Code 347 : 955 หรือ 977

วันจันทร์ที่ 31 มกราคม 2554

ATT Code : 955 หรือ 977
SET ปิดไปที่ 964.10 จุด ลบไป 17.73 จุด มีแนวรับที่ BB Bottom อยู่ที่ 955 ส่วนแนวต้านอยทู่ที่ MA 5 วันที่ 977 จุด ซึ่งมีความเป็นไปได้ทั้ง 2 แนวทาง ขึ้นอยู่กับตลาดต่างประเทศเป็นหลัก

-----------------------------------------------------------------------------
MARKET WAVE Analysis
บ่ายแกว่งตัวในกรอบ 965 - 970
อังคารหรือพุธมีโอกาสลงต่อ 950 - 951


-----------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย
FSS : ตลาดยังแกว่งพักตัวลง ถือเป็นโอกาสในการเลือกหุ้นเข้ารับได้...
แนวโน้ม: หลังจากค่าเงินบาทเริ่มอ่อนค่าต่อเนื่อง ส่งผลกดดันต่อตลาดหุ้นไทยในช่วงท้ายของสัปดาห์ที่แล้วอีกครั้ง ทำให้ SET ปรับพักตัวลงไปเคลื่อนไหวเป็นลบ แม้ว่าจะมีแรงซื้อกลับเข้ามาช่วงท้ายวันบ้าง แต่ก็มีปัญหาความขัดแย้งในอียิปต์เข้ามากดดันตลาดหุ้นในเช้านี้ต่อ ขณะที่นักลงทุนต่างประเทศก็ยังคงมียอดขายสุทธิออกมาอีกครั้งด้วย ดังนั้น FSS จึงคาดว่า SET จะยังคงแกว่งตัวในด้านลบต่อเนื่องได้ในต้นสัปดาห์นี้ อย่างไรก็ตามคาดว่าที่บริเวณจุดต่ำเดิมแถว960 จุด(+/-) ยังมีแนวโน้มที่จะมีแรงซื้อกลับเข้ามาพยุงตลาดไว้ได้ โดยเฉพาะในหุ้นที่คาดว่าผลประกอบการจะออกมาดี รวมถึงหุ้นที่มีจ่ายปันผล ดังนั้นตลาดปรับลงจึงยังสามารถเลือกหุ้นในกลุ่มดังกล่าวทยอยเข้ารับได้


กลยุทธ์: รอเลือกหุ้นซื้อเมื่อตลาดปรับตัวลง โดยหุ้นที่น่าสนใจ ได้แก่ BGH, BH,BEC, MCOT, PHATRA, BLS, LPN, SVI, PTTCH, PTTAR, IRPC, IVL, TOP,ESSO, BANPU, LANNA, STA เป็นต้น

ประเด็นสำคัญวันนี้
• (+) Downside มีไม่มากสำหรับการลงทุนระยะกลาง-ยาว ปัจจุบันที่ ‘ปัจจัยทางการเมือง’ เริ่มกลับเข้ามาเป็นอีกประเด็นในตลาด หากจะหา Downside ของSET Index เมื่อมีปัจจัยการเมืองเข้ามากระทบ พบว่า SET Index ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาที่เรามีปัญหาทางการเมืองมาอย่างต่อเนื่อง ซื้อขายที่ Forward PE เฉลี่ย10 เท่า Discount จากภูมิภาคประมาณ 20% (Forward PE ของภูมิภาคซื้อขายที่12.4 เท่า) ในช่วงปฏิวัติทักษิณ ตลาดซื้อขายที่ -0.7 Standard deviation (PE 8– 9 เท่า) และช่วงชุมนุมเสื้อแดง ตลาดซื้อขายที่ -0.3SD เทียบกับปัจจุบันที่ผ่านการปรับฐานมาพักหนึ่ง SET Index ซื้อขายที่ Forward PE 10.2 เท่า Discountจากกภูมิภาค 14% เริ่มที่จะกลับมาน่าสนใจ แต่หากให้ SET Index ซื้อขายที่ -0.3SD เท่ากับในช่วงทีการเมืองเลวร้ายสุด กรอบล่างของ SET Index จะอยู่ที่920 เท่า มี downside จากระดับปัจจุบันอยู่ 6.2% หรือคิดเป็น PE สิ้นปีนี้ที่ 11.3เท่า ต่ำกว่าอัตราการเติบโตของกำไรของ บจ. ที่คาด 16.2% (PEG 0.6) ซึ่งจัดว่าเป็นตลาดที่ ‘ถูก’ สำหรับการลงทุน ทั้งนี้ เรายังคงประเมินเป้าหมาย SET Indexสิ้นปีนี้ที่ 1,300 จุด โดยอิงจาก GDP 4.8% EPS growth 16.2% PE 16 เท่า จึงมองว่าระดับปัจจุบันเป็นระดับที่น่าลงทุนสำหรับการลงทุนระยะกลาง-ยาว

• (-) ตลาดในระยะสั้นที่ยังไม่กลับป็นขาขึ้น เพราะค่าเงินบาทยังอ่อนต่อเนื่องและอ่อนค่ามากกว่าเพื่อนบ้าน แนะนำกลยุทธ์คือ 1) เลือกหุ้นปันผลสูง ได้แก่BLS, TMT, TRT, HANA, AP, QH, AIT, TICON, LPN, KK, MODERN 2) เก็งกำไรหุ้นขนาดกลาง-เล็กที่คาดว่าจะประกาศผลประกอบการดี ได้แก่ STA, SVI,TOP, PTTAR, AP, ROJNA, HMPRO 3) สะสมหุ้นที่ PE ปรับลงมาจนต่ำ แต่มีความสามารถในการทำกำไรสูง ได้แก่ BANPU, TTW, TICON, BEC, AMATA,PTTEP, AP, SPALI, KBANK, STA, CPALL, SVI

• (0) AJ-T1 เริ่มซื้อขายตั้งแต่ 31 ม.ค. – 17 ก.พ. และจะขึ้น SP 21 ก.พ. การใช้สิทธิแปลงสภาพอยู่ระหว่าง 3 – 17 มี.ค. ในอัตราส่ยน 1:1 ราคาแปลงสภาพ23 บาท ส่วน IVL-T1 ซื้อขายวันสุดท้าย 31 ม.ค. ขึ้น SP 1 ก.พ. แปลงสภาพระหว่าง 10 – 24 ก.พ. และเพิกถอนออกจากตลาด 26 ก.พ.

• Fund Flow สัปดาห์ที่ผ่านมาแสเงินทุนต่างชาติไหลเข้าหลังจากขายหนักมากเมื่อสัปดาห์ก่อน ยกเว้นตลาดหุ้นไทยที่ยังเป็นขายสุทธิ สำหรับวันศุกร์ที่ผานมานักลงทุนต่างชาติกลับมาขายสุทธิตลาด TIPs อีกครั้ง เนื่องจากตลาดยังขาดปัจจัยบวกใหม่เข้าสู่ตลาด แต่ต้องเผชิญกับปัจจัยลบเรื่องความกังวลเงินเฟ้อ ส่วนสัปดาห์ที่มีปัจจัยลบใหม่เข้าสู่ตลาดโดยเฉพาะวิกฤติการเมืองในอียิปต์ได้ส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับลงทั่วหน้า ที่สำคัญค่าเงินบาทเช้านี้อ่อนค่ามาอยู่ที่ 31.14บาท/ดอลลาร์ ซึ่งเป็นการอ่อนค่ามากสุดในรอบ 5 เดือน ขณะที่ค่าเงินภูมิภาคก็อ่อนค่าด้วยเช่นกันแต่ไม่มากเท่าไทย ทั้งนี้เราเชื่อว่าข่าวการเมืองน่าจะมีผลต่อตลาดในช่วงนี้ด้วย แม้ตลาดวันนี้เต็มไปด้วยปัจจัยลบ แต่ปัจจัยบวกจะอยู่ทีหุ้นกลุ่มน้ำมัน หรือหุ้นกลุ่มพลังงาน เพราะผลกระทบจากอียิปต์ทำให้ราคาน้ำมันปรับขึ้น
สวนทางตลาด เรายังเน้นสะสมหุ้นกลุ่มพลังงาน โดยเฉพาะกลุ่มปตท. เป็นหลัก


ข่าวภายในประเทศ
ADVANC: TOT ส่งหนังสือให้จ่ายค่าชดเชย 7.2 หมื่นล้านบาท ประธานบอร์ด TOT กล่าวหลังการประชุมบอร์ด ว่าที่ประชุมได้รับรายงานจากฝ่ายบริหาร ว่าได้ส่งหนังสือแจ้งไปยัง ADVANC ให้ชำระความเสียหายที่เกิดจากการแก้ไขสัญญาสัมปทานครั้งที่ 6 และ 7 ที่มีการแก้อัตราการปรับลดส่วนแบ่งรายได้จากระบบเติมเงิน และการใช้โครงข่ายรวม รวมเป็นเงิน 72,000 ล้านบาท และยังต้องจ่ายดอกเบี้ย 7.5% และภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% นับตั้งแต่วันที่มีการแก้ไขสัญญาสัมปทาน ภายในวันที่ 15 ก.พ.นี้ ซึ่งการยื่นหนังสือแจ้งเตือนเป็นไปตามคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ตำแหน่งทางการเมือง ที่ตัดสินคดียึดทรัพย์ของอดีตนายกฯ ทักษิณ มูลค่า 46,000 ล้านบาท โดยคดีดังกล่าวจะต้องเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จก่อนที่คดีของคำพิพากษาจะครบอายุความ 1 ปีในวันที่
26 ก.พ.2011 (Source - กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ 28 ม.ค.2011) ความเห็น: ยังเป็น Sentiment เชิงลบต่อหุ้น ADVANC แม้ตามขั้นตอน หลังจากมีข้อสรุปจากคณะกรรมการตามมาตรา 22 ของพ.ร.บ.ร่วมทุน มูลค่าความเสียหายจากการแก้ไขสัญญาระบบพรีเพด ของ ADVANC (โดยลดอัตราส่วนแบ่งรายได้บริการโทรศัพท์มือถือแบบพรีเพด เหลือ 20% จากเดิมที่เป็นอัตราขั้นบันได เพิ่มเป็น 25% ตั้งแต่ปี 2001 และเพิ่มเป็น 30% ตั้งแต่ปี 2006 - สิ้นอายุสัมปทานปี 2015และการไม่นำส่งรายได้จากบริการโรมมิ่ง) รวม 75,000 ล้านบาท รมว.ICT จะต้องนำข้อสรุปเข้าครม. ซึ่งรมว.ICT เคยบอกว่าจะนำกรณีของ ADVANC เข้าเสนอครม.พร้อมกับกรณีของ DTAC, TRUE, และ THCOM ซึ่งล่าสุด คาดว่าในวันที่ 1 ก.พ.นี้ (เลื่อนมาหลายครั้งตั้งแต่ปลายปีก่อน) และหากครม.เห็นชอบด้วย ก็จะมอบหมายให้รัฐวิสาหกิจคุ่สัมปทาน (TOT/CAT) ส่งเรื่องต่อบริษัทเอกชน ซึ่งแน่นอน ADVANC จะไม่ยอมจ่าย (เนื่องจากการแก้ไขสัญญาสัมปทานที่ไม่ผ่านครม.ตามพรบ.ร่วมทุนฯ เป็นหน้าที่และความรับผิดชอบของหน่วยงานรัฐคู่สัมปทาน คือ TOT เอง) และนำเรื่องเข้าสู่อนุญาโตตุลาการ หากยังตกลงกันไม่ได้ ก็จะส่งเรื่องต่อไปยังศาลปกครอง กระบวนการฟ้องร้องและต่อสู้ในทางกฎหมายดังกล่าว คาดว่าจะใช้เวลาหลายๆ ปีกว่าจะได้ข้อสรุป และไม่กระทบต่อผลการดำเนินงานและการจ่ายปันผลใน 1-2 ปีข้างหน้า อย่างไรก็ตาม กรณี Worst case หากต้องจ่าย 75,000 ล้านบาทจริง จะคิดเป็น 25 บาทต่อหุ้น จากราคาเป้าหมายเดิม 104 บาท เหลือ 79 บาท ซึ่งใกล้เคียงราคาหุ้นปัจจุบัน แต่กรณี Base case (หากต้องจ่ายค่าสัมปทานเพิ่มใน 5 ปีข้างหน้าสิ้นสัมปทาน) คาด
ผลกระทบประมาณ 11 บาทต่อหุ้น ราคาเป้าหมายจะเหลือ 93 บาท ราคาหุ้นปัจจุบัน ยังมีส่วนลด 15.8% และ Dividend yield ระดับ 8% คง Rating “Buy”

กลุ่ม SAMART-LOXLEY ชนะการประมูลติดตั้งโครงข่าย 3G ของ TOT: กลุ่ม SL Consortium ซึ่งประกอบด้วย SAMART (ผู้ยื่นประมูลเป็นบ.ลูกของSAMTEL ซึ่ง SAMART ถือหุ้นอยู่ 71%), LOXLEY), บ. หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) และ บ.โนเกีย-ซีเมนส์ ชนะการประมูลงานวางโครงข่าย 3G ของTOT ที่เปิดประมูล e-Auction เมื่อเช้าวันที่ 28 ม.ค.ที่ผ่านมา โดยเสนอราคาที่ 16,290 ล้านบาท ต่ำกว่าราคากลางที่กำหนดไว้ 17,440 ล้านบาท ประมาณ6.6% ขณะที่กลุ่มผู้แพ้คือ AU Consortium (มี AIT อยู่ในกลุ่ม) เสนอที่ 16,770 ล้านบาท ทั้งนี้ คาดว่า TOT จะนำเรื่องดังกล่าว เข้าที่ประชุมบอร์ดในต้นเดือนก.พ. และเซ็นสัญญาในกลางเดือนก.พ. นี้ ความเห็น: ราคาหุ้น SAMTEL SAMART และ LOXLEY ที่เป็นตัวเต็ง ปรับตัวขึ้นรับผลประมูลที่ประกาศมาในช่วงเช้าของการซื้อขายวันก่อน ก่อนปรับฐานบ้าง จากการขายทำกำไร ในลักษณะ Sell on Fact ซึ่งอาจยังมีในระยะสั้น แม้สำหรับการลงทุนระยะยาว Rating เป็น“Hold” (ปรับลงจาก Trading) SAMTEL (ปิด 12.50 บาท) เนื่องจาก ที่ราคาปิด มีส่วนลด 9.3% จากราคาเป้าหมายกรณีรวมมูลค่าเพิ่มจากงานดังกล่าว (ที่เฉลี่ย 2.07 บาท จากความเป็นได้ระหว่าง 0.90-3.40 บาท) ที่ 13.70 บาท จากการประเมินแบบระมัดระวัง ภายใต้สมมุติฐาน (1) สัดส่วนมูลค่างานที่ SAMTELได้รับที่ 50-60% (2) รับรู้รายได้ในช่วงปี 11-12 ปีละ 50 % (3) Net margin 1-3% (Conservative กว่าปัจจุบันที่ 6% เนื่องจากเป็นงานขนาดใหญ่) ส่วนSAMART อยู่ใน Rating “Hold” เช่นกัน เนื่องจากราคาปิดที่ 9.00 บาท มีส่วนลด 8.7% จากราคาเป้าหมายรวม 3G (เฉลี่ย 0.89 บาท) ที่ 9.90
บาทSAMTEL: คาดการณ์มูลค่าเพิ่มจากโครงการติดตั้งโครงข่าย 3G ของ TOTสัดส่ว Net margin นรายไดข้ อง SAMTEL
-----------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ตปท
ดัชนีดาวโจนส์ปิดปรับตัวลดลงถึง 166.13 จุด เป็นการปิดร่วงลงใน 1 วันมากที่สุดในรอบเกือบ 6 เดือน หลังเกิดจราจลในอียิปต์ รวมถึงผลประกอบการที่น่าผิดหวังของบริษัทอะเมซอนดอทคอม และฟอร์ดยังเพิ่มแรงกดดันต่อตลาดหุ้นโดยรวมด้วย

ดัชนี VIX พุ่งขึ้นถึง 24.1% มาอยู่ที่ 20.04 จากความไร้เสถียรภาพที่เพิ่มขึ้นในตะวันออกกลาง

ตลาดหุ้นยุโรปก็ปิดร่วงลงเช่นกัน จากความวิตกที่ว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจอาจจะหยุดชะงัก ขณะที่การประท้วงในอียิปต์ขยายตัวมากขึ้น

ขณะที่ตลาดหุ้นในเอเชียเช้านี้ ก็เปิดทำการด้วยการปรับตัวลงเฉลี่ยเกือบ 1% ด้วยเช่นกัน

ส่วนค่าเงินบาทยังอ่อนค่าต่อเนื่อง โดยล่าสุดมายืนเหนือ31 บ./ดอลลาร์แล้ว

ราคาน้ำมันดิบในตลาด NYMEX ปิดที่ 89.34 ดอลลาร์/บาร์เรล พุ่งขึ้น 3.70 ดอลลาร์ จากปัญหาความไม่สงบในตะวันออกกลาง

ราคาทองคำล่วงหน้าในตลาด COMEX ปิดที่ 1340.70ดอลลาร์/ออนซ์ ดีดตัวขึ้น 22.30 ดอลลาร์ โดยมีแรงซื้อกลับเข้ามาในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย

ข่าวต่างประเทศ
สหรัฐอเมริกา: ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสหรัฐปรับตัวลดลงในเดือนม.ค. รอยเตอร์/มหาวิทยาลัยมิชิแกนรายงานว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสหรัฐในเดือนม.ค. ปรับตัวลงมาอยู่ที่ระดับ 74.2 จุด จากระดับ 74.5 จุดของเดือนธ.ค. แต่เป็นการปรับตัวลงน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 73.3 จุด ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจสหัฐยังคงมีแนวโน้มที่จะขยายตัวได้ดีในปีนี้ รายงานระบุว่า ผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นที่จะซื้อสินค้าราคาแพงมากขึ้น รวมถึงรถยนต์ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า เศรษฐกิจสหรัฐยังคงมีแนวโน้มสดใสแม้อัตราว่างงานยังคงยืนเหนือระดับ 9% ก็ตาม(ที่มา: อินโฟเควสท์ 29-01-2011)

สหรัฐอเมริกา: สหรัฐเผย GDP ไตรมาส 4 ปี 53 ขยายตัว 3.2% หลังผู้บริโภคเพิ่มการใช้จ่าย กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยการประมาณการมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ประจำไตรมาส 4 ปี 2553 ครั้งที่ 1 โดยระบุว่า จีดีพีขยายตัวในอัตรา 3.2% ต่อปี มากกว่าระดับ 2.6%ของไตรมาส 3 ส่วนจีดีพีตลอดปี 2553 ของสหรัฐ ขยายตัว 2.9% ซึ่งเป็นอัตราการขยายตัวที่แข็งแกร่งที่สุดนับตั้งแต่ปี 2548 (ที่มา: อินโฟเควสท์ 29-01-2011)

เอเชีย: ญี่ปุ่นเผยผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนธ.ค.ขยายตัว 3.1% กระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นเปิดเผยในวันนี้ว่าผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนธ.ค.ปี 2553 ขยายตัว 3.1% จากเดือนพ.ย. ทำสถิติขยายตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2 และมากกว่าที่นักวิเคราะห์ในโพลล์เกียวโดคาดการณ์ว่าจะขยายตัว 3.0% ในช่วงเวลา 12 เดือนจนถึงเดือนธ.ค.ปี 2553 ดัชนีผลผลิตในภาคส่วนของโรงงานและเหมืองแร่ ปรับตัวขึ้น15.9% จากปีก่อ ส่วนดัชนีการขนส่งในภาคอุตสาหกรรมขยายตัว 1.1% และดัชนีสต็อกสินค้าในภาคอุตสาหกรรมขยายตัว 1.4% สำนักข่าวเกียวโดรายงาน (ที่มา: อินโฟเควสท์ 31-01-2011)

เอเชีย: ฟรอสท์ แอนด์ ซัลลิแวนคาดอุตสาหกรรมโลจิสติกอินโดนีเซียโต 8.3% ปีนี้ ฟรอสท์ แอนด์ ซัลลิแวน บริษัทวิเคราะห์ข้อมูลชั้นนำของโลก คาดการณ์ว่า อุตสาหกรรมโลจิสติกของอินโดนีเซียจะขยายตัว 8.3% คิดเป็นมูลค่า 155.16 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปีนี้ เพราะได้ปัจจัยหนุนจากแนวโน้มเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของอินโดนีเซีย โกพอล อาร์ รองประธานฝ่ายวิเคราะห์ข้อมูลการขนส่งและโลจิสติกในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของฟรอสท์แอนด์ ซัลลิแวน กล่าวว่า ธุรกิจน้ำมันและก๊าซ แร่ธาตุ และการเพาะปลูก จะยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่มีอิทธิพลต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมโลจิสติกของอินโดนีเซียในปีนี้ (ที่มา: อินโฟเควสท์ 29-01-2011)

.-----------------------------------------------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น