Code 60 : หยุด 3 วัน อันตรายมั้ย

วันเสาร์ที่ 1 พฤษภาคม 2553
ATT-Code : หยุด 3 วัน อันตรายมั้ย
หยุด 3 วันนี้ คงต้องติดตามผลกระทบที่เกิดขึ้นที่ ร.พ.จุฬา วันนี้ผ่านพ้นไปด้วยดี ไม่มีการกระทบกระทั่งกัน อาจเป็นเพราะ
1. เป็นวันแรงงาน ทำให้รัฐเน้นเรื่องการช่วยเหลือแรงงานที่ได้รับผลกระทบต่อการชุมนุม
2. มีฝนตกลงมาและมีลมอย่างแรง
ส่วนตอนค่ำเห็นข่าวออกมาว่าพรุ่งนี้จะมีการขอพื้นที่คืนบางส่วน ก็ต้องติดตามกันดูว่าจะสามารถเจรจากันได้หรือไม่ หรือต้องใช้มาตรการที่เข้มข้นกว่านั้น

Head Line News
เงาหุ้น -
ฝ่ายวิเคราะห์ บล.ฟินันเซีย ตลาดจะขึ้นอยู่กับสถานการณ์การเมืองในประเทศ โดยเฉพาะมีช่วงวันหยุดยาว 3 วัน ซึ่งต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพราะส่งผลต่อระดับความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ
- แนะกลยุทธ์การลงทุนให้เทรดดิ้ง โดยหาจังหวะเข้าซื้อเมื่อราคาหุ้น อ่อนตัวลง ด้านเทคนิคประเมินแนวรับไว้ที่ 746 จุด ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 765 จุด
- โดยเปิดโผหุ้นที่ไม่ได้รับผลกระทบจากการเมืองมากนัก และน่าสนใจทยอยเข้ารับ ได้แก่ กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ (KCE) เกษตรและอาหาร (CPF) ค้าปลีก (CPALL, BIGC, HMPRO, MAKRO) โรงพยาบาล โรงไฟฟ้า และน้ำประปา (TTW) เป็นต้น

TNN : กรณ์ยันหุ้นไทยยังมีเสถียรภาพ แม้ปัญหาการเมืองสุม
นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง ยืนยัน ตลาดหุ้นไทยยังมีเสถียรภาพ หลังการเมืองกดดันแต่ดัชนีฯยังยืนอยู่ได้ ด้าน ผจก.ตลาดหุ้น ระบุ เหตุนักลงทุนเทขายหุ้นช่วง 5 วันนี้ เพราะระวังตัวประกอบกับยังกังวลและรอดูสถานการณ์ทางการเมือง

TNN : น้ำมันดิบบวก98เซนต์-ดาวโจนส์ดิ่ง158.7จุด
น้ำมันดิบตลาดปิดบวก 98 เซนต์ โดยได้แรงหนุนจากน้ำมันรั่วที่อ่าวเม็กซิโก ขณะที่-ดาวโจนส์ร่วง 158.71 จุดหลังสหรัฐเผย GDP


----------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย
ไทยรัฐ - By...อินเด็กซ์ 51 : เงาหุ้น-มีหุ้นมาให้เลือก!!
ดัชนีหุ้นวันที่ 30 เม.ย.53 ปิดที่ 763.51 จุด เพิ่มขึ้น 10.31 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 19,690.39 ล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิ 760.93 ล้านบาท

ฝ่ายวิเคราะห์ บล.ฟินันเซีย ตลาดจะขึ้นอยู่กับสถานการณ์การเมืองในประเทศ โดยเฉพาะมีช่วงวันหยุดยาว 3 วัน ซึ่งต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพราะส่งผลต่อระดับความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ

แนะกลยุทธ์การลงทุนให้เทรดดิ้ง โดยหาจังหวะเข้าซื้อเมื่อราคาหุ้น อ่อนตัวลง ด้านเทคนิคประเมินแนวรับไว้ที่ 746 จุด ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 765 จุด

ฝ่ายวิเคราะห์ บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส แนะกลยุทธ์การลงทุนให้ซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว โดยให้ปรับเพิ่มระดับการลงทุนเป็น 50% ของพอร์ต โดยสามารถเข้าซื้อเก็งกำไรในหุ้นพลังงานและธนาคารได้ตามการลงทุนของต่างชาติ

ด้านเทคนิค หากดัชนียืนเหนือระดับ 780 จุดได้ ยังสามารถปรับเพิ่มการลงทุนขึ้นเป็น 70-80% ของพอร์ตได้ แต่หากดัชนีปรับตัวลงต่ำกว่า 750 จุด แนะนำให้ถือเงินสด เพื่อรอรับ เพราะดัชนีมีโอกาสปรับตัวลดต่ำลงไประดับ 700 จุดได้

ปิดท้าย บล.ฟินันเซีย ไซรัส ออกบทวิเคราะห์เปิดโผหุ้นที่ไม่ได้รับผลกระทบจากการเมืองมากนัก และน่าสนใจทยอยเข้ารับ ได้แก่ กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ (KCE) เกษตรและอาหาร (CPF) ค้าปลีก (CPALL, BIGC, HMPRO, MAKRO) โรงพยาบาล โรงไฟฟ้า และน้ำประปา (TTW) เป็นต้น

รวมถึงหุ้นที่มีราคาตลาดต่ำกว่าราคาตามพื้นฐานค่อนข้างมาก ได้แก่ KBANK, SCB, BBL, BAY, AP, PS, LH, QH, CPN, PTTEP, ROJNA เป็นต้น

แถมให้อีกหน่อย โฟกัสหุ้น CPF ที่ช่วงหลังมานี้ร้อนแรงเกินพิกัด หลัง แทบทุกโบรกฯกดปุ่มเชียร์ นำโดยดีบีเอสวิคเคอร์ส ให้ราคาพื้นฐานสูงกว่าใครเพื่อนที่ 19.50 บาท ตามด้วยเคจีไอ 17.80 บาท, ยูไนเต็ด 17.60 บาท, ซิกโก้ 17.50 บาท, ฟิลลิป 17.25 บาท, นครหลวงไทย 17.00 บาท, กิมเอ็ง 16.80 บาท และเอเซียพลัส 16.12 บาท !!

ข่าวเศรษฐกิฐ : กรณ์ยันหุ้นไทยยังมีเสถียรภาพ แม้ปัญหาการเมืองสุม
นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง ยืนยัน ตลาดหุ้นไทยยังมีเสถียรภาพ หลังการเมืองกดดันแต่ดัชนีฯยังยืนอยู่ได้ ด้าน ผจก.ตลาดหุ้น ระบุ เหตุนักลงทุนเทขายหุ้นช่วง 5 วันนี้ เพราะระวังตัวประกอบกับยังกังวลและรอดูสถานการณ์ทางการเมือง

เมื่อวันที่ 30 เม.ย. นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวในงานพิธีทำบุญเนื่องในโอกาสที่หลักทรัพย์จัดตั้งขึ้นมาครบรอบ 35 ปีว่า ตลาดหุ้นไทยค่อนข้างมีเสถียรภาพ เห็นได้ว่าแม้จะมีภาวะกดดันจากปัญหาการเมืองภายในประเทศ แต่ดัชนีตลาดหุ้นไทยก็ยังสามารถยืนอยู่ได้ โดยไม่ได้ปรับตัวลงรุนแรง สะท้อนให้เห็นได้ว่านักลงทุนมีความเข้าใจตลาดได้ดี ดังนั้นเชื่อว่าหลังจากนี้หากสถานการณ์ของปัญหาการเมืองในขณะนี้ยุติ หรือจบลงได้ แนวโน้มของการทำกำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ก็น่าจะดีขึ้น ดัชนีหุ้นไทยก็น่าจะสามารถปรับตัวขึ้นได้อีก

“ความจริงแล้วตลาดทุนไทยค่อนข้างมีสเถียรภาพ ทุกคนแปลกใจว่าทำไมตอนนี้ตลาดทุนไทยถึงยังยืนอยู่ได้ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า แม้จะมีนักลงทุนที่หลากหลาย แต่ก็มีความเข้าใจในปัจจัยและภาวะตลาดได้ดี" รมว.คลัง กล่าว

นายกรณ์ กล่าวต่อว่า ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองภายในประเทศและการชุมนุมที่ยืดเยื้อส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจขยายวงกว้างไปทั่วประเทศ โดยเฉพาะ จ.ภูเก็ต ยอดจองห้องพักของนักท่องเที่ยวลดลงเหลือเพียงร้อยละ 12 และกระทบต่ออัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศแล้วกว่าร้อยละ 0.5 ซึ่งหากยืดเยื้อถึงสิ้นปีอาจกระทบจีดีพีถึงร้อยละ 2

ด้านนางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ กล่าวว่า สาเหตุที่นักลงทุนต่างชาติมีแรงขายสุทธิออกมาในช่วง 5 วันทำการ รวมกันสูงสุดในรอบ 5-6 เดือนที่ผ่านมา เนื่องจากต่างชาติมีความระมัดระวังในการลงทุนมากขึ้น เนื่องจากกังวลและรอดูสถานการณ์ทางการเมือง อย่างไรก็ดี ประเมินได้ยาก ว่าเม็ดเงินที่ขายออกมาจะไหลออกไปยังต่างประเทศ หรือจะยังอยู่ในประเทศเพื่อจะกลับมาลงทุนในตลาดหุ้น แต่ยังเชื่อว่า ทิศทางการลงทุนของตลาดหุ้นไทยยังมีปัจจัยพื้นฐานที่ดี

ขณะที่ นายวิเชฐ ตันติวานิช รองผู้จัดการสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ และบริษัทจดทะเบียนตลาดหลักทรัพย์ กล่าวแสดงความมั่นใจว่า ในปีนี้จะมีบริษัทจดทะเบียนเข้าใหม่มาทำให้มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม (มาร์เก็ตแคป) เพิ่มขึ้นได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ 1 แสนล้านบาท.

-------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ตปท.
TNN : น้ำมันดิบบวก98เซนต์-ดาวโจนส์ดิ่ง158.7จุด
น้ำมันดิบตลาดปิดบวก 98 เซนต์ โดยได้แรงหนุนจากน้ำมันรั่วที่อ่าวเม็กซิโก ขณะที่-ดาวโจนส์ร่วง 158.71 จุดหลังสหรัฐเผย GDP

1 พ.ค. 53 : สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนมิ.ย.พุ่งขึ้น 98 เซนต์ ปิดที่ 86.15 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 86.25-86.25 ดอลลาร์

ขณะที่สัญญาน้ำมันฮีทติ้งออยล์เดือนพ.ค.ดีดขึ้น 3.73 เซนต์ ปิดที่ 2.2888 ดอลลาร์/แกลลอน และสัญญาน้ำมันเบนซินเดือนพ.ค.เพิ่มขึ้น 4.07 เซนต์ ปิดที่ 2.3963 ดอลลาร์/แกลลอน

ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ปิดบวก 54 เซนต์ แตะระดับ 87.44 ดอลลาร์/บาร์เรล

ซึ่งตลาดน้ำมันนิวยอร์กได้แรงหนุนหลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคไตรมาสแรกปีนี้ ดีดตัวขึ้น 3.6% ทำสถิติขยายตัวแข็งแกร่งที่สุดนับตั้งแต่ปี 2550 และมากกว่าไตรมาสสี่ปีที่แล้วที่ตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคขยายตัวเพียง 16%

นอกจากนี้ความแข็งแกร่งของตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคเป็นปัจจัยสำคัญที่หนุนผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาสแรกปีนี้ของสหรัฐ ขยายตัวในอัตรา 3.2% ต่อปี แต่ยังต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะขยายตัว 3.4% ต่อปี และต่ำกว่าไตรมาสสี่ปีที่แล้วที่ขยายตัว 5.6% ต่อปี

ขณะเดียวกัน นักลงทุนยังเข้าซื้อสัญญาน้ำมันดิบหลังจากมีรายงานว่า เหตุการณ์น้ำมันรั่วไหลจากบ่อน้ำมันของบริษัทบีพีในอ่าวเม็กซิโก ทำให้บีพีสูญเสียน้ำมันดิบจำนวนมากถึง 5,000 บาร์เรล/วัน ซึ่งสูงกว่าที่สำนักงานสมุทรศาสตร์และบรรยากาศแห่งชาติของสหรัฐ (NOAA) ประเมินไว้ที่ระดับ 1,000 บาร์เรล/วัน ถึง 5 เท่า

การรั่วไหลดังกล่าวเกิดขึ้น เนื่องจากเกิดการระเบิดจนเป็นเหตุให้แท่นขุดเจาะน้ำมัน Deepwater Horizon ของบริษัทบีพีจมลงในช่วงกว่าหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยจุดที่เกิดอยู่ห่างจากชายฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองนิวออลีนส์ประมาณ 130 ไมล์ ส่งผลให้เกิดคราบน้ำมันลอยเป็นแพในรัศมี 16 ไมล์นอกชายฝั่ง และทำให้บีพีต้องจ่ายเงินวันละ 6 ล้านดอลลาร์เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการทำความสะอาดน้ำมันที่รั่วไหลและเพื่อหยุดการรั่ว โดยครอบคลุมถึงการใช้เครื่องบินโปรยสารเคมี การใช้กระบวนการให้กลายเป็นไอ (evaporation) และกระบวนการอื่นๆทางธรรมชาติ เพื่อสลายคราบน้ำมัน

ขณะที่ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ร่วงลง 158.71 จุด หรือ 1.4% ปิดที่ 11,008.61 จุด ดัชนี S&P 500 รูดลง 20.09 จุด หรือ 1.7% ปิดที่ 1,186.69 จุด และดัชนี Nasdaq ดิ่งลง 50.73 จุด หรือ 2% แตะที่ 2,461.19 จุด

ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ราว 1 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นลบมากกว่าหุ้นบวกในอัตราส่วน 2 ต่อ

ด้านนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐ หลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า จีดีพีไตรมาสแรกปีนี้ ขยายตัวในอัตรา 3.2% ต่อปี ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะขยายตัว 3.4% ต่อปี และต่ำกว่าไตรมาสสี่ปีที่แล้วที่ขยายตัว 5.6% ต่อปี

โดยปัจจัยที่ช่วยหนุนจีดีพีไตรมาสแรกขยายตัวมาจากตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคที่ดีดตัวขึ้น 3.6% ทำสถิติขยายตัวแข็งแกร่งที่สุดนับตั้งแต่ปี 2550 และมากกว่าไตรมาสสี่ปีที่แล้วที่ตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคขยายตัวเพียง 16% แต่นักวิเคราะห์คาดว่า ผู้บริโภคอาจลดการใช้จ่ายลงเนื่องจากอัตราว่างงานในสหรัฐยังคงเคลื่อนไหวที่ระดับสูงถึง 9.7% และคาดว่าอัตราว่างงานจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า นอกจากนี้ คาดว่ารายได้ที่ชะลอตัวลงและการเข้าถึงแหล่งเงินกู้ได้ยากขึ้นของผู้บริโภค อาจทำให้ตัวเลขการใช้จ่ายของผู้บริโภคลดลงด้วยเช่นกัน

นอกจากนี้ ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังได้รับปัจจัยลบจากข่าวที่ว่า อัยการของรัฐบาลกลางสหรัฐเริ่มดำเนินการสอบสวนทางอาญาในกรณีการฉ้อโกงของโกลด์แมน แซคส์ กรุ๊ป ซึ่งเป็นการโอนเรื่องมาจากคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐ (SEC) โดยข่าวดังกล่าวฉุดหุ้นกลุ่มการเงินดิ่งลงอย่างหนัก

SEC ยื่นฟ้องโกลด์แมน แซคส์ ในช่วงกลางเดือนเม.ย. ในข้อหาพยายามปกปิดข้อมูลที่สำคัญเกี่ยวกับตราสารหนี้ "ABACUS 2007-AC1" ซึ่งเป็นตราสารหนี้ที่มีสัญญาจำนองค้ำประกัน หรือ ตราสารซีดีโอ (collateralized debt obligation) ซึ่งสร้างความเสียหายให้กับนักลงทุนเป็นมูลค่ามากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ โดยกลุ่มนักลงทุนที่ได้รับความเสียหายครั้งนี้รวมถึงธนาคารไอเคบี ของเยอรมนี และธนาคารเอบีเอ็น อัมโร ของเนเธอร์แลนด์

สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (เอสแอนด์พี) ปรับลดน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้นโกลด์แมน แซคส์ ลงสู่ระดับ "sell" ส่งผลให้ราคาหุ้นโกลด์แมน แซคส์ ปิดร่วง 9.4% ขณะที่หุ้นมอร์แกน สแตนลีย์ และหุ้นเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค ปิดร่วงลงกว่า 3%

นักลงทุนจับตาดูการประชุมระหว่างสหภาพยุโรป (อียู) กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) และรัฐบาลกรีซ ที่มีเป้าหมายจะสรุปเงื่อนไขมาตรการให้ความช่วยเหลือกรีซในช่วงสุดสัปดาห์นี้ หลังจากเอสแอนด์พีประกาศลดอันดับความน่าเชื่อของกรีซลงสู่ระดับไม่น่าลงทุน หรือระดับขยะ (junk status) และลดอันดับความน่าเชื่อถือของโปรตุเกสลง 2 ขั้น สู่ระดับ A- จากระดับ A+ พร้อมกับให้แนวโน้มเป็นลบ

----------------------------------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น