Code 342 : หุ้นพินาศ - ฝรั่งยั๊วะเทกระจาด 4 พันล.

วันอังคารที่ 25 มกราคม 2554

ATT Code : หุ้นพินาศ-ฝรั่งยั๊วะเทกระจาด 4 พันล.
EFinanace Thai : หุ้นไทยร่วงระเนระนาด!! ปิดตลาดทรุดฮวบ 42.89 จุด เหตุกังวลจีนขึ้นดอกเบี้ย-บาทอ่อน-การเมืองเดือด กระตุ้นฝรั่งขายทำกำไร ล่าสุดทิ้งแล้ว 3 หมื่นล้านบาท แถมมีข่าวลือหนาหูในห้องค้ารัฐบาลถอดใจยุบสภาก่อนกำหนด-กองทุนสิงคโปร์โละพอร์ตหลังโดนไล่บี้เรื่องโทรคมนาคม ผสมโรงฟอร์ซเซลบัญชีมาร์จิ้น เผยหุ้นดิ่งแล้วเกือบ 100 จุดจากจุดสูงสุด แรงกว่าภูมิภาค ด้านโบรกฯแนะชะลอลงทุน


-----------------------------------------------------------------------------------
เงาหุ้น : กระอักเลือด!!
ดัชนีหุ้นวันที่ 24 ม.ค. 54 ปิดที่ 963.68 จุด ลดลง 42.89 จุด ทำสถิติต่ำสุดในรอบกว่า 3 เดือน มีมูลค่าการซื้อขาย 37,402.09 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 4,049.49 ล้านบาท


หุ้นที่มีการซื้อขายสูงสุดนำโดย BANPU ปิดที่ 748 บาท ลบ 36 บาท, PTT ปิด 321 บาท ลบ 18 บาท, SCB ปิด 95.50 บาท ลบ 2 บาท, IRPC ปิด 5.25 บาท ลบ 0.35 บาท และ PTTCH ปิด 140 บาท ลบ 6.50 บาท

นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ประเมินว่า การที่ดัชนีหุ้นไทยหลุดแนวรับที่ระดับ 980 จุดลงมา จะทำให้ตลาดหุ้นไทยเปลี่ยนทิศทางเป็น "ขาลง"

โดย บล.ฟิลลิป ระบุว่า การที่ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลดลงด้วยมูลค่าการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น ขณะที่สัญญาณทางเทคนิคทุกตัวให้ค่าที่เป็นลบ จึงทำให้แนวโน้มตลาดระยะสั้นดูไม่ดี ซึ่งในกรณีที่ดัชนีหุ้นไทยอ่อนตัวหลุดแนวรับ ซึ่งเป็นจุดต่ำสุดก่อนหน้านี้ที่ระดับ 980 จุด ลง ทำให้ตลาดมีแนวโน้มเปลี่ยนเป็น "ขาลง" ได้

ขณะที่ บล.ทิสโก้ ระบุว่า การที่ดัชนีหุ้นปรับตัวลงแรงและทรุดตัวลงต่ำกว่า 995 จุด ทำให้ทิศทางตลาดดูเลวร้ายมากขึ้น โดยกลยุทธ์การลงทุนที่แนะนำคือ ให้ถือเงินสดแล้วชะลอการลงทุนไว้ก่อน เพื่อรอกลับเข้ามาซื้อในช่วงปลายเดือน ก.พ.ที่ระดับดัชนี 950 หรือ 900 จุด ด้าน

บล.เคที ซีมิโก้ มองว่า ปัจจัยแวดล้อมภายนอก ยังมีอิทธิพลต่อการกำหนดทิศทางตลาด โดยเฉพาะการดำเนินมาตรการทางการเงินที่เข้มงวดขึ้นของจีน ยังเป็นตัวแปรกดดันตลาด อีกทั้งสัญญาณเชิงบวกต่อตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังมีมาอย่างต่อเนื่อง หนุนให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯแข็งค่าขึ้น ทำให้ระยะนี้คงต้องหลีกเลี่ยงการลงทุนหุ้นขนาดใหญ่ และหันมาเน้นหุ้นขนาดเล็กที่มีข่าวบวกสนับสนุน หรือหุ้นที่จะให้ผลตอบแทนปันผลสูงขณะที่

บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส มอง หลังต่างชาติขายทิ้งหุ้นไทยอย่างหนัก รอบนี้ คงไม่รีบกลับเข้ามาซื้อ ทำให้ภาพตลาดเสียไป นักลงทุนที่ต้องการซื้อหุ้น ควรรอให้แรงขายชะลอลงชัดเจนก่อน จึงค่อยกลับมาพิจารณาลงทุนอีกครั้ง

ปิดท้ายผู้บริหารระดับสูงโบรกเกอร์ต่างชาติรายหนึ่ง บอกว่าแม้รอบนี้ต่างชาติจะเทขายหนัก แต่ยังมองพื้นฐานหุ้นไทยดีอยู่ คาดว่าต่างชาติน่าจะกลับเข้ามาซื้อหุ้นคืนหลังจากนี้ไม่น่าจะนานมากนัก หุ้นที่ปรับตัวลงแรงน่าจะเป็นโอกาสให้คนมีเงินเย็นเงินยาวเข้าไปเลือกหุ้นดีปันผลเด่นตุนเข้าพอร์ตได้!!

------------------------------------------------------------------------------------
Short News
TMB (SELL) - ตั้งเป้าการเติบโตเชิงรุกในปี 2011 แต่ยังไม่ทำให้เราเปลี่ยนมุมมอง
* เติบโตที่มีคุณภาพอย่างที่ตั้งใจไว้และตั้งเป้าหมายเชิงรุกมากขึ้นในปี 2011 เนื่องจากความพร้อมของโครงสร้างภายในมากขึ้น อย่างไรก็ตามเรายังคงมุมมองเดิมและเชื่อว่าราคาหุ้นจะปรับลงมามากตามการปรับฐานของดัชนีตลาดฯ ราคาปัจจุบันที่ซื้อขายที่ 2011 PER 22 เท่า เกินกว่าอัตราการเติบโต (g) ที่คาดหวังใน 3 ปีข้างหน้า (2012-2014) เฉลี่ยที่คาดไว้ที่ราว 10% จึงคงคำแนะนำ ขาย
* ผู้บริหารยืนยันการเติบโตอย่างมีคุณภาพจากการจัดระเบียบภายใน: การประชุมนักวิเคราะห์เมื่อวานนี้ ผู้บริหารยืนยันการเติบโตของสินทรัพย์เป็นไปอย่างมีคุณภาพอย่างที่ตั้งใจไว้ แม้ว่าสินเชื่อสุทธิในปี 2010 จะลดลงราว 1.3% จากปี 2009 แต่หากหักการขาย NPL จำนวน 1.8 หมื่นลบ. และการโอนหนี้ไปบสก.สุทธิจำนวน 3.9 พันลบ. สินเชื่อที่มีคุณภาพจะเพิ่มขึ้นราว 5% จากปีก่อน ขณะที่ NPL ลดลงมาอยู่ที่ 8.3% ของสินเชื่อจาก 12.7% ในปีก่อน มีอัตราการตั้งสำรองหนี้สูญที่ 57% ของ NPL


Comments:
· สัปดาห์ที่ผ่านมาราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับลงต่ำกว่า 90 ดอลลาร์/บาร์เรล รายงานตัวเลขสต๊อกน้ำมันสูงกว่าคาด
· ค่าการกลั่นปรับขึ้นต่อเนื่อง W-W อยู่ในระดับสูงถึง 7.54 ดอลลาร์/บาร์เรล (เป็นบวกต่อ TOP, ESSO และ BCP)
· ราคาปิโตรเคมีต้นน้ำสายโอเลฟินส์ปรับขึ้นต่อเนื่อง 9 สัปดาห์ติดต่อกัน (เป็นบวกต่อ PTTCH)
· ราคาอะโรเมติกส์ PX พุ่งแรงและทำสถิติสูงสุดใหม่ และ Margin กว้างขึ้นมากอย่างที่ไม่เคยเห็นมาในรอบหลาย 5 ปี (บวกต่อ PTTAR และ TOP)
· ราคาเม็ดพลาสติก HDPE ทรงตัว (เป็นบวกต่อ PTTCH, SCC) ส่วน PVC ปรับขึ้นเล็กน้อย (เป็นลบต่อ VNT และTPC)
· ราคา PTA ทำสถิติสูงสุดในรอบหลายปีและปรับขึ้นเป็นสัปดาห์ที่ 7 ติดต่อกัน เป็นบวกต่อ IVL
· ราคาถ่านหินอ่อนตัวเล็กน้อยหลังปรับขึ้น 8 สัปดาห์ติดต่อกันจากน้ำท่วมใน Queensland (ดีต่อ BANPU, LANNA และ AGE)
· ราคายางแผ่นรมควันยังทำ New High ต่อเนื่องทะลุ 170 บาท/กก.แล้ว ล่าสุดอยู่ที่ 171 บาท/กก. (+5% W-W, +17% YTD) และยังมีแนวโน้มแพงขึ้นต่อไปในช่วงปิดหน้ายางของขาวสวน
· ราคาหมูขยับสูงขึ้นเล็กน้อย 2% W-W อยู่ที่ 53.5 บาท/กก. เนื่องจากเข้าสู่ช่วงเทศกาลตรุษจีน


-----------------------------------------------------------------------------
MARKET WAVE Analysis
25 มค. 54 ( -42.89 จุด ) โกมล พงศ์วิญญู เลขทะเบียน 18338

ไม่น่าเกิน 990 - 999 จุด
ดัชนีในวันจันทร์ ปรับตัวลงต่ำกว่า 990 จุด ทำให้เกิด “สัญญาณขาย” ในเครื่องมือPoint & Figureแนวโน้มในวันอังคารนี้ ในกรณีปรับตัวขึ้น ดัชนีไม่น่าจะขึ้นไปได้เกิน 990 - 999 จุดหรือ ประมาณอัตราส่วนการดีดตัวขึ้นFibonacci Ratio 38.2% นับจากการปรับตัวลงจากจุดสูงสุดเดิมของเดือนนี้

อย่างไรก็ตาม แนวโน้มหลักของตลาดยังคงเป็น “ขาลง” มีเป้าหมายสำหรับภาพไตรมาสหนึ่งปีนี้บริเวณ 890 – 940 จุด หรือ
เท่ากับอัตราส่วน Fibonacci Ratio 38.2 -50 % นับจากการปรับตัวขึ้นมาเมื่อเดือน มิย. ปีที่แล้ว

หุ้นเด่น
KBANK
Stochastic Bullish Divergence ภาพระยะชั่วโมง รอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 113.50จุดสูงสุดเวลา 15.00 น. วันจันทร์ เป้าหมายหนึ่งถึงสองวัน 116.00 – 118.00( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 112.00 )

10 อันดับซื้อขายสูงสุด
BANPU ต่ำกว่า 748 ลง 720 – 740
PTT รอลง 300 - 310
SCB เกิน 96.25 ขึ้น 97 - 98
IRPC ต่ำกว่า 5.25 ลง 4.70 – 5.10
PTTCH ต่ำกว่า 139.50 ลง 130 – 135
KBANK รายละเอียดใน “หุ้นเด่น”
CPF รอลง 19 – 20
BBL รอลง 142 – 145
IVL เกิน 41.50 ขึ้น 42.25 – 43
TOP เกิน 72 ขึ้น 73 – 75

-----------------------------------------------------------------------------
EFinanace Thai : หุ้นพินาศ-ฝรั่งยั๊วะเทกระจาด4พันล.
หุ้นไทยร่วงระเนระนาด!! ปิดตลาดทรุดฮวบ 42.89 จุด เหตุกังวลจีนขึ้นดอกเบี้ย-บาทอ่อน-การเมืองเดือด กระตุ้นฝรั่งขายทำกำไร ล่าสุดทิ้งแล้ว 3 หมื่นล้านบาท แถมมีข่าวลือหนาหูในห้องค้ารัฐบาลถอดใจยุบสภาก่อนกำหนด-กองทุนสิงคโปร์โละพอร์ตหลังโดนไล่บี้เรื่องโทรคมนาคม ผสมโรงฟอร์ซเซลบัญชีมาร์จิ้น เผยหุ้นดิ่งแล้วเกือบ 100 จุดจากจุดสูงสุด แรงกว่าภูมิภาค ด้านโบรกฯแนะชะลอลงทุน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ดัชนีหุ้นไทยวันนี้ปรับตัวลดลงแรงตั้งแต่เปิดการซื้อขายภาคเช้า และเป็นการปรับตัวลดลงแบบม้วนเดียวจบ ไม่มีจังหวะรีบาวน์ให้นักลงทุนได้ทยอยตัดขายลดขาดทุน ปิดตลาดดัชนีปรับตัวลดลงแตะจุดต่ำสุดของวันที่ระดับ 963.68 จุด ลดลง 42.89 จุด หรือ 4.26% มีมูลค่าการซื้อขาย 37,402.09 ล้านบาท โดยหากพิจารณาจากจุดสูงสุดของดัชนีที่ระดับ 1056.44 จุด ล่าสุดตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงมาแล้ว 92.76 จุด หรือ 9.62% ซึ่งถือว่าแรงกว่าตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาค

ขณะที่นักลงทุนต่างชาติยังคงเทขายสุทธิอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาขายสุทธิ 7.7 พันล้านบาท และวันนี้(24 ม.ค.)ขายสุทธิอีก 4,049.49 ล้านบาท ดังนั้นหากนับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยไปแล้วประมาณ 3 หมื่นล้านบาท ส่วนวันนี้สถาบันเทขายผสมโรงอีก 2,576.42 ล้านบาท

ทั้งนี้ สาเหตุที่ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลดลงแรงมาจากหลายสาเหตุ โดยเฉพาะความกังวลเกี่ยวกับจีนประกาศขึ้นดอกเบี้ยเพื่อชะลอความร้อนแรงของเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่เงินบาทเริ่มอ่อนค่าแสดงถึงเม็ดเงินต่างชาติเริ่มไหลออกและกระตุ้นให้มีแรงเทขายทำกำไรออกมาเร็วขึ้น ขณะที่ปัญหาการเมืองกลับมาเป็นปัจจัยกดดันบรรยากาศลงทุนอีกครั้ง หลังกลุ่มพันธมิตรฯนัดชุมนุมยืดเยื้อเพื่อกดดันให้รัฐบาลยกเลิก MOU 2543 ที่ทำกับกัมพูชา

นอกจากนี้ยังมีข่าวลือในห้องค้ามากมาย เช่น รัฐบาลจะประกาศยุบสภาเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ หลังมีผู้ชุมนุมหลายกลุ่มออกมากดดันในช่วงนี้ ขณะที่มีบางกระแสระบุว่ากองทุนสิงคโปร์เปิดเกมส์ป่วนเศรษฐกิจไทย โทษฐานไปไล่บี้เรื่องโทรคมนาคมที่กองทุนสิงคโปร์ถืออยู่ ดังนั้นจึงลองของเทขายทุบราคาหุ้น ซึ่งจากการที่ดัชนีปรับตัวลดลงแรงอย่างรวดเร็วส่งผลให้มีนักลงทุนที่ซื้อขายในบัญชีมาร์จิ้นถูกบังคับขายหุ้น(ฟอร์ซเซล)ออกมา เพราะไม่ได้เติมหลักประกัน ส่งผลให้หุ้นไทยปรับตัวลดลงมากขึ้นไปอีก

ส่วนกลยุทธ์ลงทุนในช่วงนี้โบรกเกอร์แนะนำให้ชะลอการซื้อขายไปก่อน รอดูความชัดเจนเรื่องเงินไหลออก ซึ่งส่วนใหญ่มองว่าดัชนีคงไม่หลุดระดับ 960 จุด และมีโอกาสที่ดัชนีจะรีบาวน์ขึ้นมาที่ระดับ 980 จุดได้

***** "เอกยุทธ"ชี้สิงคโปร์ยัวะรัฐบาลไทยกระหน่ำทุบหุ้นดิ่ง
นาย เอกยุทธ อัญชันบุตร ประธานบริหารเครือโอเรียนเต็ล มาร์ท กรุ๊ป ในฐานะนักลงทุนรายใหญ่ กล่าวผ่านเฟสบุ๊กถึงกรณีที่หุ้นไทยปรับตัวลดลงแรงว่า หุ้นที่กองทุนสิงคโปร์ถืออยู่และขายลงมาหนักคือ PTT, BANPU, IVL, BBL,KBANK,SCB,CPF, และราคานี้บรรดานักลงทุนที่ใช้มาร์จิ้นคงถูกฟอร์ซเซลแล้ว หากไม่เติมเงิน และกองทุนต่างๆที่มีต้นทุนสูงและขาดทุนกว่า 10 % ก็ต้องขายทุกราคา น่าจะบาดเจ็บกันเยอะ

ภาพรวมตลาดทั่วเอเชียและยุโรปหรือกระทั่งอเมริกา ไม่ได้ตกแรงอย่างที่ รมต.คลังกล่าว ไทยตกแรงที่สุดและเหตุผลก็คือ สิงค์โปร์เปิดเกมส์ป่วนเศรษฐกิจไทย โทษฐานไปไล่บี้เรื่องโทรคมนาคมที่กองทุนสิงคโปร์ถืออยู่ เลยลองของ ขายทุบราคาซะเลย ผู้ที่ซวยคือนักลงทุนไทยที่ไม่ได้สนใจกับการเมือง

***** นายกฯชี้หุ้นร่วงแรงมีหลายปัจจัย แต่ไม่ขอวิเคราะห์
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงกรณีดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทย ลงแรงกว่า 40 จุดในวันนี้ ว่า 'เรื่องนี้มีหลายปัจจัย ซึ่งส่วนตัวไม่ขอวิเคราะห์ และต้องไปดูว่าเกิดจากปัจจัยอะไรบ้าง ' นายกรัฐมนตรีกล่าวหลังผู้สื่อข่าวถามว่าสาเหตุหุ้นตกเป็นเพราะการชุมนุมทางการเมืองในช่วงนี้หรือไม่

ทั้งนี้นายกฯ กล่าวถึงการชุมนุมทางการเมืองของหลายกลุ่มในช่วงนี้ว่า การชุมนุมจะต้องอยู่ภายใต้กฎหมายโดยเจ้าหน้าที่จะดูแลการชุมนุมให้อยู่ในกฎเกณฑ์และเป็นไปอย่างเรียบร้อย ทั้งนี้จะไม่ให้ผู้ชุมนุมปิดล้อมหรือเข้ามาในพื้นที่ทำเนียบรัฐบาล หลังจากก่อนหน้านี้ศาลปกครองมีคำวินิจฉัยชัดเจนว่าการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญต้องไม่ขัดขวางการเข้าออก และการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ 'หากผู้ชุมนุมมีเหตุผลพอและต้องการแลกเปลี่ยนข้อมูล ก็พร้อมรับฟังส่วนจะให้ดำเนินการตามที่เรียกร้อง อาทิ ปัญหาเรื่องเขตแดนไทย-กัมพูชา ที่ต้องการให้ไทยถอนตัวจากสมาชิกคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม ไทย-กัมพูชา (JBC) หรือ ยกเลิก MOU 2543 อาจนำไปสู่การเสียดินแดนถึงขั้นเกิดภาวะสงคราม เพราะปัญหาเขตแดนยังไม่ได้มีการตกลงกันอย่างชัดเจน ดังนั้นจะมีปัญหาตามมามาก ทั้งนี้รัฐบาลมีหลักในการรักษาผลประโยชน์ประเทศและรักษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ'นายกฯ กล่าว

***** คลัง-ธปท.มองฝรั่งขายทำกำไร ระบุพื้นฐานศก.ยังดี
นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงกรณีการที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยปรับตัวลดลงหลุดระดับ 1000 จุด ว่า เชื่อว่ามาจากแรงขายทำกำไรของนักลงทุน เนื่องจากภาพรวมของตลาดหุ้นไทยยังไม่มีปัจจัยเข้ามาสนับสนุน รวมไปถึงก่อนหน้านี้ ดัชนีฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นค่อนข้างแรงพอสมควร ดังนั้นการปรับตัวลดลงของดัชนีฯ ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ

'ตลาดหุ้นไทยได้เคลื่อนไหวไม่ต่างกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งดูจากปัจจัยรวมแล้วยังไม่มีปัจจัยใหม่ๆ ดังนั้นจึงเป็นการตัดสินใจของนักลงทุนระหว่างวัน ซึ่งความผันผวนของดัชนีฯ ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ'นายกรณ์ กล่าว

นายเมธี สุภาพงษ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจในประเทศ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เปิดเผยว่า การที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงแรงในช่วงเช้าที่ผ่านมา ถือเป็นแรงขายทำกำไรที่มีเข้ามาเป็นปกติ ซึ่งธปท. ต้องขอดูรายละเอียดของข้อมูลต่างๆก่อน แต่เบื้องต้นคาดว่าไม่น่าจะเป็นผลจากประเด็นเรื่องพื้นฐานทางเศรษฐกิจไทย

***** ตลท.มั่นใจต่างชาติจะกลับมาลงทุนในหุ้นไทย
นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) กล่าวว่า แรงขายของนักลงทุนต่างชาติช่วงนี้ เป็นแค่การขายชั่วคราว ขณะที่พื้นฐานตลาดยังดีอยู่ ส่วนตลท.มีการติดตามการให้กู้ยืมเงินเพื่อซื้อหุ้น (มาร์จิ้น) ของทั้งระบบ แต่ยังไม่น่าห่วง

"ช่วงนี้เป็นช่วงที่ฝรั่ง take profit ตลาดหุ้นใน 3 ประเทศ คือไทย ฟิลลิปปินส์และอินโดนีเซีย ซึ่งเขาจะได้กำไร ทั้งจาก currency และราคาหุ้นที่ปรับตัวสูงขึ้นไปก่อนหน้านี้ เราเองก็ต้องมอนิเตอร์ว่าเขาจะหยุดขายเมื่อไหร่"นายจรัมพร กล่าว

ทั้งนี้ ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงในทิศทางเดียวกับภูมิภาค โดยเฉพาะประเทศที่เคยมีค่าเงินแข็งค่า เช่น ไทย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และแนวโน้มค่าเงินมีการเปลี่ยนไป ทำให้นักลงทุนต่างชาติมีการขายหุ้นในตลาดส่งผลให้เม็ดเงินไหลออก ซึ่งขณะนี้ทิศทางดังกล่าวเกิดขึ้นกับตลาดหุ้นทั้ง 3 ประเทศ อย่างไรก็ตามมองว่าในเบื้องต้นนักลงทุนต่างชาติขายหุ้นชั่วคราว เพื่อเป็นการทำกำไรจากการลงทุนเท่านั้น และจะกลับเข้ามาลงทุนใหม่ เนื่องจากยังไม่เห็นว่าภูมิภาคใดที่จะมีพื้นฐานเศรษฐกิจและการเติบโตดีกว่าภูมิภาคนี้ โดยพื้นฐานของตลาดหุ้นไทยสามารถรองรับดัชนีตลาดที่ระดับ 1,050-950 จุดได้

นายจรัมพร กล่าวต่อว่า ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ตลท.ได้เข้าไปติดตามกรณีการให้กู้ยืมเงินเพื่อซื้อหุ้น (มาร์จิ้น) ของทั้งระบบ ตลอดจนการติดตามฐานะการเงินและความแข็งแกร่งของโบรกเกอร์ พบว่ายังไม่น่าเป็นห่วง แม้ว่าตลาดหุ้นจะมีการปรับตัวลดลงต่อเนื่องในช่วงนี้ ส่วนนักลงทุนควรจะมีการทบทวนพอร์ตการลงทุนของตัวเองอย่างสม่ำเสมอ

***** โบรกฯแนะชะลอลงทุน ชี้มีโอกาสดีดกลับไปที่ 980 จุด
นายธวัชชัย อัศวพรไชย ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.โกลเบล็ก เปิดเผยว่าหลังจากที่ SET Index ปรับลดลงแรง แนะนำให้นักลงทุนรอดูสถานการณ์ตลาดหุ้นก่อน อย่าเพิ่งเข้าไปลงทุน เพราะยังมีความเสี่ยงเกี่ยวกับกรณีที่นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นออกมาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของประเทศจีน ซึ่งปัจจัยดังกล่าวยังคงเป็นตัวแปรสำคัญที่กดดันตลาดหุ้น ส่วนแนวรับให้ไว้ที่ 960 จุด และแนวต้านให้ไว้ที่ 980 จุด

"ตลาดหุ้นอย่างนี้นักลงทุนควรรอดูสถานการณ์อยู่ข้างนอกไปก่อน อย่าเพิ่งไปทำอะไร ซึ่งช่วงนี้เป็นช่วงที่นักลงทุนต่างชาติปรับพอร์ตแรงขายของนักลงทุนต่างชาติยังคงมีอยู่ ยังถือว่าเป็นความเสี่ยง ซึ่งประเด็นนี้เป็นประเด็นหลักที่กดดันการปรับลดลงของตลาดหุ้นไทย ส่วนเรื่องอื่นก็มีการปรับขึ้นดอกเบี้ยของจีน ซึ่งนักลงทุนยังคงต้องติดตาม " นายธวัชชัย กล่าว

นายกัณฑรา ลดาวัลย์ ณ อยุธยา กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน ) หรือ FSS เปิดเผยว่า ในช่วงที่ SET Index ปรับลดแรง แนะนำนักลงทุนรอซื้อหุ้นที่แนวรับ 960 จุด เพราะคาดว่าดัชนีฯ มีโอกาสปรับลดลงได้อีก หลังจากที่หลุดระดับแนวรับสำคัญที่ 1,010 จุดลงมา นอกจากนี้ ควรรอดูการประชุมของธนาคารกลางต่างประเทศหลายแห่ง เช่น สหรัฐฯ ที่จะมีการประชุมในเร็วๆ นี้ ซึ่งอาจเป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลและชี้นำการเคลื่อนไหวของดัชนีฯ ได้

'ดัชนีฯ หลุด 1,010 จุดลงมาแล้ว ช่วงนี้รอดูก่อน ถือรอดูไปก่อน แล้วไปรอรับที่ 960 จุด เพราะช่วงนี้ควรรอดูผลการประชุมของธนาคารกลางของประเทศต่างๆ ที่จะมีการประชุมในช่วงนี้ก่อน แต่ FSS ก็ยังคงมองว่าเป้าหมาย SET Index ทั้งปีนี้น่าจะอยู่ที่ 1,300 จุด ยังเป็นเป้าหมายเดิม ไม่ได้ปรับลดลง ส่วนหุ้นที่ยังคงน่าลงทุนคือหุ้นของบริษัทฯ ที่จ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ ' นายกัณฑรา กล่าว

บทวิเคราะห์บล.ธนชาต ระบุว่า ดัชนีหลุดต่ำกว่า 1025 จุด และต่ำกว่าฐานรอบที่แล้วบริเวณ 1008 จุด ทดสอบฐานใหญ่บริเวณ 980 จุด และยังไม่เห็นแรงเหวี่ยงบวกกลับ โดยมีแนวรับถัดไป 960 จุด ซึ่งแนวรับ 980 จุดเป็นระดับที่แข็งแกร่ง จึงมีโอกาสฟื้นตัวขึ้นได้ เป็นจังหวะเข้าซื้อหุ้นอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้รอยืนยันเมื่อ SET กลับขึ้นไปอยู่เหนือ 980 จุด

ทั้งนี้ มีความเป็นไปได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้นในกรณีที่ SET จะไม่สามารถกลับขึ้นไปอยู่เหนือ 980 จุดและลงต่อลึกถึง 900 จุด เนื่องจากการปรับตัวลงจากระดับ 1056-980 จุดหรือ 7 % ซึ่งเป็นเหตุการณ์ปกติของตลาดที่ขึ้นแรง โดยก่อนหน้านี้ในช่วง 3 ปี ดัชนี SET ขึ้นมาแรงมากตั้งแต่ระดับ 380 -1055 จุด และยังไม่มีการเปลี่ยนแนวโน้ม การย่อตัวลงของตลาดจึงเป็นโอกาสที่จะเข้าซื้อหุ้น***** ฟินันเซีย ไซรัสมองยุบสภาไม่กดดันตลาดหุ้นไทย

นางสาวธีรดา ชาญยิ่งยงค์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) กล่าวว่า กรณีที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในวันนี้ปรับตัวลดลงแรงกว่าตลาดหุ้นเอเชีย โดยดัชนีหุ้นไทย ปรับตัวลดลงกว่า 3% คาดว่ามาจากความกังวลถึงทิศทางการไหลออกของ Fund Flow เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ซึ่งนักลงทุนต่างชาติ ขายสุทธิ 7.7 พันล้านบาทประกอบกับมีความกังวลถึงแนวโน้มการการปรับขึ้นดอกเบี้ยของจีนเพื่อควบคุมเงินเฟ้อภายในประเทศ

ด้านนายสมชาย เอนกทวีผล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซียไซรัส กล่าวถึงกรณีที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในวันนี้ปรับตัวลดลงแรงกว่าตลาดหุ้นเอเชียคาดว่ามาจากความกังวลถึงจีนที่มีแนวโน้มปรับขึ้นดอกเบี้ยเพื่อป้องกันภาวะเงินเฟ้อในประเทศเห็นได้จากแรงขายของนักลงทุนต่างชาติกลยุทธ์ในการลงทุนช่วงนี้แนะนำเข้าเก็บสะสมหุ้นพื้นฐานดีเพื่อถือระยะยาว

ส่วนนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในระยะสั้นแนะนำให้ดูทิศทางการเคลื่อนไหวของดัชนีก่อนโดยประเมินแนวรับไว้ที่ 970-960จุดและแนวต้านที่1000จุดส่วนการคาดการณ์ว่าการยุบสภาจะเกิดขึ้นในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนพฤษภาคมนั้นคาดว่ายังไม่ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของดัชนีฯในช่วงนี้แต่อย่างใด

*****โกลเบล็กชี้ต่างชาติขายทิ้ง-บาทอ่อนกดดัชนีหลุดพันจุด
นายธวัชชัย อัศวพรไชย ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์(บล.)โกลเบล็ก จำกัด กล่าวให้ความเห็นถึงภาวะตลาดหุ้นวันนี้(24 ม.ค.54) ว่า ตลาดหุ้นปรับตัวลดลงจากแรงขายของนักลงทุนต่างประเทศ และปัจจัยเรื่องค่าเงินบาทที่อ่อนค่ามากขึ้น ตลอดจนมาตรการอัตราดอกเบี้ยของจีนที่ยังกดดันอยู่ในขณะนี้ จึงจนทำให้นักลงทุนเกิดความกังวลใจจึงมีแรงขายออกมา โดยมองว่าการปรับตัวของดัชนีในวันนี้ (25 ม.ค.54) จะมีแนวโน้มลดลงต่อ โดยทางฝ่ายวิเคราะห์มองกรอบแนวรับที่ 950-960 จุด ส่วนแนวต้านมองที่ 980 จุด

ด้านนายจักรกริช เจริญเมธาชัย รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นที่ปรับตัวลดลง 4.3%เมื่อวานนี้(24 ม.ค.) และลดลง จากจุดสูงสุดในช่วง 52 สัปดาห์ที่ 8.8% และ 6.7%จากต้นปี ฝ่ายวิจัยคาดว่าดัชนีที่แตะระดับ 963 จุด Downside Risk เริ่มลดลงเหลือ 3-5% เนื่องจากดัชนีใน TIPs ปรับตัวหลุดต่ำกว่า MA60 วันลงมาแล้ว

โดยดัชนีตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซียลดลง 6.2%, 8.2% เทียบกับดัชนีตลาดหุ้นไทยที่ลดลง 5.6% ขณะที่หากเปรียบเทียบการปรับตัวลงจากจุดสุงสุดในรอบ 52 สัปดาห์ ดัชนีตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซียลดลงไปแล้ว 11.6% หรือลดลง 7.1%จากช่วงต้นปี และ 12.3% หรือลดลง 10.3%จากช่วงต้นปี บนสมมติฐานการปรับลดน้ำหนักการลงทุนให้เป็นไปตาม MSCI-Asia Ex Japan จากระดับยอดซื้อสุทธิสะสมเมื่อสิ้นปี 2553 จึงคาดว่าจะเหลือแรงขายในตลาดหุ้นไทยประมาณ 1 หมื่นล้านบาท (ไม่รวม 2.5 หมื่นล้านบาท สิ้นสุดวันศุกร์ที่ 21 ม.ค.54) ที่ช่วงดัชนี 950-970 จุด

ดังนั้น แนะนำพอร์ตการลงทุนในช่วง 1-2 เดือนอยู่ที่ 50% พอร์ตโภคภัณฑ์ 30% และคงเป้าหมายดัชนีตลาดหุ้นไทยทั้งปี2554 อยู่ที่ระดับ 1,040 จุด

-----------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย
FSS : ตลาดลงแรง ทำให้คาดว่ามีลุ้นจังหวะรีบาวด์กลับเร็วๆ นี้ .. น่าทยอยรับ!!
แนวโน้ม: ความกังวลต่อตัวเลขเงินเฟ้อของหลายๆ ประเทศในเอเชีย ยังคงกดดันความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างประเทศต่อเนื่อง ทำให้ตลาดหุ้นเอเชียรวมถึง SET ยังคงปรับตัวลงรุนแรงเมื่อวานนี้ ซึ่ง FSS มองว่าเป็นโอกาสที่ดีสำหรับการทยอยเข้าซื้อหุ้นพื้นฐานดีที่ปรับตัวลงแรงตามตลาด เพื่อการถือลงทุนในระยะกลาง-ยาวต่อไป ส่วนการเข้าเทรดดิ้งระยะสั้นในช่วง 2 วันที่ผ่านมาเราไม่แนะนำเพราะถือว่าจังหวะตลาดยังมีความเสี่ยงสูง อย่างไรก็ตามหลังการลงรุนแรงวานนี้และจากคาดการณ์ที่ว่า SET มีโอกาสรีบาวด์กลับขึ้นไปเคลื่อนไหวในด้านบวกได้ในช่วงกลางถึงท้ายสัปดาห์นี้ ทำให้จากวันนี้ไปเริ่มน่าสนใจหาจังหวะรับเพื่อลุ้นเทรดดิ้งในรอบรีบาวด์ของตลาดด้วยเช่นกัน โดยมีเป้าหมายทำกำไรแถว1000 จุดหรือสูงกว่า

กลยุทธ์: หุ้นที่น่าสนใจเข้ารับได้แก่ BGH, BH, BEC, MCOT, PHATRA, BLS,LPN, SVI, PTTCH, PTTAR, IRPC, IVL, TOP, ESSO, BANPU, LANNA เป็นต้น

ประเด็นสำคัญวันนี้
• (0) ต้นทุนต่างชาติ 964 จุด (ก.ย.-ปัจจุบัน) นับจากจุด Peak ปี 2010 SETIndex ปรับลงมาแล้ว 8.7% ใกล้เคียงตลาดหุ้นอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ที่ปรับลง10.7% จาก Peak เช่นกัน ถ้าตลาดไทยต้องปรับลงเท่ากับตลาด TIPs อื่นๆ ดัชนีจะอยู่ที่ 952 จุด แต่ในความเป็นจริงไม่ควรเป็นอย่างนั้นเพราะตลาดบ้านเราปรับขึ้นน้อยกว่าอินโดนีเซีย ถ้าหันมาดูต้นทุนเฉลี่ยของต่างชาติตั้งแต่เริ่มกลับมาซื้อหุ้นไทยจริงจังคือหลังจากมาบตาพุดชัดเจน จนถึงปัจจุบันมีต้นทุนเฉลี่ย 964 จุด แทบไม่เหลือกำไรแล้ว มีกำไรจากค่าเงินบาทเพียง 4.4% จึงคิดว่า downside ของตลาดเริ่มจำกัดมากแล้ว ปัจจุบันคิดเป็น PE 12 เท่า ถูกกว่าการเติบโตของกำไรใน
ปีนี้ที่ 16% การปรับลงของดัชนีจึงเปิดโอกาสในการเลือกสะสมหุ้นพื้นฐานแกร่ง• (+) หุ้นปันผลดี BLS, TMT, TRT, AP, TICON, AIT, LPN, KK, TPAC,ADVANC

• (+) หุ้นที่คาดว่าจะประกาศผลประกอบการดี BANPU, TOP, PTTCH,PTTAR, PTT, IRPC, IVL, PTL, STA, SVI, HMPRO, BIGC, BGH, TVO

• (+) หุ้นที่น่าสะสมลงทุน TUF, CPALL, BGH, BANPU, PTTEP, GLOW, SVI• (-) TMB แม้ผู้บริหารจะตั้งเป้าหมายเชิงรุกมากขึ้นในปี 2011 แต่ไม่ทำให้เราเปลี่ยนมุมมอง เราเชื่อว่าราคาหุ้นจะปรับลงมาตามการปรับฐานของดัชนีตลาดฯและคาดจ่ายปันผลไม่มากราว 0.02 บาท/หุ้น (Yield 1%) ราคาปัจจุบันซื้อขายที่2011 PER 22 เท่า เกินกว่าอัตราการเติบโต (g) ที่คาดหวังใน 3 ปีข้างหน้า
(2012-2014) เฉลี่ยที่คาดไว้ที่ราว 10% จึงคงคำแนะนำ ขาย ราคาเป้าหมาย1.50 บาท

• Fund Flow วานนี้ยังไหลออกทุกประเทศในภูมิภาค แต่ปริมาณขายสุทธิชะลอตัวลงจากวันก่อน ซึ่งเป็นไปตามคาดว่านักลงทุนต่างชาติยังปรับพอร์ตต่อเนื่อง ความกังวลเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นในประเทศเอเชียและการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยโดยเฉพาะของจีนยังคงเป็นปัจจัยลบที่ยังปั่นทอนตลาดหุ้นเอเชียในช่วงนี้ ขณะที่เมื่อคืนตลาดหุ้นสหรัฐพุ่งขึ้นใกล้จุดสูงสุดก่อนเกิดวิฤตการเงินในสหรัฐจากตัวเลขการจ้างงานและดัชนีชี้วัดเศรษฐกิจส่วนใหญ่ยังออกมาดี ค่าเงินบาทเช้านี้ทรงตัวอยู่ 30.97 บาท/ดอลลาร์ หลังจากที่อ่อนค่ามากในช่วงระหว่างวันของวานนี้ ส่วนค่าเงินประเทศอื่นในภูมิภาคยังทรงตัว อย่างไรก็ตามไม่ค่าเงินในภูมิภาคเอเชียจะแข็งค่าหรือแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูงถือเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นดังนั้นการขายปรับพอร์ตของนักลงช่วงนี้อาจยังมีอยู่ แต่สุดท้ายก็จะกับสู่ปัจจัยพื้นฐาน เราเน้นซื้อหุ้นกลุ่มน้ำมันและปิโตรเคมีเพราะราคาสินค้าโภคภัณฑ์เหล่านี้ปรับหรือบางชนิดปรับขึ้นส่วนทางการราคาหุ้นที่ปรับตัวลงมากเงินไป แม้แนวโน้มกระแสเงินทุนยังไหลออกในช่วงนี้ แต่หากไม่มีเหตุการอย่างอื่นที่รุนแรงเราแนะนำให้ ถือ และมีเงินสดหาจังหวะทะยอยสะสม หุ้นกลุ่มเหล่านี้ โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มพลังงาน ปิโตรเคมี และ กลุ่มปตท.


ข่าวภายในประเทศ
"อาลก" แจงไม่เคลียร์ตลท.เชียร์เกณฑ์ MSCI ชี้หลังแปลง IVL-T1 ถือหุ้นลดเหลือ 66.36% "อาลก" ออกโรงแจงขายบิ๊กล็อต IVL เหตุผลเดิมอ้างนักลงทุนต่างประเทศสนใจซื้อหุ้น-ต้องการเพิ่มฟรีโฟลต พร้อมนำเงินขายหุ้นลงทุนใช้สิทธิแปลง IVL-T1 เป็นหุ้นเพิ่มทุนเต็มสัดส่วน 70% หวังช่วยสภาพคล่องทางการเงินดีขึ้น ลงทุนได้ตามแผนงาน การันตีวันนี้ถึงปี 2557 จะไม่ขายหุ้น-เพิ่มทุน ตลท. หนุนเต็มที่ชี้หุ้นใหญ่ IVL ขายหุ้นเพื่อเข้าเกณฑ์ MSCI คาดหลังใช้สิทธิ IVL-T1 ผู้ถือหุ้นใหญ่เหลือสัดส่วนถือหุ้น 66.36% ฟรีโฟลตเพิ่มเป็น 33.64% (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 25-01-2011)

SPALI โต 20% ส่งซิกครึ่งหลังปันผล 37 สต. "ศุภาลัย" โตไม่หยุด ปีนี้ตั้งเป้ารายได้พุ่ง 1.3หมื่นล้านบาท โต 20% จากปีก่อนที่คาดทำได้ 1.1หมื่นล้านบาท เหตุมีแบ็กล็อกนอนรอบุ๊คแล้วกว่า 8 พันล้านบาท คิดเป็น 63% ของเป้าที่ตั้งไว้ ลุยเปิดอีก 14 โครงการ 1.7 หมื่นล้านบาท เผย 28 ก.พ.นี้ประชุมบอร์ดปันผล โบรกฯลุ้นครึ่งหลังจ่าย 0.37 บาท/หุ้น (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 25-01-2011)

PHOL ตั้งเป้ารายได้โตกว่า15% ชูธุรกิจบำบัดน้ำ ขานรับอานิสงส์อุตสาหกรรม PHOL ตั้งเป้ารายได้ปีนี้โต 15% เชื่อธุรกิจจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ฯ และธุรกิจเกี่ยวกับระบบบำบัดน้ำ มีแนวโน้มเติบโต รับอานิสงส์อุตสาหกรรม ทั้งอิเล็กทรอนิกส์ ส่งออกอาหาร รวมถึงยานยนต์ พร้อมเร่งเจรจาธุรกิจน้ำ 10 โครงการ ตั้งเป้ามีสัดส่วนรายได้ 10% คาดได้ข้อสรุปในไตรมาส 1/54 ส่วนรายได้ปี 2553 เชื่อโตใกล้เคียงกับเป้าหมายที่ 30-35%แถมมีลุ้นบอร์ดพิจารณาจ่ายเงินปันผลวันที่ 22 ก.พ.นี้ (ที่มา: นสพ.ข่าวหนุ้ 25-01-2011)

CPALL โชว์กำไรปี53 กระฉูด 28% ลุ้นปันผลครึ่งหลัง 1 บาท เชียร์ซื้อเป้าหมาย 49 บาท CPALL ลุ้นกำไรไตรมาส 4/53 พุ่ง 18% แตะ1,289 ล้านบาท จากจำนวนสาขาที่เพิ่มขึ้น 500 สาขา ดันกำไรปี 2553 โต 28% กว่า 6,400 ล้านบาท เนื่องจากการเติบโตของยอดขายต่อสาขา การเปิดสาขาใหม่ และ การเพิ่มสัดส่วนสินค้าประเภทอาหารที่มีอัตรากำไรสูง คาดมีจ่ายเงินปันผล 1 บาทต่อหุ้น จึงเชียร์ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 49 บาท(ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 25-01-2011)

-----------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ตปท.
ดัชนีดาวโจนส์ยังปิดพุ่งขึ้นอีก 108.68 จุด นำโดยหุ้นกลุ่มทรัพยากรธรรมชาติ และกลุ่มเทคโนโลยี หลังอินเทลรายงานผลกำไรที่แข็งแกร่ง ขณะที่ผลประกอบการของบริษัทส่วนใหญ่ในสหรัฐที่ประกาศผลการดำเนินงานแล้วยังออกมาสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ อย่างไรก็ตามปริมาณการซื้อขายอยู่ในระดับต่ำสุดของปีนี้

ขณะที่ตลาดหุ้นยุโรปยังปิดบวกได้ จากหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ที่ปรับขึ้นตามราคาโลหะ แม้ว่าจะได้รับแรงกดดันจากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ(PMI) ของเยอรมนีที่ดิ่งลงก็ตาม

ส่วนตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้หลายแห่งเปิดตัวด้วยการรีบาวด์กลับขึ้นด้านบวกเช่นกัน โดยอยู่ในระดับ +0.5 ถึง +1%

ดัชนี VIX Index เริ่มปรับตัวลดลงกว่า 4.4% มาเคลื่อนไหวต่ำกว่า 18 อีกครั้ง หลังตลาดหุ้นขยับขึ้นต่อเนื่อง

ราคาน้ำมันดิบในตลาด NYMEX ปิดที่ 87.87 ดอลลาร์/บาร์เรล ดิ่งลงอีก 1.24 ดอลลาร์ โดยได้รับแรงกดดันจากคาดการณ์สต็อกน้ำมันดิบที่ระดับสูง แม้ว่าซาอุดิอาระเบียจะคาดว่าอุปสงค์น้ำมันในประเทศตลาดเกิดใหม่จะพุ่งขึ้นก็ตาม

ราคาทองคำล่วงหน้าในตลาด COMEX ปิดที่ 1344.50ดอลลาร์/ออนซ์ บวกกลับขึ้นมา 3.50 ดอลลาร์ จากค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลง และความกังวลต่อวิกฤติหนี้ในยุโรปช่วยหนุน

ข่าวต่างประเทศ
ยุโรป: ยูโรพุ่งหลังธนาคารกลางยุโรปส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ย ค่าเงินยูโรพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 2 เดือนเมื่อเทียบกับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (24 ม.ค.) เพราะได้แรงหนุนจากกระแสคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) อาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หลังจากนายฌอง-คล้อด ทริเชต์ ประธานอีซีบีได้ออกมาแสดงความวิตกกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อที่เป็นผลมาจากการพุ่งขึ้นของราคาพลังงาน ค่าเงินยูโรพุ่งขึ้น 0.20% แตะที่ 1.3642 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับของวันศุกร์ที่ 1.3615 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ค่าเงินปอนด์อ่อนตัวลง0.04% แตะที่ 1.5995 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.6001 ดอลลาร์สหรัฐ (ที่มา: อินโฟเควสท์ 25-01-2011)

สหรัฐอเมริกา: น้ำมันดิบปิดร่วง $1.24 หลังซาอุดิอาระเบียส่งสัญญาณเพิ่มการผลิต สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (24ม.ค.) หลังจากรัฐมนตรีพลังงานของซาอุดิอาระเบียออกมาส่งสัญญาณว่า ซาอุดิอาระเบียซึ่งเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่สุดของโลก อาจจะเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมันเพื่อชะลอการพุ่งขึ้นของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันจากการคาดการณ์ที่ว่า สต็อกน้ำมันดิบรายสัปดาห์ของสหรัฐจะพุ่งขึ้นอีก สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนมี.ค.ร่วงลง 1.24 ดอลลาร์ หรือ 1.39% ปิดที่ 87.87ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากร่วงลงไปแตะระดับต่ำสุดในระหว่างวันที่ 87.65 ดอลลาร์ (ที่มา: อินโฟเควสท์ 25-01-2011)

เอเชีย: ธนาคารกลางเกาหลีใต้อาจเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจประเทศในปีนี้ ธนาคารกลางเกาหลีใต้ (BOK) ระบุว่า ธนาคารอาจปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศสำหรับปี 2554 ซึ่งสะท้อนถึงบรรยากาศการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐที่แข็งแกร่งขึ้นเจ้าหน้าที่คนหนึ่งของแบงก์ชาติเกาหลีใต้เผยกับสำนักข่าวซินหัวว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ที่แท้จริงของเกาหลีใต้ในปีนี้มีแนวโน้มพุ่งสูงกว่าระดับ 4.5% ที่ธนาคารกลางคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ เจ้าหน้าที่กล่าวว่า แบงก์ชาติเกาหลีใต้จะต้องปรับเพิ่มคาดการณ์เศรษฐกิจของประเทศให้เป็นไปในทิศทางเดียวกับของสหรัฐ โดยเศรษฐกิจสหรัฐได้รับการคาดการณ์ในวงกว้างว่าจะขยายตัวได้ 3.0% ในปีนี้ ซึ่งเพิ่มขึ้น 0.6% จากที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ (ที่มา: อินโฟเควสท์ 24-01-2011)

เอเชีย: สิงคโปร์เผยดัชนีราคาผู้บริโภคปี 53 ขยายตัว 2.8% หลังค่าขนส่ง-ที่อยู่อาศัยสูงขึ้น สำนักงานสถิติแห่งชาติของสิงคโปร์เปิดเผยว่าดัชนีราคาผู้บริโภคของสิงคโปร์ในปี 2553 ขยายตัวขึ้น 2.8% เนื่องจากต้นทุนด้านการขนส่ง ที่อยู่อาศัย และอาหารที่ปรับตัวสูงขึ้น แรงกดดันที่เกิดจากเงินเฟ้อในสิงคโปร์เพิ่มมากขึ้น หลังจากที่ดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนธ.ค.ขยายตัว 0.2% จากระดับเดือนพ.ย. ซึ่งส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากต้นทุนด้านการขนส่ง อาหาร และสันทนาการที่สูงขึ้น รวมทั้งการเฉลิมฉลองในช่วงสิ้นปี และหากเมื่อเทียบเป็นรายปีแล้ว อัตราเงินเฟ้อเดือนธ.ค.อยู่ที่ 4.6% โดยสถิติขยายตัวขึ้นตลอดทั้งปีที่ 2.8% นั้น สูงกว่าสถิติการขยายตัวของเมื่อปี 2552 อยู่ 0.6% (ที่มา: อินโฟเควสท์ 24-01-2011)

-----------------------------------------------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น