Code 330 : หุ้นแบงก์แจ่มจรัสรับปีกระต่าย

วันศุกร์ที่ 7 มกราคม 2554

ATT Code : หุ้นแบงก์แจ่มจรัสรับปีกระต่าย
E Finance : วงการมองหุ้นกลุ่มแบงก์รับอานิสงส์ดบ.ขาขึ้นในปี 54 คาดกนง.อาจประเดิมขึ้นดบ.0.25%ในการประชุมนัดแรก 12 ม.ค.ขณะที่สินเชื่อปีนี้โต 10-12% ตามการลงทุนของภาคเอกชนและการใช้จ่ายภาครัฐ ส่งผลให้มองแนวโน้มกำไรปี 54 ดีขึ้นชัดเจนคาดโต 15% แม้ในช่วง Q4/53 จะลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบ Q3/53 แต่เชื่อกำไรปี53 จะเป็นไปตามคาด เชียร์ KTB KBANK BBL SCB BAY และ TCAP
----------------------------------------------------------------------------------
MARKET WAVE Analysis
7 มค. 54 ( +0.20 จุด) โกมล พงศ์วิญญู เลขทะเบียน 18338

ปรับตัวขึ้น 1055 – 56 จุด
แนวโน้มในวันศุกร์นี้ ดัชนีมีโอกาสปรับตัวกลับขึ้นไปแถว 1055 – 56 ใกล้จุดสูงสุดของวันพฤหัสอีกครั้ง

จากนั้น ตลาดน่าจะต้องใช้ระยะเวลาอีกสักพัก สองถึงสามวันแกว่งตัวย่ำฐานในกรอบ1045 – 56 หรือ ระหว่างจุดต่ำสุดถึงจุดสูงสุด
ของวันพฤหัส เหนือเส้นค่าเฉลี่ย 25 ชั่วโมง

ตราบใด ไม่ต่ำกว่า 1029.96 จุดต่ำสุดของวันสิ้นปี ดัชนีในเดือน มค. นี้ยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อแถว 1104 – 28 จุด หรือประมาณ
ระยะทาง 1.618 เท่าของคลื่น 1 เดือน มิย. ปีที่แล้ว

หุ้นเด่น
THAI
ปรับตัวขึ้นมาแถวเส้นค่าเฉลี่ย 25 วันพอดีรอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 51.25 จุดสูงสุดวันพฤหัสและเส้นค่าเฉลี่ยดังกล่าว เป้าหมายสองสามวัน 53.50 – 55.50( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 49.75 )

10 อันดับซื้อขายสูงสุด
SCB ต่ำกว่า 105 ลง 102 - 103
TOP ต่ำกว่า 75.50 ลง 73 – 75
KTB ต่ำกว่า 18.80 ลง 18.20 – 18.50
IRPC ต่ำกว่า 6 ลง 5.40 - 5.60
BBL ต่ำกว่า 159.50 ลง 155 – 157.50
BANPU ไม่ต่ำกว่า 832 ขึ้น 860 – 868
STA เกิน 38.75 ขึ้น 39 - 40
PTL ไม่น่าเกิน 40.50 – 41.50
PTT แกว่งตัว 329 – 334
PTTCH แกว่งตัว 149.50 – 153

----------------------------------------------------------------------------------
E Finance : หุ้นแบงก์แจ่มจรัสรับปีกระต่าย
วงการมองหุ้นกลุ่มแบงก์รับอานิสงส์ดบ.ขาขึ้นในปี 54 คาดกนง.อาจประเดิมขึ้นดบ.0.25%ในการประชุมนัดแรก 12 ม.ค.ขณะที่สินเชื่อปีนี้โต 10-12% ตามการลงทุนของภาคเอกชนและการใช้จ่ายภาครัฐ ส่งผลให้มองแนวโน้มกำไรปี 54 ดีขึ้นชัดเจนคาดโต 15% แม้ในช่วง Q4/53 จะลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบ Q3/53 แต่เชื่อกำไรปี53 จะเป็นไปตามคาด เชียร์ KTB KBANK BBL SCB BAY และ TCAP

นับตั้งแต่เปิดศักราชสู่ปี 2554(กระต่าย) หุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์กลายเป็นกลุ่มที่ดัน SET Index ให้เคลื่อนไหวในแดนบวก หลังวงการมองน่าจะได้รับอานิสงส์จากแนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้น กำไรเติบโต จากการขยายตัวของสินเชื่อและวงจรอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น ส่งผลให้ราคาหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ วานนี้(6 ม.ค.54) ส่วนใหญ่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ประกอบด้วย
ธนาคารกรุงเทพ จำกัด(มหาชน)(BBL) อยู่ที่ 159.50บาท เพิ่มขึ้น3.50 บาทหรือ2.24 % มูลค่าการซื้อขาย 1,840.47ล้านบาท ธนาคารกรุงไทย จำกัด(มหาชน) (KTB) อยู่ที่ 18.80บาท เพิ่มขึ้น0.70 บาทหรือ 3.87% มูลค่าการซื้อขาย2,566.08 ล้านบาทธนาคารกสิกรไทย จำกัด(มหาชน)(KBANK )อยู่ที่ 130.50บาท เพิ่มขึ้น 1.00บาทหรือ0.77 % มูลค่าการซื้อขาย 1,059.14ล้านบาทธนาคาร ไทยพาณิชย์ จำกัด(มหาชน)(SCB) อยู่ที่ 105.50บาท ลดลง 1.00 บาทหรือ 0.94% มูลค่าการซื้อขาย 4,269.65 ล้านบาทธนาคาร ทหารไทย จำกัด(มหาชน) (TMB) อยู่ที่ 2.40บาท ลดลง 0.02 บาทหรือ 0.83% มูลค่าการซื้อขาย 914.98ล้านบาทธนาคาร กรุงศรีอยุธยา จำกัด(มหาชน)(BAY) อยู่ที่ 27.25บาท ไม่เปลี่ยนแปลงมูลค่าการซื้อขาย 349.86 ล้านบาทและธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด(มหาชน) (KK)อยู่ที่ 38.75 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง มูลค่าการซื้อขาย 96.47ล้านบาท

ส่วน SET Index ปิดที่ 1050.98จุด เพิ่มขึ้น 0.20 จุดหรือ 0.02% มูลค่าการซื้อขาย 43,449.24ล้านบาท

***CNS มอง ดบ.ขาขึ้น ถึงปี 2012 ชี้ KTB KBANK BBL รับอานิสงส์***
ด้านบล. โนมูระ พัฒนสิน จำกัด(มหาชน)(CNS) ประเมินว่า แนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้น โดยคาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงินขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% เป็น 2.25% ในการประชุม 12 ม.ค. นี้ ทั้งนี้ประเมินจาก ตัวเลขเศรษฐกิจเดือน พ.ย 10 ที่ยังขยายตัวได้ดี และเงินเฟ้อที่เร่งขึ้น จะหนุนให้คณะกรรมการนโยบายการเงินขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25 %พร้อมคาดว่าธนาคารขนาดกลางและใหญ่จะเป็นกลุ่มฯที่ได้รับผลบวกสูงสุดจาก cycleดอกเบี้ยขาขึ้น ซึ่งคาดจะเป็นแนวโน้มขาขึ้นไปจนถึงปี 2012F โดยเฉพาะ KBANK, KTB และ BBL ที่คาดว่าจะเป็น 3ธนาคารหลักที่ได้รับผลบวกสูงสุดในกลุ่มฯ

***ASP มอง กำไรแบงก์Q4/53 ลดลงเล็กน้อยจาก Q3/53 แต่แนวโน้มดีขึ้นปี 54คาดโต 15%เลือก BBL และ TCAP เป็นหุ้นเด่น ***
ด้านบล. เอเซียพลัส จำกัด (มหาชน)(ASP) ประเมินว่ากลุ่ม ธนาคารพาณิชย์ ได้จัดทำประมาณกำไรงวด Q4/53 แล้วเสร็จ 6 แห่ง (BAY, BBL, KTB, SCB, TCAP, TISCO) พบว่ามีกำไรสุทธิรวมกัน 2.173 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 27.7% จากระยะเดียวกันของปีก่อน (yoy) โดยได้รับปัจจัยขับเคลื่อนจากสินเชื่อ และ Net Interest Margin (NIM) ที่เพิ่มขึ้นตามเศรษฐกิจที่ฟื้นต่อเนื่องหลายไตรมาสติดต่อกัน แต่อย่างไรก็ตาม หากเปรียบเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ)กลับพบว่ากำไรสุทธิหดตัวเล็กน้อยราว 5.5% ซึ่งเป็นผลมาจากรายการพิเศษเช่น การตั้งสำรองโบนัสพนักงานที่เพิ่มขึ้นตอนสิ้นปี และรายได้อื่น ๆ ที่เคยเกิดขึ้นในงวด 3Q53 ไม่ได้เกิดขึ้นในงวดนี้ เช่น เงินปันผลรับ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าโดยภาพรวมในปี 2554 กำไรของธนาคารพาณิชย์ จะเติบโตราว 15% (ใกล้เคียงกับกำไรของตลาด) โดยการขยายตัวของสินเชื่อ และ NIM ที่เพิ่มขึ้นตามวัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้น โดยฝ่ายวิจัยยังให้น้ำหนักการลงทุนเท่ากับตลาด โดยเลือกหุ้น BBL และ TCAP เป็น Top picks***เคที ซีมิโก้ มอง สินเชื่อ-กำไรเพิ่มจากดบ.ขาขึ้น 2ปัจจัยหนุนปี 54-55 แนะ KTB และ BAY

***ส่วนบทวิเคราะห์ บล.เคที ซีมิโก้ ประเมิน กลุ่มธนาคารว่า กำไรที่ลดเมื่อเทียบกับไตรมาสต่อไตรมาส เป็นเพราะ 1) ค่าใช้จ่ายดำเนินงานเร่งตัวขึ้น (ด้านการตลาดและประชาสัมพันธ์ตามฤดูกาล รวมทั้งค่าใช้จ่ายพนักงาน) 2) ฐานกำไร Q3/53 สูง เพราะมีกำไรจากการขายเงินลงทุนและรายได้ปันผลจากวายุภักดิ์ 1 สำหรับกำไรที่เพิ่ม YoY เพราะการดำเนินงานธุรกิจหลักที่ดีขึ้น อย่างไรก็ดีแม้กำไร Q4/53 จะชะลอตัว เมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาส แต่คาดกำไรทั้งปี 53 ยังเป็นไปตามที่คาดไว้

ในแต่ละธนาคารพาณิชย์ คาดว่า TCAP จะมีอัตราเติบโตของกำไรที่ลด 39%เมื่อเทียบกับไตรมาสต่อไตรมาส และ 20%เมื่อเทียบกับปีต่อปี แย่สุดในกลุ่ม เพราะค่าใช้จ่ายดำเนินงานเพิ่มมากจากการควบรวมกิจการและภาระสำรองจาก SCIB สำหรับค่าใช้จ่ายการตลาดและค่าใช้จ่ายดำเนินงานโครงการ K- transformation จะกระทบต่อแนวโน้มกำไร Q4/53 ของ KBANK แต่ยังเติบโต YoY ได้ตามคาด ส่วน KTB และ SCB ซึ่งมีฐานกำไรสูงใน Q3/53 จากเงินปันผลวายุภักดิ์ 1 จึงคาดกำไร Q4/53 ลดเมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาส ด้าน TISCO และ KK แม้การดำเนินธุรกิจหลักเกี่ยวกับสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์จะแข็งแกร่งต่อเนื่อง แต่คาดว่าจะมีกำไรจากเงินลงทุนลดลงใน Q4/53 คล้ายกับ BBL ที่คาดกำไรจากเงินลงทุนที่ลดทำให้แนวโน้มกำไร Q4/53 ลด ไตรมาสต่อไตรมาส

ด้วย 2 ปัจจัยสำคัญในปี 54-55 สำหรับกลุ่มธนาคารพาณิชย์ คือ 1) อัตราเติบโตสินเชื่อระดับ 11% และ 12% ในปี 54-55 จากแนวโน้มการลงทุนภาครัฐที่คาดว่าจะโตต่อเนื่อง 11% ในปี 54 (จากโต 15% ในปี 53) และ 2) อัตรากำไรที่เพิ่มจากวงจรอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น ทั้งนี้คาดอัตราดอกเบี้ยเพิ่ม (+60bps ในปี 54) จะยังไม่ส่งผลกระทบต่อแนวโน้มการเติบโตสินเชื่อเพราะระดับการเติบโตยังห่างไกลจากระดับสูงสุดในปี 51

ทั้งนี้เชื่อว่าทั้ง KTB และ BAY จะได้ประโยชน์จากค่าแรงพนักงานรัฐวิสาหกิจที่เพิ่ม ด้วยการจ่ายผลตอบแทนของรัฐผ่านกระบวนการธนาคาร จะทำให้ KTB เป็นผู้ได้ประโยชน์หลักจากรายได้ค่าธรรมเนียมที่เพิ่มขึ้นและสินเชื่อบุคคลแก่พนักงานรัฐวิสาหกิจที่ขยายตัว สำหรับ BAY ซึ่งมีฐานลูกค้ารายย่อยเงินเดือนต่ำ เป็นจำนวนมากจะได้ประโยชน์โดยตรงจากความต้องการที่ฟื้นตัวของเศรษฐกิจรากหญ้า ยิ่งไปกว่านั้นยังคาดว่า BAY จะมีอัตราเติบโตของกำไรที่โดดเด่นสุดจากการลดลงของ LLP อย่างมีนัย

***บล.ยูไนเต็ด มองดบ.ขาขึ้น ส่งผลบวกดีต่อ NIM ของแบงกฺ์ใหญ่ เชียร์ KBANK-SCB***
ด้านบทวิเคราะห์ บล.ยูไนเต็ด จำกัด(มหาชน)ประเมินกลุ่มธนาคารว่า จากสินเชื่อช่วง11 เดือนของปี 2553 (7 ธนาคาร)เพิ่มขึ้น 8.3%ytd โดย พ.ย. +1.9%เทียบเดือนต่อเดือนและ 3.3%เทียบไตรมาสต่อไตรมาส โตดีต่อเนื่อง ขณะที่ แนวโน้มทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น ปี 54 ส่งผลดีต่อ NIM ของธนาคารขนาดใหญ่ทั้งนี้ คาดว่าสินเชื่อยังโตต่อในอัตรา 1.5x% GDP 9-10% เพราะ 1) มีการเร่งโครงการลงทุนภาครัฐ,2) ส่งออกยังโตสูงและ H2 เป็น high season ของสินค้าเกษตร, 3) โครงการในมาบตาพุดที่หยุดชะงักมากว่า 8-9 เดือน เริ่มกลับมาดำเนินการแล้ว

ส่วน NPL ยังไม่น่าห่วง โดย gross และ net NPL มิ.ย. 53 ลดเหลือ 4.4% และ 2.4% ตามลำดับมองในเชิงพื้นฐาน ชอบ KBANK (เป้าหมาย 154 บ.), SCB (เป้าหมาย 136 บ.)

***เคจีไอ. คาดสินเชื่อแบงก์ปี 54 โต 10-12% จากการลงทุนภาคเอกชน-การใช้จ่ายภาครัฐ ชี้ แบงก์ขนาดใหญ่รับอานิสงส์ ***
ด้านบทวิเคราะห์ บล. เคจีไอ ประเมินว่า การลงทุนภาคเอกชนและการใช้จ่ายภาครัฐหนุนสินเชื่อธนาคารพาณิชย์ในปี 2554คาดว่าสินเชื่อของระบบธนาคารพาณิชย์ปี 2554 มีแนวโน้มขยายตัว 10-12% นำโดยภาคการลงทุนในโครงการใหญ่ของภาครัฐและเอกชนและสินเชื่อส่วนบุคคลจากรายได้ภาคครัวเรือนที่มีแนวโน้มสูงขึ้น บวกกับเศรษฐกิจโลกยังขยายตัวต่อเนื่องยังช่วยให้ธุรกิจ SME มีแนวโน้มขยายตัวในระดับสูง ขณะที่อัตราเงินเฟ้อเร่งตัวสูงขึ้นบวกกับอาจจะมีการปรับค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำเพิ่มขึ้นอีกในช่วงไตรมาสที่ 2 จะหนุนให้อัตราเงินเฟ้อเร่งตัวสูงมากขึ้นมากกว่าคาด บวกกับอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในช่วงขาขึ้น ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่จะได้รับประโยชน์มากกว่าธนาคารพาณิชย์ขนาดเล็กทั้งนี้ก่อนหน้านี้ BBL ตั้งเป้าสินเชื่อขยายตัว 6-8% ขณะที่ KTB* ตั้งเป้าไว้ที่ 7% ส่วน KBANK* คาดว่าสินเชื่อจะขยายตัว7-9% ส่วน SCB* ตั้งเป้าสินเชื่อสูงสุดที่ 10-12%

----------------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย
FSS : ตลาดเริ่มแกว่งผันผวน คาดมีลุ้นย้อนลงลบ ดังนั้นยังรอซื้อเมื่ออ่อนตัวอยู่ !
แนวโน้ม: FSS คาดว่าตลาดหุ้นไทยจะยังคงแกว่งตัวขึ้นต่อเนื่องได้ในช่วงนี้เพียงแต่ในระยะสั้นๆ หลังการขยับขึ้นมาพอสมควรตั้งแต่ช่วงท้ายของปีก่อนจนถึงต้นปีใหม่นี้ ทำให้มีโอกาสที่จะมีแรงขายทำกำไรกดดันให้ SET แกว่งย้อนลงไปเคลื่อนไหวในด้านลบได้บ้าง ซึ่งเป็นไปตามตลาดหุ้นต่างประเทศในช่วงนี้ที่เริ่มมีการแกว่งพักตัวลงด้วยเช่นกัน หลังตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐที่ประกาศออกมาเมื่อคืนนี้อ่อนแอเกินคาด ส่งผลต่อความมั่นใจต่อภาวะเศรษฐกิจสหรัฐอีกครั้ง โดยคืนวันนี้(7 ม.ค.) ต้องติดตามดูตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐว่าจะออกมาเพิ่มขึ้นดีอย่างที่ตลาดคาดหวังไว้หรือไม่ด้วย ดังนั้นเรายังแนะนำให้รอหาจังหวะซื้อเมื่อตลาดปรับตัวลงอยู่
กลยุทธ์: ทยอยเลือกหุ้นเข้ารับเมื่อตลาดปรับตัวลงได้ โดยหุ้นที่น่าสนใจ ได้แก่KBANK, PTL, PTTCH, TOP, SCC, SEAFCO, CK, STEC, CSL, BIGC, PS, AP,TASCO, AMATA, HEMRAJ, KSL, TVO และ TTW เป็นต้น

ประเด็นสำคัญวันนี้
• (-) ดอลลาร์แข็งค่า ตลาดรอดูตัวเลขการจ้างงานสหรัฐฯ คืนนี้ ตลาดคาดว่าจะมีการจ้างงานเพิ่ม 1.4 แสนตำแหน่ง ดีขึ้นจากเดือนก่อนที่จ้างงานเพิ่มเพียง 4หมื่นตำแหน่ง และคาดว่าอัตราการว่างงานจะลดลงเหลือ 9.7% จาก 9.8%ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์กลับมาแข็งค่าหลังข้อมูลการจ้างงานของภาคเอกชนที่รายงานเมื่อวันก่อน ดีขึ้นมาก และมีความหวังกับตัวเลขในคืนนี้ต่อเนื่อง ส่งผลให้ราคาน้ำมันลดลง US$1.93 ราคา Soft commodity ทุกตัวปรับลงเช่นกัน
• (+) KBANK ยังคงคำแนะนำซื้อโดยมีราคาเป้าหมาย 150 บาท บริษัทคาดว่าจะทำกำไรปี 2010 ได้ตามเป้า ซึ่งจะดีกว่าที่เราคาดไว้ประมาณ 2% คือกำไรโต27% ส่วนปีนี้ KBANK จะเริ่มมาตรฐานทางบัญชีบางมาตรฐานเร็วกว่าแบงก์อื่นเช่นเรื่องการบันทึกค่าใช้จ่ายเกษียณของพนักงาน ซึ่งจะทำให้ Book value ลดลง แต่ไม่กระทบงบกำไรขาดทุนมากนัก และไม่มีผลต่อราคาเป้าหมายของเรา
• (+) KEST เราแนะนำขายลดความเสี่ยง กรณีที่ Malayan Banking(Maybank) แบงก์ที่มีสินทรัพย์ใหญ่สุดของมาเลเซีย ขอซื้อหุ้น Kim EngHoldings Ltd. (KEH) 44.6% จากหยวนต้าและผู้ถือหุ้นอีกรายหนึ่ง และกำลังจะเสนอซื้ออีก 29% จากมิตซูบิชิ ยูเอฟ เจพีฯ หากทั้ง 2 รายขายทั้งหมด 73.6%Maybank จะต้องทำ Tender offer ทั้ง KEH และ KEST เราเชื่อว่าหากมีการทำTender offer ราคาจะอยู่ในช่วง 15.30 – 18 บาท อิงจากราคาที่ Maybank ขอซื้อ KEH ที่ PBV 1.9 เท่า ซึ่งเราเห็นว่าเป็นราคาที่เหมาะสม นอกจากนี้ ยังต้องระวังว่า Maybank อาจไม่ได้มีเจตนาจะ Tender offer KEST เพียงแต่ต้องทำตามกฏ ซึ่งจะทำให้ Maybank กดราคาซื้อต่ำๆ ดังเช่นกรณีที่เกิดกับ THANI มาแล้ว
• (+) ราคาถ่านหินสูงสุดในรอบ 1 ปี 3 เดือน สัปดาห์ที่ผ่านมาบวกถึงUS$11.6/ตันภายในสัปดาห์เดียว เป็น US$130.85/ตัน เป็นราคาที่สูงที่สุดในรอบ1 ปี 3 เดือน แม้ว่าราคา BANPU จะปรับขึ้นมา 6.6%YTD แต่ยังมี PE 8.4 เท่า ส่วน LANNA ราคาปรับขึ้นมา 9%YTD PE ต่ำเพียง 7.4 เท่า ขณะที่ราคา AGE+31%YTD PE สูงถึง 14 เท่าแล้ว (รวม Dilution effect) เรายังคงแนะนำBANPU และ LANNA อย่างไรก็ตาม BANPU ขึ้นมาเร็ว น่าจะพักฐานบริเวณ 800 –820 บาทจึงจะน่าสะสมรอบใหม่
• Fund Flow วานนี้ยังไหลเข้าต่อเนื่อง แม้จะมีไหลออกในบางประเทศ เนื่องจากตลาดยังขาดปัจจัยใหม่หนุนนำ ขณะที่ตัวเลขจ้างงานสหรัฐที่ออกมาดีกว่าคาดค่าเงินดอลลาร์แข็งค่า ราคาน้ำมันดิบ และสินค้าโภคภัณฑ์ถูกขายทำกำไรระยะสั้นดังนั้นแนวโน้มกระแสเงินทุนต่างชาติน่าจะทรงตัว


ข่าวภายในประเทศ
MCOT (ซื้อ ปิด 29.50 พื้นฐาน 33): ผู้บริหารกล่าวว่าเตรียมประกาศผังรายการใหม่ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม และมีการปรับเพิ่มราคาโฆษณาขึ้นเฉลี่ย 10% ทั้งวางแผนพัฒนารายการให้มีความโดดเด่นมากขึ้นเพื่อลดสัดส่วนรายการของช่วง Non-Prime Time ที่มีรายได้น้อยกว่า Prime-Timeความเห็น: การเตรียมปรับขึ้นค่าโฆษณาประมาณ 10% หลังปรับผังรายการดังกล่าว ผู้บริหารให้ข่าวมาก่อนหน้านี้บ้างแล้ว แต่คาดว่าเป็นการปรับขึ้นสำหรับบางรายการ โดยเฉพาะช่วง Prime-Time ที่มี Rating ดีขึ้นและยอดจองเวลาเต็ม เช่น รายการละคร รายการข่าว ซึ่งถือเป็น Upside จากประมาณการปี 11 เดิมของเราที่คาดรายได้รวมโต 6.5% Y-Y คำแนะนำ: ราคาหุ้นปรับขึ้นมาประมาณ 7% ในช่วง 3 สัปดาห์ แต่ยังมี Upside ประมาณ12% จากราคาเป้าหมายเดิมที่ 33 บาท และ Dividend yield ระดับ 6-7%
KSL น้ำตาลเป็นทอง! รายได้ปีนี้ก้าวกระโดด ราคานิวไฮรอบ 30 ปี สบช่องกำลังผลิตเพิ่ม KSL ย้ำรายได้ปีนี้ก้าวกระโดดจากปีก่อน โชว์กำลังผลิตน้ำตาลจากโรงงานบ่อพลอยเพิ่ม แถมรับประโยชน์จากราคาน้ำตาลทรายดิบทรงตัวสูงระดับ 30-35 เซ็นต์ต่อปอนด์ หลังล่าสุดทำนิวไฮรอบ 30 ปีโบรกฯคาดกำไรปี'54 แข็งแกร่งทะลุ 900 ล้านบาท (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 7-01-2011)
GUNKUL กำไรเท่าตัวรับไฟฟ้าแสงอาทิตย์ GUNKUL มั่นใจปีนี้รายได้โต 15-20% จากปีที่แล้วคาดว่าจะมากกว่า 1,000 ล้านบาท หลังเดินหน้าธุรกิจใหม่ โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ เฟส 1ขนาด 3 เมกะวัตต์ พร้อมลุยต่อเฟส 2 อีก 4.5 เมกะวัตต์ ตั้งเป้ามีสัดส่วนรายได้จากการจำหน่ายไฟประมาณ 30% ของรายได้รวม ส่วนกำไรสุทธิคาดเพิ่มเท่าตัว (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 7-01-2011)
SSI โชว์ 2.24 ล้านตันยอดนิวไฮของประเทศ "SSI" โชว์ยอดขายเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วนปี'53 กระฉูด 2.24 ล้านตัน ทุบสถิติสูงสุดในรอบ 7 ปีและสูงสุดของประเทศ "วิน" คุยปี'55 คาดยอดขายเพิ่มขึ้นแตะ 3 ล้านตัน โบรกฯแนะซื้อเมื่ออ่อนตัว คาดปี'53 มีกำไรสุทธิ 2.7 พันล้านบาท มองระยะยาวรับผลดีหลังเข้าซื้อโรงถลุงเหล็ก TCP (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 7-01-2011)
DRT ทุ่ม 500 ล้านขยายการผลิต ปีนี้รายได้โต 10% จากปี'53 คาดทำได้ 2.9 พันล้าน DRT ทุ่ม 500 ล้านบาท ขยายไลน์ผลิตใหม่ หนุนยอดขายโตต่อเนื่อง ตั้งเป้ารายได้ปีนี้เติบโต 10% จากปี'53 คาดทำได้ประมาณ 2,900 ล้านบาท บุกตลาดต่างประเทศเพิ่ม เน้นรักษาฐานลูกค้าเดิมในต่างจังหวัด ส่วนไตรมาส 4/53 คาดว่าจะดีกว่าไตรมาส 3/53 ที่มีรายได้ 839 ล้านบาท (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 7-01-2011)
----------------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ตปท.
-ดัชนีดาวโจนส์เริ่มแกว่งพักตัวลงในด้านลบ โดยปิดปรับตัวลง 25.58 จุดเมื่อคืนนี้ จากตัวเลขยอดค้าปลีกที่อ่อนแอจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกรายสัปดาห์กลับเพิ่มขึ้นเกินคาด และการพุ่งขึ้นอย่างมากของดอลลาร์เป็นแรงกดดัน โดยนักลงทุนยังรอดูตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือน ธ.ค. ในคืนวันนี้อีกครั้ง
ตลาดหุ้นยุโรปก็เริ่มมีการปรับพักตัวลงด้วยเช่นกัน ขณะที่ตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ เปิดทำการด้วยการแกว่งตัวขึ้นๆ ลงๆ ในกรอบแคบๆ อยู่
VIX Index ดีดกลับขึ้นมา 2.23% หลังตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐออกมาไม่ดีอย่างที่คาด แต่ยังคงเคลื่อนไหวในระดับค่อนข้างต่ำที่ 17.40
ราคาน้ำมันในตลาดล่วงหน้า NYMEX รูดลง 1.92 ดอลลาร์อีกครั้ง มาปิดตลาดที่ 88.38 ดอลลาร์/บาร์เรล โดยได้รับแรงกดดันจากค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งแกร่งขึ้น รวมถึงความผิดหวังจากตัวเลขยอดค้าปลีกเดือน ธ.ค.ด้วย
ราคาทองคำล่วงหน้าในตลาด COMEX ลดลงอีก 2.00ดอลลาร์ มาอยู่ที่ 1371.70 ดอลลาร์/ออนซ์ จากค่าเงินดอลลาร์ที่ยังแข็งค่าขึ้นอีก

ข่าวต่างประเทศ
ยุโรป: คณะกก.ยุโรปเผยความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจในยูโรโซน-อียูเพิ่มขึ้นในเดือนธ.ค. ผลสำรวจความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจซึ่งจัดทำโดยคณะกรรมาธิการยุโรป บ่งชี้ว่า ดัชนีความเชื่อมั่นที่มีต่อแนวโน้มเศรษฐกิจใน 17 ประเทศที่ใช้สกุลเงินยูโร ปรับตัวสูงขึ้น 1.1 จุด เป็น 106.2 จุด ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นของ 27 ชาติสมาชิกสหภาพยุโรป (อียู) ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1 จุด เป็น 106.1 จุดในเดือนธ.ค. ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการยุโรปได้ดำเนินการสำรวจความคิดเห็นของผู้บริโภคและภาคส่วนต่างๆในระบบเศรษฐกิจของยุโรป ซึ่งรวมถึงภาคอุตสาหกรรม ภาคบริการ ภาคการก่อสร้าง และภาคค้าปลีก โดยผลสำรวจระบุว่า ความเชื่อมั่นที่มีต่อแนวเศรษฐกิจฝรั่งเศสและเยอรมนีปรับตัวขึ้นสูงสุด (ที่มา: อินโฟเควสท์ 7-01-2011)
สหรัฐอเมริกา: สหรัฐเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานสัปดาห์ที่แล้วเพิ่มขึ้น 18,000 ราย กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการระหว่างว่างงานในรอบสัปดาห์ที่แล้ว เพิ่มขึ้น 18,000 ราย แตะระดับ 409,000 ราย อย่างไรก็ตาม จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานโดยเฉลี่ย 4สัปดาห์ ร่วงลง 3,500 ราย มาอยู่ที่ระดับ 410,750 ราย ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 2 ปีครึ่ง บ่งชี้ว่าตลาดแรงงานของสหรัฐยังคงมีแนวโน้มฟื้นตัว(ที่มา: อินโฟเควสท์ 7-01-2011)
เอเชีย: สมาคมผู้ผลิตรถเกาหลีใต้เผยยอดการผลิตรถปี 53 เพิ่มขึ้น 21.6% สมาคมผู้ผลิตยานยนต์ของเกาหลีใต้ (KAMA) เปิดเผยว่า ยอดการผลิตยานยนต์ของเกาหลีใต้ในปี 2553 เพิ่มขึ้น 21.6% จากระดับปีที่แล้ว เนื่องจากเศรษฐกิจประเทศฟื้นตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง โดยยอดการผลิตรถใหม่ของบริษัทผู้ผลิตรถ 5 รายในเกาหลีใต้ ซึ่งนำโดยฮุนได มอเตอร์ และบริษัทในเครืออย่างเกีย มอเตอร์ส คอร์ป มีจำนวนทั้งสิ้น 4.27 ล้านคัน เพิ่มขึ้น21.6% เมื่อเทียบกับระดับปีที่แล้ว (ที่มา: อินโฟเควสท์ 6-01-2011)
----------------------------------------------------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น