาน รับอานิสงส์ QE2
ฟันธง! หุ้นกลุ่มปิโตรเคมี และพลังงาน จะได้รับอานิสงส์จากมาตรการ QE2 ของสหรัฐฯ ชู PTTCH-TPC เด่นสุด มี upside ราว 33% และ 17% ตามลำดับ ด้าน ธปท. เตรียมเดินหน้าหารือ ตลท. รับมือเงินทุนไหลเข้า ขณะที่นายแบงก์มองจะกดดันเงินบาทแข็งค่าต่อ
เงินทุนต่างชาติยังไหลเข้าไทยอย่างต่อเนื่อง หลังธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น (fed funds rate) ไว้ที่ระดับ 0-0.25% และประกาศใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณรอบสอง หรือ QE2 ดันดัชนีตลาดหุ้นไทยวันที่ 4 พ.ย.53 ปิดบวกไป 17.41 จุด หรือ 1.72% มาปิดที่ระดับ 1,031.61 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 54,024.50 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างชาติยังซื้อสุทธิต่อเนื่องอีก 739.73 ล้านบาท จากวันก่อนซื้อสุทธิเกือบ 2,000 ล้านบาท
ส่วนค่าเงินบาทปิดตลาดที่ระดับ 29.69-29.70 บาทต่อดอลลาร์ โดยระหว่างวันเคลื่อนไหวแข็งค่าสุดที่ 29.69 บาทต่อดอลลาร์ และอ่อนค่าสุดที่ 29.74 บาทต่อดอลลาร์ ขณะที่นักวิเคราะห์ชี้ หุ้นกลุ่มปิโตรเคมี และพลังงาน จะได้รับอานิสงส์สูงสุด* เฟด คงดบ. 0-0.25% พร้อมใช้ QE2
โดยเมื่อคืนวันที่ 3 พ.ย.53 ตามเวลาประเทศไทย เฟด ได้ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นไว้ที่ระดับ 0-0.25% และประกาศใช้มาตรการ QE2 โดยการเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวเพิ่มอีก 6 แสนล้านดอลลาร์ภายในกลางปีหน้า กำหนดระยะในการเข้าซื้อ 7.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน เพื่อที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวและเพื่อทำให้ต้นทุนการกู้ยืมลดต่ำลง
พร้อมกันนี้ เฟด ระบุว่า จะยังคงรักษาอัตราดอกเบี้ยให้อยู่ในระดับต่ำเป็นพิเศษต่อไปอีกระยะ และจะพิจารณาการใช้นโยบายที่จำเป็นในการพยุงเศรษฐกิจ เนื่องจากเศรษฐกิจในปัจจุบันฟื้นตัวล่าช้า แม้ตัวเลขการใช้จ่ายภาคครัวเรือนเริ่มฟื้นตัวขึ้น แต่ก็ยังคงถูกจำกัดด้วยอัตราว่างงานที่อยู่ในระดับสูง ขณะที่รายได้ของประชาชนขยายตัวปานกลางและภาวะสินเชื่อยังคงตึงตัว นอกจากนี้ ตัวเลขการใช้จ่ายด้านทุนในสหรัฐปรับตัวขึ้น แต่ก็ยังช้ากว่าในปีที่แล้ว ขณะที่อัตราว่างงานยังสูงมากเนื่องจากกลุ่มนายจ้างยังคงลดการจ้างงาน

* โบรกฯ ชี้หุ้นพลังงาน-ปิโตรฯ รับผลดีเต็มๆ
ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.กิมเอ็ง ระบุว่า กลุ่มพลังงานและกลุ่มปิโตรเคมี รวมถึงสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ เป็นบวก จากผลของ QE2 นี้จะทำให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนไปโดยปริยาย เพราะปริมาณเงินที่เพิ่มขึ้นในระบบการเงินสหรัฐฯ ภายใต้อัตราดอกเบี้ยต่ำต่อไปอีกไม่ต่ำกว่า 6 เดือนข้างหน้า ย่อมทำให้เงินทุนไหลกลับเข้าเก็งกำไรสินค้าโภคภัณฑ์ อย่างน้ำมัน ซึ่งจะเป็นประเด็นบวกต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์ทางอ้อมด้วยเช่นกัน
นอกเหนือจากประเด็นค่าเงินดอลลาร์แล้ว เชื่อว่าตลาดจะกลับมาหยิบประเด็นเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่มีความเสี่ยงต่อการถดถอยน้อยลง ความต้องการใช้และบริโภคสินค้าโภคภัณฑ์ ย่อมฟื้นตัวในท้ายที่สุด* ชู PTTCH-TPC โดดเด่นนำตลาดต่อ
ขณะที่ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.เอเซียพลัส ระบุว่า จากการศึกษาผลกำไรของตลาดในปี 2554 พบว่าแม้ EPS growth จะอยู่ในระดับเพียง 14% เมื่อเทียบกับ EPS Growth ปี 2553 ที่ระดับ 20% แต่หากพิจารณาเป็นรายกลุ่มพบว่า กลุ่มปิโตรเคมี มีอัตราเติบโตมากกว่าตลาด โดยเติบโตสูงสุดราว 33% และเมื่อพิจารณาเป็นรายหุ้นพบว่า มี PTTCH และ TPC มีอัตราการเติบโตสูงสุด 2 อันดับแรก
ขณะที่ระยะสั้นยังมีปัจจัยบวกจากราคาสินค้าที่ขยับเพิ่มขึ้น เนื่องจากสถานการณ์ที่ผลผลิตใหม่ๆ ออกสู่ตลาดน้อยกว่าคาด ประกอบกับเป็นผลของฤดูกาล โดยเฉพาะฤดูหนาวเย็น ทำให้สินค้าในหมวดเสื้อผ้าและเครื่องนุ่งห่มเป็นที่ต้องการของผู้บริโภค ได้ผลักดันให้ราคาสินค้าในกลุ่มปิโตรเคมีฟื้นตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 โดยเฉพาะสายอะโรเมติกส์ (TOP, PTTAR, ESSO) ดังที่กล่าวแล้วว่า ราคาพาราไซลีน (Px) ปรับตัวขึ้นสูงสุดในรอบ 2 ปี ตามมาด้วยราคาเม็ดพลาสติก HDPE ซึ่งอยู่ในสายโอเลฟินส์ (PTTCH) ก็ปรับตัวขึ้นสูงสุดในรอบ 6 เดือน ส่งผลให้ Spread ของราคาสินค้า กับต้นทุน (เช่น Px-แนฟต้า และ HDPE-เอทิลีน) ขยับขึ้นอย่างมาก
ทำให้นักวิเคราะห์กลุ่มปิโตรเคมีของ ASP คาดหมายว่าผลกำไรของกลุ่มปิโตรเคมีจะสดใสในงวด 4Q53 และต่อเนื่องในปี 2554 ด้วยเหตุนี้ฝ่ายวิจัย เชื่อว่าหุ้นกลุ่มปิโตรเคมีจะยังคงนำตลาดต่อไป ตราบเท่าที่ยังไม่มีปัจจัยบวกใหม่ๆ ที่เด่นกว่านี้ จึงแนะนำหุ้น PTTCH, TPC เป็น Top picks ต่อไป โดยราคาปิดวานนี้ พบว่าราคาหุ้นทั้ง 2 บริษัท ยังมี upside ราว 33% และ 17% ตามลำดับ

* เจพีมอร์แกน คาดน้ำมันดิบจะพุ่งแตะ 100 ดอลล์ปีหน้า
ด้านรายงานข่าวบนเว็บไซต์บลูมเบิร์กดอทคอมระบุว่า เจพีมอร์แกนเชสแอนด์โคคาดว่าราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกอาจเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 100 ดอลลาร์/บาร์เรลในปีหน้า หลังธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟดออกมาตรการ QE2 ซึ่งจะทำให้เงินลงทุนไหลเข้าตลาดสินค้าโภคภัณฑ์
"มาตรการดังกล่าวจะผลักดันให้ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น ในหลายปีที่ผ่านมาเราต่างทราบว่า เมื่อสภาพคล่องในระบบมีอยู่สูง และเมื่อต้นทุนทางการเงินยิ่งอยู่ในระดับต่ำเท่าใด เงินลงทุนยิ่งไหลเข้าสู่ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์มากเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งน้ำมัน" นายอันโทนี ฮัลฟ์หัวหน้านักวิจัยที่เจพีมอร์แกนระบุ
ทั้งนี้ ในปีนี้ ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับเพิ่มขึ้นมาแล้ว 6.7% ซึ่งยังคงเป็นระดับที่ต่ำเมื่อเทียบกับสินค้าโภคภัณฑ์ประเภทอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งราคาทองคำที่เพิ่มขึ้นไปแล้ว 22% * ธปท. เล็งหารือ ตลท. รับมือเงินทุนไหลเข้า
นางสาววชิรา อารมณ์ดี ผู้อำนวยการฝ่ายกำกับการแลกเปลี่ยนเงินและสินเชื่อ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวยอมรับว่ามีความเป็นห่วงถึงกระแสเงินทุนที่อาจจะไหลเข้ามาในประเทศ ภายหลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ได้ใช้มาตรการเชิงปริมาณรอบที่ 2 (QE2) แม้ว่าวงเงินที่ออกมาจะอยู่ในช่วงที่ตลาดได้คาดการณ์ไว้ และจะทยอยออกในช่วงกลางปี
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ตลาดได้ปรับขึ้นตอบรับการคาดการณ์ไปก่อนแล้ว ดังนั้น ผลสรุปที่ออกมาจึงไม่ได้สร้างความกังวลต่อตลาดในเช้าวันนี้มากนัก เช่น ตลาดหุ้นในญี่ปุ่นและออสเตรเลีย ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงเช้าของวันที่ 4 พ.ย.53
ทั้งนี้ ธปท.จะติดตามสถานการณ์ต่างๆ อย่างระมัดระวังว่าจะมีผลต่อค่าเงินบาทอย่างไร ซึ่งในเบื้องต้นจะเข้าไปหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับตลาดหลักทรัพย์ก่อน สำหรับความจำเป็นที่จะต้องออกมาตรการจัดการเงินทุนไหลเข้าเพิ่มเติมนั้น มองว่าต้องมีความระมัดระวังเนื่องจากเป็นเรื่องระยะยาวและต้องติดตามสถานการณ์ตลอดเวลา

* นายแบงก์เชื่อบาทยังแข็งต่อ จับตาสหรัฐฯ กระตุ้น ศก.อีกรอบ
นายวินิจ แสงอรุณ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการผู้บริหารกลุ่มปฏิบัติการธุรกิจระหว่างประเทศ สายงานปฏิบัติการ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB เปิดเผยว่า ทิศทางค่าเงินบาทยังอยู่ในช่วงที่จะแข็งค่าต่อเนื่อง แม้ว่าการออกนโยบาย QE2
โดยมองว่า การเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทยังคงสอดคล้องกับค่าเงินอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชีย ที่เฉลี่ยตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาแข็งค่าขึ้นแล้ว 9-10%
นอกจากนี้ แนวโน้มการออกมาตรการดังกล่าวรอบที่ 3 (QE3) คาดว่ายังคงต้องใช้ระยะเวลาอีกสักพักหนึ่งเพื่อติดตามผลกระทบจากการออกมาตรการ QE2 ก่อน ว่าจะสามารถกระตุ้นให้ตลาดสหรัฐฯ มีการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจได้หรือไม่ ซึ่งประเด็นที่ต้องติดตามเป็นพิเศษ คือ ปัญหาทางการเมืองของสหรัฐฯ โดยเฉพาะการเลือกตั้ง ส.ส.ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ พรรคเดโมแครต ได้คะแนนเสียงน้อยกว่าสมาชิกของพรรครีพับลิกัน ภายหลังจากที่ประชาชนเห็นว่านโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจที่นำโดยนายบารัค โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ไม่เกิดผลที่ดีขึ้นมากนัก ขณะเดียวกันการว่างงานยังคงสูง ดังนั้นจึงสะท้อนออกมาจากผลคะแนนดังกล่าว ซึ่งหากการกระตุ้นรอบนี้ไม่เป็นผลก็จะยิ่งเป็นการกดดันฝ่ายรัฐบาลที่จะออกมาตรการเพิ่มเติมอีก* PTTAR เชื่ออานิสงส์ QE2 ดันราคาสินค้าโภคภัณฑ์พุ่ง นายบวร วงศ์สินอุดม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. อะโรเมติกส์และการกลั่น จำกัด (มหาชน) หรือ PTTAR เปิดเผยว่า แนวโน้มผลประกอบการในไตรมาส 4/53 คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาส 3/53 เนื่องจากราคาผลิตภัณฑ์ในไตรมาสนี้มีแนวโน้มที่สูงขึ้นจากไตรมาสก่อน เพราะความต้องการใช้ปิโตรเคมียังมีอยู่ต่อเนื่อง
ขณะที่กำลังผลิตที่คาดว่าจะเข้ามาสู่ตลาดลดลงหรือชะลอออกไป ประกอบด้วยอิหร่านที่เกิดเหตุคว่ำบาตร ได้หยุดผลิตปิโตรเคมีและหันไปผลิตน้ำมันเบนซินมากขึ้น อีกทั้งกำลังผลิตที่คาดว่าจะเข้ามาของโรงงานปิโตรเคมีได้เลื่อนออกไป
ประกอบกับโรงงาน PTA ที่เกิดขึ้นในจีนและอินเดียยังเป็นปัจจัยบวกที่ส่งผลให้ความต้องการใช้พาราไซลีน (Px) ไปเป็นวัตถุดิบในการผลิต ซึ่งเป็นผลิตหลักที่บริษัทผลิตและจำหน่ายมีเพิ่มสูงขึ้น นอกจากนี้มองว่าหลังจากที่ เฟด ได้มีมติดำเนินการมาตรการ QE อัดฉีดเงิน 600,000 ล้านดอลลาร์ เข้าสู่ระบบ ถือเป็นตัวแปรเชิงบวก เนื่องเม็ดเงินส่วนหนึ่งจะเข้ามาเก็งกำไรในสินค้าโภคภัณฑ์หนุนให้ราคาในตลาดโลกมีทิศทางที่จะปรับเพิ่มขึ้น

* IRPC ชี้ Q4/53 เข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจน้ำมัน-ปิโตรเคมี
นายอธิคม เติบศิริ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานธุรกิจองค์กร บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC เปิดเผยว่า บริษัทฯ คาดว่าแนวโน้มผลประกอบการในไตรมาส 4/53 จะปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาส 3/53 เนื่องจากในไตรมาสนี้ถือเป็นช่วง High Season ของธุรกิจโรงกลั่น โดยมาจากความต้องการใช้น้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นในช่วงฤดูหนาว ส่งผลให้มีความต้องการใช้น้ำมันเพื่อสร้างความอบอุ่น (Heating Oil) จึงคาดว่าประเด็นดังกล่าวจะส่งผลให้ส่วนต่างราคาขายผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบ (สเปรด) ปรับตัวดีขึ้น
นอกจากนี้ในส่วนของธุรกิจปิโตรเคมี คาดว่าน่าจะมีความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้น จึงประเมินว่าส่วนต่างราคาขายผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบ (สเปรด) โดยเฉพาะความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีจากจีนจะเพิ่มสูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ มีแผนลงทุน 5 ปี ระหว่างปี 2553-2557 มูลค่า 1.3 พันล้านหรียญฯ ภายใต้ชื่อโครงการฟีนิกซ์ ซึ่งมีโครงการลงทุนทั้งหมด 19 โครงการ ซึ่งก่อนหน้านี้คณะกรรมการของบริษัทฯได้มีการอนุมัติไปแล้ว 11 โครงการ โดยคาดว่าในช่วง 2 เดือนที่เหลือของปีนี้คณะกรรมการบริษัทฯ จะมีการอนุมัติโครงการที่เหลือทั้งหมดอีก 7 โครงการ เพื่อให้โครงการขนาดใหญ่สามารถเดินหน้าได้ตามแผน
----------------------------------------------------------------------------------
หุ้นในกระแสข่าว 4/11/53
(หุ้น ที่อยู่ในกระแสข่าวรวบรวมมาให้จากบทวิเคราะห์ของโบรกเกอร์ และหนังสือพิมพ์ แต่ไม่สามารถคาดการณ์ราคาขึ้นลงได้ โปรดใช้วิจรณญานในการอ่านด้วย )
1.PTT UBS/CL ให้เป้า363 /400 บาท คาดเดินเครื่องโรงแยกก๊าซ6ได้พย.นี้ ยันเดินหน้าศึกษาแผนควบรวมธุรกิจในเครือคาดสรุปปลายปีนี้หรือต้นปี 54. เดินเครื่องโรงแยกก๊าซ6 ผุดโปรเจ็กต์พีทีทีปาร์ค - วาง 3 ปีเข้าตลาดดาวโจนส์ เพิ่มแผนลงทุน 5 ปีทะลุล้านล้าน- รับผลบวกบ.ในเครือปรับขึ้น
2.SCC CITI UBS DB Raise TP 381/400/436 บาท - กำไรสุทธิ Q3/53 ลดลง 10% qoq ตามธุรกิจกระดาษและซิเมนต์ - คาดกำไรโตปี 10-12 8%/24%/24% ธุรกิจซีเมนต์ฟื้นจากอุปสงค์ในประเทศโตจากการขยายกำลังการผลิต
3.ITD RBS /DBSV/CL แนะนำ ซื้อ เป้าหมาย5/6/6.50 บาทแต่ JPM แนะขาย - เตรียมเซ็นสัญญาโครงการทวาย2. 4 แสนลบ.ในพ.ย.นี้ - ขายหุ้นในน้ำเทินและโตโยไทยได้กว่า 3.4 พันล้านบาท- มูลค่าเงินลงทุนใน NTPC ที่ 1,959 ล้านบาท และมูลค่าขายที่ประมาณ 3,300 ล้านบาท เตรียมบันทึกกำไร940 ล้านบาท จะทำให้ผลประกอบการในปี 53F พลิกกลับเป็นมีกำไรสุทธิ 538 ล้าน
4.BEC JPM ปรับ จาก 38 ขึ้นสู่ 53(Buy) ปรับกำไร 11-12 ขึ้น 5%/17% สะท้อนอุปสงค์และอัตราค่าโฆษณาที่เพิ่มขึ้น -รายได้ปีนี้โตแตะหมื่นล้าน สูงเป็นประวัติการณ์ กำไร Q3 ปรี๊ดทะลุ 800 ล้านบาท-มาลีนนท์'รับ 3.8 พันล.ขาย BEC 5% ยันถือ 51% กุมอำนาจบริหารเพิ่มปริมาณหุ้นหมุนเวียน 49%
5.IVL รอADD เข้า MSCI น่าจะประกาศช่วงกลางเดือน พ.ย. แพ้ประมูลโรงงาน PET PTA ของ Eastmam ที่ South Corolina แต่ยังรอการเข้าประมูลโรงงานในที่อื่นๆอีก - CIMBS Raised target price to THB47 and maintain OUTPERFORM
6.ADVANC ML ให้เป้าหมาย100บาท ทำ “เอ็มวีเอ็นโอ-โรมมิ่ง 3 จี” ที โอทีเปิดประตูรอ เสนอโมเดลทั้ง MVNO-โรมมิ่งคลื่น 900 ผู้บริหารระบุที่ผ่านมา คู่สัมปทานอัพเกรดคลื่นเดิมเป็น HSPA ไม่ได้ เพราะแบนด์วิธเหลือเพียงแค่ 9 เมกะเฮิรตซ์ -เงินสดล้นคาดปันผลทั้งปี9.80บาทลุ้
7.TTCL KEST/TISCO แนะนำ "ซื้อ" ราคาเป้าหมายปี 2554 เท่ากับ 10.50/12 บาท เซ็นสัญญา ชิโยดะแล้ว- . ตั้งเป้าปีหน้าโต 40% - รับงานเครือปตท -ประเด็นบวกจากการลงทุนในโรงไฟฟ้ากับนวนครอิเลคทริค4พันล้าน คาดรับรู้รายได้56ปีละ1.2พันล้าน
8.TRC บัว หลวงให้เป้า 5.25 บาท จ่อฮุบงานพันล้าน Q3 บุ๊กกำไรกินเปล่าฟรีๆ 17 ลบ. ขณะที่ Q4 พลิกโตมหาศาล ผู้บริหารส่งซิกเดือนหน้ารู้ผลงานประมูล 2,000 ลบ.
9.BANPU CS แนะนำ Buy TP@810 คาดกำไร 3Q10 ที่ 2.6 พัน ลบ. -33%QoQ จากกำไรที่จีนร่วง ขณะที่ ITM กำไรดีขึ้นเล็กน้อย คาด 4Q10 ดีขึ้นจากเหมือง Daning กลับมาดำเนินงาน และรับรู้กำไร CEY ประสานกำไรที่ดีขึ้นจาก ITMG คาดแรงกดดันระยะสั้นจากเหมือง Daning คาด Downside Risk กำไรปี 11 จำกัดขณะที่มี Upside จากราคาถ่านหินที่ปรับขึ้น
10.NNCL" จ่อขายที่ดิน 300 ไร่กำไรพุ่ง 10 เท่า CGS ให้เป้าถึง 3 บาท- ลุ้นขายที่ดินครั้งใหญ่อีก 200-300 ไร่ให้นักลงทุนญี่ปุ่น ส่วนกลุ่มบริษัท Canon เล็งซื้อเพิ่มอีกกว่า 70 ไร่ ผู้บริหาร" เผยพรุ่งนี้เซ็นสัญญาขายที่โคราชอีก 21 ไร่ มั่นใจทั้งปีผลงานแจ่มโบรกประเมิน ไตรมาส 4 สวย หนุนทั้งปีกำไรพุ่ง 10 เท่า แตะ 0.20 บาทต่อหุ้น
----------------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย
FSS : ยังแนะนำให้ขายทำกำไรบ้างเมื่อตลาดขยับขึ้น แล้วรอรับเมื่อปรับตัวลง!!
แนวโน้ม: SET ขยับขึ้นต่อเนื่องตอบรับข่าวการอัดฉีดเม็ดเงินจากเฟด แต่ถือว่าขึ้นค่อนข้างรวดเร็วเกินไป ทำให้อาจมีแรงขายทำกำไรระยะสั้นออกมากดดันได้ รวมทั้งค่าเงินบาทที่เริ่มกลับมาแข็งค่าต่ออีกครั้ง โดยล่าสุดเริ่มทำจุดสูงสุดรอบใหม่ซึ่งอาจทำให้นักลงทุนกลับมากังวลต่อมาตรการดูแลค่าเงินบาทอีกครั้งได้ ขณะที่หลายๆ ประเทศในเอเชียเริ่มเตรียมที่จะออกมาตรการควบคุมการไหลเข้าของเม็ดเงินจากต่างประเทศแล้วด้วย ดังนั้นช่วงถัดจากนี้ต้องระวังการปรับพักตัว อย่างไรก็ตามตลาดปรับตัวลงยังเป็นจังหวะเลือกหุ้นเข้าทยอยรับได้เนื่องจากเรายังเชื่อว่า Fund Flow จะยังไหลเข้าต่อเนื่อง รวมถึงเม็ดเงินใหม่จากกองทุนใน
ประเทศเข้าเสริมด้วย
กลยุทธ์: ตลาดขยับขึ้นยังน่าแบ่งส่วนขายทำกำไร แล้วรอจังหวะเลือกหุ้นเข้าซื้อใหม่ช่วงตลาดปรับตัวลง โดยหุ้นที่น่าสนใจได้แก่ PTTEP, PTT, BANPU, SCC, PTTCH, KBANK,SCB, BBL, CPALL, TASCO, PTL, RCL, MINT, BGH, TUF, STEC, ITD, CK เป็นต้น
ประเด็นสำคัญวันนี้
• (0) BOE คงอัตราดอกเบี้ย ที่ 0.5% เป็นเดือนที่ 20 ติดต่อกันและไม่ขยายโครงการQE2 2 แสนล้านปอนด์ เป็นไปตามตลาดคาด
• (+) ADVANC กำไรดีกว่าคาด จ่ายปันผลพิเศษ 6 บาท กำไรสุทธิทรง Q-Q แต่เพิ่ม 17% Y-Y ส่วนกำไรปกติทรง Q-Q แต่เพิ่ม 26% Y-Y ดีกว่าไตรมาส 3 ของทุกๆ ปีและดีกว่าที่เราคาด 7% เพราะควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่ายได้ดีมาก และยังจ่ายปันผลพิเศษเร็วกว่าคาด 6 บาท/หุ้น XD 16 พ.ย. จ่าย 3 ธ.ค. Yield สูงถึง 6% ADVANC เป็นหุ้นที่ปันผลสูงตัวหนึ่ง ซื้อได้ ราคาเป้าหมาย 104 บาท
• (+) LPN กำไรดีกว่าคาด กำไร 3Q10 -46.6% Q-Q, -32.9% Y-Y แนวโน้ม 4Q10จะฟื้นตัวขึ้นเพราะมีคอนโดครบโอนอีก 2 โครงการ คงแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย12.45 บาท อย่างไรก็ตาม ระยะสั้นราคาหุ้นจะยังได้รับแรงกดดันจากการคุมเข้มสินเชื่อของแบงก์ (เพิ่ม % การดาวน์)
• (-) TSTH ขาดทุนตามคาด หากไม่รวมกำไรจาก Fx จะขาดทุนจากการดำเนินงาน161 ล้านบาท เป็นไปในทิศทางเดียวกับ SSI คือต้นทุนวัตถุดิบสูงขึ้นมากจนทำให้Gross margin ติดลบ 0.5% แนวโน้มไตรมาสถัดไปยังไม่ดีขึ้นนักเพราะต้นทุนวัตถุดิบที่ยังสูงและเตาหลอมใหม่ยังใช้ได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ แม้ว่าราคาเป้าหมายปีหน้าของเราจะอยู่ที่ 2.10 บาท แต่ที่เราแนะนำก่อนหน้านี้ให้ขายก่อนประกาศผลประกอบการ ยังไม่จำเป็นต้องซื้อกลับ
• (+) HMPRO & GLOBAL กำไรใกล้เคียงคาด กำไรเติบโตทั้งคู่ HMPRO +3.5%Q-Q, +51.6% Y-Y ส่วน GLOBAL -33.6% Q-Q, +106.6% Y-Y น้ำท่วมไม่กระทบสินทรัพย์ของบริษัท ทั้ง 2 บริษัทจะได้รับผลดีหลังน้ำท่วมเหมือนกันแต่ราคาหุ้นGLOBAL ปรับขึ้นมาจนเราลดคำแนะนำเป็น ‘ถือ’ หรือ ‘ซื้อเมื่ออ่อนตัว’ เป้าหมาย 10.60บาท ส่วน HMPRO ยัง ‘ซื้อได้’ เป้าหมาย 11 บาท
• (-) TTA Fitch ลดอันดับความน่าเชื่อถือภายในประเทศระยะยาวหนี้ไม่มีหลักประกันและไม่ด้อยสิทธิของบริษัทสู่ 'BBB+' จากเดิมที่ 'A-' แนวโน้มอันดับเครดิต ‘Stable’แม้ว่า TTA จะถูก แต่เรายังคงไม่ชอบธุรกิจเรือเทกองที่ oversupply ถึงกลางปีหน้าเป็นอย่างน้อย
• (0) ARIP เป็นหนึ่งในผู้นำธุรกิจนิตยสารประเภทไอทีและจัดงาน IT Commart เราประเมินเป้าหมาย 1.30 บาท (FSS เป็นที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดจำหน่าย)
• Fund Flow วานนี้ไหลเข้าตลาดหุ้นภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง แต่ปริมาณยังไม่มีนัยสำคัญเม็ดเงินส่วนใหญ่ยังซื้อสุทธิหนักในตลาดหุ้นเกาหลีใต้และไต้หวัน แต่ซื้อไทยนิดเดียวทั้งนี้เราเชื่อในช่วงแรกของผลตอบรับจากมาตรการอัดฉีดเม็ดเงินรอบ 2 ของเฟดค่อนข้างเป็นกลาง เพราะปริมาณเงินที่เฟดใส่เข้ามารอบใหม่นี้เป็นไปตามคาดหรือมากกว่าคาดเล็กน้อยเท่านั้น แต่ที่สำคัญคือ เฟดก็ยังเปิดทางไว้ว่าหากเศรษฐกิจยังแย่อยู่ก็อาจจะพิจารณาอัดฉีดเม็ดเงินเพิ่มเติมได้ ดังนั้นหากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐออกมาไม่ดี ก็จะเป็นข่าวดีว่าเฟดจะอัดฉีดเม็ดเงินเพิ่มและเป็นผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวสูงขึ้นนั่นเอง และตลาดหุ้นเอเชียก็จะปรับขึ้นเพราะเชื่อว่า Fund Flow ที่ท่วมตลาดจะไหลเข้ามาตลาดเอเชียที่มีอัตราผลตอบแทนที่สูงกว่าด้วย อย่างไรก็ตามเชื่อว่าโมเมนตัมของ Fund Flow จะยังไหลเข้าตลาดภูมิภาคต่อเนื่อง สำหรับวันนี้ตลาดยังเต็มไปด้วยข่าวดี โดยเฉพาะแนวโน้มราคาสินค้าโภคภัณฑ์ยังคงปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจะยังส่งผลให้ราคาหุ้นในกลุ่มปตท. และ Commodity ปรับขึ้นต่อเนื่องเช่นกัน ค่าเงินยูโรแข็งค่าเกิน 1.42 ยูโรป ส่วนค่าเงินเอเชียและค่าเงินบาทเช้านี้ก็ทำสถิติสูงสุดใหม่ ตามตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเราย้ำเสมอว่ากระแสเงินทุนจากต่างชาติยังหนุนนำตลาดหุ้นบ้านเรา แต่อย่างไรก็ตามการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้น ที่เร็วเกินไปจะมีความเสี่ยงมากขึ้น
สำหรับนักลงทุนระยะยาวถือต่อได้ ส่วนนักลงทุนระยะสั้นหรือนักเก็งกำไรต้องหาจังหวะการขายทำกำไรในช่วงที่ตลาดปรับขึ้นเร็วและแรงเกินไปแล้วค่อยกลับมารับใหม่ เน้นหุ้นพื้นฐานตัวใหญ่ ส่วนการเข้าซื้อสุทธิของกองทุนในประเทศเป็นอย่างมากวานนี้เราเชื่อว่าเป็นเพราะมีเม็ดเงินที่ไหลเข้ามาหลังจากที่กองทุนเหล่านี้ได้เข้าลงทุนในตลาดพันธบัตรเกาหลีเมื่อหลายปีที่ผ่านมาหมดอายุทำให้ต้องขนเงินกลับไทยและเข้าซื้อหุ้นไทยในที่สุด

ข่าวภายในประเทศ
IVL-TMB เข้า MSCI รับตลาดหุ้นไทยขาขึ้น อินโดรามา Q3 กำไรโตกระฉูด 183% เป้าหมายใหม่ 48 บาท MSCI Inc ดัน 3 หุ้นไทยเข้าคำนวณ รอบนี้มีหุ้นIVL, THAI และ TMB ประกาศ 10-11 พ.ย. และมีผลปลายเดือนนี้ ด้าน IVL เล็งลงทุนโรงไฟฟ้าโซลาร์เซลล์ปีหน้า เทเงิน 275ล้านบาท ขายไฟให้ กฟภ. สัญญายาว 10 ปี มั่นใจรายได้ปีนี้โตเข้าเป้า 20% ด้านตลาดหุ้นไทยสดใสรับเงินไหลเข้า ต้นปีหน้ามาอีกล็อตใหญ  (ที่มา:นสพ.ข่าวหุ้น 5-11-2010)
PS ยันลงทุนอินเดียไม่สะดุด "ทองมา" เผยไม่ทราบสาเหตุราคาหุ้น PS ร่วง ลั่นโครงการอสังหาฯมูลค่า 1,600 ล้านบาทที่อินเดียไร้ปัญหา ปัจจุบัน
ลุยก่อสร้างบ้านตัวอย่างเปิดขายเดือนพ.ย.นี้ ใส่เงินลงทุนแล้ว 300 ล้านบาท เริ่มบุ๊ครายได้ไตรมาส 2 ปีหน้า ส่วนมัลดีฟส์ใส่เงินแล้ว 200 ล้านบาทเฟสแรกยอดขาย 600 ล้านบาท (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 5-11-2010)
AISปันผลพิเศษ 6 บาทขานรับกำไร 4.8 พันล้าน ADVANC กำไร Q3 หรูตามคาดที่ 4,800 ล้านบาท โต 16% แถมใจป้ำจ่ายปันผลพิเศษอีก 6บาท รับมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างต้องรองรับ 3 จี บวกความเสี่ยงสัญญาสัมปทานทีโอที เผยแผนรับมือเตรียมความพร้อมรักษาสถานะทางการเงินเต็มที่ เป้าหมายรายได้เติบโตปีนี้ 5% (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 5-11-2010)
KCE มั่นใจโตตามนัดแน่ยอดพุ่ง 230 ล้านเหรียญ KCE มั่นใจยอดขายทั้งปีแตะเป้า 230 ล้านเหรียญแน่ หลัง 9เดือนฟาดไปแล้ว 176 ล้านเหรียญ
ฟากผู้บริหารชี้ไตรมาส 4 ยอดขายพุ่งเกิน 50 ล้านเหรียญ วงการชี้กำไรสุทธิทั้งปีทะลุ 600 ล้านบาท หุ้นถูก P/E แค่ 6 เท่า ฟาก CCET โชว์ยอดขาย10 เดือนพุ่ง 99,507 ล้านบาท (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 5-11-2010)
CPF มั่นใจกำไรปีนี้โตกว่า30%ราคากุ้งกระฉูด-ธุรกิจต่างประเทศดี CPF มั่นใจกำไรปีนี้โต 30% เชื่อภาวะน้ำท่วมไม่กระทบธุรกิจ ชี้ราคากุ้งสดใส
ประกอบกับการลงทุนต่างประเทศดี รวมถึงการบริหารสต๊อกวัตถุดิบล่วงหน้า ด้านเครือเจริญโภคภัณฑ์ ทำสัญญาซื้อหุ้น TRUE ทั้งหมดจาก KfW เพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นเป็น 64.7% จากเดิม 55.7% (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 5-11-2010)
L&E การันตีโรงงาน LED ทดลองเครื่องธ.ค. L&E แย้มข่าวดีโรงงานผลิตอุปกรณ์แสงสว่างที่ใช้ผลิตภัณฑ์ LED พร้อมทดลองเดินเครื่องผลิตได้เดือน ธ.ค.นี้ "ปกรณ์ บริมาสพร" มั่นใจผลิตเชิงพาณิชย์ได้ทันทีต้นปีหน้า คุยเป็นโอกาสทองทางธุรกิจ หลังผลิตภัณฑ์ LED โตกระฉูดปีละกว่า 30%แถมแนวโน้มพัฒนาขึ้นมาทดแทนหลอดไฟแบบเดิมถึง 50% อีก 5 ปีข้างหน้า เชื่อรักษาตำแหน่งผู้นำสินค้า LED ในภูมิภาคอาเซียนได้เหนียวแน่น
(ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 5-11-2010)
SSF ตีปีกผู้นำอาหารแช่แข็งส่งออกทุ่มกว่า 500 ล้านขยายกำลังผลิต 30% “สุรพลฟู้ดส์” เดินหน้าตอกย้ำภาพลักษณ์ผู้นำการผลิตอาหารแช่แข็งระดับโลก สยายปีกธุรกิจส่งออกไก่แปรรูปแช่แข็งป้อนตลาดญี่ปุ่น ยุโรป และบุกตลาดในประเทศและอาเซียนเพิ่มเติม ทุ่มทุนมหาศาล ดันสุรพลนิชิเรฟู้ดส์ สร้างโรงงานแห่งใหม่ด้วยงบกว่า 500 ล้านบาท เพิ่มกำลังการผลิตกว่า 30% (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 5-11-2010)
IFEC โชว์ 9 เดือนกำไรเพิ่มขึ้น16%ไตรมาส 4 สดใส IFEC โชว์ผลการดำเนินงานงวด 9 เดือน กำไรเพิ่ม 16% หลังรายได้จากการขายและบริการเพิ่มขึ้น ขณะที่ค่าใช้จ่ายลดลง ดันกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น 7.64% พร้อมประกาศจ่ายปันผลหุ้นละ 0.03 บาท มั่นใจไตรมาส 4 สดใส เหตุความต้องการใช้เครื่องดิจิทัล มัลติฟังก์ชั่นเพิ่มขึ้น เผยทุ่มงบ 50 ล้านบาท จัดตั้งบริษัท ไอเฟค กรีน พาวเวอร์ พลัส โดย IFEC ถือหุ้น 100% หวังเดินหน้าธุรกิจพลังงานทดแทนเต็มพิกัด (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 5-11-2010)
----------------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ตปท.

ข่าวต่างประเทศ
ยุโรป: ธนาคารกลางยุโรปมีมติตรึงดอกเบี้ยที่ 1% ตามคาด ธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยที่ 1% ในการประชุมวันนี้ ซึ่งนับเป็นเดือนที่ 18 ติดต่อกัน และเป็นไปตามความคาดหมายของนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ การตัดสินใจของอีซีบีมีขึ้น หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)ประกาศเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลเพิ่มอีก 6 แสนล้านดอลลาร์ภายในกลางปีหน้า โดยมีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ (ที่มา: อินโฟเควสท์ 4-11-2010)
สหรัฐอเมริกา: สหรัฐเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานสัปดาห์ที่แล้วเพิ่มขึ้นเกินคาด 20,000 ราย กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่าจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการระหว่างว่างงานครั้งแรกในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุด ณ วันที่ 30 ต.ค.พุ่งขึ้น 20,000 ราย แตะระดับ 457,000 ราย มากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นแตะระดับ 443,000 ราย จากสัปดาห์ก่อนหน้านั้นที่ระดับ 434,000 ราย ส่วนจำนวนผู้รับสวัสดิการว่างงานโดยเฉลี่ย 4 สัปดาห์เพิ่มขึ้น 2,000 ราย แตะระดับ 456,000 ราย (ที่มา: อินโฟเควสท์ 5-11-2010)
เอเชีย: ธนาคารกลางอินโดนีเซียตรึงดอกเบี้ยที่ 6.5% (4พ.ย.) หลังเงินเฟ้อชะลอตัว ธนาคารกลางอินโดนีเซียประกาศคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 6.5% ในการประชุมวันนี้ ซึ่งเป็นการคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมมาอย่างต่อเนื่องกัน 15 ครั้งแล้ว เนื่องจากตัวเลขเงินเฟ้อปรับตัวลดลง อย่างไรก็ตาม อัตราดอกเบี้ยของอินโดนีเซียยังคงอยู่ในระดับสูงสุดเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆในเอเชีย แม้ว่า ธนาคารกลางอินเดียจะประกาศขึ้นดอกเบี้ยไปแล้ว 6 ครั้ง และธนาคารกลางออสเตรเลียประกาศขึ้นดอกเบี้ย 4 ครั้งในปีนี้ก็ตาม (ที่มา: อินโฟเควสท์ 4-11-2010)
เอเชีย: ธนาคารกลางฟิลิปปินส์คาดเม็ดเงินทะลักเข้าประเทศหลังเฟดใช้มาตรการ QE ธนาคารกลางฟิลิปปินส์เปิดเผยว่า กระแสเงินร้อนได้ไหลเข้าประเทศเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า แตะ 1.82 พันล้านดอลลาร์ ณ วันที่ 15 ต.ค. โดยนายอมันโด เอ็ม เททังโก จูเนียร์ ผู้ว่าการแบงก์ชาติฟิลิปปินส์กล่าวว่า การใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะดึงเม็ดเงินทุนเข้าประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่จำนวนมหาศาลซึ่งรวมถึงฟิลิปปินส์ด้วย (ที่มา: อินโฟเควสท์ 4-11-2010)
----------------------------------------------------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น