Code 345 : ยืนเหนือเส้น 5 วัน @ 985

วันพฤหัสที่ 27 มกราคม 2554

ATT Code : ยืนเหนือเส้น 5 วัน @ 985
วันนี้ SET เหมือนกันว่ารายใหย่ซื้อขายกันแรง โยนกันไปโยนกันมาระหว่างหุ้นตัวใหญ่ สุดท้ายแรงซื้อก้เป็นฝ่ายชนะ ทำให้ SET มาปิดที่ 986.71 บวกไป 8.64 จุด สามารถยืนเหนือเส้น 5 วัน ที่ 985 ได้ ดังนั้น พรุ่งนี้ก็มีโอกาสที่จะผ่านแนวต้านที่ 990 ไปสู่แนวต้านที่ 996 แต่ในระวังแรงขายตรงบริเวณนั้นด้วย

-----------------------------------------------------------------------------
MARKET WAVE Analysis
27 มค. 54 ( +18.90 จุด ) โกมล พงศ์วิญญู เลขทะเบียน 18338


ต่ำกว่า 969.19 ปรับตัวลง 952 – 955 จุด
แนวโน้มในวันพฤหัสนี้ ถ้าต่ำกว่า 969.19 จุดต่ำสุดเวลา 12.00 น. ของวันพุธ ดัชนีมีความเสี่ยงที่จะปรับตัวกลับลงมาแถว 952 –955 ใกล้จุดต่ำสุดของสัปดาห์นี้อีกครั้ง


และพอมีความเป็นปได้ว่า ตลาดน่าจะแกว่งตัวอีกนานหลายวันถึงเป็นสัปดาห์ ในกรอบ 950 - 980 จุด หรือระหว่างจุดต่ำสุดของวันอังคารถึงจุดสุงสุดของวันพุธ

อย่างไรก็ตามถ้าปรับตัวขึ้น เกิน 980 จุด จะทำให้เกิด “สัญญาณซื้อ” ในเครื่องมือ Point& Figure ดัชนีสามารถปรับตัวขึ้นต่อได้แถว 995 – 1005 ใกล้จุดสูงสุดเดิมของสัปดาห์นี้

หุ้นเด่น
AP
ปรับตัวขึ้นมาอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ย 25 ชั่วโมงได้อีกครั้ง รอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 6.10จุดสูงสุดวันพุธ เป้าหมายสองสามวัน6.35 – 6.45( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 5.95 )6.35 – 6.45

LH
ปรับตัวขึ้นมาอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ย 25 ชั่วโมงได้อีกครั้ง รอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 5.75จุดสูงสุดวันพุธ เป้าหมายสองสามวัน6.05 – 6.15( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 5.55 )

10 อันดับซื้อขายสูงสุด
PTT ไม่น่าเกิน 340 - 342
BANPU แกว่งตัว 740 – 758
SCC แกว่งตัว 308 – 319
IVL ต่ำกว่า 37.75 ลง 36 - 37
PTTCH แกว่งตัว 137 - 140
SCB ไม่ต่ำกว่า 97 ขึ้น 101 – 102
TRUE เกิน 6.90 ขึ้น 7 – 7.10
TOP แกว่งตัว 68.75 - 70
PTTAR แกว่งตัว 36 – 37
STA แกว่งตัว 31 – 35

--------------------------------------------------------------
เงาหุ้น - เด้งดึ๋ง!!

ดัชนีหุ้นวันที่ 26 ม.ค.54 ปิดที่ 978.07 จุด เพิ่มขึ้น 18.90 จุด มีมูลค่าการซื้อขายอยู่ที่ 34,594.11 ล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิ 396.47 ล้านบาท

หุ้นไทยดีดกลับปรับตัวขึ้นแรงได้ตลอดทั้งวัน หลังต่างชาติกลับมาเป็นฝ่ายซื้อสุทธิ ทำให้นักลงทุนคลายความกังวลในประเด็นแรงขายจากต่างชาติ

ฝ่ายวิจัย บล.กิมเอ็ง มองตลาดยังเป็นขาขึ้นอยู่ เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานของยังแข็งแกร่ง จากการที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลง ทำให้ราคาหุ้นไทยถูกลง โดยมี P/E ที่ 11 เท่า ขณะที่อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลอยู่ในระดับที่สูงที่ 4% จึงเชื่อว่าเม็ดเงินลงทุนต่างประเทศจะกลับมาลงทุนในตลาดหุ้นไทย

ส่วนปัจจัยการเมืองเรื่องการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดง และกลุ่มพันธมิตรฯ เสื้อเหลือง มองว่ายังไม่น่ากังวล

ด้าน บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุว่า ต้นทุนต่างชาติอยู่ที่ 964 จุด (ก.ย.-ปัจจุบัน) นับจากจุด Peak ปี 53 ดัชนีหุ้นปรับลงมาแล้ว 8.7% ใกล้เคียงตลาดหุ้นอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ ที่ปรับลง 10.7% จาก Peak เช่นกัน ซึ่งหากหุ้นไทยต้องปรับลงเท่ากับตลาด TIPs อื่นๆ ดัชนีจะอยู่ที่ 952 จุด แต่ในความเป็นจริงไม่ควรเป็นเช่นนั้น เพราะตลาดหุ้นไทยปรับขึ้นน้อยกว่าอินโดนีเซีย

และถ้ามาดูต้นทุนเฉลี่ยของต่างชาติตั้งแต่เริ่มกลับมาซื้อหุ้นไทยจริงจังคือหลังจากมาบตาพุดชัดเจน จนถึงปัจจุบัน มีต้นทุนเฉลี่ยอยู่ที่ดัชนี 964 จุด แทบไม่เหลือกำไรแล้ว มีกำไรจากค่าเงินบาทเพียง 4.4% จึงคิดว่า downside ของตลาดเริ่มจำกัดมากแล้ว ปัจจุบันคิดเป็น PE 12 เท่า ถูกกว่าการเติบโตของกำไรในปีนี้ที่ 16% การปรับลงของดัชนีจึงเป็นโอกาสในการเลือกสะสมหุ้น

โดยหุ้นปันผลดี แนะ BLS, TMT, TRT, AP, TICON, AIT, LPN, KK, TPAC, ADVANC

หุ้นที่คาดว่าจะประกาศผลประกอบการดี BANPU, TOP, PTTCH, PTTAR, PTT, IRPC, IVL, PTL, STA, SVI, HMPRO, BIGC, BGH, TVO

หุ้นที่น่าสะสมลงทุน TUF, CPALL, BGH, BANPU, PTTEP, GLOW, SVI

ปิดท้าย โฟกัสหุ้นรายตัว LH หลังแถลงแผนงานปี 54 โบรกเกอร์ส่วนใหญ่แนะนำ "ซื้อ" โดย บล.บัวหลวงให้เป้าหมายเท่ากับเกียรตินาคินที่ 7.20 บาท ตามด้วย กรุงศรีอยุธยาและฟิลลิป ให้ราคาพื้นฐาน 7 บาท, ซิกโก้ 6.90 บาท และกิมเอ็งให้ 6.80 บาท.

"อินเด็กซ์ 51"

--------------------------------------------------------------
E Finanace Thai : SCC ฟันกำไรพุงปลิ้น!!

"ปูนซิเมนต์ไทย"โชว์กำไรปี 53 พุ่งกระฉูด 54% ทะลุ 3.7 หมื่นล้านบาท พร้อมแจกโบนัสปันผลให้ผู้ถือหุ้น 8 บาท ด้าน"กานต์"ตั้งเป้าปีนี้เติบโตต่อเนื่อง คาดดันยอดขายแตะ 3.3 แสนล้านบาท เดินหน้าซื้อกิจการที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจ หวังโตทางลัด เผยโครงการร่วมทุนปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ในเวียดนามชัดเจนกลางปีนี้ พร้อมศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนนิคมอุตสาหกรรมทวายในพม่า ส่วนโบรกฯยังแนะซื้อให้เป้าสูงสุด 436 บาท

วันนี้(26 ม.ค.54)บริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC ประกาศผลการดำเนินงานปี 53 มีกำไรสุทธิสูงถึง 3.7 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 54% ขณะที่งบไตรมาส 4/53 มีกำไรสุทธิ 1.66 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปี 52 ถึง 213% และจากผลการดำเนินงานที่ออกมาดีทำให้บริษัทประกาศจ่ายปันผลอีกหุ้นละ 8 บาท ส่งผลให้ทั้งปี SCC จ่ายปันผลแล้ว 12.50 บาท
ทั้งนี้ ผู้บริหาร SCC ยังคงตั้งเป้าหมายการดำเนินงานในปีนี้เติบโตขึ้นจากปี 53 เนื่องจากมองว่าธุรกิจในเครือของบริษัทยังมีศักยภาพเติบโตในทุกภาคส่วน ทั้งธุรกิจปูนซิเมนต์ ธุรกิจปิโตรเคมี และธุรกิจกระดาษ ขณะเดียวกันผู้บริหารวางแผนโตทางลัดด้วยการเข้าซื้อกิจการจำนวนมาก ด้านนักวิเคราะห์ยังคงแนะนำซื้อหุ้น SCC โดยให้ราคาเป้าหมายตั้งแต่ 363-436 บาท

***** SCC กำไรพุ่ง 54% ปันผลเพิ่ม 8 บาท
นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทปูนซิเมนต์ไทย เปิดเผยว่า คณะกรรมการบริษัทฯได้เสนอต่อที่ประชุมใหญ่สามัญกำหนดให้จ่ายเงินปันผลงวดครึ่งปีหลัง 2553 ในอัตราหุ้นละ 8 บาทต่อหุ้น โดยกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิรับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 8 เมษายน 2554 และจะปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหุ้นในวันที่ 11 เมษายน 2554 โดยกำหนดจ่ายเงินปันผลงวดสุดท้ายวันที่ 27 เมษายน 2554

ทั้งนี้ คณะกรรมการบริษัทจะเสนอให้ที่ประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้นวันที่ 30 มีนาคม 2554 พิจารณาอนุมัติจ่ายเงินปันผลอีกครั้ง ส่งผลให้ในปีนี้บริษัทจ่ายปันผลในอัตรา 12.50 บาทต่อหุ้น โดยบริษัทฯได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปแล้วในอัตราหุ้นละ 4.50 บาท เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2553

สำหรับงบการเงินรวมประจำปี 2553 บริษัทปูนซิเมนต์ไทยฯและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ 37,382 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 54% จากปีก่อน ผลการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นเป็นผลมาจากบริษัทมีกำไรจากบริษัทลูกเพิ่มขึ้น และบริษัทมียอดขายสุทธิทั้งสิ้น 301,323 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26% จากปีก่อน

ด้านผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/53 บริษัทฯและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ 16,673 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 213% จากปีก่อน เนื่องจากกำไรจากการขายหุ้น PTTCH และมียอดขายสุทธิ 76,252 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23% จากปีก่อน

***** ปูนใหญ่ตั้งเป้ายอดขายปีนี้โต 10%
นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย เปิดเผยว่า บริษัทฯตั้งเป้ายอดขายรวมในปีนี้เติบโตประมาณ 10% แตะ 3.3 แสนล้านบาท จากปี 53 ที่มียอดขายอยู่ที่ประมาณ 3 แสนล้านบาท ซึ่งถือเป็นฐานที่สูง โดยการเติบโตดังกล่าวประกอบไปด้วยในส่วนของธุรกิจปิโตรเคมี ซึ่งมีสัดส่วนของรายได้หลักอยู่ที่ประมาณ 50% ซึ่งธุรกิจดังกล่าวมีแนวโน้มดีต่อเนื่อง และที่ผ่านมาก็ออกมาดีกว่าคาด

ขณะที่ในปีนี้บริษัทฯจะมีกำลังการผลิตจากโรงงานใหม่ที่จะเข้ามาเพิ่ม โดยปิโตรเคมี ดาวสตรีม ใช้กำลังการผลิตอยู่ในสัดส่วน 80% ซึ่งในช่วงปลายปีที่ผ่านมามีโครงการก่อสร้างแล้วเสร็จ จำนวน 2 โครงการ และส่วนที่เหลืออีกจำนวน 3-4 โครงการสุดท้าย ซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้างจะเสร็จในช่วงปลายไตรมาส 3/54 และจะสามารถเดินเครื่องได้เต็มกำลังการผลิตในไตรมาส 4/54 โดยกำลังการผลิตดังกล่าวจะค่อยๆทยอยปรับสูงขึ้น แต่อาจยังไม่เต็ม 100% ของกำลังการผลิต

นอกจากนี้ประเมินว่ากำลังการผลิตใหม่ของตลาดรวมที่จะเข้ามาในปีนี้ของทั่วโลก จะเพิ่มขึ้น 6 ล้านตัน ลดลงจากปี 53 ที่มีกำลังการผลิตใหม่เข้ามา 12 ล้านตัน ขณะที่ความต้องการใช้ของโลกจะเพิ่มขึ้นประมาณ 5-6 ล้านตันต่อปี จึงประเมินว่าราคาขายผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีและส่วนต่างของราคาขาย (สเปรด) จะสูงขึ้นจากปีก่อน โดยคาดว่าจะเริ่มเห็นการปรับเพิ่มขึ้นของราคาขายและสเปรดตั้งแต่ไตรมาส 3-4 เป็นต้นไป โดยรวมจึงเชื่อว่าธุรกิจปิโตรเคมีจะดีขึ้นจากปีที่แล้ว

ในส่วนของธุรกิจกระดาษ บริษัทฯจะมีกำลังการผลิตใหม่เพิ่มขึ้นจากการซื้อกิจการโรงงานกระดาษในเวียดนาม โดยล่าสุดในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา บริษัทฯได้มีการประกาศซื้อโรงงานกระดาษเพิ่มอีก 1 แห่ง ส่งผลให้มีมาร์เก็ตแชร์ธุรกิจกล่องกระดาษในเวียดนามเพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 10% ส่งผลให้คาดว่ายอดขายกระดาษในปีนี้มีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นแน่นอน สำหรับธุรกิจการขายปูนซิเมนต์ในปี 54 คาดว่าอุตสาหกรรมโดยรวมยังมีการเติบโต

***** "กานต์"คาดปริมาณการใช้ปูนซิเมนต์โต 7-8%
นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทปูนซิเมนต์ไทย เปิดเผยว่า คาดว่าปริมาณการใช้ปูนของประเทศปีนี้มีโอกาสที่จะเติบโตได้ถึง 7-8% เนื่องจากในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าการลงทุนจากต่างประเทศ โดยเฉพาะโครงการลงทุนทางตรง (FDI) รวมถึงโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าจะมีมากขึ้น และคาดว่าโครงการก่อสร้างในภูมิภาคน่าจะมากขึ้นเช่นกันสำหรับราคาขายปูนซีเมนต์อาจมีการปรับราคาขึ้น เนื่องจากได้รับผลกระทบจากต้นทุนการผลิตที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยในส่วนของบริษัทฯอาจมีการพิจารณา ซึ่งขึ้นอยู่กับภาวะตลาดในแต่ละช่วงและฤดูการใช้และต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น

***** เดินหน้าซื้อกิจการ-ตั้งโรงงานแห่งใหม่
นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทปูนซิเมนต์ไทย กล่าวว่า บริษัทฯคาดว่ามีโอกาสที่จะใช้เงินลงทุนในช่วง 5 ปีข้างหน้าสูงกว่าที่ตั้งไว้ที่ 1 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นแผนลงทุนที่วางไว้ในช่วงปลายปี 53 ที่ผ่านมา ทั้งนี้การลงทุนจะใช้ทั้งในโครงการภายในและต่างประเทศ ซึ่งมีทั้งโครงการที่มีข้อตกลงและเซ็นสัญญาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว รวมทั้งโครงการลงทุนต่อเนื่อง และโครงการเข้าซื้อกิจการ (M&A) บางราย ทั้งนี้งบลงทุนดังกล่าวยังไม่ได้รวมงบที่จะใช้ในการทำ M&A ใหม่ๆ

สำหรับแผนการลงทุนในปีนี้บริษัทฯจะให้ความสำคัญกับการเข้าซื้อกิจการ (M&A) เป็นอันดับแรก เนื่องจากมีตลาดและลูกค้ารองรับอยู่แล้ว รวมถึงประหยัดเวลา นอกจากนี้จะมีการลงทุนตั้งโรงงานปูนซิเมนต์ในอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นโครงการในรูปแบบ Green Filed ซึ่งน่าจะได้ข้อสรุปที่ชัดเจนในปีนี้ รวมถึงการ M&A ธุรกิจกระดาษในเวียดนาม และจะมีการพิจารณาซื้อโรงงานกระดาษอีกหลายราย รวมถึงในส่วนของธุรกิจปิโตรเคมีจะเน้นการ M&A ในผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีมูลค่าเพิ่ม (HVA) รวมถึงการ M&A ในธุรกิจวัสดุก่อสร้างด้วย

ส่วนเงินลงทุนภายในของบริษัทฯจะใช้ประมาณ 4-5 พันล้านบาทต่อปี เพื่อปรับปรุงคุณภาพการผลิต และสิ่งแวดล้อม

***** ปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ในเวียดนามได้ข้อสรุปกลางปีนี้
นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทปูนซิเมนต์ไทย เปิดเผยว่า การลงทุนโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ในเวียดนาม เชื่อว่าจะเห็นความชัดเจนในช่วงกลางปีนี้ ซึ่งโดยโครงการดังกล่าวเป็นโครงการที่มีขนาดใหญ่ และยังติดปัญหาในเรื่องแหล่งเงินลงทุน ประกอบกับปีที่ผ่านมาเวียดนามมีภาวะการเงินในประเทศที่มีความผันผวน ส่งผลให้หาแหล่งเงินลงทุนได้ยาก

'โครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ในเวียดนามยัง on going ซึ่งตอนนี้ยังติดปัญหาเรื่องแหล่งเงินลงทุน เพราะเป็นโครงการที่มีขนาดใหญ่ ทำให้หาแหล่งเงินทุนยาก ปีที่ผ่านมาการเงินในเวียดนามก็ผันผวน เชื่อว่าไปจนถึงกลางปีน่าจะมีความชัดเจนมากขึ้น ซึ่งพันธมิตรในเวียดนามมีความเข้าใจ สำหรับสัดส่วนการถือหุ้นในโครงการยังไม่มีการปรับเปลี่ยน' นายกานต์ กล่าว

***** เล็งลงทุนนิคมฯทวายในพม่า
นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทปูนซิเมนต์ไทย เปิดเผยว่า บริษัทฯกำลังพิจารณาและศึกษาโครงการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมทวายในพม่า แต่คาดว่าอาจไม่ใช่การลงทุนในโครงการปูนซิเมนต์ เนื่องจากในนิคมอุตสาหกรรมดังกล่าวมีแหล่งวัตถุดิบจำนวนน้อย ทั้งนี้มองว่าการลงทุนในประเทศพม่าถือว่ามีโอกาสสูงหากการเมืองภายในมีความสงบเรียบร้อย โดยปัจจุบันพม่ายังถูกคว่ำบาตร แต่คาดว่าจะมีพัฒนาการที่ดีขึ้น อีกทั้งปัจจุบันบริษัทฯมีการขายปูนซิเมนต์เข้าไปในพม่าประมาณ 1.7 ล้านตัน

'การลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมทวายกำลังดูๆอยู่ มีโอกาสมากหากการเมืองมีความเรียบร้อย พม่าน่าจะไปได้ดี ตอนนี้เราขายปูนปีที่ผ่านมาไปยังพม่าได้ 1.7 ล้านตัน' นายกานต์ กล่าว

**** ลุยออกหุ้นกู้ 1.5 หมื่นลบ.
บริษัทปูนซิเมนต์ไทย แจ้งว่า คณะกรรมการบริษัทได้มีมติในเรื่องสำคัญต่างๆ ดังนี้ 1. ให้ออกและเสนอขายหุ้นกู้ชุดใหม่ ครั้งที่ 1/2554 (SCC154A) จำนวนไม่เกิน 15,000 ล้านบาท อายุ 4 ปี อัตราดอกเบี้ยตามราคาตลาดในขณะที่ออก โดยเสนอขายให้กับ (1) ผู้ถือหุ้นกู้ครั้งที่ 1/2550 (SCC114A) ที่เป็นผู้ลงทุนประชาชนทั่วไป (2) ผู้ถือหุ้นกู้ SCC ชุดอื่นๆ ที่เป็นผู้ลงทุนประชาชนทั่วไป และ (3) นักลงทุนที่เป็นผู้ลงทุนประชาชนทั่วไปตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด โดยเงินที่ได้รับจากการออกหุ้นกู้จะนำไปไถ่ถอนหุ้นกู้ SCC114A ที่จะครบกำหนดไถ่ถอนในวันที่ 1 เมษายน 2554 โดยมีรายละเอียดตามเอกสารแนบ ทั้งนี้การออกและเสนอขายหุ้นกู้ของ SCC เมื่อรวมหุ้นกู้ชุดใหม่ที่จะออกแล้ว SCC จะมีวงเงินหุ้นกู้ที่ออกรวมทั้งสิ้นไม่เกิน 110,000 ล้านบาท

***** โบรกฯเชียร์ซื้อ SCC ให้เป้าสูงสุด 436 บาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการตรวจสอบคำแนะนำลงทุนของโบรกเกอร์หลายแห่งพบว่า ทุกแห่งยังคงแนะนำซื้อหุ้น SCC เนื่องจากมองว่าธุรกิจยังสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง และเป็นบริษัทที่มีฐานะทางการเงินแข็งแกร่ง โดยบล.ทิสโก้ ให้ราคาเป้าหมาย 436 บาท บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส ให้ราคาเหมาะสม 400 บาท บล.กิมเอ็งให้เป้าหมาย 380 บาท บล.ฟินันเซีย ไซรัส ให้ราคาเป้าหมาย 395 บาท บล.บัวหลวง ให้เป้าหมาย 410 บาท บล.ฟิลลิป ให้ราคาเหมาะสม 363 บาท และบล.เคจีไอ ให้ราคาเหมาะสม 428 บาท

-----------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย
FSS : ตลาดเริ่มรีบาวด์แล้ว คาดว่าจะยังแกว่งบวกต่อเนื่อง ดังนั้นอ่อนตัวรับได้..
แนวโน้ม: ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่ในบ้านเราที่ทยอยประกาศออกมา ไม่ว่าจะเป็น PTTEP , SCC ถือว่าส่งผลบวกต่อความมั่นใจของนักลงทุนอีกครั้ง ขณะที่ราคาตลาดของหุ้นเหล่านี้ได้ปรับตัวลดลงมามากพอควรในช่วงที่ผ่านมา ทำให้เริ่มมีแรงซื้อกลับเข้ามาในตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง รวมถึงนักลงทุนต่างประเทศก็เริ่มมียอดซื้อสุทธิต่อเนื่องแม้ว่าจะยังอยู่ในระดับต่ำก็ตาม ซึ่ง
FSS คาดว่าการคาดการณ์ผลการดำเนินงานที่ดีจาก บจ.อื่นๆ ที่จะทยอยประกาศออกมาเรื่อยๆ ในช่วงนี้ ก็ยังจะเป็นแรงกระตุ้นให้แรงซื้อยังคงมีเข้ามาอยู่เป็นระยะๆ ดังนั้นช่วงนี้เรายังคาดหมายว่า SET มีโอกาสที่จะอยู่ในลักษณะแกว่งตัวขึ้นได้อีกพักหนึ่ง โดยมีเป้าหมายของรอบอยู่ที่บริเวณ 1000 จุดหรือสูงกว่าเล็กน้อยได้ จึงยังแนะนำเทรดดิ้งตามต่อได้

กลยุทธ์: หุ้นที่น่าสนใจเข้ารับได้แก่ BGH, BH, BEC, MCOT, PHATRA, BLS,LPN, SVI, PTTCH, PTTAR, IRPC, IVL, TOP, ESSO, BANPU, LANNA เป็นต้น

ประเด็นสำคัญวันนี้
• (0) ธปท. ส่งสัญญาณปีนี้ดอกเบี้ยสูงสกัดเงินเฟ้อ ผู้ว่า ธปท.แถลงนโยบายปี2011 ย้ำเป็นปีที่ต้องขึ้นดอกเบี้ยเพื่อดูแลเงินเฟ้อและรักษาสเถียรภาพเศรษฐกิจให้เข้มแข็ง โดยจะเป็นการปรับในอัตราที่เหมาะสมตามภาวะเศรษฐกิจและความเสี่ยงทั้งในและนอกประเทศ สัญญาณดังกล่าวเป็นไปในทิศทางเดียวกับประเทศเพื่อนบ้านในเอเชียรวมถึงจีนที่ขึ้นดอกเบี้ยไปแล้วเมื่อปลายปีก่อน ส่วนไทยเพิ่งขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 1 ครั้งเมื่อต้นปีที่ผ่านมา 0.25% FSS คาดทั้งปีขึ้น 1% เป็น 3%ใกล้เคียงกับ Consensus ที่คาดขึ้น 0.75% กลุ่มแบงก์ขนาดใหญ่ได้ประโยชน์อย่างชัดเจนจากดอกเบี้ยขาขึ้น รวมถึงบริษัทที่มีสภาพคล่องมากเช่น BEC,MCOT, MAKRO กลุ่มที่เสียประโยชน์ได้แก่กลุ่มที่อยู่อาศัย

• (+) SCC กำไรใน 4Q10 +154% Q-Q, +213% Y-Y เพราะมีกำไรจากการขายPTTCH 8.8 พันล้านบาท แต่กำไรปกติเพิ่มเพียง +3% Q-Q, +25% Y-Y เพราะมีโรงงานปิโตรเคมีแห่งที่ 2 หยุดซ่อมบำรุง 40 วัน แนวโน้มกำไรปี 2011 ยังโตต่อ31% เนื่องจากธุรกิจปิโตรเคมีที่มีโรงงานแห่งที่ 2 เดินเครื่องเต็มกำลังผลิตเต็มปีและธุรกิจซีเมนต์โตตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 395บาท

• (-) กลุ่มวางระบบ 3G ลุ้นศาลปกครองกลางไต่สวนวันนี้ประมาณ 13.00 น. ว่าจะคุ้มครองชั่วคราวให้ TOT ประมูล 3G หรือไม่หลังกลุ่มอิริคสันยื่นฟ้องไม่ได้รับความเป็นธรรม ระวังแรงขาย AIT, LOXLEY, SAMTEL, SAMART หากตลาดผิดหวังกับคำตัดสินของศาล แต่หาก TOT ได้เดินหน้าต่อ ก็อาจเปิดโอกาสในการเก็งกำไรรอบใหม่ อย่างไรก็ตาม เรามองว่า SAMTEL, LOXLEY ราคาค่อนข้างใกล้เต็มมูลค่าแม้จะได้ทำ 3G ก็ตาม ส่วน SAMART หากได้ทำ 3G มูลค่าจะเพิ่มจาก 8.90 บาทเป็น 10.20 บาท ยังมี upside สำหรับ AIT แม้ไม่ได้งานนี้ก็ยังน่าสนใจเป็นหุ้นพื้นฐานดีปันผลสูง กำไร 4Q10 จะทำจุดสูงสุดใหม่ เป้าหมาย 52 บาท

• Fund Flow วานนี้ยังไหลเข้าตลาดหุ้นภูมิภาคต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 ติดต่อกัน แต่ปริมาณไม่มาก แม้บรรยากาศการลงทุนจะผ่อนคลาย แต่การซื้อกลับของนักลงทุนต่างชาติยังไม่กลับมาอย่างชัดเจน เชื่อว่านักลงทุนส่วนใหญ่ยังรอผลการประชุมของเฟดปลายสัปดาห์นี้ อย่างไรก็ตามตลาดหุ้นสหรัฐตอบสนองต่อนโยบายการลดภาษีนิติบุคคลและเฟดยังเข้าซื้อพันธบัตร ซึ่งเป็นการใช้ทั้งนโยบายการคลังและนโยบายการเงินพร้อมกัน ซึ่งเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่องและในปริมาณที่เพิ่มขึ้นก็จะทำให้เกิดภาวะสภาพคล่องล้นตลาดอีกครั้ง ที่สำคัญจะส่งผลดีต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์และตลาดหุ้นปรับตัวสูงขึ้น ดังนั้นหุ้นในกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์และ
พลังงาน ปิโตรเคมี จะเป็นหุ้นนำตลาดในช่วงนี้ เช้านี้ค่าเงินอินโด ฟิลิปปินส์ แข็งค่าขึ้น ขณะที่ค่าเงินบาททรงตัวอยู่ที่ 30.77 บาท/ดอลลาร์ และมีแนวโน้มแข็งค่าตาม ดังนั้นเราจึงแนะนำ ซื้อเก็งกำไรในหุ้นกลุ่มพลังงาน กลุ่มปตท ปิโตรเคมี และสินค้าโภคภัณฑ์อื่น

ข่าวภายในประเทศ
ITD-CK-STEC-UNIQ คึก! กรมบัญชีไฟเขียวสีน้ำเงิน เซ็นสัญญาก.พ.นี้ ค่าก่อสร้างไม่เปลี่ยนแปลง ยักษ์รับเหมาฯได้เฮ กรมบัญชีกลางไฟเขียวผลประมูลส่วนต่อขยายสีน้ำเงิน ปลัดคมนาคม เผยล่าสุดส่งแฟกซ์ร่างหนังสือผลสอบมาให้ดูแล้ว เหลือส่งเลขาธิการนายกรัฐมนตรีรับทราบอีกรอบเชื่อเดือนก.พ.นี้เซ็นสัญญาก่อสร้างแน่นอน ยันค่าก่อสร้างไม่เปลี่ยน พร้อมเล็งประกาศเชิญชวนประมูลงานเชิงพาณิชย์เรลลิงค์เดือนเดียวกัน (ที่มา:นสพ.ข่าวหุ้น 27-01-2011)

PTTEP ปีนี้กำไร 5 หมื่นล้านปรับเป้าราคาใหม่ 230 บาท PTTEP หุ้นนี้การันตีความคุ้มค่า ยอดขายปิโตรเลียมปี'54 ดีดถึง 273,000 บาร์เรลต่อวันหนุนกำไรปี'54 ทะยานแตะระดับ 50,000 ล้านบาท วางราคาเป้าหมายสูงลิ่ว 230 บาท “อนนต์” ออกตัวโชว์กำไรปี'53 ตามนัด 41,739 ล้านบาท ลุยจ่ายปันผล 2.48 บาท ซื้อใจนักลงทุนเลิกขายทิ้ง (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 27-01-2011)

CPF รุกตปท.หนักตั้งเป้าภายใน 5 ปีสัดส่วนรายได้ 40% CPF ทุ่มทุนกว่า 1,000 ล้านบาท รุกเข้าลงทุนกัมพูชา 500 ล้านบาท พร้อมเพิ่มทุนในมาเลเซีย และรัสเซีย รวมเกือบ 700 ล้านบาท หวังดันสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศในอีก 5 ปี เพิ่มเป็น 40% จากปัจจุบันที่ 27% ด้านโบรกฯเชียร์“ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 33.50 บาท อัพไซด์กว่า 50% ด้านกำไรปี'53 คาดกว่า 13,900 ล้านบาท (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 27-01-2011)

SCC ฟุ้งปีนี้ยอดขายโต 10% ขานรับกำลังผลิตปิโตรพุ่ง "ปูนใหญ่" ตั้งเป้ายอดขายปีนี้ 3.3 แสนล้านบาท เติบโต 10% จากปี'53 ทำได้ 3.01แสนล้านบาท ขานรับกำลังผลิตปิโตรเคมีเพิ่ม ธุรกิจกระดาษ-ซีเมนต์ขยายตัว ลั่นแผน 5 ปี ลงทุนกว่า 1 แสนล้านบาท เล็งออกหุ้นกู้ 1.5 หมื่นล้านบาทชดเชยหุ้นกู้เดิมที่จะครบกำหนด ใจดีปันผลครึ่งหลังหุ้นละ 8 บาท (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 27-01-2011)

GEN มั่นใจปีนี้พลิกโชว์กำไร เป้ารายได้โตไม่ต่ำกว่า15% GEN ฟุ้งปีนี้พลิกขาดทุนเป็นกำไร ตั้งเป้ารายได้ปีนี้โตไม่ต่ำกว่า 15% จากปี 2553 ที่คาดว่าจะทำได้ 900 ล้านบาท หลังตุนงานในมือกว่า 400 ล้านบาท รับรู้ปีนี้กว่า 50% เล็งล้างขาดทุนสะสม 200 ล้านบาทหมดภายในปีนี้ เตรียมลงทุนโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPP) ขนาดไม่เกิน 10 เมกะวัตต์ ส่วนหุ้นเพิ่มทุน 1,878.2 ล้านหุ้น มั่นใจขายหมดเกลี้ยง หวังได้เงินกว่า 675 ล้านบาท ลุยขยายธุรกิจในอนาคต (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 27-01-2011)

-----------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ตปท.
ดัชนีดาวโจนส์ยังแกว่งตัวผันผวนในระหว่างวัน ก่อนที่จะปิดเป็นบวก 8.25 จุด นำโดยการขยับขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและสินค้าโภคภัณฑ์ แม้ว่าผลการประชุมเฟดจะยังมีมุมมองต่อเศรษฐกิจสหรัฐไม่ดีนัก ขณะที่ผลประกอบการของบริษัทเอกชนที่ประกาศช่วงนี้ยังแข็งแกร่ง

ตลาดหุ้นยุโรปกลับมาปิดเป็นบวกได้ดี หลัง ปธน.สหรัฐเสนอให้มีการปรับลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล ในการแถลงนโยบายต่อสภาฯ เมื่อวานนี้ รวมทั้งราคาโลหะที่ยังขยับขึ้นช่วยหนุนราคาหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ให้พุ่งสูงขึ้น

ส่วนตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้แม้ว่าส่วนใหญ่จะเปิดทำการเป็นบวกเล็กน้อย แต่ก็ยังเป็น Sentiment ที่ดี อย่างไรก็ตามตลาดหุ้นจีนเช้านี้ปรับตัวลงกว่า 1% หลังปัญหาสภาพคล่องในตลาดเงินช่วงก่อนตรุษจีนยังเป็นประเด็นกดดันอ

ราคาน้ำมันดิบในตลาด NYMEX ปิดที่ 87.33 ดอลลาร์/บาร์เรล กลับมาดีดตัวขึ้น 1.14 ดอลลาร์ แม้ว่าสต็อกน้ำมันดิบรายสัปดาห์ของสหรัฐจะเพิ่มสูงขึ้น แต่แรงกระตุ้นจากตลาดหุ้น และแนวทางการลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลของโอบามาช่วยหนุน

ราคาทองคำล่วงหน้าในตลาด COMEX ปิดที่ 1330.00ดอลลาร์/ออนซ์ บวกขึ้น 0.70 ดอลลาร์ หลังเฟดไม่ได้ประเมินภาวะเศรษฐกิจสหรัฐดีนัก

ข่าวต่างประเทศ
สหรัฐอเมริกา: FED มีมติคงดอกเบี้ย 0-0.25% ย้ำเดินหน้ามาตรการ QE2 จนถึงกลางปีนี้ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น (fed funds rate) ที่ระดับ 0 - 0.25% ในการประชุมเมื่อวานนี้ (26 ม.ค.) โดยย้ำว่าเฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำต่อไปอีกระยะหนึ่งนอกจากนี้ เฟดยืนยันว่าจะยังคงเดินหน้าโครงการซื้อพันธบัตรรัฐบาล วงเงิน 6 แสนล้านดอลลาร์ ต่อไปจนสิ้นสุดโครงการในเดือนมิ.ย.ปี 2554 เพื่อเป้าหมายที่จะกระตุ้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการจ้างงาน (ที่มา: อินโฟเควสท์ 27-01-2011)

สหรัฐอเมริกา: สหรัฐเผยสต็อกน้ำมันดิบสัปดาห์ที่แล้วพุ่งเกินคาด 4.8 ล้านบาร์เรล สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของสหรัฐเปิดเผยว่าสต็อกน้ำมันดิบในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุด ณ วันที่ 21 ม.ค. พุ่งขึ้น 4.8 ล้านบาร์เรล แตะที่ 340.6 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะขยับขึ้นเพียง 900,000 บาร์เรล ขณะที่สต็อกน้ำมันกลั่นลดลง 100,000 บาร์เรล แตะระดับ 165.7 ล้านบาร์เรล ซึ่งน้อยกว่าที่คาดว่าจะลดลง 200,000บาร์เรล และสต็อกน้ำมันเบนซินพุ่งขึ้น 2.4 ล้านบาร์เรล แตะที่ 230.1 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 2.2 ล้านบาร์เรล ส่วนอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันลดลง 1.2% แตะระดับ 81.8% สวนทางกับที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.1% (ที่มา: อินโฟเควสท์ 27-01-2011)

สหรัฐอเมริกา: สหรัฐเผยยอดขายบ้านใหม่เดือนธ.ค.พุ่งเกินคาด 17.5% กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดขายบ้านใหม่เดือนธ.ค.ปี 2553พุ่งขึ้น 17.5% แตะที่ 329,000 ยูนิตต่อปี มากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะอยู่ 300,000 ยูนิต ซึ่งข้อมูลดังกล่าวบ่งชี้ถึงการฟื้นตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์สหรัฐ รายงานของกระทรวงพาณิชย์ระบุว่า ราคากลางของบ้านใหม่ที่เสนอขายในเดือนธ.ค. ปรับตัวเพิ่มขึ้นแตะระดับ 241,500ดอลลาร์ จากระดับ 215,500 ของเดือนพ.ย. (ที่มา: อินโฟเควสท์ 27-01-2011)

จีน: จีนประกาศขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในหลายเมืองเพื่อรับมือเงินเฟ้อ เมืองต่างๆในประเทศจีนประกาศขึ้นค่าแรงขั้นต่ำให้กับแรงงาน เพื่อรับมือกับแรงกดดันจากภาวะเงินเฟ้อ ขณะเดียวกันก็เป็นการบรรเทาความเดือดร้อนจากราคาสินค้าที่สูงขึ้น สำนักงานสถิติแห่งชาติจีนเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค(CPI) ในเดือนธ.ค. 2553 ขยายตัวขึ้น 4.6% ต่อปี ส่วนดัชนี CPI ในปี 2553 ขยายตัวขึ้น 3.3% เมื่อเทียบกับจากระดับปี 2552 (ที่มา: อินโฟเควสท์26-01-2011)

เอเชีย: อินโดนีเซียขึ้นภาษีส่งออกน้ำมันปาล์มดิบเป็น 25% หวังกระตุ้นอุตสาหกรรมในประเทศ กระทรวงการค้าอินโดนีเซียได้ขึ้นภาษีการส่งออกน้ำมันปาล์มดิบในเดือนก.พ.ขึ้นเป็น 25% จากระดับเดือนม.ค.ที่ 20% ตั้งเป้าส่งเสริมอุตสาหกรรมภายในประเทศ แต่ก็ได้รับการร้องเรียนจากทางกลุ่มผู้ปลูกปาล์ม สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า นายเดดดี ซาเลห์ ผู้อำนวยการฝ่ายการค้าระหว่างประเทศของกระทรวง กล่าวว่า การขึ้นภาษีน้ำมันปาล์มเกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกับที่ราคาน้ำมันปาล์มดิบอ้างอิงสำหรับเดือนก.พ.สูงขึ้นมาอยู่ที่ 1.194 ดอลลาร์ต่อตัน ซึ่งสูงกว่าระดับของเดือนม.ค.ที่1.112 ดอลลาร์ต่อตัน (ที่มา: อินโฟเควสท์ 26-01-2011)

เอเชีย: ญี่ปุ่นเผยยอดส่งออกปี 53 พุ่ง 24.4% ขณะยอดส่งออกเดือนธ.ค.เพิ่มขึ้น 13% กระทรวงการคลังญี่ปุ่นเปิดเผยในวันนี้ว่า ยอดการส่งออกโดยรวมในปี 2553 ของญี่ปุ่นขยายตัว 24.4% จากระดับของปี 2552 ซึ่งเป็นการขยายตัวครั้งแรกในรอบ 3 ปี ส่วนยอดการส่งออกเดือนธ.ค.ปี2553 เพิ่มขึ้น 13.0% เมื่อเทียบเป็นรายปี ทำสถิติเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 13 ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า อุตสาหกรรมส่งออกของญี่ปุ่นฟื้นตัวขึ้นเพราะได้แรงหนุนจากอุปสงค์ที่แข็งแกร่งจากจีนและประเทศอื่นๆในเอเชีย

-----------------------------------------------------------------------------
บทความที่น่าสนนใจครับ

Mudleygroup

ติดตามการรายงานผลของเทรดเดอร์รุ่นหนึ่งและรุ่นสองได้ที่ http://mudleytraders.blogspot.com/ ครับผมhttp://mudleygroup.blogspot.com/2011/01/portfolio-pl-indicator-technical.html

เมื่อพูดถึง Technical Indicator ในการเทรดหุ้นแล้ว หลายคนก็คงจะนึกถึงภาพ indicator มาตรฐานหลายๆอย่าง เช่น RSI, Stochastic, ADX อะไรทำนองนี้เป็นต้น

ซึ่งข้อจำกัดของ Indicator เหล่านี้ก็คือโปรแกรม กราฟ และ ข้อมูลที่เราต้องคอยโหลด หรือ feed เข้าไปที่โปรแกรมกราฟเรานั่นเอง หรือแม้แต่บางที หากโปรแกรมกราฟของเรามีปัญหาขึ้นมา ก็ถึงขั้นอาจทำให้การเทรดเสียขบวนไปได้เลยทั้งวันนั้นก็มี






ในฐานะคนวางกลยุทธ์ ในสมัยที่ผมทำเฮดจ์ฟัน สิ่งเหล่านี้ก็จัดว่าเป็นความเสี่ยงเล็กๆตัวหนึ่งสำหรับเทรดเดอร์ที่มีอาชีพต้องคอยทำธุรกรรมและการตัดสินใจขึ้นตรงกับกราฟอยู่ทุกวัน ดังนั้น ผมจึงได้คิดและพัฒนาแนวทางที่ทำให้เทรดเดอร์ภายใต้สังกัดผม ก้าวไปอีกขั้นโดยไม่ต้องเพิ่งพากราฟ และ สามารถเทรดได้ทุกที่ ที่มี Internet เข้าถึง

แนวทางนี้ผมเรียกมันว่า Portfolio Indicate
ก่อนจะอธิบายถึงวิธีการ ท้าวความถึง Technical analysis ก่อน สักนิดหน่อยแล้วกันนะครับ
Technical ส่วนมากอาศัยการคำนวณและประมวลจากข้อมูลของราคาเป็นหลักส่วนมาก แต่จะมี indicator บางตัวที่ถึงแม้จะคำนวณจากราคาและวอลุ่มแต่ก็นำหน้าการเกิดขึ้นของราคาได้ อันนี้ไม่ขอพูดถึงตอนนี้แล้วกันนะครับ ทีนี้ สำหรับคนที่เทรด Technical อาจจะสร้างโมเดลที่มีสัญญาณซื้อ-ขาย ขึ้นมา เช่น เขียวซื้อ หรือ แดง ขาย หรือ แม้แต่ลูกศรขึ้น-ลง เป็น signal ในการเข้าและออกจากตลาด ซึ่งสัญญาณเหล่านี้ของเทคนิคเราสามารถสรุปได้ว่า เทคนิคส่วนมากนั้นจะสั่งให้เราซื้อเมื่อราคาขึ้นไปถึงจุดหนึ่งที่ค่าของเทคนิคอนุมัติให้เราซื้อได้ เช่นเดียวกันในทางกลับกัน หากราคาลงจนถึงค่าเทคนิคที่เราคิด indicator ก็จะอนุมัติให้เราขายได้ เป็นต้น

ดังนั้นเราจะเห็นว่าเทคนิคส่วนมากที่ใช้ๆกันอยู่มาจากการขึ้นลงของราคา ดังนั้น ตัวเลข P/L ของพอร์ตเราก็มาจากการขึ้นลงของราคา เมื่อเทียบกับจุดที่เราซื้อ-ขาย เช่นเดียวกับเทคนิคเช่นกัน


ทีนี้ผมยกตัวอย่าง สมมุติเทคนิคโดยทั่วไปจะมีสัญญาณซื้อ-ขายเมื่อราคาขึ้นลงไปสัก 1% (ต.ย.เฉยๆนะครับ)
ทีนี้ผมก็ซอย Positions ออกเป็นส่วนย่อยๆ อาจจะ 30 ส่วน 50 ส่วน หรือแม้แต่ 100 ส่วน ตามแต่การคำนวณงบของเรา

เมื่อเริ่ม Start ผมก็เริ่มซื้อหุ้น A ที่ 100 บาท ราคาหุ้นขึ้นไปที่ 101 พอร์ตผมก็จะเป็นสีเขียว ซึ่งหมายถึงสัญญาณซื้อในทางเทคนิคนั้นเอง ผมก็จะซื้อเข้าไปอีกหนึ่งไม้ ที่ 101 และถ้ามันขึ้นไปอีกผมก็จะเริ่มซื้อที่ 102 อะไรทำนองนี้เป็นต้น ในส่วนนี้เราจะเรียกว่า technical positionsโดยเราจะไม่ใช้เยอะอาจจะเป็น positions ล่ะ 100 เพื่อดูเป็น indicator ในแต่ล่ะระดับราคาเฉยๆเป็นต้น ซึ่ง ถ้า ไม้แรก และ ไม้ สอง ในการเข้าซื้อของเราเขียว เราจะซื้อตามเข้าไปในลักษณะที่หนักขึ้นหน่อย ซึ่งเรียกว่า Follow positions และถ้าหุ้นยังขึ้นต่อเราก็จะใช้ส่วนแรกทีล่ะ 100 หุ้นไล่ซื้อตามไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเกิด p/l สีแดงขึ้นที่ไม้รองสุดท้าย เราก็ขาย follow positions ของเราที่ซื้อตามกรณีไม้แรกเขียวออกไป และถ้าหากไม้ถัดมาแดงอีกเราก็ขายในส่วน follow positions ไม้ที่สองในตอนแรกออกไปอีก เป็นต้น

อันนี้ผมอาจจะอธิบายเป็นคำพูดได้ไม่ค่อยล่ะเอียดนักแต่หวังว่าจะพอเป็นไอเดียได้สำหรับน้องๆเฉยๆนะครับ เพราะหากเกิด เทรนขึ้นมาเราก็จะสามารถถือตัว Positions ใหญ่ๆได้ยาว แต่หากมนลงไปเรื่อยๆ เราก็ทยอยซื้อส่วนของตัวสัญญาณเทคนิคไปเรื่อยๆทีล่ะ 100 หุ้น จนกว่ามันจะกลับมาเขียวเราก็ค่อยเข้าซื้อได้อีกครั้ง อะไรเหล่านี้เป็นต้น ยิ่งเมื่อเรามารวมกับเทคนิคการบริหารเงินเข้าไปด้วยแล้ว จะทำให้เราสามารถเพิ่มประสิทธิการบริหารพอร์ตได้อย่างดีขึ้นพอสมควร เหมือนกับการใช้เทคนิคในการตัดสินใจเทรดไปด้วยในตัวนั่นเอง







ปล. เมื่อเราเชี่ยวชาญแล้ว เรายังสามารถประยุกต์ไปถึงขั้นจดตัวเลขกำไรขนาดทุนของพอร์ตเรามาเป็น Indicator ซึ่งถ้าตัวเลขกำไรยังวิ่งต่อไปเราก็ถือ positions ไปเรื่อยๆ จนกว่าระดับตัวเลขกำไรวกกลับมายังเลขที่เราบันทึกไว้ในใจเราก็เริ่มลด positions เป็นต้นครับ

และท้ายนี้ขอแสดงความยินดีกับพี่กบและพี่นน ที่ได้ไปอยุ่ firm ที่ใหญ่กว่าและมั่นคงกว่า MudleyGroup ของเรานะครับ ซึ่งคราวนี้ภาระในการเทรนน้องๆเทรดเดอร์ก็คงจะตกภาระอยุ่ที่พี่โบเป็นหลัก ซึ่งพี่คิดว่า ถึงแม้จะเป็นงานที่หนัก แต่ก็เป็นสิ่งที่ Mudleygroup นั้นต้องการสื่อถึงการที่พวกเราตั้งใจจะถ่ายเทความรุ้ให้กับน้องๆอย่างแท้จริง เท่าที่ความสามารถของพวกเราจะพึงมีและพอรับไหว พี่ต้องขอบคุณพี่โบอย่างมากที่เสียสละหยาดเหงื่อและแรงกายนอกจากงานประจำที่ทำอยุ่ แต่นั่นก็หมายถึงองค์กรณ์ของเราล้วนเปี่ยมไปด้วยผู้ที่มีจิตใจที่เต็มไปด้วยการให้ที่แท้จริง รวมทั้งพี่ๆ staff ที่จะออกไปทำงานรวมกับสังคมอื่นๆก็คงจะมีแนวคิดที่ดีและจิตใจที่ดีไม่แพ้กันเช่นกัน ขอบคุณมากๆครับ :)

สำหรับรุ่น 3 เนี่ยคงต้องรอให้เราเติบโตมากกว่านี้พอที่จะ มีเวลาและจัดการระบบ รวมถึงการสร้าง staff เพื่อการเทรนโดยเฉพาะได้ก่อนแล้วกันนะครับ ซึ่งพี่คิดว่าอาจจะใช้เวลานานสักหน่อย เพราะองค์กรเรายังเล็กมากๆ จึงทำให้ต้องทุ่มเททรัพยกรบุคคลไปในการสร้างความมั่นคงให้องค์กรณ์เสียก่อน เป็นต้นครับ แต่พี่และพี่โบก็จะพยามเข้ามาเขียนความรุ้และไอเดียเรื่อยๆ ให้น้องๆที่ไม่ได้ทำการเทรด ได้ประโยชน์ไม่ทางใดทางหนึ่ง อยุ่อย่างสม่ำเสมอแล้วกันนะครับ :)
------------------------------------------------------------------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น