Code 340 : ไม่หลุด 1000 ยืนเหนือ 1006 ไปที่ 1015 ได้

วันศุกร์ที่ 21 มกราคม 2554

ATT Code : ไม่หลุด 1000 ยืนเหนือ 1006 ไปที่ 1015 ได้
ทั้งวันนี้ SET ไหลลงมาอย่างต่อเนื่อง โดยเกือหลุด 1000 จุด มา Low ที่ 1000.96 จุด จากนั้นก็ Rebound ขึ้นมาผ่านแนวรัยที่ 1006 อีกครั้ง มาปิดที่ 1006.57 จุด ทำให้ตลาดมีโอกาสที่จะ Rebound ขึ้นมาที่เป้หมาย 1015 จุด ได้

-----------------------------------------------------------------------------
MARKET WAVE Analysis
21 มค. 54 โกมล พงศ์วิญญู เลขทะเบียน 18338

Intraday - ต่ำกว่า 1000 ไม่ดี
ถ้าต่ำกว่า 1000 จุด ... ปรับตัวลง 900 - 940 ภาพไตรมาส 1

Intraday - เกิน 1006.58 rebound
เกิน 1006.58 ดีดตัวขึ้น แต่ไม่น่าเกิน 1014 - 24 เส้น 25 ชม. สัปดาห์หน้า ขณะที่แนวโน้มหลักยังเป็น "ขาลง" แถว 900 - 940 ไตรมาสหนึ่ง
-----------------------------------------------------------------------------
Short News
- ตลาดหุ้นอินโดลงหนัก จนเป็น sell signal แล้ว ความกลัวเรื่อง 'เงินเฟ้อ' เป็นประเด็นกดดันตลาดหนักสุดตอนนี้ ล่าสุดเงินเฟ้ออยู่ที่ 6.96% แต่ธ.กลางกลับยังไม่ขึ้นดอกเบี้ยเมื่อการประชุมล่าสุด 5 ม.ค. (เป็นการคงดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 17)

Citi: Rising Inflation Bites SET. OW Energy, Bank. UW Telco. Top Picks: BBL, KBANK, PTTCH, PTTEP, DTAC and LPN

THAI: CS maintain outperform with TP=55

TCAP (BUY) - กำไรตามคาด ราคาลงมามากถึงระดับที่น่าสนใจ
* กำไรปี 2010 ออกมาตามคาด และคาดว่าน่าจะเห็นโมเมนตัมที่ดีของกำไรใน 1H11 เพราะยังได้รับผลดีจากการควบรวมกิจการกับ SCIB แต่หลังจากนั้นใน 2H10 กำไรจะเริ่มมีแนวโน้มลดลงเพราะจะเข้าสู่การควบรวมกิจการที่จะมีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นมากกว่าปกติ และถึงจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งอีกครั้งในปี 2012 ราคาหุ้นล่าสุดซื้อขายไม่แพงที่ระดับ PER แค่ 8 เท่า ขณะที่คาดการณ์เงินปันผล 2H10 อีก 1 บาทต่อหุ้น จึงคงคำแนะนำ ซื้อ (แต่ควร switch ออกก่อน 2H11 เพื่อหลีกเลี่ยงแรงกดดันของกำไรในช่วงดังกล่าว TCAP ถึงน่าจะกลับมีความน่าสนใจอีกครั้งในปี 2012)
* TCAP รายงานกำไรสุทธิ 4Q10 อยู่ที่ 1,389 ลบ. ลดลง 10%Q-Q แต่เพิ่มขึ้น 18%Y-Y ใกล้เคียงกับที่คาดไว้ กำไรปี 2010 อยู่ที่ 5.6 พันลบ. เพิ่มขึ้น 10%Y-Y แต่หากไม่รวมกำไรพิเศษจากการขายหุ้น TBANK ให้กับ BNS ในปี 2009 กำไรสุทธิปี 2010 เติบโตอย่างมีนัยฯ 76%Y-Y

BAY - กำไรมากกว่าคาดจากพอร์ตเงินลงทุน นอกนั้นตามคาด
· รายงานกำไรสุทธิ 4Q10 ที่ 2,261 ลบ. -3%Q-Q (จากค่าใช้จ่ายที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น 20%Q-Q) แต่ +42%Y-Y (จากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น 20%Y-Y, รายได้ค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้น 11%Y-Y) ทำได้ดีกว่าที่คาดไว้ เนื่องจากมีกำไรจากเงินลงทุนเข้ามากเกินคาดราว 670 ลบ. และสินเชื่อที่เพิ่มขึ้น 6% ใน 4Q10 ในไตรมาสเดียว ส่งผลดีต่อรายได้ดอกเบี้ยสินเชื่อและสินเชื่อเช่าซื้อออกมาดีกว่าที่คาดไว้
· เย็นนี้จะมีประชุมนักวิเคราะห์ คาดว่าส่วนใหญ่น่าจะปรับประมาณการกำไรปี 2011 และปรับเพิ่มราคาเหมาะสมขึ้นอีก (ของเราราคาเหมาะสมอยู่ที่ 30 บาท แต่มีแนวโน้มปรับขึ้น) เนื่องจาก outlook ที่ดีขึ้นจากการตั้งสำรองหนี้สูญที่เริ่มลดลง และค่าใช้จ่ายพิเศษที่ลดลงเช่นกัน

-----------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย
FSS:ตลาดอ่อนตัวลงแรงและยังมีปัจจัยเสี่ยงกดดัน ดังนั้นต้องรอรับตอนต่ำ...
แนวโน้ม: ความกังวลว่าจีนจะมีมาตรการคุมเข้มออกมาเพิ่มเติม โดยเฉพาะเรื่องการขึ้นอัตราดอกเบี้ย หลังอัตราเงินเฟ้อของจีนชะลอตัวลงน้อยกว่าที่ตลาดคาดแม้จะมีมาตรการกันสำรองแบงก์ออกมาเป็นระยะๆ ส่งผลกดดันให้ตลาดหุ้นทั้งภูมิภาคเอเชียยังคงมีแรงขายออกมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ SET ปรับตัวลดลงกว่า1% ตั้งแต่วานนี้ และมีแนวโน้มที่จะยังไหลลงต่ออีกในวันนี้ด้วย ขณะที่ทั้งนัก
ลงทุนต่างประเทศและสถาบันในประเทศก็เริ่มกลับมามียอดขายสุทธิอีกครั้งดังนั้นแม้ว่าจังหวะอ่อนตัวลงของตลาดจะเป็นโอกาสของการเลือกหุ้นเข้ารับได้...แต่ FSS แนะนำให้เป็นลักษณะทยอยตั้งรับเมื่อตลาดปรับตัวลง ไม่ต้องรีบร้อนซื้อเร็วเกินไป เพราะตลาดยังมีปัจจัยเสี่ยงค่อนข้างมากอยู่
กลยุทธ์: เน้นเป็นลักษณะทยอยค่อยๆ เข้าซื้อ โดยเลือกหุ้น Defensive(BGH,BH, BEC, MCOT) , กลุ่ม Soft commodity และหุ้นที่คาดว่าปันผลสูง เช่นPHATRA, BLS, SIRI, TMT, MCS, LPN, SVI, TPAC, MODERN เป็นต้น

ประเด็นสำคัญวันนี้
• (-) ดอลลาร์กลับมาแข็งค่า นอกจากตลาดจะวิตกกับการขึ้นดอกเบี้ยของจีนแล้วรายงานการจ้างงานและตลาดบ้านของสหรัฐฯ ที่ออกมาเมื่อคืนดีเกินคาด ส่งผลให้ดอลลาร์กลับมาแข็งค่าอีกครั้ง ราคาหุ้นกลุ่ม Hard Commodity จะถูกกระทบในระยะสั้น ซึ่งเรายังมองเป็นโอกาสในการสะสม PTTCH,PTL,PTT, PTTEP, BANPU

• (+) BBL ปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 195 บาท กำไรสุทธิเป็นไปตามคาด แต่สินเชื่อเพิ่มมากเกินคาดซึ่งจะดีต่อรายได้ดอกเบี้ยต่อเนื่องถึงใน 1Q10 เราคาดว่าBBL จะจ่ายเงินปันผลจากกำไร 2H10 อีกหุ้นละ 3.50 บาท (Yield ~ 2%) เราปรับราคาเหมาะสมขึ้นเป็น 195 บาท (เดิม 185 บาท) เนื่องจากมูลค่าทางบัญชีที่เพิ่มขึ้นจากส่วนเกินมูลค่าเงินลงทุน

• (+) KTB ปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 20.40 บาท กำไรปี 2010 เป็นไปตามคาด แต่สินเชื่อเติบโตสูงเกินคาดมาก +16.4%YTD ส่งผลให้ประมาณกำไรปี2011 ของเราปรับขึ้น 3.5% ROE ปรับขึ้นมาเกือบ 14% จากเดิม 13% เป็นรองแค่ SCB, KBANK และดีกว่า BBL เราปรับราคาเป้าหมายขึ้นจากเดิม 19.50 บาทเป็น 20.40 บาท คาดปันผล 0.50 บาท/หุ้น (yield 2.8%) แนะนำซื้อ

• (+) SVI ปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 5.20 บาท (fully dilute รวม ESOP ที่จะใช้สิทธิปีนี้ปีสุดท้าย) จากเดิม 4.20 บาท จาก Order ในมือที่เพิ่มขึ้นจากเดิมUS$100 ล้านเหรียญ เป็น 250 US$ล้านเหรียญ บริษัทปรับเป้าหมายยอดขายปี2011 เพิ่มขึ้นจากเดิม 10% - 15% และมีแผนขยายกำลังการผลิตต่อเนื่องไปอีก2 – 3 ปีต่อจากนี้ เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต จากการขยายตลาดและฐาน
ลูกค้า เราปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 2011 เป็นเติบโต 20% Y-Y และคาดว่าจะจ่ายเงินปันผลในงวด 2H10 อีก 0.10 บาท/หุ้น (yield 2.3%) ยังคงแนะนำซื้อ
• (-) STA จะกำหนดราคา IPO วันที่ 24 ม.ค. นี้ โดยราคาขายสูงสุดจะไม่เกิน 1.60ดอลลาร์สิงคโปร์ หรือประมาณ 38 บาทซึ่งคิดเป็น PE 11 เท่า ต่ำกว่า Tradingcompany ส่วนใหญ่ในสิงคโปรที่ซื้อขายที่ 14 – 15 เท่า อย่างไรก็ตาม เราให้Target PE 12 เท่าบนสมมติฐานราคายางเฉลี่ย 130 บาท/กก. ทำให้ได้ราคาเป้าหมาย 42 บาท (Fully diluted) ระยะสั้นราคาหุ้นยังไม่น่าปรับตัวเกิน 38 บาทจนกว่าการ IPO ที่สิงคโปร์จะผ่านพ้นไปก่อน
• Fund Flow วานนี้ยังไหลออกจากตลาด TIP ต่อเนื่อง ตลาดดหุ้นไทยถูกเทขายมากสุด ขณะที่ประเทศอื่นซื้อขายเบาบาง ความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อและแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของจีนมีผลกระทบต่อตลาดหุ้นในภูมิภาคเป็นอย่างมากหลังจีนประกาศตัวเลขจีดีพีไตรมาส 4/10 ออกมาดีกว่าคาด และระดับอัตราเงินเฟ้อเดือนธันวาคมยังอยู่ในระดับสูง 4.6% สภาพคล่องของธนาคารจีนตึงตัวหลังเริ่มใช้เกณฑ์สัดส่วนการกันสำรองเงินฝากธนคารพาณิชย์ใหม่วานนี้ ในขณะที่ฝั่งสหรัฐอเมริกาตัวเลขผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนออกมาดีและตัวเลขผู้ของรับสวัสดิการจ้างงานลดลง ยอดขายบ้านใหม่ดีขึ้น ซึ่งจากปัจจัยสวนทางกันข้างต้นดังกล่าวทำให้เกิดการปรับพอร์ตของนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะแรงขายทำกำไรในตลาด TIP ที่อาจจะยังมีต่อเนื่อง เพราะหากพิจารณาจากค่าเงินเอเชียเช้านี้ยังอ่อนค่าต่อเนื่อง ดังนั้นแนวโน้มกระแสเงินทุนต่างชาติยังมีโอกาสไหลออกต่อเนื่องช่วงนี้อาจต้องถือเงินสดมากหน่อยเพื่อลดความเสี่ยง

ข่าวภายในประเทศ
BBL ฟาดกำไรอ้วนปี 53 รับ 2.45 หมื่นล. มากสุดกลุ่มแบงก์- ‘กรุงไทย’เพิ่ม 25% แบงก์กรุงเทพ (BBL) ปี'53 กำไรสุทธิ 2.4 หมื่นล้านบาทเพิ่มขึ้น 19.9% สินเชื่อเติบโต 9.9% ขึ้นแชมป์กำไรกลุ่มธนาคาร ด้าน KTB ฟันจนปลิ้นตามนัด 1.5 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 24.76% ส่วนกลุ่มธนชาตหรือ TCAP ไม่น้อยหน้า กวาดกำไรไป 5.6 พันล้านบาท ปลื้มโตก้าวกระโดดขึ้นทุกด้าน ซีไอเอ็มบีไทย(CIMBT) ทำได้ 828 ล้านบาท ส่วนไอซีบีซีไทย
หรือ ICBCT รับ 563 ล้านบาท (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 21-01-2011)

PTTAR ขานรับข่าวดีน้ำมันพุ่ง 100 เหรียญ PTTAR มั่นใจราคาน้ำมันดิบมีโอกาสแตะ 100 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล หลังโรงกลั่นต่างประเทศหลายแห่งชัทดาวน์ แถมมีแรงเก็งกำไรจากกองทุน “บวร” เผยเตรียมขยับปริมาณการขายแอลพีจีเข้าระบบเพิ่มอีก 3,000-8,000 ตันต่อเดือน จากเดิมอยู่ที่5,000 ตันต่อเดือน (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 21-01-2011)

CK-STEC-ITDยิ้ม “อัยการ” ไฟเขียวรถไฟสายสีน้ำเงิน อัยการสูงสุดไฟเขียวผลประมูลรถไฟฟ้าสีน้ำเงิน รองปลัดคมนาคม เผยล่าสุดรอผลตรวจกรมบัญชีกลางอีก 1 หน่วยงาน ยอมรับเป็นห่วงค่าก่อสร้างบวม เพราะราคาน้ำมันขึ้นต่อเนื่อง สั่ง รฟม. ทำแผนบริหารความเสี่ยง เพื่อประเมินผลกระทบกรณีโครงการล่าช้า แย้มผู้รับเหมาโทรสอบถามความคืบหน้าตลอด แต่ไม่มีเสียงร้องเรียน (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 21-01-2011)

SVI สะกดข่าวร้ายไม่เป็น โชว์กำไรงาม-ปันผล 50% SVI ข่าวร้ายสะกดไม่เป็น กองทุนทั้งในนอกรุมซื้อไม่เว้นวัน “พงษ์ศักดิ์” ลั่นเปิดโรงงาน 3หนุนยอดขายกระฉูด ชี้ปี'53 ยอดทะลัก8,000 ล้านบาท ใจใหญ่ปันผลสูง 50% ของกำไรเป็นครั้งแรก ส่วนปี'54 โตต่อไม่หยุดยอดขายแตะระดับ10,000 ล้านบาท ลุยเทงบอีก 250 ล้านบาทซื้อโรงงานแห่งที่ 5 (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 21-01-2011)

BIGC ปีนี้มาร์เก็ตแชร์พุ่ง31.9% กำไรโต10.1% ลุ้นปันผล 2.16 บ. BIGC ขึ้นแท่นผู้นำธุรกิจ มาร์เก็ตแชร์ 31.9% จาก 22.2% หลังแผนควบรวมคาร์ฟูร์เสร็จสิ้นเดือนม.ค.นี้ จะมีสาขา 113 สาขา จากปีก่อนที่ 71 สาขา เชื่อไฮซีซั่นและกำลังซื้อที่ดีต่อเนื่อง คาดปี 2553 มีกำไร3,158 ล้านบาทเติบโต 10.1% ลุ้นจ่ายปันผล 2.16 บาท ส่วนปี 2554 คาดกำไรพุ่ง 17.4% โบรกฯเชียร์ “ซื้อลงทุน” ราคาเป้าหมาย 106.40 บาท (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น21-01-2011)
-----------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ตปท.
ดัชนีดาวโจนส์ยังแกว่งตัวลงต่อเนื่องกว่า 80 จุดในระหว่างชั่วโมงการซื้อขาย แต่ยังสามารถขยับกลับมาปิดวันเหลือลบเพียง 2.49 จุด โดยได้รับแรงกดดันจากผลประกอบการของบริษัทเอกชนที่ยังออกมาน่าผิดหวัง อย่างไรก็ตามพอจะมีแรงหนุนกลับได้ หลังตัวเลขยอดขายบ้านมือสองเดือน ธ.ค. พุ่งขึ้นเกินคาด และตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ลดลงมากที่สุดในรอบเกือบ 1 ปี

ตลาดหุ้นยุโรปปิดปรับตัวลง จากความกังวลต่อตัวเลขเงินเฟ้อของจีนที่อาจกดดันให้ทางการจีนออกมาตรการคุมเข้มเศรษฐกิจเพิ่มเติม โดยเฉพาะการขยับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งเช้านี้ปัจจัยดังกล่าวยังคงกดดันตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียต่อเนื่องจากวานนี้ด้วย ส่งผลให้ตลาดเอเชียเช้านี้ยังคงเปิดเป็นลบ 0.5-1%

ราคาน้ำมันดิบในตลาด NYMEX ปิดที่ 88.86 ดอลลาร์/บาร์เรล ลดลงอีก 2.00 ดอลลาร์ หลังรายงานสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐออกมาเพิ่มขึ้นสูงเกินคาด

ราคาทองคำล่วงหน้าในตลาด COMEX ปิดที่ 1346.50ดอลลาร์/ออนซ์ ปรับตัวลดลง 23.70 ดอลลาร์ หลังนักลงทุนกังวลว่าจีนอาจจะคุมเข้มนโยบายการเงินมากยิ่งขึ้นหลังอัตราเงินเฟ้อชะลอตัวลงน้อยกว่าที่คาด

ข่าวต่างประเทศ
สหรัฐอเมริกา: สหรัฐเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานสัปดาห์ที่แล้วร่วงลง 37,000 ราย กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการระหว่างว่างงานครั้งแรกในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุด ณ วันที่ 15 ม.ค. ร่วงลง 37,000 ราย แตะระดับ 404,000 ราย จากสัปดาห์ก่อนหน้านี้ที่ระดับ441,000 ราย ซึ่งลดลงมากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 420,000 ราย และเป็นสถิติที่ลดลงหนักสุดนับตั้งแต่รอบสัปดาห์ที่สิ้นสุด ณวันที่ 6 เดือนก.พ. (ที่มา: อินโฟเควสท์ 21-01-2011)

สหรัฐอเมริกา: สหรัฐเผยยอดขายบ้านมือสองเดือนธ.ค.พุ่งขึ้น 12.3% สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติ (NAR) เปิดเผยว่า ยอดขายบ้านมือสองเดือนธ.ค.ปี 2553 พุ่งขึ้น 12.3% แตะที่ 5.28 หลังต่อปี ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 5 อย่างไรก็ตาม NAR ระบุว่า ยอดขายบ้านมือสองเดือนธ.ค.ปี 2553 ยังอยู่ในระดับต่ำกว่ายอดขายบ้านมือสองของเดือนธ.ค.ปี 2552 ที่ระดับ 5.44 ล้านหลังต่อปี นอกจากนี้ ราคากลางของบ้านมือสองเดือนธ.ค.ลดลงสู่ระดับ 168,800 ดอลลาร์ ซึ่งต่ำกว่าระดับของเดือนธ.ค.ปี 2552 อยู่ประมาณ 1.0% (ที่มา: อินโฟเควสท์ 21-01-2011)

สหรัฐอเมริกา: สหรัฐเผยสต็อกน้ำมันดิบสัปดาห์ที่แล้วพุ่งขึ้นเกินคาด 2.6 ล้านบาร์เรล สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของสหรัฐเปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุด ณ วันที่ 14 ม.ค. พุ่งขึ้น 2.6 ล้านบาร์เรล แตะระดับ 335.7 ล้านบาร์เรล สวนทางกับที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะลดลง 300,000 บาร์เรล ขณะที่สต็อกน้ำมันกลั่นเพิ่มขึ้น 1.0 ล้านบาร์เรล แตะที่ 165.8 ล้านบาร์เรล ซึ่งสอดคล้องกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ และสต็อกน้ำมันเบนซินพุ่งขึ้น 4.4 ล้านบาร์เรล แตะที่ 227.7 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่คาดว่าจะขยับขึ้นเพียง 2.5 ล้านบาร์เรล ส่วนอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันลดลง 3.4% แตะ 83.0% มากกว่าที่คาดว่าจะลดลงเพียง 0.2% (ที่มา: อินโฟเควสท์ 21-01-2011)

จีน: จีนเผยผลผลิตเหล็กดิบปี 53 พุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ สำนักงานสถิติแห่งชาติของจีน (NBS) เปิดเผยว่า ผลผลิตเหล็กดิบของจีนในปี 2553 พุ่งขึ้น 9.3% จากปี 2552 แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 626.65 ล้านตัน ส่วนในเดือนธ.ค.นั้น จีนสามารถผลิตเหล็กดิบได้ 51.52ล้านตัน เพิ่มขึ้น 6.3% เมื่อเทียบเป็นรายปี และเพิ่มขึ้น 2.7% เมื่อเทียบกับเดือนพ.ย. ขณะที่ยอดการผลิตเหล็กดิบต่อวันปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ1.66 ล้านตันในเดือนธ.ค. เมื่อเทียบกับเดือนพ.ย.ที่ระดับ 1.67 ล้านตัน (ที่มา: อินโฟเควสท์ 20-01-2011)

จีน: สนง.สถิติแห่งชาติจีนเผย GDP ปี53 ขยายตัว 10.3%, GDP Q4/53 ขยายตัว 9.8% สำนักงานสถิติแห่งชาติของจีน (NBS) เปิดเผยว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของจีน ขยายตัว 10.3% ในปี 2553 ส่วนจีดีพีไตรมาส 4 ปี 2553 ขยายตัว 9.8% จากระดับ 9.6% ในไตรมาส 3 หลังจากชะลอตัวลงจากระดับ 11.9% ในไตรมาสแรก และ 10.3% ในไตรมาส 2 (ที่มา: อินโฟเควสท์ 20-01-2011)

จีน: จีนเผยมูลค่ายอดขายรถเดือนธ.ค.พุ่ง 37.2% ส่วนยอดผลิตทะยาน 23.9% สำนักงานสถิติแห่งชาติของจีนเปิดเผยว่า มูลค่ายอดขายยานยนต์ในประเทศขยายตัว 37.2% เมื่อเทียบเป็นรายปี มูลค่า 2.009 แสนล้านหยวนในเดือนธันวาคม 2553 ส่วนยอดผลิตรถในเดือนธันวาคมเพิ่มขึ้น23.9% เมื่อเทียบรายปี แตะที่ 1.954 ล้านคัน (ที่มา: อินโฟเควสท์ 20-01-2011)

เอเชีย: ยอดผลผลิตเหล็กดิบญี่ปุ่นปี 53 เพิ่มขึ้น 25.2% แตะ 109.60 ล้านตัน ยอดผลผลิตเหล็กดิบของญี่ปุ่นในปี 2553 เพิ่มขึ้น 25.2% จากระดับปี 2552 แตะ 109.60 ล้านตัน นับเป็นสถิติที่สูงขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี ขณะที่ผลผลิตเหล็กดิบเมื่อปี 2551 ลดลงมาอยู่ที่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2512 (ที่มา: อินโฟเควสท์ 20-01-2011)

-----------------------------------------------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น