Code 81 : Technical Rebound

วันพุธที่ 26 พฤษภาคม 2553

ATT Code : Technical Rebound
>>เมื่อวานคาดว่า SET เปิดมาน่าจะลงต่อ เนื่องจากดูตลาดยุโรปและ Future Dow แล้ว แต่ก็ผิดคาด Djia กลับมาลบนิดหน่อย และ HSKI ก็เปิดบวกในเช้านี้ ทำให้หุ้นไทยเรามี Technical Rebound จากที่ลงมาแล้วประมาณ 45 จุด และจากที่มีแนวรับที่แข็งที่ 720
>>โดยเช้านี้ SET เปิดโดดมา 6 จุด เปิดที่ 727.93 และถ้ายืนเหนือ 728-730 ได้ ก็จะไปแนวต้าน 5 วัน ที่ 740 จุด แต่ถ้าเจอแรงขายก็ต้องกลับไปดูที่ 720 ใหม่
>>วันนี้ทั้งวันถือว่าสวิงน่าดู เพราตอนเช้าขึ้นไป High ที่ 732 และก็เจอแรงขายออกมา ลงไปลบช่วงบ่าย ก่อนที่จะมีแรงซื้อก่อนปิดตลาดครึ่งชั่วโมง กลับมาบวกได้ 7 จุด ปิดที่ 728.9 จุด

ไทยรัฐ : โบรกฯคาดหุ้นไทยวันนี้มีโอกาสรีบาวน์
แนวต้านที่ 730 - 735 จุด แนวรับที่ 714- 709 จุด
FSS : ยังเน้นเป็นการเข้าเทรดดิ้งสั้นๆ SET ดีดขึ้นจึงยังเน้นขายทำกำไร เพื่อรอรับต่ำ!
แนวโน้ม: ถ้าดูจากระดับดัชนีตลาดหุ้นไทยที่เรามองว่าจะเป็นระดับที่น่าดึงดูดใจสำหรับการกลับเข้ามาลงทุนรอบใหม่ของนักลงทุนต่างประเทศคาดว่าจะอยู่ที่บริเวณ 700-680 จุดโดยประมาณ
กลยุทธ์:โดยหุ้นที่แนะนำ ได้แก่ กลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี (BANPU, PTTEP, IRPC, PTTCH) โรงไฟฟ้า (GLOW) กลุ่มวัสดุฯ (SCC, SCCC, TSTH, DCC) กลุ่มอาหารและเกษตร (CPF, GFPT, TUF, TVO, STA) กลุ่มอิเล็คทรอนิคส์ (KCE, DELTA) และกลุ่มยานยนต์ (SAT, STANLY)
-แรงขายต่างชาติเริ่มชะลอระยะสั้น ระยะกลางยังขายต่อ...รีบาวนด์จึงให้ขาย

-------------------------------------------------------
รุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย
ไทยรัฐ - By...อินเด็กซ์ 51 : เงาหุ้น-ฝรั่งถล่ม!!
ดัชนีหุ้นวันที่ 25 พ.ค.53 ปิดที่ 721.29 จุด ลดลง 23.02 จุด มีมูลค่า การซื้อขาย 24,385.06 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 4,523.51 ล้านบาท

หุ้นที่มีการซื้อขายสูงสุด PTT ปิดที่ 233 บาท ลดลง 9 บาท,BANPU ปิดที่ 554 บาท ลดลง 34 บาท, PTTCH ปิดที่ 88.75 บาท ลดลง 7.50 บาท, PTTAR ปิดที่ 25.25 บาท ลดลง 2.25 บาท และ SCC ปิดที่ 234 บาท ลดลง 10 บาท

จากการรวบรวมตัวเลขการขายสุทธิของต่างชาติที่ได้ขายหุ้นไทยออกมาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่วันที่ 8 เม.ย.ถึง 25 พ.ค.นี้ จากการที่รัฐบาลประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินร้ายแรง จนถึงเกิดเหตุจลาจลเผาเมืองและประกาศกฎอัยการศึก พบว่าต่างชาติขายสุทธิในตลาดหุ้นไทยรวมทั้งสิ้น 6.18 หมื่นล้านบาท

และหากจำแนกลงไปตามรายบริษัทในช่วงเวลาดังกล่าว (8 เม.ย.-24 พ.ค.) พบว่า โบรกเกอร์ต่างชาติที่มีคำสั่งขายออกมามากที่สุดคือ บล.ยูบีเอส (UBS) ที่ขายสุทธิรวม 1.15 หมื่นล้านบาท รองลงมาคือเครดิต สวิส (CS) ขายสุทธิ 7,376.15 ล้านบาท ตามด้วยเจพีมอร์แกน (JPM) ขายสุทธิ 7,007.05 ล้านบาท แมคควอรี่ (MACQ) ขาย 5,592.91 ล้านบาท ขณะที่ CLSA ขาย 1,815.30 ล้านบาท

ฝ่ายวิเคราะห์ บล.เอเชียพลัส ระบุว่า ยอดขายสะสมสุทธิของนักลงทุนต่างชาติ นับจากวันที่ประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ในวันที่ 7 เม.ย. ถึง 24 พ.ค. ที่สูงถึง 5.73 หมื่นล้านบาท เมื่อหักจากยอดซื้อสะสมสุทธิที่เข้ามาในช่วงก่อนหน้าถึงช่วงเดือน มี.ค.53 พบว่า ยังเหลือยอดซื้อสะสมสุทธิอีกเพียง 2 พันล้านบาท แต่ในวันที่ 25 พ.ค. ต่างชาติยังขายสุทธิอีกมากถึง 4.5 พันล้านบาท นั่นหมายถึงว่ายอดซื้อสุทธิสะสมที่ต่างชาติซื้อมาตั้งแต่ต้นปีนั้นได้ถูกเทขายออกมาหมดสิ้นแล้ว

ขณะที่ยังไม่พบสัญญาณว่านักลงทุนต่างชาติจะหยุดขายหุ้นออกมาในเร็ววันนี้!!

แต่หากพิจารณายอดซื้อสะสมสุทธิของต่างชาติ ที่เข้ามาตั้งแต่ 13 มี.ค. ปี 52 ซึ่งต่างชาติกลับเข้ามาซื้อรอบใหญ่สูงถึง 7.68 หมื่นล้านบาทนั้น จะพบว่าเม็ดเงินส่วนนั้นยังเหลืออีกราว 4 หมื่นล้านบาท และเป็นความเสี่ยงที่จะถูกขายออกมาได้

ดังนั้น ภายใต้สถานการณ์ที่ตลาดหุ้นไทยโดนกระหน่ำจากปัจจัยลบจากทั้งภายในและนอกประเทศ จะเป็นแรงกดดันให้ต่างชาติขายหุ้นไทยต่อเนื่องตามทิศทางตลาดหุ้นในภูมิภาคอีกอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์.

ไทยรัฐ - โบรกฯคาดหุ้นไทยวันนี้มีโอกาสรีบาวน์
โบรกฯ คาด หุ้นไทยวันนี้มีโอกาสรีบาวน์ตามตลาดหุ้นทั่วโลก จับตามองตลาดหุ้นสหรัฐฯ หลังผันผวนหนัก เนื่องจากนักลงทุนวิตกเกี่ยวกับปัญหาหนี้สินของกลุ่มประเทศยูโรโซน โดยกำหนดแนวต้านที่ 730 - 735 จุด แนวรับที่ 714- 709 จุด ...

วันที่ 26 พ.ค.2553 นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้บังคับบัญชาสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ พัฒนสิน จำกัด ( มหาชน ) กล่าวถึงแนวโน้มดัชนีหุ้นไทยวันเดียวกันนี้ ว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้มีโอกาสปรับตัวรีบาวน์ขึ้นตามตลาดหุ้นต่างประเทศและตลาดหุ้นกลุ่มภูมิภาค หลังดัชนีดาวโจนส์ สหรัฐอเมริกา หลุดจากระดับ 10,000 จุด แต่สามารถดีดตัวขึ้นได้ ทำให้ปิดตลาดติดลบ 22.82 จุด หลังจากที่ร่วงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 3 เดือน

ปัจจัยต่างประเทศที่ต้องจับตามอง คือ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ผันผวนหนัก เนื่องจากนักลงทุนวิตกเกี่ยวกับปัญหาหนี้สินของกลุ่มประเทศยูโรโซน ขณะที่นักลงทุนยังกังวลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งอาจได้รับผลจากมาตรการรัดเข็มขัดของประเทศในยุโรปเพื่อแก้ปัญหาหนี้ สาธารณะและการขาดดุลงบประมาณ

โดยปิดตลาดดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นสหรัฐ ปิดที่ 10,043.75 ลดลง 22.82 จุด ขณะที่ดัชนีนิกเกอิ ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดตัวสูงของการเปิดตลาด คือ ปรับขึ้น 104.44 จุด อยู่ที่ 9,564.33 จุด ส่วนทางด้านน้ำมันดิบไนเม็กซ์ส่งมอบเดือนก.ค.ลด 1.46 ดอลลาร์ หรือ 2.08% ปิดที่ 68.75 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

กลยุทธ์แนะนำนักลงทุนในวันนี้ คาดว่าหุ้นไทยอาจมีการรีบาวน์ในระหว่างเทรดได้เล็กน้อย เนื่องจากการลงทุนของต่างชาติเวลานี้ได้หันไปหาสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยสูง หลังจากที่ตัวเลขเศรษฐกิจของอียูและสหรัฐฯออกมาไม่ค่อยดี ทำให้คนกลับไปกังวลการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก โดยกำหนดแนวต้านที่ 730 - 735 จุด แนวรับที่ 714- 709 จุด

FSS : ยังเน้นเป็นการเข้าเทรดดิ้งสั้นๆ SET ดีดขึ้นจึงยังเน้นขายทำกำไร เพื่อรอรับต่ำ!
แนวโน้ม:
ตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวลดลงในระหว่างวันเกือบ 300 จุดเป็นลบเกือบ 3% จากความกังวลต่อสถานการณ์หนี้สินในยุโรปต่อเนื่อง ก่อนที่จะเริ่มมีแรงซื้อกลับเข้ามาทำให้ DJIA ค่อยๆ ไต่ระดับกลับขึ้นมาปิดลบไปเพียง 22 จุดเศษ ซึ่งคาดว่าตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียตอบรับความกังวลดังกล่าวไปแล้วตั้งแต่วานนี้ ส่งผลให้เช้านี้ตลาดหุ้นในเอเชียส่วนใหญ่เปิดทำการด้วยการขยับบวกกลับขึ้นมาตามภาวะตลาดหุ้นสหรัฐที่สามารถดีดกลับมาปิดเป็นลบน้อยได้ ขณะเดียวกัน SET ก็ปรับตัวลดลงในช่วง 2 วันที่ผ่านมาถึงเกือบ 6% แล้วและถือว่าตั้งแต่ช่วงสายวานนี้การปรับตัวลงของดัชนีเริ่มมีกรอบจำกัดมากขึ้น ทำให้ FSS คาดว่า SET มีโอกาสลุ้นรีบาวด์กลับขึ้นมาเคลื่อนไหวเป็นบวกได้ตามตลาดอื่นๆ ในภูมิภาคด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตามความกังวลต่อสภาพหนี้ในยุโรปจะยังเป็นแรงกดดันต่อแรงขายของนักลงทุนต่างประเทศที่คาดว่ามีแนวโน้มที่จะยังมีออกมาอีก จนกว่านักลงทุนจะมีความมั่นใจว่าปัญหาหนี้สินในยุโรปจะไม่บานปลายออกไปมากกว่านี้ ซึ่งถ้าดูจากระดับดัชนีตลาดหุ้นไทยที่เรามองว่าจะเป็นระดับที่น่าดึงดูดใจสำหรับการกลับเข้ามาลงทุนรอบใหม่ของนักลงทุนต่างประเทศคาดว่าจะอยู่ที่บริเวณ 700-680 จุดโดยประมาณ
กลยุทธ์: เรายังแนะนำเพียงเทรดดิ้งตามรอบสั้นๆ เพื่อลุ้นจังหวะดีดกลับของตลาด โดยควรหาจังหวะขายทำกำไรเมื่อ SET ดีดขึ้นด้วย โดยเฉพาะถ้าขยับขึ้นไปในกรอบ 730-750 จุด ซึ่งเราคาดว่าโอกาสที่ดัชนีจะขึ้นถึง 750 จุดไม่ใช่เรื่องง่าย ส่วนการซื้อเพื่อถือลงทุนเรายังแนะนำให้รอ SET ปรับตัวลงอีกครั้ง ซึ่งยังมีแนวโน้มไหลลงไปแถว 700 จุดหรือต่ำกว่าได้ โดยหุ้นที่แนะนำ ได้แก่ กลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี (BANPU, PTTEP, IRPC, PTTCH) โรงไฟฟ้า (GLOW) กลุ่มวัสดุฯ (SCC, SCCC, TSTH, DCC) กลุ่มอาหารและเกษตร (CPF, GFPT, TUF, TVO, STA) กลุ่มอิเล็คทรอนิคส์ (KCE, DELTA) และกลุ่มยานยนต์ (SAT, STANLY)

ประเด็นสำคัญวันนี้
Indicator หลายตัวบ่งบอกว่าตลาดหุ้นทั่วโลกยังลงไม่สุด
1. ความวิตกเรื่องหนี้ในยุโรป
ทำให้สภาพคล่องของโลกเริ่มตึงตัวเพราะสถาบันการเงินไม่มั่นใจในการปล่อยกู้ระหว่างกัน เห็นได้จาก TED Spread ที่ปรับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเป็น 0.36% สูงที่สุดในรอบ 11 เดือน แม้ว่าระดับนี้จะต่ำกว่าในช่วง Subprime (4.82%) หรือช่วงต้มยำกุ้ง (1.02%) แต่ก็เป็นระดับที่สูงกว่าในช่วงเดือน มี.ค. 2010 ซึ่งเป็นช่วงที่ตลาดการเงินเป็นปกติที่ 0.1% - 0.15%
2. VIX หรือดัชนีความกลัว ปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 34.61 จุด สูงที่สุดในรอบ 1 ปี สะท้อนว่าความกลัวของนักลงทุนมีมากที่สุดในรอบปี แม้ว่าจะต่ำกว่าช่วงวิกฤต Subprime ที่เคยปรับขึ้นไปสูงกว่า 80 จุด แต่ที่ระดับปัจจุบันเท่ากับในช่วงที่โลกเพิ่งจะออกจากวิกฤตใหม่ๆ จึงถือว่าตลาดยังไม่ปกติ VIX ที่สูงขึ้นส่วนหนึ่งเป็นผลสะท้อนมาจากตลาดการเงินในปัจจุบันที่เริ่มตึงตัวกว่าในช่วงที่ผ่านมา
3. CDS Spread ของหลายประเทศปรับสูงขึ้นมากที่สุดในรอบ 1 ปี ของไทยอยู่ที่ 155 basis point ประเทศเอเชียอื่นๆ ก็มี CDS สูงสุดในรอบ 1 ปี+/- เช่นกัน และอีกหลายประเทศในยูโรโซนก็ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
4. มองหุ้นผ่าน Yield curve สะท้อนว่าตลาดหุ้นยังไม่น่าสนใจ ส่วนต่างระหว่างผลตอบแทนของพันธบัตร 2 ปีกับ 10 ปี แคบลงเหลือเพียง 1.45%

-แรงขายต่างชาติเริ่มชะลอระยะสั้น ระยะกลางยังขายต่อ...รีบาวนด์จึงให้ขาย ไม่น่าแปลกใจที่ตลาดหุ้นไทยร่วงแรงหลังจากเปิดตลาดวันจันทร์ เพราะในช่วงที่เราปิดตลาด 2 วันครึ่ง ตลาดหุ้นในเอเชียร่วงหนักจนทำให้เรา Outperform เกินไป หากนับตั้งแต่วันพุธที่แล้วถึงวานนี้ ตลาดที่ปรับลงแรงเป็นตลาดที่ Outperform ในช่วงก่อนหน้าคืออินโดนีเซีย (7.9%) และไทย (44 จุดหรือ 5.8%) ซึ่งร่วงแรงกว่าเอเชียโดยเฉลี่ยที่ -3.8% การปรับลงอย่างแรงของ SET ในช่วง 2 วันที่ผ่านมาทำให้เปอร์เซ็นต์การ Correction ของเราใกล้เคียงกับเพื่อนบ้านแล้ว เพราะการพักฐานของตลาดเอเชียรอบนี้ (จากจุด Last peak) ปรับลงมาเฉลี่ย 12% (SET ปรับลง 12% จาก 820 จุดเช่นกัน) เชื่อว่าจากนี้ไปแรงขายของต่างชาติจะเริ่มชะลอลงจากช่วงที่ผ่านมาที่ขายวันละ 5 - 7 พันล้านบาท แต่แนวโน้มก็ยังเป็นขายอยู่
-รัฐบาลเลื่อนวันปิดสภาเพื่อให้ฝ่ายค้านอภิปรายไม่ไว้วางใจ คาดว่าจะเป็นจันทร์หรืออังคารหน้า (31 พ.ค. หรือ 1 มิ.ย.)
-ความตึงเครียดบนคาบสมุทรเกาหลีกดดันตลาด แม้บางสื่อจะวิเคราะห์ว่าเป็นเพียงเกมของเกาหลีเหนือในการใช้กำลังทหารต่อรองกับสหรัฐฯ ในเรื่องความช่วยเหลือด้านอาหารและน้ำมัน บ้างก็ว่าต้องการเรียกร้องความสนใจจากสหรัฐ แต่อย่างน้อยก็สร้างความตึงเครียดซ้ำเติมตลาดหุ้นในระยะนี้

-------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ตปท.
ตลาดหุ้นสหรัฐฯปิดตลาดวานนี้ ปรับขึ้นช่วงท้ายของการซื้อขายทั้งนี้ดาวโจนส์ปรับลด 22.82 จุด ขณะที่น้ำมันดิบดิ่ง 1.46 ดอลล์

26 พ.ค. 53 : ตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวขึ้นในช่วงท้ายของการซื้อขายเมื่อวานนี้ (25 พ.ค.) ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดลบ 22.82 จุดหรือ 0.23% ปิด 10,043.75, ดัชนี S&P 500 ปิดขยับขึ้น 0.38 จุดหรือ 0.04% สู่ 1,074.03และดัชนี Nasdaq ปิดลบ 2.60 จุดหรือ 0.12% ปิด 2,210.95 ปริมาณซื้อขายแข็งแกร่งราว 1.306 หมื่นล้านหุ้นในตลาดนิวยอร์ค, ASE และ Nasdaq ซึ่งสูงกว่าปริมาณเฉลี่ยต่อวันของปีก่อนที่ 9.65 พันล้านหุ้น

ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า NYMEX ปิดดิ่งลงกว่า 2 % เมื่อวานนี้ หลังนักลงทุนพยายามลดความเสี่ยง เนื่องจากกังวลกับวิกฤติหนี้ยุโรปและความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างเกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้ ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบส่งมอบเดือนก.ค.รูดลง 1.46 ดอลลาร์ หรือ 2.08 % มาปิดตลาดที่ 68.75 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 67.15-69.91 ดอลลาร์ ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนก.ค.ที่ตลาดกรุงลอนดอนดิ่งลง 1.62 ดอลลาร์ หรือ 2.28 % ปิด 69.55 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 68.15-70.95 ดอลลาร์

--------------------------------------------------------
Technical View : FSS
“ตลาดมีสิทธิที่จะเริ่มแกว่งทรงตัวบริเวณแนวรับ 720 จุดหรือต่ำกว่าเล็กน้อย เพื่อลุ้นดีดกลับขึ้นหาแนวต้านต่างๆ ให้ตามเทรดดิ้งขึ้นไปทำกำไรตามรอบได้ แต่ยังเน้นเล่นสั้นตามรอบ เพราะโอกาสย้อนลงอีกครั้งยังเป็นไปได้...”
แนวรับ : 720-718** , 715***
แนวต้าน : 730-736* , 742-744** , 750-752***

--------------------------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น