Code 120 : SET ยังคงผันผวน และเล่นตามข่าว

วันพุธที่ 20 กรกฎาคม 2553

ATT Code : SET ยังคงผันผวน และเล่นตามข่าว
เช้านี้ SET เปิดที่ 828.48 จุด + 4.07 จุด เป็นไปในทิศทางเดียวกับเพื่อนบ้าน แต่ก็มีแรงขายจนลงมา Low muj 821.49 0จุด ลงไป -3 จุด ก่อนที่จะมีแรงซื้อกลับจึ้นไปจนปิดครึ่งวันเช้าที่ 829.18 จุด +4.77 จุด ฝรั่ง Net SELL ประมาณ 70 ล้านบาท V. 15,547 MB และตอนบ่าย SET มาปิดตลาดที่ 830.93 จุด +6.52 จุด โดยกลุ่พลังงานยังนิ่งๆ อยู่ แต่กลับเป็นกลุ่มแบงค์และกลุ่มสื่อสารเป็นตัวนำตลาด ซึ่งวันนี้สามารถยืน 830 เหนือเส้น 5 วันที่ 826 ได้ ก็ทำให้แนวโน้มในวันพรุ่งนี้มีแนวต้านอยู่ที่ BB Top 836 จุด

----------------------------------------------------------------------------------
KELive วิเคราะห์รายหุ้น

SPALI (12.90 บาท : ซื้อเมื่ออ่อนตัว) ยอดขายและกำไรไตรมาส 2/53 ชะลอตัว
TCAP (30.00 บาท : ซื้อ) ขยับขึ้นเป็นธนาคารอันดับ 5 ทางด้านขนาดสินทรัพย์
DTAC (39.00 บาท : ซื้อ) ประกาศกำไร 2,435 ล้านบาทในไตรมาส 2/53 โต 78% yoy และเกินกว่าคาด 12%/จะต้องปรับเพิ่มประมาณการกำไรปีนี้
CPF (23.30 บาท : ขายทำกำไร) คาดกำไรไตรมาส 2/53 สูงเป็นประวัติการณ์ เติบโต 30% yoy
KTB (12.70 บาท : ซื้อ) สินเชื่อครึ่งปีแรกขยายตัว 8.5% จากสิ้นปีก่อน
----------------------------------------------------------------------------------
MARKET WAVE Analysis
21 กค .53 ( -5.99 จุด) โกมล พงศ์วิญญู เลขทะเบียน 18338

พอมีโอกาสดีดตัวขึ้น 826 – 829 จุด ดัชนีในวันอังคาร ปรับตัวลงต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ย 25 ชั่วโมง ถือเป็นการเกิด “สัญญาณขาย” แนวโน้มในวันพุธนี้ พอมีโอกาสอยู่บ้างที่ ดัชนีอาจจะดีดตัวกลับขึ้นไปแถว 826 – 829 จุด ใกล้เส้นค่าเฉลี่ย 25 ชั่วโมง อีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม จากนั้นถ้ามีการปรับตัวลงต่ำกว่า 820.41 จุดต่ำสุดของวันอังคาร จะทำให้เกิด “สัญญาณขาย” ในเครื่องมือ Point &Figure อีกครั้ง และ ดัชนีมีเป้าหมายในการปรับตัวลงต่อไปแถว 796 – 806 จุด ใกล้เส้นค่าเฉลี่ย 25 วัน
Rebound 826 - 829 Next correction Target 796

LOXLEY
มีโอกาสปรับตัวในคลื่น 4 เพื่อรอขึ้นต่อคลื่น 5ภาพระยะวัน รอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 2.12จุดสูงสุดวันอังคาร เป้าหมายหนึ่งถึงสองวัน2.20 – 2.30( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 2.06 )2.20 – 2.30

CPN
ปรับตัวทะลุกรอบสามเหลี่ยม ภาพระยะสัปดาห์ขึ้นมาได้ รอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน21.10 จุดสูงสุดวันอังคาร เป้าหมายระยะสัปดาห์ 22.10 – 22.60( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 20.50 )

หุ้นเด่น
10 อันดับซื้อขายสูงสุด

TMB แกว่งตัว 2 – 2.12
CPF ไม่น่าเกิน 23.50 – 23.70
PTTAR ปรับตัวลง 21 - 22
BBL ปรับตัวลง 128 – 129
PTT ปรับตัวลง 243 – 244
BTS ไม่น่าเกิน 0.86 – 0.88
TPIPL ไม่น่าเกิน 13.80 -14
TRUE ไม่น่าเกิน 3.38 – 3.40
SCB ปรับตัวลง 82 - 83
IVL ปรับตัวลง 19.50 - 20
----------------------------------------------------------------------------------
ตัวเลขเช้านี้ 21/07/53
ข้อมูลอื่นๆ ......SET ปิดที่ 824.41 จุด -5.99 จุด High 836.82 จุด low 820.41 จุด......แนวรับ 820 // 810-808 จุด แนวต้าน 830 // 836-840 จุด......PE SET 12.88 เท่า.........สัดส่วนการซื้อขาย ฝรั่งซื้อ 151.42 ล้าน กองทุนขาย 404.95 ล้าน….......โบรกเกอร์ ที่ net buy TSC 470, PHATRA 219, AYS 218, KTZ 159 และ FSS 156……..โบรกเกอร์ที่ net sell MACQ -242, CGS -209, KEST -199, SCBS -184 และ US -155........TFEX SET50 ปิดที่ 559.09 จุด -4.13 จุด.......S50U10 ปิดที่ 552.80 จุด -4.60 จุด .... high 561.20 จุด low 551.50 จุด OI 19,708 ….......status futureวานนี้ Foreign net LONG 425 - Fund net SHORT 1966 - Retail net LONG 1541........ตลาดหุ้นต่างประเทศ DJ ปิด +75.53 จุด….ยุโรปปิด -0.5 ถึง +0.5% ......ตลาดเอเซียเช้านี้ 9.30 น. NIX +21.19 จุด , HSKI +123.51 จุด, TWSE +23.02 จุด, KOSPI +11.85 จุดและSHCOMP +3.28 จุด.....ดาวโจนส์ในตลาดล่วงหน้า -12 จุด.......ค่าเงิน - เงินบาท 32.28…เงินเยน 87.22……...COMODITY.... น้ำมัน NYMEX ส่งมอบ ส.ค. ปิดที่ 77.44 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล +0.90 ดอลล์.........ค่าการกลั่น 4.46 ดอลล์........ทองคำ COMEX ปิดที่ 1191.70 เหรียญ +9.80 ดอลล์ ......BDI ปิดล่าสุดอยู่ที่ 1761 จุด +29 จุด …...ราคาสังกะสีในตลาด LME ล่วงหน้า 3 เดือนปิดล่าสุดที่ 1875.00 ดอลลาร์ต่อตัน +67.0 ดอลล์

สินค้าเกษตร...ราคาตลาดจริง (หน่วย : บาท/ กก.) ….ข้อมูลจาก WEB Site ของ AFET (www.afet.or.th)

ราคาประมูลยางแผ่นรมควันชั้น 3 (20/07/10) Hatyai A.M. 100.63 บ. -1.0 บ. // FOB.BKK 104.90 บ. -1.0 บ.

ราคาข้าวขาว 5% (19/07/10) 12.68 บ.

ราคาข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 2 (19/07/10) 28.68 บ.


----------------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย
ไทยรัฐ - By...อินเด็กซ์ 51 : เงาหุ้น-ขายทำกำไร!!


ดัชนีหุ้นวันที่ 20 ก.ค.53 ปิดที่ 824.41 จุด ลดลง 5.99 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 35,593.01 ล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิ 151.42 ล้านบาท

ฝ่ายวิเคราะห์ บล.เกียรตินาคิน ชี้ตลาดหุ้นไทยเผชิญแรงขายทำกำไรออกมากดดัชนีทรุดตัวลง หลังมีปรับตัวขึ้นได้ต่อเนื่องในช่วงก่อนหน้านี้ ขณะที่นักลงทุนยังคงติดตามการประกาศผลการทดสอบความแข็งแกร่งของธนาคารพาณิชย์ในยุโรป (Stress Test) ที่จะมีการประกาศวันที่ 23 ก.ค.นี้

มองทิศทางตลาดระยะสั้น คาดว่าน่าจะมีแรงซื้อเก็งกำไรผลประกอบการไตรมาส 2 ของบริษัทจดทะเบียนเข้ามาหนุนดัชนี แนะกลยุทธ์การลงทุน ให้ทยอยขายทำกำไร โดยด้านเทคนิคประเมินแนวรับไว้ที่ 820-815 จุด ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 825-830 จุด

ทั้งนี้ "ประเสริฐ บุญสัมพันธ์" ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ PTT ระบุว่า ผลการพิจารณาของ ป.ป.ช. ที่มีการชี้มูลความผิดกรณี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มีคำสั่งให้กระทรวงการคลังเข้าฟื้นฟูกิจการ TPI ว่า PTT เตรียมนำผลการชี้มูลดังกล่าวมาพิจารณาประกอบการตัดสินใจในการควบรวมกิจการ IRPC กับ PTTAR ซึ่งอาจมีความเป็นไปได้ว่าจะมีผลกระทบต่อแผนควบรวม เพราะต้องดูความเหมาะสมและผลการศึกษาอย่างรอบคอบก่อน

ประเด็นนี้ส่งผลกดดันให้ราคาหุ้น PTTAR ปรับตัวลงแรงกว่าที่คาด ประกอบกับมีการคาดการณ์ว่ากังวลผลประกอบการไตรมาส 2 อาจออกมาขาดทุน

ขณะที่บทวิเคราะห์นครหลวงไทยแนะให้ "หลีกเลี่ยงลงทุน" PTTAR คาดว่าไตรมาส 2 จะขาดทุนสุทธิ 397 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากการลดลงของส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์อโรเมติกส์ ทั้งนี้ ได้ลดราคาเหมาะสมลงเป็น 25 บาท ซึ่งน่าจะชี้นำไปถึงผลประกอบการของ TOP และ IRPC ที่

น่าจะอ่อนแอเช่นกัน

ส่วน บล.กิมเอ็ง แนะทำชอร์ตเซลหุ้น PTTAR โดยควรหาจังหวะ Short ในช่วงที่ราคาหุ้นรีบาวน์เข้าใกล้แนวต้านที่ 24.70-25.00 บาท และมีจุดตัดขาดทุนที่ 25.25 บาท

ด้าน บล.เกียรตินาคิน ปรับลดราคาเหมาะสม PTTAR จาก 34 บาท เป็น 29 บาท แต่ยังคงแนะนำซื้อเก็งกำไร.

FSS:เริ่มมีแรงขายออกมามากขึ้น ดังนั้นตลาดขึ้นต่อควรทยอยขายทำกำไรด้วย
แนวโน้ม: เมื่อวานนี้หลังจาก SET ขยับขึ้นไปสูงสุดของวันที่ระดับเกือบ 837 จุดแล้ว จากนั้นก็เริ่มมีแรงขายออกมากดดันให้ดัชนีไหลย้อนกลับลงมาปิดเป็นลบที่ระดับเกือบต่ำสุดของวัน และเป็นการลดต่ำลงจากระดับสูงสุดถึงเกือบ 2% ด้วย ดังนั้นแม้ว่าวันนี้ตลาดหุ้นต่างประเทศจะค่อนข้างสดใส โดยตลาดหุ้นสหรัฐสามารถพลิกกลับมาปิดบวกได้สำเร็จหลังจากที่ระหว่างวันไหลลงไปลบกว่า 140 จุด ขณะที่ตลาดเอเชียเช้านี้ก็ตอบสนองในเชิงบวกโดยยังสามารถรีบาวด์ขึ้นต่อเนื่องจากวานนี้ แต่สำหรับตลาดหุ้นไทย เราคาดว่าจะเริ่มมีจังหวะแกว่งตัวผันผวนเน้นหนักไปทางลบมากขึ้น เพราะ SET ได้ขยับขึ้นมาใกล้กับเป้าหมายดัชนีสำหรับปีนี้ของฝ่ายกลยุทธ์ FSS ที่ 860 จุดแล้ว โดยที่ระดับสูงสุดเมื่อวานนี้จะมีส่วนต่างเหลือเพียงไม่ถึง 3% ขณะที่ปัญหา Oversupply ในกลุ่มปิโตรเคมี และราคาน้ำมันในตลาดโลกที่เริ่มแกว่งทรงตัว ยังเป็นแรงกดดันให้หุ้นในกลุ่มพลังงานโดยเฉพาะกลุ่มของ PTT ยังขยับขึ้นได้ไม่มากนักและมีแนวโน้มที่จะปรับตัวลงต่อได้ ส่วนหุ้นในกลุ่มแบงก์ที่ราคาขยับขึ้นมารับข่าวผลประกอบการไตรมาส 2/53 ที่ทยอยประกาศออกมาดีแล้วนั้น ก็ต้องระวังการ Sell on Fact นอกจากนี้ในช่วงท้ายสัปดาห์นี้ยังต้องจับตาดูผลการทดสอบภาวะวิกฤติของแบงก์ในยุโรปด้วย ดังนั้น FSS จึงคาดว่า SET จะมีกรอบการขึ้นที่จำกัดและมีแนวโน้มที่จะถูกแรงขายกดดันให้เริ่มปรับพักตัวลงสักระยะหนึ่งได้ เราจึงแนะนำให้ทยอยขายทำกำไรเมื่อตลาดขยับขึ้น จากนั้นแนะนำให้ถือเงินสดไว้ก่อนเพื่อรอการปรับตัวลงของตลาดก่อนเข้าซื้อใหม่ ซึ่งมีโอกาสที่ SET จะไหลกลับไปต่ำกว่า 800 จุดอีกครั้งได้
กลยุทธ์: เริ่มทยอยขายทำกำไรต่อเนื่อง โดยเฉพาะถ้าดัชนีขยับขึ้นไปสูงกว่า 830 จุด จากนั้นเน้นถือเงินสดไว้ก่อน

ประเด็นสำคัญวันนี้
§ กลุ่มสื่อสาร เราเพิ่มน้ำหนักการลงทุนเป็น ‘Overweight’ จากเดิม ‘Neutral’
เพราะมีมุมมองบวกมากขึ้นกับการประมูล 3G ว่ามีโอกาสเกิดขึ้นในเดือน ก.ย. นี้ตามความมุ่งมั่นของกทช. แม้จะมีการเมืองแทรกแซงก็ตาม ในขณะที่ราคาหุ้นในกลุ่มนี้ยังต่ำกว่าราคาเป้าหมายที่เป็น 2G จึงถือว่ามีความน่าสนใจมากขึ้น หากรวม 3G เข้าไป มูลค่าของ ADVANC จะเพิ่ม 11 บาทเป็น 105 บาท DTAC +7 บาทเป็น 50.50 บาท TRUE +0.60 บาทเป็น 3.34 บาท แนะนำซื้อทั้ง ADVANC และ DTAC โดยเฉพาะ DTAC ที่เป็น Top pick เพราะกำไรดีกว่าคาด และการเติบโตของกำไรก็สูงสุดในกลุ่ม (+41%) ส่วน TRUE น่าสนใจในเชิงเก็งกำไรการหาพันธมิตร

§ กลุ่มแบงก์ ประกาศผลประกอบการแล้ว 7 แบงก์ มีกำไรเพิ่มขึ้น 10% Q-Q และ 34% Y-Y ส่วนใหญ่ดีกว่าคาดเพราะรายได้ค่าธรรมเนียมและรายได้ดอกเบี้ยที่สูงกว่าคาด ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยเริ่มดีขึ้นจากเดิมที่เราคาดว่าจะ flat แบงก์ที่มีกำไรน่าประทับใจได้แก่ KBANK (Top pick) และ BBL ส่วน SCB กับ BAY คาดว่าจะประกาศวันนี้

§ แผนควบ PTTAR-IRPC เลื่อนยาว เพราะมีประเด็นใหม่ต้องศึกษาเพิ่มเติมคือคำตัดสินของ ปปช. ที่ระบุว่าทักษิณผิดที่ให้ก.คลังบริหารแผน TPI ราคาหุ้นทั้ง 2 พักฐานลงมาแล้ว แต่เชื่อว่ายังมี downside ลงได้ต่อเพราะราคาสินค้าปิโตรเคมีที่ปรับลงมาต่อเนื่อง 11 สัปดาห์และมีแนวโน้มลงต่อเพราะ Oversupply ใหม่เข้ามาต่อเนื่อง ขณะที่ Demand จากจีนเริ่มชะลอ ทั้งนี้ รวมถึงหุ้นปิโตรเคมีอื่นๆเช่น PTTCH, SCC, IVL, TOP, ESSO

§ Fund Flow ของนักลงทุนต่างชาติยังคงไหลเข้าแต่มีปริมาณที่เบาบาง ตามคาด เนื่องจากยังไม่มีปัจจัยใหม่กระทบตลาด นักลงทุนส่วนใหญ่เข้าเล่นเก็งกำไรจากการประกาศผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 2 ที่มีทั้งที่ดีตามคาดและแย่กว่าคาด และไม่ได้บ่งบอกทิศทางตลาดแต่อย่างใด ตลาดพันธบัตรก็ค่อนข้างเงียบเหงาเช่นกัน การประกาศตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐยังคงชะลอตัวตามคาด ค่าเงินยูโรทรงตัว เช่นเดียวกันค่าเงินในภูมิภาครวมทั้งค่าเงินบาทก็ค่อนข้างนิ่ง ทำให้การเคลื่อนย้ายเงินลงทุนในช่วงนี้เบาบางมาก ซึ่งเราเชื่อว่าภาวะเช่นนี้ยังอยู่ต่อเนื่องตลอดทั้งสัปดาห์นี้

ข่าวภายในประเทศ
TMB โชว์ฟอร์มขั้นเทพ ฟาดกำไรนิ่ม 886 ล้าน!
โบรกฯปรับเป้าราคาใหม่ทันที 2.36 บาท แบงก์ TMB แจงตัวเลขกำไรสุทธิไตรมาส 2/53 หักปากกาเซียนทุกสำนัก หลังโชว์ตัวเลขกว่า 886 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 125% ดันกำไรครึ่งแรกของปีพุ่ง 1.59 พันล้านบาท โตเกือบ 100 % ปรับ ราคาใหม่ 2.36 บาท เชื่อไตรมาส 3-4 เรี่ยวแรงยังดีดันกำไรปีนี้ใกล้เคียง 3 พันล้านบาท ส่วน BBL กำไรโต 40.4% ตามรายได้เติบโต และกำไรขายหุ้น ACL ส่วน KTB ซิวกำไร 3,373 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31% ขณะที่แบงก์พาณิชย์ 9 แห่ง กำไรรวมกันกว่า 2 หมื่นล้าน เพิ่มขึ้น 37% วันนี้รอลุ้นอีก 2 แบงก์ คือ SCB และ BAY (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 21-07-2010)
SGP ไตรมาส 2 พุงกาง ยอดขายจ่อ 2.5 หมื่นล. SGP ไตรมาส 2 กำไรพุ่ง 310 ล้านบาท โต 13% ยอดขายพุ่ง 5.3 พันล้านบาท พร้อมรับรู้กำไรจาก SGLS โรงอัดบรรจุที่เพิ่งซื้อจากสิงคโปร์ ช่วยเพิ่มกำไรปีละ 80 ล้านบาท ประเดิมรับปีนี้ 33 ล้านบาท ส่วนปีหน้ารับอีก 90 ล้านบาท ดันยอดขายรวมปีนี้พุ่ง 2.44 หมื่นล้านบาท ส่วนกำไรโต 1.44 พันล้านบาท โบรกฯปรับเป้าใหม่เป็น 19.50 บาท แนะซื้อลงทุนเพื่อรอเก็บเกี่ยว ผลประโยชน์จากการขยายธุรกิจในจีน และเวียดนาม (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 21-07-2010)
STHAI ขยับเป้าปีนี้รายได้ 5.6 พันล้าน ครึ่งหลังออเดอร์ทะลัก เชื่อกำไรทั้งปีเกิน 107 ล้านบาท SITHAI ปรับเป้ารายได้เพิ่มเป็น 5,630 ล้านบาท ออเดอร์ครึ่งหลังทะลักประกอบกับได้เครื่องจักรใหม่หนุนยอดขายโต 17-18% ส่วนกำไรทั้งปีคาดว่าจะสูงกว่า 107 ล้านบาท และคาดมีอัตรากำไรขั้นต้นไม่ต่ำกว่า 21% ส่วนเหตุการณ์เพลิงไหม้โรงงานที่นิคมอมตะ ไม่กระทบเป้าหมายรายได้ทั้งปีนี้ เพราะบริษัทได้ทำประกันความเสี่ยงไว้แล้ว (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 21-07-2010)
STEC ครึ่งปีแรกกำไรโต 123% ลุ้นงานใหม่ครึ่งหลัง 5 พันล้าน STEC อัพไซด์เพียบ เป้าหมาย 7.80 บาท คาดครึ่งปีแรกกำไรโต 123% ประมาณ 202 ล้านบาท จากอัตรากำไรขั้นต้นปรับเพิ่มขึ้นเป็น 8.5% เนื่องจากมีการรับรู้รายได้จากงานใหม่เพิ่ม ขณะที่ตั้งเป้าคว้างานใหม่ในครึ่งปีหลังกว่า 5,000 ล้านบาท ไม่รวมงานรถไฟฟ้า โบรกฯเล็งปรับประมาณการกำไรปี 2553 ใหม่ หลังจากประกาศงบไตรมาส 2/53 ในเดือน ส.ค. (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 21-07-2010)
CYBER เปิดแฟรนไชส์ Geniusplanet ตั้งเป้าปีแรกรายได้ 45%จากโดยรวม CYBER รุกหนักธุรกิจสถาบันเสริมทักษะการเรียนรู้สำหรับเด็ก “Geniusplanet” ทั้งขยายสาขาเองและเปิดขายแฟรนไชส์ วางเป้า 12 เดือนนับจากนี้เปิดเองอีก 30 สาขา และในส่วนที่เป็นแฟรนไชส์ปัจจุบันมีผู้จองเข้ามาแล้ว ภาคตะวันออก 30 สาขา และกรุงเทพฯ 15 สาขา “ชนินทร์เดช วานิชวงศ์” เผยวางเป้าปีแรกมีสัดส่วนรายได้ 35-45% ของ รายได้รวม (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 21-07-2010)
TMI รุกตลาดแดนมัมมี่-เวียดนาม กระตุ้นออเดอร์ Q3 พุ่ง ผู้ถือหุ้นไฟเขียวปันผล 5 สตางค์ TMI รุกเจาะตลาดอียิปต์-เวียดนามดันออเดอร์ต่างประเทศพุ่ง การันตีไตรมาส 3/53 สดใส “ธีระชัย” เตรียมลุ้นผลการเจรจากับโมเดิร์นเทรด คาดได้เพิ่มอีก 1 ราย รอแจ้งพร้อมผลประกอบการไตรมาส 2/53 เชื่อมั่นทั้งปีรายได้ตามเป้าหมายโต 17-20% ล่าสุดผู้ถือหุ้นอนุมัติปันผล 0.05 บาท กำหนดจ่ายวันที่ 30 ก.ค.นี้ (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 21-07-2010)

----------------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ตปท.
ไทยรัฐ - หุ้นมะกันปิดบวก-น้ำมันทะยานเหนือ77ดอลลาร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดแดนบวก จากผลประกอบการของแอปเปิลและยาฮู ส่วนราคาน้ำมันดิบทะยานขึ้นเหนือ 77 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล...

สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานเมื่อวันที่ 20 ก.ค.ตามเวลาท้องถิ่น ว่า ปิดการซื้อขายตลาดหุ้นสหรัฐ ดัชนีปรับลดลงในช่วงแรกจากผลประกอบการไตรมาส 2 ของปีที่ไม่เป็นไปตามเป้าของไอบีเอ็มและจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน เนื่องจากไอบีเอ็มลงนามในสัญญาซื้อขายน้อยลง ส่วนจอห์นสันแอนด์จอห์นสันได้รับผลกระทบเนื่องจากยาถูกเรียกคืน ก่อนที่ในช่วงครึ่งหลังของการซื้อขายดัชนีจะกระเตื้องขึ้นจากแรงซื้อหุ้น กลุ่มเทคโนโลยี หลังแอปเปิลและยาฮูรายงานผลประกอบการไตรมาส 2 น่าพอใจ ทำให้หลังปิดตลาด ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดที่ 10,229.96 จุด เพิ่มขึ้น 75.53 จุด แนสแดคปิดที่ 2,222.49 จุด เพิ่มขึ้น 24.26 จุด และเอสแอนด์พีปิดที่ 1,083.48 จุด เพิ่มขึ้น 12.23 จุด
ด้าน ราคาน้ำมันดิบตลาดไนเม็กซ์ เพิ่มขึ้น 90 เซนต์ ไปปิดที่ 77.44 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล

ข่าวต่างประเทศ
สหรัฐอเมริกา: ปรับลดมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศที่แท้จริงของสหรัฐฯ ในไตรมาสที่ 1 ปี 2553 สำนักวิเคราะห์เศรษฐกิจสหรัฐฯ ประกาศแก้ไขตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศที่แท้จริง ประจำไตรมาสที่ 1 ของปี 2553 โดยปรับลดลงร้อยละ 0.3 มาอยู่ที่ร้อยละ 2.7 สืบเนื่องจากปริมาณการใช้จ่ายของผู้บริโภคและปริมาณการส่งออกสุทธิ (ที่มา: อินโฟเควสท์ 20-07-2010)
สหรัฐอเมริกา: สหรัฐเผยตัวเลขการสร้างบ้านใหม่เดือนมิ.ย.ร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 9 เดือน กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่าตัวเลขการก่อสร้างบ้านใหม่เดือนมิ.ย.ร่วงลง 5% มาอยู่ที่ระดับ 549,000 ยูนิตต่อปี ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนต.ค.ปีที่แล้ว เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐยังคงอ่อนแอ ซึ่งส่งผลให้ความต้องการก่อสร้างบ้านใหม่หดตัวลงด้วย อย่างไรก็ตาม ตัวเลขการอนุญาตสร้างบ้านเดือนมิ.ย. เพิ่มขึ้น
2.1% สู่ระดับ 586,000 ยูนิตต่อปี นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐยังได้ปรับลดการประเมินตัวเลขการก่อสร้างบ้านเดือนพ.ค.ลงสู่ระดับ 578,000 ยูนิตต่อปี ซึ่งเป็นผลมาจากภาวะผันผวนในตลาดอพาร์ทเมนท์และคอนโดมิเนียม (ที่มา: อินโฟเควสท์ 21-07-2010)
จีน: จีนไม่ยอมรับ IEA ประเมินจีนแซงหน้าสหรัฐขึ้นเป็นผู้ใช้พลังงานรายใหญ่สุดของโลก นายโจว เซียน เจ้าหน้าที่จากสำนักงานพลังงานแห่งชาติของจีน (NEA) ได้ออกมาปฏิเสธรายงานของสำนักงานพลังงานสากล (IEA) ที่ระบุว่า จีนแซงหน้าในสหรัฐขึ้นเป็นประเทศที่ใช้พลังงานรายใหญ่ที่สุดของโลกในปีที่แล้ว IEA ระบุว่า ปริมาณการใช้พลังงานของจีนในปี 2552 อยู่ที่ 2.252 พันล้านตัน สูงกว่าปริมาณการใช้พลังงานของสหรัฐที่ระดับ 2.17 พันล้านตันอยู่ราว 0.4% (ที่มา: อินโฟเควสท์ 20-07-2010)
จีน: กระทรวงอุตสาหกรรมจีนคาดผลผลิตภาคอุตสาหกรรมในปท.อาจพุ่งกว่า 11% ปีนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศของจีน (MIIT) คาดการณ์ว่า ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของจีนตลอดปี 2553 อาจขยายตัวมากกว่า 11% แม้อัตราการขยายตัวของผลผลิตมีแนวโน้มชะลอตัวลงในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ก็ตาม ทั้งนี้ อัตราการขยายตัวของผลผลิตในภาคอุตสาหกรรมของจีนชะลอตัวลงเมื่อเทียบเป็นรายเดือนนับตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา โดยผลผลิตในเดือนมิ.ย.เพิ่มขึ้นเพียง 13.7% ในเดือนมิ.ย. ลดลงจากเดือนพ.ค.ที่ขยายตัว 16.5% (ที่มา: อินโฟเควสท์ 20-07-2010)
----------------------------------------------------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น